พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1127-1130
บทที่ 1127 มาเยือนพิภพใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
วันต่อมา อวิ๋นจือชิวนั่งอยู่เบื้องสูง หงเฉิน จีเหม่ยลี่ อวี้หนูเจียวและฝ่าอินทยอยกันก้าวเข้ามามอบน้ำชาคำนับให้ฮูหยิน
อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างสนิทสนม ใบหน้าสดใสเปล่งประกาย กวาดสายตามองบนใบหน้าผู้หญิงทั้งสี่คนไม่หยุด ในใจกำลังแอบกลั้นขำ เมื่อคืนนางรู้สึกสบายแทบแย่ ขุนนางเหมียวทุ่มเทพลังปรนนบัติอย่างสุดความสามารถ คำพูดชวนขนลุกก็ยิ่งพูดจนเลี่ยนแทบแย่ แต่นางก็ไม่เป็นอะไร ชอบฟังเวลาเหมียวอี้พูดคำรักหวานกับนางมากกว่า ยิ่งชวนขนลุกก็ยิ่งชอบ
ถึงแม้จะรู้ว่าท่านขุนนางเหมียวรู้สึกผิดจึงจงใจประจบนาง แต่จะว่าไปแล้ว ตอนแต่งงานใหม่ไม่ไปหาเจ้าสาว แต่กลับมาหานาง ถึงแม้ปากนางจะไม่พูดอะไร แต่ในใจรู้สึกผ่อนคลายมาก แอบรู้สึกงดงาม นางชอบความรู้สึกเวลาเหมียวอี้โอ๋นาง
“เรื่องในบ้านนายท่านดูแลไม่ไหว ผู้ชายชาตรีก็ไม่ควรเอาความคิดมาวางไว้บนตัวฝูงผู้หญิงเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงเป็นคนตัดสินใจเรื่องทุกอย่างในบ้านนี้!” อวิ๋นจือชิวยืนยันฐานะของตัวเองต่อหน้าทุกคนโดยไม่ให้ปฏิเสธ ไม่มีความเกรงใจเลยสักนิด
“ค่ะ!” หญิงสาวทั้งสี่มองเหมียวอี้แวบหนึ่ง พอเห็นเหมียวอี้ลูบจมูกโดยไม่พูดอะไร ก็พากันย่อตัวเอ่ยรับแล้ว
ใครจะคิดว่าอวิ๋นจือชิวจะเหล่ตามองไปยังเหมียวอี้ที่อยู่ข้างกาย พลางถามเสียงเรียบว่า “นายท่าน จะเอมือลูบจมูกทำไม หรือว่ามีความเห็นแย้งอะไรกับคำพูดของข้าเหรอ?”
“แค่กๆ!” เหมียวอี้ไอแห้งๆ แล้วโบกมือบอกว่า “ไม่มีความเห็นอะไร เรื่องในบ้านฮูหยินเป็นผู้ตัดสินใจ” แต่งงานเข้ามารวดเดียวสี่คน ถ้ากล้ามีความเห็นแย้งอะไรก็แปลกแล้ว
อวี้หนูเจียวที่ยืนอยู่เบื้องบ้างเหลือบมองอย่างดูถูก พึมพำในใจว่า ที่แท้ก็เป็นพวกอ่อนนอกแข็งในกลัวเมีย
“ข้าเองก็ไม่แบ่งแยกว่าห้องไหนใหญ่ ห้องไหนเล็ก จะมองทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่จะขอบอกสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้เสียก่อน ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะมาด้วยจุดประสงค์อะไร แต่ในเมื่อเข้ามาอยู่ในตระกูลเหมียวแล้ว ก็แปลว่าเป็นคนของตระกูลเหมียว ถ้าใครกล้ากินบนเรือนขี้บนหลังคา ไม่ต้องรอให้นายท่านเอ่ยปาก ข้าก็จะกำจัดนางก่อนเอง! ถึงตอนนั้นต่อให้นายท่านขอร้องให้ก็ไม่มีประโยชน์ ก็ยังเป็นอย่างที่บอก ข้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องในบ้าน!” อวิ๋นจือชิวกวาดสายตาเย็นเยียบมองทุกคน พร้อมกล่าวถามเสียงต่ำ “ได้ยินกันทุกคนแล้วใช่มั้ย?”
“ค่ะ! ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไร” แต่ภายนอกหญิงสาวทั้งสี่ก็ยังเอ่ยรับอย่างเคารพ
“เวยเวย!” อวิ๋นจือชิวเอียงหน้าพูดกับฉินเวยเวยที่นั่งอยู่เบื้องล่าง “พาพวกนางไปเรือนพักที่แบ่งเอาไว้แล้วเถอะ”
“ค่ะ!” ฉินเวยเวบลุกขึ้นพาพวกนางออกไป
เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว อวิ๋นจือชิวก็นั่งไขว่ห้าง พูดเหน็บแนมเหมียวอี้ที่นั่งอยู่ข้างๆ ว่า “แต่ละคนเป็นเป็นยอดหญิงงามทั้งนั้น ข้าเห็นแล้วยังตาลาย ในใจเจ้าคงชื่นบานแทบแย่เลยล่ะสิ?”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “เมื่อคืนได้พบเห็นเสน่ห์อันอ่อนช้อยงดงามของฮูหยินแล้ว ยังจะไปสนใจผู้หญิงคนอื่นได้อย่างไร”
“เชอะ! ถ้าเชื่อคำพูดแบบนี้ของเจ้าได้ ก็แสดงว่าสมองของข้ามีปัญหาแล้ว!” อวิ๋นจือชิวพูดดูถูก แล้วลุกขึ้นเดินออกไป
หลายวันต่อมา ก่อนแต่งงานเหมียวอี้ก็ไม่ได้สนใจอะไร และก็ไม่อยากแต่งงานด้วย แต่หลังจากแต่งงานแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่ากระเหี้ยนกระหือรือ ถึงอย่างไรเนื้อก็มาวางอยู่ข้างปากแล้ว แต่ก็ยังไม่กล้าไปหาอนุภรรยาสี่คนที่มาใหม่พวกนั้น ทุกคืนอยู่ข้างกายภรรยาเอกอย่างว่าซื่อสัตย์ ถึงอย่างไรตอนหลังก็ยังมีโอกาส เขาไม่รีบร้อนที่ทำแบบนั้นในตอนนี้ ตอนนี้การปะเหลาะผู้หญิงคนนี้ให้ดีก่อนคือเรื่องที่ใหญ่ที่สุด ไม่อย่างนั้นจะใช้ชีวิตลำบาก ปากที่เหมือนดาบคมของอวิ๋นจือชิว ถ้าได้ทำร้ายใครขึ้นมาก็ยากที่จะรับรสชาติแบบนั้นไหว
ส่วนอวิ๋นจือชิวก็ย้ายสมาธิไปจดจ่ออยู่กับงานแล้ว เหมียวอี้ขี้เกียจไม่สนใจเรื่องในด้านนี้ ไม่ว่าอะไรก็ให้กำลังพลเบื้องล่างทำหมด อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงรับงานมาจัดการต่อ อย่างน้อยก็ไม่อยากให้คนนอกมาตบตาได้
พอนางรับงานมา เหมียวอี้ก็ยิ่งวางใจแล้ว การโยกย้ายกำลังพลใหม่ในอาณาเขตที่ใหญ่ขนาดนั้น อวิ๋นจือชิวงานยุ่งมาก แต่เหมียวอี้กลับหลบไปฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิ
ถึงแม้เหมียวอี้จะไม่เห็นด้วยที่ไปแตะต้องทางทะเลดาวนักษัตร แต่ประมุขถิ่นสี่ทิศยังเป็นฝ่ายมาขอโยกย้ายกำลังพลเองครั้งแล้วครั้งเล่า เหมียวอี้จึงทำได้เพียงยอมภายใต้ความจนใจ
วันนี้ขณะที่กำลังฝึกตน จู่ๆ หงเหมียนก็วิ่งมารายงาน “ท่านปราชญ์ เซี่ยงไป่ถิงของสำนักงามวิจิตรมาขอพบเจ้าค่ะ!”
ถึงอย่างไรอวิ๋นจือชิวก็เป็นผู้หญิง ไม่สะดวกจะมีผู้ชายอยู่ข้างกายตลอดเวลา ตอนนี้จะไปเทียบกับตอนที่นางอยู่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุไม่ได้แล้ว ถึงอย่างไรก็แต่งงานแล้ว ไม่จะดวกจะให้เกิดข่าวลือที่ไม่ดี เบื้องล่างยังมีกลุ่มคนตำแหน่งเล็กกว่ามองนางอยู่ นางต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี เซียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่ได้อยู่ข้างกายนางด้วย ฉินเวยเวยย่อมต้องมาเป็นผู้ช่วยนาง หงเหมียน ลู่หลิ่วย่อมกลายเป็นคนวิ่งส่งข่าวเช่นกัน
เหมียวอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินถามอย่างแปลกใจ “เขาจะมาทำอะไร? ไม่พบ! มีเรื่องอะไรก็ไปให้ฮูหยินจัดการ” เขาไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับเซี่ยงไป่ถิง
“ฮูหยินบอกแล้ว ว่านางไม่สะดวกจะจัดการเรื่องนี้ ให้ท่านไปพบด้วยตัวเองเจ้าค่ะ” หงเหมียนตอบ
เหมียวอี้ขมวดคิ้วแล้วลุกออกจากเตียง หงเหมียนรีบตามไปข้างหลังและช่วยดึงเสื้อผ้าที่นั่งจนยับให้เขา หลังจากได้มีความใกล้ชิดทางกายสัมผัสกันแล้ว การทำเรื่องแบบนี้ก็คิดว่าสมเหตุสมผล ไม่อย่างนั้นก็ยังเก้อเขินนิดหน่อยเพราะชายหญิงไม่ควรอยู่ใกล้ชิดกัน
พอมาถึงดถงหลัก ก็เห็นอวิ๋นจือชิวกำลังนั่งถือถ้วยน้ำชาอย่างสุขุมเยือกเย็น
เซี่ยงไป่ถิงที่ยืนอยู่เบื้องล่างกล่าวอย่างหวาดกลัวเกรงขามทันที “ผู้น้อยเข้าเยี่ยมคำนับท่านปราชญ์!”
สายตาของเหมียวอี้กลับไปหยุดอยู่บนตัวของอีกสามคน โม่หมิง เหมียวจวินอี๋และโม่จวินหลัน แต่ละคนคุกเข่าด้วยสภาพจนตรอก ในสีหน้าหดหู่แฝงไปด้วยความเศร้าสลด โดยเฉพาะโม่จวินหลัน เห็นได้ชัดว่าผ่านการร้องไห้มา
“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้นั่งลงข้างกายอวิ๋นจือชิวแล้วเอ่ยถาม
อวิ๋นจือชิวอธิบายอย่างไม่ใส่ใจ ยามมีอำนาจผู้คนประจบ ยามสิ้นอำนาจผู้คนเมินเฉย พอตกต่ำก็คอยซ้ำเติม ไม่น่าเชื่อว่าเซี่ยงไป่ถิงจะวางยาพิษพ่อตาตัวเองและครอบครัว แม้แต่ฮูหยินของตัวเองก็ไม่ละเว้น จับมาขอรางวัลต่อหน้าเหมียวอี้พร้อมกัน
เซี่ยงไป่ถิงไม่รู้ว่าเหมียวอี้เป็นคนปล่อยครอบครัวของโม่หมิงไป แต่อวิ๋นจือชิวกลับเคยได้ยินเหมียวอี้เอ่ยถึง ตอนนี้เมื่อเห็นถูกจับมาอีก นางย่อมให้เหมียวอี้เป็นคนจัดการ
พอได้ยินเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็จินตนาการถึงเหตุผลเบื้องหลังได้ไม่ยาก ถามว่า “เหมียวจวินอี๋ ได้ยินว่าลูกเขยคนนี้เจ้าเป็นคนเลือกเอง มีอะไรจะพูดมั้ย?”
เหมียวจวินอี๋ที่หน้าช้ำเขียวกล่าวอย่างสุดเศร้าว่า “ข้ามันมีตาแต่ไร้แวว กรรมตามสนองแล้ว!” ยากจะบรรยายถึงความน่าสังเวชในน้ำเสียงนั้นได้
เหมียวอี้ขี้คร้านจะพูดมาก ตะโกนเรียกว่า “เหยียนซิว!”
ด้านนอกมีร่างร่างหนึ่งถลันเข้ามา เหยียนซิวเดินเข้ามาแล้ว เหมียวอี้ไปชี้ไปที่เซี่ยงไป่ถิง แล้วโบกมือไปทางด้านนอก
เหยียนซิวเดินเข้ามาอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง ดึงแขนเซี่ยงไป่ถิงลากออกไปข้างนอกโดยตรง เซี่ยงไป่ถิงยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไร ในขณะที่สงสัยก็หันกลับมามองไม่หยุด ใครจะคิดว่าพอโดนลากออกนอกประตู เหยียนซิวก็พลิกมือหยิบขวานออกมาด้ามหนึ่ง ฉวยโอกาสตอนที่เซี่ยงไป่ถิงยังไม่ทันรู้ตัว ยกมือฟันลงมา ฉึก! ศีรษะของเซี่ยงไป่ถิงกระเด็นออกไปทันที ไม่ทันได้ส่งเสียงร้องออกมาด้วยซ้ำ ร่างล้มลงนอนชักดิ้นอยู่บนพื้นแล้ว
เหมียวจวินอี๋และครอบครัวที่หันไปมองพากันตะลึงค้าง
“ไปเรียกหลี่โม่จินมา!” เหมียวอี้บอกเหยียนซิวที่กำลังกลับมรายงานผลงาน
ผ่านไปครู่เดียวหลี่โม่จินก็มาถึง เมื่อเห็นศิษย์น้องและครอบครัวกำลังนั่งคุกเข่า ก็ทำท่าอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“นำมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินไปให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องของพวกเจ้าฝึก ให้พวกเขาเฝ้าสำนักงามวิจิตรไว้ให้ดี รอให้เยารั่วเซียนกลับมารับช่วงต่อ” เหมียวอี้สั่งอวิ๋นจือชิวเอาไว้ แล้วก็กลับไปฝึกตนต่อ
ป่าเถื่อนมักง่าย! อวิ๋นจือชิวสบถในใจอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ก็เข้าใจเจตนาของเหมียวอี้เช่นกัน เยารั่วเซียนหลอมของวิเศษคนเดียวโดยไม่มีผู้ช่วยทำให้ลำบากเปลืองแรง เมื่อมีกำลังคนของสำนักงามวิจิตรคอยช่วยก็ดีสุดๆ ไปเลย…
นภาอู๋เลี่ยง ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น ขณะมองพวกเหมียวอี้เหาะไปที่เส้นขอบฟ้า หยางชิ่งที่ยืนลำพังอยู่บนยอดเขาก็ยากที่จะบรรยายความรู้สึกตกตะลึงของตัวเองออกมาได้
ก่อนที่จะไป เหมียวอี้บอกเรื่องพิภพใหญ่กับหยางชิ่ง เขาพาฉินเวยเวยไปด้วย ทิ้งให้หยางชิ่งอยู่รักษาการณ์ที่พิภพเล็ก
หงเฉิน จีเหม่ยลี่ อวี้หนูเจียวและฝ่าอินก็ถูกพาตัวไปเช่นกัน นี่คือสิ่งที่รับปากไว้กับสี่ปราชญ์ก่อนหน้านี้ เหมียวอี้เองก็รู้ว่าสี่ปราชญ์อยากจะยัดสี่คนนี้มาคอยเป็นหูเป็นตาอยู่ข้างกายเขา และถ้าจะพาอนุภรรยาใหม่ทั้งสี่คนไปโดยทิ้งฉินเวยเวยไว้อีก แบบนั้นก็จะฟังดูเหลวไหลไปหน่อย…
บนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เหมียวอี้และฮูหยินอยู่ตรงกลาง พวกอวิ๋นอ้าวเทียนตามอยู่ทางซ้ายและขวา กำลังเร่งเหาะอยู่บนท้องฟ้ากว้างที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
ตอนที่ประตูดวงดาวบานแรกปรากฏ ภาพอลังการยามกระสวยทองคุ้มครองทั้งเจ็ดคนให้ข้ามผ่านประตูดวงดาวก็ทำให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนได้เปิดหูเปิดตาเยอะมาก เรียกได้ว่าตกตะลึงพรึงเพริด ยิ่งรู้สึกได้ว่าตัวเองเล็กน้อยมากเมื่ออยู่ในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวนี้
ข้ามผ่านประตูดวงดาวมาตลอดทาง หลังจากมาถึงอาณาเขตของพิภพใหญ่แล้ว เหมียวอี้ก็ให้อวิ๋นจือชิวพาพวกอวิ๋นอ้าวเทียนไปหาที่พักในตลาดสวรรค์ก่อน ส่วนเขาก็ไปรับเป่าเหลียนที่ดาวไร้ลักษณ์
หลังจากทะลุฝ่าชั้นบรรยากาศ เหยียบลงในแนวเทือกเขาใกล้ๆ สำนักลมปราณแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกคนสามคนออกมาจากกระเป๋าสัตว์
ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเยียนเป่ยหง หงฝูและหงฝูที่ถูกขังอยู่ที่นภาจอมมารมาหลายปี ทั้งสามดูค่อนข้างจิตใจเซื่องซึม ถึงอย่างไรก็ถูกผนึกวรยุทธ์มาหลายปีเกินไป
เมื่อมองไปรอบๆ เยียนเป่ยหงก็ถามว่า “ที่นี่คือพิภพใหญ่เหรอ?”
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วบอกว่า “สำนักลมปราณของที่นี่มีความสัมพันธ์กับข้าค่อนข้างดี พี่ใหญ่เยียนเพิ่งถูกปล่อยตัวได้ไม่นาน พักฟื้นสงบจิตใจอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่งก่อน ให้ร่างกายฟื้นตัวสักหน่อย แล้วค่อยไปเที่ยวดูให้ทั่วก็ยังไม่สาย”
เยียนเป่ยหงยังคงกล้าหาญชาญชัย หัวเราะเสียงดังแล้วบอกว่า “น้องชาย ข้าไม่ได้อ่อนแออย่างที่เจ้าคิดหรอก พวกอวิ๋นอ้าวเทียนล่ะ มาด้วยกันไม่ใช่เหรอ?” เขามองไปรอบๆ อีก
เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเลเล็กน้อยว่า “พี่ใหญ่เยียน ท่านเองก็รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมียข้ากับอวิ๋นอ้าวเทียน และพวกอวิ๋นอ้าวเทียนก็ยังมีจุดที่ใช้ประโยชน์ได้ เห็นแก่หน้าน้องชายหน่อยได้มั้ย ให้ความขัดแย้งในอดีตจบลงตรงนี้?”
เยียนเป่ยหงเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็ยกมือตบบ่าเหมียวอี้ “ต่อให้ไม่เห็นแก่หน้าน้องชาย แต่ก็ต้องเห็นแก่หน้าน้องสะใภ้ เรื่องนี้ผ่านไปแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว”
เหมียวอี้ดีใจมาก จากนั้นก็นำทั้งสามไปหาที่พักที่สำนักลมปราณ เจ้าสำนักอวี้หลิงย่อมไม่ปฏิเสธ ให้เยียนเป่ยหงและหญิงรับใช้ไปพักที่เรือนในป่าไผ่แล้ว
ก่อนที่จะไป เหมียวอี้ก็มอบเกราะรบผลึกแดงชุดหนึ่งให้เยียนเป่ยหง ส่วนหงฝูกับหงฝูก็มอบเกราะรบผลึกม่วงให้คนละชุด แล้วนำดาบใหญ่ผลึกแดงด้ามหนึ่งมอบให้เยียนเป่ยหง
เป็นเพราะอวิ๋นอ้าวเทียนไม่ยอมคืนดาบด้ามเดิมให้เยียนเป่ยหง อวิ๋นอ้าวเทียนคิดว่าถ้าดาบอยู่ในมือเยียนเป่ยหงจะอันตรายเกินไป ที่สำคัญเป็นเพราะรู้สึกว่าวิชามารของเยียนเป่ยหงน่ากลัวเกินไป และดาบด้ามนั้นก็มีราคาไม่น้อย อวิ๋นอ้าวเทียนเก็บไว้เองก็เป็นประโยชน์มากเหมือนกัน
หลังจากจัดที่พักทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ได้อยู่ที่สำนักลมปราณนาน พาเป่าเหลียนออกไปแล้ว
พอกลับมาถึงตลาดสวรรค์ เหมียวอี้ก็มุ่งตรงไปรายงานตัวกับปี้เยว่ฮูหยินที่ตำหนักคุ้มเมือง บอกว่าตัวเองกลับมาแล้ว
เขารีบร้อนกลับมาที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก แล้วลงไปทางอุโมงค์ใต้ดินในบ่อน้ำ อวิ๋นจือชิวกำลังรอเขาอยู่ที่ลานบ้านด้านหลังของร้านโฉมเมฆา
“พวกเขาอยู่ที่ไหน?” เหมียวอี้ถาม
อวิ๋นจือชิวเหลือบตามองขึ้นไปบนตึก “รออยู่ที่ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ชั่วคราว เจ้าสามของเจ้าข้าเกลี้ยกล่อมไม่ได้ นางไม่ยอมอยู่ที่นี่ ดึงดันจะติดตามอาจารย์ของนางไป”
เหมียวอี้ยกมือตบหน้าผากตัวเอง รู้สึกปวดหัวมาก ไม่รู้ว่าเยว่เหยาไปกินยาอะไรผิดมา หรือว่าจะโดนมู่ฝานจวินหรอกยากล่อมวิญญาณอะไรไป พอเห็นเขาก็เอียงหน้าหนีทำเป็นมองไม่เห็น ไม่สนใจใยดีเขาเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการคุยกันดีๆ ส่วนมู่ฝานจวินก็ยิ่งเก็บเยว่เหยาไว้ข้างกายไม่ให้ห่างไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว
“ไม่สนใจนางแล้ว! ข้าว่านางถ้าไม่ได้ลองกินยาขมก็คงไม่รู้จักหันกลับมาหรอก!” เหมียวอี้พูดด้วยอารมณ์โกรธ จากนั้นก็ขึ้นไปบนตึกพร้อมอวิ๋นจือชิว เข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์
คนกลุ่มใหญ่อยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ ห้าปราชญ์ทิ้งลูกศิษย์ที่มีฝีมือไว้เพียงหนึ่งคนเพื่อให้ดูแลพิภพเล็กต่อไป ส่วนลูกศิษย์คนอื่นๆ ก็พามาด้วยหมด เหมียวอี้กวาดสายตามองหาเยว่เหยาที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มคนพวกนี้ แต่เยว่เหยาพอเห็นเขาแล้วหันตัวหนีไปเลย ทำอย่างกับเป็นศัตรูคู่แค้นกัน
…………………………
บทที่ 1128 ใต้หล้าของตระกูลเดียว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตอนนี้เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจเจ้าเด็กคนนี้ เขาเชิญห้าปราชญ์เข้าไปคุยข้างในด้วยกันก่อน
ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอื่นใด เหมียวอี้เปิดอกพูดตรงๆ ยื่นมือบอกว่า “สัญญาที่ทุกคนควรจะทำตามก็ยังต้องทำตาม ตอนนี้ถึงคราวของพวกเจ้าแล้ว”
ห้าปราชญ์สบตากันแวบหนึ่ง ย่อมเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ควรจะมอบเคล็ดวิชาฝึกตนของตัวเองแล้ว
ถึงแม้จะมีการเตรียมพร้อมทางด้านสภาพจิตใจไว้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องมอบให้จริงๆ ในใจแต่ละคนก็ยังขัดขืนนิดหน่อย สุดท้ายก็เป็นอวิ๋นอ้าวเทียนที่ทำตัวตรงไปตรงมา ยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกไป
เหมียวอี้รับมาอ่านในมือครู่หนึ่งแล้วเก็บไว้
เมื่อมีคนนำแล้ว คนที่เหลือก็ทำได้เพียงทยอยกันกันส่งของออกมา
หยิบมาอ่านทีละฉบับ เหมียวอี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าของจริงหรือของปลอม ทำได้เพียงเตือนว่า “หวังว่าพวกเจ้าจะไม่เล่นลูกไม้อะไรในของที่ให้มานะ ไม่อย่างนั้นต้องรับผลที่จะตามมาเอาเอง!”
อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ให้ห้าปราชญ์พาคนไปหาโรงเตี๊ยมพักที่ตลาดสวรรค์ด้านนอก เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะมาเบียดเข้าๆ ออกๆ กันอยู่ในนี้ตลอด แบบนั้นสะดุดตาเกินไป
ที่นอกห้อง อวิ๋นจือชิวสั่งกำชับเรื่องกฎระเบียบของที่นี่ให้กลุ่มคนที่มาใหม่ฟังอีกครั้ง
หลังจากฟังอยู่ข้างๆ ห้าปราชญ์จบแล้ว เหมียวอี้ก็เอ่ยเรียกตรงๆ “เยว่เหยา มานี่หน่อย!” พูดจบก็หันตัวเดินเข้าไปในห้อง
เยว่เหยามองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็หันหน้าหนี ทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร
“เยว่เหยา!” เป็นมู่ฝานจวินที่กล่าวบอกใบ้ เยว่เหยาถึงได้เดินอิดออดเข้ามาในห้องอย่างไม่เต็มใจ
คนที่ไม่รู้สถานการณ์เบื้องลึกต่างก็คิดไปต่างๆ นาๆ มีคนไม่น้อยที่พึมพำในใจ อย่าบอกนะว่าเหมียวอี้ถูกใจเทพธิดาเยว่เหยาอีกแล้ว หรือว่ามู่ฝานจวินมีเจตนาจะให้ลูกศิษย์แต่งงานอีกคน?
ในห้อง พี่ชายและน้องสาวยืนอยู่ด้วยกัน เหมียวอี้ขมวดคิ้วมองเยว่เหยา ส่วนเยว่เหยาก็เชิดหน้ายืดอกสบตากับเขาอย่างไม่ยอมกัน
เหมียวอี้ค่อยๆ เริ่มเดือดดาล จู่ๆ ก็ยื่นมือออกมา บิดหูเยว่เหยาเอาไว้ “เจ้าว่ามาซิ เจ้าคิดจะพาลหาเรื่องยังไงกันแน่?”
เยว่เหยารู้สึกเจ็บ ทั้งผลักทั้งชกที่หน้าอกเหมียวอี้ไม่หยุด เหมือนกับคนเสียสติ ผลักเหมียวอี้ออกเหมือนพาลหาเรื่อง แล้วตะคอกอย่างกระหืดกระหอบว่า “ชายหญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน!”
เหมียวอี้กลอกตามองบน แล้วพยายามกล่าวอย่างใจเย็นว่า “เจ้าสาม เลิกพาลสักทีได้ไหม? เจ้าดูไม่ออกเหรอว่ามู่ฝานจวินอยากจะใช้เจ้ามาบีบจุดอ่อนของข้า? ตอนนี้ศิษย์พี่เจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว เจ้าไม่ต้องกลัวว่ามู่ฝานจวินจะเอาศิษย์พี่เจ้ามากดดันอีก ถ้าตอนนี้เจ้ามาอยู่กับข้า มู่ฝานจวินก็ไม่กล้าคัดค้านหรอก”
“ข้าจะอาศัยฐานะอะไรมาอยู่กับท่านล่ะ?” เยว่เหยาถามตรงๆ
“เจ้ายังไม่รู้จักจบสักทีใช่มั้ย?” เหมียวอี้โมโหแล้ว
“ตอนแรกท่านรับปากแล้วว่าจะแต่งงานกับข้าและศิษย์พี่ ตอนนี้ท่านแต่งงานกับศิษย์พี่แค่คนเดียว” เยว่เหยาพูดอีก
เหมียวอี้อยากจะตบหน้านางสักฉาดจริงๆ ชี้จมูกนางพร้อมด่าว่า “สมองเจ้ามีปัญหาเหรอ? คิดแต่เรื่องเหลวไหลไร้ระเบียบ!”
เยว่เหยาแสยะยิ้ม “ข้าสมองมีปัญหา ข้าแค่อยากจะถามท่านสักหน่อย ข้าจะอาศัยฐานะอะไรไปอยู่กับท่าน? ท่านกับข้าไม่ใช่พี่น้องสายเลือดเดียวกัน อย่าบอกนะว่าข้าต้องอยู่ข้างกายท่าน ให้ท่านเลี้ยงไปทั้งชีวิต? แค่ตอนเด็กอยู่กับท่านไม่กี่ปี ก็จะอาศัยฐานะพี่น้องมากินของท่าน ใช้ของท่านไปทั้งชีวิตน่ะเหรอ? ใช่ ท่านอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล แต่พวกพี่สะใภ้สะคิดยังไงล่ะ?”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว พี่สะใภ้เจ้าไม่ถือสาเรื่องนี้หรอก”
เยว่เหยาตะคอกเสียงดังว่า “แต่ข้าถือ! ข้าไม่อยากเป็นขยะไร้ประโยชน์ที่กินอยู่กับท่านเฉยๆ ท่านเคยคิดถึงความรู้สึกของข้าบ้างรึเปล่า? พี่ใหญ่ ข้าก็มีศักดิ์ศรีของข้าเหมือนกันนะ ข้าไม่ใช่เด็กน้อยในปีนั้นแล้ว ท่านอย่าเอาแต่มองว่าข้าเป็นเด็กสิ!”
เหมียวอี้อึ้งชะงักทันที เขาไม่เคยนึกถึงสิ่งเหล่านี้มาก่อน เขาเองก็ไม่เคยสนใจในด้านความรู้สึกของเยว่เหยาเลย จึงขมวดคิ้วบอกว่า “เอาอย่างนี้มั้ย! ข้าจะหาทางช่วยเจ้าทำร้านค้าสักร้านที่ตลาดสวรรค์ แล้วเจ้าก็เลี้ยงดูตัวเองดีไหม? อย่าติดตามมู่ฝานจวินไปทั่ว พิภพใหญ่ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่เจ้าคิด!”
เยว่เหยากลับกล่าววิงวอนอย่างทุกข์ใจ “อาจารย์ก็ต้องการให้ข้าทำอย่างนั้น ท่านก็ต้องการให้ข้าทำอย่างนี้ ศิษย์พี่ก็เฝ้าหวังให้ข้าเป็นอีกอย่างหนึ่ง พวกท่านคิดจะให้ข้าเป็นยังไงกันแน่? พี่ใหญ่ ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว ท่านให้ข้าเดินตามเส้นทางของตัวเองได้มั้ย?”
เหมียวอี้ทำสีหน้าสับสน ตัวเองอยากจะทำดีกับนาง แต่นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นภาระอย่างหนึ่งในสายตาของเจ้าสาม! หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ก็ถามอีกว่า “เจ้าสาม เจ้าคงไม่ได้ต้องการให้ข้าแต่งงานกับเจ้าจริงๆ หรอกใช่มั้ย เจ้าถึงจะยอมอยู่ในโอวาท?”
เยว่เหยาส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “พี่ใหญ่ ข้ายอมรับว่าตอนแรกข้าวู่วามจริงๆ อยากแต่งงานกับท่านจริงๆ แต่หลังจากที่ท่านแต่งงานกับพี่สะใภ้ใหญ่ นั่นก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ข้าอยู่แดนโพ้นสวรรค์มาหลายปี บางทีอาจจะไม่ได้มีอนาคตดีอะไร แต่ก็ชินกับการทำตัวสูงส่งแล้ว ผู้หญิงที่มีสภาพจิตใจอย่างข้าจะแต่งงานเป็นอนุภรรยาไปรวมกับผู้หญิงเป็นโขยงได้อย่างไร? อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่ศิษย์พี่ข้ากับจีเหม่ยลี่ มีใครบ้างที่เต็มใจแต่งงานเป็นอนุภรรยา?”
เหมียวอี้ถูกนางพูดแทงใจดำจนตอบโต้ไม่ได้ไปพักหนึ่ง “เจ้าสาม ข้าดิ้นรนอยู่ที่พิภพใหญ่ไปเพื่ออะไรล่ะ ไม่ใช่เพราะอยากให้พวกเจ้าอยู่กันอย่างสงบสุขหรอกเหรอ แค่อยากจะสร้างเงื่อนไขที่ดีให้พวกเจ้า! เจ้ารองไม่เชื่อฟังข้า แอบหนีไปแล้ว แล้วเจ้าก็มาเป็นแบบนี้อีก ทำไมพวกเจ้าจะต้องต่อต้านข้าด้วย?”
เมื่อเห็นพี่ใหญ่ทำสีหน้าอับจนปัญญา เยว่เหยาก็น้ำตาคลอเบ้า จู่ๆ ก็กางแขนโผเข้าไปกอดเขา กอดไว้แน่นไม่ยอมปล่อย กล่าวขอร้องด้วยความจริงใจอยู่ในอ้อมอกของเขา “พี่ใหญ่ ข้าไม่ใช่เด็กแล้วจริงๆ ข้าโตแล้ว ท่านให้ข้าเลือกเส้นทางของตัวเองได้มั้ย?”
เหมียวอี้ที่ถูกกอดยืนเงียบๆ อยู่อย่างนั้น สีหน้าเศร้าสลด สุดท้ายก็กล่าวเสียงต่ำอย่างเศร้าซีมสุดๆ ว่า “ไปเถอะ! ไปเถอะ! ไปหาเส้นทางของตัวเองเถอะ! ถ้าเจออุปสรรคที่ก้าวผ่านไปไม่ได้ ก็จำไว้ว่าให้กลับมาหาพี่ใหญ่ เจ้าสาม…พี่ใหญ่จะยืนอยู่ข้างหลังเจ้าตลอดไป!”
“อื้มๆ!” เยว่เหยาหมอบร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในอ้อมอกเขา
หลังจากทั้งสองออกมาแล้ว เหมียวอี้ก็เรียกอวิ๋นจือชิวมาสั่งอะไรบางอย่าง ให้อวิ๋นจือชิวรีบไปหาเกราะรบและอาวุธที่เหมาะสมในตลาดสวรรค์มาให้เจ้าสาม แล้วก็รวบรวมยาแก่นเซียนสิบล้านเม็ดกับสมุนไพรเซียนซิงหัวจำนวนหนึ่ง ทั้งยังมีสัตว์เทพ แล้วก็ทำสำเนาเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคคนที่มู่ฝานจวินให้หนึ่งฉบับ เขามอบของจำเป็นทุกอย่างให้เยว่เหยาในรวดเดียว
อวิ๋นจือชิวอึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง รู้สึกว่าให้ของกับเยว่เหยามากมายขนาดนี้ในรวดเดียว ต่อไปจะไม่ตกอยู่ในมือมู่ฝานจวินหรอกเหรอ แต่นางรู้ว่าของแบบนี้ไม่มีทางเหลือให้ต่อรองอะไรทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นจะยั่วให้เหมียวอี้โมโห ถึงตอบตกลงและไปจัดการให้ทันที
คลื่นระลอกแลกยังไม่สงบ ก็มีคลื่นตามมาอีกระลอกแล้ว อันหรูอวี้มาหาเหมียวอี้แล้วถามว่า “ท่านอาจารย์รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องอยู่ที่โรงเตี๊ยม จะไปอยู่ที่ร้านค้าของหลางหลางกับหวนหวน คงจะไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อพวกนางใช่มั้ย?”
ระหว่างนางกับโอวหยางกวงผู้เป็นสามี มู่ฝานจวินพานางมาแค่คนเดียว เรื่องการมาพิภพใหญ่สำหรับมู่ฝานจวิน ถ้ารากฐานยังไม่มั่นคงพอ คนนอกก็ไว้วางใจไม่ได้เลย และหลังจากที่อันหรูอวี้มาถึงพิภพใหญ่ ได้รู้จากปากจงเจิ้นว่าลูกสาวทั้งคู่ของนางมาเติบโตอยู่ที่พิภพใหญ่ตั้งนานแล้ว ทั้งยังได้เปิดร้านค้าอยู่ในเขตทำเลทองอย่างตลาดสวรรค์ด้วย ในใจนางก็รู้สึกปลาบปลื้มไม่หาย รู้สึกว่าสุดท้ายเหมียวอี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อลูกสาวตนอย่างไร้ความยุติธรรม
แต่สิ่งที่ทำให้นางตกใจก็คือ นึกไม่ถึงว่ามู่ฝานจวินจะต้องการไปพักที่ร้านค้าลูกสาวตน ไม่รู้ว่ามู่ฝานจวินมีเจตนาอะไร ไม่รู้ว่าทำแบบนี้จะนำพาความยุ่งยากอะไรมาให้ลูกสาวหรือเปล่า ถึงได้แอบมาถามเหมียวอี้ก่อน
เหมียวอี้เข้าใจถึงเจตนาของนาง ยิ้มบางๆ พร้อมตอบว่า “ไปเถอะ ท่านเองก็ไม่ได้เจอกับหลางหลาง หวนหวนมาหลายปีแล้ว ไปเยี่ยมพวกนางหน่อยก็ดีเหมือนกัน แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะฝากฝัง!”
“ว่ามาเลย!” อันหรูอวี้พยักหน้า
“ที่จริงเยว่เหยาเป็นน้องสาวของข้า…” เหมียวอี้ไม่ปิดบังนาง บอกความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างตัวเองกับเยว่เหยาแล้ว
อันหรูอวี้ตกตะลึงมาก เหมียวอี้แอบสั่งว่า “นางเติบโตแล้ว ข้าเองก็ควบคุมนางไม่ได้แล้วเหมือนกัน รบกวนให้ท่านแม่ยายช่วยดูแลให้ข้าหน่อย ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็อย่าลืมติดต่อมาหาข้า ส่วนหลางหลางกับหวนหวนมีข้าดูแลอยู่ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง! ถ้าท่านเองมีเรื่องจำเป็นอะไรก็ไปหาหลางหลางกับหวนหวนได้เลย ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือพวกนาง จะใช้ดูแลมารดาสักคนก็ไม่ใช่ปัญหา!”
อันหรูอวี้พยักหน้าตอบรับ ในใจรู้สึกปลื้มปิติยินดี ฟังจากความหมายในคำพูดของเหมียวอี้ ในมือลูกสาวตัวเองมีของฟุ่มเฟือยหรูหรามาก อยู่ที่พิภพใหญ่นับว่าไม่ต้องกังวลเรื่องกินเรื่องอยู่ ไม่ขาดทรัพยากรฝึกตน แบบนี้นางก็หายห่วงแล้ว
เหมียวอี้นำระฆังดาราอันหนึ่งออกสอนวิธีการใช้งานให้อันหรูอวี้ ทั้งสองฝ่ายสร้างช่องทางการติดต่อกันอย่างลับ
อีกด้านหนึ่ง อวิ๋นจือชิวเชิญคนของตระกูลอวิ๋นไปคุยกันในอีกห้องหนึ่ง
คนของตระกูลอวิ๋นมาที่นี่ไม่น้อยเลย หัวมังหรอย่างอวิ๋นอ้าวเทียนก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง รองลงมาก็มีอวิ๋นเซี่ยวลูกชายคนที่หก อวิ๋นเป้าลูกชายคนที่แปด อวิ๋นเจวียนลูกสาวคนที่สิบสาม อวิ๋นเฟิงลูกชายคนที่สิบสี่ อวิ๋นกางลูกชายคนที่สิบหก อวิ๋นก่วงลูกชายคนที่สิบเก้า อวิ๋นเซียงลูกสาวคนที่สามสิบสาม นอกจากลูกชายคนโตก็มีอวิ๋นเสียลูกสาวคนที่สามที่ถูกโยนตำแหน่งสำคัญให้รักษาการณ์ที่นภาจอมมาร ส่วนลูกชายลูกสาวคนอื่นๆ ที่เหลือรอดอยู่ก็ถูกอวิ๋นอ้าวเทียนพามาด้วยทั้งหมด
อวิ๋นอ้าวเทียนแสดงออกชัดเจนว่าต้องการมาบุกยึดพิภพใหญ่ รุ่นที่สองของตระกูลอวิ๋นแทบจะถูกพาออกมาทั้งรัง เรียกได้ว่ามาอยู่ในกระบวนทัพของพ่อตัวเอง ล้วนเป็นคนที่มีสายเลือดเดียวกัน ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่สามัคคีกันหรือเกิดความขัดแย้งภายใน
เมื่ออยู่ที่พิภพเล็ก กระบวนทัพนี้ถือว่าไม่เล็กเลย แต่กลับเป็นสิ่งที่น่ากังวลในสายตาของอวิ๋นจือชิว อวิ๋นกาง อวิ๋นก่วงและอวิ๋นเซียงเพิ่งวรยุทธ์ระดับบงกชม่วง อยู่ที่พิภพใหญ่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง
อวิ๋นอ้าวเทียนมองออกถึงความกังวลวที่อยู่ในดวงตาของหลานสาว กล่าวเสียงเรียบว่า “น้องชิว เจ้าใช้ชีวิตของเจ้าให้ดีเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรา”
อวิ๋นจือชิวนำแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ยัดใส่ในมืออวิ๋นอ้าวเทียนพร้อมบอกว่า “ท่านปู่ นี่คือเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดิน หวังว่าท่านปู่จะฝึกสำเร็จในเร็ววัน ส่วนภาคคน หวังว่าท่านปู่จะถ่ายทอดให้พวกท่านอากับท่านอาหญิงไวๆ ทุกคนจะได้มีความสามารถในการปกป้องตัวเอง จะได้เสี่ยงอันตรายน้อยลง ส่วนเคล็ดวิชาภาคฟ้า ข้าจะเร่งให้เหมียวอี้รีบไปหา ขอเพียงหาพบแล้ว จะต้องรีบมาส่งให้ถึงมือท่านปู่แน่นอน”
พอได้ยินนางพูกแบบนี้ พวกอวิ๋นเซี่ยวก็ตกตะลึง พอจะฟังออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในนั้น เหมือนเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ท่านพ่อฝึกจะยังไม่ครบสมบูรณ์
อวิ๋นอ้าวเทียนเงียบไปครู่หนึ่ง เก็บเคล็ดวิชาภาคดินไว้อย่างเงียบๆ
ยังไม่จบแค่นั้น อวิ๋นจือชิวนำกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งออกมาให้เขาอีก “ท่านปู่ ในนี้คือยาแก่นเซียนสิบล้านเม็ด แล้วก็มีสมุนไพรเซียนซิงหัวจำนวนหนึ่ง หลานสาวมีความสามารถจำกัด ตอนนี้ช่วยเหลือได้เพียงเท่านี้ หวังว่าท่านปู่จะไม่รังเกียจ”
ยาแก่นเซียนสิบล้านเม็ดเหรอ? นี่มีค่าเท่าลูกแก้วพลังปรารถนาเท่าไรกัน? พวกอวิ๋นเซี่ยวตกตะลึงอีกครั้ง
อวิ๋นอ้าวเทียนขมวดคิ้ว “ปู่เจ้าไม่ได้มาเพื่อขอข้าวกิน เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถอะ ถ้าขาดเหลืออะไรพวกเราจะจัดการกันเอง มีมือมีเท้าไม่หิวตายหรอก” เขายัดกลับคืนใส่มืออวิ๋นจือชิวอีกครั้ง
อวิ๋นจือชิวกล่าวขอร้องทันที “ท่านปู่ พวกท่านมาที่พิภพใหญ่ด้วยกำลังที่อ่อนแอ ถ้าจะบุกไปแบบนี้หลานสาวจะสงบใจได้อย่างไร เก็บไว้เถอะค่ะ คิดเสียว่ายืมข้าตกลงมั้ย รอให้พวกท่านมีแล้วค่อยคืนข้าได้มั้ย? นับว่ายืมของข้าตกลงมั้ย?” พูดจบก็ทำท่าจะคุกเข่า
ฉากนี้ทำให้พวกอวิ๋นเซี่ยวประทับใจไม่หยุด ตระกูลอวิ๋นมีลูกสาวหลานสาวแบบนี้ ยังจะมีอะไรต้องพูดอีก
อวิ๋นอ้าวเทียนดึงแขนนางไว้แล้วถอนหายใจ “ผิดแล้ว ผิด!”
อวิ๋นจือชิวเอามือลูบดวงตา แอบร่ายอิทธิฤทธิ์กระตุ้นต่อมน้ำตา ในดวงตามีหยดน้ำตาไหลวนเวียน หลังจากยัดกำไลเก็บสมบัติใส่ในมืออวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว ก็นำแหวนเก็บสมบัติยัดใส่มือพวกอวิ๋นเซี่ยวคนละวง พร้อมกล่าวพลางน้ำตาคลอเบ้า “ท่านอาหก ยาแก่นเซียนคนละหนึ่งล้านเม็ด บวกกับสมุนไพรเซียนซิงหัวอีกไม่กี่ต้นเพื่อแสดงน้ำใจ น้องชิวมีความสามารถจำกัด ตอนนี้หามาได้เพียงเท่านี้ พวกท่านอย่ารังเกียจที่มันน้อยไป เมื่อก่อนน้องชิวไม่เชื่อฟังท่านปู่ ตอนนี้ก็อยู่แสดงความกตัญญูข้างกายท่านปูไม่ได้ด้วย พวกท่านช่วยข้าดูแลท่านปู่ให้ดีนะ ถ้ามีอะไรต้องการให้เหมียวอี้ช่วย ก็มาหาข้าได้เลย ไม่ว่าจะช่วยไหวหรือจะช่วยไม่ไหว น้องชิวก็จะไม่ปฏิเสธแน่นอน จะต้องพยายามช่วยอย่างสุดกำลัง!”
…………………………
บทที่ 1129 ห้าปราชญ์เดินตลาดสวรรค์ (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยาแก่นเซียนคนละหนึ่งล้านเม็ด สำหรับพวกเขาถือว่าไม่น้อยเลยจริงๆ อยู่ที่พิภพเล็กไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ปีถึงจะได้ลูกแก้วพลังปรารถนามูลค่าที่เทียบเท่าจำนวนนี้ ที่สำคัญคือของสิ่งนี้ใช้สะดวกกว่าลูกแก้วพลังปรารถนา เป็นของที่มีพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่เหมือนลูกแก้วพลังปรารถนาที่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาปะปน สิ่งนี้สามารถเพิ่มวรยุทธ์ได้เร็ว
พวกอวิ๋นเซี่ยวมองหน้ากันไปมองหน้ากันมาอย่างเลิกลั่ก แล้วก็มองไปที่อวิ๋นอ้าวเทียนพร้อมกัน จะรับไว้หรือไม่รับไว้ก็ยังต้องดูเจตนาของหัวหน้าครอบครัว
อวิ๋นอ้าวเทียนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกวาดสายตามองอวิ๋นกาง อวิ๋นก่วงและอวิ๋นเซียงแวบหนึ่ง ต้องพูดว่าอวิ๋นจือชิวมอบของพวกนี้ให้อย่างทันเวลามาก สามารถช่วยให้ทั้งสามเพิ่มวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองได้ไวๆ เป็นกุญแจสำคัญว่าทั้งสามจะลงหลักปักฐานที่พิภพใหญ่ได้หรือไม่ ถ้าวรยุทธ์ไม่ถึงระดับบงกชทอง ก็จะไปไหนมาไหนที่พิภพใหญ่ได้ไม่สะดวก
“ถึงอย่างไรก็ต้องรับไว้ รับไว้เยอะสักหน่อยก็ไม่เป็นหรอก แต่พวกเจ้าจำไว้ให้ดีนะ ของนี้ยืมแล้วต้องคืน ใครตายแล้ว คนที่รอดจะต้องใช้หนี้แทนคนที่ตาย!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวอย่างหนักแน่น
“รับทราบ!” ลูกชายและลูกสาวทั้งเจ็ดคนเอ่ยรับพร้อมกัน อวิ๋นอ้าวเทียนพัยกหน้าตกลงแล้ว พวกเขาถึงได้กล้ารับไว้
เมื่อเห็นพวกเขาเอาจริงเอาจังขนาดนี้ อวิ๋นจือชิวก็ไม่สะดวกจะพูดอะไรเหมือนกัน ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ท่านปู่ ถึงอย่างไรตอนอยู่ตลาดสวรรค์พวกท่านก็ต้องเข้าใจสถานการณ์ของพิภพใหญ่สักหน่อย ตอนนี้อย่าเพิ่งรีบจากไป อีกไม่กี่วันข้าจะช่วยหาพวกเกราะรบป้องกันตัวให้พวกท่านอีกที ทางพิภพเล็กมีข้าอยู่ พวกท่านไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องในบ้าน”
สำหรับนางแล้ว ก็ยังเป็นอย่างที่เคยบอกไว้ ตระกูลอวิ๋นเป็นตระกูลเดิมของนาง นางต้องดูแล มอบเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินให้อวิ๋นอ้าวเทียน มอบทรัพยากรส่วนหนึ่งให้ตระกูลอวิ๋น เพราะหวังให้ตระกูลอวิ๋นผงาดขึ้นมาไวๆ ไม่ใช่แค่พวกอวิ๋นอ้าวเทียนที่อยู่ตรงหน้า อีกหน่อยนางยังจะทุ่มทรัพยากรฝึกตนจำนวนมหาศาลเพื่อสนับสนุนลูกหลานคนอื่นของตระกูลอวิ๋นด้วย ให้ศักยภาพของตระกูลอวิ๋นผงาดขึ้นมาให้เร็วที่สุด ให้ทุกคนของตระกูลอวิ๋นติดหนี้น้ำใจนาง
ทำสิ่งเหล่านี้ย่อมมีเจตนาที่เห็นแก่ตัวอยู่แล้ว ความเห็นแก่ตัวอย่างแรกก็คือทำเพื่อตระกูลอวิ๋น ช่วยเหลือให้ตระกูลอวิ๋นผงาดขึ้นมาไวๆ
ความเห็นแก่ตัวอย่างที่สองก็คือ นางรู้จักตระกูลอวิ๋นดี อยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอนของอวิ๋นอ้าวเทียนมาหลายปี ตระกูลอวิ๋นมีจิตใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีลูกหลานมากมาย ขอเพียงสามารถดึงเข้ามาเป็นพวกได้ ก็จะช่วยเหลือนางกับเหมียวอี้ได้เยอะมากแน่นอน
ในบรรดาห้าปราชญ์ ทำไมนางถึงไม่ช่วยสนับสนุนคนอื่นล่ะ? เพราะนางกับตระกูลอวิ๋นคือพวกเดียวกัน เหตุผลแรกคือน้ำปุ๋ยที่อุดมสมบูรณ์อย่าปล่อยให้ไหลเข้านาคนอื่น[1] เหตุผลต่อมาคือไม่ไว้ใจคนนอก เวลามีเรื่องให้ออกแรงช่วย ก็ไม่วางใจเท่าคนในตระกูลตัวเองอยู่แล้ว หรือพูดในกรณีที่แย่ที่สุด ต่อให้ถึงตอนนั้นตระกูลอวิ๋นจะไม่ช่วยเหลือนาง แต่ก็ต้องคืนหนี้น้ำใจในวันนี้เหมือนกัน นิสัยของตระกูลอวิ๋นไม่มีทางเอาเปรียบลูกสาวหลานสาวที่แต่งงานออกไปแล้วอย่างนาง ดังนั้นของที่มอบให้ไปจึงไม่ขาดทุน ถ้าคนของตระกูลอวิ๋นตายกันหมด นั่นก็เป็นอีกกรณีหนึ่ง
รีบช่วยเหลือตระกูลอวิ๋นตอนที่มาพิภพใหญ่ครั้งแรกและยังไม่ได้ลงหลักปักฐาน เป็นการมอบถ่านให้ท่ามกลางหิมะ[2]พอดี น้ำใจหนักกว่าการเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย[3]
ถ้าจะบอกว่านางใช้ประโยชน์จากตระกูลอวิ๋นก็ไม่ผิดเหมือนกัน แต่นางก็ไม่ได้ผลักตระกูลอวิ๋นลงหลุมไฟ นางหวังจะเห็นตระกูลอวิ๋นได้ดี ดังนั้นที่จริงต้องบอกว่า ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
อวิ๋นอ้าวเทียนเพียงบอกว่า “เจ้านำของมากมายขนาดนี้มาให้ตระกูลอวิ๋น เหมียวอี้รู้รึเปล่า? ถ้าของพวกนี้ทำให้พวกเจ้าสองสามีภรรยาขัดแย้งกัน มันก็ไม่คุ้ม!”
“ข้ามีแผนในในใจแล้ว” อวิ๋นจือชิวพูดปลอบโยน แล้วให้พวกเขาปรึกษากันเรื่องที่พักอีกที นางไม่สะดวกจะให้มีคนกลุ่มใหญ่เข้าๆ ออกๆ ร้านของนาง ตัวนางเองออกไปก่อนแล้ว
อวิ๋นเซี่ยวหยิบแหวนเก็บสมบัติมาร่ายอิทธิฤทธิ์ดูในนั้น ผลปรากฏว่าอึ้งทันที พบว่าข้างในมีของอยู่เต็มไปหมด ยาแก่นเซียนกับสมุนไพรเซียนซิงหัวเป็นแค่เปลือกนอก ข้างล่างยังมีผลึกแดงอีกจำนวนมาก พอนับดูแล้ว ก็อุทานอย่างตกตะลึงว่า “ท่านพ่อ! ที่ข้ามีอีกหนึ่งพันล้านผลึกแดง!”
พวกเขาได้ยินแล้วก็ต่างคนต่างนับ ในหมู่พี่น้องได้เหมือนกันหมด พอถามกันแล้วก็พบว่าได้หนึ่งพันผลึกแดงเหมือนกันหมด
อวิ๋นอ้าวเทียนเงียบแล้ว เพราะในกำไลเก็บสมบัติของเขามีหนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง
อวิ๋นเซี่ยวถอนหายใจ “น้องชิวลำบากคิดเยอะแล้ว ลูกสาวของตระกูลอวิ๋นที่แต่งงานออกไป แต่ในใจยังเอนเอียงเข้าหาตระกูลอวิ๋น”
อวิ๋นเจวียนก็ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน “น่าเสียดายที่พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่จากโลกนี้ไปเร็วเกินไป หลายปีมานี้พวกเราไม่ได้ดูแลนางเท่าไร กลับเป็นรุ่นหลานอย่างนางที่พอแต่งงานออกไปแล้วก็ยังดูแลตระกูลเดิม มันช่าง…”
จากนั้น อวิ๋นจือชิวก็บอกเหมียวอี้เรื่องที่ตัวเองมอบของให้ตระกูลอวิ๋น เหมียวอี้บอกเพียงว่า “เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน”
สิ่งที่ควรบอกก็ยังต้องบอก ขณะมองตามกลุ่มคนจากไป เห็นเยว่เหยากับอันหรูอวี้ติดตามอยู่ข้างกายมู่ฝานจวิน แล้วก็หันมามองหงเฉินที่อยู่ข้างกายตัวเองอีก เหมียวอี้รู้สึกปวดประสาทนิดหน่อย เขาพบว่ามู่ฝานจวินช่างร้ายกาจ ใช้สายสัมพันธ์ต่างๆ ผูกเงื่อนตายกับตัวเองเอาไว้ ไม่ต้องกังวลเลยว่าตนจะลงมือกับนาง!
หงเฉิน จีเหม่ยลี่ อวี้หนูเจียวและฝ่าอินย่อมไม่ต้องออกจากที่นี่ไป ตอนนี้เป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องติดตามอาจารย์หรือบิดาของตัวเองอีก แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข แต่งงานกับใครก็ติดตามคนนั้นไป ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งสามีตัวเองแล้วตามพ่อแม่ไป!
บวกฉินเวยเวยไปด้วยอีกคน เหมียวอี้ปวดหัวแล้ว ถึงแม้ตลาดสวรรค์จะเป็นอาณาเขตของเขา แต่ชั่วขณะนี้ก็ไม่รู้จะเตรียมการอย่างไร เดิมทีจะพาไปทิ้งไว้กับสองพี่น้องฝาแฝดชั่วคราว แต่มู่ฝานจวินก็พาคนไปพักอยู่ที่นั่นแล้ว ถ้าจะให้อวิ๋นจือชิวรับไว้พักด้วยกัน เขาก็ไม่สะดวกจะเอ่ยปาก และไม่สะดวกจะพาไปที่จวนผู้บัญชาการเช่นกัน คงจะไม่ให้พวกนางไปพักที่โรงเตี๊ยมไม่ได้หรอกมั้ง?
เหมียวอี้เหลือบสายตาไปมองอวิ๋นจือชิว ถามว่า “ให้พวกนางอยู่กับเจ้าไปก่อนแล้วกัน?”
“ต้องมีชัยภูมิถ้ำสวรรค์อีกห้าหลัง!” อวิ๋นจือชิวตบบ่าเหมียวอี้ แล้วพูดเหน็บแนมว่า “หนิวเอ้อร์ ขยันหาเงินหน่อยแล้วกัน!”
เหมียวอี้ค่อนข้างเก้อเขิน ถ่ายทอดเสียงถามว่า “สมบัติของบ้านเราก็มีไม่น้อย น่าจะไม่ขาดเงินซื้อชัยภูมิถ้ำสวรรค์ห้าหลังนะ?”
อวิ๋นจือชิวถ่ายทอดเสียงตอบว่า “มีไม่น้อยหรอก! เกราะรบผลึกแดงพวกนั้น เจ้าลองคิดดูสิว่าพวกเราให้คนอื่นไปกี่ชุดแล้ว ส่วนที่เหลือก็ไปเอามาแลกเป็นเงินไม่ได้ ในภายหลังถ้าทุกคนวรยุทธ์เพิ่มขึ้น ก็ยังต้องนำมาให้เป็นรางวัลอีก ข้าให้ทางตระกูลอวิ๋นไปเป็นกอง อีกเดี๋ยวก็ยังต้องให้น้องสาวเจ้าอีกกอง ส่วนอนุภรรยาพวกนี้ของเจ้า เวลาผ่านไปหนึ่งพันปี ยาแก่นเซียนคนละสิบล้านเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถ้าให้คนนี้แล้วจะไม่ให้อีกคนก็ไม่ได้ ทั้งยังต้องให้ชัยภูมิถ้ำสวรรค์อีก ต่อไปยังต้องแลกของป้องกันตัวให้พวกนาง ข้างกายพวกเขาก็ยังมีหญิงรับใช้ที่ต้องเลี้ยง ข้างกายพวกเรายังมีคนอื่นต้องเลี้ยงอีก ยังต้องมีการติดสินน้ำใจคนอื่น รอให้วรยุทธ์ของทุกคนยิ่งเพิ่มสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายก็จะยิ่งมาก ต่อให้มีเงินมากกว่านี้ก็ไม่พอใจเจ้าใช้ ตอนเจ้านอนด้วยเจ้าสบาย แต่คงไม่ได้คิดละมั้งว่าเวลาเลี้ยงดูต้องจ่ายเงินเท่าไร? ข้าว่านะหนิวเอ้อร์ เจ้าเตรียมจะแต่งงานเข้าบ้านอีกเท่าไรล่ะ?”
ปาดเหงื่อ! พอได้ยินอวิ๋นจือชิวพูดแบบนี้ ก็พบว่าต้องจ่ายเงินไม่น้อยเลยจริง เหมียวอี้ลองนับแล้วสูดหายใจอย่างตกตะลึง แต่เขาก็พึมพำในใจว่า ก็เจ้าเองไม่ใช่เหรอที่ให้ข้าแต่งงาน แต่เขาพูดคำนี้ออกมาไม่ได้
ถ้าเขากล้าพูดแบบนี้ออกมา อวิ๋นจือชิวก็จะสรรหาคำมาอุดปากเขาทันที ข้าให้เจ้าแต่งงานด้วย ไม่ได้ให้เจ้านอนด้วย!
“พยายามหาเงินสุดชีวิตแล้วกัน!” อวิ๋นจือชิวพูดเหน็บแนมอีกครั้ง จากนั้นก็พูดกับพวกอนุภรรยาว่า “ทุกคนพักอยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน! รอให้นายท่านหาที่พักที่เหมาะสมกับทุกคนได้ก่อน ค่อยแยกย้ายกันไปพักที่ตัวเอง จะได้ไม่ต้องอึดอัดที่พักอยู่ด้วยกัน”
จากนั้นก็หันมาบอกเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ว่า “ไปซื้อชัยภูมิถ้ำสวรรค์ห้าหลังมาให้หรูฮูหยินทั้งห้า”
“เจ้าค่ะ!” สองสาวขานรับแล้วออกไป
จบเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว ใครจะคิดว่าจู่ๆ อวี้หนูเจียวจะบอกว่า “ฮูหยิน พวกเรามาที่พิภพใหญ่ครั้งแรก อยากจะไปเดินเที่ยวดูตลาดสวรรค์ข้างนอกสักหน่อย”
เพิ่งจะพูดจบ เหมียวอี้ก็หันไปตะคอกทันที “เพิ่งจะมาถึง จะเดินเล่นอะไรกัน อยู่บ้านแบบว่านอนสอนง่ายไป…ถลึงตาจ้องทำไม? เจ้า เจ้าแล้วกัน คืนนี้เจ้าไปปรนนิบัติข้า ไปอาบน้ำรอเลย!” เขาชี้อวี้หนูเจียวแรงๆ เดิมทีก็ไม่ถูกชะตากับผู้หญิงคนนี้อยู่แล้ว บวกกับก่อนหน้านี้อารมณ์ไม่ค่อยดี จึงเอาความโกรธไประบายที่ตัวนางทั้งหมด
เมื่อตะคอกอะไรแบบนี้ต่อหน้าทุกคน อวี้หนูเจียวก็หน้าแดงก่ำ แต่ก็ไม่สะดวกจะเถียงกลับต่อหน้าทุกคน เก็บกดแทบแย่ กลับเป็นหญิงรับใช้ข้างกายนางที่ย่อตัวเอ่ยรับ
อวิ๋นจือชิวเหลือบมองอนุภรรยาคนที่เกือบจะตีกับเหมียวอี้ในห้องหอ รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก กลอกตามองเหมียวอี้ แล้วไล่ตะเพิดเขาออกไปโดยตรง จากนั้นก็มาปลอบใจอวี้หนูเจียวอีกที
เหมียวอี้กลับจวนผู้บัญชาการผ่านทางใต้ดิน ไปหาฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ ให้ทั้งสองหาร้านค้าที่เขตตัวเองเงียบๆ คนละสามร้าน ขอแบบไม่ต้องใหญ่มาก ถ้าใหญ่จะเปลืองเงินเกินไป ทั้งยังสะดุดตาด้วย สามารถใช้เป็นที่พักให้พวกอนุภรรยาได้ก็พอแล้ว จีเหม่ยลี่ อวี้หนูเจียวอยู่คนละร้าน ส่วนฉินเวยเวยอยู่ร้านเดียวกับฝ่าอินที่ไม่คุ้นเคยกับสังคม จะได้ช่วยดูแลกันและกันได้ ส่วนหงเฉินขออยู่อย่างสงบ ไม่อยากจัดการเรื่องอะไรทั้งนั้น ถึงอย่างไรก็มาจากแดนโพ้นสวรรค์เหมือนกัน เดี๋ยวให้ไปอยู่กับสองพี่น้องฝาแฝดก็ได้ แล้วค่อยดึงตัวคนงานจากร้านค้าของอวิ๋นจือชิวไปไว้ที่สามร้านนั้น ทำแบบนี้แก้ขัดไปก่อน
ส่วนร้านค้าจะค้าขายอะไรเขาก็ขี้คร้านจะสนใจ ไม่ได้หวังให้พวกนางหาเงินอะไรมากมายด้วย
เรื่องนี้เขาไม่สะดวกจะออกหน้าเอง ทำได้เพียงให้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋แอบจัดการ พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นจุดสนใจ
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋แอบรู้สึกขำ พบว่าท่านนี้เหนื่อยพอสมควร
ส่วนทางด้านห้าปราชญ์ หลังจากหาที่พักได้แล้ว ก็มาปรากฏตัวที่ตลาดสวรรค์ด้วยกันเพื่อเปิดหูเปิดตากับธรรมเนียมของพิภพใหญ่ เมื่อมาในที่ที่ไม่คุ้นเคยกับสภาพวิถีชีวิต พวกเขาก็เกาะกลุ่มกันไว้ โชคดีที่ตลาดสวรรค์มีคนสัญจรไปมา มีคนไม่น้อยที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม การปรากฏตัวของพวกเขาไม่ได้สะดุดตาเช่นกัน
การซื้อของก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่ต้องซื้อเป็นอันดับแรกก็คือระฆังดารา จะได้ติดต่อกับลูกศิษย์ได้สะดวก ที่สำคัญรองลงมาก็คือแผนที่ดาวกับกระสวยทอง กระสวยเงิน พวกนี้คือของที่เลี่ยงไม่ได้
การซื้อสิ่งของพวกนี้ อาศัยกำลังทรัพย์ของห้าปราชญ์ก็ยังไม่ถึงขั้นซื้อไม่ไหว แต่รับไม่ไหวที่มีคนเยอะเกินไป
กระสวยทอง กระสวยเงิน ของที่ใช้แล้วทิ้งพวกนี้ราคาถูก สามารถซื้อเตรียมไว้ใช้หลายอันอย่างสบายๆ
แต่แผนที่ดาวที่มีมูลค่าสิบล้านผลึกแดง พวกเขาซื้อไม่ค่อยไหว แผนที่ดาวฉบับเดียวก็เท่ากับหนึ่งแสนล้านผลึกทองแล้ว
ในร้านค้าสำนักเมฆดารา หลังจากดูของแล้ว ด้วยสายตาของพวกมู่ฝานจวิน ย่อมรู้ว่าของพวกนี้ขาดไม่ได้สำหรับใช้เดินทางที่พิภพใหญ่
มู่ฝานจวินหันกลับมามองลูกศิษย์ที่อยู่ข้างกาย ต้องซื้อให้จงเจิ้นกับอันหรูอวี้คนละอัน ถึงอย่างไรวรยุทธ์ก็อยู่ระดับบงกชทองแล้ว สามรถใช้ได้ตลอดเวลา ส่วนถังจวินกับเยว่เหยา วรยุทธ์ยังไม่ถึง ยังไม่ต้องซื้อก็แล้วกัน
“เอามาสามอัน!” มู่ฝานจวินชูสามนิ้วให้พนักงาน
นี่ก็คือการซื้อของนาง นึกถึงเหมียวอี้ที่คิดว่าตัวเองก็พอจะมีเงินอยู่บ้าง ตอนมาที่นี่ครั้งแรกก็อึ้งที่ตัวเองซื้อไม่ไหวเหมือนกัน ตอนหลังที่ร่ำรวยแล้วถึงซื้อไหว
คนงานพยักหน้าพร้อมยิ้มตาหยีทันที วิ่งไปหยิบแผนที่ดาวสามฉบับมาให้มู่ฝานจวินตรวจสอบสินค้า หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็เดินนำมู่ฝานจวินไปจ่ายเงินที่โต๊ะคิดเงิน
หลังจากโยนแหวนเก็บสมบัติออกมาวงแล้ววงเล่า ผู้จัดการร้านก็งงนิดหน่อย ไม่มีผลึกแดง ทั้งหมดเป็นผลึกทอง สามสิบล้านผลึกทองทำให้เขาต้องนับอยู่พักหนึ่ง เงินปลีกก็คือเงิน อย่างมากตอนหลังก็แค่ไปแลกที่ร้านรับฝากเงิน จึงทำได้เพียงเรียกพนักงานสองคนมาช่วยนับ
ผ่านไปพักใหญ่ถึงได้นับเงินค่าสินค้าเสร็จ มู่ฝานจวินมอบแผนที่ดาวให้อันหรูอวี้กับจงเจิ้นคนละฉบับ แล้วทั้งสองก็กล่าวขอบคุณอาจารย์
ถังจวินกับเยว่เหยาทำได้เพียงมองดูตาปริบๆ รู้ว่าของราคาแพงเกินไป ไม่ใช่เพราะตอนนี้ทั้งสองไม่สะดวกจะใช้
ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวกับจีฮวนต่างคนต่างถือแผนที่ดาวคนละฉบับ มองหน้ากันมองหน้ากันมาอยู่เป็นระยะ พวกเขาก็ไม่เหมือนมู่ฝานจวินที่พาลูกศิษย์ระดับบงกชทองมาด้วยสองคน ลูกศิษย์ระดับบงกชทองของทั้งสามมีเพิ่มมาคนสองคน。
“ข้าว่าพวกเจ้าสามคนจะซื้อหรือจะไม่ซื้อ? ถ้าไม่ซื้อก็อย่ายืนขวาง!” อวิ๋นอ้าวเทียนที่ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขาพูดไล่
ถ้าซื้อให้ลูกศิษย์บงกชทองอีกคนแต่ไม่ซื้อให้อีกคน แบบนั้นก็จะฟังดูเหลวไหล สุดท้ายทั้งสามก็กัดฟันซื้อเอาไว้ เพียงแต่ตอนจ่ายเงินก็ทำให้ผู้จัดการร้านส่ายหน้าอยู่พักหนึ่ง โชคดีที่เป็นนักพรต ถ้าเปลี่ยนมนุษย์ธรรมดาก็คงตาลายไปแล้ว
อวิ๋นอ้าวเทียนกำลังถือแผนที่ดาวอยู่ฉบับหนึ่ง พอพาลูกๆ ก้าวขึ้นมาข้างหน้า ก็พยักหน้าบอกว่า “ของนี้ไม่เลวเลย!”
เขาหยิบอันหนึ่งไปจ่ายเงินที่โต๊ะคิดเงิน
ซื้ออันเดียวเองเหรอ? พวกฉางเหลยสบตากันแวบหนึ่ง มู่ฝานจวินก็ยิ่งเหน็บแนม “ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งขี้เหนียวนะ!”
ใครจะคิดว่าเพิ่งจะพูดจบได้ครู่เดียว ก็เห็นลูกๆ ของอวิ๋นอ้าวเทียนถือแผนที่ดาวคนละฉบับวิ่งไปวางที่โต๊ะคิดเงินแล้ว ไม่สนใจว่าวรยุทธ์จะถึงระดับบงกชทองหรือไม่ พวกอวิ๋นก่วงตบเงินลงบนโต๊ะอย่างคล่องแคล่ว ต่างคนต่างจ่ายเอง ไม่ต้องให้บิดาของพวกเขาควักเงิน
…………………………
[1] น้ำปุ๋ยที่อุดมสมบูรณ์อย่าปล่อยให้ไหลเข้านาคนอื่น 肥水不流外人田 อุปมาว่า ให้ผลประโยชน์กับพวกตัวเองก่อน
[2] มอบถ่านให้ท่ามกลางหิมะ 雪中送炭 อุปมาว่ามอบความช่วยเหลือให้ในยามลำบาก
[3] เพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย 锦上添花 อุปมาถึงการกระทำที่ไม่จำเป็น
บทที่ 1130 ห้าปราชญ์เดินตลาดสวรรค์ (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
รวมอวิ๋นอ้าวเทียนไปด้วย คนของตระกูลอวิ๋นจ่ายทีเดียวแปดแสนล้านผลึกทอง
มู่ฝานจวินที่เพิ่งกล่าวเหน็บแนมพูดไม่ออกทันที รู้สึกเหมือนโดนตบหน้าอย่างแรง
ส่วนพวกฉางเหลยก็มองหน้ากันเลิกลั่ก หนึ่งแสนล้านผลึกทองจะว่าเยอะก็ไม่เยอะ จะว่าน้อยก็ไม่น้อย เด็กๆ ตระกูลอวิ๋นกลายเป็นร่ำรวยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
เมื่อออกจากร้านค้าสำนักเมฆดารา พนักงานของร้านก็ยิ้มตาหยีส่งแขก
“ร้านขายระฆังดาราอยู่ที่ไหน?” อวิ๋นอ้าวเทียนที่เดินมาถึงหัวถนนเอ่ยถาม
“เดินไปข้างหน้าอีกไม่กี่ซอย” อวิ๋นเซี่ยวที่เคยมาครั้งหนึ่งชี้บอกทิศทาง แล้วเดินนำอยู่ข้างหน้า
พวกมู่ฝานจวินก็เดินไปข้างหน้าเช่นกัน เหลียวซ้ายแลขวาตลอดทาง ถูกดึงดูดด้วยความเจริญของตลาดสวรรค์
เมื่อเทียบกับแผนที่ดาว ระฆังดารามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าแผนที่ดาวเลย โดยเฉพาะเมื่อใช้สำหรับคนที่ต้องรักษาการติดต่อเอาไว้อย่างพวกขา
แต่ราคาระฆังดาราก็ไม่ใช่น้อยๆ ราคาต่อชิ้นเหมือนกับแผนที่ดาว ล้วนต้องจ่ายสิบล้านผลึกแดง แต่แผนที่ดาวซื้อคนละอันก็พอแล้ว ส่วนระฆังดาราปกติต้องซื้อเป็นคู่ ไม่อย่างนั้นก็ติดต่อกันได้ยาก
“ระฆังอันเด็กอันเดียวแพงขนาดนี้เลยเหรอ?” จีฮวนที่หยิบระฆังดาราดูอยู่ในร้านอดไม่ได้ที่จะพึมพำถาม
พนักงานหัวเราะแห้งอยู่ข้างๆ “สำนักเราอาศัยสิ่งนี้เลี้ยงชีพ ต้นทุนที่ใช้หลอมสร้างไม่น้อยเลย ถึงแม้จะแพงไปหน่อย แต่เมื่อมีของสิ่งนี้แล้ว เวลาติดต่อกันก็จะสะดวก ในปีนั้นตอนที่สำนักเรายังไม่ได้คิดค้นระฆังดาราขึ้นมา การสื่อสารและไปมาหาสู่กันระหว่างแดนฝึกตนค่อนข้างยุ่งยาก ต้องอาศัยให้คนวิ่งไปวิ่งมาเพื่อส่งข่าว ราคานี้ไม่ได้หลอกลวงแน่นอน ทั้งแดนฝึกตนต่างก็รู้ว่าขายในราคานี้” เขาแทบจะบอกว่าสำนักตัวเองผูกขาดสินค้านี้ จะซื้อหรือไม่ซื้อก็ตามใจ
แน่นอน การผูกขาดธุรกิจนี้ก็มีการโกงเหมือนกัน กินคนเดียวมีหรือที่จะไม่อร่อย การติดสินบนหาเส้นสายก็ต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเช่นกัน
ซือถูเซี่ยวที่อยู่ข้างๆ ถามอีกว่า “มีระฆังดาราอันเดียวที่สามารถติดต่อกับระฆังดาราได้พร้อมกันหลายๆ อันมั้ย จะได้ไม่ต้องพกระฆังไว้บนตัวเป็นกอง”
พนักงานกุมหมัดกล่าวขออภัย “ท่านลูกค้าช่างมีสายตาที่ดี แค่มองปราดเดียวก็รู้ถึงจุดอ่อนของระฆังดารา นี่ก็คือจุดที่ตำหนักสวรรค์หวังว่าพวกเราจะสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ สำนักเรากำลังทุ่มทรัพยกรจำนวนมหาศาลเพื่อทดลองในด้านนี้ ตอนนี้ยังไม่มีการพัฒนาขนาดนั้น แต่ท่านลูกค้าวางใจได้ ขอเพียงหลอมสร้างออกมาเสร็จ เราจะไม่เก็บไว้ส่วนตัวแน่นอน จะต้องนำออกมาขายในทันที”
ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ อวิ๋นก่วงก็กล่าวอย่างอาจหาญมากว่า “เอามาให้ข้าก่อนยี่สิบอัน!”
ฉางเหลยและคนอื่นๆ ได้ยินแล้วตกตะลึง นั่นต้องใช้สองล้านล้านผลึกทองเชียวนะ! สายตาของทุกคนมองไปที่อวิ๋นก่วง ไม่รู้ว่าเขาซื้อให้ตัวเองคนเดียวหรือซื้อให้ทั้งตระกูลอวิ๋น
ทว่าอวิ๋นเป้าก็กล่าวตามเช่นกัน “ข้าก็เอายี่สิบอันเหมือน”
พอสองพี่น้องเอ่ยปาก ท่ามกลางสายตาตกตะลึงปนประหลาดใจของพวกมู่ฝานจวิน พวกพี่สาวน้องสาวก็ทยอยกันซื้อเช่นกัน ซื้อคนละยี่สิบอันเหมือนกัน
ส่วนอวิ๋นอ้าวเทียนหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็ยิ่งอ้าปากสั่งราวกับเป็นสิงโต “ข้าเอาหนึ่งร้อยอัน!”
นี่ไม่ใช่การอวดความสุรุ่ยสุร่าย แต่จำเป็นต้องใช้งานจริงๆ เดี๋ยวต้องติดต่อกับนภาจอมมารทางพิภพเล็กด้วย ระหว่างลูกๆ ต้องสร้างช่องทางติดต่อกัน ต่อไปเมื่อทำมาหากินที่พิภพใหญ่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ติดต่อกับคนอื่น จำเป็นมากที่จะต้องมีติดไม้ติดมือไว้
หนึ่งร้อยอัน? หนึ่งหมื่นล้านผลึกแดง! มู่ฝานจวินและคนอื่นๆ อึ้งจนพูดไม่ออก แต่ละคนทำสายตาประหลาดใจสงสัย ตระกูลอวิ๋นมีเงินมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
ไม่นานพวกเขาก็สงสัยอวิ๋นจือชิวแล้ว เป็นเพราะพิภพเล็กมีทรัพยากรจำกัด จะว่าไปแล้ว แร่ผลึกที่แฝงอยู่ในพิภพเล็กก็นับว่าสูงแล้ว ในดาราจักรส่วนใหญ่ไม่มีเหรียญผลึกอยู่ แต่คนของตระกูลอวิ๋นซื้อทั้งแผนที่ดาวทั้ระฆังดารา ทุ่มออกมาหลายสิบล้านล้านผลึกทอง พิภพเล็กจะหาเหรียญผลึกมาจากไหนมากมายขนาดนั้น? จำนวนรวมมีมากกว่านี้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่ของแบบนี้จะมารวมอยู่ในมือของคนเพียงตระกูลเดียว
พวกพนักงานยิ้มจนหุบปากไม่ลง ต้อนรับอย่างอบอุ่นมาก ช่วยทดลองระฆังดาราให้ตระกูลอวิ๋นดูทีละอัน
ครั้งนี้พวกมู่ฝานจวินตามไปอยู่ข้างๆ โต๊ะคิดเงิน ชำเลืองมองการซื้อขายบนโต๊ะคิดเงินอย่างเนียนๆ หลังจากเห็นว่าเหรียญผลึกที่ผู้จัดการย้ายจากแหวนเก็บสมบัติของตระกูลอวิ๋นไปไว้ในแหวนเก็บสมบัติอีกวงเป็นผลึกแดง สี่ปราชญ์ก็สบตากันแวบหนึ่ง เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ ด้วย!
สี่ปราชญ์แน่ใจแล้วว่าเป็นเงินที่อวิ๋นจือชิวมอบให้ตระกูลอวิ๋น เพราะพิภพเล็กไม่มีเหรียญผลึกแดงและผลึกม่วง
“ข้าก็สงสัยว่าทำไมตระกูลของมารเฒ่ามีเงินเยอะขนาดนี้ ตระกูลอวิ๋นช่างให้กำเนิดหลานสาวที่ดีจริงๆ!” จีฮวนถ่ายทอดเสียงบอกคนอื่นๆ คำพูดนี้ทำไมฟังแล้วรู้สึกเปรี้ยวๆ เหมือนกำลังพูดเหน็บแนมอวิ๋นอ้าวเทียนว่าตักตวงเงินมาจากตัวหลานสาวที่แต่งงานออกไป
“จีเหม่ยลี่ลูกสาวเจ้าไม่แสดงความกตัญญูต่อพ่อบ้างเหรอ?” ซือถูเซี่ยวถ่ายทอดเสียงถาม
จีฮวนส่ายหน้าเล็กน้อย “อวี้หนูเจียวลูกศิษย์เจ้าไม่ได้ให้เจ้าเหรอ?”
ซือถูเซี่ยวส่ายหน้าเช่นกัน “เพิ่งจะแต่งงานออกไป เจ้าคิดว่าจะเป็นไปได้เหรอ?”
“ได้ยินว่าเหมียวอี้ยังไม่ได้รับพวกนางเข้าห้องนี่” ฉางเหลยกล่าว
“ยายแก่นแก้ว ลูกสาวอันหรูอวี้ตามเหมียวอี้มาอยู่ที่ตลาดสวรรค์ตั้งานแล้วนี่” ซือถูเซี่ยวหันกลับมาถามมู่ฝานจวิน
มู่ฝานจวินกลับหันตัวหนี ไม่สนใจพวกเขา เรียกพวกลูกศิษย์ออกมาจากร้านด้วยกัน
ที่ด้านนอกร้านค้า อันหรูอวี้ จงเจิ้น ถังจวิน เยว่เหยา ทั้งสี่คนยืนอยู่ตรงหน้ามู่ฝานจวิน นางถ่ายทอดเสียงถามทั้งสี่ว่า “บนตัวพวกเจ้าพกเงินมาเท่าไร?”
ทั้งสี่นับเงินที่อยู่บนตัว พอนับเศษเล็กเศษน้อยรวมกันก็ได้หลายหมื่นผลึกทอง แต่ประเด็นสำคัญคือปกติไม่มีใครสะสมเหรียญผลึกมากมายขนาดนั้น แถมนี่ยังเป็นจำนวนที่พยายามรวบรวมไว้เพราะรู้ว่าจะได้มาที่พิภพใหญ่ด้วย
มู่ฝานจวินเองก็เช่นกัน หลังจากจากรู้ว่าพิภพใหญ่คือสถานที่ใช้เงิน ก็รีบไปเบิกเงินก้อนใหญ่มาจากสมาคมร้านค้าแดนเซียน ได้ประมาณสองล้านล้านผลึกทอง ถึงแม้เงินของสมาคมร้านค้าแดนเซียนจะเป็นเงินของนาง แต่เป็นไปไม่ได้ที่นางจะเบิกเงินทุนหมุนเวียนของสมาคมร้านค้าแดนเซียนออกมาจนหมด
ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ แต่เมื่อนำเงินบนตัวลูกศิษย์และอาจารย์ห้าคนรวมกัน ลบที่จ่ายไปกับแผนที่ดาวก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีเหลือถึงสองร้อยล้านผลึกแดงแล้ว
แต่ถ้ามู่ฝานจวินอยากจะคงการติดต่อระหว่างลูกศิษย์ทั้งห้าเอาไว้ คนหนึ่งติดต่อกับสี่คน ก็ต้องใช้ระฆังดาราแปดอัน ถ้าทั้งห้าคนอยากจะคงการติดต่อของกันและกันเอาไว้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าต้องใช้เท่าไร ต่อให้เอาเงินมาจากตัวลูกศิษย์ทั้งห้าจนหมดก็ไม่พออยู่ดี ต่อไปจะไม่ใช้ชีวิตแล้วเหรอ? แถมระฆังดารากับแผนที่ดาวก็ไม่เหมือนกัน แผนที่ดาวเจ้ายังสามารถเว้นถังจวินกับเยว่เหยาที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงบงกชทองได้ แต่กับระฆังดารา ทั้งสองจะไม่ใช้ก็ไม่ได้
กระเป๋าเงินรู้สึกละอาย! มู่ฝานจวินเองก็พูดไม่ออกเหมือนกัน หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยของพิภพเล็ก ไม่น่าเชื่อว่าจะตกต่ำถึงขั้นนี้ได้
ที่จริงเมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ ทรัพย์สินของนางคนเดียวก็ไม่นับว่ายากจน ดูแลตัวเองคนเดียวก็เพียงพอ แต่ประเด็นสำคัญคือนางอยากจะรักษาผู้ช่วยเอาไว้ที่พิภพใหญ่สักจำนวนหนึ่ง อยากจะเลี้ยงกำลังคนของตัวเองไว้ที่พิภพใหญ่ ไม่ต้องอาศัยระบบของตำหนักสวรรค์ อยากจะอาศัยกระเป๋าเงินของตัวเองคนเดียว แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถสามารถทำได้
เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิวให้เงินกับตระกูลอวิ๋นมากมายขนาดนั้น มู่ฝานจวินก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายทอดเสียงถามเยว่เหยาตามลำพัง “เยว่เหยา พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้ให้เงินเจ้าไว้เลยเหรอ?”
“ไม่ได้ให้ค่ะ!” เยว่เหยาส่ายหน้า นางไม่ใช่คนโง่ แค่ลองนับดูคร่าวๆ ก็รู้แล้วว่าท่านอาจารย์ที่โอหังอวดดีมาตลอดกำลังลำบากเพราะเงิน
มู่ฝานจวินขมวดคิ้ว แล้วก็ถ่ายทอดเสียงถามอันหรูอวี้ตามลำพังอีก “หรูอวี้ แม่ยายอย่างเจ้าออกมาเดินตลาด ลูกสาวของเจ้าไม่ได้ให้เงินไว้บ้างเหรอ?”
“ไม่มีค่ะ! อาจจะนึกไม่ออกไปชั่วขณะว่าต้องให้ แต่ต่อให้พวกนางให้มา ข้ามีหน้ารับไว้ได้อย่างไร” อันหรูอวี้ตอบ
“เจ้ารีบกลับไปอีกรอบ ไปยืมเงินจากลูกสาวเจ้ามาสักหน่อย” มู่ฝานจวินสั่ง
อันหรูอวี้หน้าแดงก่ำทันที คนเป็นแม่เดิมทีต้องดูแลลูกสาวสิถึงจะถูก ใครจะคิดว่านอกจากจะดูแลอะไรไม่ได้แล้ว ยังปล่อยให้ลูกสาวทั้งสองคนไปเป็นอนุภรรยาของคนอื่นอีก ตอนนี้ยังจะให้ไปยื่นมือขอเงินพวกนางอีกเหรอ อันหรูอวี้จะเอ่ยปากได้อย่างไร คนที่อยู่อย่างสูงส่งที่แดนโพ้นสวรรค์มานานจะไม่มีศักดิ์ศรีสักนิดเลยเชียวหรือ
ถึงแม้เหมียวอี้จะเคยบอก ว่าถ้านางมีเรื่องจำเป็นก็ให้ไปขอเงินที่ลูกสาว แต่นางก็ไม่อยากสร้างความยุ่งยากให้ลูกสาวเลยจริงๆ
แต่ท่านอาจารย์ดันเอ่ยปากแล้ว นางไม่รู้ว่าจะปฏิเสธหรือไม่ปเสธดี เรียกได้ว่าลำบากใจ
มู่ฝานจวินดูออกว่านางลำบากใจ “มีอะไรน่าลำบากใจ ข้าให้เจ้าไปขอยืมเงิน ไม่ได้ให้เจ้าไปขอเงิน เดี๋ยวในภายหลังอาจารย์จะคืนให้พวกนางทั้งต้นทั้งดอก”
อันหรูอวี้ร่ำร้องในใจ ในความคิดของนาง การใช้จ่ายครั้งนี้มีจำนวนมหาศาลมาก แบบนี้ต้องแอ่ยปากขอจากลูกสาวมาเท่าไรกัน!
คนเป็นมารดา ขอเพียงไม่หน้าด้านไร้ยางอายเกินไป ก็จะกังวลกันทั้งนั้นว่าการเอาเงินมาจากลูกสาวจำนวนมากจะทำให้ลูกเขยไม่พอใจหรือเปล่า กลัวจะทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยา
“ค่ะ!” เมื่ออาจารย์ที่เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เด็กเอ่ยปากกดดันนาง นางก็ทำได้เพียงเอ่ยรับแล้วจากไป
“อย่าชักช้านะ เร็วๆ หน่อย พวกเราจะรอเจ้าอยู่ที่นี่!” เมื่อเห็นอันหรูอวี้เดินช้า มู่ฝานจวินก็ขมวดคิ้วพูดเร่ง
อันหรูอวี้จึงทำได้เพียงใช้สองมือยกกระโปรงพลางเร่งฝีเท้ากึ่งเดินกึ่งวิ่ง มีลูกศิษย์ที่ไหนบ้างที่ปล่อยให้อาจารย์รอนาน มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ถึงความสับสนในใจตัวเองดีที่สุด
พวกจงเจิ้นแอบมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา พอจะเดาออกแล้วว่าอันหรูอวี้ไปทำอะไร
“จงเจิ้น!” มู่ฝานจวินพลันเอ่ยเรียก
“ขอรับ!” จงเจิ้นกุมหมัดขานรับ
“ไปหาโรงเตี๊ยมพักกันเถอะ เอาแต่พักอยู่ในร้านคนอื่นมันไม่ใช่เรื่อง” มู่ฝานจวินกล่าว
“ขอรับ!” จงเจิ้นเอ่ยรับ
ลูกศิษย์แต่ละคนไม่เอ่ยออกมา แต่ในใจกลับรู้แจ่มแจ้ง เอาเงินของเขามาแล้ว ถ้ายังจะไปกินอยู่ในร้านเขาอีก แม้แต่อาจารย์ก็แบกหน้าไว้ไม่ไหวเหมือนกัน
ส่วนฉางเหลย จีฮวน ซือถูเซี่ยวที่อยู่ในร้านค้าก็ต่างคนต่างเรียกลูกศิษย์ตัวเองไปคุยอีกด้านเช่นกัน สถานการณ์คล้ายๆ กับมู่ฝานจวิน ต่างก็รวบรวมนับเงินที่ตัวเองพกมา ผลปรากฏว่าไม่ได้ดีไปกว่ามู่ฝานจวินสักเท่าไร กระเป๋าเงินรู้สึกละอาย!
มู่ฝานจวินยังดีหน่อย พาคนมาด้วยไม่เยอะ สามคนนี้มีค่าใช้จ่ายเยอะกว่า ค่าใช้จ่ายของตระกูลอวิ๋นก็เยอะมากเช่นกัน แต่ช่วยไม่ได้ที่ในกระเป๋าของคนในครอบครัวมีเงิน
“ถ้าใช้เงินที่นี่หมด เกรงว่ากลับไปจะต้องโดนโรงเตี๊ยมไล่ตะเพิดออกมาแน่ๆ ที่สำคัญคือต่อให้ทุ่มเงินออกมาทั้งหมดก็ยังไม่พอ” จีฮวนถ่ายทอดเสียงบอกลูกๆ พลางยิ้มเจื่อน
“ท่านพ่อ! ที่นี่มีโรงจำนำ สมุนไพรเซียนที่อยู่บนตัวเราเหมือนจะมีค่าสำหรับที่นี่นะ” จีเต๋อจวินถ่ายทอดเสียง
จีฮวนเอามือลูบเครา ถามกลับว่า “นั่นคือของที่เอาไว้ปกป้องชีวิตยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ถ้าตอนนี้เจ้าเอาไปจำนำ ต่อไปก็ต้องจ่ายเงินสูงขึ้นเพื่อซื้อคืนมาหรือเปล่า?”
“ของอย่างอื่นบนตัวพวกเราไม่ได้มีราคาอะไร ต่อให้ขายทิ้งก็ยังไม่พอนะ!” จีเต๋อจวินตอบ
“ท่านพ่อ! เงินของตระกูลอวิ๋นจะต้องได้มากจากอวิ๋นจือชิวแน่ๆ ถึงอย่างไรน้องสาวก็แต่งงงานกับเหมียวอี้แล้วเหมือนกัน ให้น้องสาวไปขอเหมียวอี้มาสักหน่อยไม่ได้เหรอ?” จีเต๋อไห่ถาม
“น้องสาวเพิ่งจะแต่งงานออกไป เจ้าจะให้นางเอ่ยปากขอเงินแล้วเหรอ จะให้น้องเจ้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?” จีฮวนถลึงตามองเขา แต่สักประเดี๋ยวหลังจากเห็นคนของตระกูลอวิ๋นจ่ายเงินจนครบ กำลังลงตราอิทธิฤทธิ์บนระฆังดาราของกันและกันเพื่อทดลองติดต่อกัน เขาก็เม้มริมฝีปากเล็กน้อย เปลี่ยนคำพูดอีกว่า “ยืมสักหน่อยแล้วกัน! เดี๋ยวติดต่อกับน้องสาวเจ้าสักหน่อย ยืมจากน้องมาสักหน่อย รอให้พวกเรามีกินมีใช้ก่อน แล้วจะคืนให้ทั้งต้นทั้งดอก”
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น