ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1126-1131

 บทที่ 1126 ปลาไส้ตันโผล่พ้นจากน้ำ

 

คลานเล่นสะเปะสะปะอยู่สักพัก เสี่ยวเถียนกวาก็เริ่มเหนื่อยแล้ว จึงพลิกตัวนอนอยู่บนเกาะล่องแก่ง เธออ้าปากเล็กๆ หอบหายใจ แล้วปล่อยฉินสือโอวกับวินนี่ไป


ฉินสือโอวปักเบ็ดตกปลาไว้ข้างในร่อง แล้วเข้าไปเตรียมอาหารเย็นในห้องครัวกับวินนี่


สิ่งของที่มีราคาแพงย่อมมีความคุ้มค่าของมันอยู่ ห้องครัวที่เล็กกระจิริดแบบนี้ แต่กลับติดตั้งอุปกรณ์มาอย่างครบครัน ทั้งเครื่องดูดควัน ตู้เย็นเครื่องเล็ก เครื่องกรองน้ำ เตาแม่เหล็กไฟฟ้ากับเตาไมโครเวฟ มีทุกสิ่งพร้อมสรรพ


ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้ผลิตไม่ยอมแสดงค่าพารามิเตอร์ของสินค้า กระท่อมแคปซูลรุ่นนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับสิทธิบัตรเทคโนโลยีอยู่เยอะมาก อย่างเช่นเครื่องครัวขนาดเล็ก ตู้เย็นกับเครื่องกรองน้ำที่รวมเป็นอันเดียวกัน ของพวกนี้สามารถยื่นเรื่องขอสิทธิบัตรได้


เพื่อที่จะทำให้กระท่อมแคปซูลแสดงประโยชน์ใช้สอยออกมาได้อย่างเพียงพอในพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด ผู้ผลิตจึงคิดทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้ เพื่อใช้พื้นที่ทุกกระเบียดนิ้วอย่างคุ้มค่า ในห้องครัวของกระท่อมมีของบางส่วนที่ดูแล้วไม่เตะตา แต่หลังจากดึงมันออกมาถึงได้พบว่า มันก็มีเอฟเฟกต์พิเศษเป็นของตัวเองเหมือนกัน


ห้องครัวเล็กเกินไป มีพื้นที่ไม่พอสำหรับคนสองคน ฉินสือโอวตั้งเตาอเนกประสงค์สำหรับใช้งานกลางแจ้งของ MSR Whisperlite Universa ที่เขาพกมาด้วย ของสิ่งนี้พกพาได้อย่างสะดวกมาก มีขนาดใหญ่กว่าโถน้ำชาที่บ้านเกิดแค่นิดเดียว แต่สามารถใช้ได้ทั้งกับน้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าดแล้วก็แก๊สกระป๋อง และให้กำลังไฟที่แรงมากๆ


ที่จริงแล้วฉินสือโอวคิดว่า กระท่อมแคปซูลนี้ไม่จำเป็นต้องไปโฟกัสกับห้องครัวมากขนาดนั้น เตรียมเชื้อเพลิงทดแทนแบบนี้ไปเลยยังดีเสียกว่า วางถังแก๊สไว้ในครัวดีๆ หรือถ้าคิดว่าไม่ปลอดภัยมากพอก็ใช้เตาไม้แทน


เตาไม้เป็นเตาที่มีมานานแล้วในเขตเมืองหนาวอย่างนิวฟันด์แลนด์ เพียงแต่ว่าเตาไม้ต้มกลั่นสำหรับใช้งานนอกอาคารที่มีกรรมวิธีการทำอย่างละเอียดเพิ่งจะเริ่มปรากฏขึ้นมาได้ไม่นาน เมื่อก่อนฉินสือโอวเคยลองศึกษามาอย่างคร่าวๆ เขาเคยคิดจะซื้อไว้สักอันเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าของแบบนี้ถ้าทำเองคงจะน่าสนใจยิ่งกว่า เลยไม่ได้ซื้อเอาไว้


อีกอย่างคือ เตาไม้ต้มกลั่นมีราคาแพงมาก เตาขนาดกลางยี่ห้อหนอนน้อยหนึ่งอันมีราคาถึงประมาณ 400 ดอลลาร์แคนาดา!


เตาที่ฉินสือโอวกำลังใช้อยู่ตอนนี้เป็นเตาที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อก่อน ในตอนนั้นมันถูกเตรียมไว้สำหรับการตั้งแคมป์บนภูเขาโดยเฉพาะ สิ่งที่ต้องการคือกำลังไฟแรงๆ น้ำหนักเบาทำให้สามารถพกพาได้ สามารถทำอาหารหนึ่งมื้อให้สุกได้อย่างรวดเร็ว


แต่ตอนนี้มีเสี่ยวเถียนกวา เตาแบบนั้นจึงไม่เหมาะกับการใช้งาน เพราะมันเป็นวัตถุอันตราย เชื้อเพลิงที่ใช้คือแก๊สปิโตรเลียมเหลวหรือไม่ก็พวกน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล ถ้าเด็กเล็กไม่ทันระวังแล้วเผลอชนเข้า แบบนั้นฉินสือโอวคงมีเรื่องให้ต้องร้องไห้แล้ว


ขณะที่กำลังจัดการกับเตา ฉินสือโอวก็ปรึกษากับวินนี่ว่า “กลับไปแล้วเอาเตาอันนี้ไปให้คนอื่นเถอะ ผมจะซื้อเตาไม้อันใหม่สักอัน”


วินนี่พยักหน้ารับแล้วบอกเขาว่าดี เรื่องแบบนี้คุณตัดสินใจได้เองเลย ฉินสือโอวจึงบอกกับเธอว่า “ให้ผมตัดสินใจเอาเอง? ไม่ๆๆ ผมไม่กล้าหรอก”


วินนี่แย้มรอยยิ้มออกมา เธอกอดเขาไว้จากทางด้านหลังแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเรื่องเล็กๆ ให้ฉันตัดสินใจ ส่วนเรื่องใหญ่ๆ คุณเป็นคนตัดสินใจเอง เรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ให้คุณเป็นคนตัดสินเอง ดีไหมคะ?”


ฉินสือโอวยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ ตั้งโครงเหล็กไปพร้อมๆ กับผิวปากไปอย่างมีความสุข วินนี่ยิ้มกริ่มอุ้มลูกสาวที่เล่นจนเหนื่อยแล้วขึ้นมา เธอพูดเบาๆ ว่า “ลูกรัก ในอนาคตต้องหาสามีทึ่มๆ หน่อยนะจ๊ะ”


เตาอเนกประสงค์สามารถปรับกำลังไฟได้ ฉินสือโอวกำลังเตรียมตัวทำอาหาร ในสถานที่แบบนี้ต้องใช้ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปทำอาหารหรือไม่ก็ทำอาหารคาวแบบง่ายๆ จะเอาแต่ทำหมูเส้นผัดเปรี้ยวหวานไม่ได้หรอกใช่ไหม? แบบนั้นมันเปลืองแรงเกินไป


ตอนที่แล่นเรือไปข้างหน้า ฉินสือโอวก็ทิ้งอวนลงไปในน้ำ ตอนนี้ถึงได้ยกอวนขึ้นมา ข้างในมีกุ้งแดงอ้วนๆ เด้งๆ อยู่จำนวนหนึ่ง ฤดูใบไม้ผลิเป็นฤดูที่เหมาะกับการทานกุ้งแดง พวกมันจะวางไข่ในฤดูใบไม้ผลิ ในช่วงนี้พวกมันจะตัวอวบอ้วนที่สุด


ในการทำอาหารจีนมีเทคนิคการทำอาหารแบบไป๋จั๋ว (ลวกน้ำร้อน) คือการใช้น้ำร้อนหรือซุปลวกอาหารให้สุก และการทานกุ้งแดง ถ้าทำเป็นกุ้งแดงไป๋จั๋วจะเหมาะสมที่สุด


ตอนที่ฉินสือโอวยังอยู่ที่บ้านเกิด ความเข้าใจของเขาที่มีต่อ “ไป๋จั๋ว” มันผสมปนเปมั่วไปหมด เขานึกว่าไป๋จั๋วก็คือการใช้น้ำร้อนต้มสักหน่อยแล้วตักขึ้นมาทานก็ได้แล้ว แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น นั่นเป็นความเข้าใจความหมายของตัวหนังสือที่ผิดไป กุ้งไป๋จั๋วที่แท้จริงยังมีขั้นตอนการทำอีกหลายขั้นตอน


แน่นอนว่า หลายขั้นตอนที่ว่านี้ล้วนเป็นวิธีที่ไม่ซับซ้อน


จัดการกับกุ้งแดงให้สะอาด หั่นหอม ขิง กระเทียมให้เรียบร้อยแล้วเตรียมเหล้าสำหรับทำอาหาร ฉินสือโอวจุดไฟแล้วเทน้ำมันลงไปในกระทะในเล็กครึ่งหนึ่ง ขณะที่กำลังรอให้น้ำมันเดือด รีบใส่หอมกับขิงแล้วก็กระเทียมที่หั่นไว้ลงไปในกระทะทันที เทเหล้าสำหรับทำอาหารลงไป ผัดอีกให้เข้ากันเล็กน้อยแล้วเติมน้ำเปล่าลงไป พอได้แบบนี้แล้วค่อยนำกุ้งแดงไปลวกก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว


กุ้งแดงมีรสชาติหวานอร่อยเข้ากับรสชาติของความสดใหม่ในตัวมันเอง ชาวเอสกิโมชอบทานกุ้งชนิดนี้แบบดิบๆ หรือต่อให้ไม่กินดิบ ก็จะต้มแต่ไม่นาน ไม่อย่างนั้นถ้าต้มจนสุกเกินไป รสชาติความสดอร่อยและความหวานก็จะไม่มีเหลืออยู่แล้ว


ทิ้งกุ้งแดงไว้ในกระทะพักเดียว ฉินสือโอวก็ตักมันขึ้นมา ในตู้เย็นมีเศษน้ำแข็งอยู่ เขาหยิบมันออกมาแล้วใส่กุ้งแดงลงไป แบบนี้เนื้อกุ้งที่คลายตัวเพราะความร้อนก็จะแน่นกระชับขึ้น และทำให้มันกลับมากรอบเด้งอีกครั้ง


วินนี่เตรียมซอสถั่วเหลืองกับวาซาบิ เลือกกุ้งมาหนึ่งตัวแล้วปอกเปลือกออกอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็จิ้มเครื่องปรุงแล้วใส่เข้าไปในปากของฉินสือโอว ถามว่า “อร่อยไหมคะ?”


ฉินสือโอวพยักหน้า กำลังจะเอ่ยคำรักแสนหวานออกมาสักหน่อย แต่ปรากฏว่าหู่จือกับเป้าจือที่นอนหมอบอยู่ข้างๆ เบ็ดตกปลาดันเห่าขึ้นมาเสียก่อน


เอ็นตกปลาถูกดึงจนตึงมาก ฉินสือโอวลองเข้าไปทดสอบแรงดู หลังจากนั้นก็ทำท่าทางเหน็ดเหนื่อยออกมา วินนี่จึงถามเขาด้วยความตื่นเต้นเพราะเป็นกังวลว่า “ปลาตัวใหญ่เหรอคะ?”


ถึงอย่างไรเกาะล่องแก่งก็เป็นเกาะพลาสติก ถ้าตกได้ฉลามอยู่บนนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะถูกลากออกไปก็ได้


ฉินสือโอวกัดฟันพยักหน้า วินนี่จึงยิ้มออกมาทันที “ไม่ต้องแสดงแล้วค่ะ แต่ไหนแต่ไรฉันไม่เคยเห็นคุณทำท่าว่าเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนเลย เว้นเสียแต่ว่าคุณจะตกได้วาฬ”


แผนการร้ายถูกเปิดโปง ฉินสือโอวก็ยิ้มออกมาแล้วเช่นกัน เขาหมุนรอกตกปลาด้วยความรวดเร็ว เอ็นตกปลาถูกเก็บขึ้นมา ท้ายที่สุดปลาเล็กสีเงินสว่างที่มีลำตัวเรียวยาวสองตัวก็ถูกตกขึ้นมา


ปลาสองตัวนี้มีขนาดความยาวแค่ยี่สิบเซนติเมตรเท่านั้น ลำตัวยาวและแบนข้าง ตั้งแต่ส่วนหัวเป็นเส้นโค้งไปค่อยๆ มีขนาดเล็กลงจนไปถึงส่วนหาง เหมือนกับดาบซามูไรเล่มหนึ่ง สามสีหลักๆ บนร่างกายของมันประกอบไปด้วย สีน้ำเงิน สีเหลือง สีเงิน สามสีนี้เป็นสีสันที่งามตา สีน้ำเงินมืดทึบ สีเหลืองสว่างสดใส และสีเงินที่เป็นประกายระยิบระยับ


แน่นอนว่า นี่ต้องเป็นปลาไส้ตันฟลอริดา ในด้านมูลค่าทางการประมงนับได้ว่าเป็นปลาที่มีความสำคัญอยู่ในห้าอันดับแรก


ความสามารถในการแพร่พันธุ์ของปลาไส้ตันฟลอริดานับว่าน่าเป็นห่วงมาก พวกมันเป็นปลาชนิดที่เกิดในแม่น้ำและเติบโตในมหาสมุทร เช่นเดียวกันกับปลาแซลมอนแปซิฟิกที่ต้องขึ้นไปแพร่พันธุ์ในแม่น้ำบนแผ่นดินใหญ่ ไม่สามารถแพร่พันธุ์ในทะเลได้ แต่ถึงแม้ว่าจะเข้าสู่แม่น้ำแล้ว แต่ความสามารถในการแพร่พันธุ์ของพวกมันก็ไม่ได้แข็งแกร่งขึ้น


ปลาชนิดนี้แพร่พันธุ์ในฤดูใบไม้ผลิ ฉินสือโอววางแผนไว้ว่าจะควบคุมพวกมันให้ว่ายไปทางเหนือเพื่อเข้าไปสู่แม่น้ำบนเขาเคอร์บัล ถึงอย่างไรปลาไส้ตันในฟาร์มปลาก็มีไม่มากอยู่แล้ว แม่น้ำสายเล็กๆ จากภูเขาแบบนี้สามารถรองรับพวกมันได้


ปลาสองตัวนี้มีหนึ่งตัวที่ส่วนท้องนูนออกมา ส่วนอีกตัวกลับแห้งจนแฟบ ตัวที่ท้องนูนออกมาคือแม่ปลาที่กำลังจะวางไข่ ส่วนปลาอีกตัวเป็นปลาตัวผู้


ฉินสือโอวถอดปลาตัวเมียออกจากตะขอแล้วโยนมันกลับลงไปในทะเล นำปลาตัวผู้มาทำเป็นอาหารมื้อเย็นของวันนี้


วินนี่ได้เห็นปลาชนิดนี้เป็นครั้งแรก เธอไม่รู้จักมันมาก่อน จึงถามเขาด้วยความประหลาดใจว่า “นี่คือปลาอะไรเหรอคะ?”


ฉินสือโอวไม่ได้อธิบายให้เธอฟัง เขายิ้มกริ่มบอกว่าเป็นปลาที่อร่อย แล้วหลังจากนั้นเขาก็ไปจัดการกับปลา


ปลาไส้ตันมีรสชาติอร่อย ทว่าจัดการได้ยาก ในท้องของมันมีเนื้อเยื่อที่เป็นเมือกสีดำอยู่หนึ่งแผ่น ของสิ่งนี้มีพิษ ต้องล้างให้สะอาด อีกทั้งในระหว่างขั้นตอนการล้างทำความสะอาดจะให้โดนเกล็ดปลาสีเงินบนตัวไม่ได้ เกล็ดปลาเล็กๆ แบบนี้มีคุณค่าทางโภชนาการที่สูงมาก

 

 

 


บทที่ 1127 จันทร์กระจ่างลอยเด่นเหนือท...

 

กำจัดส่วนหัว หาง ไส้รวมถึงเมือกสีดำข้างในท้องปลาไส้ตันเสร็จ ฉินสือโอวล้างทำความสะอาดมันอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็หั่นออกเป็นหกท่อน


ชาวแคนาดามักจะใช้วิธีการทอดในการปรุงปลาไส้ตัน แต่นี่ไม่ใช่ไอเดียที่ดี รสชาติอาจจะเยี่ยมยอดมาก ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะพวกเขาชอบทานปลาทอดน้ำมัน ทว่ามันจะส่งผลกระทบกับสารอาหาร โดยเฉพาะกรดไขมันไม่อิ่มตัวในเนื้อปลา ที่จะถูกน้ำมันที่มีอุณหภูมิสูงทำลายได้ง่ายมาก


ฉินสือโอวนำปลาตัวนี้มาตุ๋นเป็นซุป ขณะตั้งครรภ์วินนี่ทานซุปอาหารทะเลจนอ้วก ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงเตรียมเต้าหู้มาด้วย อีกทั้งยังเป็นเต้าหู้แช่แข็งแบบที่วินนี่ชอบทาน เก็บมันไว้ในตู้เย็นของเรือฮาวิซท คราวนี้แค่หยิบมันออกมาตุ๋นเป็นซุปรวมกันกับปลาไส้ตันก็โอเคแล้ว


ในเตาไฟ เปลวไฟภายใต้ลมทะเลที่พัดผ่านส่งเสียงฟู่ๆ พุ่งออกมาข้างนอก แค่แป๊บเดียวฝาปิดหม้อตุ๋นซุปก็กระตุกๆ กึกๆ กึกๆ ขึ้นมา กลิ่นปลาไส้ตันสดๆ กับกลิ่นเต้าหู้หอมๆ ฟุ้งกระจายไปรอบๆ พร้อมกัน ตอนกลางคืนที่มีลมทะเลพัดแรงขนาดนี้ ก็ยังไม่สามารถพัดกลิ่นหอมนี้ให้หายไปได้


วินนี่เข้ามานั่งดม แล้วพูดกับฉินสือโอวด้วยความตกตะลึง “หอมมากๆ เลย”


ฉินสือโอวยิ้มออกมา เขากอดเอวบางของเธอให้เธอเข้ามาอยู่ในอ้อมอกอย่างเบาๆ หลังจากนั้นก็พูดกับเธอว่า “ถ้าคุณชอบ งั้นผมจะทำให้คุณกินทุกวันเลย”


วินนี่พิงอกของเขาไว้ แล้วเงยหน้าพูดกับเขาว่า “ทุกๆ วันไม่ว่าคุณจะทำอะไรให้ฉันกิน ฉันก็ชอบทั้งนั้นแหละค่ะ”


ฉินสือโอวอยากถามเธอมากๆ ว่าแล้วถ้าเป็นขี้หมาล่ะครับ แต่เขาคิดว่าถ้าถามออกไปตอนนี้ วินนี่จะต้องเตะเขาลงไปในทะเลแน่ๆ ดังนั้นเขาจึงทำตัวว่าง่ายๆ แล้วหุบปากของตัวเองซะ


มื้อค่ำ คนสองคนทานอาหารได้ไม่มากเท่าไร ฉินสือโอวทำอาหารสองจาน วินนี่ทำสเต๊กเนื้อ และนำมักกะโรนีอบกับแอปเปิลและมันฝรั่ง ยังมีแอปเปิลครัมเบิลที่นำมาจากบ้าน ปูเสื่อปิกนิกให้เรียบร้อย จากนั้นก็เริ่มทานอาหารกัน


ฉินสือโอวคิดว่าการเป็นคนรวยเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ มีหลายสิ่งที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยได้สัมผัส อย่างเช่นเสื่อปิกนิกอันนี้ มันเป็นเสื่อที่มีลักษณะเป็นรูปวงแหวนตรงกลาง บริเวณตรงกลางสามารถวางกระถางจุดไฟเพื่อก่อไฟแคมป์ได้


ก่อไม้สนแต่ละท่อนๆ ขึ้นมา เมื่อมีลมทะเลพัดมาหลังจากจุดไฟแล้ว เปลวไฟก็จะลุกโชนขึ้น ความรู้สึกเหน็บหนาวในตอนกลางคืนกับไอชื้นของทะเลก็จะถูกไล่ออกไปจนหมดจด


พระอาทิตย์หายลับลงไปในหุบเขา ดวงจันทร์เต็มดวงลอยสูงขึ้น ที่วินนี่ตัดสินใจออกทะเลวันนี้ ก็เป็นเพราะเวลาผ่านมาถึงช่วงกลางเดือนแล้ว สามารถมองเห็นพระจันทร์เต็มดวงที่ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดได้แล้ว ในเวลานี้พระจันทร์ที่อยู่บนทะเลจะงดงามที่สุด


แสงจันทร์สีเงินส่องสว่างลงมาด้านล่าง ลมทะเลพัดผ่าน คลื่นทะเลม้วนตัวเป็นชั้นๆ แสงจันทร์ส่องกระทบผิวน้ำ ทำให้ฟองคลื่นกลายเป็นประกายสีเงินระยิบระยับ ราวกับทาผิวอะลูมิเนียมไว้หนึ่งชั้น


เวลาผ่านไปเรื่อยๆ บนทะเลก็เริ่มมีหมอกลงแล้ว ในค่ำคืนที่เงียบสงัดแบบนี้ รวมกับหมอกที่ตกลงมาจึงยากที่จะเลี่ยงอากาศที่หนาวเย็น


หลังจากเสี่ยวเถียนกวากินอิ่มจนพุงกางก็เล่นต่ออีกสักพัก เธอนั่งอยู่ในอ้อมกอดของวินนี่แล้วเริ่มสัปหงก หัวน้อยๆ กับมุมปากที่มีน้ำลายไหลออกมา เห็นได้ชัดว่าคงจะทนความง่วงไม่ไหวแล้ว


วินนี่วางลูกสาวไว้บนเตียงของกระท่อมแคปซูล ตอนที่ออกมาก็ถือโทรศัพท์มือถือเอาไว้ในมือ แล้วเริ่มเดินถ่ายรูปรอบๆ เกาะล่องแก่ง


เห็นว่าวินนี่ไม่ได้อยู่กับฉินสือโอว หู่เป้าต้าป๋ายกับลูกแมวป่าจึงหันมาสบตากัน หลังจากนั้นก็พากันลุกขึ้นมาทันที แล้วรีบวิ่งถลันเข้าไปในอ้อมกอดของฉินสือโอว


ท่าทางการเดินของต้าป๋ายดูน่าสนใจมาก มันจะเดินตามระเบียบโดยธรรมชาติ ซึ่งก็คือขาหน้าและหลังฝั่งหนึ่งจะเดินไปพร้อมกัน ต่อจากนั้นขาหน้าและขาหลังอีกฝั่งก็ตามติดกันมา เมื่อเป็นแบบนี้ท่าทางการเดินของมันย่อมทำให้คนรู้สึกว่ามันประหลาด ทว่าโอพอสซัมเวอร์จิเนียไม่ใช่สัตว์จำพวกเดียวที่เป็นแบบนี้ แร็กคูน หมี สกังก์ แบดเจอร์ มาร์มอต เม่นไปจนถึงบีเวอร์ก็เดินแบบนี้เหมือนกัน


การพุ่งตัวในระยะทางสั้นๆ นั่นคือราชาเจ้าป่าซิมบ้าเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วกว่าใคร ตัวเล็กๆ กลมๆ ของมัน ม้วนตัวเหมือนลูกบอลสองรอบก็มาอยู่ตรงหน้าฉินสือโอวแล้ว ใช้ดวงตากลมโตที่มีน้ำเอ่อคลอจ้องมองเขา หลังจากนั้นก็กระโดดโลดเต้นมุดเข้าไปในอ้อมอกของฉินสือโอว


ฉินสือโอวเลยต้องกางแขนออก เขาคิดว่าซิมบ้าหนาว แมวป่าชอบที่อุ่นๆ มาก


แต่ปรากฏว่า หลังจากที่ซิมบ้ามุดเข้ามาในอ้อมกอดของเขาได้แล้วมันกลับไม่ได้มุดเข้าไปข้างในอีก แต่ดันหน้าอกของเขาไปมา ดันอยู่สักพักก็วิ่งออกไป ต่อจากนั้นหู่จือก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วดันหน้าอกเขาไปมาต่อ…


ในตอนนี้ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว เจ้าพวกชั่วพวกนี้กำลังเช็ดไอน้ำที่เกาะอยู่บนขนกับเขา!


ไอน้ำบนทะเลลงหนักเกินไปแล้ว ขนของเหล่าสัตว์เลี้ยงเปียกแฉะไปหมด ทว่าไอน้ำไม่ได้กลั่นตัวเป็นหยดน้ำ พวกมันจึงสลัดไม่ออก ทำได้แค่หาที่เช็ดไอชื้นบนขน


ฉินสือโอวอับอายและโมโหเป็นอย่างมาก จับหูใหญ่ๆ ของเป้าจือที่เข้ามาใกล้เป็นตัวสุดท้ายแล้วบิดเบาๆ “พวกไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษ มีไอน้ำเกาะตัวบนตัวแล้วพวกแกไม่สบาย แต่คิดว่าพ่อจะสบายใช่ไหม?”


เป้าจือร้องออกมาด้วยความน้อยใจ ฉินสือโอวก็คลายมือออกเพราะความใจอ่อน มันเดินวนไปด้านหลัง แล้วถูหลังของฉินสือโอวเบาๆ ในใจท่านชายฉินถึงกับร้องอุทานว่าเช็ดแม่


วินนี่ถ่ายรูปให้ฉินสือโอวกับเหล่าสัตว์เลี้ยงที่กำลังเล่นกันวุ่นวายไปหลายรูป หลังจากนั้นก็เข้าไปหยิบชุดคลุมในกระท่อม มาห่อตัวสัตว์เลี้ยงเหล่านี้เอาไว้


ห่อลูกแมวป่ากับต้าป๋ายไว้ทั้งตัว เหลือแค่หัวที่ยื่นออกมาด้านนอก หู่จือกับเป้าจือก็โผล่หัวกับไหล่ออกมา ส่วนฉงต้า ผ้าขนหนูสามารถคลุมได้แค่ท้องใหญ่ๆ ของมันเท่านั้น ทำให้เหมือนว่ามันกำลังนอนอยู่ในห้องซาวน่า


ฉินสือโอวนั่งอยู่ริมเกาะล่องแก่ง หู่จือเป้าจือกับลูกแมวป่านั่งคลอเคลียอยู่ทางฝั่งซ้ายของเขา ส่วนต้าป๋ายกับฉงต้าก็อิงแอบอยู่ทางด้านขวา วินนี่หามุมที่มีพระจันทร์กับท้องฟ้าติดอยู่ในฉาก หลังจากนั้นก็ถ่ายรูปพวกเขาจากทางด้านหลัง


เขาตะโกนเรียกวินนี่ให้มาหา ฉินสือโอวกลับไปนั่งข้างๆ กองไฟอีกครั้ง พวกหู่จือเป้าจือก็ตามไปด้วยทันที หลังจากนั้นก็พากันนั่งลงบนเสื่อปิกนิก


เปลวไฟที่ขยับขึ้นลงไล่ความรู้สึกเหน็บหนาวของยามค่ำคืนออกไป ซิมบ้าสะบัดขนเล็กน้อย มันเข้าไปอยู่ใกล้ๆ กับกองไฟอย่างมีความสุข แต่แค่ครู่เดียวก็รู้สึกร้อนจนไม่สบายตัว จึงวิ่งกลับมาอยู่ข้างๆ วินนี่ ผ่านไปไม่ทันไรก็รู้สึกหนาวอีก มันจึงเข้าไปอยู่ใกล้ๆ กองไฟอีกครั้ง


ความอดทนของหู่จือกับเป้าจือแข็งแกร่งมาก พวกมันอยากคลอเคลียอยู่ข้างๆ ฉินสือโอวเท่านั้น ดังนั้นหลังจากนอนลงพวกมันก็เอาหัวไปวางไว้บนเข่าของคุณพ่อ นอนนิ่งๆ ทำตัวว่าง่ายๆ


ฉินสือโอวช่วยเกาให้พวกมันอยู่สักพัก หลังจากนั้นเขาก็หยุดมือแล้วคุยกับวินนี่เสียงเบา หู่จือไม่ยอม มันม้วนตัวกลับทันทีจากนั้นก็มุดหัวเข้าไปใต้ฝ่ามือของฉินสือโอว ให้เขาช่วยเกาหัวให้พวกมันต่อ ส่วนเป้าจือก็ร้องหงิงๆ ออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่เต็มใจ


วินนี่ชันเข่าทั้งสองข้างแล้วกอดขาไว้ เธอพูดขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มกริ่มว่า “อยากให้ลูกๆ เป็นเด็กตลอดไปเลย แบบนี้ดูซื่อบื้อดีจริงๆ”


ฉินสือโอวส่งเสียงเหอะออกมาแล้วพูดว่า “พวกมันซื่อบื้อเหรอ? พวกมันแต่ละตัวฉลาดกันจะตาย!”


อยู่บนทะเลจนถึงห้าทุ่ม ฉินสือโอวกับวินนี่ค่อยกลับเข้าไปในนอนในห้อง


นอนอยู่บนทะเลไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเลย มนุษย์เป็นสัตว์บก บนทะเลไร้ซึ่งความรู้สึกปลอดภัย คลื่นทะเลหมุนขึ้นลงอยู่ตลอด เกาะล่องแก่งโคลงเคลงไม่หยุด กระท่อมแคปซูลไม่มีฟังก์ชันช่วยลดการสั่นสะเทือน เมื่อนอนอยู่บนเตียงจึงสัมผัสได้ถึงความโครงเคลง


หู่จือเป้าจือซิมบ้ากับต้าป๋ายตามพวกเขาเข้ามาในกระท่อม ฉงต้าแสยะปากพยายามเบียดเข้ามาข้างในเหมือนกัน พอเป็นแบบนี้ภายในกระท่อมจึงเบียดเสียดกันจนเป็นที่น่าทุกข์ใจ


ขนาดตัวของฉงต้ากินพื้นที่มากเกินไปแล้ว หู่จือกับเป้าจือชอบนอนพลิกตัว เมื่ออาณาเขตของพวกมันถูกฉงต้าบีบให้เล็กลงพวกมันจึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที เริ่มร้องหงิงๆ ขึ้นมา แล้วใช้อุ้งเท้าเตะฉงต้าสกัดไม่ให้มันเข้ามาใกล้


ฉงต้าแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกถึงแรงเตะ สะบัดไขมันส่วนเกินสักทีสองที แล้วหมุนตัวเปลี่ยนทิศทาง พอฟุบตัวลงไปได้ก็หลับตานอน เพียงครู่เดียวก็กรนออกมาเบาๆ


หู่จือกับเป้าจือไม่รู้จะทำอย่างไรดี เลยส่งเสียงบ่นออกมาอีกครั้งสองครั้ง พวกมันทำได้แค่ต้องยอมรับความเป็นจริงจึงนอนพิงฉงต้าแล้วหลับไป

 

 

 


บทที่ 1128 ฟาร์มเพาะเลี้ยงมหัศจรรย์

 

หู่จือเป้าจือกับฉงต้านอนอยู่ใต้เตียง ส่วนลูกแมวป่าก็มุดขึ้นไปบนเตียงตามปกติ วินนี่จับมันยัดเข้าไปข้างๆ เสี่ยวเถียนกวา เสี่ยวเถียนกวากำลังหลับฝันหวาน เมื่อสัมผัสได้ถึงลูกแมวป่าที่มีขนปุกปุยก็พลิกตัวด้วยจิตใต้สำนึก แล้วอ้าแขนกอดมันไว้ในอ้อมอกของเธอ


ซิมบ้าเบิกตาโตๆ จ้องมองเสี่ยวเถียนกวา มันคิดจะหนีจึงขืนตัวด้วยความระมัดระวัง เพราะถูกเสี่ยวเถียนกวารังแกอย่างน่าเวทนา จิตใจของมันจึงมีเงามืดขนาดใหญ่อยู่ข้างในนั้น


แขนของเสี่ยวเถียนกวามีพละกำลังมาก ซิมบ้าไม่กล้าดิ้นแรง เมื่อลองหนีแล้วหนีไม่ได้ มันจึงทำได้แค่ทนรับความจริงอย่างหมดอาลัยตายอยาก รู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนยิ่งกว่าหู่จือกับเป้าจือเสียอีก


แต่ว่าเสี่ยวเถียนกวาที่กำลังหลับสนิทดูสวยงามและเงียบสงบ เหมือนกันกับเด็กน้อยคนอื่นๆ ที่ดูน่ารักเป็นอย่างยิ่ง ซิมบ้าคิดว่าอาจจะเป็นเพราะก่อนหน้านี้มันมีอคติกับเจ้านายตัวน้อย หรือบางทีพอเธอมาอยู่บนทะเลเธอเลยอาจจะกลายเป็นเด็กที่อ่อนโยนและว่าง่ายแล้วก็ได้?


ขณะที่กำลังคิดด้วยความไร้เดียงสาเช่นนี้ ซิมบ้าก็หลับตาลงแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา


เรื่องที่ทำให้ฉินสือโอวกับวินนี่รู้สึกประหลาดใจก็คือ ต้าป๋ายเองก็ปีนขึ้นมานอนบนเตียงเหมือนกัน มันมองดูตัวเองกับวินนี่ จากนั้นก็หาที่นอนตรงบริเวณริมขอบแล้วนอนลงไป


ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาต้าป๋ายจะมีนิสัยนิ่งๆ มาโดยตลอด หลังจากมาอยู่ที่ฟาร์มปลามันจะอยู่กับฉงต้าซะเป็นส่วนใหญ่ น้อยนักที่จะเล่นกันกับเหล่าสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ อย่างวุ่นวาย กับฉินสือโอวและวินนี่เองมันก็ไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไรนัก ลักษณะท่าทางดูนิ่งขรึมเย็นชาอย่างกับเทพธิดาอยู่หน่อยๆ


แต่แน่นอนว่า ถ้าหากมีเรื่องที่ต้องมีต้าป๋ายอยู่ด้วย มันก็ยินดีที่จะเข้าร่วมด้วยเช่นกัน ถ้ามองจากตรงนี้ ก็ควรจะพูดว่ามันแค่ชอบอยู่กับตัวเองไม่คิดแก่งแย่งอะไรกับใคร


คราวนี้ต้าป๋ายปีนขึ้นมาอยู่ข้างๆ ฉินสือโอวกับวินนี่ด้วยตัวเอง เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ฉินสือโอวจึงลูบขนเส้นละเอียดนุ่มมือของมันอย่างมีความสุข ต่อจากนั้นก็ปิดไฟแล้วเข้านอน


ทุกครั้งที่มาค้างคืนบนเกาะล่องแก่ง ฉินสือโอวจะตื่นแต่เช้าเพื่อไปชมแสงอาทิตย์แรกจากพระอาทิตย์ที่เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า ถึงแม้ว่าจะเคยเห็นมาหลายสิบครั้งแล้วก็ตาม แต่ทว่าเขาก็ยังรู้สึกว่ามันน่าสนใจมากๆ อยู่ดี


เวลาตีห้า เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ฉินสือโอวลืมตาตื่นขึ้นมา


สมัยที่ยังอยู่เมืองไหเต่า เขานอนอยู่กับเตียงทั้งวันจนเคยตัว มันช่วยไม่ได้ ชีวิตมันไม่ง่ายเลย ตอนนั้นเขาไม่มีเงิน เรื่องที่ไม่ต้องใช้เงินอย่างการนอนอยู่บนเตียงเฉยๆ จึงกลายเป็นงานอดิเรกของเขาอย่างหนึ่ง


หลังจากที่มีพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน เขาก็ยังมีนิสัยนอนติดเตียงอยู่อีกช่วงหนึ่ง แต่ตอนนั้นเขาแค่ชินกับมันเฉยๆ ที่จริงแล้วพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนปรับเปลี่ยนร่างกายของเขาอย่างรุนแรงมากๆ มันทำให้เขากระฉับกระเฉงคึกคักถึงที่สุด ในหนึ่งวันนอนหลับแค่สี่ถึงห้าชั่วโมงก็สามารถรักษากำลังวังชาสำหรับทั้งวันไว้ได้อย่างเต็มอิ่ม


ต่อมาพอได้อยู่ด้วยกันกับวินนี่ เขาก็อยากจะแสดงด้านที่โดดเด่นของตัวเองออกมา จึงเลิกนิสัยชอบนอนอยู่แต่กับเตียงซะ แต่ยังเก็บความเคยชินบางอย่างเอาไว้อยู่ นั่นก็คือนาฬิกาปลุกดังแล้วแต่ก็ไม่ลุก ถึงอย่างไรแต่ละวันก็ตั้งเสียงดนตรีไว้ไม่เหมือนกัน คิดเสียว่าฟังเพลงต้อนรับยามเช้าก็แล้วกัน


แต่พอมีเสี่ยวเถียนกวาแล้ว เขาจะทำอย่างนั้นไม่ได้อีก วินนี่ก็ไม่อนุญาตให้เขาทำแบบนั้นเหมือนกัน เพียงแค่เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นมา เขายังไม่ทันได้ตอบสนองอะไร วินนี่ก็จะตื่นเต็มตาทันที แล้วต่อจากนั้นก็จะเรียกให้เขาให้ตื่นขึ้นมาปิดนาฬิกา


นี่คือความแตกต่างระหว่างพ่อกับแม่


วันนี้ก็เช่นกัน นาฬิกาปลุกเพิ่งจะดัง วินนี่ก็เตะฉินสือโอวเข้าให้ทันที เธอบ่นพึมๆ พำๆ กับเขาว่า “ที่รัก ปิดนาฬิกาปลุกค่ะ!”


ฉินสือโอวปิดนาฬิกาปลุกแล้วลุกขึ้น ณ เวลานี้พื้นผิวน้ำทะเลทางทิศตะวันออก มีเพียงแสงสีเงินเบาบางเพียงนิดหน่อยเท่านั้น แต่ใช้เวลาอีกไม่นาน เดี๋ยวก็จะมีพระอาทิตย์สีแดงเพลิงโผล่พ้นขึ้นมาสู่ท้องฟ้า ส่องแสงไปทั่วทุกหนแห่งแล้ว


หู่จือกับเป้าจือเป็นลูกสมุนที่ซื่อสัตย์ของฉินสือโอว พวกมันเดินตามเขาอยู่ทางด้านหลัง ทางด้านท้ายยังมีสัตว์เลี้ยงอีกหนึ่งตัว ซึ่งก็คือต้าป๋ายนั่นเอง ต้าป๋ายอ้าปากหาวน้อยๆ แล้ววิ่งตามออกมา


ฉินสือโอวมองดูมันด้วยความประหลาดใจ เขารู้สึกว่าต้าป๋ายค่อนข้างผิดปกติไปจากเดิม


หลังจากนั้นไม่กี่นาที เหนือระดับน้ำทะเลทางทิศตะวันออกก็กลายเป็นสีแดงส้ม พระอาทิตย์ยามเช้าค่อยๆ เผยโฉมหน้าออกมาเล็กน้อย ลมทะเลพัดผิวน้ำด้วยแรงลมกำลังดี ฟองคลื่นหมุนขึ้นลง พื้นที่ที่แสงอาทิตย์ส่องลงมาก็ขยายขอบเขตยิ่งกว้างขึ้น ฟองคลื่นสีแดงเพลิงซัดไปข้างหน้า เหมือนกับแม็กมาที่พุ่งกระจายไปทั่วทุกทิศ!


“เป็นภาพที่ยิ่งใหญ่อลังการมากๆ ใช่ไหมล่ะคะ?” วินนี่มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เธอยื่นมือออกมากอดเอวของฉินสือโอวเอาไว้


ฉินสือโอวพยักหน้า พูดด้วยท่าทีจริงจังว่า “ใช่ครับ ที่รัก ผมชอบทัศนียภาพแบบนี้มาก”


ดูพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จแล้ว วินนี่ก็เอาอาหารเช้าที่เตรียมไว้ไปอุ่นในเตาไมโครเวฟ พอทานมื้อเช้าเสร็จพวกเขาก็จะพากันกลับแล้ว


ที่ที่เหมาะกับการตั้งกระท่อมแคปซูลที่สุดคือริมทะเลหรือไม่ก็บนภูเขา สถานที่เหล่านี้มักจะมีลมพัดแรงที่สุด เครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานลมที่อยู่บนหลังคาจะสามารถแสดงประสิทธิภาพออกมาได้ ทำให้สามารถกักเก็บพลังงานไฟฟ้าได้เพียงพอต่อการใช้งาน


เรือฮาวิซทลากเกาะล่องแก่งกลับมาถึงฟาร์มปลา พวกชาวประมงก็กำลังจะออกทะเลพอดี ชาร์คตะโกนถามเขาเสียงดังว่า “บอส ใช้ชีวิตยามค่ำคืนบนทะเลเป็นอย่างไรบ้างครับ?”


“สวยงามจนพูดไม่ออกเลยล่ะ เพื่อนเอ๊ย” ฉินสือโอวหัวเราะฮ่าๆ พูดว่า “พวกนายอยากพาครอบครัวไปลองสัมผัสมันสักหน่อยไหมล่ะ?”


บรรดาชาวประมงก็คิดอย่างนั้น พวกเขาไม่มีเงินซื้อกระท่อมแคปซูลหรือสร้างเกาะล่องแก่งเป็นของตัวเอง แต่พวกเขาก็ปรารถนาจะได้ใช้ชีวิตแบบนั้นมากจริงๆ


เมื่อกลับมาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวคิดว่าเขาไม่เจอพวกศาสตราจารย์แซนเดอร์สมานานแล้ว หลังจากเก็บของเสร็จเขาจึงขับรถเอทีวีไปที่ฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอท


หลังจากที่ปูดันเจเนสส์ถูกส่งมา ศาสตราจารย์สูงวัยก็ทุ่มเทจิตใจและกำลังไว้กับมันทั้งหมด ฉินสือโอวคิดว่าแบบนี้มันน่าขำอยู่นิดหน่อย เพราะว่าเขาถ่ายทอดพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้กับปูดันเจเนสส์อยู่ตลอด สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะต้องมีชีวิตรอดอยู่ในฟาร์มปลาได้อย่างแน่นอน


เขามาถึงน่านน้ำบริเวณที่เป็นที่ตั้งของระบบการเพาะพันธุ์พันธุวิศวกรรมของปูดันเจเนสส์แล้ว หลายๆ คนกำลังยุ่งอยู่กับงานในพื้นที่น้ำบริสุทธิ์อยู่ ไม่มีใครสนใจเขา เขาขับรถมาดูอยู่สักพัก ก็ยังไม่มีใครเข้ามาทักทาย


ช่วยไม่ได้ เขาทำได้แค่เดินไปหาแซนเดอร์ส แล้วถามว่า “เฮ้ ศาสตราจารย์ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ผมยังนึกว่าคุณกลับโทรอนโตไปแล้วเสียอีก”


“มีลูกรักอยู่ที่นี่ทั้งฝูง ผมจะไปโทรอนโตได้อย่างไร?” แซนเดอร์สเผลอตอบกลับมาด้วยจิตใต้สำนึก หลังจากนั้นก็ค่อยหันหน้ากลับมา พอมองเห็นฉินสือโอว เขาก็ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แล้วก้าวมาข้างหน้าเพื่อจับมือทักทายกันแล้วพูดว่า “บอส ยินดีต้อนรับๆ ยินดีต้อนรับสู่ฟาร์มเพาะเลี้ยงมหัศจรรย์ของแซนเดอร์ส!”


“ฟาร์มเพาะเลี้ยงมหัศจรรย์ หมายถึงอะไรเหรอครับ?” ฉินสือโอวถามเขาด้วยความสงสัย


แซนเดอร์สพาเขาเดินไปถึงบริเวณใกล้ๆ กันกับใจกลางของฟาร์มเพาะพันธุ์ ที่ตรงนี้คือพื้นที่น้ำบริสุทธิ์ระดับหนึ่ง เดิมทีคุณภาพน้ำของฟาร์มปลาก็ดีอยู่แล้ว เมื่อทำให้มันบริสุทธิ์ ก็เหมือนกับว่าไม่ได้มีน้ำทะเลอยู่ เมื่อยืนอยู่ริมชายฝั่งจะสามารถมองเห็นร่องรอยใต้น้ำได้อย่างชัดเจน


ในฟาร์มเพาะเลี้ยง ณ ตอนนี้ ปูดันเจเนสส์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังปีนไปปีนมาอยู่ด้านใน เมื่อมีคนโปรยหัวอาหารลงไป ปูดันเจเนสส์พวกนี้ก็เฮโลกันขึ้นมาทันที พวกมันมีพละกำลังอยู่อย่างเต็มเปี่ยม


ชี้ไปที่ปูดันเจเนสส์ที่เต็มไปด้วยพละกำลังพวกนี้ แซนเดอร์สก็ร้องเสียงสูงว่า “ความหมายก็คือ พวกเราสร้างเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นที่นี่ บอส พวกเราเป็นผู้สร้างสิ่งมหัศจรรย์ที่น่านับถือ!”


ฉินสือโอวแสร้งเผยสีหน้าของความประหลาดใจออกมาเป็นเพื่อนเขา “โอ้ พระเจ้า ปูพวกนี้ไม่ได้ตายไปหมดแล้วหรอกเหรอ? ผมหมายถึง ศาสตราจารย์ ปูดันเจเนสส์มีชีวิตรอดอยู่ในฟาร์มปลาของพวกเราได้ด้วยเหรอครับ?”


แซนเดอร์สทั้งพยักหน้าทั้งส่ายหน้า บอกกับเขาว่า “ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้ ต้องรอจนถึงหลังจากที่มันมาอยู่ในฟาร์มปลาได้สี่สิบห้าวันเสียก่อน ถ้ายังมีชีวิตรอดอยู่ได้ถึงจะนับว่าพวกมันสามารถปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมของพวกเราได้จริงๆ แต่ว่า สิ่งที่พวกเราทำในตอนนี้ก็น่านับถือมากแล้ว ดูสิ จนกระทั่งถึงตอนนี้ พละกำลังของปูดันเจเนสส์พวกนี้มันสุดยอดมากๆ เลย!”


ฉินสือโอวยกนิ้วโป้งให้เขา และเอ่ยชมว่า “คุณเก่งมากจริงๆ ครับ ศาสตราจารย์ ตอนนี้ผมรู้สึกดีใจมากๆ ที่จ้างคุณมาเป็นผู้ให้คำแนะนำด้านเทคโนโลยี”


พระเจ้าต่างหากที่เป็นผู้ชี้ทาง คำพูดของเขาในตอนนี้ขัดกับความรู้สึกในใจของเขามาก ถ้าไม่ใช่เพราะต้องหาคนมาทำงานบังหน้า เขาคงเพาะเลี้ยงปูดันเจเนสส์เองไปนานแล้ว


ไม่ต้องสงสัยเลย ที่ปูดันเจเนสส์มีชีวิตรอดไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับแซนเดอร์สเลย ต่อให้เป็นอีวิลสันที่มาเพาะพันธุ์ปูดันเจเนสส์ฝูงนี้ พวกมันก็สามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้เหมือนกัน

 

 

 


บทที่ 1129 ต้าป๋ายป่วยซะแล้ว

 

ฉินสือโอวถามแซนเดอร์ส ว่าสามารถเลี้ยงปูพวกนี้แบบปล่อยอิสระในฟาร์มปลาได้ไหม


ถ้าปูพวกนี้ยังอยู่ในฟาร์มเพาะพันธุ์ เช่นนั้นศาสตราจารย์สูงวัยก็จะวางมือจากมันไม่ได้ เขาต้องติดตามสภาพการรอดชีวิตและการเจริญเติบโตของปูอยู่ตลอดเวลา


การเพาะพันธุ์สัตว์ทะเลแตกต่างกับการเพาะพันธุ์สัตว์บก การเพาะพันธุ์สัตว์บกไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่หรือการเลี้ยงหมูเลี้ยงวัว สัตว์เหล่านี้จะมีกระบวนการจากการเจ็บป่วยไปสู่ความตาย เมื่อเป็นเช่นนั้นผู้เลี้ยงก็จะมีเวลาในการคลี่คลายวิกฤตการณ์ลงได้


ซึ่งสิ่งที่เลวร้ายที่สุดสำหรับการเพาะพันธุ์สัตว์ทะเลก็คือข้อนี้ ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นมา ซึ่งหลายๆ ครั้งคนยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร พวกมันก็ตายไปก่อนแล้ว…


ปูดันเจเนสส์ถูกตัดสินว่าเป็นหนึ่งในสายพันธุ์ที่มีเงื่อนไขต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในมหาสมุทรแปซิฟิก หลังจากพวกมันมาถึงมหาสมุทรแอตแลนติกก็ไม่ยอมปรับตัวให้เข้ากับดินน้ำและสภาพอากาศ หลายๆ ครั้งตอนแรกปูฝูงใหญ่ยังกระโดดโลดเต้นอยู่ดีๆ แต่ต่อมากลับม่องเท่งไปแล้วซะอย่างนั้น


ฉินสือโอวมั่นใจว่าเขามีพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเป็นการรับประกัน ว่าปูดันเจเนสส์จะสามารถลงหลักปักฐานและมีชีวิตรอดอยู่ในฟาร์มปลาได้ ทว่าแซนเดอร์สไม่กล้ารับประกันอย่างนั้น หลายวันมานี้เขาไม่ได้นอนหลับสบายเลยสักวัน เขากลัวมากว่าตื่นมาแล้วจะได้ยินพวกนักศึกษามาบอกกับเขาว่า ปูดันเจเนสส์ในฟาร์มปลาตายแล้ว


นี่ทำให้ฉินสือโอวปวดกระบาลมากๆ เขาต้องการให้แซนเดอร์สให้ความสำคัญกับการวิจัยว่าเปลือกของแมลงยักษ์สีดำมีคุณค่าด้านการรักษาสุขภาพอย่างไรบ้าง แบบนั้นถึงจะเป็นสิ่งที่ทำให้ศาสตราจารย์สูงวัยแสดงความสามารถออกมาได้อย่างแท้จริง สำหรับเรื่องปูดันเจเนสส์พวกนี้ เขาเป็นได้แค่เพียงหน้าฉากเท่านั้น


น่าเสียดายที่เขาพูดออกไปตรงๆ ไม่ได้ ทำได้แค่พูดกับเขาเป็นนัยๆ ว่า “ศาสตราจารย์ครับ ผมว่าถ้าพวกลูกปูไม่ได้กระจายตัวออกไปสู่โลกกว้างแบบนั้นจะทำให้เพาะเลี้ยงได้ยากนะครับ ดูสิ พวกมันก็ยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอครับ? พวกเราเอามันไปปล่อยไว้ในฟาร์มปลาดีกว่าไหมครับ?”


เพียงแค่เอาปูดันเจเนสส์ไปปล่อยไว้ในฟาร์มปลา แซนเดอร์สก็จะสามารถเปลี่ยนหัวข้อวิจัยได้แล้ว


สีหน้าของแซนเดอร์สเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม “ไม่ครับ บอส เรื่องนี้คุณอาจจะไม่เข้าใจ ยิ่งนานวันเข้า บททดสอบที่พวกเราต้องเผชิญก็จะยิ่งเยอะขึ้น ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะเอาพวกมันไปปล่อยลงในทะเล ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้เราอาจจะได้เห็นซากปูกองใหญ่ที่ถูกกระแสน้ำพัดมาไว้บนฝั่ง”


ฉินสือโอวคิดว่าหัวข้อวิจัยของแมลงยักษ์สีดำคงไม่ได้ถูกยกขึ้นมาในวาระการประชุมเร็วๆ นี้แล้ว เขาจึงถอนหายใจออกมา เอาเถอะ ปล่อยให้แซนเดอร์สเล่นไปเถอะ ถึงอย่างไรปูดันเจเนสส์ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของฟาร์มปลาเหมือนกัน


แซนเดอร์สส่งข้อมูลที่ได้จากการสังเกตการณ์ในช่วงนี้ให้กับฉินสือโอว ในนั้นบันทึกการเปลี่ยนแปลงของจำนวนปูดันเจเนสส์ที่ตายในสภาพแวดล้อมที่มีออกซิเจนแตกต่างกัน สิ่งนี้เองที่ทำให้ศาสตราจารย์สูงวัยไม่มีความเชื่อมั่น


ตอนที่เขาเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำทะเล จำนวนการตายของปูดันเจเนสส์ก็ลดน้อยลง แต่บางครั้งเมื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำทะเลจำนวนการตายก็เพิ่มครึ่ง แต่บางครั้งกลับลดลง…


แต่หากว่าตามกฎของการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่แล้ว จำนวนการตายของปูดันเจเนสส์มักจะอยู่ในแนวเดียวกันตลอด หรือสามารถกล่าวได้ว่า ความสามารถในการมีชีวิตรอดของพวกมันไม่ได้เกี่ยวข้องกันกับปริมาณออกซิเจนในน้ำ


วิเคราะห์ได้ง่ายมาก ปูดันเจเนสส์พวกนี้ไม่ได้ตายเพราะสภาพแวดล้อม แต่เป็นเพราะการต่อสู้ พวกปูดันเจเนสส์ทะเลาะวิวาทกันเพราะเรื่องอาณาเขต ทะเลาะกันเพราะเรื่องอาหาร ทะเลาะกันเพราะต้องการที่จะจับคู่ และบางครั้งยังทะเลาะกันเพราะอารมณ์ไม่ดีอีกด้วย พวกที่ตายก็คือพวกมัน แล้วแบบนี้จะไปมีเกณฑ์วัดที่ตายตัวได้อย่างไร?


ฉินสือโอวทำเสียงจุ๊ปาก การสังเกตการณ์คราวนี้ทำให้เขาหาช่องโหว่เจอแล้วหนึ่งอย่าง เขาจะโลภจนปล่อยให้ปูดันเจเนสส์รอดชีวิตทั้งหมดไม่ได้ ต่อแต่นี้ไป เขาจะต้องเลือกปูดันเจเนสส์ฝูงหนึ่งที่จะไม่ถ่ายทอดพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้ ปล่อยให้อัตราการตายมีกฎเกณฑ์ที่ตายตัว ถึงจะสามารถวิเคราะห์ได้ง่ายๆ


ทางด้านการเพาะพันธุ์ปูดันเจเนสส์ไม่ได้มีปัญหาอะไร ฉินสือโอวจึงไปติดตามการสร้างสวนดอกไม้ของเขาต่อ


อันเดร์ทำการแก้ไขแปลนของสวนดอกไม้ที่เขาได้เห็นเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว สรุปรวบยอดความคิดเห็นของเขา วินนี่ กับพวกเด็กๆ แล้วก็เออร์บักเข้าไว้ด้วยกัน แล้วจึงแก้ไขรายละเอียดปลีกย่อย ยิ่งทำให้สวนดอกไม้เต็มไปด้วยความมีเสน่ห์


หลับมาจากชมจันทร์บนท้องทะเลได้ไม่ถึงสองวัน อยู่ๆ วินนี่ก็พูดกับเขาอย่างอารมณ์ดีว่า “อีกไม่กี่วันพ่อกับแม่ของฉันจะมาเที่ยวที่นี่ คุณปู่คุณย่าของฉันก็อาจจะมา ฟอกส์กับสามีของเธอก็น่าจะมาเหมือนกัน”


ฉินสือโอวบีบจมูกของเธอแล้วพูดกับเธอว่า “พวกเขาจะมากินข้าวฟรีกันเหรอครับ?”


วินนี่ที่เป็นคนชอบพูดเล่นมาตลอดในตอนนี้เธอกลับรู้สึกประหม่าขึ้นมา แววตาที่รู้สึกซาบซึ้งประทับใจหลุกหลิกไปทั่วทุกทิศ หลังจากนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า “ฉันคิดว่าพวกเขาคงจะมาปรึกษากับคุณเรื่องงานแต่งของพวกเรา”


ฉินสือโอวนิ่งงันไปชั่วครู่ แต่หลังจากนั้นในใจของเขาก็รู้สึกยินดีขึ้นมาทันที นี่เป็นเรื่องดี ในที่สุดเขาก็จะได้แต่งงานกับวินนี่แล้ว!


ทว่าเขาไม่ได้แสดงสีหน้าของความปรารถนาแบบนั้นออกไป แต่กุมมือของวินนี่เอาไว้ แล้วพูดกับเธออย่างอ่อนโยน “ที่รักครับ ผมนึกว่าพวกเราแต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ชีวิตของพวกเรายังสวยงามขนาดนี้ ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่า หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้ว ผมจะมีความสุขขนาดไหน”


สายตาของวินนี่วูบไหวไปเล็กน้อย เธอจับมือฉินสือโอวกลับ มุมปากยกขึ้นเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมา “หลังจากแต่งงานกัน ฉันจะพยายามเป็นภรรยาและเป็นแม่ที่ดี ดีไหมคะ?”


“ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ดีมากแล้วครับ” ฉินสือโอวโอบกอดวินนี่พร้อมตอบเธอกลับไป


ขณะที่ทั้งสองคนกำลังมีความสุขอย่างถึงที่สุดกันอยู่ตรงนี้ ฉงต้ากลับกำลังรู้สึกไม่ดี มันเดินเข้ามาพร้อมกับไขมันส่วนเกินที่ส่ายสะบัด แล้วเดินวนรอบๆ ทั้งสองคนหลายๆ รอบด้วยความกระสับกระส่าย หลังจากนั้นก็ทิ้งก้นนั่งลงไปข้างล่าง แล้วเปิดปากใหญ่ๆ ร้องฮือๆ ออกมา


วินนี่กำลังอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เธอจึงย่อตัวลงมากอดมันไว้ พร้อมกับตบหลังมันเบาๆแล้วพูดปลอบมันว่า “เอาล่ะๆ ใครรังแกฉงต้าลูกรักของพวกเรากันนะ? มีอะไรที่ให้รู้สึกน้อยใจอีกแล้วเหรอ? มาเถอะ บอกให้คุณแม่ฟังดีไหม?”


ฉงต้าพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดของเธอ ยื่นอุ้งเท้าชี้ออกไปข้างนอก แล้วร้องฮือๆ ไม่หยุด ดูท่าทางรีบร้อนมาก


ฉินสือโอวรู้ว่ามีปัญหา จึงจับมือของมันเอาไว้แล้วเดินออกไปข้างนอก


ที่ใต้ต้นชูการ์เมเปิลด้านหน้าวิลล่า พวกเหล่าสัตว์เลี้ยงหู่จือเป้าจือหลัวปอซิมบ้ากำลังมุงกันอยู่ตรงนั้น พอเห็นว่าฉินสือโอวมาแล้ว พวกมันก็รีบเปิดทางให้ทันที แล้วหลังจากนั้นก็กลับมามุงดูอีกครั้ง


ในพงหญ้าผืนหนึ่งใต้ต้นไม้ ต้าป๋ายกำลังนอนคว่ำหน้าอย่างซึมเซาอยู่ตรงนั้น ตรงหน้ามีสิ่งปฏิกูลอยู่เป็นแอ่ง ส่วนใหญ่เป็นเบอร์รีกับผักที่ยังไม่ถูกย่อย ของพวกนี้มีเมือกสีขาวอยู่เป็นจำนวนมาก แค่มองดูก็รู้แล้วว่ามันอ้วกออกมา


“ต้าป๋ายไม่สบายเหรอ?” วินนี่ถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก


ฉินสือโอวก็รู้สึกเป็นกังวลแล้วเช่นกัน สัตว์เลี้ยงในบ้านล้วนแต่ได้รับการปรับเปลี่ยนจากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนมาแล้วทั้งนั้น เขานึกว่าร่างกายของพวกมันจะถึกทนเหมือนเพชรอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะป่วย ดังนั้นเมื่ออยู่ๆ ต้องพบกับปัญหาแบบนี้ เขาจึงทำตัวไม่ค่อยถูกนัก


หลังจากอยู่กับความวิตกกังวลเป็นเวลาสั้นๆ ฉินสือโอวก็เริ่มมีสติขึ้นมา เขาอุ้มต้าป๋ายขึ้นมาเพื่อที่จะพามันกลับเข้าไปในวิลล่า แต่ปรากฏว่าพออุ้มมันขึ้นมา ฉินสือโอวก็รู้สึกเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากร่างกายของต้าป๋ายอ่อนปวกเปียกเป็นอย่างมาก อ่อนแอขนาดที่ว่าไม่มีแรงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว!


เขาใช้น้ำอุ่นที่จะนำมาล้างสิ่งสกปรกที่ติดอยู่บนปากของมันเป็นสื่อกลางในการเชื่อมต่อ หลังจากนั้นก็ถ่ายทอดพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนบางส่วนลงไป ในความทรงจำของเขา ไม่มีอะไรที่พลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทำไม่ได้ ในตอนนั้นที่หู่จือกับเป้าจือใกล้จะตาย หลังจากที่ได้รับพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไป พวกมันก็แข็งแรงร่าเริงอย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตขึ้นมาทันที


เหล่าสัตว์เลี้ยงก็พากันตามมาข้างหลังทั้งหมด พวกมันมุดตามเข้ามาในวิลล่า เมื่อมาถึงหลังห้องน้ำก็ไม่ได้ตามเข้าไป แต่นอนหมอบอยู่ที่หน้าประตูแล้วยืดคอมองเข้าไปดูแทน ไม่มีใครส่งเสียงอะไรออกมา ราวกับกลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อต้าป๋ายอย่างไรอย่างนั้น


หลังจากต้าป๋ายซึมซับพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไป มันก็มีกำลังวังชาขึ้นมาบ้างแล้ว ฉินสือโอวจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วพูดว่า “ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว ต้าป๋ายไม่เป็นอะไรแล้ว”


วินนี่ยังไม่หายห่วง หลังจากได้เห็นสิ่งที่มันอ้วกออกมาเธอก็ยืนกรานว่า “พวกเราพาต้าป๋ายไปให้หมอเถอะค่ะ คุณดูสิ่งที่มันอ้วกออกมาสิคะ ข้างในมีคราบเลือดอยู่ด้วย! นี่ไม่ใช่ปัญหาธรรมดาๆ แล้ว ฉิน ต้องไม่ใช่อาการเจ็บป่วยธรรมดาแน่ๆ!”


คำขอแบบนี้เขาไม่มีทางปฏิเสธได้อยู่แล้ว เพราะการเจ็บป่วยกับการไปหาหมอเป็นสัจธรรมที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ารับ แล้วพาต้าป๋ายไปโรงพยาบาลสัตว์ที่นครเซนต์จอห์น

 

 

 


บทที่ 1130 นับถอยหลัง

 

ตอนที่พาต้าป๋ายไปนครเซนต์จอห์น ฉินสือโอวก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อก่อนคนในเมืองนี้ถึงได้พากันย้ายออกจากเกาะ นั่นก็เพราะการจราจรของที่นี่มันไม่สะดวกเลยจริงๆ น่ะสิ!


เมื่อก่อนตอนที่เขาไปนครเซนต์จอห์น ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ครั้งนั้นที่วินนี่คลอดลูก ทีแรกเขาร้อนใจแทบแย่ แต่วินนี่บอกเขาว่าเธอแค่แสดงละครเท่านั้น ดังนั้นตอนที่อยู่บนเรือเขาจึงไม่ได้รู้สึกร้อนใจอะไรแล้ว


แต่ครั้งนี้ต้าป๋ายไม่สบาย ฉินสือโอวร้อนใจแล้วจริงๆ แบบนี้เขาถึงได้รู้สึกว่าทำไมเกาะกับแผ่นดินใหญ่มันถึงได้อยู่ไกลกันขนาดนี้ ออกเดินทางมาตั้งนานแล้วก็ยังไม่ถึงท่าเรือสักที


ฉงต้ากระวนกระวายใจยิ่งกว่า มันนั่งยองๆ อยู่บนดาดฟ้าเรือ อุ้งตีนหยาบหนาเขี่ยราวเหล็กไปมา มองออกไปยังนครเซนต์จอห์นที่ปรากฏให้เห็นอย่างเลือนรางอยู่ห่างออกไปไกล ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ…


นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้ไปนครเซนต์จอห์น นั่นก็เพราะมันไม่ชอบนั่งเรือ ทว่าครั้งนี้ต้าป๋ายไม่สบาย ตอนที่ฉินสือโอวพาต้าป๋ายไปขึ้นเรือ ไม่ว่าอย่างไรฉงต้าก็จะปีนขึ้นไปบนเรือให้ได้เหมือนกัน ช่วงแรกๆ ที่เรือขับออกมามันก็คอยอยู่ข้างๆ ต้าป๋ายตลอด


มองดูนครเซนต์จอห์นอยู่สักพัก หลังจากนั้นฉงต้าก็วิ่งจากดาดฟ้าเรือกลับเข้ามาข้างใน พอเจอต้าป๋ายก็ร้องฮือๆ ออกมาอย่างอ่อนโยน ราวกับว่ากำลังปลอบมันอยู่ แล้วก็เหมือนกับว่ากำลังเร่งวิถีความเร็วให้เรือน้อยของมัน หลังจากนั้นฉงต้าก็วิ่งกลับไปที่ดาดฟ้าเรืออีกครั้ง แล้วมองดูแผ่นดินใหญ่ด้วยความร้อนใจ


มิตรภาพอยู่ยั้งยืนยง ในใจของฉินสือโอวรู้สึกซาบซึ้งมากจริงๆ มิตรภาพที่แท้จริงจะสามารถก้าวข้ามความแตกต่างทางสายพันธุ์ได้ อย่างเช่นมิตรภาพของฉงต้ากับต้าป๋ายนั่นเอง


หลังจากเรือเข้าเทียบท่า บิ๊กฟุตเรคขับกระบะที่มีตู้มารออยู่บนท่าเรือแล้ว พอเห็นฉงต้าลงมาจากเรือ เขาก็ตกใจจนตัวโยน แล้วพูดกับฉินสือโอวว่า “โอ้ พระเจ้า มิน่าล่ะนายถึงให้ฉันขับรถขนส่งสินค้ามา ฉันนึกว่านายจะขนอาหารทะเลมาด้วยเสียอีก ที่แท้ก็ขนของหายากจากภูเขามาด้วย”


ฉินสือโอวยิ้มเจื่อนๆ แล้วบอกกับเขาว่า “ขอโทษด้วยเพื่อน ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์มาล้อเล่น ลูกของฉันตัวหนึ่งไม่สบาย ฉันต้องพามันไปตรวจที่โรงพยาบาลสัตว์”


เรคจัดการธุระได้อย่างน่าเชื่อถือมาก เขาเป็นคนขับรถให้เอง อีกทั้งยังศึกษาเส้นทางมาก่อนล่วงหน้าอย่างแม่นยำ รอจนฉินสือโอวกับวินนี่พาต้าป๋ายฉงต้าขึ้นรถ เขาก็เหยียบคันเร่งแล้วขับทะยานออกไปทันที ระหว่างทางนอกเหนือจากที่ติดไฟแดงไม่กี่ครั้ง เส้นทางที่เหลือก็เป็นไปอย่างราบรื่น ขับตรงไปที่ ‘โรงพยาบาลสัตว์เคลต์’


โรงพยาบาลสัตว์เคลต์เป็นโรงพยาบาลที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นโรงพยาบาลสัตว์ที่มีอำนาจมากที่สุดของนครเซนต์จอห์น ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1952 เป็นสถานพยาบาลสำหรับสุนัขและสัตว์วงศ์เสือและแมวแห่งแรกของนิวฟันด์แลนด์ รับหน้าที่ในการตรวจสุขภาพสัตว์ทั้งในและนอกสถานที่ในเขตนครเซนต์จอห์น


พื้นที่สิ่งก่อสร้างของโรงพยาบาลสัตว์แห่งนี้มีเนื้อที่ราวๆ ห้าพันตารางเมตรกว่าๆ ประกอบไปด้วย ห้องตรวจโรคของแพทย์เฉพาะทางและห้องตรวจอาการทั่วไป ห้องตรวจร่างกายและภูมิคุ้มกันโรค ห้องผ่าตัด แผนกรับเลี้ยงผู้ป่วยใน ห้องปฏิบัติการ ห้องฉีดยา ร้านขายยา ซูเปอร์มาร์เก็ตของใช้สัตว์ แผนกให้บริการด้านความงามของสัตว์เลี้ยงและแผนกอื่นๆ เป็นต้น


เมื่อเทียบกับโรงพยาบาลของคน ขั้นตอนการทำงานของโรงพยาบาลสัตว์ในแคนาดากลับมีความสมเหตุสมผลมากกว่า จำนวนของสัตวแพทย์ที่ทำงานมีอยู่ค่อนข้างมาก สัตว์ป่วยส่วนมากที่ส่งเข้ามารักษาจะได้รับการรักษาในวันเดียวกัน เนื่องจากโรงพยาบาลสัตว์เหล่านี้เป็นของเอกชน แรงกดดันจากการแข่งขันสูง แพทย์และพยาบาลต้องทำเงินให้ได้มากๆ จึงต้องทำงานให้เยอะตามไปด้วย


ดังนั้น ในเขตพื้นที่ของนครเซนต์จอห์น สัตวแพทย์หลายคนจึงมีรายได้ที่ล่ำซำกว่าแพทย์รักษาคน ซึ่งส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ วัยรุ่นบางส่วนที่รักสัตว์ตัวเล็กๆ เมื่อเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยก็จะเลือกเรียนสัตวแพทยศาสตร์เป็นอันดับแรกในสายงานนี้


เรคช่วยลงทะเบียนเข้ารักษากับแพทย์เฉพาะทางให้แล้ว พวกฉินสือโอวมาถึงได้ไม่นาน ก็ถึงคิวเข้าห้องตรวจของพวกเขาแล้ว


เห็นวินนี่อุ้มโอพอสซัมเวอร์จิเนียเข้ามา สัตวแพทย์วัยกลางคนท่านนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมา แล้วพูดว่า “คนที่เลี้ยงสัตว์ชนิดนี้เป็นสัตว์เลี้ยงพบได้น้อยมากแล้ว ไม่ทราบว่ามันประสบกับเรื่องอะไรมาเหรอครับ?”


“อยู่ๆ ลูกของฉันก็อ้วกเอาเมือกสีขาวกับอาหารที่ยังไม่ย่อยออกมา ขณะเดียวกันเขาก็อ่อนแรงมากๆ ด้วยค่ะ” พูดจบ วินนี่ก็วางต้าป๋ายลงบนโต๊ะทำงานของคุณหมอ ต้าป๋ายพินิจพิเคราะห์รอบๆ ด้านด้วยความอยากรู้อยากเห็นแล้วกำลังจะลุกขึ้น วินนี่ลูบตัวมันไว้ด้วยความเร่งรีบ ต้าป๋ายใช้หัวของมันถูกับมือของวินนี่ไปมาราวกับว่ากำลังปลอบประโลมเธออยู่ หลังจากนั้นก็นอนลงไปอย่างว่าง่ายๆ


ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ สัตวแพทย์ที่มีประสบการณ์กว้างขวางก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย เขาพูดว่า “โอ้ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ มาให้ผมดูหน่อย นอกจากนี้ผมคงต้องขอชมว่า ลูกของคุณแสนรู้มากจริงๆ มันไม่เหมือนโอพอสซัมเวอร์จิเนียเลย ฉลาดจนเหมือนกับหมาแลบราดอร์เลยล่ะ”


“พวกเราเลี้ยงหมาแลบราดอร์น่ารักๆ ไว้สองตัวด้วยค่ะ” วินนี่พูดด้วยรอยยิ้ม


“หู่จือกับเป้าจือ ซูเปอร์สตาร์ตัวน้อยในวงการสัตว์เลี้ยง ผมพูดถูกไหมครับ?” สัตวแพทย์วัยกลางคนกล่าว “คุณฉิน คุณวินนี่”


ฉินสือโอวกับวินนี่พยักหน้า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่สัตวแพทย์ท่านนี้จะรู้จักพวกเขา ในวงการของพวกเขาหู่จือกับเป้าจือควรค่ากับการถูกเรียกว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ ฉินสือโอวกับวินนี่ก็นับว่ามีชื่อเสียงในวงการสัตว์เลี้ยงเพราะสุนัขแลบราดอร์ของพวกเขา


คุณหมอวัยกลางคนตรวจรูม่านตาของต้าป๋ายไปแล้ว ต่อมาก็บังคับให้มันอ้าปากเพื่อตรวจดูช่องปาก แล้วหลังจากนั้นก็ใช้สเต็ตโทสโคปฟังตามจุดต่างๆ ทั่วร่างกายของมัน


เห็นได้ชัดว่าต้าป๋ายไม่ชอบประสบการณ์แบบนี้ รอจนหมอเก็บสเต็ตโทสโคปกลับไปแล้ว มันก็พลิกตัวอย่างคล่องแคล่ว แล้ววิ่งลงจากโต๊ะไปแอบอยู่ข้างหลังฉินสือโอวทันที


คุณหมอวัยกลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมอดที่จะสงสัยไม่ได้จริงๆ คุณวินนี่ครับ ดูท่าทางสัตว์เลี้ยงของคุณในตอนนี้ มันไม่ได้อ่อนแรงแม้แต่นิดเดียวเลยนะครับ”


วินนี่พูดด้วยความร้อนใจว่า “ไม่ค่ะ คุณหมอ สภาพของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ไม่ดีเลยจริงๆ หลังจากสามีของฉันป้อนน้ำอุ่นให้มันกินไปนิดหน่อยมันถึงได้ดีขึ้นอย่างตอนนี้”


คุณหมอปลอบเธอว่าไม่ต้องกังวลใจไป เขาแค่ล้อเล่นเฉยๆ หลังจากนั้นก็ออกแบบฟอร์ม เพื่อให้ทั้งสองคนไปพาต้าป๋ายไปตรวจอย่างละเอียด เมื่อได้ผลสรุปแล้วค่อยมาหาเขาอีกครั้ง


ความทรงจำที่ฉินสือโอวมีต่อโรงพยาบาลสัตว์ก็คือสถานพยาบาลสัตว์ที่บ้านเกิดของเขา ข้างในมีแต่เข็มฉีดยาน่ากลัวๆ กับยารักษาสัตว์สารพัดอย่าง


ครั้งนี้เมื่อมาที่โรงพยาบาลสัตว์เคลต์ เขาก็นับว่าได้เปิดมุมมองใหม่ พยาบาลถามเขาว่าอยากให้ตรวจร่างกายอย่างละเอียดเลยใช่ไหม ฉินสือโอวจึงบอกว่าใช่ หลังจากนั้นพยาบาลก็ออกใบชำระเงินให้กับเขา เป็นจำนวนเงินหนึ่งพันสี่ร้อยดอลลาร์แคนาดา!


ในประเทศแคนาดาที่ประชาชนเกือบทั้งหมดได้รับประกันสุขภาพ ค่าตรวจหนึ่งพันสี่ร้อยดอลลาร์ไม่ใช่เงินน้อยๆ เลย ฉินสือโอวไม่ได้ใส่ใจเงินจำนวนนี้ เขารูดบัตรจ่ายค่าธรรมเนียม หลังจากนั้นก็ให้ต้าป๋ายไปตรวจ


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมีค่าใช้จ่ายมากขนาดนี้ การตรวจครั้งนี้มีขั้นตอนที่ซับซ้อนมาก เครื่องมือที่ใช้มีกล้องตรวจระบบทางเดินอาหาร เครื่องตรวจวิเคราะห์ทางเคมีอัตโนมัติ ระบบเอกซเรย์ เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจสำหรับสัตว์ เครื่องมือรักษาทันตกรรมแบบครบวงจร ฯลฯ ต่อจากนั้นยังถึงกับใช้เครื่องตรวจคลื่นเสียงความถี่สูงกับระบบถ่ายภาพเอกซเรย์ดิจิตอล ที่โรงพยาบาลรักษาคนฉินสือโอวยังไม่เคยเห็นของพวกนี้เลยสักครั้ง


ผลการตรวจมีพยาบาลนำไปส่งให้ถึงมือหมอแล้ว ยุ่งกับการตรวจอยู่ครึ่งวัน ฉินสือโอวกับวินนี่ถึงได้พาต้าป๋ายที่ใกล้จะหมดลมหายใจกลับไปที่ห้องตรวจโรคของหมอ


วินนี่อุ้มต้าป๋ายไว้ด้วยความเจ็บปวดใจ ฉินสือโอวรู้สึกเสียใจนิดหน่อยที่พาต้าป๋ายมาโรงพยาบาลแห่งนี้ แม่งเอ๊ย อย่าทรมานต้าป๋ายให้ตายอยู่ตรงนี้เลย ดูท่าทางตอนนี้ โอพอสซัมเวอร์จิเนียถูกทรมานมาไม่เบาเลย


จะปล่อยให้ต้าป๋ายถูกทรมานอย่างศูนย์เปล่าไม่ได้ ดังนั้นหลังจากเข้ามาในห้องตรวจของหมอ ฉินสือโอวก็ถามด้วยความกระวนกระวายใจว่า “หมอครับ ลูกของพวกเราเป็นอะไรเหรอครับ?”


คุณหมอท่านนั้นไม่ได้ตอบคำถามออกมาตรงๆ เขาวางใบแสดงผลการตรวจกองนั้นลง แล้วพูดว่า “ทั้งสองคนยังจำคำพูดของผมตอนที่พวกเราเพิ่งได้พบกันได้ไหมครับ? ตอนนี้คนที่เลี้ยงโอพอสซัมเวอร์จิเนียเป็นสัตว์เลี้ยงพบได้น้อยมากแล้ว”


วินนี่กับฉินสือโอวพยักหน้ารับ คุณหมอจึงพูดต่อว่า “สาเหตุก็เป็นเพราะโอพอสซัมเวอร์จิเนียเป็นสัตว์ที่มีอายุขัยสั้นมาก ในสภาพแวดล้อมกลางป่า พวกมันจะมีอายุยืนที่สุดสองปี ถ้าถูกเลี้ยงในครอบครัวที่ดูแลอย่างดี ก็มีชีวิตอยู่ได้มากที่สุดสามถึงสี่ปี”


“ตามผลตรวจสอบจากห้องแล็บ ตัวพอสซัมตัวนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพียงแต่ว่ามันมีอายุมากแล้ว บางที ชีวิตของมันอาจจะเข้าสู่การนับถอยหลังแล้วก็ได้…”

 

 

 


บทที่ 1131 ทุกคนต่างก็เป็นข่งหรง[1]

 

เมื่อคำพูดของคุณหมอสิ้นสุดลง สีหน้าของฉินสือโอวก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าดูแล้ว ส่วนวินนี่ก็เผลอกอดต้าป๋ายแน่นขึ้น ต้าป๋ายเงยหน้ามองเธอ แล้วแลบลิ้นนุ่มนิ่มออกไปเลียหลังมือของวินนี่เบาๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลมเธอเหมือนเดิม


แต่พอเป็นแบบนี้ วินนี่ก็ยิ่งเป็นทุกข์มากกว่าเดิม


คุณหมอวัยกลางคนจึงพูดปลอบพวกเขาทั้งสองคนว่า “เกิดแก่เจ็บตาย เป็นกฎของธรรมชาติ ในเมื่อพวกคุณตัดสินใจเลี้ยงโอพอสซัมเวอร์จิเนียตั้งแต่แรก พวกคุณก็คงจะคิดไว้แล้วว่ามันอาจจะมีวันนั้น ใช่ไหมล่ะครับ?”


ฉินสือโอวฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “ใครจะรู้ล่ะครับว่าวันนั้นมันจะมาถึงเร็วขนาดนี้?”


คุณหมอจึงพูดกับเขาว่า “พระเจ้าได้แสดงความเมตตาของท่านอย่างมากแล้ว เพื่อนจากผลการตรวจอายุฟัน ลูกๆ ของพวกคุณก็มีอายุถึงสี่ปีครึ่งแล้ว ถ้าอยู่ในโอกาสอื่น อาจจะสามารถขอจดบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ไว้เลยก็ได้ ถ้าผมจำไม่ผิด ขีดจำกัดอายุของโอพอสซัมเวอร์จิเนียในตอนนี้น่าจะยังไม่ถึงสี่ปีนะ”


วินนี่ยังมีความหวัง เธอกอดต้าป๋ายเอาไว้แล้วถามคุณหมอด้วยความคาดหวังว่า “จะเป็นไปได้ไหมคะว่าการตรวจอาจจะมีปัญหา? พวกเราเลี้ยงดูเด็กน้อยตัวนี้ได้ไม่ถึงสองปี แล้วเขาจะมีอายุถึงสี่ปีกว่าได้อย่างไรกันคะ?”


คุณหมอก็ถามพวกเขาด้วยความประหลาดใจว่า “ตอนที่พวกคุณรับเลี้ยงมัน พวกคุณมั่นใจใช่ไหมครับว่ามันยังเป็นแค่ลูกพอสซัมอยู่? ถ้าเป็นอย่างนั้น งั้นผมแนะนำว่าให้พวกคุณลองไปตรวจที่โรงพยาบาลอื่นด้วยดีกว่านะครับ”


ฉินสือโอวฝืนยิ้มพร้อมกับส่ายหัว จะเป็นอย่างนั้นไปได้อย่างไรกัน ตอนที่ฉงต้าได้พบกับต้าป๋าย ตอนนั้นมันก็เป็นตัวพอสซัมที่โตเต็มวัยแล้ว หลังจากนั้นก็ถูกฉงต้าจับแล้วพามาที่ฟาร์มปลา


ตอนนี้เมื่อลองมาคิดๆ ดูแล้ว ก็พบว่ามีเค้าลางที่ทำนายเรื่องวันนี้ได้หลายอย่าง อย่างเช่น ในตอนนั้นฉงต้ายังโง่ๆ เซ่อๆ อยู่เลย แต่มันกลับสามารถจับต้าป๋ายไว้ได้ คาดว่าในตอนนั้นสมรรถนะทางกายภาพของต้าป๋ายคงลดลงอย่างรุนแรงแล้วเช่น วิ่งได้ช้า ปฏิกิริยาโต้ตอบช้าอะไรทำนองนั้น และหลังจากนั้นเป็นเพราะฉินสือโอวใช้พลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนจึงทำให้มันกลับมามีพละกำลังและความกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง


หรือหากยกตัวอย่างอีกอย่างหนึ่ง นับตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ที่ฟาร์มปลา ต้าป๋ายก็เป็นสัตว์ที่นิ่งและสุขุมมาก มันไม่เคยเล่นกันกับสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ จนสร้างวุ่นวายเลย ในตอนนั้นฉินสือโอวเดาว่ามันอาจจะมีนิสัยเก็บตัวหรือไม่ก็เงียบขรึมเย็นชา แต่ที่จริงเป็นเพราะมันโตแล้วต่างหาก


นึกไปถึงเมื่อสองวันก่อนตอนที่อยู่บนทะเล อยู่ๆ ต้าป๋ายก็เข้ามาใกล้ชิดเขากับวินนี่ด้วยตัวเอง อาจจะเป็นเพราะมันรู้สึกได้ว่าตัวเองคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว จึงตั้งใจที่จะสัมผัสกับเจ้าของที่เป็นคนเลี้ยงมันมาเป็นครั้งสุดท้าย


เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว หัวใจของฉินสือโอวก็เหมือนกับถูกมีดกรีด


คุณหมอวัยกลางคนจึงพูดขึ้นอีกว่า “อายุขัยของสัตว์จำพวกที่มีกระเป๋าหน้าท้องค่อนข้างสั้น จิงโจ้แดงที่มีอายุยืนที่สุด ก็มีชีวิตอยู่ได้แค่ประมาณยี่สิบปี อีกทั้งอายุขัยของโอพอสซัมเวอร์จิเนีย ยิ่งเป็นหนึ่งในสัตว์มีกระเป๋าหน้าท้องที่มีอายุขัยสั้นที่สุด ดังนั้นพวกเราเลยไม่เคยแนะนำให้ลูกค้าเลี้ยงสัตว์ชนิดนี้เป็นเพื่อนคู่ชีวิต”


วินนี่ใช้น้ำเสียงที่แทบจะเป็นการขอร้องวิงวอนถามคุณหมอว่า “ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอคะ?”


คุณหมอจึงตอบกับเธออย่างไร้ซึ่งหนทางว่า “จะมีทางไหนได้อีกเหรอครับ มาดาม? อายุของพอสซัมตัวนี้ ถ้าเทียบกับคนก็อาจจะมีอายุมากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบปี หรืออาจจะมากกว่านั้น! คุณจะหวังให้โรงพยาบาลทำให้คนที่มีอายุมากขนาดนั้นมีอายุยืนยิ่งกว่าเดิมได้ไหมล่ะครับ?”


ฉินสือโอวรู้ว่าคุยกับหมอต่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขากอดวินนี่กับต้าป๋ายเอาไว้ แล้วถามคุณหมอเป็นครั้งสุดท้ายว่า “แต่สุขภาพและสภาพร่างกายของต้าป๋ายของพวกเรายังดีอยู่ใช่ไหมครับ?”


คุณหมอบอกกับเขาว่า “มีปัญหาเรื่องโรคกระเพาะนิดหน่อยครับ แต่เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรับการรักษา ผมคิดว่า ที่มันอ้วกออกมาเมื่อก่อนหน้านี้ เป็นเพราะสมรรถนะร่างกายของมันเสื่อมถอยลงส่งผลให้การความสามารถในการทำงานของอวัยวะภายในลดต่ำลงจนกลายเป็นแบบนี้ หลังจากนี้พวกคุณต้องใส่ใจมันให้มากๆ ไม่อย่างนั้นมันอาจจะ…”


พอพูดถึงตรงนี้ คุณหมอก็ปิดปากเงียบพร้อมกับไหวไหล่ ถ้าพูดต่อจะยิ่งทำให้พวกเขาเสียใจยิ่งกว่าเดิม


ฉินสือโอวกำลังจะกลับแล้ว สัตวแพทย์ท่านนั้นก็อ่านผลตรวจอีกครั้ง แล้วพูดด้วยความลังเลใจว่า “เฮ้ ทั้งสองคนช่วยรอก่อนสักครู่หนึ่งนะครับ”


เขาไล่อ่านผลแล็บพวกนี้อย่างละเอียด เผยสีหน้าของความไม่แน่ใจออกมาบนใบหน้า “จากผลตรวจ พอสซัมตัวนี้มีอายุมากแล้วจริงๆ แต่ถ้าวิเคราะห์จากประสิทธิภาพของกิจกรรมทางชีวภาพแล้ว กิจกรรมทางชีวภาพของมันก็ถือว่าค่อนข้างดี ผมไม่รู้ว่าเกิดปัญหาจากตรงไหน ถ้าคุณคิดว่ามีความจำเป็น ถ้าอย่างนั้นผมขอแนะนำให้พวกคุณลองไปที่โทรอนโตดูดีกว่านะครับ”


เปลวไฟแห่งความหวังในดวงตาของวินนี่ลุกโชนขึ้น ส่วนฉินสือโอวก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาทันที ถึงอย่างไรพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็ได้ผล!


ไม่ต้องสงสัยเลย ต้าป๋ายอายุมากแล้วจริงๆ คาดว่าตอนที่มันอ้วกออกมาเมื่อก่อนหน้านี้ เป็นเพราะกิจกรรมทางชีวภาพของสมรรถนะทางร่างกายของมันลดลงอย่างรุนแรง ทำให้อ่อนแรงจนย่อยอาหารไม่ได้ แต่พอฉินสือโอวเพิ่มพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้มัน พลังชีวิตของมันจึงถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้ง


เมื่อคิดได้อย่างแน่ชัด ฉินสือโอวก็ไม่ค่อยกังวลแล้ว อย่างมากก็แค่ต้องเพิ่มพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้แก่ต้าป๋ายอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ วันต่อจากนี้ แบบนั้นมันจะต้องสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนานอีกช่วงหนึ่งแน่ๆ!


เมื่อกลับมาถึงที่รถ ในชั่วพริบตาเดียวฉงต้าก็โผเข้ามา อุ้มต้าป๋ายแล้ววางไว้ที่ไหล่ของตัวเอง พอหามุมได้แล้วก็นอนหมอบลงไป หลังจากนั้นก็ส่งเสียง ‘ครอกๆ ครอกๆ’ ออกมาจากในลำคอ ราวกับว่ามันกำลังคุยกับต้าป๋ายอยู่


เรคพูดด้วยใบหน้าอย่างคนไม่มีความสุขว่า “ในที่สุดพวกนายก็กลับมาเสียที”


ฉินสือโอวจึงถามเขาว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”


เรคชี้ไปที่กองถุงพลาสติกที่อยู่ข้างๆ ตัว แล้วบอกว่า “หมีของพวกนายตัวนี้กินเก่งเกินไปแล้ว แถมมันยังเลือกกินมากๆ อีกต่างหาก เห็นไหมว่าฉันซื้อของมาเยอะแค่ไหน ของทั้งหมดก็เพื่อปลอบมันทั้งนั้น พอไม่มีอะไรให้กิน มันก็จะร้องฮือๆ ออกมา เป็นปีศาจน้อยที่น่ารำคาญจริงๆ”


ฉินสือโอวจึงปลอบเขาว่า “ไม่เป็นไรหรอก ฉันเห็นว่ามันไม่ได้กินขนมเยอะเท่าไรเลยไม่ใช่เหรอ? ยังเหลืออยู่ตั้งเยอะ”


เรคเปิดถุงพลาสติกออกแล้วเอาให้เขาดู “ไม่ มันไม่ได้อยู่ที่ว่ามันกินไม่เยอะ แต่เป็นเพราะมันเลือกกิน! นายดูถุงพวกนี้สิ ทุกๆ ถุงถูกเปิดหมดแล้วใช่ไหมล่ะ? เพราะอะไร? เพราะมันอยากจะลองชิมทีละอัน ถ้าไม่ถูกปาก แม้แต่นิดเดียวมันก็ไม่กิน!”


วินนี่จึงพูดกับเขาบ้างว่า “คุณต้องเข้าใจเขาด้วยสิคะ เด็กน้อยตัวนี้ไม่ได้เลือกกิน แต่กำลังระบายความเครียดอยู่ต่างหาก”


เรคหันไปมองฉงต้า ฉงต้าก็เงยหน้าแล้วอ้าปากโชว์เขี้ยวแหลมคมใส่เขา พร้อมกับทำท่าทางคุกคาม เขาจึงรีบพยักหน้า พูดว่า “ฉันเชื่อแล้วล่ะ”


หลังจากกลับมาถึงฟาร์มปลา ต้าป๋ายก็กลายเป็นสัตว์เลี้ยงสำคัญที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี


วินนี่ทำรังเล็กๆ ในห้องนอนไว้ให้มัน ตั้งไว้ที่ข้างๆ เตียงนอน ทว่าต้าป๋ายเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์มาก พอถึงเวลานอนมันก็ไปหาฉงต้า แล้วนอนหมอบอยู่ข้างๆ กัน


ในเวลาอาหารมื้อค่ำ ฉงต้าขยับกะละมังอาหารของตัวไปไว้ตรงด้านหน้าต้าป๋าย เพื่อให้ต้าป๋ายกินก่อน ต้าป๋ายยื่นหัวมามองดู หลังจากนั้นก็ดันกลับไปให้ฉงต้าอย่างไม่ลังเล อาหารของฉงต้าเลี่ยนเกินไปจริงๆ โอพอสซัมเวอร์จิเนียย่อยอาหารที่มีไขมันไม่ได้


หู่จือกับเป้าจือมองดูกะละมังอาหารของตัวเอง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ พวกมันก็ดันกะละมังอาหารไปไว้ข้างๆ ต้าป๋ายด้วยเช่นกัน


ต้าป๋ายดันกลับมาด้วยท่าทีที่แน่วแน่ยิ่งกว่า ให้ตายสิ กะละมังอาหารของแลบราดอร์มีแต่อาหารหมากับเนื้อสเต๊ก แกจะให้ฉันกินอาหารหมาหรือเนื้อสเต๊กมันๆ กันล่ะ?


ลูกแมวป่ากับหลัวปอก็ดันกะละมังอาหารของตัวเองเข้าไปให้ต้าป๋ายเหมือนกัน นี่ทำให้ต้าป๋ายหดหู่สุดๆ ไอ้เวรพวกนี้ ทำไมมีแต่สัตว์กินเนื้อกันล่ะเนี่ย?!


บุชกับนิมิตส์ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เห็นทุกๆ ตัวพากันดันกะละมังอาหารไปทางนั้น พวกมันเลยดันของตัวเองเข้าไปด้วย


ต้าป๋ายตะลึงตาค้างไปแล้ว ในกะละมังมีปลาคาพีลินอยู่สองสามตัว ยังเป็นๆ อยู่ด้วย! จะเอาเข้าปากอย่างไร?


ลูกนกอินทรีทองแคลร์อยากเข้ามาเล่นด้วย แต่มันยังเด็กเกินไป กระทั่งกะละมังอาหารก็ไม่มีเหมือนตัวอื่นๆ…


ปอหลัวที่กำลังกินอาหารอย่างตะกละตะกลามมองเห็นเหตุการณ์นี้ มันก็ดันกะละมังอาหารของตัวเองไปให้ต้าป๋ายอย่างสบายๆ แล้วบอกกับมันอย่างเท่ๆ ว่า กินสิ อยากกินอะไรก็กินได้เลยนะ หลังจากนั้น มันก็มองดูต้าป๋ายตาปริบๆ รอให้ต้าป๋ายดันกะละมังของตัวเองกลับคืนมา


ต้าป๋ายก้มหน้ามองกะละมังอาหาร ในกะละมังของกวางอูฐขนสีทองเป็นอาหารจำพวกเบอร์รีกับผักสดทั้งหมด อีกทั้งผักที่เจ้านี่กินก็อ่อนนุ่มยิ่งกว่า และสวนผักก็เป็นอาณาเขตของมัน ผักที่ไม่นุ่มมันไม่กินหรอก


เมื่อเป็นเช่นนี้ต้าป๋ายจึงก้มลงไปใกล้กะละมังเพื่อกินอาหาร ปอหลัวตะลึงตาค้างทันที หลังจากนั้นก็รีบเข้าไปแย่งกะละมังอาหารของตัวเองคืน


อุ้งเท้าหมีขนาดมหึมาข้างหนึ่งฟาดเข้าที่หน้าของมัน พอปอหลัวเงยหน้าขึ้น ก็พบใบหน้าที่แสดงท่าทางดุร้ายกับเขี้ยวแหลมคมของกับฉงต้า หลังจากนั้นมันเลยยอมถอยกลับไปอย่างเงียบๆ…


………………………………………………


[1] ข่งหรง ตัวละครจากนิทานเรื่องข่งหรงสละลูกแพร์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)