ลำนำบุปผาพิษ 1125-1130
บทที่ 1125 ใครมุ่งร้ายใคร 6
เพียงแต่โลหิตบนร่างเป็นของ ‘ตี้ฝูอี’ จริงๆ และอูอู๋เหยียนก็เล่นละครได้ดีจริงๆ สามารถปกปิดตี้ฝูอีได้ ด้วยเหตุนี้ยามนี้จึงประสบความสำเร็จในคราวเดียวและไม่เกิดอุบัติเหตุอย่างที่คาดไว้
เป็นเขาที่ประเมินสติปัญญาตี้ฝูอีไว้สูงเกินไป ถึงอย่างไรเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง เมื่อตกสู่ห้วงรัก เขาก็ไม่ต่างไปบุรุษทั่วไปเลย
การลงมือครั้งนี้ราบรื่นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ลูกน้องสองคนนั้นของตี้ฝูอีตกอยู่ภายใต้การรุมโจมตีของโม่เจ้ารวมถึงยอดฝีมืออีกหลายคน จึงพลาดท่าถูกจับตัวได้เช่นกัน
….
รถม้าสิงโตเวหาที่ธรรมดายิ่งนักสามคันเหินบินผ่านฟากฟ้า
กู้ซีจิ่วนอนอยู่ในรถคันหนึ่ง ผู้ที่นั่งด้านซ้ายคือโม่เจ้า ผู้ที่นั่งอยู่ด้านขวาคือตี้ฝูอีที่แปลงโฉมเป็นสตรีบรรเลงผีผา
ยามนี้ตี้ฝูอีซุกตัวอยู่ในซอกมุมหนึ่ง ความมีตัวตนเลือนรางยิ่งนัก โม่เจ้าก็ไม่สนใจจะมองเขาเช่นกัน
เมื่อครู่หลงฟั่นอธิบายสถานการณ์ที่พากู้ซีจิ่วมาด้วยในครั้งนี้ให้เขาฟังแล้ว แน่นอนว่าบอกเรื่องที่รับตัวสตรีบรรเลงผีผาไว้ด้วยเช่นกัน
โม่เจ้าทราบว่าหลงฟั่นกระทำการละเอียดรอบคอบ จึงไม่เก็บมาใส่ใจ ตอนนี้ในใจเขาเต็มไปด้วยความปีติยินดีที่ได้ชัยกลับมา อารมณ์ดียิ่งนัก เขาจึงพูดคุยด้วยง่ายเป็นพิเศษ ดังนั้นเมื่อทราบจากปากหลงฟั่นว่ากู้ซีจิ่วหลบหนี เขาก็ไม่ได้ลงโทษเธออย่างจริงจัง ซ้ำยังโดยสารรถม้าคันเดียวกับเธอด้วย
ส่วนหลงฟั่นถูกจัดให้ไปนั่งรถม้าอีกคันหนึ่ง ‘ตี้ฝูอี’ บาดเจ็บสาหัส หลงฟั่นต้องรักษาลมหายใจตี้ฝูอีไว้ก่อนชั่วคราว ไม่ให้สิ้นชีพไป เนื่องจากท่านมารสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ยังต้องใช้ประโยชน์เขาอยู่
กู้ซีจิ่วตัวปลอมคนนั้นก็ถูกจัดให้นั่งอยู่ในรถม้าคันนั้นด้วย
ลูกน้องสองคนนั้นของตี้ฝูอีก็บาดเจ็บสาหัสเช่นกัน และถูกจัดให้อยู่ในรถม้าอีกคันหนึ่ง จัดคนเฝ้าดูไว้
ส่วนลูกน้องคนอื่นๆ ก็เหมือนตอนขามา แบ่งเป็นกลุ่มล่ะไม่กี่คน แยกย้ายกันกลับ แบบนี้ถึงจะไม่ดึงดูดของผู้คนระหว่างทาง
และไม่ทราบว่าในใจของหลงฟั่นคิดอะไรอยู่ เมื่อได้ยินโม่เจ้าบอกว่าเขาต้องการนั่งรถม้าคันเดียวกับกู้ซีจิ่ว เขาก็จัดให้สตรีบรรเลงผีผามานั่งด้วย บอกว่ากู้ซีจิ่วเคลื่อนไหวไม่สะดวก ต้องมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ…
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสามคนจึงอยู่ในรถม้าคันเดียวกันเช่นนี้แล
เนื่องจากเดินทางกลับอย่างเร่งรีบ วัตถุแปลงโฉมบนหน้ากู้ซีจิ่วเลยยังไม่ได้ล้างออก ด้วยเหตุนี้เธอจึงยังมีใบหน้าเหี่ยวย่นเหมือนไม้ใกล้ฝั่งอยู่ กำลังนอนพิงอยู่ตรงนั้น
ถึงแม้โม่เจ้าจะชอบนาง แต่พอเห็นใบหน้าเฒ่าชราเช่นนี้ของนางก็รู้สึกหมดอารมณ์ยิ่งนัก ยังคงสุภาพอ่อนโยนดั่งสุภาพชนอยู่ตลอดการเดินทาง โบกพัดจีบในมือพูดคุยสารพัดเรื่องกับกู้ซีจิ่ว บางครั้งก็เหลือบมองสตรีบรรเลงผีผาบ้างเป็นครั้งคราว เมื่อเห็นนางเรียบร้อยว่าง่ายประหนึ่งสะใภ้ตัวน้อย ก็ไม่สนใจนางอีก
โม่เจ้าเห็นตี้ฝูอีเป็นหนามยอกอกเสมอมา วันนี้เมื่อจับกุมคนได้แล้ว เขาจึงยินดีปรีดาอย่างยิ่ง ทั้งวงคิ้วและนัยน์ตาล้วนซ่อนเร้นความปีติภาคภูมิไว้ไม่อยู่
อันที่จริงเขาอยากทำให้ความทรงจำของกู้ซีจิ่วกลับคืนมายิ่งนัก ให้นางได้เห็นว่าสุดท้ายแล้วชายคนรักของนางต้องพบจุดจบอย่างไร อยากเห็นท่าทางเจ็บปวดร้าวรานของนาง…
มิเช่นนั้นเขาจะมีความรู้สึกอึดอัดปานสวมชุดงามสง่าย่ำราตรีมืดมิด[1]อยู่ตลอด
เสมือนยามนี้ นางเห็นชัดเจนด้วยตาตนว่าตี้ฝูอีบาดเจ็บสาหัสตกอยู่ในกำมือของเขาแล้วดวงหน้าน้อยๆ ที่เดิมทีควรจะเจ็บปวดร้าวรานกลับสงบราบเรียบ ถึงขั้นที่ยังมีแก่ใจมาถกเรื่องประเพณีค่านิยมกับเขาด้วย…
จู่ๆ โม่เจ้าก็เอ่ยถามกู้ซีจิ่วประหนึ่งว่า “ซีจิ่ว เจ้าไม่สงสัยหรือว่าคนที่ข้าจับตัวมาในวันนี้คือผู้ใด?”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว ถามกลับไป “มีความเกี่ยวข้องกับข้างั้นหรือ?”
โม่เจ้ายิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไร นัยน์ตาคู่นั้นมองดูเธอ จู่ๆ ก็เอ่ยประโยคที่ไม่สัมพันธ์กันขึ้นมา “ซีจิ่ว ไม่เคยมีผู้ใดกล้าหลบหนีออกไปจากอาณาเขตของข้ามาก่อน ถึงแม้ว่าครั้งนี้เจ้าแค่อยากหนีออกไปชมทิวทัศน์ภายนอกเท่านั้น แต่ก็สมควรจะได้รับบทลงโทษเสียบ้าง และเจ้าก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนความมุทะลุในครั้งนี้ของตนด้วย”
กู้ซีจิ่วคล้ายจะคาดไม่ถึงว่าเขาจะคิดบัญชีย้อนหลังด้วย “ค่าตอบแทนอะไร?”
“แต่งกับข้า!”
——————————————–
บทที่ 1126 ละครพลิกผัน
กู้ซีจิ่วตกตะลึง
สตรีบรรเลงผีผาที่ขดตัวเล่นปิ่นเงินด้ามหนึ่งอยู่ตรงมุมห้องโดยสาร วาจาของโม่เจ้าทำให้มือนางสั่นสะท้านทันที ปิ่นเงินร่วงลงในห้องโดยสาร เกิดเสียงดังเคร้ง
สายตาของโม่เจ้าหันเหไปหาทันใด น้ำเสียงที่เอ่ยเยียบเย็น “เจ้าตกใจอะไร?”
พลังอำนาจบนร่างเขากล้าแข็งนัก ทำให้อุณหภูมิของทั้งห้องโดยสารแทบจะลดฮวบลง สตรีบรรเลงผีผาถูกพลังอำนาจของเขากดข่ม จึงหดตัวเข้าไปอีก เพียงแต่ยังคงกล่าวความคิดเห็นของตนออกมา “คุณชาย…คุณชายจะแต่ง…จะแต่งกับนายผู้เฒ่าหรือเจ้าคะ?”
โม่เจ้าตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เพิ่งนึกขึ้นได้ว่ากู้ซีจิ่วยังคงสวมใบหน้าชายชราอยู่ มิน่าเล่าสตรีบรรเลงผีผานางนี้ถึงตกใจ
เขาหัวเราะเบาๆ ยื่นมือไปลูบหน้ากู้ซีจิ่วคราหนึ่ง “ใช่แล้ว ข้าชมชอบนาง ย่อมต้องการแต่งกับนาง…”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแรงแวบหนึ่ง หวั่นว่าตี้ฝูอีจะระเบิดอารมณ์ออกมา สบจังหวะที่โม่เจ้าไม่ได้ระแวดระวัง รีบมองเขาแวบหนึ่ง ส่งสัญญาณให้เขาสงบไว้
มือของตี้ฝูอีที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น อยากตะกุยเล็บใส่ใครบางคนยิ่งนัก!
เขาเริ่มใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ที่จะปฏิวัติขึ้นที่นี่
เคราะห์ดีที่โม่เจ้าเองก็รักสะอาดเช่นกัน ถึงแม้เขาจะอยากเอาเปรียบกู้ซีจิ่ว แต่เมื่อเผชิญกับใบหน้าที่ยับย่นประหนึ่งนาแบบขั้นบันไดของกู้ซีจิ่ว เขาก็ยังคงหมดอารมณ์อยู่ดี นั่งตัวตรงอีกครั้ง มองสตรีบรรเลงผีผาแวบหนึ่ง “เจ้าเรียกว่าเทียนเกอรึ? มา บรรเลงบทเพลงให้ข้าฟังสักหน่อย”
ขอเพียงเจ้าคนผู้นี้ไม่แทะโลมกู้ซีจิ่ว ตี้ฝูอีก็ยังคงอารมณ์ดียิ่งนักอยู่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงดีดผีผาขึ้นจริงๆ เสียงผีผาดุจกิ่งไม้ยังไม่แตกใบอ่อนที่แกว่งไกวไปตามสายลมฤดูใบไม้ผลิ คล้ายจะอบอุ่นและคล้ายจะเหน็บหนาว ดังติงๆ ตังๆ คลอไปตลอดทาง
โม่เจ้ายิ้มน้อยๆ รับฟัง เคลิบเคลิ้มไปกับเสียงผีผานี้ ริมฝีปากสีแดงอ่อนจางหยักโค้งดั่งจันทร์แรม
ในใจกู้ซีจิ่วคล้ายมีกระแสน้ำซัดสาดขึ้นลง ตี้ฝูอีทุ่มเทเพื่อเธอโดยแท้ เรื่องไร้ขีดจำกัดล่างอันใดล้วนกระทำออกมาหมดสิ้น ยามนี้เทพศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งเหนือปวงชนเช่นเขากลับรับบทเป็นหญิงขับร้องบรรเลงผีผาให้มารสวรรค์ตนหนึ่งฟัง…
โม่เจ้า เจ้าคอยก่อนเถอะ ให้เจ้าได้ใจไปก่อนสักพัก รอจนเข้าไปถึงรังของเจ้า เจ้าจะกลายเป็นฝ่ายที่ต้องร่ำไห้บ้าง!
พวกเราจะทารุณจนเจ้าร้องไห้ถึงบิดามารดรแน่นอน!
ความจริงแล้วในใจของกู้ซีจิ่วยังมีข้อสงสัยอีกมากมายที่ยังไม่ทันได้ถาม อย่างเช่นคนที่ปลอมตัวเป็นตี้ฝูอีในยามนี้คือใคร? บาดเจ็บจริงหรือหลอก? เขาได้จัดการให้คนอื่นแทรกซึมเข้ามาด้วยหรือเปล่า?
นิ้วมือเธอเคาะเบาๆ อยู่ข้างตัว ราวกับเคาะให้เข้าจังหวะกับเสียงผีผาอยู่ ความจริงแล้วยังเป็นการส่งรหัสมอสต์เช่นเดิม
ตี้ฝูอีย่อมมองเห็นแล้ว สีหน้าเขาเรียบเฉย จวบจนดีดผีผาจบไปหนึ่งบทเพลง เสียงดนตรียังคงอ้อยอิ่งกังวานอยู่ภายในรถม้า
ตี้ฝูอีกำลังวางผีผาลง หมายจะอาศัยการทุบขาส่งข่าวให้กู้ซีจิ่ว ทว่าโม่เจ้ากลับสนอกสนใจฟังเพลงแล้ว “ดีดได้ไม่เลว! เป็นระดับปรมาจารย์โดยแท้ มาดีดอีกเพลง ข้าจะบรรเลงร่วมกับเจ้าด้วย”
เขาหยิบขลุ่ยไผ่เขียวมรกตเลาหนึ่งออกมา หมุนควงด้วยปลายนิ้ว
ในเวลาเช่นนี้ตี้ฝูอีย่อมขัดขืนเขาไม่ได้ ดีดขึ้นอีกเพลงหนึ่งจริงๆ เขาเพิ่งจะขึ้นทำนอง เสียงขลุ่ยของโม่เจ้าก็ประสานเข้ามาแล้ว เป็นการบรรเลงคู่ที่ยอดเยี่ยมนัก
ต้องกล่าวเลยว่าโม่เจ้าผู้นี้มีพรสวรรค์ด้านดนตรียิ่งนัก บรรเลงขลุ่ยได้นุ่มนวลรื่นหู เสมือนสายลมโชยผ่านแมกไม้ในยามราตรี และเสมือนดวงตะวันเคลื่อนคล้อยลับทิวเขา ม่านรัตติกาลค่อยๆ คลี่ลงมา ครอบคลุมทั้งโลกเอาไว้
เสียงผีผาที่ตี้ฝูอีบรรเลงเดิมทีสดใสดั่งวันฟ้าโปร่ง อบอุ่นปานสายลมฤดูใบไม้ผลิ ทำให้คนที่ได้ยินสงบสุขผ่อนคลาย กู้ซีจิ่วถึงขั้นที่รู้สึกว่าเสียงผีผานี้ของเขามีผลทะลุทะลวงชีพจรของคนได้ ทำให้เธอรู้สึกว่าชีพจรที่ถูกสกัดไว้ไม่ชาหนึบถึงเพียงนั้นแล้ว
แต่เมื่อเพิ่มเสียงขลุ่ยของโม่เจ้าเข้ามา กลับเสมือนสายลมฤดูใบไม้ร่วงโหมผ่านโลกา พัดพาบรรยากาศเขียวชอุ่มของฤดูใบไม้ผลิกระจัดกระจายไป ชีพจรของเธอที่เดิมทีไหลเวียนสะดวกขึ้นมาบ้างแล้วดูเหมือนจะตีบตันยิ่งกว่าเดิม ตีบตันจนทำให้กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างปวดชาไปด้วย…
———————————————-
[1] สวมชุดงามสง่าย่ำราตรีมืดมิด อุปมาถึงการประสบความสำเร็จได้รับเกียรติยศชื่อเสียง แต่ไม่มีใครรับรู้ถึงความสำเร็จของตน
บทที่ 1127 ละครพลิกผัน 2
เธอใจเต้นแวบหนึ่ง หรือว่าสองคนนี้กำลังประชันกันอย่างไม่รู้ตัวอยู่?
บรรเลงบทเพลงไปได้ครึ่งหนึ่ง ตี้ฝูอีก็ดีดต่อไปไม่ได้แล้ว นิ้วมือเขาชะงัก สายผีผาจึงถูกปลายนิ้วเขาเกี่ยวจนขาด โชคดีที่เขาชักมือกลับอย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้นเกรงว่าคงถูกบาดนิ้วแล้ว
โม่เจ้าก็หยุดบรรเลงเช่นกัน ดูเหมือนเขาจะยังไม่หนำใจ “ทำไมไม่ดีดต่อ?”
ตี้ฝูอีมองผีผาของเขา “สายขาดแล้วเจ้าค่ะ” พลางเริ่มขึ้นสายผีผาอีกครั้ง
โม่เจ้ายิ้มอย่างสง่างามแวบหนึ่ง ไม่สนใจเขาอีก
….
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม อุณหภูมิในรถร้อนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองจากที่ไกลๆ สามารถมองเห็นควันจากภูเขาไฟลูกนั้นลอยโขมงขึ้นมาแล้ว
ตี้ฝูอีมองภูเขาไฟลูกนั้นลอบถอนหายใจคราหนึ่ง
หลายวันก่อนเขาเคยตามรอยหลงซือเย่มาถึงสถานที่แห่งนี้แล้ว ซ้ำยังพบร่างโคลนนิ่งร่างนั้นของเย่หงเฟิงด้วย อันที่จริงยามนั้นเขาก็รู้สึกเช่นกันว่าในภูเขาไฟลูกนี้อาจมีปริศนาอะไรอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงส่งสายลับมาสืบค้นสถานที่แห่งนี้ดูรอบหนึ่งแล้ว ไหนเลยจะคาดคิดว่าพวกเขาจะอยู่ใต้ลาวาภูเขาไฟ…
หลงฟั่นผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ! เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง
“ซีจิ่ว พวกเราถึงบ้านแล้ว” โม่เจ้าที่นั่งอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว ยื่นมือไปหมายจะพยุงเธอลุกขึ้น
“ให้บ่าวทำเถอะเจ้าค่ะ” สตรีบรรเลงผีผาก้าวเข้ามาอย่างกระตือรือร้น
โม่เจ้าก็ไม่ยื้อแย่งกับผู้อื่น ผลักกู้ซีจิ่วที่อยู่ในอ้อมอกไปทางสตรีบรรเลงผีผานางนั้นจริงๆ “ได้ ระวังด้วยล่ะ”
วินาทีนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันขึ้น!
เวลาเดียวกับที่โม่เจ้าผลักกู้ซีจิ่วไปด้านหน้า คมมีดที่เปรียบดังอสรพิษก็พุ่งออกมาด้วย พุ่งตามกู้ซีจิ่วหมายจะแทงเข้าที่ทรวงอกของสตรีบรรเลงผีผา!
วรยุทธ์เขาสูงส่ง อีกทั้งครั้งนี้เป็นการจู่โจมอย่างกะทันหันด้วย ระยะทางก็ใกล้กันถึงเพียงนี้ ตามที่เขาคำนวณไว้ไว้ตี้ฝูอีต้องหลบไม่มีทางหลบพ้น! จะต้องแทงทะลุทรวงอกของอีกฝ่ายได้แน่นอน!
นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตื่นตัวยิ่งนัก ถึงแม้เรื่องจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่ความสามารถในการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินกลับแกร่งกล้าเหนือธรรมดา ร่างกายโค้งงอปานคันธนู คมมีดสีเขียวเจิดจ้าเล่มนั้นจึงแทงเฉียดอกเขาไป!
การโจมตีท่านี้ของโม่เจ้ากรีดแทงผ่านอากาศปานฟ้าผ่า ไม่โดนแม้แต่สาบเสื้อของอีกฝ่าย
เรื่องครานี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เปลี่ยนแปลงว่องไวจนกู้ซีจิ่วก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ เนื่องจากทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป แทบจะในชั่วพริบตาเท่านั้น
การลอบกัดและปฏิกิริยาตอบสนองต่อการลอบกัดก็นับว่าเป็นการแข่งขันอย่างหนึ่ง
ผ่านไปอีกชั่วพริบตาหนึ่ง โม่เจ้าก็โอบเธอไว้ในอ้อมแขนแล้ว คมมีดสีเขียวในมือจ่ออยู่ที่ลำคอระหงของเธอ เขามองตี้ฝูอีที่กระเด้งตัวขึ้นมา ยิ้มอย่างผิดหวังยิ่งแวบหนึ่ง “ตี้ฝูอี ปฏิกิริยาตอบสนองของเจ้าช่างรวดเร็วจนน่าตะลึงจริงๆ ถึงขนาดนี้แล้วก็ยังทำร้ายเจ้าไม่ได้”
ความจริงเปิดเผยออกมาจนสิ้นแล้ว
นึกไม่ถึงว่าจะกลับตาลปัตรเช่นนี้
ตี้ฝูอีถอนหายใจ ทราบว่าตนถูกจับได้แล้ว เขาก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน ไม่เสแสร้งแกล้งทำอีกต่อไป พลันกอดอกกล่าวขึ้นว่า “เจ้ามองข้าออกได้อย่างไร?”
โม่เจ้าหรี่ตาลงนิดๆ เมื่อเห็นกลิ่นอายของคนผู้นี้แข็งแกร่งขึ้นมาในชั่วพริบตา ก็ยิ้มแวบหนึ่ง “ตี้ฝูอี เจ้าฉลาดมาก ชำนาญการใช้แผนซ้อนแผนถึงเพียงนี้ เพียงแต่ เจ้าเป็นจิ้งจอก ข้าเองก็มิใช่ไก่อ่อนเช่นกัน ทักษะการแสดงของเจ้ายอดเยี่ยมนัก แต่ทักษะการแสดงของลูกน้องเจ้ายังด้อยอยู่บ้าง ซ้ำยังเผยพิรุธเล็กๆ น้อยๆ อีก ยกตัวอย่างเช่นเขาถูกอูอู๋เหยียนแทงอย่างง่ายดาย ถึงแม้อูอู๋เหยียนจะวางยาพิษเขาล่วงหน้าแล้ว แต่ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่าด้วยความฉลาดเฉลียวและฝีมือของเจ้า ต่อให้ติดกับไปชั่วขณะหนึ่ง ก็คงขับพิษออกมาได้ทันที ผลคือเขาไม่ทำ…”
โม่เจ้าเปิดโปงแผนการของตี้ฝูอี ซ้ำยังใจดียิ่งนัก คลายข้อสงสัยให้เขาอย่างยินดีด้วย
———————————————–
บทที่ 1128 ละครพลิกผัน 3
“ยามนั้นข้าเพียงสงสัยเล็กน้อยว่านั่นคือเจ้าตัวปลอม ก่อนขะขึ้นรถข้าจึงให้หลงฟั่นตรวจดูบาดแผลของเขาเป็นพิเศษ พบว่าบาดแผลของเขาไม่ถึงแก่ชีวิต อย่างน้อยก็ไม่บาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนั้น และโลหิตของเขาก็ไหลแตกต่างจากโลหิตที่ไหลเพราะถูกแทงในยามนั้น ดังนั้นเมื่อขึ้นม้ามา ข้าจึงทราบว่านั่นคือตัวปลอม ในเมื่อมีตัวปลอมอยู่ที่นั่น ตัวจริงก็คงมาด้วยเช่นกัน ต้องปะปนอยู่ในกลุ่มคนที่ติดตามมาแน่นอน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงนึกถึงเจ้า มีเพียงสตรีผู้บรรเลงผีผาอย่างเจ้าที่นำตัวมาส่งถึงหน้าประตู…ยามนั้นข้างจึงสงสัยยิ่งแล้วว่าจะเป็นเจ้า เมื่อได้เห็นท่าทางที่เจ้าปฏิบัติต่อกู้ซีจิ่วหลังจากขึ้นรถมาแล้ว…ข้าจึงคาดเดาได้เกือบสิบส่วนแล้วว่าเป็นเจ้า!” โม่เจ้าสาธยายออกมา
ตี้ฝูอีมองเขาอย่างเฉยชา “ข้าถามแค่ประโยคเดียว เจ้าตอบเสียยืดยาวถึงเพียงนี้ เผยออกมาจนหมดเปลือกก็ไม่ได้ทำให้เจ้าเป็นสุขขึ้นมาหรอก”
โม่เจ้าเม้มริมฝีปาก “ตี้ฝูอี พูดเหลวไหลให้น้อยหน่อย จ้าคิดจะทำอย่างไร?”
ตี้ฝูอีกะพริบตาปริบๆ “อะไรคือทำอย่างไร?”
ยกตัวกู้ซีจิ่วที่อ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขนตนขึ้นมา “ตอนนี้นางอยู่ในกำมือข้าแล้ว เจ้าไม่กลัวข้าจะทำร้ายนางหรือ?”
หลังจากกล่าวประโยคนี้จบเขาก็ตะลึงงัน เนื่องจากภายในรถม้าไม่มีเงาร่างของตี้ฝุอีอยู่แล้ว…
หนีไปแล้วเรอะ?!
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้จะหนีไปเช่นนี้น่ะหรือ!
โม่เจ้าค่อนข้างตะลึงพรึงเพริดอย่างที่พบเห็นได้ยาก เขาวางแผนไว้อย่างดี ถึงแม้ว่าคมมีดเมื่อครู่จะลอบโจมตีไม่สำเร็จ แต่เขาคุมตัวคนรักของอีกฝ่ายเอาไว้แล้ว นึกว่าจะอาศัยข้อนี้ข่มขู่ตี้ฝูอีได้ ทำให้ตี้ฝูอีได้แต่ยอมจำนน ปล่อยให้เขาแล่เนื้อเถือหนังเอาชีวิต ยอมให้เขาทำตามอำเภอใจ
ต่อห้ความรักที่ตี้ฝูอีมีต่อกู้ซีจิ่วจะไม่ลึกซึ้งถึงเพียงนั้น แต่อย่างน้อยเขาก็น่าจะหาทางทำให้เขาเชื่อใจก่อน แล้วเจรจาต่อรองกับเขามิใช่หรือ?!
นึกไม่ถึงว่าเขาจะเลือกหนีไปตรงๆ เช่นนี้เลย! หนีไปแล้ว!
ในเมื่อตี้ฝูอีหนีไปแล้ว เช่นนั้นเขาจะจับตัวกู้ซีจิ่วไปข่มขู่ผู้ใดเล่า?
โม่จ้าวหลุบตามองกู้ซีจิ่วที่อยู่ในอ้อมแขนเขา ยกยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง “เสี่ยวซีจิ่ว ดูเหมือนความรักที่เขามีต่อเจ้าจะไม่ได้ลึกซึ้งถึงเพียงนั้นนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะหนีไปอย่างไม่สนใจความเป็นความตายของเจ้าเช่นนี้!”
อันที่จริงกู้ซีจิ่วแสนโล่งอก เธอหวาดกลัวจริงๆ ว่าตี้ฝูอีจะเป็นเช่นเดียวกับในหนังที่เคยดู ตัวร้ายจับนางเอกไว้ จากนั้นก็ข่มขู่ให้พระเอกวางปืนลงหรือไม่ก็ทำร้ายตัวเองซะ บรรดาพระเอกผู้เก่งกล้าสามารถมาโดยตลอดเหล่านั้นย่อมวางปืนลงอย่างไม่ไยดีทุกสิ่งจริงๆ ทำร้ายตัวเองจริงๆ ทำให้ตัวร้ายพอใจ ผลคือตัวร้ายไม่ได้ปล่อยตัวนางเอก แถมยังจับตัวพระเอกได้ด้วย ทำให้พระเอกอัปยศอดสูต่อหน้านางเอก…
เท่ากับว่าเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้เลย แถมยังทำให้ความหวังเพียงหนึ่งเดียวพังทลายด้วย
ทุกครั้งที่กู้ซีจิ่วเห็นฉากแบบนี้จะรู้สึกว่าพระเอกโง่เง่ายิ่งนัก โชคดีที่ตี้ฝูอีมิใช่พระเอกประเภทนี้ ในใจกู้ซีจิ่วยังคงปีติยินดีนัก
แน่นอนว่าเธอปีติยินดีอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ายังคงเผยแววใคร่ครวญประกอบกับเข้าใจขึ้นมาในทันใด ถามเขาอย่างจริงจัง “ท่านเจ้า พวกท่านหลอกข้าเหรอ!”
โม่เจ้าถูกวาจาที่ไม่สัมพันธ์กันประโยคนี้ของเธอทำให้ทึ่มทื่อไปเล็กน้อย “หะ?”
“พวกท่านบอกว่าข้าเพิ่งทะลุมิติมา สิ่งที่เห็นเมื่อลืมตาขึ้นมาก็คือพวกท่าน เช่นนั้นข้ากับเขาจะไปเอาความรักมาจากไหน? แล้วทำไมเขาต้องสนใจความเป็นความตายของข้าด้วย?”
โม่เจ้าแข็งค้างไปแล้ว
“ท่านเจ้า ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าต้องการแต่งกับข้านะ!” ริมฝีปากน้อยของกู้ซีจิ่วเม้มแน่นกว่าเดิม
เวรเอ้ย ก่อนหน้านี้ยังบอกว่าจะแต่งกับเธออยู่เลย ราวกับเธอเป็นยอดรักของเขา ต่อมาไม่ทันไรก็พลิกโฉมหน้าไม่รู้จักกันเสียแล้ว ช่างสมกับเป็นมารสวรรค์โดยแท้ ทำให้รู้สึกรักไม่ลงเลย!
ใบหน้าหล่อเหลาของโม่เจ้าเขียวคล้ำ รู้สึกเพียงว่ามีโลหิตสายหนึ่งอุดอยู่ในลำคอ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
———————————————–
บทที่ 1129 ละครพลิกผัน 4
ทักษะการแสดงของกู้ซีจิ่วยอดเยี่ยมเกินไป ตั้งแต่ต้นจนจบโม่เจ้าแยกไม่ออกเลยว่าสรุปแล้วนางมีความทรงของชาตินี้หรือไม่ หากว่านางไม่มีจริงๆ การกระทำเมื่อครู่ของเขาจะเป็นการเตือนให้นางระลึกถึง!
กู้ซีจิ่วมองเขา “อันที่จริงข้าแคลงใจยิ่งนักอยู่ข้อหนึ่ง ท่านเจ้าจะให้คำอธิบายแก่ข้าหน่อยได้หรือไม่?”
“ว่ามา!”
“ในเมื่อท่านเจ้ามองออกว่าขาคือตี้ฝูอีอะไรนั่น เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ใช่แผนซ้อนแผนอะไรนั่นเล่า? อย่าเพิ่งเปิดโปงเขา รอให้ล่อเขาเข้าไปในตำหนักใต้ดินก่อนแล้วค่อยว่ากัน ตำหนักใต้ดินแห่งนั้นเป็นอาณาเขตของท่านเจ้า เปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาที่นั่น แล้วค่อยหาทางจับตัวเขา เช่นนั้นเขาจะหนีก็หนีไม่รอดแล้ว ท่านว่าใช่หรือไม่เล่า?”
โม่เจ้ายิ้มเย็นคราหนึ่ง “เจ้าช่างไร้เดียงสาเสียจริง เจ้าคิดว่าตี้ฝูอีจะติดตามข้าเข้าไปในตำหนักใต้ดินจริงๆ น่ะหือ? เจ้าคนบัดซบผู้นี้คิดจะกวาดล้างพวกเราในคราวเดียว เพียงติดอยู่ตรงที่ว่าถ้าไม่มีเรือพิเศษก็ไม่สามารถเข้าออกได้ และเรือในตำหนักใต้ดินก็เชื่อฟังเพียงคำสั่งของข้ากับหลงฟั่น ถ้าไม่ได้รับสัญญาณพิเศษจากพวกเรา ไม่มีทางส่งเรือขึ้นมารับเด็ดขาด! พวกเขาจะดูก่อนว่าพวกเราเรียเรือเหินอัคคีในลาวาภูเขาไฟมาได้อย่างไร จากนั้นก็จับกุมพวกเราไว้ แล้วปลอมเป็นตัวเราขึ้นเรือเหินอัคคีไป ดิ่งลงสู่ตำหนักใต้ดินของข้า…”
เขาพูดจาค่อนข้างวกวน กู้ซีจิ่วเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ก็ยังเกือบถูกคำพูดวกวนของเขาพันศีรษะเข้า ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงพอจะเข้าหัวอยู่บ้าง อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ท่านเจ้า ความคิดของท่านละเอียดลออเหนือธรรมดาจริงๆ!”
มุมปากของโม่เจ้าหยักเป็นรอยยิ้ม หากว่าความคิดเขาไม่ละเอียดลออ แล้วจะอาศัยอยู่ในร่างของหรงเช่อกว่าสิบปีได้อย่างไร? คงถูกคนจับได้ไปนานแล้ว!
ตี้ฝูอีแข็งแกร่งเกินไปแปรปรวนเกินไป ต่อกรกับคนเช่นนี้ ย่อมต้องเฉลียวฉลาดสุดขีด มีสมองที่รอบคอบถึงจะต่อกรได้
ยังมีอีก ไม่น่าเชื่อว่าตี้ฝูอีสามารถหายตัวไปจากรถม้าที่เดินทางอยู่กลางอากาศได้ วรยุทธ์สูงส่งยิ่งนัก หรือว่าพลังยุทธ์ของเขาจะฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์แล้ว? เพียงแต่เขาหลบหนีอย่างว่องไวเกินไปหน่อย ต่อให้เขาไม่สนใจความปลอดภัยของกู้ซีจิ่ว เช่นนั้นก็ควรจะสนใจความปลอดภัยของเหล่าลูกน้องเขามิใช่หรือ? มีลูกน้องของเขาสามคนตกอยู่ในเงื้อมมือของตัวเขาโม่จ้าว อยู่ในรถม้าอีกสองคันที่อยู่ด้านหลัง…
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หัวใจของโม่เจ้าก็เต้นรัวขึ้นมา แย่แล้ว! รถม้าสองคันนั้น! เกรงว่า…
เขายังคิดไม่ทันจบดี บนรถม้าสองคันหลังที่อยู่ไม่ห่างนักก็มีเสียงต่อสู้แว่วมา แน่นอนว่าเสียงต่อสู้นั้นสั้นยิ่งนัก ระยเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีด้วยซ้ำ จากนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแล้ว
โม่เจ้านิ่งงัน จู่ๆ เขาก็สังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา!
ผ่านไปครู่หนึ่ง ลางสังหรณ์ไม่ดีของเขาก็กลายเป็นความจริง
รถม้าสองคันนั้นไล่ตามขึ้นมาจากด้านหลัง ด้านนอกห้องโดยสารของรถม้าคันหนึ่ง มีคนผู้หนึ่งยืนสง่าอยู่ อาภรณ์สีม่วงโบกสะบัด หน้ากากเงินส่องประกายอยู่ท่ามกลางแสงอัสดงยามย่ำค่ำ
ตี้ฝูอี! เขาไม่ได้จากไปจริงๆ แต่ตรงไปช่วยลูกน้องของเขาออกมา!
ยามนี้ตี้ฝูอียืนอยู่ตรงนั้น ในมือจับผู้อาวุโสหลงคนนั้นไว้ ดูเหมือนหลงฟั่นจะได้รับบาดเจ็บแล้ว มีโลหิตไหลซึมตรงมุมปาก ถูกชูไว้ด้านหน้าตี้ฝูอีประหนึ่งท่อนไม้ ทำตัวเป็นโล่ป้องกันที่ว่านอนสอนง่ายชิ้นหนึ่ง
และบนรถม้าอีกคัน สารถีดั้งเดิมผู้นั้นหายไปแล้ว ถูกแทนที่ด้วยใบหน้าอึมครึมเคียดแค้นของกู่ฉานโม่ บัดนี้ได้ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นปานหอคอยเหล็ก กำลังมองมาที่ด้านในของรถม้าคันนี้อย่างเย็นชา
ชัดเจนยิ่งนักว่ากู่ฉานโม่ก็ซ่อนตัวอยู่ในรถม้าคันนั้นด้วย น่าจะเป็นกำลังลับที่ตี้ฝูอีจัดวางไว้ เห็นได้ชัดว่าลูกน้องที่ได้รับบาดเจ็บสองคนนั้นของตี้ฝูอีก็ได้รับการช่วยเหลือแล้วเช่นกัน…
สถานการณ์ไม่เป็นใจต่อเขายิ่งนัก หัวใจของโม่จ้าวค่อยๆ ดำดิ่งลง หรี่ตามองตี้ฝูอี “ตี้ฝูอี เจ้าจะทำอะไร?”
—————————————–
บทที่ 1130 แม้แต่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยังปลอมเป็นสตรีได้
ตี้ฝูอีก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน “พวกเรามาเจรจากัน!”
โม่เยิ้มนิดๆ เห็นได้ชัดว่ายามนี้เขาตกเป็นรองแล้ว ทว่ามิได้ลนลานเลย “เจรจาอะไร?”
ตี้ฝูอีถอนหายใจ “เจ้าก็ดูเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เหตุใดจึงถามคำถามโง่ๆ เช่นนี้เล่า? แน่นอนว่าเป็นการเจรจาเรื่องแลกเปลี่ยนตัวประกัน ตอนนี้คนของเจ้าอยู่ในมือข้าสามคน สามคนนี้สำคัญกับเจ้าแค่ไหนคงไม่ต้องให้ข้าพูดมากกระมัง? ข้าจะใช้สามคนนี้แลกตัวกู้ซีจิ่ว เจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
โม่เจ้าหลุบตาลง ความสำคัญของหลงฟั่นไม่จำเป็นต้องกล่าวให้มากความ การฟื้นคืนชีพของเขายังขึ้นอยู่กับหลงฟั่น ถ้าไม่มีหลงฟั่นเขาจะไม่มีร่างกายที่เป็นของตนอย่างแท้จริงไปตลอดกาล และอีกสองคนที่เหลือล้วนเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะของฝ่ายเขา พลังยุทธ์เกือบบรรลุขั้นเก้าแล้ว ต่างคนต่างมีความสามารถเฉพาะตัว เป็นกำลังสำคัญในการกรีธาทัพยึดครองใต้หล้าให้เขา
เพื่อมิให้ดึงดูดความสนใจของคนฝ่ายธรรมมะ กองกำลังกว่าร้อยสิบคนที่โม่เจ้าพาไปจึงต้องแยกย้ายกันกลับมา
เนื่องจากรถม้าสามคันนี้ต้องบรรทุกตัวเชลย ดังนั้นภายในรถม้าทุกคันจึงจัดวางลูกน้องไว้สองคน คนหนึ่งบังคับรถ อีกคนจับตามองเชลยในห้องโดยสาร
ในรถม้าของเขาคันนี้จัดวางสารถีไว้เพียงหนึ่งคน รถม้าคันนั้นขงหลงฟั่นก็มีลูกน้องคนเดียวที่คอยบังคับรถม้า
เมื่อนับรวมหลงฟั่นที่อยู่ด้านในด้วย มีลูกน้องติดตามกลับมาทั้งหมดห้าคน
แต่ยามนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของตี้ฝูอีสามคน ไม่จำเป็นต้องถามเลย อีกสองคนที่เหลือถูกลูกน้องทั้งสองคนของตี้ฝูอีสังหารและเข้าแทนที่ไปแล้ว กู่ฉานโม่ที่โผล่มาอย่างกะทันหันก็คือหลักฐานที่ดีที่สุด
เขาเชิดหน้าขึ้น “ครั้งนี้ผู้ที่ปะปนมาในรถของข้าคงจะยังมีอีกคนกระมัง? ออกมาเถิด! ให้ข้าได้ยลว่าเป็นคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใดกัน!”
บนรถม้าคันนั้นของหลงฟั่น ม่านรถพลันเลิกขึ้น คนผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างเอกเย็น สวมอาภรณ์สีดำราวกับน้ำหมึก สวมหน้ากากเงินทรงผีเสื้อ บดบังครึ่งหน้าส่วนบนเหนือริมฝีปากขึ้นไปเอาไว้ เผยให้เห็นเพียงริมสีฝีปากซีดจาง เรือนกายสูงโปร่งดั่งต้นอวี้ หลังจากเขาออกมา ก็มองโม่เจ้าอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร เป็นทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ย
โม่เจ้าตะลึง
เขาร้องเหอะคราหนึ่ง ไม่ทราบว่าเป็นการหัวเราะหรือว่าเยาะหยัน “ที่แท้ทูตสวรรค์ซ้ายขวาก็มีช่วงเวลาที่ร่วมมือกันด้วยสินะ!”
ทูตสวรรค์ซ้ายขวาขึ้นชื่อว่าไม่ถูกกัน ก่อนหน้านี้ยังเคยต่อสู้กันด้วย เมื่ออยู่ต่อหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยแทบจะเอ่ยถึงทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่ได้เลย หากกล่าวถึงเขาจะจากไปอย่างไม่ไว้หน้าเลย ตอนที่โม่เจ้าเป็นหรงเช่อ ก็รู้ดียิ่งกว่าใครว่าสองคนนี้เข้ากันไม่ได้ยิ่งกว่าน้ำแข็งกับไฟเสียอีก เมื่อก่อนเขายังคิดกระทั่งว่าจะดึงตัวทูตสวรรค์ฝ่ายขวามาเข้าพวกกับตน เคยตีสนิทกับเขาอย่างเจตนาและไม่เจตนา ที่แท้แล้วเรื่องที่บอกว่าพวกเขาไม่ถูกกันกลับเป็นเรื่องเท็จ ดูเหมือนจะเป็นการแสดงละครเช่นกัน!
เทียนจี้เยวี่ยเอ่ยอย่างเฉยเมย “ความขัดแย้งระหว่างข้ากับเขาเป็นเรื่องส่วนตัว แต่การปราบมารพิทักษ์คุณธรรมกลับเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของข้ากับเขา ร่วมมือกันแล้วมีอันใดน่าประหลาดเล่า?”
โม่เจ้ายกมุมปากขึ้น “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายขวาผู้สูงส่งทะนงตนมาโดยตลอดไม่น่าเชื่อว่าจะยอมลดตัวลงมาปลอมเป็นสารถี ลำบากท่านแล้ว”
น้ำเสียงเทียนจี้เยวี่ยรายเรียบไร้ระลอกอารมณ์ “แม้แต่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยังปลอมเป็นสตรีได้ ข้าปลอมเป็นสารถีแล้วมีอันใดน่าประหลาดกัน?”
โม่เจ้าพูดไม่ออกแล้ว
เขามองเทียนจี้เยวี่ยกับกู่ฉานโม่ เดาได้แล้วว่าพวกเขาเข้าแทนที่ผู้ใด
สองคนนี้เคยปลอมตัวเป็นลูกน้องของเขาสกัดกั้นมู่อวิ๋นและมู่เหล่ยไว้ในภัตตาคาร แทงมู่อวิ๋นกับมู่เหล่ยจนบาดเจ็บแล้วจับตัวไว้…
เนื่องจากลูกน้องสองคนนี้ที่พวกเขาปลอมตัวเป็นยามปกติล้วนเป็นผู้ที่จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ทุกครั้งที่ลงมือหากคนไม่พิการจะไม่เลิกรา ดังนั้นเมื่อสองคนนี้เป็นกำลังหลักที่จับกุมมู่อวิ๋นกับมู่เหล่ย โม่เจ้าจึงวางใจยิ่งนัก ไม่ได้ไปดูอาการของมู่อวิ๋นกับมู่เหล่ยเลย ทราบเพียงว่ายามนั้นพวกเขาโลหิตไหลท่วมร่าง บาดเจ็บสาหัส พร้อมสิ้นชีพได้ทุกเมื่อ
————————————————–
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น