พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1121-1126

 บทที่ 1121 ไม่ฝืนใจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

อะไรนะ? ฉินซีหวาดกลัวทันที ถ้าให้ฉินเวยเวยรู้ว่าตัวเองมีภูมิหลังที่น่าอับอายแบบนั้น ถ้าให้รู้ว่าเป็นลูกสาวของผู้หญิงที่คบชู้ จะให้ฉินเวยเวยทนความรู้สึกได้อย่างไร ต่อไปจะให้ฉินเวยเวยเงยหน้ามองคนอื่นได้อย่างไร? ต่อให้ตีนางให้ตาย นางก็ไม่มีทางปล่อยให้ฉินเวยเวยรู้เรื่องนี้เด็ดขาด


เมื่อเห็นอวิ๋นจือชิววางถ้วยน้ำชาแล้วยืนขึ้น ฉินซีก็รีบโบกมือห้าม และคุกเข่าลงเช่นกัน “พวกท่านได้โปรดอย่าบอกให้เวยเวยรู้ ข้าจะแต่งงาน!”


ตอนนี้รู้สึกนึกเสียใจทีหลังมากจริงๆ การกระทำชั่วครู่ที่ทำไปเพื่อล้างแค้นเฟิงเป่ยเฉิน กลับทำให้ต้องแบกความรับผิดชอบไปทั้งชีวิต!


หยางชิ่งถอนหายใจ เขาเดาว่าเหมียวอี้กำลังขู่เขา แต่เขาไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าเจ้าคนบ้าคนนี้จะทำเรื่องอะไรได้บ้าง จึงไม่กล้าเดิมพันกับเหมียวอี้ เอียงหน้ากุมหมัดตอบว่า “ข้าน้อยยินดีแต่งงาน!”


“มันต้องอย่างนี้แหละ! ผู้หญิงที่สวยมากขนาดนี้ ให้เจ้าแต่งงานด้วยก็ถือว่าเจ้าได้เปรียบแล้ว!” เหมียวอี้รู้สึกบันเทิง สุดท้ายก็แก้ปัญหาหญิงงามนำภัยอย่างฉินซีได้สักที ไม่อย่างนั้นถ้าเก็บนางไว้ข้างกาย ทุกคนก็จะพากันคิดว่าเจ้าอยากจะทำมิดีมิร้ายนาง แต่นางดันเป็นมารดาแท้ๆ ของฉินเวยเวย จะทิ้งไปโดยไม่สนใจก็ไม่ได้ แล้วหญิงงามนำภัยอย่างนางก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรด้วย พอขาดคนให้พึ่งพิง ก็ไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าผลจะเป็นอย่างไร ให้หยางชิ่งรับช่วงต่อนั้นดีที่สุดแล้ว


เขาหันไปสั่งอวิ๋นจือชิวอีกว่า “แทนที่จะผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รู้จัดการวันนี้เลยดีกว่า จ้าไปเตรียมการสักหน่อยเถอะ จัดงานมงคลคืนนี้เลย!”


อวิ๋นจือชิว ฉินซีและหยางชิ่งต่างก็งุนงง แต่ละคนทำสีหน้าอัศจรรย์ใจมาก พากันมองไปที่เหมียวอี้อย่างพูดไม่ออก ยังนึกว่าตัวเองฟังผิดไปแล้ว เร่งขนาดนี้เลยเหรอ?


โดยเฉพาะอวิ๋นจือชิว วันนี้นับว่าได้รับรู้ถึงความไร้เหตุผลของเหมียวอี้แล้ว ไม่เชื่อฟังกันใช่มั้ย? เช่นนั้นก็เล่นงานหยางชิ่งโดยใช้อำนาจขู่บังคับ เรียกได้ว่าเผด็จการและไร้ระเบียบ ไม่มีการเจรจาเลย ไม่สนด้วยว่าจะทำร้ายความรู้สึกหรือไม่ ข้าอยากจะทำอย่างไรก็จะทำอย่างนั้น ถ้าเก่งนักก็ลองขัดขืนข้าดูสิ เรียกได้ว่าใช้ไม้แข็งเสียเลย!


หารู้ไม่ ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเหมียวอี้ก็ไม่เคยใช้เหตุผลกับหยางชิ่งอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช้วิธีการที่แข็งกร้าว ก็ใช้วิธีการที่ไร้ระเบียบ ตราบใดที่ทำให้หยางชิ่งหัวหมุนได้ นั่นก็แปลว่ามาถูกทางแล้ว นี่ก็คือลักษณะการลงมือที่เขาใช้กับหยางชิ่งมาตลอด ในปีนั้นที่เขาจะรับหยางชิ่งมาเป็นลูกน้อง หยางชิ่งก็ไม่ได้อยากจะติดตามเขามาเลย มีทั้งเหตุผลและวิธีการที่จะปฏิเสธเขา แต่ผลก็คือเหมียวอี้ไปขอคำสั่งย้ายคนจากฮั่วหลิงเซียวโดยตรง ไม่สนหรอกว่าหยางชิ่งจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ ไม่ได้ขอความยินยอมจากหยางชิ่งเลย ดันทุรังพาตัวหยางชิ่งไป สรุปก็คือถึงเจ้าจะไม่อยากไปแต่ก็ต้องไป ให้เจ้าทำอะไรเจ้าก็ต้องทำ แบบนั้นน่ะถูกแล้ว!


อวิ๋นจือชิวที่เหม่อค้างไปชั่วครู่พยายามทำหน้านิ่ง แล้วบอกว่า “การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ เจ้าเร่งรีบไปหน่อยรึเปล่า?”


“รีบเหรอ?” เหมียวอี้โบกมือชี้สองคนที่กำลังคุกเข่า “พวกเขารีบกว่าที่เจ้าคิดอีก คบชู้กันจนคลอดลูกสาวไว้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว!”


คำพูดนี้ทำให้หยางชิ่งกับฉินซีครองสติไม่อยู่แล้ว ทั้งสองไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้วจริงๆ


“ไม่ใช่ค่ะ! ข้ารู้สึกว่าเร่งรีบไปหน่อยรึเปล่า?” อวิ๋นจือชิวนับว่าเตือนเขาแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องจัดให้มีหน้ามีตาสักหน่อย อย่างน้อยเรื่องใหญ่อย่างแต่งงานงานก็ต้องเลือกฤกษ์มงคลสักหน่อยสิ?


เหมียวอี้ไม่รู้สึกว่าเร่งรีบเลยสักนิด การรับมือกับคนอย่างหยางชิ่ง จะปล่อยให้อีกฝ่ายมีเวลาตอบโต้ไม่ได้ อีกประเดี๋ยวก็ยังไม่รู้เลยว่าหยางชิ่งจะคิดหาวิธีการอะไรมาแก้วิกฤตอีก ต้องกำหนดฐานะไว้ก่อน ให้เข้าห้องหอไปก่อน ต้องหนดเรื่องราวให้เป็นรูปธรรมก่อนถึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง!


ดังนั้นจึงโบกมือสั่งอย่างเผด็จการว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน! เจ้าไปจัดการเดี๋ยวนี้ ถ้ากำลังคนไม่พอก็ไปขอกับพวกพี่ใหญ่ บัดนี้! เดี๋ยวนี้!”


หลังจากผ่านเรื่องราวมาหลายครั้ง อวิ๋นจือชิวก็นับว่าได้ทำความรู้จักผู้ชายของตัวเองใหม่ รู้ว่าการที่เขาทำแบบนี้จะต้องมีจุดประสงค์แน่นอน จึงไม่ดึงดันอีก รีบไปจัดการทันที!


พอออกจากประตู หยางชิ่งกับฉินซีก็มองหน้ากันไปมองหน้ากันมาอย่างเลิกลั่ก


ฉินซีไม่รู้จะพูดอะไรเลยจริงๆ หัวใจยุ่งเหยิงราวกับปมเชือก ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะเป็นแบบนี้ ว่าจะได้มาแต่งงานกับหยางชิ่งที่นี่ เฟิงเป่ยเฉินเพิ่งจะตายได้ไม่นาน จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร!


ส่วนหยางชิ่งก็แอบทอดถอนใจแรงๆ เขายอมรับว่าตัวเองเคยหลงใหลในความงามของผู้หญิงคนนี้ แต่หลังจากที่ผู้หญิงคนนี้ทิ้งลูกสาวแล้วจากไป หยางชิ่งก็ถูกทำให้เจ็บใจหนักมาก เขาไม่อยากเจอผู้หญิงคนนี้อีกเลยตลอดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่รู้ที่มาที่ไปของผู้หญิงคนนี้ เขาก็ไม่อยากให้ฉินเวยเวยเกี่ยวข้องอะไรกับผู้หญิงคนนี้อีก


แต่วันนี้เขากลับต้องแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ในบ้านของอดีตสามีนาง มิหนำซ้ำ อดีตสามีของนางก็เพิ่งตายไปได้ไม่นาน!


ผู้หญิงในฝันที่ทำให้เขาต่อสู้ฟันฝ่าถูกแย่งตัวไปเป็นอนุภรรยาคนอื่น ทั้งยังบังคับให้เขาแต่งงานกับฉินซีที่นี่! สำหรับการลงโทษที่แทบจะเป็นความอัปยศแบบนี้ หยางชิ่งสับสนวุ่นวายใจแทบแย่ เกือบจะอยู่ในสภาพโง่เขลาแล้ว เคยคิดว่าจะเจออะไรโหดๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะโหดขนาดนี้ ในใจมีเพียงสี่คำที่จะมอบให้เหมียวอี้ : ไอ้เวรตะไล!


ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะขัดขืน แต่ทุกคนที่นี่แม่งเป็นคนของเหมียวอี้ มีคนเป็นโขยงที่เตะให้เขาหมอบได้ ทั้งยังไม่คุ้นเคยกับภาพรวม เหมียวอี้ดึงดันจะใช้วิธีการที่แข็งกร้าวแบบนี้ แถมลูกสาวก็คือจุดอ่อนของเขา ไม่มีที่เหลือให้เขาขัดขืนเลยสักนิด!


การวางแผนครั้งนี้ไม่สามารถทำอะไรอวิ๋นจือชิวได้ ทั้งยังทำให้ตนมีสภาพเป็นแบบนี้ นึกเสียใจทีหลังแล้วจริงๆ อยากจะตบปากตัวเองสักสองที!


อวิ๋นจือชิววิ่งไปเชิญท่านปู่มาดื่มสุรามงคล ปรากฏว่าอวิ๋นอ้าวเทียนตบโต๊ะ ยืนขึ้นกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “เฟิงเป่ยเฉินเพิ่งตายอยู่ที่นี่ได้ไม่กี่วัน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าฉินซีจะแต่งงานใหม่ในเวลานี้ได้ พวกเจ้าบังคับนางใช่มั้ย?”


อวิ๋นจือชิวรีบกล่าวอย่างขื่นขมว่า “ท่านปู่ ท่านใส่ร้ายพวกเราแล้วจริงๆ ทำไมฉินซีถึงยอมจำนนให้ฝ่ายพวกเราล่ะ ที่จริงนางไม่ได้มีความรู้สึกต่อเฟิงเป่ยเฉินตั้งนานแล้ว นางไปมาหาสู่กับหยางชิ่งลูกน้องข้าตั้งนานแล้ว ไม่ได้บังคับนางจริงๆ ถ้าไม่เชื่อท่านก็ลองไปถามเองสิ”


อวิ๋นอ้าวเทียนไม่ได้ว่างมากขนาดนั้น จึงให้อวิ๋นเซี่ยวไปถาม พบว่าฉินซีบอกว่าตัวเองเต็มใจจริงๆ แต่ด้วยท่าทีแบบนั้น ไม่ว่าใครก็มองออกว่ามีปัญหา


หลังจากไปหาฉินซีกลับมา อวิ๋นจือชิวก็ขวางเขาไว้ “ท่านอาหก อย่าทำให้ท่านปู่ลำบากใจเลย!”


อวิ๋นเซี่ยวอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อเข้าใจเจตนาของนางแล้ว เขาก็พยักหน้าเงียบๆ…


ในลานบ้านเล็กๆ ประดับประดาโคมไฟและผ้าหลากสีอย่างรวดเร็ว พวกนักพรตปีศาจรีบดึงตัวคนบรรเลงดนตรีและคนจัดพิธีจากในเมืองใกล้ๆ มากลุ่มหนึ่ง


มีโต๊ะฉลองเพียงสิบกว่าโต๊ะเช่นกัน ส่วนใหญ่เป็นปีศาจจากทะเลดาวนักษัตร แต่ละคนทำสีหน้าประหลาดขณะมองดูคู่บ่าวสาวไหว้ฟ้าดิน พวกเขาถ่ายทอดเสียงคุยกันมั่วไปหมดแล้ว


“หยางชิ่งคนนี้เป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้ไม่ใช่เหรอ? มาจัดงานแต่งงานในเวลานี้เนี่ยนะ ยังไงก็รู้ว่าเหมียวอี้กำลังเล่นงานเขาอยู่?” จีเต๋อจวินถ่ายทอดเสียงถามจงเจิ้น


“เจ้าถามข้า แล้วจะให้ข้าไปถามใครล่ะ?” จงเจิ้นถาม


“ครั้งนี้เฟิงเป่ยเฉินตายตาไม่หลับแล้วจริงๆ! ข้ากำลังคิดอยู่ ว่าอีกประเดี๋ยวบ่าวสาวคู่นี้จะมีอารมณ์เข้าห้องหอกันรึเปล่า?” หวังเต้าหลินถ่ายทอดเสียงถ่ายทอดเสียงถามพวกที่นั่งโต๊ะเดียวกัน


อวิ๋นอ้าวเทียนไม่มีทางเข้ามาประสมโรงกับเรื่องแบบนี้  นั่งโต๊ะถัดไปจากโต๊ะของรุ่นลูก


คนกลุ่มนี้แอบวิพากษ์วิจารณ์ พวกเขาไม่รู้การเตรียมงานที่โหดยิ่งกว่านั้นของเหมียวอี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะให้ฉินเวยเวยไปดำเนินพิธีด้วยตัวเอง ยิ่งกดดันให้หยางชิ่งกับฉินซีไม่กล้าผ่านงานพิธีนี้ไปอย่างไม่ซื่อสัตย์ ไม่อย่างนั้นทั้งสองก็รับผลที่จะตามมาไม่ไหวหากเกิดความวุ่นวายจนฉินเวยเวยถามหาสาเหตุ


ตอนไหว้ฟ้าดินข้างนอกก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว หลังจากเข้าห้องหอ ฉินเวยเวยก็เป็นพิธีกรด้วยตัวเอง บอกให้หยางชิ่งกับฉินซีคล้องแขนดื่มสุรา!


ฉินเวยเวยไม่รู้ว่าหยางชิ่งกับฉินซีเข้าพิธีแต่งงานเพื่อนาง แทบจะถูกนางกดดันให้คล้องแขนดื่มสุราแล้ว


จะโทษว่าเหมียวอี้ทำเรื่องนี้อย่างสุดโต่งไม่ได้ เขาไม่สะดวกจะจัดการหยางชิ่งเพราะติดที่ฉินเวยเวย แต่ครั้งนี้หยางชิ่งมาแตะต้องอวิ๋นจือชิว ทำให้เขาโมโหมากจริงๆ ครั้งนี้เขาจะทำให้หยางชิ่งจดจำไว้นานๆ ว่า อย่านึกว่าตัวเองฉลาดอยู่คนเดียว!


ครั้งนี้หยางชิ่งถูกเหมียวอี้เล่นงานจนเจ็บหนักแล้วจริงๆ เพียงพอที่จะทำให้เขาจดจำไปทั้งชีวิตแล้ว ทำให้เขาสะอิดสะเอียนไปทั้งชีวิตเช่นกัน!


เหมียวอี้กำลังเตือนเขาอย่างชัดเจนว่า ข้าก็จะทำอย่างนี้แหละ และจะไม่ฆ่าเจ้าด้วย ข้าให้โอกาสเจ้าล้างแค้น ถ้าอยากจะล้างแค้นก็จัดมาได้เลย!


อวิ๋นจือชิวกำลังนั่งดื่มสุรามงคลอยู่กับเหมียวอี้ นางอดไม่ได้ที่จะมองดูเขาพูดคุยกับคนข้างๆ อย่างสนุกสนาน นางพบว่าตัวเองเข้าใจเหมียวอี้มากที่สุดในด้านการใช้ชีวิต แต่ในด้านการเผชิญปัญหา เขาเหนือกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้ นางประหลาดใจทุกครั้งที่เจอ พบว่าตัวเองประเมินความสามารถของเขาต่ำไปมาก


เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ อวิ๋นจือชิวกลับมาลองครุ่นคิดดู พบว่าที่จริงแล้วเป็นเรื่องราวที่ต่อเนื่องกัน และวิธีการจัดการของเหมียวอี้ก็ยังคงเป็นแบบการรัวดาบฟันเชือก[1] แต่ไม่ใช่การฟันมั่วซั่วแน่นอน เขาฟันได้อย่างแม่นยำถูกจุด ตอบสนองได้รวดเร็วมาก เรื่องราวที่ต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ เมื่อมาถึงมือเขาและโดนตัดทิ้ง ก็จะถูกแก้ไขอย่างง่ายดายทันที!


อวิ๋นจือชิวกำลังยิ้มแย้มพลางยกจอกสุราให้คนที่มาดื่มฉลองด้วย พอจิบสุราไปคำหนึ่งแล้ว นางก็มองเหมียวอี้ที่กำลังกระซิบกระซาบคุยกับสงเวยอีก นางอดไม่ได้ที่จะขำออกมา ก่อนหน้านี้นางกังวลในความบุ่มบ่ามของเหมียวอี้มาตลอด วันนี้ถึงได้เข้าใจ ว่าคนที่จะโยนงานให้ลูกน้องทำแทนได้ก็ต้องมีคุณสมบัติเหมือนกัน และเจ้าหมอนี่ก็มีคุณสมบัติที่จะโยนงานให้ลูกน้องทำแทนจริงๆ!


คนที่โต๊ะฉลองแยกย้าย ในเรือนหอ หยางชิ่งกับฉินซีนั่งเคียงกันอยู่บนเตียงโดยไม่ขยับไปไหน และไม่พูดไม่จากันด้วย นั่งอยู่อย่างนั้นตลอดจนฟ้าสว่าง…


นภาหมื่นปีศาจ ค่ำคืนที่เลือนราง ประดับประดาไม่ด้วยหมู่ดาว


จีเหม่ยลี่ คนงามสมชื่อ หน้าตางดงามมาก เอวบางร่างน้อย เรียวขายาวเป็นพิเศษ ปล่อยผมยาวโดยไม่มัด ทิ้งตัวลงประบ่าโดยไม่มีเครื่องประดับใดๆ ใบหน้าที่ไร้เครื่องปกทินโฉมแหงนมองฟ้า ดวงตางามหน้าผากกว้าง จมูกโด่งคิ้วเข้ม เผยความองอาจแฝงอยู่ในความงามหยาดเยิ้มของใบหน้า สวมกระโปรงบานยาว ผมยาวปลิวพลิ้วขณะที่ก้าวเดิน


นภาหมื่นปีศาจเงียบขรึมอยู่ภายใต้ความมืดยามราตรี ไม่เห็นโคมไฟ ประตูใหญ่กำลังเปิดอยู่ ในดวงตาจีเหม่ยลี่ฉายแววฉงนสนเท่ห์ขณะที่เดินขึ้นบันได รู้สึกว่านภาหมื่นปีศาจในวันนี้ค่อนข้างต่างไปจากปกติ และการที่บิดาเรียกพบนางทันทีที่กลับจากข้างนอก ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากมากเช่นกัน


พอก้าวเข้ามาในตำหนัก ก็พบว่าจีฮวนกำลังเอามือไขว้หลังยืนหันหลังให้อยู่นอกประตู ในตำหนักไม่มีคนอื่นแล้ว จีเหม่ยลี่คำนับแล้วถามว่า “ท่านพ่อ! ไม่ทราบว่าเรียกพบลูกด้วยธุระอะไรคะ?”


จีฮวนหันตัวมามองนาง มองประเมินนางศีรษะจดเท้าอยู่พักหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เจ้าเก้า มีเรื่องหนึ่งที่ข้าจะบอกเจ้า ที่นภาหมื่นปีศาจนี้ นอกจากพ่อกับพี่สองของเจ้า ตอนนี้ก็จะบอกให้เจ้าฟังเท่านั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพิภพใหญ่…”


เขาเล่าเรื่องพิภพใหญ่อย่างละเอียดมาก ถึงขั้นบอกต้นสายปลายเหตุที่เกี่ยวข้องกับพิภพใหญ่ออกมาทั้งหมดด้วย


จีเหม่ยลี่ตั้งใจฟังอย่างละเอียดมาก ยิ่งฟังก็ยิ่งทำสีหน้าตกตะลึง พอฟังจบก็มองจีฮวนอย่างเหม่อค้าง นางไม่รู้ว่าบิดาจะบอกเรื่องนี้ให้นางรู้ทำไม นางไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรที่นภาหมื่นปีศาจเลย ทำไมไม่บอกพี่ชายกับพี่สาวก่อน ทำไมต้องบอกนาง? จึงถามว่า “ท่านพ่ออยากจะให้ลูกทำอะไรคะ?”


จีฮวนจ้องนางพร้อมกล่าวช้าๆ ว่า “มู่ฝานจวินให้เทพธิดาหงเฉินลูกศิษย์ตัวเองแต่งงานเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้แล้ว จะจัดงานอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้”


ชั่วพริบตานี้ จีเหม่ยลี่เข้าใจเจตนาของจีฮวนทันที นางกัดริมฝีปาก แล้วบอกว่า “เหม่ยเหมยตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้นะ”


จีฮวนส่ายหน้าเบาๆ พลางถอนหายใจ “ถ้าเทียบกับผลประโยชน์ของทั้งตระกูลจี ความเป็นความตายของคนส่วนใหญ่ในตระกูลจี การตายของเหม่ยเหมยไม่นับว่าสำคัญอะไร ถ้าการตายของพ่อสามารถแลกกับความก้าวหน้าที่รวดเร็วของทั้งตระกูลจีได้ พ่อก็จะไม่สียดายชีวิต!”


“พี่สาวทำงานได้น่าเชื่อถือมากกว่า ได้รับความไว้วางใจจากท่านพ่อมากกว่าด้วย ทำไมไม่ไปหาพี่สาว มาหาข้าทำไมคะ?” จีเหม่ยลี่ถาม


จีฮวนตอบว่า “เพราะในบรรดาลูกสาวของข้าทั้งหมด เจ้าหน้าตาสวยที่สุด ถ้ารูปโฉมไม่งดงามมากพอ จะทำให้เหมียวอี้หวั่นไหวได้เหรอ? เรื่องแบบนี้จะไปหาคนนอกมาทำแทนก็ไม่ได้ และแน่นอน พ่อจะไม่ฝืนใจเจ้าเรื่องนี้เช่นกัน จะตอบตกลงหรือไม่พ่อก็จะฟังเจ้า ถ้าเจ้าไม่ยินยอม ก็คิดเสียว่าพ่อไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้!”


หลังจากจีเหม่ยลี่ครุ่นคิดนานมาก ก็ก้มหน้าตอบอย่างเศร้าสลดว่า “ถ้าท่านพ่อรู้สึกว่าเหมาะสม ลูกสาวเชื่อฟังท่านพ่อก็ได้!”


…………………………


[1] รัวดาบฟันเชือก 快刀斩乱麻 หมายถึง ตัดสินใจเด็ดขาดรวดเร็ว


บทที่ 1122 ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

แดนโพ้นสวรรค์ บนยอดเขาที่สูงชะโงกจนแทบเอื้อมคว้าได้มีศาลาอยู่หลังหนึ่ง บนนั้นเขียนว่า “เฟิงหัว”


จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวเป็นหญิงรับใช้ของมู่ฝานจวิน กำลังจัดสุราอาหารอยู่ในศาลา ทั้งสองไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ มู่ฝานจวินจึงมีอารมณ์สุนทรีจะดื่มสุราชมทิวทัศน์ตรงนี้


ทั้งสองไม่ได้เป็นหญิงรับใช้ตามความหมายของกำลังพลระดับล่าง ข้างกายหกปราชญ์ก็ไม่มีหญิงรับใช้ประจำตัวเช่นกัน กฎบางอย่างของหกแดนเพิ่งตั้งขึ้นมาตอนหลัง แต่เนื่องจากมู่ฝานจวินเป็นผู้หญิง จึงไม่สะดวกจะใช้ผู้ชายมาเป็นคนปรนนิบัติใกล้ชิด นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทั้งสองติดตามอยู่ข้างกายมู่ฝานจวิน


ส่วนมู่ฝานจวินก็สายตาสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์หรือลูกน้องที่อยู่ข้างกาย ถ้าหน้าตาน่าเกลียดนางก็ไม่รับไว้ จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวย่อมเป็นคนที่มู่ฝานจวินเลือกสรรมาเองอย่างรอบคอบ แค่คิดก็รู้ถึงรูปโฉมที่งดงามของพวกนางแล้ว


สุราอาหารเพิ่งจัดวางเสร็จ มู่ฝานจวินก็เหาะเข้ามาแล้ว นางก้าวเบาๆ เข้ามานั่งลงในโถง สองสาวมายืนอยู่ทางซ้ายและขวาข้างหลังมู่ฝานจวินทันที


ใครจะคิดว่ามู่ฝานจวินจะยื่นมือไปทางซ้ายและขวา “ไม่ต้องยืน วันนี้ไม่มีธรรมเนียมอะไรมากขนาดนั้น ทุกคนนั่งลง ดื่มเป็นเพื่อนข้าสักสองจอก”


สองสาวประหลาดใจ แต่ไหนแต่ไรมามู่ฝานจวินเป็นคนที่พิถีพิถันกับธรรมเนียมตลอด วันนี้เป็นอะไรไป?


“มิบังอาจ!” หลังจากสองสาวสบตากัน ก็รีบตอบกลับไป


“ให้พวกเจ้านั่งพวกเจ้าก็นั่ง!” มู่ฝานจวินยื่นมือออกไปอีกครั้ง ทั้งสองไม่กล้าขัดคำสั่ง ถึงได้นั่งลงข้างซ้ายและขวาของนางอย่างระมัดระวัง ทั้งสงต่างก็หย่อนก้นนั่งลงไปแค่ครึ่งเดียว


สิ่งที่ยิ่งทำให้ทั้งสองตกใจในความเมตตาก็คือ ไม่น่าเชื่อว่ามู่ฝานจวินจะยกกาสุรารินให้ทั้งสองด้วยตัวเอง ทั้งสองรีบยืนขึ้นปฏิเสธ บอกเป็นนัยว่ารับไว้ไม่ไหว ทว่าภายใต้การดึงดันบังคับของมู่ฝานจวิน พวกนางก็ทำได้เพียงต้องกัดฟันรับไว้


หลังจากดื่มเป็นเพื่อนมู่ฝานจวินอย่างตัวสั่นหวาดกลัวไปไม่กี่จอก มู่ฝานจวินก็วางจอกสุราแล้วถามว่า “จื่ออวิ๋น จื่อหัว พวกเจ้าติดตามข้ามาหลายปีแล้ว ข้าปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างไร?”


“ท่านปราชญ์มีบุญคุณดุจขุนเขาต่อบ่าวทั้งสองเจ้าค่ะ!” สองสาวรีบตอบเป็นเสียงเดียวกัน


“ถ้าข้าจะให้พวกเจ้าสองคนไปตาย พวกเจ้ายินดีมั้ย?” มู่ฝานจวินถามเสียงเรียบ


สองสาวสบตากันแวบหนึ่ง แล้วตอบว่า “ยินดีบุกน้ำลุยไฟเพื่อท่านปราชญ์ แม้ตายก็ไม่เสียใจ!”


“ดีมาก! ข้าจะบอกอะไรบางอย่างกับพวกเจ้าเอาไว้…” ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก มู่ฝานจวินบอกเรื่องเกี่ยวกับพิภพใหญ่ให้หญิงรับใช้ทั้งสองรับรู้ พร้อมทั้งบอกด้วยว่ากำลังจะให้หงเฉินแต่งงานเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ สุดท้ายก็พูดอธิบายว่า “พวกเจ้าติดตามข้ามาหลายปี ข้าจะปล่อยให้พวกเจ้าไปตายง่ายๆ ได้อย่างไร เพียงแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนร่วม พวกเจ้าเองก็รู้จักนิสัยหงเฉิน ข้าไม่วางใจนางและคนข้างกายนาง จึงอยากจะให้พวกเจ้าแต่งงานพ่วงไปด้วย ให้เป็นสาวใช้ร่วมห้องของหงเฉินเพื่อแต่งงานกับเหมียวอี้ ตอนหลังจะได้ควบคุมเร่งรัดให้หงเฉินจัดการเรื่องต่างๆ ได้สะดวก เพียงแต่ถ้าเป็นแบบนี้…ถึงอย่างไรก็เป็นสาวใช้ร่วมห้อง หากวันใดเหมียวอี้ต้องการให้พวกเจ้าปรนนิบัติ เกรงว่าพวกเจ้าก็จะต้องทนรับไว้ ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรหรอก หลายปีที่พวกเจ้าติดตามรับใช้ข้าก็นับว่าลำบากเหมือนกัน ไปหาประสบการณ์เรื่องผู้ชายสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน และแน่นอน ข้าไม่ฝืนใจพวกเจ้าเรื่องนี้ ตอนนี้ข้าแค่จะถามความเห็นของพวกเจ้าสองคนเท่านั้น”


นางเอ่ยปากขนาดนี้แล้ว ทั้งสองยังจะพูดอะไรได้อีก ทำได้เพียงเอ่ยตอบพร้อมกันว่า “ยินดีน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ!”


นภาหยินหยาง


อวี้หนูเจียวเกล้ามวยผมสูง ผิวขาวไม่ธรรมดา สวมชุดกระโปรงยาวผ้ามุ้งสีดำ ใบหน้างดงามเย็นชา นางกำลังเดินอย่างใจเย็นอยู่ในทางเดินใต้ดินที่กว้างขวาง


เมื่อเข้ามาในตำหนักหลักของตำหนักใต้ดินหยินหยาง หลังจากคำนับซือถูเซี่ยวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนที่นั่งโครงกระดูกแล้ว ก็ถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์เรียกศิษย์มาด้วยธุระอะไรคะ?”


แทบจะพูดเหมือนกับจีฮวน ซือถูเซี่ยวเปิดเผยความลับเรื่องพิภพใหญ่ให้นางรู้


หลังจากฟังจบ อวี้หนูเจียวก็ตกตะลึงไม่หยุด บอกว่า “พอเป็นแบบนี้ ไปที่พิภพใหญ่แล้วอนาคตก็ไม่แน่นอน ท่านอาจารย์ต้องระวังตัวหน่อยนะคะ ไอ้เหมียวจัญไรนั่นศิษย์เคยเจอที่สำนักงามวิจิตร มันเจ้เล่ห์สุดๆ ระวังจะโดนหลอกลวง!”


“ข้าจะไม่กังเวลเรื่องนี้ได้อย่างไร นอกจากอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว คนอื่นๆ ก็รู้สึกเป็นทุกข์กันหมด เป็นเพราะหลานสาวของอวิ๋นอ้าวเทียนเป็นภรรยาเอกของไอ้เหมียวจัญไร อวิ๋นอ้าวเทียนย่อมไม่ต้องกังวลเกินไป ดังนั้น มู่ฝานจวิก็เลยกำหนดงานแต่งงานให้เหมียวอี้แล้ว ไม่เสียดายที่จะส่งเทพธิดาหงเฉินไปเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้ ให้แต่งงานกับเหมียวอี้ งานแต่งงานกำหนดไว้หลังจากนี้ครึ่งเดือน มู่ฝานจวินทำแบบนี้ถือเป็นแผนการที่ดีภายใต้สถานการณ์แบบนี้!” ซือถูเซี่ยวถอนหายใจอย่างวังเวง แล้วบอกว่า “มู่ฝานจวินมีหงเฉินแบ่งเบาความกังวล ไม่รู้ว่าเจ้าจะเต็มใจช่วยอาจารย์แบ่งเบาความกังวลบ้างรึเปล่า?”


“…” อวี้หนูเจียวยืนตะลึงค้างอยู่ที่เดิม เข้าใจทุกอย่างแล้ว มองซือถูเซี่ยวอย่างเหม่อลอย ถามอย่างทำใจเชื่อได้ยากว่า “อาจารย์จะให้ศิษย์แต่งงานไปเป็นอนุภรรยาของไอ้เหมียวจัญไรเหรอคะ?”


ซือถูเซี่ยวลุกจากที่นั่งโครงกระดูก แล้วก้าวเข้ามาช้าๆ มายืนอยู่ตรงหน้าศิษย์รักแล้วบอกว่า “มีเจตนาอย่างนี้จริงๆ! อาจารย์รู้ว่าทำแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับส่วนรวม อาจารย์ก็หมดทนทางเช่นกันถึงได้เอ่ยปากกับเจ้า!”


“ข้าเป็นนักพรตผี ไอ้เหมียวจัญไรจะชอบข้าได้อย่างไร?” อวี้หนูเจียวถามพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขื่นขม


ซือถูเซี่ยวส่ายหน้า “พูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก! ข้าคิดว่าหน้าตาเจ้าก็ไม่ได้แย่เลย ทั้งยังมีร่างหยิน ไอ้เหมียวจัญไรมีหญิงงามปรนนิบัติอยู่รอบกาย แต่ขาดแค่ผู้หญิงรสชาติอย่างเจ้า นี่ก็คือข้อได้เปรียบของเจ้า จะไม่ชอบเจ้าได้อย่างไร?”


นี่เป็นเรื่องที่ต่อให้นอนฝันอวี้หนูเจียวก็นึกไม่ถึงจริงๆ ในปีนั้นตัวเองขึ้นเสียงตำหนิเหมียวอี้ว่าไอ้เหมียวจัญไร ไม่น่าเชื่อว่าตอนนี้จะต้องแต่งงานเป็นอนุภรรยาของไอ้จัญไรนั่น ทั้งยังต้องแย่งความรักกับผู้หญิงคนอื่นอีก จะให้นางทนความรู้สึกนี้ได้อย่างไร! ถ้าให้นางแต่งงานเป็นภรรยาเอก นางก็คงยอมรับไปแล้ว อยู่ในตำแหน่งสูงส่งมานานขนาดนี้ จู่ๆ จะให้ไปเป็นอนุภรรยา จะให้นางยอมรับได้อย่างไร


นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แทบจะวิงวอนขอร้อง “ท่านอาจารย์! ไม่แต่งไม่ได้เหรอคะ? ให้เวลาข้าหนึ่งวัน ข้าจะเลือกสาวงามในหมู่พรตผีที่สวยกว่าข้ามาแทนได้แน่นอน!”


“ตลกเหรอ! ถ้าให้ใครทำก็ได้ ข้ายังจะต้องให้เจ้ารับความไม่ยุติธรรมอย่างนี้รึไง อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ถึงหน้าที่ของตัวเองหลังจากแต่งงานกับไอ้เหมียวจัญไรไปแล้ว?” ซือถูเซี่ยวถามเสียงต่ำ


อวี้หนูเจียวก้มหน้าไม่พูดอะไร ไม่อยากจะตอบรับจริงๆ นางคิดว่าทำแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับขายตัว!


ซือถูเซี่ยวจ้องนางครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ที่อาจารย์ทำแบบนี้ ที่จริงแล้วก็เพราะหวังดีกับเจ้า น่าเสียดายที่เหมียวอี้ไม่ชอบผู้ชาย ไม่อย่างนั้นข้าคงให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องผู้ชายแต่งงานกับเขาไปแล้ว!”


อวี้หนูเจียวที่กำลังอยู่ในอารมณ์หดหู่ดูเหมือนเย็นชา แต่ก็เหมือนจะเส้นตื้นนิดหน่อย พอได้ยินก็หัวเราะออกมา เอามือปิดปากส่งเสียงหัวเราะ “ศิษย์มองไม่ออกจริงๆ ว่าแต่งงานกับเขาแล้วจะมีอะไรดีกับศิษย์ ถ้าพวกศิษย์พี่ศิษย์น้องผู้ชายชอบ ก็ให้พวกเขาไปแต่งงานเองก็สิ้นเรื่องแล้ว ศิษย์จะอวยพรให้พวกเขาแน่นอน”


“อย่าขำสิ!” ซือถูเซี่ยวเคาะบนกะโหลกของนาง แล้วพูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ข้ารับปากแล้วว่าจะมอบเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางให้ไอ้เหมียวจัญไร เจ้าอยากจะฝึกทั้งฉบับที่มีอยู่ในมืออาจารย์มาตลอดไม่ใช่เหรอ? เจ้าคิดดูสักหน่อย ถึงตอนนั้นในบรรดาอนุภรรยาของเข็จะมีเจ้าคนเดียวที่เป็นพรตผี มีเจ้าคนเดียวที่เหมาะจะฝึกเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางที่สุด ขอเพียงเจ้ายอมลดตัวลงไปปรนนบัติ ยังกลัวว่าจะไม่ได้อะไรจากมือเขาอีกเหรอ?”


อวี้หนูเจียวตาเป็นประกายเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเริ่มหวั่นไหวแล้วนิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกับการแต่งงานเป็นอนุภรรยาของไอ้เหมียวจัญไร นางยังปฏิเสธไม่หยุด “ศิษย์รู้สึกว่าตอนนี้ดีมากอยู่แล้ว เคล็ดวิชาที่เหลือ ถ้าไม่สามารถฝึกให้ครบได้ก็ไม่มีอะไรน่าเสียดาย ท่านอาจารย์หาคนอื่นไปแต่งงานแทนเถอะค่ะ!”


ซ้ายก็ไม่เข้าใจ ขวาก็ไม่เข้าใจ ไม้อ่อนใช้ไม่ได้ผล ซือถูเซี่ยวขี้เกียจจะเปลืองคำพูดแล้ว ไม่มีเวลามาสิ้นเปลืองกับนางด้วย จึงใช้ไม้แข็งเสียเลย “ไม่แต่งก็ต้องแต่ง! เป็นอาจารย์หนึ่งวันเท่ากับเป็นบิดาไปทั้งชีวิต เรื่องใหญ่อย่างการแต่งงาน บิดามารดาเป็นผู้ตัดสินใจ ตกลงตามนี้แล้วกัน!”


อิงอู๋ตี๋จับตัวหยางชิ่งไปกะทันหัน ไม่มีใครกังวลใจไปกว่าชิงเหมยกับชิงจวี๋แล้ว เพื่อที่ทั้งสองจะตามไปให้ทัน จึงหาตัวนักพรตบงกชม่วงมาสองคนให้พาไปส่ง กว่าจะไปถึงนภาอู๋เลี่ยงก็เนตอนเช้าของวันถัดไปแล้ว ตอนนี้ถึงได้พบว่าเป็นเพียงกระต่ายตื่นตูมไปเอง หยางชิ่งไม่ใช่แค่ไม่เป็นอะไร ทั้งยังได้เจอเรื่องมงคลด้วย แม้แต่เรือนหอก็ได้เข้าแล้ว เรียกได้ว่ารวดเร็วอย่างน่าทึ่ง


โดยเฉพาะคนที่ได้เข้าหอด้วย ทำให้สาวใช้ทั้งสองตกตะลึงมาก ทั้งสองย่อมรู้จักอยู่แล้ว ทั้งสองเคารพยำเกรงฉินซีมาตลอด หลังจากฉินซีคลอดฉินเวยเวยเอาไว้ นางก็อยู่ในตำแหน่งนายหญิงในสายตาของทั้งสองอยู่แล้ว เพียงแต่นายท่านกับฮูหยินไม่ได้ทำสีหน้าเหมือนคนที่เพิ่งผ่านงานมงคลมาเลย


หลังจากชิงเหมยปรนนิบัติอาบน้ำให้เสร็จแล้ว หยางชิ่งก็เปลี่ยนทัศนคติไวมาก ในเมื่อไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เช่นนั้นก็ต้องยอมรับ จะเสียตำแหน่งในตอนนี้ไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าลูกสาวไม่มีเขาคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ตำแหน่งของนางก็จะน่าเป็นกังวล จึงมาหาฉินซีแล้วบอกว่า “ข้ายังมีงานที่สายมะโรงแดนเซียนอีก ตามข้าไปบอกลานายท่านกับฮูหยินเถอะ!”


ฉินซีพยักหน้าเงียบๆ แล้วเดินเคียงข้างไปด้วยกันอย่างตกกระไดพลอยโจน เพียงแต่ชิงเหมยกับชิงจวี๋ที่เดินตามหลังรู้สึกว่าทั้งสองค่อนข้างไม่คุ้นเคยกัน


“ยินดีด้วย ยินดีด้วย!” เมื่อเจอหน้ากัน อวิ๋นจือชิวก็แสดงความยินดี


ส่วนเหมียวอี้ก็พูดหยอกล้อ “หยางชิ่ง ได้เข้าเรือนหอเมื่อคืนดีใจมั้ยล่ะ?”


ฉินเวยเวยที่อยู่ข้างๆ เป็นเหมือนคนโง่ ไม่รู้สถานการณ์อะไรทั้งนั้น ถึงแม้เมื่อคืนวานตอนที่เป็นพิธีกรนางจะรู้สึกว่าพ่อแม่บุญธรรมมีท่าทีแปลกๆ เพียงแต่ต่อให้นางนอนฝันก็คงจะนึกไม่ถึง ว่าสองคนนี้จะเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงของนาง


อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วแอบเอามือบิดเอวเหมียวอี้ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็อยู่ในระดับพ่อตาแม่ยาย จะมาล้อเล่นแบบนี้ได้อย่างไร ไม่เข้าท่าเกินไปแล้ว


เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน หยางชิ่งจูงมือที่อ่อนนุ่มของฉินซี พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านประทานงานแต่งงานที่งดงงามดุจดอกไม้มาให้ ข้าน้อยย่อมดีใจอยู่แล้ว”


หลังจากพูดจาตามมารยาทพักหนึ่ง หยางชิ่งก็นำฉินซีกล่าวขอตัวอำลา เพียงแต่ก่อนไปถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “ขอเพียงนายท่านทำดีกับเวยเวย ไม่ว่าอะไรหยางชิ่งก็ยอมรับทุกอย่าง!”


เหมียวอี้พยักหน้าพลางหรี่ตายิ้ม เข้าใจถึงความหมายอีกชั้นในคำพูดของอีกฝ่าย


ก็เป็นอย่างนี้ หยางชิ่งที่ถูกจับตัวมา ตอนกลับได้พาเมียกลับไปด้วยหนึ่งคน ช่างเป็นที่น่าอิจฉาของคนรอบกาย!


หลังจากหยางชิ่งไปได้ไม่นาน หงเหมียน ลู่หลิ่วก็มาแล้วเช่นกัน หลังจากคำนับแล้ว ฉินเวยเวยก็พาทั้งสองจากไป จากกันไปหลายวัน ย่อมต้องมีเรื่องคุยกันอยู่แล้ว


ทางนี้เพิ่งจะสงบลง ขณะที่เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวกำลังพูดคุยเดินเล่นกันอยู่ในสวนดอกไม้ เบื้องล่างก็มีคนมารายงานว่า จีฮวนมาแล้ว


“พามาเถอะ!” เหมียวอี้โบกมือพูดอย่างไม่ใส่ใจ


ผ่านไปครู่เดียว จีฮวนก็เดินเข้ามาด้วยย่างก้าวที่มั่นคง ท่าทีสุภาพเยือกเย็น


ที่มาด้วยกันยังมีสตรีชุดกระโปรงขาวที่ปล่อยผมยาวคลุมบ่า หน้าตาดีใช้ได้ มีเสน่ห์ที่แตกต่างไปอีกแบบ ที่โดดเด่นที่สุดก็คือความยาวที่อยู่ใต้กระโปรงที่คลุมเอวบาง แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามีขาทั้งคู่ที่เรียวยาว นางยืนอยู่ข้างหลังจีฮวนเงียบๆ พอพบหน้ากันก็จ้องประเมินเหมียวอี้มาตั้งแต่ไกลๆ


เหมียวอี้เห็นแล้วไม่คุ้นหน้า อวิ๋นจือชิวกลับเคยเห็นมาก่อน แอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ลูกสาวคนที่สามในบรรดาลูกที่ยังเหลืออยู่ของจีฮวน อายุอยู่ในลำดับเก้า ชื่อจีเหม่ยลี่ เมื่อก่อนข้าเคยคุยกับนางหลายครั้ง นิสัยต่างกับจีเหม่ยเหมย ค่อนข้างเย็นชา!”


หลังจากทั้งสองฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน เหมียวอี้ก็ถามว่า “มีธุระอะไร?”


จีฮวนไม่สนใจคำพูดของเขา ยื่นมือเชิญอวิ๋นจือชิวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “นางหนูอวิ๋น ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวหน่อย”


อวิ๋นจือชิวรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย มีเรื่องอะไรที่ต้องหลบเหมียวอี้เพื่อคุยกัน? หลังจากสบตากับเหมียวอี้แวบหนึ่ง นางก็พยักหน้า แล้วเดินออกไปคุยกับจีฮวนไกลๆ


ตรงนั้นจึงเหลือแค่เหมียวอี้กับจีเหม่ยลี่ ทั้งสองมองหน้ากันมองหน้ากันมา ไม่รู้จะคุยอะไรกัน!


…………………………


บทที่ 1123 สร้างความประหลาดใจไม่หยุดหย่อน

โดย

Ink Stone_Fantasy

เหมียวอี้มองนาง ที่จริงเป็นเพราะรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ประหลาดนิดหน่อย ทำไมเอาแต่จ้องข้าอย่างนั้นล่ะ? รู้สึกได้อย่างชัดเจนมากว่าอีกฝ่ายกำลังมองสำรวจตน


เหมียวอี้กำลังครุ่นคิดว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตนฆ่าจีเหม่ยเหมย แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ตอนนี้เขาไม่เห็นจีฮวนอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ มีหรือที่จะเห็นลูกสาวของจีฮวนอยู่ในสายตา ถึงเอามือไขว้หลังและหันกลับมามองเป็นครั้งคราว


ส่วนใหญ่เขาจ้องไปยังอวิ๋นจือชิวที่อยู่ทอีกด้านหนึ่ง ป้องกันไม่ให้จีฮวนมีเจตนาอะไรไม่ดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าจีฮวนกำลังคุยอะไรกับอวิ๋นจือชิว เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นจือชิวกำลังมองมาทางนี้ด้วยสีหน้างุนงง


ส่วนจีเหม่ยลี่ก็มองเหมียวอี้ศีรษะจดเท้าด้วยสีหน้าเย็นชาจริงๆ แล้วก็มองจากเท้าขึ้นไปที่ศีรษะอีก ไม่หลบเลี่ยงเลยสักนิด


พอเหมียวอี้หันกลับมา ปรากฏว่าผู้หญิงคนนี้ก็ยังจ้องเขาเหมือนเดิม เขาสงสัยนิดหน่อยว่าบนหน้าตัวเองมีอะไรติดหรือเปล่า หรือว่าตอนที่อวิ๋นจือชิวแอบแกล้งอะไรตอนที่อาบน้ำให้เข? แต่ไม่น่าจะใช่นะ ผู้หญิงคนนี้ดูแลเรื่องการแต่งตัวของเขาแบบเข้มงวดมาก เสื้อผ้ายับนิดเดียวก็ดึงให้เขาจนเรียบ เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เขามีสิ่งสกปรกติดหน้ายามออกจากบ้านมาพบคนอื่น


แต่ถูกมองจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงแสร้งเอามือลูบหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ลูบไม่เจออะไร


เมื่อรอไปได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดอวิ๋นจือชิวกับจีฮวนก็กลับมาแล้ว จีฮวนยังคงมีสีหน้าท่าทางเรียบเฉย แต่อวิ๋นจือชิวกลับทำสีหน้าค่อนข้างแปลกอย่างเห็นได้ชัด


“มีเรื่องอะไรทำไมต้องหลบข้าคุย?” เหมียวอี้ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ


“เจ้ากลับไปก่อน!” จีฮวนโบกมือบอกลูกสาว รอจนจีเหม่ยลี่ออกไปแล้ว เขาถึงได้ถามเหมียวอี้ว่า “ลูกสาวคนเล็กของข้าหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง?”


“เหอะๆ! ขายาว…” เหมียวอี้ที่หัวเราะเบาๆ พูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ เรียกได้ว่าสังเกตเห็นจุดเด่นของจีเหม่ยลี่เร็วมาก แต่ไม่นานใบหน้ายิ้มก็ชะงักค้าง คำพูดที่จะตามมาต่อจากนั้นไม่ได้เอ่ยออกมาแล้ว เพราะพบว่าอวิ๋นจือชิวกำลังมองเขาด้วยแววตาที่เหมือนจะแทงเขาให้ตาย


ท่านขุนนางเหมียวไม่ใช่มือใหม่ในด้านนี้แล้ว ในใจแอบปาดเหงื่อ ชมผู้หญิงคนอื่นว่าสวยต่อหน้าฮูหยินของตัวเองไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกเหรอ? จึงหุบปากแล้วยิ้มแห้งๆ ทันที


“พูดมาสิ! ชอบแล้วก็พูดต่อสิ!” อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าค่อนขอด “ท่านปราชญ์จีตั้งใจจะให้ลูกสาวมาเป็นอนุภรรยาของเจ้า วันนี้เลยตั้งใจพามาให้เจ้าดูตัวสักหน่อย ข้าตอบตกลงไปแล้ว ขอเพียงเจ้าเห็นแล้วชอบ ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร”


เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ “ลูกสาวของปราชญ์ปีศาจผู้สง่าผ่าเผย จะมาเป็นอนุภรรยาของเหมียวได้อย่างไร!” เขาโบกมือบอกใบ้ให้นางเลิกหาเรื่องไม่หยุดได้แล้ว ข้าก็แค่พูดชมส่งเดชไปคำเดียวเอง


เขานึกว่าอวิ๋นจือชิวกำลังพูดหยอกเพื่อเหน็บแนมเขา ไม่ได้คิดไปในทางที่อวิ๋นจือชิวพูดเลย เขาฆ่าลูกสาวของจีฮวนไปแล้ว จะไปคิดได้อย่างไรว่าจีฮวนจะยกลูกสาวอีกคนให้แต่งงานกับเขา ทั้งยังเป็นอนุภรรยาด้วย สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย


แต่ใครจะคิดว่าจีฮวนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “ลูกสาวคนเล็กของข้าชื่นชมผู้ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมที่สุด ยินดีเป็นหางหงส์ แต่ไม่ยอมเป็นหัวไก่ มีเจตนาจะแต่งงานกับเจ้าจริงๆ ขอแค่เจ้าตอบรับ ก็สามารถเลือกวันมงคลแต่งงานเข้าประตูบ้านของตระกูลเหมียวได้เลย”


อวิ๋นจือชิวยังคงจ้องเหมียวอี้ด้วยสีหน้าเหน็บแนม


“…” เหมียวอี้กลับเหม่อค้างอย่างเต็มที่ จ้องจีฮวนอย่างงุนงงครู่หนึ่ง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?”


จีฮวนกล่าวยืนยันอีกครั้ง “ลูกสาวคนเล็กของข้าชอบเจ้า ยินดีแต่งงานเป็นอนุภรรยาของเจ้า!” ครั้งนี้พูดให้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม เชื่อว่าต่อให้เป็นคนโง่ก็ฟังเข้าใจ


เหมียวอี้หันหน้าช้าๆ มามองอวิ๋นจือชิว เหมือนกำลังถามว่า เมื่อครู่พวกเจ้าคุยกันเรื่องนี้เหรอ?


อวิ๋นจือชิวพ่นสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “อย่ามองข้า ขอแค่เจ้าชอบก็พอแล้ว!”


เห็นได้ชัดว่าเป็นคำพูดประชดก่อนที่นางจะปรี๊ดแตก! เหมียวอี้รีบโบกมือติดต่อกัน “ไม่เลย ไม่เลย ไม่รู้จักกัน ข้าจะไปชอบได้ยังไงล่ะ ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลยจริงๆ!”


“ทำไมไม่ชอบ? หรือว่าลูกสาวของข้าสวยไม่พอ?” จีฮวนถาม


ขณะที่ทางนี้กำลังอธิบายเหตุผลกัน ด้านนอกก็มีคนเข้ามาอีกแล้ว ซือถูเซี่ยวพาอวี้หนูเจียวศิษย์รักมาแล้ว


หวังเต้าหลินรีบออกมาต้อนรับ ซือถูเซี่ยวเห็นแล้วถามว่า “ทางนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงใช่มั้ย?” ทิ้งลูกศิษย์ไว้ที่นี่ก็เพื่อให้คอยจับตาดู


“ไม่มีอะไรขอรับ จีฮวนพาจีเหม่ยลี่มาแล้ว สองพ่อลูกข้าไปที่ตำหนักหลังแล้ว” หวังเต้าหลินกล่าว


ขณะกำลังคุยกัน พวกเขาก็เอียงหน้ามองไปทางประตูตำหนักหลัง เห็นเพียงจีเหม่ยลี่เดินออกมาคนเดียว จีเหม่ยลี่มองมาทางนี้แวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร กลับไปยังที่พักชั่วคราวของจีฮวนคนเดียวเงียบๆ


ดวงตาที่อยู่หลังหน้ากากผีของซือถูเซี่ยววูบไหว พอหันกลับมา ก็พบว่าอวี้หนูเจียวกำลังมองมาพอดี


ทั้งสองเหมือนจะใจตรงกัน เหมือนจะเข้าใจพร้อมกันว่าจีฮวนพาลูกสาวมาด้วยเจตนาอะไร ซือถูเซี่ยวโบกมือให้อวี้หนูเจียว “ไปกันเถอะ!”


ขระที่มองส่งสองคนนั้นเดินไป หวังเต้าหลินยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก ในใจกำลังครุ่นคิดว่า ข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว อาจารย์ยังจะพาศิษย์น้องมาทำอะไรอีก?


เขาอยากจะไปพิภพใหญ่กับอาจารย์ กังวลว่าศิษย์น้องมาแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า


เหมียวอี้ที่อยู่ในสวนดอกไม้กำลังสะบักสะบอม จู่ๆ เบื้องล่างก็มีคนวิ่งมารายงานอีก “คุณชายห้า ซือถูเซี่ยวมาแล้วขอรับ”


ในที่สุดก็มีธุระให้ฝ่าวงล้อมออกไปแล้ว! เหมียวอี้แอบดีใจหนักมาก โบกมือบอกว่า “เชิญมาเลย!”


จนกระทั่งซือถูเซี่ยวนำอวี้หนูเจียวโผล่หน้ามา สายตาของจีฮวนที่ไปหยุดอยู่บนตัวอวี้หนูเจียวก็เป็นประกายวูบไหวเช่นกัน


เหมียวอี้ฉวยโอกาสหาข้ออ้าง หันหน้าหลบอวิ๋นจือชิวที่ใกล้จะทำให้เขาเหงื่อท่วมหลัง แล้วกุมหมัดคารวะถามว่า “ไม่ทราบว่าปราชญ์ผีมาด้วยธุระอะไร?” ท่าทีสุภาพกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อยเลย


ใครจะคิดว่าซือถูเซี่ยวจะเหลือบมองจีฮวนแวบหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบวังเวง “ข้าก็มาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ต่างจากจีฮวนเท่าไรหรอก ไม่ทราบว่าเจ้ากับจีฮวนกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ล่ะ?”


“หึหึ! หึหึ! หึหึ!” อวิ๋นจือชิหัวเราะแห้งๆ สามที เอามือกอดอกพลางเงยหน้ามองฟ้า ยากที่จะบรรยายสีหน้าเหน็บแนมถากถางออกมาได้


“…” เหมียวอี้งงนิดหน่อย สายตาค่อยๆ ย้ายไปอยู่บนตัวอวี้หนูเจียว แล้วชี้พร้อมถามว่า “เจ้าคงไม่ได้จะให้อวี้หนูเจียวมาเป็นอนุภรรยาของข้าเหมือนกันหรอกใช่มั้ย?”


คำพูดนี้ทำให้อวี้หนูเจียวรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว นางเอียงหน้ามองไปด้านข้าง เรื่องนี้ให้อาจารย์จัดการก็พอแล้ว ยังจะตั้งใจพานางมาเจอเหมียวอี้อีก ทำให้นางเหลือทนจริงๆ แต่จนใจที่ขัดคำสั่งอาจารย์ได้ยาก!


“เรื่องแต่งงานค่อยๆ นั่งลงคุยกันเถอะ” ซือถูเซี่ยวพยักหน้า


“เหอะๆ!” ตอนนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้จะเงยหน้าหัวเราะแล้ว เขาไม่ใช่คนโง่ จีฮวนทำแบบนี้คนเดียวก็แย่แล้ว ซือถูเซี่ยวก็ทำแบบนี้อีก เจตนาชัดเจนเกินไปหน่อยรึเปล่า เหมียวอี้เป็นฝ่ายเดินเข้ามาข้างกายอวี้หนูเจียว เดินวนรอบอวี้หนูเจียวพร้อมมองสำรวจ สุดท้ายก็เอามือไขว้หลังยืนตรงข้ามกับอวี้หนูเจียว พร้อมถามว่า “เอ อวี้หนูเจียว พวกเราไม่ได้เจอกันเป็นครั้งแรกแล้ว ไม่ต้องเกรงใจกันหรอก ข้าจะถามเจ้าหน่อย เจ้าเต็มใจแต่งงานมาเป็นอนุภรรยาของข้าจริงเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวหันกลับมามอง ซือถูเซี่ยวและจีฮวนก็มองมาในทันทีเช่นกัน สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่อวี้หนูเจียว ทำให้อวี้หนูเจียวค่อนข้างรู้สึกกดดัน โดยเฉพาะซือถูเซี่ยวที่กำลังส่งสายตาสั่งนางเป็นนัยๆ


เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าท่าทางหยอกล้อ ในใจอวี้หนูเจียวก็แอบเดือดดาล ทำไมข้าต้องกลัวเจ้าด้วยล่ะ? นางเงยหน้ายืดอก กล่าวอย่างอวดดีว่า “เต็มใจ!”


ประเด็นสำคัญคือเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันของซือถูเซี่ยว นางไม่มีทางพูดคำว่า ‘ไม่เต็มใจ’ ออกมาได้ ความเกี่ยวโยงต่างๆ ที่ร้ายกาจ ซือถูเซี่ยวได้อธิบายกับนางไว้ชัดเจนมากแล้ว และสุดท้ายนางก็ตอบตกลงที่จะเสียสละตัวเอง คิดปลอบใจตัวเองว่าพุ่งเป้าไปที่ ‘เคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยาง’ มิหนำซ้ำถ้ามากลับคำพูดตอนนี้ก็จะทำให้อาจารย์ไปต่อไม่ถูก


“เหอะๆ!” เหมียวอี้หัวเราะลั่นอีกสามครั้ง “ไม่มีท่าทางเต็มใจเลยสักนิด ถ้าเชื่อก็บ้าแล้ว” จากนั้นก็หันไปทำเสียงฮึดฮัดใส่จีฮวนกับซือถูเซี่ยว “ข้าว่านะ พวกเจ้าใช้มุกนี้จะมีความหมายอะไรเหรอ? ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าพูดคำไหนคำนั้น ในเมื่อตอบตกลงแล้วว่าจะพาพวกเจ้าไปพิภพใหญ่ ข้าก็จะพาไปแน่นอน เรื่องเอาคนสวยมายั่วยวนข้าแบบนี้ เป็นการกระทำที่ชั้นต่ำไปหน่อยรึเปล่า? ข้าเหมียวอี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นผู้หญิงมาก่อน!”


เขาเดินมาข้างกายอวิ๋นจือชิว ยื่นมือจูงมืออวิ๋นจือชิวมาพูดประจบประแจง “ฮูหยินของข้าสวยไม่แพ้ใครทั้งนั้น!”


“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวโบกมือไม่รับไมตรี


ทันใดนั้นเอง ทุกคนก็หันไปมองบนฟ้าพร้อมกัน เห็นเพียงคนสามคนแฉลบผ่านฟ้าเข้ามา กำลังอยู่บนฟ้าพอดี ปราชญ์พุทธฉางเหลย ไต้ซือศีลเจ็ด แล้วยังมีผู้หญิงอีกคนที่กระโปรงพลิ้วสะบัด เหมียวอี้ไม่รู้จัก


ฉางเหลยเองก็ไม่เกรงใจ พาคนเหยียบลงพื้นโดยตรง เขาไม่ใช่เป้าหมาย ไต้ซือศีลเจ็ดก็ไม่ใช่เป้าหมายเช่นกัน สายตาของทุกคนไปรวมอยู่บนตัวผู้หญิงที่อยู่เฉียงด้านหลังเขา


รูปร่างสูงระหงทรงเพรียว เอวบางหน้าอกอิ่ม ดูค่อนข้างผอมบาง สวมกระโปรงสีขาวยาวคลุมหลังเท้า มวยผมที่ห่อด้วยผ้ามุ้งสีขาวเกล้าสูงไว้ข้างหลัง หน้าผากอิ่มนูน เกลี้ยงเกลาดุจหยก คิ้วโก่งยาวดุจภูเขา ดวงตาใสแจ๋วดุจน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ขนตาเป็นแพเล็กน้อย จมูกโด่งปากแดง ใบหน้าขาวสะอาดดุจดอกบัวขาว


นางก้าวเท้าเบาๆ อยู่ข้างหลังฉางเหลยกับไต้ซือศีลเจ็ด ท่วงท่างดงามอ่อนช้อย ในทุกอากัปกิริยาอ้อนแอ้นและไม่บังคับตัวเอง สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาดมีเมตตา เป็นผู้หญิงที่สง่าภูมิฐาน งดงามและสุภาพอย่างแท้จริง


ทึ่ง! พอผู้หญิงคนนี้ปรากฏตัว เหมียวอี้ก็เริ่มถูกทำให้ทึ่งแล้วจริงๆ ถ้าผู้หญิงอย่างฉินซีนับว่าสวยงาม เช่นนั้นผู้หญิงคนนี้ก็คงจะขาดคำว่า ‘สวย’ ไป ไม่สวยและไม่แพรวพราว ไม่ฉูดฉาดและไม่ธรรมดา ผู้หญิงคนนี้มีแต่คำว่า ‘งาม’ อย่างธรรมชาติ เป็นความงามที่ทำให้คนรู้สึกเหมือนกำลังอาบลมในฤดูใบไม้ผลิ สบายทั้งกายทั้งใจ เป็นความงามแบบสง่าภูมิฐาน แววตามีสง่าราศีสดใส ในดวงตาฉายแววเฉลียวฉลาดมีเมตตา ทำให้คนไม่เกิดความคิดที่จะสบประมาท


เหมียวอี้นึกว่าในบรรดาผู้หญิงที่ตัวเองเคยเจอ ฉินซีนับว่างดงามที่สุด นึกไม่ถึงเลย…แน่นอน ถ้าใช้มาตรฐานของเสน่ห์ความเย้ายวนมาประเมินอย่างเดียว รูปโฉมของผู้หญิงตรงหน้าไม่ดึงดูดใจเท่าฉินซี แต่ความงามอีกแบบหนึ่งบนตัวของผู้หญิงคนนี้ เป็นสิ่งที่ฉินซีเทียบไม่ติด


เหมียวอี้แอบทึ่งในใจเงียบๆ ความงามของผู้หญิงต่างก็มีข้อดีไปคนละแบบจริงๆ


“ผู้หญิงคนนี้ชื่อฝ่าอิน เป็นลูกศิษย์ลำดับที่ห้าของฉางเหลย มีร่างหงส์โดยกำเนิด ตอนที่ฉางเหลยรับมาเป็นศิษย์ เป็นเพราะไต้ซือศีลเจ็ดชมว่านางมีปัญญาผล ถึงได้รับความสำคัญเป็นพิเศษจากฉางเหลย ถูกพาออกบวชโดยไม่โกนผม ได้สัมผัสกับปุถุชนในโลกน้อยเป็นพิเศษ ขนาดข้ายังได้เห็นนางเป็นครั้งที่สองเลย หน้าตาดีใช่มั้ยล่ะ? มองจนค้างเลยล่ะสิ?” อวิ๋นจือชิวถ่ายทอดเสียงอยู่ข้างกายเหมียวอี้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ใช้นิ้วสองนิ้วบิดเนื้อที่เอวเหมียวอี้อย่างแรง บิดเหมือนจะเอาให้ถึงตาย


เหมียวอี้เจ็บจนกระตุกมุมปากอย่างรุนแรง


“ไต้ซือก็มาเช่นกัน!” จีฮวนกับซือถูเซี่ยวไม่สนใจฉางเหลย แต่กลับกุมหมัดคารวะไต้ซือศีลเจ็ด


“อามิตาพุทธ!” หลังจากไต้ซือศีลเจ็ดทักทายกลับ สายตาก็ไปหยุดอยู่ที่เหมียวอี้


เหมียวอี้รีบฉวยโอกาสหลุดพ้นจากกรงเล็บมารของอวิ๋นจือชิวอย่างเนียนๆ ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ “ไต้ซือ!”


ไต้ซือศีลเจ็ดประนมมือยิ้มอย่างมีมุทิตาจิต พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเบี่ยงตัวไปอีกข้าง หลีกให้ฉางเหลยเป็นตัวหลัก


“นี่คือฝ่าอิน ลูกศิษย์คนเล็กของข้า!” หลังจากฉางเหลยแนะนำให้เหมียวอี้ ก็แนะนำเหมียวอี้ให้ลูกศิษย์ “นี่คือโยมเหมียวที่อาจารย์เอ่ยให้เจ้าฟังเมื่อคืนนี้”


บนใบหน้าขาวสะอาดไร้มลทินดุจหยกของฝ่าอินกระเพื่อมระลอกรอยยิ้มบางๆ ฝ่ามือหยกบริสุทธิ์ที่งดงามมากคู่นั้นประนมขึ้น พร้อมกล่าวด้วยเสียงใสนุ่มนวล “ฝ่าอินทักทายโยมเหมียว!”


“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า สายตาไปหยุดอยู่บนตัวฉางเหลย ถามว่า “ฉางเหลย เจ้าพาลูกศิษย์คนนี้มาหมายความว่าอย่างไร?”


ที่จริงเขาอยากจะถามมาก ว่าเจ้าคงไม่ได้พาลูกศิษย์มาเป็นอนุภรรยาของข้าหรอกใช่มั้ย? แต่คำพูดที่มาถึงปากถูกกลืนกลับลงไป รู้สึกว่าพูดแบบนี้ไม่ถูก ผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่ออกบวช จะมาเป็นอนุภรรยาของตนได้อย่างไร ถ้าพูดอะไรแบบนั้นออกมาจริงๆ คงจะเป็นที่หยามหยันของผู้คนในวงการแล้ว เดาว่านางคงมาด้วยเจตนาอื่น


…………………………


บทที่ 1124 แต่งๆ ไปเถอะ!

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฉางเหลยยิ้มโดยไม่ตอบ กลับเป็นฝ่าอินที่กล่าวอย่างจริงใจว่า “อาตมาสึกแล้ว มาแก้ไขวาสนาทางโลกกับโยมเหมียว”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ก็เรียกได้ว่าเหมือนโดนฟ้าผ่าล้ม เหมียวอี้ทำสีหน้าประหลาดใจมาก รู้สึกตกตะลึงกับคำพูดแบบนี้ของฝ่าอิน!


อวิ๋นจือชิวงุนงงเล็กน้อย ส่วนพวกจีฮวนก็พากันมองฉางเหลยด้วยสีหน้าแปลกๆ


นางกับเหมียวอี้จะมีวาสนาทางโลกอะไรต่อกันได้ ถ่อมาใช้มุกนี้ในเวลานี้ ต่อให้ไม่ต้องถามก็รู้ว่าฉางเหลยมาด้วยเจตนาอะไร


ทุกคนพบว่าพระอย่างฉางเหลยช่างกล้าทำได้ทุกอย่างจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าฉางเหลยพูดเกลี้ยกล่อมฝ่าอินอย่างไร ถึงทำให้คนที่ไม่แปดเปื้อนทางโลกอย่างฝ่าอินถ่อมาเป็นอนุภรรยาได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ทั้งยังทำท่าเหมือนสมัครใจมากด้วย ช่างผิดกฎธรรมชาติจริงๆ


ซือถูเซี่ยวหันกลับมามองอวี้หนูเจียวที่กำลังทำสีหน้าตกตะลึง เหมือนกำลังเตือนนางว่า เจ้าดูท่าทีของลูกศิษย์คนอื่นเขาสิ แล้วดูท่าทีของตัวเองสิ


“นี่กำลังล้อข้าเล่น หรือแม่งเป็นบ้ากันไปหมดแล้ว? พวกเจ้าอยากจะเล่นอะไรก็เล่นกันไปเถอะ อย่าดึงข้าไปเล่นด้วย ไม่อย่างนั้นอย่ามาหาว่าข้าแปรพักตร์ก็แล้วกัน!” เหมียวอี้ที่ได้สติกลับมายังคงตกตะลึงเล็กน้อย แหกปากด่าและสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป ไม่อยู่ด้วยแล้ว!


หลังจากไต้ซือศีลเจ็ดประนมมืออำลาทุกคนแล้ว ก็เดินตามหลังเหมียวอี้ไปเช่นกัน เดินตามออกไปข้างนอก ทิ้งคนพวกนี้ให้ให้ตะลึงงันอยู่ในสวนดอกไม้


ทุกคนพอจะเข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ได้ เป็นเพราะฉางเหลยทำตัวสมกับชื่อของตัวเองจริงๆ ราวกับฟ้าผ่าที่ทำให้ทุกคนตกใจไม่เบา


“ให้ไต้ซือเห็นเรื่องน่าขำแล้ว”


เมื่อกลับมาถึงโถงหลัก เหมียวอี้ก็เชิญไต้ซือศีลเจ็ดให้นั่งลง ประเด็นสนทนาเกี่ยวกับศีลแปดเป็นสิ่งที่เลี่ยงไมได้ ตอนนี้เขาไม่ได้ปิดบังเรื่องพิภพใหญ่กับไต้ซือศีลเจ็ดเช่นกัน พูดเรื่องเกี่ยวกับศีลแปดที่พิภพใหญ่ใหญ่ฟัง


สิ่งที่เหมียวอี้สนใจที่สุดก็คือ ศีลแปดได้ติดต่อกับไต้ซือศีลเจ็ดบ้างหรือเปล่า เขาอยากจะรู้สถานการณ์ในตอนนี้ของศีลแปด พี่ใหญ่คนนี้ติดต่อเจ้าเวรนั่นไม่ได้


ทว่าไต้ซือศีลเจ็ดส่ายหน้าถอนหายใจ บอกว่าหลังจากศีลแปดตามเหมียวอี้ไปแล้ว ก็ไม่ได้ติดต่อกับเขาอีกเลย


ปั้ง! เหมียวอี้ตบโต๊ะ ค่อนข้างเดือดดาล “เจ้าคนเลว! อย่าให้ข้าจับตัวได้นะ ไม่อย่างนั้นก็คอยดูว่าข้าทำโทษเขายังไง!”


คนที่ควรเคารพเขาก็ยังเคารพ มีอาจารย์ที่ดีขนาดนี้ แต่เจ้าเวรศีลแปดกลับไม่มีความเคารพเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ถามไถ่ทักทายสักนิดก็ไม่มี จึงทำให้เหมียวอี้โมโหเดือดดาลมาก ในยุคนี้แนวคิดเกี่ยวกับอาจารย์ดุจดั่งบิดายังคงหยั่งรากลึกในจิตใต้สำนึกของเขา นี่ก็คือสาเหตุที่ใหญ่ที่สุดที่มู่ฝานจวินใช้บีบจุดอ่อนเขาได้ เขาไม่อยากบังคับให้เยว่เหยาทำเรื่องที่ไร้บรรทัดฐาน แต่เจ้าเวรศีลแปดกลับทำเรื่องที่ไร้บรรทัดฐานอยู่บ่อยๆ


“จิตใจยังไม่มั่นคง ฝืนขังไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ปล่อยให้เขาไปเถอะ!” ไต้ซือศีลเจ็ดยิ้มเจื่อน ดึงประเด็นสนทนากลับมาที่เรื่องพิภพใหญ่ ตอนที่ได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังจากเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว ก็พยักหน้าเบาๆ บอกว่า “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าล่ะเมื่อคืนวานฉางเหลยจึงเกลี้ยกล่อมฝ่าอินให้มาเป็นอนุภรรยาไม่หยุด อาตมาสงสัยใคร่รู้จึงตามมาดูด้วย”


พอพูดถึงฝ่าอิน เหมียวอี้ถามอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ฉางเหลยใช้วิธีการอะไรกันแน่ ถึงบีบให้คนที่ออกบวชทำเรื่องพรรค์นี้?”


ไต้ซือศีลเจ็ดยิ้มบางๆ “ไม่ได้บีบบังคับ เพียงเทศนาให้ฝ่าอินฟังหนึ่งคืน เกลี้ยกล่อมให้สึกมาแต่งงานเป็นอนุภรรยาของโยม นับว่าชี้เส้นทางฝึกตนให้นางอีกเส้นทางหนึ่งก็แล้วกัน สำหรับเรื่องนี้อาตมาก็เห็นด้วยเหมือนกัน”


“ไต้ซือก็เห็นด้วยที่จะให้ฝ่าอินเป็นอนุภรรยาของข้าเหรอ?” เหมียวอี้ตกตะลึงไม่หยุด


ไต้ซือศีลเจ็ดประนมมืออธิบายว่า “ฝ่าอินไม่ได้แปดเปื้อนในทางโลกมาตั้งแต่เด็ก การละทิ้งความพะวงเรื่องทางโลกแล้ว ถึงแม้จะทำให้การฝึกตนราบรื่น แต่หลังจากฝึกมาถึงระดับหนึ่ง ก็ย่อมประสบกับจุดที่ยาก ไม่เข้าใจความคิดของสรรพสัตว์ ไม่ได้สัมผัสรักโลภโกรธหลง การเกิดแก่เจ็บตายในโลกมนุษย์ แล้วจะสามารถบรรลุธรรมได้อย่างไร? มาเผชิญเคราะห์กรรมทางโลกสักครั้ง สัมผัสความรู้สึกทางกายเนื้อด้วยตัวเองสักรอบ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกตนของฝ่าอิน อาตมาย่อมเห็นด้วยอยู่แล้ว ถ้าจะพูดให้ถูก ผู้ที่เกลี้ยกล่อมให้ฝ่าอินเข้าสู่ทางโลกคืออาตมา ส่วนฉางเหลยเพียงบอกให้ฝ่าอินแต่งงานมาเป็นอนุภรรรยาของโยมเท่านั้น ไม่ใช่เจตนาของอาตมา นั่นคือเจตนาของฉางเหลยคนเดียว ถึงอย่างไรฝ่าอินก็เป็นลูกศิษย์ของฉางเหลย อาตมาไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก บางทีอาตมาอาจจะยึดมั่นถือมั่นกับรูปลักษณ์เข้าแล้ว จะเป็นอนุภรรยาหรือไม่ก็ล้วนเข้าสู่ทางโลกเพื่อปฏิบัติธรรมทั้งนั้น สิ่งที่เรียกว่ารูปโฉมคือความว่างเปล่า ความว่างเปล่าก็คือรูปโฉม บางทีอาตมาอาจจะมองไม่ทะลุเท่าฉางเหลยก็เป็นได้!”


เหมียวอี้กล่าวอย่างอึ้งๆ “สงสัยการปลุกปลั่นให้นักบวชหญิงแต่งงานจะเป็นผลงานของไต้ซือด้วย แต่เรื่องนี้ข้าตอบตกลงไม่ได้เด็ดขาด”


ไต้ซือศีลเจ็ดยิ้มพร้อมกล่าวว่า “จะตกลงหรือไม่ก็ย่อมเป็นโยมที่ตัดสินใจเอง แต่ฉางเหลยให้ฝ่าอินเข้าสู่ทางโลกโดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ฝ่าอินแน่วแน่ที่จะเข้าสู่ทางโลกแล้ว ต่อให้ไม่แต่งงานกับโยม ฝ่าอินก็ยังต้องแต่งงานกับคนอื่นอยู่ดี ไม่ว่าโยมจะตอบตกลงหรือไม่ ที่จริงก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อฝ่าอินเลย เพียงแต่อาจจะไม่สอดคล้องกับเจตนาของฉางเหลยเท่านั้นเอง”


เหมียวอี้ตะลึงค้าง ถ้าตนไม่แต่งงานด้วย ฝ่าอินก็จะแต่งงานกับคนอื่นเหรอ?


ชั่วพริบตาเดียว ในใจเหมียวอี้ก็รู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย ผู้หญิงที่งดงามขนาดนั้น ถ้าปล่อยให้ไปแต่งงานกับคนอื่น ไม่สู้ตัวเองแต่งงานรับไว้เองก็สิ้นเรื่องแล้ว


แน่นอน ความคิดแบบนี้แค่แวบเข้ามาในใจเท่านั้น จากนั้นก็ปาดเหงื่ออย่างอับอายทันที พบว่าความคิดของตัวเองสกปรกโสมมเกินไปแล้ว


หลังจากสั่งให้คนจัดหาที่พักให้ไต้ซือศีลเจ็ด อวิ๋นจือชิวก็กลับมาแล้วเช่นกัน เพียงแต่สายตาเยาะเย้ยแบบนั้นทำให้เหมียวอี้ประหม่าไปทั้งตัว


“เจ้าไล่คนพวกนั้นไปรึยัง?” เหมียวอี้ถาม


“หึหึ!” อวิ๋นจือชิวกลับหัวเราะเสียงต่ำไม่หยุด หัวเราะจนพูดอย่างกระหืดกระหอบว่า “หนิวเอ้อร์ เจ้านี่ใช้ได้เลยนะ ทั้งผีทั้งมารทั้งปีศาจไม่ขาดเลยสักคน ขนาดผู้หญิงที่ออกบวชก็ยังตามมาเป็นอนุภรรยาของเจ้า”


เหมียวอี้กลอกตามองบน “ข้าแต่งงานเพิ่มมาหลายห้อง เจ้าดีใจมากเหรอ? พวกเขามีเจตนาอื่น ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้เสียหน่อย”


อวิ๋นจือชิวโบกมือ หลังจากตบหน้าอกระงับสติอารมณ์แล้ว ก็กล่าวอย่างลังเลนิดหน่อยว่า “หนิวเอ้อร์ ที่จริงเรื่องนี้ ข้ารู้สึกว่าเจ้าสามารถพิจารณาดูได้นะ”


“หมายความว่ายังไง?” เหมียวอี้ถามอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ “หรือว่าเจ้าคิดจะให้ข้าแต่งงานกับผู้หญิงพวกนั้นจริงๆ?”


อวิ๋นจือชิวเดินมานั่งลงข้างกายเขา “เมื่อครู่พวกเขาเพิ่งจะเจรจาเงื่อนไขกับข้า และพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้วด้วย ต้องการจะเกี่ยวดองกับเจ้า!”


“ให้เกี่ยวดองกับพวกเขาเหรอ?” เหมียวอี้ถามอย่างดูถูก “ข้าจำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ประเพณีทั่วไปของพิภพใหญ่ คาดว่าเจ้าก็คงได้ยินมาไม่น้อยแล้วเช่นกัน เพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง ผู้มีอำนาจพวกนั้นให้ลูกชายลูกสาวของตัวเองแต่งงานเกี่ยวดองกันเป็นเรื่องปกติมาก มีคนมากมายไม่เสียดายที่จะยกลูกสาวให้แต่งงานกับศัตรู ใช่แล้ว สำหรับเจ้านั้นไม่จำเป็น แต่สำหรับพวกจีฮวน นั่นกลับเป้นสิง่ที่จำเป็นมาก สำหรับพวกเขา พิภพใหญ่แทบจะเป็นโลกที่พวกเขาไม่รู้จัก ด้วยศักยภาพของพวกเขา เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วก็นับว่าต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก แต่เจ้ากลับได้ลงหลักปักฐานที่พิภพใหญ่แล้ว ที่พวกเขาอยากเกี่ยวดองกับเจ้า ที่จริงเป็นเพราะชอบในอำนาจอิทธิพลของเจ้า อยากจะผูกมัดกับเจ้า ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือหวังจะได้รับการสนับสนุนจากเจ้า เพียงแต่การพูดปากเปล่าเพื่อจะโน้มน้าวให้เจ้าผูกมัดด้านผลประโยชน์ ก็ไม่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงเหมือนกัน แล้วพวกเขาก็หาอะไรมาโน้มน้าวเจ้าไม่ได้แล้วจริงๆ ทำได้เพียงสละลูกสาวหรือไม่ก็ลูกศิษย์ให้มาเป็นอนุภรรยาของเจ้า และแน่นอน เจ้าอาจจะไม่ได้โปรดปรานพวกนาง แต่สำหรับพวกเขา นี่นับเป็นการแสดงความจริงใจต่อเจ้าแล้ว หกปราชญ์ที่สง่าผ่าเผยก็มีความหยิ่งผยองของตัวเองเหมือนกัน การทำเรื่องแบบนี้ได้ไม่ได้เรื่องที่มีเกียรติยศอะไร เป็นการทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองแล้ว พูดให้ดูประนีประนอมสักหน่อยแล้วกัน เมื่อไปที่พิภพใหญ่แล้ว ต่อให้เจ้าจะไม่ยอมสนับสนุนพวกเขา แต่แค่ไม่หลอกลวงกลั่นแกล้งกัน แค่นั้นก็คุ้มค่าสำหรับการเสียสละของพวกเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นเมื่อไปที่พิภพใหญ่แล้วเผชิญกับอำนาจของเจ้า พวกเขาก็ไม่มีกำลังใดๆ จะตอบโต้เลย ความเป็นความตายคือสิ่งที่อยู่ในการตัดสินใจของเจ้า พวกเขาทำแบบนี้นับว่าก้มหัวให้เจ้าอย่างแท้จริงแล้ว!”


เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา แล้วถามว่า “พวกเขาให้ผลประโยชน์อะไรกับเจ้า เจ้ากำลังพูดขอร้องให้พวกเขาเหรอ?”


“ข้าไม่ได้กำลังพูดขอร้องให้พวกเขา แต่พวกเขาเสนอข้อแลกเปลี่ยนมาแล้ว ข้ารู้สึกว่าเจ้าพิจารณาดูหน่อยก็ได้” อวิ๋นจือชิวส่ายหน้าตอบ


“เสนอข้อแลกเปลี่ยนอะไร?” เหมียวอี้ถามอย่างสนใจ


“พวกเขาจะยอมรับว่าเจ้าได้แทนที่เฟิงเป่ยเฉินแล้ว ยอมรับให้เจ้าเป็นหนึ่งในหกปราชญ์ หวังว่าหลังจากไปที่พิภพใหญ่แล้ว ทุกคนจะอยู่ร่วมกันในความสัมพันธ์แบบหกปราชญ์ ไม่ใช่เป็นลูกน้องของเจ้า” อวิ๋นจือชิวตอบ


เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “ข้าจำเป็นต้องให้พวกเขายอมรับด้วยเหรอ? เมื่อไปที่พิภพใหญ่แล้ว พวกเขามีคุณสมบัติอะไรมาอยู่ร่วมกับข้า? แบบนี้นับว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนได้เหรอ?”


อวิ๋นจือชิวกลอกตามองเขา “เจ้าเองก็อย่าได้คืบแล้วจะเอาศอก ไว้หน้าพวกเขาสักหน่อยเถอะ อย่าบอกนะว่าดึงดันจะให้พวกเขาก้มหัวฟังคำสั่งเจ้าให้ได้? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็จะไม่มีลูกน้องคนไหนเชื่อฟังคำสั่งพวกเขาแล้ว อีกไม่นานก็จะบากหน้ามาขอทำงานอยู่ข้างกายเจ้าหมด ถ้าพวกเขาไม่เหลือใครแล้ว อาศัยศักยภาพของพวกเขาก็ยิ่งยากที่จะลงหลักปักฐานที่พิภพใหญ่ สาเหตุที่ยอมยกลูกสาวกับลูกศิษย์ให้มาเป็นอนุภรรยาของเจ้า ก็ย่อมเป็นเพราะอยากจะพยายามช่วงชิงผลประโยชน์ให้ตัวเอง”


“ข้าได้ยินแต่ผลประโยชน์ของพวกเขา สิ่งแลกเปลี่ยนที่ข้าต้องการอยู่ที่ไหนล่ะ?” เหมียวอี้ถาม


อวิ๋นจือชิวอธิบายว่า “พวกเขามองออกแล้วว่าเจ้าจะอยากจะใช้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้าย และพวกเขาก็คิดเหมือนกันกับเจ้า ดังนั้นถ้าหวังจะรักษาสถานการณ์พื้นฐานของพิภพเล็กต่อไป รักษาสถานการณ์การอยู่ร่วมกันของหกปราชญ์ต่อไป ทุกคนไม่รุกล้ำกัน เพียงแต่พวกเขาตอบตกลงแล้วว่าจะให้เจ้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องที่พิภพเล็ก เพียงแต่เจตนาของพวกเขาก็คือ หวังจะให้เหลือเกียรติขั้นพื้นฐานไว้ให้พวกเขาบ้าง พวกเขาเองก็อยากจะรักษารากฐานที่พิภพเล็กและให้ลูกน้องคนสนิทที่ฝึกเลี้ยงไปเติบโตที่พิภพใหญ่ในตอนหลังเหมือนกัน ดังนั้นหากเกิดเรื่องอะไรก็บอกพวกเขาก่อนสักหน่อย ไม่ต้องการให้เจ้าประกาสคำสั่งต่อหกแดนอย่างโจ่งแจ้งให้พวกเขาลำบากใจ ในขณะเดียวกัน พวกเขาเต็มใจที่จะละทิ้งช่องทางไปกลับพิภพเล็ก จะให้เจ้าควบคุมต่อไป เพียงแต่จะตัดช่องทางขนส่งระหว่างพวกเขากับพิภพเล็กไม่ได้ หลังจากไปที่พิภพใหญ่แล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่จำเป็นก็สามารถทำงานให้เจ้าได้เหมือนกัน แต่เป็นการแอบทำงานให้อย่างลับๆ พวกเขาจะไม่เป็นลูกน้องของเจ้า ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ความเป็นความตายของพวกเขา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเจ้าให้พวกเขาไปทำเรื่องที่อันตรายถึงที่ชีวิต พวกเขาก็จะไม่เชื่อฟังเจ้า เงื่อนไขที่แลกเปลี่ยนกันก็คือ ถ้าพวกเขาประสบปัญหาอะไรที่พิภพใหญ่ และอยู่ในขอบเขตความสามารถของเจ้า ก็หวังว่าเจ้าจะยื่นมือเข้าไปช่วย นี่ก็คือสิ่งที่พวกเขาหวังจะได้รับเมื่อก้มหัวมาเกี่ยวดองกับเจ้าแล้ว!”


เหมียวอี้เริ่มลูบคางครุ่นคิด ตอนแรกที่เตรียมจะพาคนพวกนี้ไปที่พิภพใหญ่ แค่คิดว่าอยากจะควบคุมพิภพเล็กให้ถึงที่สุด แก้ปัญหาความยุ่งยากที่พิภพเล็ก พร้อมทั้งได้รับเคล็ดวิชาในมือหกปราชญ์ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหกปราชญ์จะเป็นฝ่ายเสนอผลประโยชน์อย่างอื่นออกมาเอง


เขาตอบว่า “ถ้าข้าได้เคล็ดวิชาฝึกตนมาจากมือพวกเขาแล้ว ภายในระยะเวลาหนึ่งก็ย่อมสามารถเลี้ยงดูคนแบบหกปราชญ์อีกชุดหนึ่งเพื่อมาทำงานให้ จำเป็นต้องไปยุ่งยากกับพวกเขาแบบนี้ด้วยเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าว่านะหนิวเอ้อร์ เจ้าไม่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อหาทรัพยากรมาเลี้ยงคนตลอดไปก็ได้มั้ง? การที่เจ้าเอะอะก็ไปทำเรื่องเสี่ยงอันตรายคนเดียวไม่ใช่แผนการที่ยั่งยืนถาวรหรอก ถ้ารอให้ทุกคนวรยุทธ์สูงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว เจ้าจะทำงานคนเดียวไหวเหรอ? ทรัพยากรที่เจ้าหามาได้ด้วยตัวคนเดียวจะพอเลี้ยงปากท้องของทุกคนตลอดไปได้เหรอ? หลักการหาปลามาให้กินไม่สู้สอนวิธีจับปลาให้ เจ้าคงจะเคยได้ยินมาก่อนนะ? เจ้าดูหกปราชญ์ของพิภพเล็กกับราชันสวรรค์ของพิภพใหญ่สิ ล้วนเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ทั้งนั้น ต้องเป็นคนที่ควบคุมกฎกติกาจึงจะสามารถเติมเต็มผลประโยชน์ของทุกคนได้ ถึงจะผูกมัดผลประโยชน์ของทุกคนได้ จึงจะทำให้เจ้าได้ผลประโยชน์ที่เยอะและกว้างกว่าเดิมได้ ไม่ใช่ให้แต่เจ้าคอยควักกระเป๋าตัวเองเพื่อเอาผลประโยชน์ไปผูกมัดคนอื่น ไม่มีใครกระเป๋าลึกขนาดนั้นหรอก แล้วอีกอย่างนะ ต่อให้เจ้าเลี้ยงคนอีกกลุ่มที่มีศักยภาพเท่าหกปราชญ์ได้ แต่เจ้าลองพูดมาจากใจซิ ว่ามีลูกน้องของเจ้าคนไหนบ้างที่มีฝีมือเทียบหกปราชญ์ได้? ข้างกายเจ้ามีลูกน้องคนสนิทเหลือเฟือเหรอ ความสามารถไม่ถึงคือเรื่องจริงที่ไม่ต้องเถียงแล้ว รอบนอกของเจ้าก็ควรจะมีคนที่ทำงานให้เจ้าเหมือนกัน”


เรื่องที่พูดวกไปวนมาแบบนี้ เหมียวอี้ค่อนข้างปวดหัว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัด จึงขมวดคิ้วบอกว่า “คนพวกนี้มีจิตใจทะเยอทะยาน กลัวว่าจะควบคุมลำบาก”


อวิ๋นจือชิวบอกว่า “คนที่มีความสามารถส่วนใหญ่ก็ทะเยอะทะยานทั้งนั้น ถ้าเจ้ากังวลเรื่องนี้ งั้นก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี ตอนนี้พวกเขาเป็นฝ่ายเอาอำนาจมาแลกถึงมือเจ้าเจ้าเป็นคนกุมโอกาสสำคัญแล้ว ยังมีอะไรต้องกลัวอีก? หรือว่าผู้ชายของอวิ๋นจือชิวจะไม่มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เลยสักนิด แม้แต่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญก็ไม่มีสักนิดเลยเหรอ?”


หลังจากเงียบไปนาน เหมียวอี้ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ได้! เจ้าไปบอกพวกเขา ข้าตอบตกลง  ส่วนเรื่องแต่งงานรับอนุภรรยาอะไรนั่นก็ไม่ต้องแล้วกัน”


อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเช่นกัน “ถ้าเจ้าไม่แต่งงาน พวกเขาจะวางใจได้เหรอ? ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ พวกเขาให้เจ้าแต่งงานรับอนุภรรยาเสียที่ไหนกัน พวกเขาอยากแทรกคนเข้ามาเป็นหูเป็นตาอยู่ข้างกายเจ้าต่างหาก หรือพูดได้อีกอย่างว่า แทรกคนมาไว้ข้างกายเจ้าเพื่อให้คอยประสานงานกับเจ้าได้ยามเกิดเรื่องขึ้น ถ้าสามารถทำให้เจ้าหลงใหลเพื่อให้พวกเขาได้ใช้ประโยชน์ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ ถ้าเจ้าไม่แต่งงาน พวกเขาก็จะไม่วางใจ แต่งก็แล้วกัน! แต่งๆ ไปเถอะ!”


…………………………


บทที่ 1125 ตรงจุดที่แสงไฟริบหรี่

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ท่านปู่เจ้ากับมู่ฝานจวินไม่รู้ว่ามีเจตนาอย่างไร” เหมียวอี้ถามเงียบๆ


“ความคิดของพวกเขาน่าจะไม่ต่างจากพวกจีฮวนสักเท่าไร ข้าจะไปเจรจา น่าจะไม่มีปัยหาอะไร แก้ปัญหาเรื่องทางนี้ให้หมดไปเลยก็ดีเหมือนกัน ต่อไปจะได้ทุ่มเทจิตใจและกำลังจิตใจให้กับทางพิภพใหญ่” อวิ๋นจือชิวกล่าว


“บอกพวกเขาด้วย ถ้าอยากจะให้ข้าตอบตกลงก็ได้เหมือนกัน แต่ข้ายังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง จากนี้ไปต้องหยุดจัดการปราบจลาจลของทะเลดาวนักษัตร!” เหมียวอี้กล่าวเสริมช้าๆ ด้วยสีหน้าเศร้าสลด


อวิ๋นจือชิวงงไปชั่วขณะ จากนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ พยักหน้าตอบว่า “เรื่องนี้น่าจะไม่มีปัญหาอะไร!”


เมื่อเรื่องทุกอย่างเปิดเผยแล้วกลับจัดการง่ายด้วยซ้ำ! อวิ๋นจือชิวไม่มีความเห็นแย้งอะไรทั้งนั้น เหมียวอี้ก็ยอมรับแล้วเช่นกัน ไม่มีคำว่าดีใจหรือไม่ดีใจ


ส่วนเรื่องที่เหลืออวิ๋นจือชิวก็เป็นคนออกหน้าจัดการ ทางเหมียวอี้ยินยอมแล้ว พวกจีฮวนก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร ตอบตกลงเรื่องแต่งงานรับพวกผู้หญิงเข้าตระกูลและจัดในฤกษ์มงคลเร็วๆ นี้ จัดงานวันเดียวกัน ทุกคนไม่อยากเสียเวลาต่อไปอีกแล้ว


พอเป็นแบบนี้ หกแดนก็ส่งกำลังคนมาเตรียมการเรื่องแต่งงาน มาเตรียมตัวที่นภาอู๋เลี่ยงอย่างตั้งอกตั้งใจ


กำลังพลของแดนเซียนสายมะโรงถูกเหมียวอี้ดึงไปจนว่างแล้ว หยางชิ่งนำกำลังพลเข้าไปรักษาการณ์ที่แดนอู๋เลี่ยงอย่างเป็นทางการ สำนักของสายมะโรงถูกหยางชิ่งกดดันให้ย้ายไปอยู่ในอาณาเขตแดนอู๋เลี่ยงทั้งหมด


จากนั้นก็อยู่ภายใต้การควบคุมของหยางชิ่งอีก ที่จริงเป็นผลจากการบอกใบ้ของอวิ๋นจือชิว เกิดเรื่องอีกเรื่องหนึ่งขึ้นแล้ว


หลังจากเตรียมวางแผนลงไปแล้ว หยางชิ่งก็กลับมาที่ตำหนักอู๋เลี่ยงล่วงหน้า


อยู่มาวันหนึ่ง ในขณะที่ประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรอยู่ด้วย จู่ๆ หยางชิ่งที่กำลังเดินเป็นเพื่อนอยู่ในสวนดอกไม้ก็ก้าวขึ้นมาขวางทางเหมียวอี้ไว้ กุมหมัดคารวะบอกว่า “ข้าน้อยมีเรื่องจะรายงานขอรับ!”


พอเห็นเขา เหมียวอี้ก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องของเขากับฉินซี จึงยิ้มพร้อมถามว่า “มีเรื่องอะไร? คงไม่ได้รังเกียจว่าฉินซีไม่สวยหรอกใช่มั้ย?”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ทุกคนก็หัวเราะลั่น แม้แต่ฉินเวยเวยที่เดินอยู่ข้างๆ ก็เม้มปากกลั้นขำ


หยางชิ่งตอบว่า “ข้าน้อยไม่ได้ล้อเล่น แต่ท่านปราชญ์ได้โปรดแบ่งกำลังพลหกสายจากสิบสองสายของแดนอู๋เลี่ยงย้ายไปรักษาการณ์ที่ทะเลดาวนักษัตร แล้วย้ายกำลังพลห้าสายของทะเลดาวนักษัตรมากระจายประจำการที่แดนอู๋เลี่ยง พร้อมทั้งให้ทะเลดาวนักษัตรหาสถานที่ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยของสาวก บุกเบิกสร้างเมืองในขอบเขตขนาดใหญ่ แล้วค่อยย้ายประชากรจำนวนมากของหกแดนไปที่นั่น!”


คนที่อยู่ตรงนั้นหัวเราะไม่ออกแล้ว อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม้แต่ฉินเวยเวยเองก็มองออกถึงเบาะแสในกระทำของหยางชิ่ง ทำแบบนี้เพราะต้องการตัดกำลังควบคุมที่ประมุขถิ่นสี่ทิศมีต่อทะเลดาวนักษัตรชัดๆ!


อวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ทำสีหน้าเรียบเฉย ทำท่าเหมือนไม่รู้อะไรทั้งนั้น


ที่จริงนี่ก็คือเจตนาของนาง เหมียวอี้ไม่รู้เรื่องนี้ เพราะนางเข้าใจเหมียวอี้ดีเกินไป เหมียวอี้ทำเรื่องแบบนี้ไม่ลง มีแต่ต้องให้นางแอบออกหน้าเป็นคนเลวเท่านั้น เมื่อบอกแผนนี้ให้หยางชิ่งรู้ หยางชิ่งก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ไปปฏิบัติตามทันที!


เหมียวอี้มองซ้ายมองขวาดูประมุขถิ่นสี่ทิศที่ก้มหน้าไม่พูดอะไร สีหน้าเครียดขรึมลงแล้ว “เจ้าจัดการเรื่องที่อยู่ในมือตัวเองก่อนเถอะ อย่าคิดเรื่องที่ไม่มีประโยชน์พวกนั้นเลย!”


หยางชิ่งยังกวนใจไม่หยุด กุมหมัดคารวะอีกครั้ง “ข้าน้อยคิดว่า ในเมื่อทะเลดาวนักษัตรกับแดนอู๋เลี่ยงกลายเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เหตุใดยังต้องแยกกันปกครองอีก หรือมีใครมีเจตนาแอบแฝง?”


ชัดเจนมากว่าแอบบ่งชี้ถึงประมุขถิ่นสี่ทิศ! เหมียวอี้กล่าวอย่างเดือดดาลทันที “บังอาจ! ใครก็ได้! มาลากหยางชิ่งไปเฆี่ยน สำนึกผิดได้เมื่อไรค่อยหยุด!”


อวิ๋นจือชิวแอบส่งสายตาให้ฉินเวยเวยทันที ทำให้ฉินเวยเวยพลันวิ่งออกมา คุกเข่าลงตรงหน้าเหมียวอี้ แล้วกล่าวขอร้องวิงวอน “ท่านปราชญ์! ได้โปรดเห็นแก่ที่หยางชิ่งเป็นพ่อบุญธรรมของอนุภรรยาที่ต่ำต้อยคนนี้ ละเว้นเขาสักครั้งเถอะค่ะ!”


อีกด้านหนึ่ง หลันโฮ่วที่อยู่ใต้บังคับบัญชาอวิ๋นจือชิวมาหลายปี เป็นคนที่อวิ๋นจือชิวชื่นชมในความสามารถ ตอนนี้ถูกย้ายมาคุมการลงโทษที่นภาอู๋เลี่ยงแล้ว เขาสั่งให้นักพรตสองคนพุ่งเข้ามาคุมตัวหยางชิ่งทันที ต้องการจะลากไปทำโทษ


ส่วนอวิ๋นจือชิวก็เหล่ตามองปฏิกิริยาของประมุขถิ่นสี่ทิศทะเลดาวนักษัตรอย่างเย็นเยียบ


“ช้าก่อน!” ฝูชิงที่กำลังอยู่ในความเงียบพลันเอ่ยปาก ยกมือขึ้นห้ามคนที่กำลังจะลงโทษ ขณะเดียวกันก็พยักหน้าเบาๆ ให้สัญญาณสงเวย อิงอู๋ตี๋และหงเทียน


ทั้งสี่เดินเรียงแถวออกมา ฝูชิงกุมหมัดคารวะพูดแทนทุกคนว่า “ท่านปราชญ์! คำพูดของหยางชิ่งไม่มีอะไรที่ยอมรับไม่ได้ ในเมื่อทะเลดาวนักษัตรกลายเป็นส่วนเดียวกับแดนอู๋เลี่ยงแล้ว ถ้าแบ่งแยกกันปกครองอีก ก็จะทำให้คนนินทาได้จริงๆ ที่จริงผู้การใหญ่หยางกำลังเตือนพวกเราสี่คน เรียกได้ว่าเตือนได้ทันเวลา จะได้ไม่ถูดคนคิดไม่ซื่อใช้ประโยชน์ด้วย”


หลังจากเขามองซ้ายมองขวา ประมุขถิ่นสี่ทิศก็กุมหมัดคารวะพร้อมกัน “ข้าน้อยทั้งสี่กล่าวขอร้องผู้การใหญ่หยาง ท่านปราชญ์ได้โปรดระงับโทสะ!”


เหมียวอี้ไม่สนใจ “เห็นแก่ที่พี่ๆ ทั้งสี่ขอร้องให้ เฆี่ยนสิบครั้งให้ได้บทเรียนยาวๆ!”


“พาตัวไป!” หลันโฮ่วสั่งอย่างเย็นเยียบ


ดังนั้นหยางชิ่งจึงถูกลากตัวไปแบบนี้แล้ว ฉินเวยเวยที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นร้อนใจไม่หยุด รสชาติของแส้มังกรสั่งสอนจะไม่ทรมานได้อย่างไร อวิ๋นจือชิวก้าวขึ้นมาประคองนางด้วยตัวเอง ดึงนางเอาไว้ ไม่ให้นางพูดอะไรอีก เพื่อที่จะให้เรื่องบางเรื่องออกมาดูดี ความขื่นขมทรมานนี้หยางชิ่งต้องทนรับไว้


เดิมทีเป็นเพราะเหยียนซิวและพวกหยางเจาชิงมาที่นี่ อีกทั้งเหมียวอี้ยังได้กลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์ ทุกคนมารวมตัวอยู่ด้วยกันถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก จู่ๆ ก็เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ทำลายอารมณ์สุนทรีในการเดินเล่นชมสวนของทุกคนทันที


เหมียวอี้เหลือบมองอวิ๋นจือชิว สีหน้าฉายแววไม่พอใจ เป็นคนแรกที่สะบัดมือเดินจากไป ระหว่างทางเห็นจิ้งอิ๋งกับจิ้งลั่วที่กวาดพื้นอยู่หน้าประตูตำหนักนอนคำนับก็ไม่สนใจ


พวกสงเวยก็กลับไปโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน หลังจากกลับมาถึงที่พักแล้ว จู่ๆ ฝูชิงก็ถอนหายใจ “พี่ใหญ่ เจ้าสาม เจ้าสี่ วันนี้เจ้าห้าไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นที่พิภพใหญ่หรือพิภพเล็ก ตอนนี้เขาเป็นเจ้านายเราทั้งนั้น ถ้าจะเรียกว่า ‘เจ้าห้า’ อีกก็ไม่เหมาะแล้ว ต่อไปอย่าลืมเปลี่ยนคำเรียกล่ะ!”


“เจ้าหมายความว่า เจ้าห้ากำลังจงใจเล่นละครให้เราดูเหรอ?” สงเวยไม่แน่ใจ


ฝูชิงส่ายหน้า “เจ้าห้าเป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำมิตร ทำเรื่องแบบนี้ไม่ลงหรอก แต่ฮูหยินของเจ้าห้า…น้องสะใภ้คนนั้นกำลังอาศัยปากของหยางชิ่งมาสร้างกฎกับพวกเรา! นางต้องการสร้างกฎขึ้นทั้งข้างล่างข้างบน และกำลังทดสอบท่าทีของพวกเราด้วย ถ้ายังคิดว่าตัวเองอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าห้าอีก เช่นนั้นพวกเราก็ผิดแล้ว น้องสะใภ้คนนั้นไม่มีทางเกรงใจ!”


พี่น้องคนอื่นๆ พลันเงียบไม่พูดอะไร…


ทว่าหยางชิ่งกลับได้รับความทรมานทางกายเนื้ออย่างรุนแรง


แต่หลังจากนั้นอวิ๋นจือชิวก็พาฉินเวยเวยมาเยี่ยม หยางชิ่งที่แผ่นหลังเละไปด้วยเลือดเนื้อเอาเสื้อมาคลุมแล้วลุกขึ้นทันที โดยมีฉินซีประคองเข้ามาคำนับฮูหยินทั้งสอง


“ผู้การใหญ่ลำบากแล้ว!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ แล้วใช้มือยื่นกล่องหยกใบหนึ่งให้ด้วยตัวเอง ข้างในมีสมุนไพรเซียนซิงหัวห้าต้น


หลังจากพูดปลอบใจไปได้สักพัก อวิ๋นจือชิวก็ทิ้งให้ฉินเวยเวยอยู่ที่นี่ก่อน ส่วนตัวเองก็พาเหยียนซิวกับหยางเจาชิงออกไป


รอจนกระทั่งฉินเวยเวยออกไปแล้ว ฉินซีก็ประคองให้หยางชิ่งนอนหมอบลงอีก แล้วถามอย่างค่อนข้างคับแค้น “นี่คือสิ่งที่อวิ๋นจือชิวบอกใบ้ให้เจ้าทำไม่ใช่เหรอ ทำไมยังทำร้ายเจ้าจนกลายเป็นแบบนี้?”


หยางชิ่งที่นอนหมอบอยู่บนหมอนยิ้มเจื่อน “เจ้าไม่ต้องพูดถึงว่าคนอื่นก็รู้ดีอยู่แก่ใจเหมือนกัน ท่านปราชญ์กำลังจะรับอนุภรรยาแล้ว พาเข้าบ้านรวดเดียวสี่คน แต่ละคนมีภูมิหลังและศักยภาพไม่ด้อยไปกว่าพวกเรา ฮูหยินเป็นคนคุมตำหนักหลัง ถ้าเวยเวยอยากจะมีที่ยืนในตำหนักหลัง ถ้าข้าไม่แสดงความจงรักภักดีแล้วใครจะแสดงความจงรักภักดี? มิหนำซ้ำท่านปราชญ์ก็เคยชินกับการโยนงานให้ลูกน้องทำ เรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าข้าอยากจะไปยุ่งหรอก แต่เป็นเพราะฮูหยินมีอำนาจมาก! จำไว้นะ ต้อไปอย่าเรียกว่า ‘อวิ๋นจือชิว’ อีก ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง จำไว้ว่าต่อไปนี้ต้องเรียกว่าฮูหยิน ป้องกันไว้เผื่อหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง!”


“รับอนุภรรยาเข้าเป็นฝูงแล้ว ทั้งยังจะจัดงานแต่งงานด้วย เวยเวยจะกลายเป็นอะไรไปแล้ว?” ฉินซีถ่ายอย่างไม่ค่อยพอใจ


“การแต่งงานแบบนี้เป็นเพียงการใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันเท่านั้น” หยางชิ่งส่ายหน้าตอบ


ในวันแต่งงาน ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะบอกไว้แล้วว่าขอจัดงานแบบเรียบง่าย แต่นภาอู๋เลี่ยงก็ยังคึกคักไม่ธรรมดา ที่บอกว่าจัดอย่างเรียบง่ายก็แค่ไม่ได้เชิญแขกเยอะ ที่จริงพวกจีฮวนไม่ค่อยอยากให้คนในใต้หล้ารู้เรื่องนี้ จึงไม่ได้ประกาศล่วงหน้าแบบกว้างขวาง ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันข่าวก็ต้องแพร่ออกไปก็ตาม


โคมไฟที่งดงามเพิ่งจะส่องแสง ภายใต้ม่านราตรีที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉอง ทุกที่ในตำหนักอู๋เลี่ยงถูกประดับประดาไปด้วยผ้าและโคมไฟหลากสี ท่ามกลางเสียงดนตรีบรรเลงเหมียวอี้ที่สวมชุดพิธีคำนับเจ้าสาวทั้งสี่คนที่มีผ้าแดงคลุมหน้า ทำให้คนที่กำลังดูพิธีอดไม่ได้ที่จะขำออกมา กำลังพลเบื้องล่างโห่ร้องยินดี


โชคดีที่ท่านขุนนางเหมียวไม่ได้ผ่านงานแบบนี้เป็นครั้งแรก ครั้งก่อนแต่งงานรวดเดียวสามคน ครั้งนี้แต่งงานรวดเดียวสามคน ถือว่าไม่เยอะ แค่เพิ่มจากครั้งก่อนคนเดียวเท่านั้น แต่สาวใช้ที่แต่งงานพ่วงเข้ามาด้วยก็ไม่น้อยเหมือนกัน เท่ากับแต่งงานรวดเดียวสิบสองคน


ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ตรงจุดที่แสงไฟริบหรี่ อวิ๋นจือชิวยืนเงียบๆ ตรงจุดที่มืดสลัวบนหลังคา มองดูจุดที่มีงานมงคลคึกคักอยู่ไกลๆ บนใบหน้ามีน้ำตาสองสายไหลลงมาโดยไร้เสียง น้ำตาทำให้ดวงตาสองข้างพร่ามัว


“ทำไมไม่แสดงความใจกว้างของเจ้าแล้วล่ะ? ทำไมมาหลบร้องไห้อยู่ตรงนี้คนเดียว?”


จู่ๆ ข้างกายก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น อวิ๋นจือชิวหันขวับ เห็นเพียงอวิ๋นอ้าวเทียนมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ผมยาวที่คลุมหลังพัดเบาๆ อยู่ท่ามกลางสายลม ยืนเอามือไขว้หลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย สังเกตมองไปยังจุดที่คึกคักเหมือนกัน


คนทางนภาจอมมารไม่มีใครมาประสมโรงด้วย


“ท่านปู!” อวิ๋นจือชิวถูกจมูกนิดหน่อย เอามือปาดน้ำตาแล้วคำนับ


“แต่งงานกับเขา เจ้ามานึกเสียใจทีหลังแล้วเหรอ?” อวิ๋นอ้าวเทียนถามอย่างสุขุมเยือกเย็น


อวิ๋นจือชิวฝืนยิ้มอย่างมีความสุขขณะที่ตอบ “ไม่นึกเสียใจทีหลังค่ะ การได้แต่งงานกับเขา ข้าไม่เคยนึกเสียใจทีหลังเลย! ตอนที่ท่านย่าบุญธรรมยังมีชีวิตอยู่ ข้ายังจำที่นางบอกข้าได้ ว่าผู้หญิงเราไม่ควรแต่งงานกับผู้ชายมีอนาคต ถ้าแต่งไปแล้วก็ไม่ต้องคิดมาก…เมือ่ก่อนนี้ข้าไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว!”


“แต่เจ้าก็ยังร้องไห้ไปแล้ว” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว


อวิ๋นจือชิวเอามือปาดน้ำตาอีก แล้วบอกว่า “เรื่องในวันนี้ ถ้าหากข้าไม่ตอยตกลง เหมียวอี้ก็มได้แต่งงานเด็ดขาด เรื่องนี้ผ่านการยินยอมจากข้าแล้ว”


“ในเมื่อในใจเจ้าไม่เต็มใจ แล้วยังจะตอบตกลงทำไม?” อวิ๋นอ้าวเทียนถาม


อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ถึงแม้ข้าจะแต่งงานไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรตระกูลอวิ๋นก็ยังเป็นครอบครัวของข้า ถึงอย่างไรท่านก็เป็นท่านปู่ของข้า ข้ายังต้องคิดไตร่ตรองเพื่อตระกูลอวิ๋น ข้าจะอาศัยที่ข้าตอบตกลงเขาเรื่องนี้ เพื่อขอร้องเขาอีกเรื่องหนึ่งที่เขาจะทำใจปฏิเสธไม่ลง หลังจากไปที่พิภพใหญ่แล้ว ข้าสามารถนำเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินทั้งหมดให้ท่านปู่ได้!”


คำพูดนี้เหลวไหลมาก ที่จริงเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานภาคดินทั้งหมดอยู่ในอำนาจการตัดสินใจของนาง นางได้รับความยินยอมจากเหมียวอี้ตั้งแต่ก่อนที่เหมียวอี้จะแต่งงานรับอนุภรรยาแล้ว ไม่ผิดหรอก นางสามารถดูแลตระกูลเดิมของตัวเองได้จริงๆ แต่นางต้องดูแลครอบครัวของตัวเองก่อน ถ้าไม่มีครอบครัวของตัวเองแล้ว ยังจะไปดูแลตระกูลเดิมของตัวเองได้อย่างไร? ดังนั้นนางต้องขยายผลประโยชน์ให้มากที่สุด ขอเพียงตระกูลอวิ๋นได้เคล็ดวิชาภาคดินไปแล้ว ในภายหลังก็จะต้องดูแลนาง เมื่อดูแลนางก็ต้องดูแลเหมียวอี้ด้วย และต้องดูแลครอบครัวนางด้วย


อวิ๋นอ้าวเทียนหันขวับมองนาง นึกไม่ถึงว่าหลานสาวคนนี้จะเสียสละมากขนาดนี้เพื่อตระกูลอวิ๋นได้ มาหลบร้องไห้คนเดียวเพราะเรื่องนี้ เขารู้สึกปวดใจมาก ถามเสียงต่ำว่า “ใครต้องการให้เจ้าทำแบบนี้? ผู้ชายของตระกูลอวิ๋นสามารถตายได้ แต่ไม่เคยเอาผู้หญิงของตระกูลไปแลกกับอนาคต ทำไมไม่บอกเรื่องนี้กับข้าล่วงหน้า?”


อวิ๋นจือชิวกล่าวว่า “ท่านปู่ อย่าบอกนะว่าท่านคิดจริงๆว่า หกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่จะหาพบได้ง่ายๆ ขนาดนั้น? เมื่อตระกูลไปที่พิภพใหญ่แล้ว หากไม่มีศักยภาพติดตัว ท่านจะให้หลานสาวคนนี้สงบใจได้อย่างไร?”


อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเน้นทีละคำว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องทนรับความไม่ยุติธรรมแบบนี้ ข้าจะหาทางเอามาจากมือเหมียวอี้เอง!”


“มาถึงขนาดนี้แล้ว ตอนนี้จะยกเลิกงานแต่งงานได้เชียวหรือ?” อวิ๋นจือชิวถาม


อวิ๋นอ้าวเทียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย…


…………………………


บทที่ 1126 ตรงจุดที่แสงไฟริบหรี่

โดย

Ink Stone_Fantasy

อีกมุมหนึ่งของงานพิธีที่มีเสียงดนตรีดังสนั่น ที่จวนผู้การใหญ่ที่ตั้งขึ้นใหม่นอกตำหนักอู๋เลี่ยง ฉินเวยเวยออกจากตำหนักอู๋เลี่ยงมาหลบอยู่ที่นี่ นั่งหดหู่อยู่คนเดียวในศาลา นางไม่ให้คนอื่นเข้าใกล้ ฉินซีเองก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วมองอยู่ไกลๆ บางครั้งก็หันไปมองยังทิศทางที่เสียงดนตรีดังครึกครื้นดังแว่วมา


หลังจากหยางชิ่งกลับมาพร้อมกลิ่นสุรา เห็นฉินซีก่อนเป็นคนแรก จึงถามว่า “มายืนทำอะไรตรงนี้?”


เขาก็เป็นคนแบบนี้ ในเมื่อเป็นเรื่องที่ยอมรับแล้ว เขาก็จะจัดการเรื่องนั้นให้ดี ถึงแม้ตอนแรกจะไม่เต็มใจอยู่กับฉินซี แต่ตอนนี้จัดการให้ฉินซีโอนอ่อนผ่อนตามแล้ว เขาไม่ได้ต้องการแค่ตัวของนาง ยังต้องการหัวใจของนางด้วย ถึงอย่างไรความงามเลิศล้ำของฉินซีก็ยังเป็นจุดที่ควรค่าแก่การชื่นชม


และฉินซีก็ไม่ทำตัวเหมือนตอนที่อยู่ข้างกายเฟิงเป่ยเฉินเช่นกัน บนตัวนางเริ่มจะมีรสชาติขึ้นมาบ้างแล้ว


กุญแจที่สำคัญที่สุดก็คือ ระหว่างทั้งสองคนยังมีฉินเวยเวยอยู่อีกคนหนึ่ง ตอนนี้นางเพิ่งจะทำตัวเหมือนผู้หญิงอย่างแท้จริง รับบทบาทภรรยาและมารดา


ฉินซีดึงแขนเขาเล็กน้อย แล้วบุ้ยปากไปทางศาลา


หยางชิ่งเอียงหน้ามองไปทางนั้น เห็นฉินเวยเวยนั่งโดดเดี่ยวอยู่ในศาลา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็เดินเข้าไปอย่างช้าๆ


“ท่านพ่อ! ข้าอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ” พอได้ยินเสียงฝีเท้า ฉินเวยเวยก็รู้ว่าเขามาแล้ว นางพึมพำเสียงต่ำโดยไม่เงยหน้ามอง


หยางชิ่งทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วนั่งลงข้างๆ นาง จากนั้นฉินซีก็เดินตามมา ถือกาน้ำชามารินให้เขา


หลังจากรับถ้วยน้ำชามาจิบจนชุ่มคอ หยางชิ่งก็ถามปนเหน็บแนมว่า “ตอนนี้รู้จักไม่เบิกบานใจแล้วเหรอ? ตอนนั้นที่เจ้าต้องการจะแต่งงานกับเขา ข้าไม่ตอบตกลง แต่เจ้าจะเป็นจะตายก็ไม่ยอม จะแต่งงานกับเขาให้ได้ ตัวเองเป็นคนเลือกเส้นทางนี้เอง ตอนนี้มานึกเสียใจทีหลังจะมีประโยชน์อะไร เรื่องแบบนี้กลับตัวไม่ได้แล้ว”


ฉินเวยเวยตอบเสียงต่ำว่า “ข้าไม่ได้นึกเสียใจทีหลัง แต่ข้างกายเขามีอนุภรรยาเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าในภายหลังข้าจะเป็นอะไรในสายตาเขา?”


หยางชิ่งอธิบายว่า “การแต่งงานในครั้งนี้ เขาเองก็ไม่ได้เต็มใจ เป็นความสอดคล้องกันของผลประโยชน์ ต่อให้เขาจะไม่อยากแต่ง แต่ก็จะมีคนปลุกใจให้เขาแต่งอยู่ดี ถ้าคนเราต้องการจะเดินไปในทิศทางที่เป็นใหญ่ จะมีผู้หญิงมากเท่าไรก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย ในภายหลังผู้หญิงของเขาอาจจะมีมากกว่านี้ด้วย เจ้าไม่พอใจไปก็ไร้ประโยชน์ นี่คือสิ่งที่เจ้าเลือกเอง ในปีนั้นข้าให้เจ้าแต่งงานกับผู้ชายที่ตัวเองสามารถยึดฉวยไว้ได้ แต่เจ้าเองก็ไม่ยอม ส่วนในภายหลังเจ้าจะกลายเป็นอะไรในสายตาเขา จะมีฐานะเป็นอย่างไร นั่นก็ต้องดูที่ความพยายามของเจ้า คนเราเมื่อขึ้นมาอยู่ในฐานะบางฐานะแล้ว หญิงงามเป็นสิ่งที่ได้มาอย่างง่ายดาย ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือ เจ้าต้องมีศักยภาพถึงจะมีที่ยืนในตำหนักหลัง! สิ่งที่เจ้าต้องทำตอนนี้ไม่ใช่ไปแย่งความโปรดปรานกับผู้หญิงคนอื่น ไม่ต้องสนใจว่าท่านปราชญ์จะรักเจ้ามากเท่าไร หรือจะแบ่งใจมาไว้ที่ตัวเจ้ากี่ส่วน ละทิ้งความคิดที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงแบบนั้นไปเสีย พยายามยืนอยู่ข้างฮูหยินเข้าไว้ สร้างจุดยืนที่มั่นคงของตัวเองในตำหนักหลังให้ได้ก่อน ไม่ว่าจะอยากช่วงชิงอะไร ก่อนอื่นจะต้องมีคุณสมบัตินั้นก่อน นี่ก็คือเงื่อนไข!”


ฉินเวยเวยสีหน้าเศร้าสลด นี่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ชายหญิงอันงดงามที่นางเคยใฝ่ฝันไว้ในปีนั้น


“เฮ้อ!” ฉินซีถอนหายใจ นางเองก็เคยผ่านความคิดของเด็กสาวมาก่อน สามารถเข้าใจความคิดฉินเวยเวยได้ จึงพูดเกลี้ยกล่อมว่า “เวยเวย พ่อของเจ้าพูดไว้ไม่ผิด จำไว้ให้ดี ไม่มีผลเสียต่อเจ้า…”


งานเลี้ยงยังไม่เลิก มีบางคนชอบดื่มสุรา เล่นทำสัญลักษณ์มือกันในวงสุราคึกคักมาก


ในเขตลานบ้านหนึ่ง มีห้องหอสี่ห้อง สี่ปราชญ์ใช้อีกวิธีการเพื่อชดเชยให้ลูกสาวและลูกศิษย์ของตัวเอง ทุกคนล้วนใช้ความคิดไปมากเพื่อตกแต่ง เรียกได้ว่าหรูหรามากจริงๆ


ในห้องหอ เหมียวอี้ยกมือป้องของที่ยื่นเข้ามา ขี้คร้านจะทำอะไรยุ่งยาก ยื่นมือดึงผ้าแดงบนศีรษะหงเฉินทิ้งเสียเลย


หงเฉินที่สวมมงกุฎทองเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างค่อนข้างจนใจ แล้วลุกขึ้นยืน


ทั้งสองหยิบจอกสุรามาแล้ว เหมียวอี้เริ่มจ้องสำรวจนาง หน้าผากกว้างคิ้วโก่ง ผิวเนื้อเกลี้ยงเกลา ดวงตางามสดใสวูบไหว จมูกโด่งปากแดง ถึงแม้วันนี้จะมีกลิ่นอายของเครื่องประทินโฉมหลายส่วน แต่กลับยากที่จะปิดบังความงามเลิศล้ำในแผ่นดินของนางได้ อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพผู้หญิงที่ได้เจอครั้งแรกในปีนั้น


ที่เหมียวอี้คิดว่ายุ่งยากก็ส่วนยุ่งยาก แต่เหมือนจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไร สามารถรับผู้หญิงที่สวยขนาดนี้มาเป็นอนุภรรยาได้ ในใจเขาก็ภูมิใจอยู่หลายส่วนเหมือนกัน


เมื่อเห็นว่าเขาจ้องตนไม่หยุดเสียที หงเฉินจึงถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “ใช่ว่าจะไม่เคยเห็น รีบทำให้เสร็จพิธีเถอะ ยังมีอีกสามคนรออยู่”


เหมียวอี้หัวเราะนิดหน่อย แล้วคล้องแขนดื่มสุรากับนางตามพิธี


เมื่อวางจอกสุราลงแล้ว หงเฉินก็ย่อเข่าคำนับ “ท่านสามี!”


เสียงนี้ทำให้เหมียวอี้รู้สึกตื่นเต้นหวั่นไหว ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้หญิงคนนี้จะเรียกตนแบบนี้ได้


“ฮูหยิน!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ มีเพียงคืนนี้เท่านั้นที่อีกฝ่ายจะมีสิทธิ์ใช้คำว่า ‘ฮูหยิน’ ถ้าผ่านคืนนี้ไปก็จะเป็น ‘หรูฮูหยิน’


หลังจากประคองหงเฉินกลับมานั่งที่เตียง เหมียวอี้ก็หันกลับมามองสาวใช้สองคนที่แต่งงานพ่วงเข้ามาด้วย แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ทำไมเป็นพวกเจ้าสองคนที่แต่งงานมาพร้อมกัน พวกเจ้าเป็นหญิงรับใช้ข้างกายมู่ฝานจวินไม่ใช่เหรอ? มู่ฝานจวินเล่นบ้าอะไร?”


จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวสบตากันแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะถามเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร กลับเป็นหงเฉินที่ช่วยตอบให้ “ข้าเลือกมาเอง”


“อ้อเหรอ!” เหมียวอี้เลิกคิ้ว เรื่องบางเรื่องทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว


เขาเดินมาข้างกายสาวใช้ทั้งสองคน ยื่นมือช้อนคางจื่ออวิ๋น พร้อมถามว่า “ข้ามีสิทธิ์พาสาวใช้ร่วมห้องเข้าห้องหอ พวกเจ้าต้องเตรียมใจไว้ดีๆ นะ”


สองสาวฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาไม่ฟังดูเป็นมิตรเลย จึงรีบตอบว่า “ตั้งแต่วันนี้ไปบ่าวเป็นคนของท่านเขย”


เหมียวอี้ปล่อยมือ แล้วหันกลับมาบอกหงเฉิน “ยังมีอีกสามห้องที่ต้องไป ลำบากเจ้าแล้ว”


หงเฉินพยักหน้า


จื่ออวิ๋นกลับรีบบอกว่า “ท่านเขยกับฮูหยินคนใหม่เป็นคนรู้จักกันมานานแล้ว อีกสามห้องเทียบความสัมพันธ์นี้ไม่ติด อย่าลืมกลับมาค้างที่นี่นะเจ้าคะ อย่าเย็นชากับเจ้าสาว”


นางมาพร้อมกับภารกิจ คำบางคนหงเฉินไม่สะดวกจะเอ่ยออกมา แต่นางกลับต้องพูด กำลังเตือนเหมียวอี้ว่า หลังจากทำพิธีเสร็จแล้วต้องมาเข้าห้องหอทางนี้


เหมียวอี้ยกมุมปากยิ้มหยอกล้อ หันกลับมาถามหงเฉินว่า “เจ้าเองก็อยากให้ข้าเข้าห้องหอกับเจ้าคืนนี้เหรอ? ถ้าเจ้าอยากจริงๆ ข้าก็จะกลับมาจริงๆ”


หงเฉินถอนหายใจแล้วตอบว่า “ตามใจเจ้าเถอะ”


จื่ออวิ๋นกับจื่อหัวสบตากันแล้วขมวดคิ้ว คำพูดของหงเฉินทำให้ทั้งสองไม่ค่อยพอใจ


เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เดินก้าวยาวจากไป ไปยังห้องต่อไป เป็นห้องหอของจีเหม่ยลี่


เปิดผ้าแดงคลุมศีรษะ คล้องแขนดื่มสุรา ทำพิธีของสามีภรรยาเสร็จแล้ว จีเหม่ยลี่ก็บอกอย่างตรงไปตรงมามาก “คืนนี้ท่านสามีอย่าลืมมาอยู่กับข้านะคะ!”


ผู้หญิงคนนี้พยายามขอให้เหมียวอี้มาเข้าห้องหอตรงๆ เลย ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องที่นางเต็มใจ แต่ในเมื่อได้รับคำสั่งให้มาแต่งงานแล้ว ร่างกายผูกติดกับผลประโยชน์ของครอบครัว นางจึงไม่สะดวกจะอิดออดอะไร ต้องทำมูลค่าของตัวเองให้บรรลุผลเพื่อตระกูล ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นการเสียสละโดยเปล่าประโยชน์


เหมียวอี้ไม่ได้ตอบตกลงแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ไปยังห้องถัดไป เป็นห้องของอวี้หนูเจียว


พอเขาออกประตูมา จีเหม่ยลี่ก็พูดกับหญิงรับใช้สองคนทันทีว่า “ออกไปจับตาดูเขาเอาไว้ ถ้าอยู่ที่ห้องอื่นนานไม่ยอมออกมา ก็ไปเคาะประตูให้ข้าด้วย”


หญิงรับใช้ทั้งสองเข้าใจและไปปฏิบัติตาม


ที่ห้องหออีกห้องหนึ่ง เมื่ออวี้หนูเจียวอยู่ภายใต้เหตุการณ์แบบนี้ เห็นได้ชัดว่านางค่อนข้างประหม่าเมื่อเผชิญหน้ากับเหมียวอี้ โดยเฉพาะตอนที่คำนับ นางเรียกว่า “ท่านสามี” อย่างติดอ่าง เหมือนจะกลัวเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะเกิดตามมา


ในปีนั้นผู้หญิงคนนี้เอาแต่เรียกตนว่าไอ้เหมียวจัญไร ทั้งยังคิดจะฆ่าเขาด้วย เย่อหยิ่งอวดดีมาก! เหมียวอี้หัวเราะเยาะในใจ พูดหยอกว่า “อะไรนะ? ข้าฟังไม่ชัด เจ้าเรียกว่าอะไรนะ?”


อวี้หนูเจียวอยากจะเตะเขาให้ตาย นางกัดฟันและพยายามกล่าวอย่างสงบเยือกเย็นว่า “ท่านสามี!”


“อะไรนะ?” เหมียวอี้ยังก่อกวนไม่เลิก “เสียงเบาไป คงไม่ได้เรียกว่าไอ้เหมียวจัญไรหรอกใช่มั้ย?”


อวี้หนูเจียวโมโหแล้ว ตะโกนเสียงดังเหมือนคอจะแตกว่า “ท่านสามี!”


พอตะโกนเสร็จนางก็มองหญิงรับใช้ทางซ้ายและขวาที่กำลังเหม่องง แล้วก็มองเหมียวอี้ที่กำลังตกใจเสียงตะโกนของนาง นางเองก็เหม่องงนิดหน่อยเหมือนกัน คาดว่าคนข้างนอกคงได้ยินเสียงตะโกนนี้กันหมดแล้ว ถ้าข่าวแพร่ออกไปตนจะทนความรู้สึกได้อย่างไร


อวี้หนูเจียวที่กำลังอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน จู่ๆ ก็พบว่าเหมียวอี้กำลังกลั้นขำ จึงกระชากคอเสื้อเหมียวอี้ แล้วตะคอกอย่างโมโหว่า “เจ้าล้อข้าเหรอ!”


“เจ้าแข็งข้อแล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นอนุภรรยาของข้า ข้าให้เจ้ายืน เจ้าก็นั่งไม่ได้ ยังจะกล้าลงมือกับข้าอีกเหรอ?” เหมียวอี้รู้สึกบันเทิงแล้ว ชี้ที่มือนาง พร้อมถามว่า “เจ้าจะปล่อยหรือไม่ปล่อย?”


นี่เป็นจังหวะตอนเตรียมจะลงมือต่อยตีกันชัดๆ ! หญิงรับใช้สองคนที่อยู่ข้างๆ กลัวแล้วรีบมาจับทั้งสองแยก ถ้าตีกันให้ห้องหอขึ้นมาจริงๆ แบบนั้นก็แย่แล้วล่ะ


พอแยกออกจากกัน เหมียวอี้ก็ทำเรื่องประเภทตบเมียที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ไม่ลง เพียงแต่ชี้นางพร้อมเตือนว่า “อวี้หนูเจียว เจ้าฟังให้ดีนะ ในเมื่อเจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว เจ้าก็เป็นคนของข้า เจ้าจะปากแข็งตามอำเภอใจไม่ได้แล้ว ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะเย่อหยิ่งไปได้นานแค่ไหน ถ้าเก่งนักทั้งชาตินี้ก็อย่าก้มหัวยอมแพ้แล้วกัน!”


พูดจบก็หัวเราะเยาะ หันหน้าจเดินจากไป สะบักแขนเสื้อเดินออกจากประตูไป


“ไอ้จัญไรอย่าหนีนะ! เจ้าคิดว่าข้าอยากแต่งรึไงล่ะ…” อวี้หนูเจียวดิ้นรนขณะกำลังโมโห อยากจะประลองฝีมือกับเหมียวอี้ให้รู้แล้วรู้รอด


“ฮูหยิน พูดแบบนี้ไม่ได้เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้สองคนตกใจแทบแย่ ตอนนี้คุกเข่าลงแล้ว กอดขานางไว้คนละข้างพร้อมพูดขอร้อง “ฮูหยิน ท่านผ่านเข้าประตูมาแล้ว เป็นคนของตระกูลเหมียวแล้ว ถ้าท่านทำแบบนี้ต่อไปจะไม่เป็นผลดีกับท่าน…”


ที่ห้องหออีกห้องหนึ่ง พอเปิดผ้าคลุมสีแดงออก ฝ่าอินที่สวมชุดเจ้าสาวก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบจริงๆ เหมียวอี้หัวใจเต้นแรงแล้ว


แต่ฝ่าอินก็ประหลาดมากเช่นกัน หลังจากทำพิธีระหว่างสามีภรรยาเสร็จแล้ว ฝ่าอินก็เป็นฝ่ายถามก่อนว่า “ท่านสามีแต่งงานรวดเดียวสี่คน เวลาเข้าห้องหอทำอย่างไร?”


เหมียวอี้รู้สึกบันเทิง ถามกลับว่า “เจ้าคิดว่าทำอย่างไรล่ะ?”


ฝ่าอินบอกว่า “ข้าอยากสัมผัสความรักระหว่างสามีภรรยา ในคืนเข้าห้องหอย่อมไม่อยากพลาดไป แต่ถ้ารั้งท่านไว้ก็เหมือนจะไม่ยุติธรรมกับเจ้าสาวอีกสามคน จึงอยากจะฟังว่าท่านวางแผนไว้อย่างไร คืนนี้ท่านจะสลับกันมา หรือจะไปอยู่กับห้องเดียว? ถ้าเป็นอย่างหลัง คืนนี้ท่านก็อยู่กับข้าได้ ข้าเฝ้าคอยมาก และจะตั้งใจปรนนิบัติท่านสามีด้วย ก่อนหน้านี้ข้าหาคนมาช่วยสอนแล้ว เตรียมพร้อมมาอย่างเต็มที่ คงไม่ทำให้ท่านสามีผิดหวัง!”


เมื่อคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากของนาง นางก็ทำท่าเอาจริงเอาจังมาก ไม่มีความเขินอายหรือการเสแสร้งใดๆ


เหมียวอี้ยืนเหม่ออยู่ที่เดิม ตกใจถึงขีดสุด นึกไม่ถึงว่าคนที่ไม่เคยแปดเปื้อนเรื่องทางโลกจะพูดแบบนี้ออกมาได้ ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะตอบนางอย่างไรดี


แต่สุดท้าย เหมียวอี้ก็ไม่ได้ไปห้องไหนทั้งนั้น แต่ออกมาจากลานบ้านเล็ก ไปที่ตำหนักนอนของภรรยาเอก เป็นตำหนักนอนของเขากับอวิ๋นจือชิว หรือที่เรียกว่าตำหนักหลัก


สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้นึกไม่ถึงก็คือ อวิ๋นจือชิวมาหลบฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิคนเดียว


ตอนที่ประตูหินของห้องสมาธิเปิดออกเสียงดังครืน อวิ๋นจือชิวที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหยกก็ลืมตามอง เห็นเหมียวอี้ที่สวมชุดพิธีเดินเข้ามาแล้ว นางอึ้งนิดหน่อย หยุดฝึกตนแล้วหย่อนขาสองข้างลงจากเตียง ถามอย่างแปลกใจว่า “คืนเข้าห้องหอ เจ้าดันไม่ไปอยู่กับเจ้าสาว มาทำอะไรที่นี่? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


“วันมงคลแบบนี้ จะเฉยเมยกับฮูหยินได้อย่างไร” เหมียวอี้เดินเข้ามา แล้วก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มนางเดินก้าวยาวออกไปข้างนอก


“เจ้าทำอะไร!” อวิ๋นจือชิวตกใจ ขัดขืนพร้อมบอกว่า “เจ้าไม่ไปห้องหอ แต่ถ่อมาหาข้าที่นี่ เดี๋ยวต่อไปคนจะนินทาข้าอย่างไร?”


เหมียวอี้กอดแน่นไม่ยอมปล่อย พอกลับถึงห้องนอน ก็กดอวิ๋นจือชิวลงบนเตียงทันที จูบอย่างดุเดือด! สองมือก็ยิ่งขยับอย่างเร่าร้อนอยู่บนตัวนาง


ตอนแรกอวิ๋นจือชิวก็ยังขัดขืนนิดหน่อย แต่ตอนหลังเสื้อผ้าถูกฉีกขาด หลังจากถูกกดลงบนเตียงนุ่ม ก็ยอมแล้ว…


หลังจากพายุฝนสงบ อวิ๋นจือชิวที่ได้เสพสุขจนพึงพอใจไปยกหนึ่งก็ยังทุบหน้าอกเหมียวอี้ “เจ้านี่ไม่ไหวเลย เดี๋ยวต่อไปข้าอาจจะโดนอนุภรรยาพวกนั้นของเจ้าลอบกัดอย่างไรบ้างก็ไม่รู้!”


“พวกนางน่ะเหรอ เจ้าไม่รู้หรอกว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ประหลาดขนาดไหน…” เหมียวอี้ที่กำลังกอดนางเล่าเหตุการณ์ตอนทำพิธีกับอนุภรรยาสี่คนเมื่อครู่นี้ให้นางฟัง


ทำให้อวิ๋นจือชิวหัวเราะไม่หยุด โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินว่าเหมียวอี้แทบจะตีกับอวี้หนูเจียว เรื่องนั้นทำให้นางหัวเราะจนไหล่สั่นจริงๆ หัวเราะจนท้องแข็ง หัวเราะจนน้ำตาแทบจะไหลออกมา นางทุบหน้าอกเหมียวอี้ไม่หยุดพร้อมบอกว่า “หนิวเอ้อร์ แต่ละคนต่างมีดอกลักษณ์เฉพาะตัว ยินดีด้วย!”


“ยังจะหัวเราะอีก!” เหมียวอี้ตีก้นที่ขาวงอนอวบอัดของนางหลายฉาดอย่างแรง หลังจากตีจนนางร้องวิงวอน ถึงได้ดึงนางมาไว้ในอ้อมกอดแล้วนอนมองเพดานเงียบๆ ใช้มือลูบไล้เรือนร่างของนางนานมาก พร้อมพึมพำอย่างเคลิบเคลิ้ม “สุราแหละหญิงงามเป็นเรื่องธรรมดา เกรงว่าจะหมกมุ่นไม่พัฒนาตัวเอง จะเสียเวลาไม่ก้าวหน้า หากความงดงามคงอยู่ชั่วนิรันดร์ คงได้แต่เพียงรอคอยวันเวลาที่จะทำลายนางผู้นั้นกระมัง เหตุใดจึงกล่าวว่าเอื้อมไม่ถึง…”


อวิ๋นจือชิวที่ผมยาวยุ่งสยายเงยหน้าเล็กน้อย มองเขาด้วยแววตาวูบไหว “หนิวเอ้อร์ คำพูดพวกนี้ ไม่เหมือนสิ่งที่เจ้าจะพูดออกมาได้เลยนะ”


“ในปีนั้นข้ายังเป็นเด็กหนุ่มที่อยู่ในโลกมนุษย์ แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเปิด ครั้งแรกที่ได้เจอหงเฉินข้าตกตะลึงมาก…” หลังจากเหมียวอี้เล่าเหตุการณ์ตอนที่เจอหงเฉินครั้งแรกให้ฟัง ก็ถอนหายใจแล้วถามว่า “ตอนหลังเมื่อได้พบเหล่าไป๋อีก ก็มาอยู่ใต้ต้นหลิวตรงเมืองโบราณอีก ข้าพูดถึงหงเฉิน รู้สึกว่าหงเฉินอยู่ไกลเกินเอื้อม จากนั้นเหล่าไป๋ก็บอกข้าแบบนั้น ตอนนี้พอมาลองคิดดู ก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ หงเฉินเป็นอนุภรรยาของข้าแล้ว อยู่ไกลเกินเอื้อมเสียที่ไหนกัน?”


อวิ๋นจือชิวพลิกตัว นอนตะแคงข้างแล้วเอามือหนุนศีรษะ ใช้ต้นขากดอยู่บนตัวเหมียวอี้ ปล่อยให้มือเหมียวอี้บีบคลำอยู่บนหน้าอกตัวเอง พร้อมถามอย่างแปลกใจว่า “เจ้าพูดบ่อยๆ ว่าเหล่าไป๋หน้าตาดีอย่างนั้นหน้าตาดีอย่างนี้ ดูเป็นคนสบายอกสบายใจ นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าบนโลกจะมีมนุษย์ธรรมดาที่มีโลกทรรศน์ไม่ธรรมดาขนาดนี้ ทั้งยังมีเคล็ดวิชาที่โดดเด่นไม่เหมือนใครขนาดนี้ ข้าสงสัยว่าเขาเป็นนักพรตหรือเปล่า?”


เหมียวอี้ส่ายหน้าบอกว่า “ข้าเองก็เคยสงสัยเหมือนกัน แต่ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ นักพรตไม่มีทางเข้าไปในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งได้…” แต่ในหัวก็มีความคิดบางอย่างแวบเข้ามา ไม่รู้ว่าเคล็ดวิชาอัคนีดาราจะทำให้เข้าไปตอนแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งเปิดได้หรือเปล่า? ถ้าสามารถเข้าไปได้จริงๆ ก็เป็นไปได้เหมือนกันว่าเหล่าไป๋จะเป็นนักพรต


“แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าเป็นนักพรตที่มีหน้าตาแบบที่เจ้าบอกจริงๆ เอกลักษณ์แบบนั้นนั้นก็ชัดเจนเกินไปแล้ว มิหนำซ้ำวิชาที่สอนเจ้าก็ไม่ธรรมดา ข้าอยู่ที่แดนฝึกตนมาหลายปี ถ้าในแดนฝึกตนมีคนแบบนี้อยู่ ก็ไม่น่าจะถึงขั้นไม่เคยได้ยินชื่อนะ” อวิ๋นจือชิวเดาะลิ้น “อยากจะเปิดหูเปิดตาสักหน่อยจริงๆ อยากจะดูว่าผู้ชายสักคนจะสุดยอดไร้ที่เปรียบขนาดนั้นได้อย่างไร”


“ห้ามคิดถึงผู้ชายคนอื่น คิดถึงแค่ข้าได้คนเดียว เจ้าคือเนื้อของเหมียวอี้ที่คนอื่นจะแตะต้องไม่ได้” เหมียวอี้ยื่นมือไปประคองหน้านางให้มองตัวเอง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าต้องจำไว้นะ ต่อให้ข้าจะแต่งงานมีเมียเยอะกว่านี้ แต่เจ้าก็คือคนที่ข้ารักที่สุดตลอดไป! อวิ๋นจือชิว ข้ารักเจ้า!”


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)