ท่านเทพมาแล้ว 112-115
บทที่ 112 เรื่องในอดีต
โดย
Ink Stone_Romance
“แต่ในเมื่อคนผู้นี้ต้องการป้องกันไม่ให้คนตรวจสอบ ทำไมถึงไม่ทำลายบันทึกไปโดยตรงเลยล่ะ?” มู่จิ่วพูด สามารถสร้างค่ายกลขึ้นที่ประตูสวรรค์แดนเหนือได้ ฝีมือต้องไม่ด้อย ลบบันทึกหลายเล่มไม่ใช่เรื่องใหญ่โต
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้ลบทิ้งไป?” ลู่ยาเอ่ย “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป้าหมายของเขาเป็นบันทึกไม่ใช่คนที่มาสืบ?”
มู่จิ่วนิ่งอึ้งไป
ลู่ยาพูดสรุป “ข้าเห็นว่าประตูสวรรค์ไม่มีอะไรน่าสืบ ในเมื่อสามารถเล่นตุกติกได้ สืบไปสืบมาอาจชี้นำเจ้าไปผิดทาง มิสู้เจ้าส่งคนไปเฝ้าฆาตกรที่แต่ละประตู ไม่แน่ว่าอาจจะนำเบาะแสอะไรมาได้”
มู่จิ่วขมวดคิ้วพยักหน้า
แต่เขาพูดเช่นนี้นางกลับคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามราชาจิ้งจอก “ท่านรู้จักอู่เต๋อเจินจวินหรือไม่?”
ถามลู่ยาเขาต้องไม่รู้จักแน่ เขาเป็นคนเฒ่าคนแก่แล้ว ราชาจิ้งจอกแม้จะแก่ แต่เทียบกับอีกฝ่ายแล้วยังดีกว่า อีกอย่างจิ้งจอกเฒ่าติดต่อกับสวรรค์มากกว่าลู่ยา ถึงแม้ไม่รู้จักก็ควรได้ยินชื่อมาบ้าง
“เจ้าเค่อ?” ราชาจิ้งจอกพลันเรียกอีกชื่อออกมา “ที่เจ้าพูดถึงคือผู้บัญชาการกองอารักขาพู่เหลืองอู่เต๋อเจินเจวินเจ้าเค่อ?”
มู่จิ่วประหลาดใจ “ท่านคุ้นเคยกับเขา?”
“ไม่เรียกว่าคุ้นเคยนัก”
ราชาจิ้งจอกพูด “ก่อนขึ้นมาสวรรค์ เจ้าเค่อเป็นปฐมกษัตริย์ปกครองอยู่ที่ต้าเว่ย ที่จริงเป็นเรื่องเมื่อหลายพันปีก่อนแล้ว ข้ากับเขาที่อยู่ท่ามกลางสงครามมีวาสนาต่อกันครั้งหนึ่ง เขานำทหารไปตีอาณาจักรใกล้เคียง ผลคือติดกับดัก ถูกขังอยู่ในค่ายกลออกมาไม่ได้ ตอนนั้นข้าเป็นแขกของมหาเทพจื่อเวย มหาเทพจื่อเวยตรวจรู้ดวงชะตาของเขา จึงขอให้ข้าใช้ร่างเดิมช่วยเขาออกจากค่ายกล”
มู่จิ่วรีบพูด “ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วย?”
ราชาจิ้งจอกถาม “หรือเขามีอะไรไม่ดี?”
“ไม่นับว่าไม่ดี” มู่จิ่วครุ่นคิด “เพียงแค่วันนี้ข้าเห็นสัตว์เขาเดียวที่เป็นพาหนะของเขาปรากฏตัวอยู่บนถนน” พูดจบก็เล่าเรื่องให้พวกเขาฟัง
ราชาจิ้งจอกอึ้งไป
นับตั้งแต่หลายปีก่อนตอนพระถังซำจั๋งไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ชมพูทวีป หลังจากพาหนะไม่น้อยแอบลงเขาไปก่อเรื่อง ถึงแม้สุดท้ายยืนยันว่าทั้งหมดล้วนแต่เกิดเพราะชะตาชีวิตของพระถังซำจั๋งควรมีเคราะห์กรรมแบบนี้ แต่หากเหล่าเซียนดูแลจัดการเข้มงวด ก็คงไม่เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ให้ชมพูทวีปหัวร่อแล้ว ดังนั้นภายหลังเหล่าเซียนจึงเริ่มเข้มงวดมากขึ้น พาหนะแต่ละตัวน้อยมากที่จะออกไปเดินข้างนอกเอง
อู่เต๋อเจินจวินวางใจให้สัตว์เขาเดียวออกมา เป็นธรรมดาที่จะเป็นจุดสนใจ
“หรือเจ้าจะสงสัยเจ้าเค่อ?” ราชาจิ้งจอกถาม
ถึงแม้เจ้าเค่อทำเช่นนี้จะแสดงให้เห็นว่าการอบรมในเรือนย่อหย่อน แต่สงสัยเขาเพียงแค่เรื่องนี้ก็เป็นการดึงดันเกินไป
“ข้าเห็นบนรองเท้าหุ้มข้อของสัตว์เขาเดียวมีหญ้าวิหคเขียวอยู่” มู่จิ่วพูด
นางกล่าวถึงตรงนี้ ราชาจิ้งจอกกับลู่ยาต่างก็มองกันคราหนึ่ง
หญ้าวิหคเขียวเติบโตในชนเผ่าทางใต้ท่ามกลางหนองน้ำ ปกติสถานที่ที่หญ้าวิหคเขียวขึ้นล้วนมีพิษรายล้อม คนธรรมดาพลัดหลงเข้าไปล้วนไม่มีชีวิตรอดกลับมา แต่นั่นก็เป็นเส้นทางสำคัญที่จะต้องผ่านไปทะเลใต้ มีเพียงแต่สัตว์ปีศาจหรือมารเซียนที่ฝึกบำเพ็ญเท่านั้นถึงจะเลือกเดินทางนี้
สัตว์เขาเดียวปรากฏกายออกมาตัวเดียว และบนเท้ายังมีหญ้าวิหคเขียวติดอยู่ นี่แสดงว่าเขาเพิ่งกลับมาจากหนองน้ำสักแห่ง? หรือเพิ่งไปทะเลแดนใต้มา? แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน ล้วนลบล้างเรื่องจริงที่เขาออกเดินทางตัวคนเดียวไม่ได้ เพราะตอนนี้อู่เต๋อเจินจวินต้องปฏิบัติงานอยู่ที่กรมอารักขาพู่เหลือง ตอนกลางวันหากไม่มีคำสั่งอวี้ตี้ เหล่าขุนนางข้าราชการล้วนไม่สามารถหลบจากหน้าที่ออกไปข้างนอกได้
เช่นนั้นนี่หมายถึงอะไร?
สัตว์เขาเดียวแอบไปโลกมนุษย์? หรือเป็นเขาที่ได้รับคำสั่งของอู่เต๋อเจินจวินให้ไปทำเรื่องอะไร?
ทั้งสามคนตกอยู่ในความเงียบ
มู่จิ่วเพียงรู้สึกว่าการปรากฏกายของหลีเปิงออกจะผิดปกติ แต่ก็จับผิดอะไรเขาไม่ได้ คนเขาไปทะเลใต้ไม่ได้หรือ? ไม่สามารถไปยังโลกมนุษย์หรืออย่างไร? หากเป็นอู่เต๋อเจินจวินสั่งให้เขาไปจริง แล้วเขาไปทำอะไร?
“เอาละ ข้าจะไปจัดกองเฝ้าประตูสวรรค์แต่ละแห่งก่อน” นางยืนขึ้นก่อนพูด
เสี่ยวซิงยื่นศีรษะเข้ามาพูด “เจ้ากินข้าวก่อนค่อยไป!”
มู่จิ่วยังไม่ทันตอบ ราชาจิ้งจอกกลับตบโต๊ะ “ใช่สิ! ข้านึกได้แล้ว สมญานามเซียนของเจ้าเค่อก่อนเกิดใหม่ในโลกมนุษย์คือชิงผิงซิงจวิน!”
“อะไรนะ?”
คำพูดนี้ของเขาทำให้มู่จิ่วที่ยกเท้าขึ้นหันกลับมา “ก่อนเกิดใหม่?”
“ไม่ผิด!” ราชาจิ้งจอกพูดด้วยความตื่นเต้น “ข้าจำได้ชัดเจน เขากระโดดลงแท่นประหารเซียนด้วยตัวเอง ตัดรากฐานเซียนกลับไปเวียนว่ายตายเกิด!”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
กระโดดลงแท่นประหารเซียนเอง? การกระโดดแท่นประหารเซียนเท่ากับเป็นเซียนไม่ได้อีก หากโชคดีหน่อยอาจยังเหลือจิตรับรู้เข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิด หากโชคไม่ดีก็มีแต่ถูกทำลายสลายไปเท่านั้น มู่จิ่วรู้สึกได้ถึงกลิ่นเรื่องซุบซิบ จึงกลับมานั่งที่เก้าอี้ อดกางหูรอฟังไม่ได้
ราชาจิ้งจอกเอ่ย “เรื่องนี้พูดไปก็ยาว ชิงผิงซิงจวินเป็นมนุษย์บำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียน คนผู้นี้รูปร่างหน้าตาอากัปกิริยางามสง่า อาศัยอยู่ที่ยอดเขามรกตมานาน หมื่นพันปีที่ผ่านมารับเพียงเด็กสองคนเป็นศิษย์ จิตใจบริสุทธิ์กิเลศเบาบาง ไม่ยุ่งเรื่องคาวโลกีย์ แต่ปีนั้นตอนกลับจากงานเลี้ยงลูกท้อไปยังที่พำนัก กลางทางเขากลับพบกับหญิงสาวใกล้ตายคนหนึ่ง”
“เป็นปีศาจ?” มู่จิ่วอดถามไม่ได้
ช่างเป็นโครงเรื่องที่คุ้นเคยนัก เทพเซียนผู้สูงศักดิ์สง่างามช่วยเหลือปีศาจที่แปลงเป็นหญิงงาม ผลคือแปดเปื้อนคาวโลกีย์อย่างไม่เสียใจภายหลัง สุดท้ายเพราะเซียนและปีศาจเป็นเส้นขนานที่ผิดต่อกฎเซียน เพื่อนางแล้วจึงกระโดดลงแท่นประหารเซียน กลับไปเวียนว่ายตายเกิดโดยไม่นึกเสียดาย
“ไม่ใช่” ราชาจิ้งจอกเหลือบมองนางคราหนึ่ง เขาพูด “หญิงสาวคนนี้ไม่ใช่ปีศาจ กลับกันนางมีรากฐานเซียนที่บริสุทธิ์ หลังจากชิงผิงช่วยนางกลับไป นางสลบไม่ฟื้นอยู่สามปี ตอนที่ชิงผิงถอดใจเรื่องตามหาที่มาที่ไปของนาง นางกลับพลันฟื้นขึ้นมา”
“จากนั้นเล่า?” มู่จิ่วอึ้ง
ราชาจิ้งจอกยกถ้วยชาขึ้นจิบ พูดต่อว่า “จากนั้นพวกเขาทั้งสองมีใจต่อกัน หญิงคนนั้นรู้สึกจะชื่อเฟยอี ช่วงนั้นทั้งสามภพมักเห็นชิงผิงพาเฟยอีลงไปเดินเล่นยังโลกมนุษย์ เฟยอีปลูกหม่อนเลี้ยงไหมด้วยตัวเองเพื่อทอเสื้อให้ชิงผิง ยามนั้นชิงผิงก็ไม่ห่างไปไหน นั่นเป็นคู่กิ่งทองใบหยกโดยแท้ แต่เฟยอีกลับไม่เคยพูดถึงที่มาของนางเลย”
“ที่แท้นางมีที่มาอย่างไร?” เขาชักช้าเสียจนมู่จิ่วเกือบร้อนใจตาย
“นางเป็นหญิงที่มีสามีแล้ว” ราชาจิ้งจอกพูด
มู่จิ่วเกือบจะพ่นชาออกมา! มีสามีแล้ว?!
“ช่วงเวลาหวานชื่นคงอยู่ได้ไม่นานนัก วันหนึ่งสามีของเฟยอีก็มาตามมาถึงประตู” ราชาจิ้งจอกเห็นนางตั้งใจฟังขนาดนี้ ก็ยิ่งเหมือนคนเล่านิทานมากขึ้นอีก “ตอนนี้ชิงผิงถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้รักคนผิด และที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือเฟยอีกลับตามสามีออกจากเขามรกตไปอย่างไม่ลังเล”
“จากไป?” มู่จิ่วงุนงง
ราชาจิ้งจอกพยักหน้า “ความรักของชิงผิงกลายเป็นอากาศ พอดีฝ่ายตรงข้ามไปฟ้องต่อหน้ากษัตริย์ว่าเขาขโมยภรรยา อวี้ตี้จึงมีคำสั่งลงมา ยังไม่ทันที่คำสั่งจะมาถึง เขากลับเดินไปกระโดดแท่นประหารเซียนด้วยตนเอง กลับเป็นหวังมู่เหนียงเหนียงที่ตื้นตันกับความรักอาภัพครั้งนี้ของเขา จึงให้เทียนมิ่งซิงจวินรักษาจิตรับรู้ของเขาไว้ ก่อนจะไปเป็นกษัตริย์ยังโลกมนุษย์ ทำให้พื้นพิภพสงบ ค่อยกลับมายังสวรรค์เป็นอู่เต๋อเจินจวิน”
“สามีของเฟยอีคือใคร?” มู่จิ่วถามต่อ
ตอนที่ 113
ความสงสัยล้นเหลือ
โดย
Ink Stone_Romance
“ไม่รู้” ราชาจิ้งจอกดื่มชา “ตอนข้าไปร่วมงานพบปะที่เขาคุนหลุน ได้ยินเหล่าเซียนพูดคุยกันจึงรู้มา แต่สามีของเฟยอีคือใครแท้จริงกลับไม่มีคนรู้เลย และหลังจากชิงผิงซิงจวินกระโดดแท่นประหารเซียนไปแล้ว ปีถัดมาเดือนเดียวกันวันเดียวกันนั้นเอง เฟยอีกลับแอบปีนแท่นกระโดดลงมาเหมือนกัน”
มู่จิ่วอึ้งไป “กระโดดด้วยเหมือนกัน? แท้จริงแล้วนางรักเขาหรือไม่กันแน่?”
ราชาจิ้งจอกส่ายศีรษะ “เรื่องนี้ใครจะรู้?”
มู่จิ่วเงียบไปชั่วครู่ เหลือบมองเขาก่อนพูด “ราชาจิ้งจอกช่างรู้เรื่องราวหลังม่านเยอะจริงๆ”
ราชาจิ้งจอกยิ้มเยาะเอ่ย “ในหกภพแค่ขอมีชื่อเสียงหน่อย มีใครบ้างที่ไม่มีเรื่องซุบซิบนินทา? ข้าจะบอกเจ้าให้ ถึงแม้ข้าขึ้นสวรรค์มาน้อย แต่รู้ข่าวคราวไม่น้อยเลย วันหลังหากมีเวลาข้าค่อยพูดคุยกับเจ้า”
พูดกับผีสิ!
โดยปกตินางมองว่าพวกเขาเผ่าพันธุ์เทพเอยเทพเซียนเอยนั้นจริงจังอย่างมาก ทุกวันไม่ถ่ายทอดวิชาเต๋าก็ต้องศึกษามรรควิถี คิดไม่ถึงว่าในความเป็นจริงแล้วแต่ละคนเหมือนกับป้าในตลาดผัก ในท้องมีอย่างอื่นไม่มาก ที่มากที่สุดก็คือเรื่องซุบซิบ!
มู่จิ่วกำลังจะพูด ลู่ยาพลันโอบไหล่นางเข้ามา “ถามเขามิสู้ถามข้า อย่างน้อยข้าก็หน้าตาดูระรื่นตากว่าเขา”
ราชาจิ้งจอกสำลักจนใบชาโผล่ออกมาจากจมูก ทำได้เพียงหาทางลงเองแล้วพูดกับมู่จิ่ว “วันนี้เป็นอย่างไรข้าก็รู้ไม่แน่ชัด แต่ตอนแรกหลังจากเขาถูกแต่งตั้งเป็นอู่เต๋อเจินจวิน ยังมีหลายคนเรียกเขาเป็นซิงจวินอยู่ เพราะเรียกกันจนชินแล้ว”
ในเมื่ออู่เต๋อเจินจวินมีประวัติความเป็นมาแบบนี้แล้วยังถูกคนเรียกว่าซิงจวิน แสดงว่าเขาก็สามารถเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยได้?
คิดถึงตรงนี้มู่จิ่วจึงรีบเรียกซ่างกวนสุ่น “ตอนบ่ายเจ้าไปตรวจสอบประตูสวรรค์แดนเหนืออีกที มีบันทึกการเข้าออกของอู่เต๋อเจินจวินหรือไม่!”
อู่เต๋อเจินจวินเป็นจอมพลแห่งกองอารักขาพู่เหลือง ลำดับขั้นอาวุโสมากพอ ความสามารถสูงพอ ถึงแม้แรงจูงใจจะไม่ชัดเจน แต่อย่างน้อยก็มีเงื่อนไขในการก่อคดี ไปตรวจดูก่อนก็ไม่เลว
ลู่ยากระแอมให้คอโล่ง
ราชาจิ้งจอกมองเขา จากนั้นมองซ่างกวนสุ่น พูดอย่างจนปัญญาว่า “ให้ข้าไปดีกว่า ป้องกันไม่ให้เด็กน้อยซ่างกวนสุ่นไปแล้วทำให้พวกเขาตกใจ”
“เช่นนั้นข้าไปรินชาเตรียมข้าว!”
ซ่างกวนสุ่นดีใจจนปรบมือ กระโดดโลดเต้นออกนอกประตูไป
มู่จิ่วครุ่นคิด ในเมื่อมีราชาจิ้งจอกรับผิดชอบ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะดึงดันให้ตัวเองทำเรื่องที่ทำไม่ได้ จึงลุกขึ้นไปหยิบชาม พอดีกับที่อิ่นเสวี่ยรั่วกลับมา มู่จิ่วแนะนำราชาจิ้งจอกว่าเป็นอาจารย์อาของลู่ยา นางก็ไม่ได้สงสัย กลับเป็นราชาจิ้งจอกที่ได้เอาเปรียบลู่ยาไปครั้งหนึ่ง และดีใจจนปิดปากไม่สนิท
หลังมื้ออาหาร ราชาจิ้งจอกอ้างว่าไปพักผ่อนที่เรือนของลู่ยา ก่อนจะซ่อนร่างไปประตูสวรรค์
ทางมู่จิ่วต้องรอข่าวที่ส่งกลับมา จึงให้เสี่ยวซิงไปแจ้งจางเหยี่ยนซิงจวินที่หน่วยจัดการเรื่องทั่วไปว่าในบ้านมีแขก ส่วนตนเองล้างชามรอ
ลู่ยาว่างจนเจ็บสะโพก พลันประสานมือเดินเข้ามาอยู่ข้างมู่จิ่ว พูดกับนางว่า “เจ้าอย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลของจิ้งจอกเฒ่า ในโลกเซียนมีความรักแต่งงานไม่ใช่เรื่องน่ากลัวขนาดนั้น”
“อา?”
ความคิดมู่จิ่วชัดเจนว่าตามเขาไม่ทัน
ลู่ยาขยับศีรษะเข้าไปใกล้อีกนิดก่อนเอ่ย “เรื่องที่เขาพูดโดยพื้นฐานแล้วไม่มีทางเกิดขึ้นระหว่างเจ้ากับข้า”
แต่เดิมก็ไม่มีทางเกิดขึ้นอยู่แล้วนี่ เขาศีรษะถูกประตูหนีบหรือ? ทำไมพูดเรื่องโง่ๆ ออกมา?
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง เช็ดมือแล้วพูด “หากท่านว่างจนเพ้อ มิสู้ช่วยข้าสอนอาฝูเรื่องความสะอาด ท่านดูเขานอนกอดกระดูกอยู่ทุกวัน ไม่กลัวบาดคางหรือไร? ดีร้ายก็เป็นเสือขาวตัวหนึ่ง ทำไมถึงทำตัวเหมือนสุนัขได้”
พูดถึงตรงนี้นางก็ไม่อาจไม่ยกย่องซ่างกวนสุ่น ถึงแม้เขาจะปากร้ายไปหน่อย แต่ด้านความสะอาดไม่ขาดตกบกพร่องสักนิด ทุกวันไม่เพียงเก็บกวาดเตียงของอาฝู ยังช่วยเสี่ยวซิงทำงานบ้าน เก็บกวาดแท่นเตาจนสามารถให้คนนอนบนนั้นได้ อาฝูไม่มีคนใส่ใจสั่งสอนจึงเป็นแบบนี้
“นี่เป็นนิสัยของเขา ไม่ต้องสอนหรอก” ลู่ยาพูด เก็บมือไว้ในแขนเสื้อก่อนเดินจากไปอย่างสบายๆ
มู่จิ่วคร้านจะถกเถียงกับท่านเทพ
คราวนี้ราชาจิ้งจอกยิ่งรวดเร็วกว่าเดิม มู่จิ่วล้างชามเสร็จ เพิ่งล้างหน้าให้อาฝู เขาก็กลับมาแล้ว
มู่จิ่วรีบอุ้มอาฝูไปที่เรือนลู่ยา ราชาจิ้งจอกนำบันทึกที่ตรวจสอบมาได้แผ่ไว้เต็มโต๊ะ
“ในครึ่งปีนี้ อู่เต๋อเจินจวินออกจากสวรรค์ทั้งหมดสามสิบสองครั้ง ในนี้สามารถหาที่ไปที่แน่ชัดได้สิบสามครั้ง เดินทางไปกับผู้อื่นสิบครั้ง ที่เหลือเก้าครั้งบอกว่าไปเยี่ยมสหาย แต่กลับไม่มีสถานที่ไปแน่ชัด และในกลุ่มนี้ออกไปตอนกลางวันสิบแปดครั้ง กลางคืนสิบสี่ครั้ง ระหว่างที่เขาเนินอารามเกิดเรื่องเขาออกไปสามครั้ง ก่อนคดีเลือดของชิงชิวสามศพเขาไปยังโลกมนุษย์”
“และครั้งล่าสุดคือเมื่อคืนวาน”
“บันทึกการเข้าออกจำนวนครั้งเหล่านี้กับตอนที่เกิดคดีฆาตกรรมล้วนไม่บอกสถานที่ไปชัดเจน!”
น้ำเสียงของราชาจิ้งจอกโกรธแค้น สีหน้าเทียบกับตอนก่อนออกไปราวกับเป็นคนละคนกัน
มู่จิ่วฟังจบในใจก็ตระหนก หยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียด เรื่องจริงกับที่เขาพูดเหมือนกันหมด!
ในห้องเงียบไป
แบบนี้ดูแล้วอู่เต๋อเจินจวินผู้นี้ไม่เพียงแต่น่าสงสัย ความน่าสงสัยนี้ยังมีไม่น้อยด้วย!
เป็นธรรมดาที่ฝ่ายนั้นคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะสามารถเห็นเหตุการณ์จิ้งจอกน้อยโดนทำร้ายผ่านพลังหยั่งรู้ของลู่ยา และคิดไม่ถึงว่าจิ้งจอกน้อยที่สูญเสียจิตจิ้งจอกไปจะฟื้นขึ้นมาพูดถึง ‘ซิงจวิน’ สองคำนี้ ดังนั้นเขาย่อมไม่ได้ไปลบบันทึกเหล่านี้ที่ประตูสวรรค์ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสงสัย!
ตอนปีศาจงูเขียวตาย แม้แต่กระจกฟ้าดินยังส่องไม่เห็นฆาตกร นอกจากฆาตกรจะมีฝีมือกล้าแกร่งแล้ว ก็มีอีกความเป็นไปได้หนึ่งคือสามารถปิดผนึกกระจกได้ อู่เต๋อเจินจวินมีฐานะเป็นใต้เท้าของกองอารักขาพู่เหลือง ตำแหน่งสูงส่งในทัพสวรรค์ เขามีอำนาจเข้าทัพสวรรค์ไปปิดผนึกระจกฟ้าดิน! ปีศาจงูเขียวถูกสังหารในพริบตาเดียวก็กลายเป็นคดีที่ไม่อาจคลี่คลายแล้ว
“แรงจูงใจของเขาล่ะ?” มู่จิ่วพูด ถึงแม้หลักฐานทั้งหมดจะชี้ว่าอู่เต๋อเจินจวินเป็นฆาตกร เช่นนั้นแรงจูงใจของเขาล่ะ? เขามีความแค้นอะไรกับลัทธิฉ่าน?
“เกรงว่าจะยังเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นในอดีต”
ตอนนี้เอง ลู่ยาที่นั่งกอดอกมาตลอดพูดขึ้น “ปีนั้นเขาตายเพราะความรัก เรื่องนี้ข้ามผ่านไปได้ไม่ง่าย หากหากข้าเดาไม่ผิด สามีของหญิงคนนั้นคงเป็นคนของลัทธิฉ่าน และคนนอกต่างก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ยิ่งแสดงว่าตำแหน่งของเขาในลัทธิฉ่านต้องยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาแน่”
“มีเหตุผล!”
มู่จิ่วกล่าว “แต่พวกเราต้องทำอย่างไรถึงจะสืบหาตัวคนๆ นี้ได้?”
แน่นอนว่าอู่เต๋อเจินจวินไม่พูดออกมาแน่ ตามที่ราชาจิ้งจอกบอก เขาได้เป็นเซียนอีกครั้งก็หลายพันปีมาแล้ว ในหลายพันปีนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวความรักนี้อีก หากไม่พูดถึงผู้คนต่างก็ลืมหมดแล้ว ในเมื่อเป็นแบบนี้ อู่เต๋อเจินจวินย่อมไม่ยินดีที่จะพูดถึงอีกแน่ หากคดีนี้เป็นเขาทำจริงๆ แล้วละก็ เขายิ่งไม่มีเหตุผลที่จะคายความจริงออกมา
“ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี” ลู่ยาพูด “แต่ว่าเจ้าต้องคิดหาวิธีไปดึงเส้นผมของอู่เต๋อเจินจวินมา”
มู่จิ่วอึ้งไปเล็กน้อย พลันตื่นตัวขึ้นมา ทำไมนางถึงลืมไปว่าที่นี่มีมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่อยู่ผู้หนึ่งนะ?
ยามอยู่ที่ชิงชิวเขาสามารถดูเหตุการณ์ของจิ้งจอกน้อยได้ แน่นอนว่าต้องดูเรื่องราวพัวพันของอู่เต๋อเจินจวินได้!
ตอนที่ 114
เยี่ยมเยียนชายงามยามค่ำคืน
โดย
Ink Stone_Romance
“เช่นนั้นข้าไปเอง!” นางลุกขึ้นเอ่ย
“ไม่ได้”
ลู่ยาพูด “ตำแหน่งเจ้าต่ำไป ผ่านเข้าประตูบ้านเขาไม่ได้หรอก นอกจากนั้น หากคดีนี้เป็นเขาทำจริงแล้วเกิดความหวาดระแวง เขาต้องสร้างปราการเซียนขึ้นมามากมายแน่ แอบลอบเข้าไปก็ไม่ได้ และข้าผนึกพลังไว้ ไม่อาจทำโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลย ส่วนเจ้า…” เขาหันไปหาราชาจิ้งจอก “เจ้ามาโดยปกปิดนาม หากเผยร่องรอยออกไปจริง เกรงว่าจะถูกคนใช้ประโยชน์ อยู่เฉยๆ จะดีกว่า”
มู่จิ่วได้ยินเขาพูดถึงตรงนี้ จึงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “ข้ามีวิธี น่าจะทำได้!”
….
ยามแสงโพล้เพล้ปกคลุมผืนแผ่นดินใหญ่ ดอกจื่อเถิงและดอกท้อกลายเป็นเงาบนกำแพง ฝ่ายมู่จิ่วพาอาฝูไปด้วย เก็บกวาดจนสะอาดสะอ้านแล้วจึงออกจากเรือน
สถานที่ที่พวกเขาไปคือบ้านหลิวจวิ้นที่อยู่ทางประตูสวรรค์ตะวันตก
สมญานามของหลิวจวิ้นคือก่วงอู่เทียนจวิน ดังนั้นที่พำนักของเขาจึงเรียกว่าจวนเซียนก่วงอู่
คำว่าเทียนจวินสองคำนี้ดูแล้วกล้าแกร่ง แต่จวนเซียนกลับมีเพียงเรือนหยกสามชั้นธรรมดา
ตอนนี้หลิวจวิ้นเพิ่งกลับมาจากหน่วย เซียนรับใช้ถอดเกราะออก รินชาให้ จัดเตรียมเหล้าและอาหารอยู่ในลานบ้านท่ามกลางดอกไม้นานาพรรณ กำลังเตรียมไปอาบน้ำก่อนค่อยมานั่งกินดื่มดีๆ ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งถอดเสื้อช่วงบนออกหมด ด้านนอกประตูก็บอกว่ากัวมู่จิ่วมา จนไม่รู้ว่ากางเกงของเขาปลดแล้วหรือยังไม่ได้ปลด
จนสุดท้ายช่วยไม่ได้ ต้องสวมเสื้อทั้งหมดกลับเข้ามา แล้วกระฟัดกระเฟียดไปยังลานบ้าน
“กลางดึกแบบนี้ มาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
เขาระเบิดอารมณ์ใส่นางพลางกระชับเสื้อคลุม
มู่จิ่วติดตามเขามานาน เรียนรู้ที่จะสังเกตสีหน้าเขาได้บ้าง เห็นสถานการณ์แล้วจึงรีบรินชาเย็นส่งให้เขา ยังเอาอกเอาใจด้วยการใช้ช้อนหยิบกลีบดอกไม้บนผิวน้ำออกให้ด้วย “ข้าสืบหาตัวคนที่น่าสงสัยอย่างมากได้แล้ว”
“เร็วขนาดนี้?” ข่าวนี้ฟังแล้วช่างสบายใจ หลิวจวิ้นนั่งลงอย่างฉับพลัน จากนั้นรับเอาชาของนางมา “เป็นใคร?”
ตั้งแต่เริ่มทำคดีจนถึงวันนี้ยังไม่ถึงหนึ่งเดือน นางกลับมีเป้าหมายแล้ว นับว่าพยายามได้ดี
“กองอารักขาพู่เหลืองอู่เต๋อเจินจวิน”
หลิวจวิ้นนิ่งไปตามคาด
มู่จิ่วรายงานเขาเรื่องร่องรอยเบาะแสว่าหามาได้อย่างไร เป็นธรรมดาที่ในระหว่างนั้นจะลบลู่ยากับราชาจิ้งจอกออกไป จากนั้นพูด “วันนี้ข้าคาดเดาว่าเพราะหนี้รักในชาติก่อน อู่เต๋อเจินจวินจึงพัวพันกับลัทธิฉ่าน เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร ใต้เท้าอยู่ที่สวรรค์มานาน ไม่ทราบว่าได้ยินเรื่องนี้มาก่อนหรือไม่?”
“อู่เต๋อเจินจวิน?”
ใบหน้าของหลิวจวิ้นเต็มไปด้วยความสงสัย เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนได้สติกลับคืน เห็นอาฝูหมอบอยู่บนพื้นมองไก่บนโต๊ะอย่างวาดหวัง จึงหยิบให้แล้วเอ่ยขึ้น “ตอนเกิดเรื่องนี้ข้ายังไม่ได้มาอยู่บนสวรรค์ แต่กลับได้ยินมาบ้าง ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าสามีของหญิงผู้นั้นเป็นใคร สรุปคือหากไม่เกิดเรื่องที่เขากับหญิงคนนั้นผลัดกันกระโดดแท่นประหารเซียน คนนอกก็คงไม่รู้เรื่องกัน”
ที่แท้เขาก็ไม่รู้
มู่จิ่วยิ่งมั่นใจในความคิด พูดว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ใต้เท้ากินข้าวเสร็จแล้วสามารถพาข้าไปเยี่ยมที่พำนักของอู่เต๋อเจินจวินได้หรือไม่?”
หลิวจวิ้นมองดูสีท้องฟ้า ตอบว่า “ยังจะกินข้าวอะไรอีก? ไปก่อนแล้วค่อยพูด”
พูดจบก็ลุกขึ้นไปยังระเบียงทางเดิน
มู่จิ่วรีบเรียกอาฝูให้ลุกขึ้นเดินตามไป
นางพาอาฝูมาเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าพบอู่เต๋อเจินจวิน เขาเป็นสัตว์เทพ มีประโยชน์ในการยกระดับท่าทางการกดดัน ไม่ใช่เพื่อใช้งานจริงๆ
ที่พำนักของอู่เต๋อเจินจวินอยู่ที่ประตูสวรรค์ตะวันออก ห่างจากเรือนเซียนที่กว้างโล่งไปกว่าครึ่งเมือง แต่นี่ไม่ใช่ปัญหา หลิวจวิ้นเพียงใช้เมฆมงคลก็พาพวกเขาไปถึงนอกที่พำนักเซียนอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง
ตอนหลิวจวิ้นเคาะประตู มู่จิ่วถือโอกาสสังเกตรอบนอกที่พัก เห็นเพียงเรือนของขุนนางลำดับสองที่สร้างตามกฎระเบียบ มองผ่านเข้าไปสองสามลี้เห็นกำแพงล้อม ภายในกำแพงยังมีกำแพงอีก ซ้อนกันไปมาจนดูไม่ออกว่ามีกี่ชั้น หน้าประตูมีสิงโตเขียวมีชีวิตคู่หนึ่งเฝ้าอยู่ หลังจากประตูเปิด พวกมันคาบป้ายของหลิวจวิ้นไปดู ต่อมาสิงโตหนึ่งในนั้นเดินเข้าไปรายงาน
มู่จิ่วพูด “ใต้เท้าก็เป็นข้าราชการลำดับสาม ทำไมที่พำนักไม่ยิ่งใหญ่แบบนี้?”
หลิวจวิ้นเหลือบมองนาง “ข้าไม่เหมือนเจ้าที่มีเพื่อนมากมายขนาดนั้น จะเอาสถานที่ใหญ่ๆ ไปทำอะไร?!”
มู่จิ่วถูกยอกย้อน ไหนเลยจะกล้าส่งเสียงอีก
สิงโตเขียวที่เข้าไปรายงานกลับมาพอดี จึงเปิดประตูใหญ่เชิญให้เข้าไป มันทำหน้าเคร่งขรึมยืดอก เดินตามหลังหลิวจวิ้นเข้าประตูไป
สิงโตเขียวเห็นอาฝูที่อยู่หลังสุดก็สะท้านเล็กน้อย อาฝูหยุดเท้าแยกเขี้ยวใส่พวกมัน จากนั้นสะบัดก้นอ้วนๆ เดินเข้าไปข้างใน
ที่แห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นจวนเซียนอย่างแท้จริง ไม่เหมือนกับบ้านหลิวจวิ้นที่มองพริบตาเดียวก็เห็นหมด ที่นี่อุดมสมบูรณ์ด้วยต้นไม้ดอกไม้ ถนนเส้นเล็กนำไปสู่สถานที่อันเงียบสงบ ก้าวนึงหนึ่งทิวทัศน์ ลักษณะชดช้อยสง่างาม หากตั้งใจฟังให้ดี ในเมฆหนายังมีเสียงพิณลอยมาบางเบา ระเบียงทางเดินแขวนตะเกียงสว่างไสว แสงตกกระทบบนพันธุ์ไม้ดูเหมือนกับแสงดาว ราวกับน้ำตาของคนรัก
สิงโตเขียวนำพวกเขามาที่ศาลาหลังหนึ่ง เมื่อลมพัดม่านเห็นเพียงเห็นคนสวมเสื้อเขียวเล่นพิณอยู่
เขาก้มหน้าลงเล่นพิณ เสียงพิณช่างเชื่องช้า การเคลื่อนไหวของเขาก็เฉกเช่นเดียวกันกับเสียงนั้น โดยเฉพาะเมื่อมองจากมุมนี้ คิ้วทั้งสองของเขาคมเฉียงเข้าไปถึงจอนผมเหมือนกับที่เล่าลือกันมา ขนตายาวจนปิดบริเวณใต้ตาทั้งหมด สันจมูกและคางราวกับสลักมาจากหยกที่งดงามที่สุด
ถึงเขาจะไม่วัยเยาว์มากนัก แต่ความนิ่งสงบบนใบหน้าและความสันโดษกลับทำให้เขาดูแล้วยิ่งมีเสน่ห์
ดูแล้วคำชมเชยที่ราชาจิ้งจอกมีต่อชิงผิงซิงจวินจะไม่เกินไปนัก ผู้ชายแบบนี้นับได้ว่าละทิ้งทางโลกแล้วจริงๆ
“พวกเจ้ามาแล้ว”
กำลังมองจนใจลอย เสียงพิณก็หยุดลง อู่เต๋อเจินจวินลุกขึ้นจากหลังโต๊ะแล้วเดินเข้ามาอย่างช้าๆ ท่วงท่าราวกับลำธารไหล ราวกับเมฆเหิน พริบตาเดียวก็ถึง มากอีกนิดคงนับว่ามากไป น้อยไปหน่อยคงนับว่าไม่พอ
“ฝีมือพิณของเจินจวินนับวันยิ่งเหนือสามัญ ข้าน้อยฟังจนใจลอย” หลิวจวิ้นยิ้มพลางประสานมือ
หลิวจวิ้นเดิมก็องอาจสง่างาม แต่เมื่อเปรียบกับอู่เต๋อเจินจวินคนตรงหน้าแล้วช่างเหมือนกับดอกล่าปา[1]พบดอกสุ่ยเซียน[2]
“เอ่ยชมกันเกินไปแล้ว” อู่เต๋อเจินจวินยิ้ม ไม่มีคำพูดเกินความจำเป็น ต่อมาครั้นเห็นมู่จิ่วและเสือขาวที่หมอบเงยหน้ามองเขาอยู่ข้างเท้านาง จึงพูดอีก “นี่เป็นแขกที่พบได้ยากยิ่ง”
หลิวจวิ้นบอกถึงฐานะของมู่จิ่วและอาฝู “ไม่นานมานี้ ระหว่างการทำคดีกัวมู่จิ่วพบว่าเสือขาวตัวนี้มีพฤติกรรมแปลกประหลาดอยู่บ้าง อย่างเช่นเขามักจะชอบวิ่งไปทางทิศตะวันออก พอดีข้าน้อยต้องการมาเยี่ยมเจินจวินเพื่อหารือเรื่องการจัดการอารักขางานวันเกิดหวังมู่เหนียงเหนียงในไม่กี่วันนี้ จึงผ่านทางมาถามท่านสักหน่อยว่ามีบ้านไหนทำเสือขาวหายไปบ้างหรือไม่…”
แน่นอนว่าไม่มีใครทำเสือขาวหาย
นี่คือการนัดแนะก่อนมาเพื่อแสดงออกให้สอดคล้องกัน อาฝูยังเหลือบมองอู่เต๋อเจินจวินตามคำพูดของหลิวจวิ้น
อู่เต๋อเจินจวินย่อมไม่คิดว่าอาฝูได้รับการเปิดปัญญาจากลู่ยาอย่างลับๆ มองครั้งนี้เขาก็ทนไม่ได้ ค้อมตัวลงไปอุ้มอาฝูขึ้นมา มองอย่างละเอียดพลางพูด “ถึงแม้ข้าจะดูแลทางทิศตะวันออก กลับไม่เคยได้ยินว่ามีใครทำเสือขาวหาย”
ตอนที่ 115
เขารูปงามเสียจริง!
โดย
Ink Stone_Romance
“หงิงหงิง….” อาฝูแอบอิงอยู่บนแขนเขา ร้องออกมาอย่างเศร้าสร้อย
อาฝูร้องพลางยื่นอุ้งเท้าออกไปตะกุยผมบนไหล่เขา ก็ไม่รู้ว่ากลิ่นไก่ย่างในปากที่เพิ่งกินเข้าไปจะรบกวนอีกฝ่ายหรือไม่…อู่เต๋อเจินจวินจะทันระวังเสือขาวน้อยที่แม้แต่บ้านตัวเองยังจำไม่ได้ได้อย่างไร? ตะกุยไปหลายทีแบบนี้ เส้นผมสองเส้นก็พันติดอุ้งเท้ามา
อาฝูที่ทำเสร็จสิ้นแล้วรีบเก็บอุ้งเท้าไว้กับอก หมอบอยู่บนเข่าของเขาด้วยท่าทางเชื่องหาใดเปรียบ
อู่เต๋อคงทนน้ำหนักของอาฝูไม่ได้ ไม่นานก็ลูบศีรษะเขาแล้ววางเขาลงไป
มู่จิ่วแสร้งทำท่าทางไม่สบายใจ รีบขึ้นไปข้างหน้าเพื่อย้ายตัวอาฝูมา และเก็บเส้นผมสองเส้นเข้าไปในแขนเสื้ออย่างเงียบเชียบ
ตลอดการดำเนินการ หลิวจวิ้นก็คอยหลอกล่ออู่เต๋อเจินจวินให้พูดคุย จนกระทั่งอู่เต๋อเจินจวินไม่ใส่ใจมู่จิ่วเลยสักนิด กระทำการได้ราบรื่นอย่างมาก!
หลิวจวิ้นพูดอยู่นาน เห็นมู่จิ่วไม่มีการเคลื่อนไหวอีก มองดูท้องฟ้าไม่เช้าแล้ว หากอยู่ต่ออาจทำให้คนสงสัยได้ จึงลุกขึ้นขอลา
“รบกวนเจินจวินนานขนาดนี้ วันหลังหากมีเวลาเชิญไปดื่มชาที่บ้านข้าได้”
หลิวจวิ้นอยู่ในแวดวงราชการมานาน อารมณ์เหมือนกับประทัดที่ดับแล้ว ทว่าวิธีรับรองเหล่านี้กลับทำได้ชำนาญ
อู่เต๋อเจินจวินปฏิเสธพลางเดินไปส่งถึงหน้าประตูใหญ่ มองจนพวกเขาที่อยู่ห่างไกลหายไปแล้วจึงค่อยหมุนตัวกลับมา สายตาที่มองกำแพงอิ่งปี้[1]ช่างลุ่มลึก
“หลีเปิงล่ะ?”
สิงโตเขียวก้าวขึ้นมาพูด “รออยู่ในห้องขอรับ”
ฟากมู่จิ่วกับหลิวจวิ้นออกจากที่พำนักของอู่เต๋อ หันหลังกลับไปมองก็ไม่เห็นเงาแล้ว จึงหยุดเท้าลงพูด “ขอบคุณใต้เท้ามากที่พาข้ามา ข้ากลับไปจัดการก่อน ภายหลังหากมีความคืบหน้าใหม่ๆ ข้าจะไปรายงานใต้เท้าอีก”
ตั้งแต่ต้นจนจบหลิวจวิ้นไม่เห็นนางทำอะไร จากที่พำนักของอู่เต๋อก็ไม่เห็นนางสืบข่าวที่มีประโยชน์อะไรได้ จึงถามว่า “เจ้าทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่?”
มู่จิ่วหัวเราะก่อนตอบ “ภายหลังค่อยบอกใต้เท้า! ข้าไปก่อนนะเจ้าคะ!”
พูดจบก็เรียกอาฝูให้วิ่งกลับหอวิหคแดงไปด้วยกัน
หลิวจวิ้นด่าไปประโยคหนึ่ง “เจ้าเด็กไม่มีมารยาท” ก่อนจะเลี้ยวกลับไปยังบ้านของตนเอง
หนึ่งคนหนึ่งเสือเดินเข้าหอวิหคแดง มุ่งตรงไปลานจื่อหลิง ลู่ยารู้ว่านางกลับมาแล้วจึงรอรับอยู่ที่ระเบียงทางเดิน เห็นนางวิ่งจนหายใจติดขัด จึงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อให้นาง จากนั้นค่อยเอ่ย “ค่อยๆ พูด”
มู่จิ่วหยิบเส้นผมของอู่เต๋อเจินจวินออกมา “อาฝูสร้างผลงานใหญ่ไว้!” พูดจบจึงเล่าเรื่องการไปครั้งนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ และพูดกับราชาจิ้งจอกว่า “ท่านพูดได้ไม่ผิดแม้แต่น้อย อู่เต๋อเจินจวินมีเสน่ห์อย่างมาก ไม่เพียงแต่หน้าตาหล่อเหลา ยังได้รับการอบรมมาดียิ่ง เปรียบเทียบกับตนแล้วรู้สึกอับอายนัก!”
นางพูดอย่างจริงจัง ราชาจิ้งจอกกับซ่างกวนสุ่นกลับเพียงจ้องนาง
ขณะกำลังมึนงง ลู่ยาที่มีสีหน้าคล้ำเอียงเข้ามาใกล้ “ที่แท้จะหน้าตาดีขนาดไหนกันเชียว?”
นาง “…..”
ลู่ยาจ้องนางอย่างล้ำลึกแวบหนึ่ง จากนั้นยกเข่าข้างหนึ่งขึ้นบนตั่ง หยิบเส้นผมวางบนโต๊ะ ส่งพลังฤทธิ์เข้าไป ทั้งโต๊ะกลายเป็นกระจกบานหนึ่ง ภายในค่อยๆ สะท้อนภาพทิวทัศน์กับคนชัดเจนขึ้น
ภาพนั้นเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเหมือนกับโคมม้าวิ่ง แรกสุดแสดงให้เห็นภาพภูเขาเขียวชอุ่มสูงใหญ่ และที่พำนักเซียนที่ซ่อนอยู่ในป่าไผ่บนภูเขา ยอดเขามีเมฆปกคลุม แสงทองสาดส่อง เพียงเห็นก็รู้ว่าคือที่อยู่อาศัยของเซียนผู้สูงศักดิ์
และด้านหลังยังมีร่างสูงสวมเสื้อเขียวปรากฏอยู่ในภาพ ใบหน้าราวกับหยกสลัก มีความเจ้าสำราญโดยธรรมชาติ ทำให้ความสนใจตกไปอยู่บนร่างเขาอย่างรวดเร็ว
ราชาจิ้งจอกพูด “นี่คือชิงผิงซิงจวิน!”
ลู่ยาเหลือบมองมู่จิ่วคราหนึ่ง เห็นนางใช้มือทั้งสองเท้าคางมองอย่างสนอกสนใจ ก็ทนไม่ได้ ทำให้ภาพกระโดดข้ามไป
รูปร่างหน้าตาแบบนี้ทำให้นางรู้สึกละอายตัวเอง? เช่นนี้เรียกว่าหน้าตาดี? ตอนเขายังเยาว์วัยก็เอาชนะฝ่ายนั้นสิบคนได้แล้วรู้หรือไม่? …ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่แก่ ทำไมทำให้นางทอดถอนใจเสียแล้ว?
มาตรฐานของนางช่างต่ำนัก
ภาพยิ่งหมุนไปข้างหน้า พลันมีหญิงสาวนางหนึ่งโผล่ออกมาแล้ว
หญิงสาวเสื้อแดงหมอบอยู่ข้างทาง สีหน้าเหลืองซีด ลมหายใจรวยริน แต่ใบหน้าดูไปแล้วกลับงดงามอย่างมาก โดยเฉพาะดวงตาที่ปิดแน่นทั้งคู่ ทำให้คนอดคาดเดาไม่ได้ว่าภายหลังลืมตาขึ้นมาแล้ว พวกมันจะงดงามน่าตื่นตะลึงเพียงใด
เมื่อดูภาพต่อไป ในที่สุดก็ถึงยามที่หญิงสาวฟื้นขึ้น ชิงผิงกับความทรงจำอันเจ็บปวดเหล่านั้นมาถึงกลางทางแล้ว ภาพก็ถูกตัดลง กลายเป็นความว่างเปล่า…
“เกิดอะไรขึ้น?” มู่จิ่วถามอย่างตกใจระคนสงสัย
ลู่ยาขมวดคิ้ว “ความทรงจำของเขาถูกลบไป!”
มู่จิ่วงุนงง นางรู้ว่าความทรงจำที่ลู่ยาดึงมาจากเส้นผมล้วนเป็นความทรงจำที่ค่อนข้างส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเจ้าของเส้นผม เมื่อครู่ดูแล้วก็เป็นเช่นนั้น ทว่าทำไมความทรงจำของอู่เต๋อจึงถูกตัดลงถึงตรงนี้? ทำราวกับกลัวว่าคนอื่นจะรู้ว่าคนผู้นี้คือใคร…
“หากข้าเดาไม่ผิด คนที่ลบความทรงจำคงจะเป็นสามีของเฟยอี!” ราชาจิ้งจอกพูด
“เป็นไปได้” ลู่ยาถอยร่างไปนั่งอยู่ริมตั่ง เอ่ยพึมพำว่า “ฝ่ายตรงข้ามไม่ต้องการให้เขาจำได้ รู้ว่าเขาต้องกลับมาสวรรค์ เพื่อป้องกันเหตุร้ายภายหลัง ดังนั้นจึงลบความทรงจำช่วงนี้ของเขาไป และเพราะเหตุที่ว่า หลายพันปีมานี้สวรรค์จึงไม่มีเหตุการณ์ภายหลังของเรื่องนี้ออกมา”
มู่จิ่วจ้องภาพแสงสีขาวตรงกลางโต๊ะกลม นั่งลงไปเช่นกัน
“หากพวกเจ้าคาดเดาไม่ผิด แสดงว่าคนผู้นี้ชาติก่อนอาจทำเรื่องผิดต่อเขา ดังนั้นจึงอาศัยโอกาสนี้ลบความทรงจำ ยังมีอีก ทำไมเฟยอีต้องกลับไปกับสามีของนาง? ในเมื่อกลับไปแล้ว ทำไมถึงต้องกระโดดแท่นประหารเซียนในวันที่เดียวกันด้วย? ชิงผิงลงไปเกิดเป็นกษัตริย์ แล้วเฟยอีเล่า? นางมีชีวิตอยู่ต่อหรือไม่?”
ครั้นนางเอ่ยคำพูดเหล่านี้ออกมา ลู่ยากับราชาจิ้งจอกก็ชะงักไป ไม่ผิด สิ่งที่พวกเขาเห็นคือความทรงจำเซียนในชาติก่อน แต่ความทรงจำเกี่ยวกับอู่เต๋อที่โลกมนุษย์กลับไม่มี บางทีประเด็นสำคัญอาจปรากฏตอนเขาอยู่โลกบนมนุษย์หลายปีนั้น?
เกือบจะเวลาเดียวกัน พวกเขายืนขึ้นมา ส่งพลังทำให้ภาพเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง เป็นภาพขาวอยู่เนิ่นนาน นานจนทุกคนแทบไม่หวังแล้ว แต่ในที่สุดก็ปรากฏเรือนหลังหนึ่งขึ้นมา ในความหรูหรางดงาม หมอตำแยและสาวใช้ เหล่าคนทั้งแก่และสาวล้วนจ้องไปยังห้องทางตะวันออกที่ปิดม่านลงมาด้วยใจร้อนดุจดั่งไฟ
ไม่นานก็มีเด็กทารกถูกอุ้มออกมา เครื่องหน้างดงามหมดจด มีส่วนคล้ายคลึงอู่เต๋อเจินจวินราวหกเจ็ดส่วน
จากนั้นเด็กทารกก็เติบโตอย่างรวดเร็ว เรียนวิชาฝึกการต่อสู้ และค่อยๆ เติบโตขึ้น อาจารย์ตั้งชื่อให้เขาว่าเจ้าเค่อ
เจ้าเค่อโตถึงอายุสิบสามปี พลันถูกกลุ่มทหารฆ่าล้างตระกูล ทั้งบ้านราวสามร้อยชีวิตล้วนถูกคุมตัวไปตัดศีรษะที่ตลาด
เพชรฆาตเคยติดหนี้บุญคุณบิดาเจ้าเค่อไว้ ตอนสังหารเจ้าเค่อใบมีดแฉลบไป ฟันลงบนไหล่ของเขาดาบหนึ่ง จากนั้นซ่อนไว้ในกองศพ เพชรฆาตอาศัยตอนกลางคืนลอบพาเขาออกมาซ่อนอยู่ในหลุมหลายวัน จากนั้นฉวยโอกาสตอนกษัตริย์ผู้กำจัดขวากหนามออกจากเมืองไปตากอากาศ พาเจ้าเค่อออกไปจากเมือง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น