ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1117-1125

บทที่ 1117 สมาคมอิสระ

 

วางสายเอี๋ยนตงเหล่ยไปแล้ว ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็มีสายโทรเข้ามาอีก คราวนี้เป็นสายจากแอนดรูว์ เขาชวนให้ฉินสือโอวเข้าร่วมกลุ่มพันธมิตรเจ้าของกิจการฟาร์มปลาท้องถิ่นในนิวฟันด์แลนด์ พูดสโลแกนต้นกำเนิดสายโลหิตเดียวกัน ก้าวหน้าด้วยกันถอยหลังพร้อมกันอะไรทำนองนั้น ฟังดูไพเราะมากๆ


ทว่าฉินสือโอวไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกได้ง่ายๆ เขาปฏิเสธไปตรงๆ แน่นอนว่าเขายกข้ออ้างเรื่องที่สมาคมช่วยเหลือชาวจีนไม่อนุญาตให้เข้าร่วมสองสมาคมพร้อมกันขึ้นมาใช้อีกครั้ง


ในคืนวันนั้นได้หยุดพักเพียงแค่ชั่วคราว วันต่อมา ก็มีสายโทรศัพท์โทรเข้ามาเยอะยิ่งกว่าเดิม ทั้งหมดล้วนแต่เป็นสายจากกลุ่มพันธมิตร สมาคมต่างๆ ที่โทรมาชักชวนให้เข้าร่วมเป็นสมาชิก


ฉินสือโอวไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าแท้ที่จริงแล้วแคนาดามีสมาคมต่างๆ อยู่มากมายขนาดนี้ แล้วเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองเนื้อหอมมากขนาดนี้ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาไม่รู้ว่าทำไมในระหว่างนี้อยู่ๆ พวกสมาคมกลุ่มพันธมิตรพวกนี้ถึงได้ให้ความสนใจเขา?


ขณะที่กำลังทานอาหารเขาจึงยกข้อสงสัยในเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เออร์บักเลยเอาหนังสือพิมพ์ที่อ่านอยู่เป็นประจำมาให้เขา แล้วชี้ให้เขาดูที่หน้าแรก


ที่แท้ ตอนนี้หนังสือพิมพ์ระดับประเทศของแคนาดาหลายฉบับก็เริ่มรายงานข่าวเกี่ยวกับคดีนี้ เพราะใกล้จะเปิดศาลแล้ว จึงทำให้มีคนขุดตัวตนของกองทัพเรนเจอร์ของฉินสือโอวกับภูมิหลังของวัยรุ่นทั้งสี่คนออกมา จนดึงดูดความสนใจของชาวแคนาดาได้เป็นจำนวนมาก


สาเหตุที่ผู้คนให้ความสนใจกับคดีนี้ ก็เพราะไม่อยากเห็นชนชั้นอภิสิทธิ์ชนหนีรอดบทลงโทษทางกฎหมาย ซึ่งข้อนี้ตรงกันกับจุดมุ่งหมายของฉินสือโอว นั่นก็คือการตัดสินลงโทษอย่างยุติธรรม จัดการให้พวกที่ทำผิดกฎหมายได้รับกรรมที่ตนก่อไว้


ฉินสือโอวรำคาญจนทนไม่ไหว จึงส่งโทรศัพท์ให้พาวลิสรับสายแทนเสียเลย ถ้าไม่ใช่สายโทรศัพท์จากคนที่คุ้นเคยกัน ก็จะไม่ยอมรับสายทั้งสิ้น


เห็นเขาอารมณ์ไม่ดี พวกเด็กๆ จึงพากันทำตัวดีขึ้น พยายามคิดหาวิธีที่ทำให้เขาอารมณ์ดีกันอย่างสุดความสามารถ


เชอร์ลี่ย์ตั้งใจฝึกไวโอลินมากๆ ถึงแม้ว่าเสียงสีไวโอลินของเธอจะไม่ต่างกับการชักใบเรื่อยไปมาก็ตาม ส่วนมิเชลก็ตั้งใจฝึกซ้อมบาสเกตบอลยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังลองฝึกลูกสแลมดังก์ดูอีกด้วย ผลลัพธ์ไม่เลวเลย ความสามารถในการสปริงตัวและการลอยตัวในอากาศของเขาเป็นที่น่าตกใจมาก และเขายังสามารถดังก์ลูกลงในแป้นบาสเกตบอลระดับเยาวชนได้สำเร็จอีกด้วย


กอร์ดอนเห็นว่าตัวเองไม่มีความสามารถอะไรที่จะหยิบออกมาใช้ได้ จึงวิ่งไปกวนวินนี่ให้ช่วยสอนทำอาหาร เพื่อทำมื้อเที่ยงให้กับฉินสือโอวด้วยความรัก


ไวส์ลองมองซ้ายมองขวา เขาหาเรื่องที่ตัวเองจะสามารถทำได้ไม่เจอ จึงทำท่าหม่าปู้ชี่จมตันเถียน แล้วตะโกนเสียงดังว่า “พากันหลีกไปให้หมด ฉันจะใช้ดัชนีเพชร จิ้มคนชั่วพวกนี้ให้ตาย!”


กอร์ดอนยินดีที่จะเรียนทำอาหาร วินนี่ก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจมาก เมื่อเร็วๆ นี้เธอได้นำประสบการณ์ของเธอมาสอนให้กับเชอร์ลี่ย์ ทำความเข้าใจกับความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ของเด็กๆ พวกนี้ จึงรู้ว่าต้องดูแลพวกเขาด้วยความระมัดระวัง จะสอนเรื่องที่ยากเกินไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นถ้าทำให้เสียความมั่นใจ พวกเขาก็จะไม่ยอมเรียนอีก


ด้วยเหตุนี้ วินนี่เลยสอนกอร์ดอนว่าทำอย่างไรถึงจะทำสลัดผลไม้ได้สำเร็จ


ไวส์ถามกอร์ดอนด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “นี่มันมีประโยชน์ด้วยเหรอ? ท่านอาจารย์ของฉันน่ะมีทักษะการทำอาหารที่ล้ำเลิศเหนือชั้นอยู่แล้ว ของที่นายทำ กระทั่งหู่จือกับเป้าจือก็น่าจะไม่กินนะ?”


กอร์ดอนคลุกเคล้าน้ำสลัดกับน้ำเชื่อมเมเปิลเข้าด้วยกัน เขากลอกตาแล้วพูดด้วยความรำคาญว่า “นายจะหาเรื่องกันใช่ไหม? หมาไม่กินผลไม้อยู่แล้ว พวกมันกินเนื้อกินกระดูกต่างหากล่ะ”


ไวส์ส่ายหัว พูดอย่างยืนกรานว่า “ฉันว่านี่ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก”


กอร์ดอนมองเขาอย่างเหยียดหยาม เขาเช็ดมือให้สะอาดแล้วกดไหล่ของไวส์เอาไว้พร้อมกับพูดว่า “ไอ้หนู โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ นายต้องออกไปลองมองดูเยอะๆ ความรู้มีมากมายขนาดนั้น นายก็ควรจะศึกษาไว้ให้มากๆ มีสุภาษิตหนึ่งที่ว่าไว้ดีมาก ถ้าจะเข้าไปในใจชาย ก็ต้องผ่านเข้าไปทางหลอดอาหารของเขา หากจะเข้าสู่ใจของผู้หญิงแค่กๆ แค่กๆ…”


พูดได้เพียงครึ่งประโยค กอร์ดอนก็ไอออกมาไม่หยุด เขาแอบมองดูวินนี่กับเชอร์ลี่ย์ที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยความรีบร้อน พอเห็นว่าพวกเธอไม่ได้มีท่าทีโต้ตอบถึงวางใจลงได้


ทว่าไวส์ยังอยากเรียนต่อ จึงถามเขาว่า “จะเข้าสู่ใจผู้หญิงอะไรนะ? นายพูดให้มันจบๆ สิ”


กอร์ดอนถลึงตาใส่ไวส์ บ่นพึมๆ พำๆ ประมาณว่าเป็นเพื่อนกับคนโง่นี่อันตรายจริงๆ แล้วก็กลับมาคลุกสลัดต่อดีๆ


พวกเด็กๆ กำลังยุ่งกันอยู่ ฉินสือโอวกำลังฟังเสียงลากเลื่อยดังแสบแก้วหู พร้อมกับมองดูการแสดงโชว์ดังก์ลูกของมิเชล แต่ใจของเขากลับบินไปที่ไหนแล้วก็ไม่รู้


สายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาบ่อยๆ ในคราวนี้กลับสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาหนึ่งอย่าง นั่นก็คือทำไมเขาไม่สร้างสมาคมหรือกลุ่มพันธมิตรอะไรพวกนั้นขึ้นมาเองเลยล่ะ?


สมาคมความร่วมมือของแคนาดามีธุระปะปังเยอะแยะเกินไป สมาชิกมักจะเปิดประชุมกับร่วมรับประทานอาหารอะไรพวกนั้นอยู่เป็นประจำ มีเรื่องไม่มีเรื่องก็จะจัดปาร์ตี้กันอีกแล้ว ในความคิดของฉินสือโอวเรื่องพวกนี้ย่อมเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าชาวแคนาดากลับรักที่จะทำมันอย่างไม่รู้จักเหนื่อยหน่าย


ถ้าเขาจัดตั้งสมาคมเอง แบบนั้นเขาก็จะได้เป็นประธานสมาคม ข้อกำหนดเขาก็เป็นคนตั้งขึ้นเอง เมื่อเป็นแบบนี้เขาก็จะมีเหตุผลให้เลี่ยงคำเชิญชวนของสมาคมอื่นๆ แล้วและยังได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่มากด้วยความสามารถบางส่วนอีกด้วย นี่มันดีมากๆ เลยไม่ใช่เหรอ?


ยิ่งคิดฉินสือโอวก็ยิ่งรู้สึกว่าแรงบันดาลใจในครั้งนี้มันสมเหตุสมผล กอร์ดอนนำสลัดที่คลุกดีแล้วมาส่งให้เขาด้วยความภูมิอกภูมิใจ ฉินสือโอวรับมาเฉยๆ แล้วทานเข้าไปหนึ่งคำ แต่ปรากฏว่าอยู่ๆ เขาก็นึกเรื่องดีๆ ขึ้นมาได้ แค่แป๊บเดียวเท่านั้นเขาก็ ‘กึก’ กัดโดนลิ้นตัวเองแล้ว!


ลิ้นเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของอวัยวะที่มีเส้นประสาทมากที่สุดอย่างหนึ่งในร่างกายของมนุษย์ เมื่อโดนฟันกัดจึงรู้สึกเจ็บมาก โดยเฉพาะเมื่อสักครู่ที่ฉินสือโอวเผลอเพิ่มแรงกัดในระหว่างที่กำลังหน้าบานด้วยความปีติยินดี ในคราวนี้เขาถึงได้เจ็บปวดจนแสดงสีหน้าดุร้ายออกมา


ไวส์กินสลัดอยู่ข้างๆ วินนี่กับกอร์ดอนทำสลัดมาหนึ่งจานใหญ่ๆ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าสีหน้าของฉินสือโอวเปลี่ยนไปเป็นเจ็บปวดทรมานขนาดนี้ เขาจึงตกอกตกใจขึ้นมาทันที จนร้องออกมาว่า “อาจารย์ อาจารย์ อาจารย์ เป็นอะไรเหรอครับ?”


ฉินสือโอวลากถังขยะเข้ามาหาแล้วก้มหัวอ้าปากถุยน้ำลายออกมา เขาเผลอกัดปากจนเป็นแผลรุนแรงแล้วจริงๆ น้ำลายที่เขาถุยออกมากองนี้มีแต่เลือดเต็มไปหมด เป็นภาพที่เห็นแล้วถึงกับต้องช็อก


พอได้เห็นภาพนี้ ไวส์ก็ลุกขึ้นตะโกน เขาตบโต๊ะแล้วตวาดเสียงดังว่า “กินๆๆ ไม่ต้องกินมันแล้ว! ในผักมีพิษอยู่ อาจัน (อาจารย์) ของผมได้รับพิษร้ายเข้าแล้ว! เร็วๆๆ รีบแก้พิษให้เขา!”


ฉินสือโอว วินนี่ ทุกๆ คน “…”


ทางด้านไวส์กำลังร้องตะโกนอย่างคึกคะนอง หลังจากร้องตะโกนเสร็จเขาก็จับกอร์ดอนไว้ แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “เจ้าเด็กเนรคุณ! อาจันดีกับนายขนาดนั้น ทำไมนายต้องวางยาเพื่อทำร้ายเขาด้วย? พูดสิ คนญี่ปุ่นมันให้อะไรกับนาย?! ไปให้พ้นหน้าฉันซะ ฉันเฉินเจินจะกวาดล้างสิ่งโสมมออกจากสำนัก!”


หู่เป้าฉงหลัวกวางอูฐกับแมวป่า “…”


วินนี่ช่วยฉินสือโอวทำแผล หลังจากที่เขาใช้น้ำบ้วนปากทำความสะอาดแผลเสร็จแล้ว ฉินสือโอวถึงเพิ่งจะมีโอกาสพูด “เอาล่ะ ชูเอ๋อร์ อาจันไม่เปงไรเลี้ยว อั๊ยหยาบัดซบ ทำไมลิ้นของอาจันถึงได้ใหญ่ขึ้นแล้วล่ะ?”


ใบหน้าของไวส์เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขาจับฉินสือโอวไว้แล้วพูดว่า “อาจัน ท่านจะอยู่ในใจของเฉินเจินไปตลอดกาล!”


ฉินสือโอวอดทนต่อไปอีกไม่ไหว จึงเขกหัวเขาไปหนึ่งที “อยู่นิ่งๆ ทำตัวเรียบร้อยๆ ไม่ได้หรือไง เซินเจินกับบ้านนายน่ะสิ!”


รอจนลิ้นหายบวม ฉินสือโอวก็บอกความคิดของเขาให้พวกบัตเลอร์ บิลลี่ เหมาเหว่ยหลง เบลค แล้วก็แบรนดอนฟัง เขาสนิทกับคนเหล่านี้ที่สุด หากจะจัดตั้งสมาคมอะไรสักอย่าง พวกเขาต้องได้เป็นสมาชิกกลุ่มแรกอยู่แล้ว


พวกเขาหลายคนก็รู้สึกสนใจข้อเสนอของฉินสือโอวอยู่เหมือนกัน เพราะพวกเขาได้พิสูจน์แล้วว่าฉินสือโอวมีความสามารถ โดยมีงานประชุมประจำปีของบริษัทอเมริกันเอ็กเพรสเมื่อปีที่แล้วเป็นหลักฐาน ซึ่งทำให้พวกเขาได้ประโยชน์ไปไม่น้อยเลยเช่นกัน


และบิลลี่ยังได้แนะนำเขาว่า “ฉิน นายอย่าเพิ่งรีบเชิญพวกเราก่อนสิ เชิญคนสำคัญที่อยู่ข้างๆ ตัวนายให้เรียบร้อยก่อน”


ฉินสือโอวรู้สึกงงงวย “ใคร? แฮมเล็ต?”


“ไวส์ไง! ว่าที่ราชาเหล็กกล้าในอนาคต! นายผูกเขาไว้กับรถศึกของนายให้ได้ก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน!” บิลลี่แทบจะตะโกนประโยคนี้ออกมาด้วยเสียงคำราม


พอได้ฟังที่เขาพูด ฉินสือโอวก็ถึงกับตบหน้าผากตัวเอง จริงด้วย ศาลาใกล้น้ำเห็นพระจันทร์ก่อนใคร[1] เขาลืมลูกศิษย์ตัวน้อยของเขาอย่างไวส์ไปได้อย่างไรกัน? เพียงแต่ว่าหากจะฝึกลูกศิษย์คนนี้ จะยังมีบางอย่างที่เขาทำไม่ได้อยู่ เพราะเขาไม่อยากเป็นงักปุ๊กคุ้ง[2]


กำหนดแผนการเบื้องต้นไว้อย่างแน่นอนแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการกำหนดชื่อของสมาคม ประกายความคิดของฉินสือโอวก็สว่างวาบขึ้นมาทันที สมาคมอิสระ!


……………………………………………….


[1]ศาลาใกล้น้ำเห็นพระจันทร์ก่อน หมายถึง ผู้ที่อยู่ใกล้กว่าย่อมได้เปรียบกว่า


[2]งักปุ๊กคุ้ง หมายถึง บัณฑิตจอมปลอม

 

 

 


บทที่ 1118 ฟาร์มปลาในฤดูใบไม้ผลิ

 

ที่แคนาดาถูกมองว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับชีวิตในวัยเกษียณ ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล ทุกอย่างที่นี่เป็นไปอย่างเชื่องช้า จังหวะของชีวิตที่เอื่อยเฉื่อย การตั้งคดีเพื่อตรวจสอบของตุลาการก็ดำเนินไปอย่างช้าๆ ฉินสือโอวส่งวัยรุ่นทั้งสี่คนขึ้นศาลในนามของกองกำลังพิทักษ์ชาติเรนเจอร์ ขั้นตอนการตรวจสอบและเก็บรวบรวมหลักฐานในระยะแรกที่มีความยุ่งยากซับซ้อนมาก ขณะนี้จึงยังไม่สามารถเปิดศาลได้


ดังนั้น ฉินสือโอวจึงมีเวลาวางแผนเรื่องสมาคมอิสระได้พอดี


บิลลี่และคนอื่นๆ คิดว่าชื่อนี้มันน่าปวดหัวไปหน่อย แต่ฉินสือโอวคิดว่ามันก็ไม่แย่ เพราะจุดประสงค์ที่เขาก่อตั้งสมาคมนี้ ก็เพื่อให้ตัวเองมีอิสระมากขึ้น และหวังว่าจะสามารถทำให้เหล่าสมาชิกดำเนินกิจกรรมได้อย่างอิสรเสรีเช่นกัน


วันเวลาผันผ่านมาสู่เดือนพฤษภาคม เงาภาพของฤดูหนาวจากไปจนหมดสิ้นแล้ว ท้องฟ้าสีครามเข้ม เมฆขาวลอยละล่อง ไม่เหมือนกับช่วงฤดูหนาว ที่มักจะมีเมฆครึ้มปกคลุมอย่างหนาแน่น แล้วหลังจากนั้นก็จะมีหิมะตกหนัก


ตื่นมาตอนเช้า ฉินสือโอวเปิดหน้าต่างออกไปดูข้างนอก ในระหว่างนั้น อยู่ๆ เขาก็สังเกตได้ถึงสนามหญ้าหน้าบ้านหลังบ้านที่กลายมาเป็นพื้นที่สีเขียวแล้ว ดอกไม้ป่าดอกเล็กๆ บางส่วนที่บานอยู่ในสนามหญ้ากำลังเอนไหวท่ามกลางสายลมในตอนเช้าตรู่ ดูมีชีวิตชีวามาก


ในสนามหญ้าขนาดมหึมาของฟาร์มปลา หลายๆ ครั้งมักจะมีลูกนกลูกเป็ดลูกห่านผ่านเข้ามาปรากฏตัวอยู่เป็นประจำ มีช่วงหนึ่งที่ไม่ได้จัดงานงานปาร์ตี้ใหญ่ๆ ไก่เป็ดห่าน หมูป่ากับกวางป่าในฟาร์มปลาจึงใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ จนสามารถแพร่พันธุ์ได้สำเร็จ


ฉินสือโอวเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าออกกำลังกายแล้วออกไปข้างนอก อุณหภูมิในตอนเช้ายังต่ำอยู่นิดหน่อย บนใบหญ้าประดับไปด้วยหยาดน้ำค้างพร่างพราว พระอาทิตย์ยามเช้าตรู่เพิ่งจะโผล่พ้นขอบฟ้า แสงอาทิตย์สาดส่องลงมา ตกกระทบลงบนหยาดน้ำค้างปรากฏให้เห็นเป็นรังสีสะท้อนรอบด้าน เมื่อเหม่อมองออกไปยังท้องทุ่งหญ้า ก็จะพบกับแสงสว่างเรืองรองที่เปล่งประกายระยิบระยับ


ออกไปวิ่งได้แค่ไม่กี่ก้าว ฉินสือโอวก็เริ่มรู้สึกร้อนแล้ว ในตอนนี้เขาเพิ่งจะนึกได้ว่า ถึงเวลาที่สามารถสวมเสื้อออกกำลังกายแขนสั้นได้แล้ว


หู่จือกับเป้าจือตามก้นฉินสือโอวเหมือนหางอันเล็กๆ อยู่ข้างหลัง สุนัขแลบราดอร์รักการเล่นหยอกกันเกินไป พวกมันเป็นสุนัขที่ชอบการเคลื่อนไหวร่างกาย ขอแค่ยังลืมตาอยู่ก็จะเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา แต่แน่นอนว่าต้องมีคนมาเล่นด้วยถึงจะนับว่าดี


สุนัขแลบราดอร์ทั้งสองตัวเดี๋ยวก็วิ่งเร็วๆ นำหน้าฉินสือโอว อีกเดี๋ยวก็เล่นกันจนรั้งท้าย จนพวกมันเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นว่าตัวเองถูกทิ้งไว้ไกลแล้ว ถึงได้รีบวิ่งให้เร็วขึ้น เป็นแบบนี้วนไปเรื่อยๆ


ช่วงฤดูใบไม้ผลิเม็ดทรายริมชายหาดเล็กละเอียดเป็นอย่างมาก หู่จือกับเป้าจือเดี๋ยวกลิ้งเดี๋ยวลุกอยู่บนนั้น ขนสีเหลืองอ่อนของพวกมันมีเม็ดทรายติดอยู่ไม่น้อย ฉินสือโอวปัดทรายที่ติดอยู่บนตัวให้พวกมัน แต่ปัดไปปัดมาขนดันร่วงลงมาด้วยซะอย่างนั้น


มองเห็นขนสั้นๆ พวกนี้ลอยไปตามลม หู่จือกับเป้าจือก็รีบนั่งลงอย่างว่าง่ายๆ ทันที อยู่ๆ อารมณ์ของพวกมันก็ลดฮวบลงมา พวกมันก้มหน้าลงแล้วใช้เท้าเขี่ยทรายไปมาเหมือนกับเด็กๆ


ฉินสือโอวจูบยอดศีรษะของพวกมันทั้งสองตัว พอเขาหยุดอยู่อย่างนี้ นิมิตส์กับบุชที่บินตามมาอยู่บนอากาศก็ร่อนลงมาข้างล่าง


นกอินทรีหัวขาวนับวันยิ่งโตขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดมันก็สลัดขนสีเทาน่าเกลียดออกไปได้แล้ว ที่หัวของมันมีขนสีขาวขึ้นมาด้านบน ขนบนหางและปีกก็เปลี่ยนเป็นสีดำเงางาม ขณะที่บุชกางปีกออก ก็ราวกับว่าแสงอาทิตย์ไม่สามารถหยุดอยู่บนขนของมันและสะท้อนกลับไป จึงทำให้เกิดความรู้สึกร่มเย็นเหมือนกับสายน้ำที่ไหลริน


มันโตแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถเกาะอยู่บนไหล่ของฉินสือโอวได้อีก ไหล่ของเขาไม่กว้างพอที่จะให้มันเกาะ มันจึงร่อนลงมาบนไหล่ไม่ได้


เขาสางขนให้บุชกับนิมิตส์อยู่สักครู่ หลังจากนั้นฉินสือโอวก็วิ่งไปบนชายหาดต่อ บรรดาชาวประมงที่ตื่นเช้าแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม บูลพากลุ่มหนึ่งออกทะเลไปตรวจสภาพปลา ส่วนแลนซ์ก็พาอีกกลุ่มไปบำรุงรักษาเรือปริ้นเซสเมล่อน


พอมองเห็นฉินสือโอว บรรดาชาวประมงก็ทยอยกันมาทักทายเขา “อรุณสวัสดิ์ครับ บอส ท่าวิ่งของคุณเท่มากๆ”


“บูล คนขี้ประจบแบบแกนี่ไม่ได้ฉลาดเลยนะ มีตอนไหนบ้างที่บอสดูไม่มีสง่าราศี? ใช่ไหมครับ บอส?”


“บีบีซวง นายมันขี้ประจบได้โล่จริงๆ ฉันยอมนายแล้ว”


ฉินสือโอวหัวเราะล้อกันเล่นกับพวกเขา ขณะที่กำลังยืนมองพวกเขาเตรียมตัวทำงานอยู่บนท่าเรือ คลื่นทะเลสาดกระทบท่าเรือ ละอองน้ำประปรายเป็นปอยๆ กับหยดน้ำเม็ดเล็กๆ ลอยมากระทบกับใบหน้าของเขาอย่างต่อเนื่อง ให้ความรู้สึกเย็นสบายและสดชื่นมากๆ


น้ำทะเลในฟาร์มปลาใสขึ้นยิ่งกว่าเดิม ไม่ได้ดูมัวหมองเหมือนในช่วงฤดูหนาว ฉินสือโอวรู้สึกว่าเมื่อมองดูทะเลในช่วงฤดูหนาว น้ำทะเลที่เป็นสีเทาอ่อน ดูหม่นหมองเป็นอย่างมาก แต่ในตอนนี้เมื่อมองดูทะเลอีกครั้ง น้ำทะเลในตอนนี้กลับเป็นสีฟ้าอ่อน แสงอาทิตย์สาดส่อง ทำให้น้ำในทะเลโปร่งแสงเป็นประกายเป็นประกายระยิบระยับ


วิ่งได้หนึ่งรอบ เหงื่อเริ่มออกทั่วทั้งตัวแล้ว ฉินสือโอวจึงวิ่งกลับไปที่วิลล่าเพื่อเตรียมอาหารเช้า ในตอนนี้มิเชลเดินออกมาข้างนอกแล้ว


ทีแรกมิเชลจะออกมาวิ่งพร้อมกับฉินสือโอว ทว่าทั้งคู่มีความถี่ของการก้าวเท้าที่ไม่เท่ากัน อีกทั้งการตื่นเช้าเกินไปก็ไม่ค่อยดีกับมิเชล เขาต้องได้รับการพักผ่อนที่เต็มอิ่ม ดังนั้นฉินสือโอวจึงให้เขาตื่นสายกว่าตัวเองครึ่งชั่วโมง


หลังจากเข้ามาข้างใน ฉินสือโอวเห็นวินนี่กำลังอบขนมปังอยู่ จึงถามเธอด้วยรอยยิ้มว่า “เฮ้ ที่รัก ทำไมคุณไม่ไปนอนต่ออีกสักหน่อยล่ะครับ?”


วินนี่หันหลังพิงเตาอบ เธอแย้มรอยยิ้มพร้อมกับพูดว่า “วิวฤดูใบไม้ผลิงดงามขนาดนี้ ในฝันคงไม่ได้สัมผัสกับสิ่งนี้แน่ๆ ค่ะ”


ฉินสือโอวหยิบไข่เค็มออกมา แต่ปรากฏว่าข้างในตู้เย็นเหลือไข่อยู่แค่ไม่กี่ใบ หลังจากที่เขาหยิบไข่ออกมาจนหมดเขาก็พบว่าด้านในยังมีกระปุกอยู่อีกสองใบ ข้างในกระปุกคือเห็ดหอมดองพริกกับเห็ดพอร์ชินีผัดน้ำมันที่เขาทำไว้ตั้งแต่ตอนนู้น เมื่อลองเปิดดูก็เห็นว่ายังมีส่วนที่เหลืออยู่อีกไม่น้อย


เอามือตบๆ หัวตัวเอง ฉินสือโอวพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ตอนนี้ผมมึนแล้วจริงๆ ผักพวกนี้ถูกดองมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย? ทำไมถึงลืมกินเสียได้”


วินนี่รับมาลองดู ขณะที่กำลังดูเธอก็ถามเขาว่า “ยังกินได้อยู่ไหมคะ?”


ไม่ต้องรอให้ฉินสือโอวตอบ เธอเปิดขวดแล้วลองดมดู หลังจากนั้นก็ยิ้มด้วยความดีใจและพูดว่า “กลิ่นหอมมันเข้มขึ้นหรือเปล่าคะเนี่ย? ดูเหมือนว่าจะยังกินได้นะคะ”


เครื่องเคียงของมื้อเช้าก็คือเห็ดหอมดองพริกกับเห็ดพอร์ชินีผัดน้ำมัน ถูกดองไว้ตลอดทั้งช่วงฤดูหนาว นับว่ารสชาติซึมเข้าไปได้เต็มที่แล้ว ตอนที่ดองฉินสือโอวใส่เกลือไปแค่นิดเดียว ดังนั้นจึงทำให้รสชาติไม่ได้เค็มมาก ทุกๆ คนทานเข้าไปคำโต แม้กระทั่งเออร์บักยังชมไม่หยุดปาก


พอเห็นว่าทุกคนชอบทานของสิ่งนี้ ฉินสือโอวจึงตบโต๊ะ แล้วพูดว่า “เอาอย่างนี้ สุดสัปดาห์พวกเราไปหาเห็ดป่าที่เกาะกลางทะเลสาบกับบนภูเขากันไหม? บางทีพวกเราอาจจะเจอผักดีๆ ก็ได้ เอามาหมักสักหน่อยต้องอร่อยมากแน่ๆ”


มิเชลจึงพูดด้วยความผิดหวังว่า “แต่ผมยังต้องซ้อม”


วินนี่ช่วยเขาจัดปกเสื้อพร้อมกับแย้มรอยยิ้มพูดกับเขาว่า “ไม่เป็นไร การทำงานกับการเรียนก็เพื่อทำให้ได้ใช้ชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องทำให้มันกลายเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ดังนั้น…”


“ถ้าอย่างนั้นหนูไม่ซ้อมไวโอลินแล้วออกไปเล่นเลยก็ได้ใช่ไหมคะ?” เชอร์ลี่ย์พูดขัดวินนี่ด้วยความคาดหวัง


วินนี่เผยรอยยิ้มดั่งเทพธิดาที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเธอออกมา “ไม่จ้ะ หนูต้องตื่นแต่เช้ามาซ้อมไวโอลินก่อนล่วงหน้า หรือไม่อย่างนั้นหลังทานมื้อค่ำเสร็จจะไม่ได้พัก ต้องซ้อมไวโอลินต่อ”


เชอร์ลี่ย์ตกตะลึงจนตาค้าง “เมื่อกี้พี่ไม่ได้พูดแบบนี้นี่คะ”


“นั่นเป็นการปลอบใจมิเชลน่ะ” วินนี่หัวเราะคิกคักพร้อมกับหยิกแก้มบนใบหน้าน่ารักๆ ของเชอร์ลี่ย์หนึ่งที


ฉินสือโอวมองดูวินนี่ที่กำลังหยอกล้อกับเด็กๆ ทั้งสองคน เขามองอยู่สักพัก ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าหู่จือกับเป้าจือไม่อยู่ที่นี่


ปกติแล้วหลังจากทานข้าวเสร็จ หู่จือกับเป้าจือจะหยอกกันไปมาอยู่ในห้องรับแขก วุ่นวายจนฉงต้าทนไม่ไหวต้องหลบออกไป ทว่าตอนนี้ ในบ้านกลับเงียบสงบ ฉงต้ากินอิ่มจนพุงกาง ตอนนี้กำลังนั่งตบพุงอยู่บนพรมอย่างมีความสุข


“หู่จือกับเป้าจือล่ะ?”


วินนี่ลองเมียงมองแล้วถามขึ้นมา “เล่นอยู่ข้างนอกหรือเปล่าคะ? เมื่อกี้ตอนกินข้าวยังอยู่ที่นี่อยู่เลย”


ฉินสือโอวเดินออกไปดู สุนัขแลบราดอร์กำลังสั่นสะบัดตัวอยู่ ขนเส้นละเอียดบางส่วนฟุ้งกระจายออกมาทางด้านข้าง ทว่าไม่ว่ามันจะสะบัดตัวอย่างไร ก็ยังมีขนร่วงลงมาอยู่เหมือนเดิม เมื่อพบว่าเป็นเช่นนี้ พวกมันจึงหันไปมองฉินสือโอวด้วยจิตใจที่แห้งเหี่ยว แล้วร้องออกมาด้วยความโศกเศร้า


ทันใดนั้น ฉินสือโอวก็เข้าใจได้ในทันที เพราะสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวมีขนร่วงลงมา พวกมันจึงพากันออกมาเล่นข้างนอกด้วยความไม่สบายใจ

 

 

 


บทที่ 1119 วันพิพากษากำลังจะมาถึงแล้ว

 

ฉินสือโอวไปหยิบหวีมา เขาเรียกหู่จือกับเป้าจือให้มาอยู่ข้างๆ แล้วหวีขนเส้นละเอียดให้กับสุนัขแลบราดอร์อย่างพิถีพิถัน จากนั้นจึงปัดกวาดขนสุนัขที่ร่วงลงมาให้สะอาด


หู่จือกับเป้าจือคลอเคลียอยู่ข้างๆ ตัวเขาเหมือนกับเด็กๆ ฉินสือโอวหวีขนไปพร้อมๆ กับเกาให้พวกมันไปด้วย สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวมีความสุขมากจริงๆ พวกมันแสยะปากพร้อมกับเอาหัวดันเข้าไปในอ้อมอกของเขาไม่หยุด


ฉงต้าวิ่งออกมาพร้อมกับเนื้อตัวอวบอ้วนที่สั่นสะบัดไปทั่วทั้งตัว มันเห็นว่าหู่จือกับเป้าจือดูสดชื่นแล้วก็สบาย จึงเข้ามาที่ด้านหน้าของฉินสือโอวแล้วร้องอ่าอู้วๆ ออกมาสักพัก ทั้งยังสะบัดเนื้อตัวที่มีแต่ไขมันเพื่อบอกเป็นนัยว่ามันก็ต้องการการดูแลที่อ่อนโยนเช่นกัน


ฉินสือโอวตะโกนเรียกกอร์ดอนให้ออกมาหา แล้วบอกให้เขาลากฉงต้าไปลดความอ้วน


พอฉงต้าเห็นว่ากอร์ดอนกำลังจะพาตัวเองเดินไปที่ริมชายหาด มันก็รู้ว่าสถานการณ์ท่าจะไม่ดีแล้ว จึงวิ่งหนีไปพร้อมกับร้องอ๋าวๆ ออกมา


กอร์ดอนจะยื่นมือออกไปกอดมันไว้ แต่กลับโดนฉงต้าฟาดเข้าไปหนึ่งป้าบจนล้มลงไปกับพื้น ทำให้เขารู้สึกโมโหสุดๆ “แกตายแน่! ฉงต้า แกตายแน่! ฉันจะเอาแกไปทิ้งไว้ที่มหาสมุทรแอตแลนติกใต้!”


ไวส์ทานข้าวเสร็จแล้วก็ไปทำท่ายืนม้า บอกว่าจะเปลี่ยนแปลงพลังงานในอาหารให้กลายเป็นลมปราณ เขาเพิ่งจะเริ่มย่อตัวลง แต่ต่อจากนั้นก็เห็นฉงต้าวิ่งถลันเข้ามา ดังนั้นเขาจึงสูดหายใจลึกๆ หนึ่งครั้ง แล้วแสดงท่าทางแบบหวงเฟยหงเวอร์ชันหลี่เหลียนเจี๋ย ตวาดเสียงดังว่า “ถ้ายังวิ่งฉันจะตีแกให้ตาย!”


ฉงต้าถูกโจมตีทั้งจากด้านหน้าและหลัง จึงทำได้แค่หยุดอยู่กับที่ ในตอนนี้นีลเซ็นกับเบิร์ดกำลังผ่านมาพอดี พวกเขาจึงช่วยกอร์ดอนทั้งดึงทั้งลากฉงต้าไปส่งขึ้นเรือเด็ค แล้วขับพามันไปที่ทะเล เพื่อให้มันว่ายน้ำลดความอ้วน


ฉงต้าหมอบอยู่บนเรือเด็ค ร้องตะโกนไปทางวิลล่าอย่างไม่หยุดหย่อน ด้วยความรู้สึกเศร้าโศกอ้างว้าง หนูง่วงนอนมากๆ ไม่อยากไปอาบน้ำแล้วจริงๆ นะ!


สางขนให้หู่จือกับเป้าจือจนสะอาดเรียบร้อยดีแล้ว ฉินสือโอวตบก้นของเด็กๆ พวกนี้ พวกมันพากันกระโดดขึ้นมาอย่างมีความสุข แล้วถูอกฉินสือโอวอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็วิ่งเข้าไปในวิลล่า ไปสร้างความวุ่นวายให้กับวินนี่


ตอนกลางคืน บูลกับแอนนาพาลูกชายตัวอ้วนของพวกเขามาเล่นที่ฟาร์มปลา


เมื่อมองเห็นทั้งสอง วินนี่ก็พูดด้วยความรู้สึกประหลาดใจว่า “แขกที่นานๆ จะมาครั้ง นี่เป็นครั้งแรกเลยใช่ไหมที่พวกเธอเป็นฝ่ายพาลูกมาเล่นที่บ้านของพวกเราเอง? วันนี้ลมอะไรพัดพวกเธอมาล่ะเนี่ย?”


แอนนาเป็นผู้หญิงที่หัวอ่อนและเก็บตัวมาก เมื่อถูกวินนี่หยอกเล่นแบบนี้ เธอจึงค่อนข้างรู้สึกผิด “ฉันออกมาไม่ได้น่ะ ลูกยังเล็กมาก ต่อไปรอให้เขาโตกว่านี้อีกหน่อย แล้วฉันจะพาเขามาเล่นที่นี่กับคุณทุกวันเลยดีไหมคะ?”


บูลเอาลูกชายตัวอวบอ้วนของเขามาวางไว้บนโซฟา ฉินสือโอวเข้าไปลองแกล้งหยอกเล่นดู พอเขายื่นมือออกไป เด็กตัวอ้วนก็ใช้ความรวดเร็วที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันกอดแขนของเขาเอาไว้ แล้วแหงนหน้าขึ้นไปจะกินมือเขา


ฉินสือโอวพูดอย่างทอดถอนใจว่า “บูล ลูกชายของนายกินเก่งกว่าฉงต้าอีกเหรอ? นายต้องควบคุมปริมาณอาหารของเขาให้ดีๆ นะ ถ้าไม่อย่างนั้นนายลองดูฉงต้าเลย ไขมันก้อนหนึ่งชัดๆ!”


บูลหัวเราะอย่างคลุมเครือ หลังจากนั้นเขาก็เอาลูกชายไปวางไว้ข้างๆ กันกับเสี่ยวเถียนกวาทันที พอเห็นแบบนี้ฉินสือโอวก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อย่าเลย เพื่อน ลูกสาวของพวกเราอารมณ์ร้ายมาก เธอไม่อนุญาตให้เพื่อนคนอื่นเข้าไปในอาณาเขตของตัวเอง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวก็หยิกเพื่อนอีก”


บูลหัวเราะแหะๆ พูดว่า “ไม่เป็นไรครับ บอส ครั้งนี้ลูกชายของผมไม่ยอมถูกรังแกง่ายๆ แน่นอน”


ตะแคงหัวหันไปเห็นเด็กตัวอ้วนคนหนึ่งนอนอยู่ข้างๆ ตัวเอง เสี่ยวเถียนกวารู้สึกไม่ชอบใจเป็นอย่างมาก เธอขมวดคิ้วน้อยๆ ของตัวเอง แล้วหมุนตัวอย่างรวดเร็ว ถีบขาเล็กๆ สั้นๆ ออกไปเพื่อที่จะเตะเด็กอ้วน


แต่ปรากฏว่าเด็กอ้วนก็มีฝีมือเหมือนกัน พอถูกเตะไปสองทีเขาก็รู้สึกไม่สบายตัว จึงพลิกตัวอย่างอ่อนช้อย ขยับตัวแบบนี้ไปด้านหลังอีกหน่อย เพื่อหลบขาเล็กๆ ของเสี่ยวเถียนกวา


เมื่อได้เห็นภาพนี้ ฉินสือโอวก็พูดอด้วยความรู้สึกทึ่งว่า “เฮ้ เพื่อน ลูกชายของนายพลิกตัวได้แล้วเหรอ? น่านับถือจริงๆ ยินดีด้วยๆ!”


ใบหน้าของบูลแสดงความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจออกมา แต่กลับทำทีว่าไม่ใส่ใจ เขาโบกมือปัดแล้วพูดว่า “ไม่เท่าไรหรอกครับๆ เขายังด้อยกว่าเสี่ยวเถียนกวาอยู่มาก เสี่ยวเถียนกวาพลิกตัวได้ตั้งนานแล้วใช่ไหมล่ะครับ?”


เด็กอ้วนหลบออกไป เสี่ยวเถียนกวาพบว่าขาสั้นๆ ของตัวเองเตะไม่ถึงแล้ว ดังนั้นเธอจึงพลิกตัวอย่างปราดเปรียว แขนขาเล็กๆดันตัวขึ้น คลานมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้าได้สองก้าว หลังจากนั้นก็ยื่นมือออกไปสะกิดเด็กตัวอ้วน…


แท้จริงแล้วมนุษย์มีความต้องการที่จะรุกรานมาตั้งแต่กำเนิด เสี่ยวเถียนกวายังไม่รู้จักสิ่งนี้ แต่กลับรู้จักที่จะใช้มือสะกิดคนอื่นแล้ว


สีหน้าอิ่มอกอิ่มใจของบูลจากเมื่อสักครู่แข็งค้างไปแล้ว อีกทั้งแอนนายังรู้สึกช็อกยิ่งกว่า “พระเจ้า เสี่ยวเถียนกวาคลานได้แล้วเหรอเนี่ย?!”


โดยทั่วไปแล้วเด็กจะสามารถคลานได้ก็ต่อเมื่อมีอายุหกเจ็ดเดือน ด้วยการบำรุงร่างกายจากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเสี่ยวเถียนกวาจึงแข็งแรงกว่าเด็กๆ ทั่วไป ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่ง เธอก็สามารถคลานได้แล้ว


เห็นลูกสาวคลานตามเด็กตัวอ้วน แล้วหลังจากนั้นก็ไปรังแกคนอื่นด้วยการเตะและสะกิด ฉินสือโอวกับวินนี่ก็รู้สึกประหลาดใจเกินกว่าใครๆ เมื่อก่อนพวกเขาเคยพยายามฝึกความสามารถในการคลานให้กับเสี่ยวเถียนกวา แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังคลานไม่ได้สักที


ทว่า ตอนนี้อยู่ๆ เธอก็สามารถคลานได้แล้ว อีกทั้งความเร็วในการคลานของเธอยังไม่ได้ช้ามากอีกด้วย


ในตอนนี้การพลิกตัวของเด็กอ้วนไม่มีประโยชน์แล้ว คู่ต่อสู้ของเขาสามารถเคลื่อนที่ได้ จึงทำได้แค่เป็นฝ่ายที่ถูกโจมตี


หลังจากถูกตีไปสองครั้ง เด็กอ้วนก็ร้องไห้ออกมาด้วยความน้อยใจเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม ท่านพ่อท่านแม่รีบมาช่วยฮ่องเต้น้อยที ลูกถูกคนอื่นรังแกแล้ว!


วินนี่เลยต้องอุ้มเสี่ยวเถียนกวาขึ้นมา ความสามารถในการโจมตีของเด็กน้อยค่อนข้างดี วินนี่อุ้มเธอเอาไว้แล้ว ทว่าเธอยังเตะขาอยู่ในอากาศ ไวส์อยู่ข้างๆ กันพอดี เขาพูดด้วยความรู้สึกตื่นตะลึงว่า “ศิษย์น้องเก่งกาจจริงๆ เธอก็มีลมปราณแล้วใช่ไหมครับ? ผมว่าน้องต้องคิดจะปล่อยพลังลูกเตะผ่านทางอากาศแน่ๆ”


ฉินสือโอวใช้มือยกคอเสื้อของไวส์ลากให้เขาเดินตามมา แล้วโยนใบสมัครเข้าร่วมสมาคมให้เขาหนึ่งฉบับ “เขียนใบสมัครอันนี้ ไม่ต้องมาสร้างความวุ่นวายเพิ่ม”


ไวส์มองดูแบบฟอร์มด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงง “นี่คืออะไรครับ ท่านอาจารย์?”


ฉินสือโอวอธิบายเรื่องเกี่ยวกับสมาคมของเขาให้ฟังคร่าวๆ ไวส์ส่ายหัวแล้วพูดว่า “อาจารย์ ผมไม่เข้าใจ ผมเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เข้าร่วมสมาคมแล้วจะมีประโยชน์อะไรเหรอครับ?”


เมื่อเห็นแบบนี้ ท่านชายฉินจึงเปลี่ยนข้ออ้างว่า “นี่คือใบสมัครเพื่อเลื่อนขั้นศิษย์นอกสำนักให้การเป็นศิษย์ในสำนัก ถ้านายสมัครได้สำเร็จ ก็จะกลายเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเรา!”


ไวส์จับกระเป๋านักเรียนขึ้นมาทันที เขาหาปากกาจากในกระเป๋ามาหนึ่งด้าม แล้วก้มลงไปบนโต๊ะทานอาหารแล้วเริ่มเขียนไปสมัครเข้าสมาคมอยู่บนโต๊ะด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง จนเหมือนกับว่ากำลังเขียนใบสมัครเข้าพรรคการเมือง


ทีแรกบูลอุ้มลูกชายจะเอามาอวด แต่ดันถูกโจมตีอีกครั้ง ลูกของเขาเพิ่งจะพลิกตัวได้ แต่เสี่ยวเถียนกวาลูกบ้านนี้กลับคลานได้แล้ว เขาคิดว่า ถ้ารอจนถึงตอนที่ลูกชายเขาเดินได้ ตอนนั้นเสี่ยวเถียนกวาคงจะวิ่งเล่นได้แล้ว


การต่อสู้ถึงจะเป็นแรงขับเคลื่อนในการก้าวหน้าของมนุษย์ เรื่องนี้สามารถยืนยันได้ด้วยตัวของเสี่ยวเถียนกวาเอง ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวกับวินนี่ทุ่มทั้งแรงกายแรงใจสอนให้เธอคลานแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ตอนนี้พอทะเลาะกันกับเด็กอ้วน เธอกลับสามารถคลานได้อย่างคล่องแคล่ว ดูไม่ออกเลยสักนิดว่านี่คือการคลานครั้งแรก


หลังจากเสี่ยวเถียนกวาคลานเป็น เหล่าสัตว์เลี้ยงในบ้านก็ซวยแล้ว


หนูน้อยมีอารมณ์ไม่คงที่ ตอนที่ยังคลานไม่ได้ เธอยังทำได้แค่เล่นกับนิ้วมือของตัวเอง เหล่าสัตว์เลี้ยงวิ่งมาอยู่ตรงหน้าเธอถึงจะถูกย่ำยี ต่อมาหลังจากที่เหล่าสัตว์เลี้ยงรู้ว่าพญามารตัวน้อยคนนี้ไม่ใช่คนที่ควรจะไปกวนโมโห นอกจากหลัวปอแล้ว สัตว์เลี้ยงตัวอื่นก็ไม่เข้าไปใกล้เธออีก


ทว่าตอนนี้เธอคลานได้แล้ว เสี่ยวเถียนกวาจึงคลานตามก้นไล่ตามพวกสัตว์เลี้ยงอยู่ทางด้านหลัง สัตว์เลี้ยงดวงซวยตัวแรกที่ประสบกับการถูกย่ำยีก็คือลูกนกอินทรีทอง มันติงต๊องที่สุด ทั้งยังชอบวิ่งมาหาวินนี่เพื่อหาอะไรกิน


เสี่ยวเถียนกวาขวางมันเอาไว้ แล้วโผเข้าไปกดมันไว้ใต้ร่างของเธอ มือเล็กๆ ลูบนกอินทรีทองตัวกลมๆ แล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊ากออกมา


ทางด้านลูกนกอินทรีทองถูกทับจนอึแทบจะไหลออกมาแล้ว มันร้องแควกๆๆ หาวินนี่ เสียงร้องที่ร้องออกมาฟังดูจนตรอกมาก


หู่เป้าฉงหลัวมองดูภาพเหตุการณ์นี้ ความรู้สึกตามสัญชาตญาณของพวกมันก็สัมผัสได้ว่าท่าจะไม่ดีแล้ว…

 

 

 


บทที่ 1120 สวนใหญ่ทั้งห้าแห่ง

 

เสี่ยวเถียนกวาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว การคลานเพื่อออกกำลังกายแขนขาเล็กๆ ของเธอ ทำให้ร่างกายทั้งส่วนบนและส่วนล่างมีพละกำลัง ดังนั้นความเร็วในการคลานจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น เริ่มแรกทำได้เพียงปิดล้อมลูกอินทรีทองติงต๊องเอาไว้ แต่หลังจากนั้น เธอก็ค่อยๆ ไล่เหล่าสัตว์เลี้ยงในห้องรับแขกให้วิ่งหนีกันอุตลุดได้แล้ว


หู่เป้าฉงหลัวมาหาฉินสือโอวด้วยความน้อยอกน้อยใจ อยากจะให้คนเป็นพ่อให้ความเป็นธรรมกับพวกมัน ทว่าพ่อยุ่งอยู่กับงาน ไม่มีเวลามาสนใจพวกมัน พวกมันจึงทำได้แค่วิ่งหนีอุตลุดกันต่อไป


อันเดร์วนดูรอบๆ ฟาร์มปลาอยู่หลายวันแล้ว เขาออกแบบสวนดอกไม้ไว้หนึ่งแบบ แล้วให้ฉินสือโอวกับวินนี่มาดู


เนื่องจากสภาพพื้นที่ของฟาร์มปลามีลักษณะแคบและยาว ดังนั้นสวนดอกไม้ที่อันเดร์ออกแบบจึงมีรูปทรงแบบเกลียวคลื่น เข้ากันกับมหาสมุทรที่อยู่ข้างๆ กันได้ดี ซึ่งมีความหมายโดยนัยว่าเป็นสวนดอกไม้ที่มีลักษณะเด่นของมหาสมุทรอยู่ด้วย


สวนดอกไม้มีพื้นที่ราวๆ สิบเฮกตาร์โดยประมาณ อาจจะดูเหมือนว่ามีพื้นที่ไม่น้อย ทว่าในความเป็นจริงแล้วมีขนาดเพียงหนึ่งตารางกิโลเมตรเท่านั้น เล็กกว่าไร่องุ่นอยู่เยอะเลยทีเดียว


พอเห็นเนื้อที่ ฉินสือโอวก็ส่ายหัว แล้วพูดว่า “ทำไมพวกเราไม่ทำให้มันใหญ่ขึ้นอีกหน่อยล่ะครับ? ถึงยังไงฟาร์มปลาของผมก็มีพื้นที่ ที่ใหญ่พออยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ทำสวนดอกไม้แบบเหนือระดับสักร้อยกว่าเฮกตาร์เลยเถอะ!”


ตอนนี้เขาไม่ขาดแคลนเงินทอง เลยอยากมอบขวัญที่วินนี่ชอบให้กับเธอ อีกอย่างคือเธอก็ไม่ค่อยสนใจเครื่องประดับกับพวกน้ำหอมเสื้อผ้าแบรนด์เนมเท่าไร เครื่องประดับชุดเทพีแห่งรัตติกาลชุดนั้น ตั้งแต่ที่รับของขวัญมา เธอยังสวมมันไม่เกินสองครั้งด้วยซ้ำ


วินนี่ชอบสวนสาธารณะ ฉินสือโอวจึงอยากทำสวนสาธารณะขนาดใหญ่ๆ เพื่อทำให้เธอมีความสุข


เมื่อฟังที่เขาพูด อันเดร์ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “เพื่อน สวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือสวนสาธารณะแห่งชาติที่ดูไบกำลังสร้างอยู่ ที่นั่นก็ยังใช้พื้นที่ไม่เกินสองร้อยเฮกตาร์ อีกอย่างนายรู้ไหมว่าต้องใช้เงินทุนกับกำลังคนเยอะแค่ไหน?”


ฉินสือโอวตบหน้าอกพร้อมกับพูดว่า “ผมมีเงิน”


อันเดร์จึงพูดอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นนายเตรียมตัวจะจ้างคนทำสวนหนึ่งร้อยคนให้มาคอยดูแลสวนแล้วหรือยัง? พูดตรงๆ เลยนะ เจ้าหนุ่ม สวนสาธารณะก็เหมือนกันกับปราสาท สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ได้อยู่ที่ว่าจะสร้างอย่างไร แต่อยู่ที่การดูแลรักษา! ถ้าดูแลรักษาได้ไม่ดี สวนแห่งนี้ก็จะกลายเป็นซากปรักหักพัง”


ฉินสือโอวถามเขาอย่างสองจิตสองใจว่า “ต้องใช้คนดูแลเยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”


อันเดร์ไหวไหล่ “ต้องใช้คนเยอะๆ เท่านั้นจะใช้น้อยกว่านั้นไม่ได้ จะลองยกตัวอย่างให้นายฟังอีกอย่างละกัน พระราชวังแวร์ซายส์ของประเทศฝรั่งเศส มีพื้นที่แค่ 101 เฮกตาร์เท่านั้น แต่เพื่อที่จะดูแลรักษามัน จึงต้องจ้างพนักงานถึงสี่ร้อยคน!”


ฉินสือโอวรู้สึกตกใจกับจำนวนอ้างอิงนี้มาก ที่ฟาร์มปลาตอนนี้ทั้งชาวประมงและพวกทหารรวมกันแล้วยังได้แค่ยี่สิบกว่าคน ถ้าต่อไปต้องจ้างนักจัดแต่งสวนหลายร้อยคน แบบนั้นอย่าว่าแต่ความกดดันเรื่องการเงินเลย แค่เรื่องการควบคุมดูแลก็มีปัญหาหนักแล้ว


อีกทั้งถ้าต้องอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกันกับคนหลายร้อยคน แค่ฉินสือโอวลองนึกภาพความวุ่นวายแบบนั้น ในใจของเขาก็แอบกลัวจนตัวสั่นแล้ว


อันเดร์จึงพูดปลอบเขาว่า “ไม่เป็นไร ที่จริงแล้วทั้งอุทยานและสวนดอกไม้ ต่างก็สามารถขยายพื้นที่ได้เหมือนกัน นายค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปไม่ดีกว่าเหรอ? สร้างสวนดอกไม้ส่วนนี้ก่อน ถ้าพืชคลุมดินกับดอกไม้สามารถโตได้แบบไม่มีปัญหาอะไร ถึงตอนนั้นค่อยขยายพื้นที่ก็ไม่สาย”


พอเข้าใจเรื่องนี้ ฉินสือโอวก็พยักหน้ารับ อันเดร์พูดถูกแล้ว เขาไม่ควรทำอะไรอย่างผลีผลามเกินกำลัง


วินนี่ก็ชื่นชมคำพูดของอันเดร์เช่นกัน เธอแอบดึงฉินสือโอวไว้ แล้วกระซิบเสียงเบาว่า “ที่รักคะ จริงๆ แล้ว ฉันแค่หวังให้คุณสร้างสวนดอกไม้เล็กๆ ใช้พื้นที่สักพันสองพันตารางเมตรก็พอแล้วค่ะ แบบนั้นฉันจะได้เป็นคนดูแลเองด้วย เนื้อที่สิบเฮกตาร์ ก็ใหญ่เกินไปนิดหนึ่งแล้ว”


ฉินสือโอวกลับรู้สึกว่าเนื้อที่ขนาดสิบเฮกตาร์ไม่ถือว่าใหญ่ ความยาวหนึ่งกิโลเมตร กว้างหนึ่งร้อยเมตร เดินเล่นหนึ่งรอบก็ใช้เวลาแค่ไม่เท่าไร


สวนของฟาร์มปลาแคบและยาวเกินไป เพื่อความสวยงามและเพื่อให้ง่ายต่อการก่อสร้าง อันเดร์จึงออกแบบเป็นห้าเขตใหญ่ ถ้าดูจากแปลนที่ร่างไว้ สวนสาธารณะทั้งห้าเขตนี้เกือบจะแบ่งสวนแห่งนี้ให้มีขนาดเท่ากันทั้งหมด


เขตใหญ่เขตที่หนึ่งมีลักษณะเป็นแบบระบบนิเวศวิทยาทางธรรมชาติ เชื่อมต่อกับลำธารสายเล็กที่ทอดยาวแต่คดเคี้ยวลงมาจากเทือกเขาเคอร์บัล ลักษณะภูมิประเทศของเขตพื้นที่ตรงส่วนนี้ค่อนข้างซับซ้อน อันเดร์ดำเนินการก่อสร้างอย่างชาญฉลาด มีทางเดินรวมถึงขั้นบันไดหินวนขึ้นไปรอบๆ เนินเขาเล็กๆ ทำให้สามารถเดินขึ้นไปชมวิวจากด้านบนได้


สวนแห่งนี้จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างอย่างอลังการ จะต้องติดตั้งและจัดวางหลายสิ่งหลายอย่าง หลังจากสร้างแล้วจะล้อมรั้วไว้ข้างๆ มีศาลาพักผ่อนจำนวนมาก ด้านนอกศาลาจะมีเนินลาดเอียง บนเนินปกคลุมด้วยพืชไม้ดอกระย้า อีกทั้งบริเวณรอบๆ ยังมีลำธารสายเล็กที่ไหลลงมาจากเทือกเขาเคอร์บัลล้อมอยู่รอบด้าน


นอกจากนี้แล้ว อันเดร์ยังทำทะเลสาบเล็กๆ ไว้บริเวณตรงกลางของพื้นที่ ดังนั้นเมื่อสายธารจากบนภูเขาไหลหลั่งลงมา ละอองน้ำตกกระทบลงกลางน้ำ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะมีเสียงน้ำไหลริน เต็มไปด้วยลมหายใจของธรรมชาติ


เขตที่สองเป็นสวนสไตล์ยุโรป ออกแบบตามพระราชวังโรมันโบราณ ข้างสวนล้อมรอบด้วยกำแพงพุ่มไม้ที่ถูกตัดแต่งเป็นทรงกลม เพื่อใช้แบ่งแยกทั้งสองเขตออกจากกัน จุดเด่นในสวนแห่งนี้คือรูปปั้นสไตล์ยุโรปและปราสาทไซส์มินิ ต่อไปเสี่ยวเถียนกวากับน้องชายน้องสาวจะได้มาเล่นกันที่นี่


เขตที่สาม ก็คือการจัดแต่งอุทยานแบบจีนที่ฉินสือโอวค่อนข้างชื่นชอบ อันเดร์ลอกแบบมาจากสวนจัวเจิ้ง


สวนจัวเจิ้งเป็นจุดสุดยอดของศิลปะการตกแต่งสวนในหมู่บ้านริมน้ำเจียงหนาน เกาะแฟร์เวลมีทรัพยากรน้ำอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ อันเดร์จึงคิดว่าน่าจะสามารถสร้างทะเลสาบและลำธารสายเล็กๆ ด้วยแรงงานคนได้ พอถึงเวลานั้นจะตกแต่งเสริมด้วยสิ่งก่อสร้างที่เป็นแบบชนชาติจีน สร้างบรรยากาศได้อย่างเต็มที่


เขตที่สี่เป็นเขตที่ปกคลุมไปด้วยพืชไม้ดอกระย้า ขอแค่เป็นพืชดอกที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศของนครเซนต์จอห์น ก็สามารถนำมาปลูกได้ทั้งสิ้น ใช้ความหลากหลายของพืชนานาชนิดเพื่อให้ได้รับชัยชนะ เช่นนี้แล้วพอถึงฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิ ในสวนดอกไม้จะงดงามราวกับสวรรค์สรรค์สร้าง หากพูดถึงด้านความหมายกันอย่างจริงจัง แบบนี้ถึงจะเป็นสวนดอกไม้ที่วินนี่เข้าใจ


เขตสุดท้าย เป็นจุดลงพู่กันแต้มสุดท้ายของฟาร์มปลา พื้นที่บริเวณนี้ปกคลุมเขตบ่อน้ำร้อนอยู่พอดี อันเดร์อยากจะสร้างทั้งหมดให้กลายเป็นสวนดอกไม้ในร่ม เพื่อปลูกพืชพันธุ์เขตร้อนและเขตอบอุ่นที่หาไม่ได้ในท้องถิ่นของนิวฟันด์แลนด์ ส่วนบ่อน้ำร้อนก็จะซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพืชพันธุ์เหล่านี้ มีทั้งกลิ่นอายของธรรมชาติและบรรยากาศแบบต่างประเทศในเวลาเดียวกัน


ฉินสือโอวคิดว่าการออกแบบเช่นนี้มีความยิ่งใหญ่อลังการที่มากพอแล้ว แต่ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างสลับซับซ้อน เมื่อถึงตอนนั้นจะกลายเป็นว่าไม่กลมกลืนกันหรือเปล่า


วินนี่ลองคิดๆ ดูแล้วพูดขึ้นมาว่า “ฟาร์มปลาของเราใหญ่มาก บางทีที่คุณอังเดรออกแบบมาแบบนี้อาจจะเป็นเพราะเขาอยากทำไว้เผื่อในอนาคตหรือเปล่า คุณไม่ได้คิดไว้ว่าต่อไปจะทำการขยายพื้นที่สวนดอกไม้หรอกเหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นส่วนของสวนดอกไม้ที่ขยายออกไป ก็ใช้การตกแต่งแบบเดียวกันได้ ใช้ทั้งห้าเขตนี้เป็นจุดศูนย์กลาง แบบนั้นก็จะไม่ดูสลับซับซ้อนเกินไปแล้วล่ะค่ะ”


สวนดอกไม้มีรูปแบบลักษณะเป็นเอกภาพมากเกินไป สำหรับสวนดอกไม้ขนาดเล็กนี่อาจจะเป็นข้อดี แต่หากเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ก็ไม่จำเป็นต้องตกแต่งให้เป็นแบบเดียวกันทั้งหมดจนทำให้ดูจืดชืด เนื่องจากสวนดอกไม้ขนาดใหญ่มีพื้นที่ที่มากพอ ของที่จะจัดแสดงก็มีอย่างเพียงพอเช่นกัน ออกแบบให้ซับซ้อนสักหน่อย ถึงจะทำให้ดูมีสีสันหลากหลาย


หลังจากฉินสือโอวปรึกษากันกับวินนี่แล้ว พวกเขาก็ยืนยันแผนการออกแบบอันนี้ไปอย่างคร่าวๆ ขณะที่อันเดร์ออกแบบเขาก็ได้คาดการงบประมาณไว้ให้แล้วเช่นกัน หากจะสร้างสวนแห่งนี้ขึ้นมา เช่นนั้นจะต้องใช้เงินทุนอย่างน้อยยี่สิบล้านดอลลาร์แคนาดา!


สำหรับคุณชายฉินแล้ว เงินยี่สิบล้านไม่ได้สร้างความกดดันอะไร เขาบอกให้อันเดร์ทำแบบนี้ได้เลยไม่มีปัญหา อันเดร์พูดกับเขาว่า “ฉิน นายเห็นไหมว่าในสวนดอกไม้มีหลายๆ สถานที่ ที่สร้างขึ้นมาได้ง่ายมาก โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณแกนกลาง”


“ดังนั้นฉันจึงขอแนะนำให้พวกนายสร้างสถานที่พวกนี้เอง ปลูกต้นไม้และพืชดอกที่ชอบ วางแปลนด้วยแบบที่คุ้นเคย เพื่อที่สุดท้ายเมื่อสร้างสวนเสร็จแล้ว พวกนายได้จะรู้สึกถึงความสำเร็จและมีความรู้สึกที่เห็นพ้องกัน ถ้าหากจ้างทีมงานก่อสร้างมาดำเนินการก่อสร้างให้อย่างเดียว เช่นนั้นสวนดอกไม้ที่ได้มา จะมีความหมายอะไร ใช่ไหมล่ะ?”


สวนดอกไม้ชั้นนำของโลกอย่างสวนพฤกษศาสตร์แห่งชาติเคอร์สเทนบอส์ชของประเทศแอฟริกาใต้ สวนนงนุชประเทศไทย สวนโบโบลีของอิตาลี สวนเอ็กเบอรีของประเทศอังกฤษ สวนเดสกันโซ่ในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐอเมริกา สวนพฤกษศาสตร์ฮันทิงตันของอเมริกาและสวนบูชาร์ดของรัฐบริติชโคลัมเบียและอื่นๆ ในขั้นแรกล้วนแต่เริ่มมาจากการสร้างสวนดอกไม้ส่วนบุคคล หลังจากนั้นก็ได้พัฒนาขึ้นไปทีละขั้นๆ ถึงได้กลายมาเป็นสวนดอกไม้ชั้นนำระดับโลก

 

 

 


บทที่ 1121 พ่อแย่ๆ กับสุนัขแลบราดอร์น...

 

บนโลกใบนี้ สวนดอกไม้ระดับโลกเหล่านั้นล้วนแต่มีจิตวิญญาณด้วยกันทั้งนั้น และอันเดร์เชื่อว่าจิตวิญญาณของพวกมันมาจากผู้เริ่มต้นการก่อสร้างที่ได้มอบไว้ให้


ฉินสือโอวพอจะเข้าใจเรื่องนี้ ถึงจะได้ยินจากที่หลายๆ คนเขาพูดกัน ว่าคำพูดแบบนี้อาจจะมาจากเจตนาที่ต้องการสร้างความลี้ลับเพื่อหลอกให้คนอื่นสับสน ทว่าหู่เป้าฉงหลัวที่เขาเลี้ยงไว้ต่างก็มีจิตวิญญาณด้วยกันทั้งนั้น เป็นจิตวิญญาณที่สะอาดและบริสุทธิ์มากๆ


ได้แปลนออกแบบแล้ว อันเดร์ยังต้องดำเนินการซ่อมแซมอีกหนึ่งขั้นตอน ดังนั้นจึงยังอาศัยอยู่ที่ฟาร์มปลา หลังจากนั้นทุกๆ วันเขาก็จะลากเออร์บักให้ออกทะเลไปตกปลาด้วยกัน


ทว่าฉินสือโอวก็ต้องการยึดตัวเออร์บักมาใช้งานเหมือนกัน ศาลฎีกาแห่งนิวฟันด์แลนด์รับพิจารณาคดีของวัยรุ่นสี่คนที่ใช้วัตถุระเบิดฆ่าวาฬอย่างเป็นทางการแล้ว ผ่านขั้นตอนการเก็บรวบรวมหลักฐานและการตรวจสอบในชั้นต้น ศาลจึงดำเนินการเปิดศาลเป็นครั้งแรก


ในเรื่องนี้ไม่มีโจทก์ผู้ยื่นเรื่องฟ้องต่อศาล ฉินสือโอวนำเหล่านายทหารเข้าจับกุมวัยรุ่นทั้งสี่คนโดยใช้ชื่อกองกำลังพิทักษ์ชาติเรนเจอร์ พวกเขาปรากฏตัวต่อศาลในฐานะพยานบุคคล ฟ้องร้องวัยรุ่นทั้งสี่คนที่ล่าและฆ่าสัตว์คุ้มครองแห่งชาติด้วยวิธีการที่ผิดต่อกฎหมาย


ที่ค่อนข้างน่าสนใจก็คือ คาดไม่ถึงว่าลินตัน วอเทอเรนซ์จะใช้ข้อกล่าวอ้างว่ามีอาการเจ็บป่วยทางจิตเพื่อปฏิเสธที่จะมาขึ้นศาล ดูท่าว่าพ่อของเขาคงจะพยายามอยู่เบื้องหลังเพื่อช่วยเหลือเขาอย่างหนัก ใบรับรองการรักษาอาการป่วยทางจิตเป็นของโรงพยาบาลจิตเวชที่มีอำนาจมากๆ แห่งหนึ่งในแคนาดา


แต่น่าเสียดายที่ศาลปฏิเสธคำร้อง เพราะเห็นว่าเขาไม่ได้อธิบายถึงสภาพจิตใจของตัวเองให้ชัดเจนในระหว่างการตรวจสอบ การเสนอคำร้องในตอนเปิดศาลจึงมีผลเป็นโมฆะ


แต่ปรากฏว่าลินตันก็เปลี่ยนแปลงคำร้องขออีกครั้ง เขาสามารถขึ้นศาลได้ แต่ต้องการให้สุนัขบำบัดในศาลไปเป็นเพื่อนด้วย


สำหรับหู่จือกับเป้าจือสามารถทำให้เห็นได้แค่ว่า นี่แหละที่เรียกว่าไอ้ฉิบหายที่แท้จริง ถ้าจะเอาเราสองพี่น้องไปเป็นเพื่อน พวกเราจะกัดแกให้ตายคาศาลเลยล่ะ


ศาลฎีกาแห่งรัฐดำเนินการตรวจสอบแล้ว ในที่สุดก็อนุมัติคำขอของเขา เนื่องจากหลังจากจิตแพทย์ที่พวกเขาเชิญมาได้คุยกับลินตัน ก็ยืนยันว่าเขามีอาการป่วยทางจิตจริงๆ


ฉินสือโอวก็คิดว่าลินตันมีปัญหาทางจิตอยู่หน่อยๆ ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว แต่เพื่อนๆ ของเขาอีกสามคนก็มีกันหมด ว่างจนหาเรื่องเอาระเบิดมายิงวาฬที่ไม่แก่งแย่งอะไรกับใคร พฤติกรรมเลวทรามเช่นนี้มันวิปริตจริงๆ!


หู่จือกับเป้าจือเป็นสมบัติของศาลนครเซนต์จอห์นในตอนนี้ พวกมันจะไปขึ้นศาลสัปดาห์ละสองครั้งทุกสัปดาห์ ครั้งนี้พวกมันก็มาขึ้นศาลเป็นเพื่อนลินตัน


ในวันเปิดศาล ฉินสือโอวนั่งอยู่ในคอกพยาน หู่จือกับเป้าจือที่แต่แรกมีอาการเฉยเมยพอมองเห็นเขาก็พากันตื่นเต้นดีใจขึ้นมา แล้วหันไปส่ายหัวส่ายหางให้เขา แสยะปากแลบลิ้นออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข


ลินตันมีปัญหาทางจิต หลังจากขึ้นศาลเขาก็เข้าไปนั่งบนเก้าอี้ที่ศาลเตรียมไว้ให้เขาอย่างไม่ยี่หระ ราวกับว่าเขาไม่สนใจสถานการณ์ของตัวเองในตอนนี้ แต่กลับค่อนข้างให้ความสนใจกับหู่จือกับเป้าจือ ทั้งยังเอาแต่จับๆ เกาๆ แหย่สุนัขแลบราดอร์เล่น


หู่จือกับเป้าจือรังเกียจและไม่แยแสเขาสุดๆ ปกติแล้วพวกมันจะมาขึ้นศาลเป็นเพื่อนให้กับเด็กและผู้หญิง แต่คราวนี้ต้องนั่งอยู่กับผู้ชายที่พวกมันเกลียด ก็เป็นธรรมดาที่พวกมันจะไม่รู้สึกยินดี


ฉินสือโอวแอบขยิบตาให้กับพวกมัน พร้อมกับทำท่าโยกตัวไปมา ไม่มีใครรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แต่สุนัขแลบราดอร์ทั้งสองตัวรู้


มองเห็นการชี้แนะของเขา สุนัขทั้งสองตัวก็หันมาสบตากัน ทันใดนั้นพวกมันก็เปลี่ยนมาทำตัวสนิทสนมกับลินตัน เดินล้อมหน้าล้อมหลังเขาไว้ พอได้โอกาสก็เข้าไปถูตัวเขา


ลินตันไม่ได้คิดมาก เขาหันไปหัวเราะกับเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ กันพร้อมกับพูดว่า “เฮ้ พวกโง่ ดูฉันสิ ฉันไม่ได้แค่มีเก้าอี้ให้นั่งอย่างเดียวนะ แต่ยังมีหมาให้เล่นเป็นเพื่อนด้วย เป็นไงล่ะ อิจฉาฉันมากๆ เลยใช่ไหมล่ะ?”


เด็กวัยรุ่นอีกสามคนไม่มีปัญญาจะฉีกหน้าเขา พวกเขาหันไปมองลินตันอย่างเงียบๆ พากันด่าเขาในใจว่าไอ้ตอแหล


เปิดศาลอย่างเป็นทางการ ทนายของลินตันกับเพื่อนๆ มีชื่อเสียงอย่างมากในแคนาดา ชื่อว่าโบราโซ คาร์นินเดอะโฟร์ธ นับว่าเป็นเพื่อนร่วมงานของเออร์บักอยู่ครึ่งหนึ่ง ตอนนี้เขาปฏิบัติงานอยู่ที่สำนักงานกฎหมาย ซึ่งก็คือที่ที่เออร์บักเคยดำรงตำแหน่งก่อนที่จะเกษียณ สำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์


หลังจากเปิดศาล โบราโซก็ทำการแก้ต่างแทนวัยรุ่นทั้งสี่คน สิ่งแรกที่เขาต้องการจะคว่ำก็คือคำว่าร้ายที่ฉินสือโอวได้กล่าวไว้ บอกว่าคู่ความของเขาไม่ได้เจตนาจะฆ่าเต่ามะเฟือง


เต่ามะเฟืองเป็นหนึ่งในบรรดาสัตว์คุ้มครองที่สำคัญที่สุดของแคนาดา การล่าและฆ่าสัตว์ชนิดนี้ มีโทษฐานความผิดและระดับความเลวร้ายรุนแรงยิ่งกว่าการฆ่าวาฬอยู่มาก


ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ได้รับการไต่ถามในฐานะพยาน ฉินสือโอวและพวกทหารให้การไปในแนวทางเดียวกัน พูดอย่างกัดไม่ปล่อยว่าวัยรุ่นพวกนี้มีเจตนาฆ่าและจับเต่ามะเฟือง อีกทั้งในขณะที่เข้าควบคุมตัววัยรุ่นพวกนี้ บนเรือของพวกเขาก็มีเต่ามะเฟืองตัวหนึ่งที่มีบาดแผลอยู่ทั่วทั้งตัวแล้ว!


โบราโซไต่ถามโต้กลับทันที “พวกคุณบอกว่าคู่ความของผมเคยทำร้ายเต่ามะเฟือง แล้วอย่างนั้นทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่มีใครพูดเรื่องนี้ออกมา? นอกจากนี้แล้วผมยังอยากรู้ว่า หลักฐานของพวกคุณคืออะไร?”


ฉินสือโอวแย้มรอยยิ้มเล็กน้อย แสดงภาพถ่ายใบหนึ่งขึ้นมา ในรูปถ่ายใบนั้นคือภาพที่นีลเซ็นกำลังปล่อยเต่ามะเฟืองขนาดมหึมาตัวหนึ่ง เต่ามะเฟืองตัวนั้นถูกกรงตาข่ายรัดโดยรอบ บนร่างกายมีคราบเลือดเป็นลายพร้อย ดูแล้วน่าจะถูกทรมานมาหนักมากจริงๆ


ไม่ต้องสงสัยเลย นี่แหละคือหลักฐาน


เมื่อไม่กี่วันก่อนพวกชาวประมงออกทะเล และได้เห็นเต่ามะเฟืองตัวหนึ่งที่มีอวนรัดรอบตัวถูกน้ำทะเลซัดมา อีกทั้งยังเต่ามะเฟืองตัวนั้นยังดิ้นอย่างรุนแรง ขาทั้งสี่ข้างและส่วนหัวถูกรัดจนมีเลือดออก ก่อนที่จะปล่อยไปฉินสือโอวได้พามันขึ้นไปบนเรือยอชต์บิ๊กแซม 107 แล้วถ่ายรูปเอาไว้


ถึงอย่างไรเรือยอชต์ก็จอดอยู่ในฟาร์มปลาของเขา


น่าเสียดายที่หลักฐานชิ้นนี้ไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานที่หนักแน่นได้ ผู้พิพากษาและบรรดาทนายความต่างก็ไม่ใช่คนที่จะถูกตบตาได้ง่ายๆ ในรูปถ่ายมีเต่ามะเฟืองที่ได้รับบาดเจ็บและมีเรือบิ๊กแซม 107 อยู่จริงๆ ทว่าไม่มีวัยรุ่นทั้งสี่คนอยู่ด้วย ตามกฎหมายของแคนาดาที่ถูกบัญญัติเอาไว้ นี่ไม่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานโดยตรงได้


แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ เขายังยืนหยัดที่จะว่าร้ายวัยรุ่นทั้งสี่คนต่อ “เจตนาเดิมของพวกเขาอาจจะไม่ใช่การล่าเต่ามะเฟือง เพียงแค่ต้องการล่าฉลามกับวาฬ แต่พวกเขาก็ได้ทำแบบนี้ไปแล้ว พวกเขาทำร้ายเต่ามะเฟืองให้ได้รับบาดเจ็บ นี่คือเรื่องจริง!”


“โอ้ ไอ้เวร!” ทันใดนั้นเสียงร้องแหลมก็ดังขึ้นมา โบราโซที่กำลังปะทะคารมอย่างเผ็ดร้อนก็ถึงกับสะดุ้งจนตัวโยน เขาฟังออกว่านี่คือเสียงของลินตัน จึงหันกลับไปทำท่าทางมือบอกให้เขาเงียบ แสดงเจตนาให้เขารู้ว่าห้ามพูดอะไรออกมาเด็ดขาด


เกี่ยวกับนิสัยช่างตลบตะแลงของลินตัน ดูเหมือนว่าโบราโซจะรู้จักเป็นอย่างดี เขากลัวเหลือเกินว่าคู่ความของเขาจะพูดทำนองว่า ‘พวกเราแค่ล่าวาฬไม่ได้ล่าเต่ามะเฟือง’ ออกมา ถ้าพวกเขาพูดแบบนั้น ต่อให้เขาสามารถบันดาลใจพระเจ้าได้ ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงคำตัดสินของคดีนี้ได้


ลินตันไม่สนใจท่าทางมือของโบราโซ เขาร้องตะโกนเสียงดังว่า “รีบมาลากหมาเวรสองตัวนี่ออกไป! พวกมันขนร่วง หมาเวรพวกนี้มันขนร่วง! โอ้ ฟัค ฟัค! บนตัวฉันมีแต่ขนหมาเต็มไปหมด! รีบๆ มาช่วยฉัน!”


ผู้พิพากษาท่าทางน่าเกรงขามใช้ค้อนประธานเคาะโต๊ะหน้าบัลลังก์ด้วยความโมโห และตวาดลั่นว่า “เงียบ! เงียบ! เงียบ! จำเลยลินตัน วอเทอเรนซ์ กรุณาระวังฐานะของคุณด้วย ที่นี่คือศาล ถ้าไม่มีคำอนุญาตจากผู้พิพากษา ขอให้จำเลยอย่าได้พูดอะไรออกมา!”


ลินตันกำแหงจนเคยตัว ผู้พิพากษาทำให้เขาเงียบลงไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ลินตันก็ตวาดเสียงดังขึ้นมาแล้วเช่นกัน “ถ้าฉันไม่พูดก็คงจะสะอิดสะเอียนหมาสองตัวนี้จนตายแล้ว! พวกมันทำให้ตัวฉันมีแต่ขนหมา! พระเจ้า ฉันทนไม่ไหวแล้ว! ใครก็ได้มาช่วยฉันที!”


นีลเซ็นกับเบิร์ดที่อยู่ในคอกพยานแอบหัวเราะเยาะอย่างเงียบๆ พอถึงฤดูใบไม้ผลิขนของหู่จือกับเป้าจือจะร่วงอย่างรุนแรง หลายวันมานี้ขอแค่เป็นที่ที่สุนัขแลบราดอร์ทั้งสองไปปรากฏตัวก็จะมีขนสุนัขลอยฟุ้ง ซึ่งในครั้งนี้ก็ทรมานลินตันได้ไม่เบา


ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนหรือเปล่า ที่ทำให้หู่จือกับเป้าจือขนร่วงหนักกว่าสุนัขธรรมดาทั่วไป การผลัดขนใหม่ของพวกมันมีความรวดเร็วเท่ากับการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ถึงจะมีขนร่วงอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไม่เห็นว่าขนจะบางลง

 

 

 


บทที่ 1122 วางแผน

 

ความวุ่นวายที่เกิดจากลินตันทำให้ศาลที่เป็นสถานที่ในการพิจารณาคดีตกอยู่ในความวุ่นวาย เขาทำตัวกำเริบเสิบสานราวกับว่าบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป เขาผลักหู่จือกับเป้าจือออกไปแล้วร้องเอะอะโวยวาย บอกให้คนอื่นเข้ามาช่วยทำความสะอาดขนสุนัขที่ติดอยู่บนตัวของเขา


สุนัขแลบราดอร์เป็นสุนัขที่ทะเยอทะยานและหยิ่งทะนง แกให้พวกเรามาอยู่เป็นเพื่อนพวกเราก็มา แกคิดจะไล่พวกเรา พวกเราก็ต้องไป? แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร?!


เมื่อถูกผลักออกมาด้วยความรังเกียจ สุนัขแลบราดอร์จึงถลึงตาจ้องลินตันด้วยความโมโห ใบหน้าเล็กๆ ยับย่นทำท่าว่ากำลังจะเห่า


วินนี่ที่มีฐานะเป็นผู้ควบคุมดูแลผิวปากออกมา หู่จือกับเป้าจือจึงจ้องหน้าลินตันด้วยความคับแค้นใจอยู่สักพัก แล้วจึงหมุนตัววิ่งกลับไปสู่อ้อมอกของวินนี่


วินนี่ปรึกษาหารือร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ของศาล หลังจากนั้นก็ถูกพาออกไปจากศาลทันที เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลานี้ไม่ต้องใช้สุนัขบำบัดแล้ว


ผู้พิพากษาเคาะค้อนด้วยความโมโห เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเลยเข้ามารักษาความเป็นระเบียบ ลินตันจึงถูกบังคับให้นั่งลงไปบนเก้าอี้


โบราโซถลึงตามองอยู่ด้านข้าง เขาทำอาชีพนี้มาหลายสิบปีและยังเป็นคนที่เคยผ่านวิบากขวากหนามมาก่อน ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นจำเลยที่หาเหาใส่หัวให้ตัวเองอย่างลินตัน ใช้ก้นวิเคราะห์ก็รู้แล้วว่า เรื่องวันนี้คงจัดการได้ไม่ง่ายแล้ว


ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น โบราโซหยิบเอาความสามารถทั้งหมดที่เขามีออกมาเพื่อที่จะทำให้เด็กวัยรุ่นทั้งสี่คนหลุดพ้นจากความผิด ทว่าผลการตรวจสอบสุดท้ายก็ยังไม่เอื้อผลให้ทางฝั่งของพวกเขาอยู่ดี ลินตันกับวัยรุ่นอีกสามคนถูกตัดสินโทษตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ฐานฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการใช้อาวุธที่มีความรุนแรงและสังหารวาฬอย่างโหดเหี้ยม ส่วนโทษฐานจากการล่าเต่ามะเฟืองที่เป็นสัตว์สงวนยังไม่ได้รับการตัดสิน


นี่คือการตัดสินของศาลชั้นต้น ไม่ใช่ผลการตัดสินสุดท้าย เพียงแต่ว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ คำตัดสินชั้นต้นกับผลการตัดสินสุดท้ายของศาลในแคนาดามักจะไม่แตกต่างกัน เนื่องจากศาลที่นี่จะทำการตัดสินโทษด้วยความละเอียดรอบคอบ หากตัดสินออกมาแล้ว นั่นก็บอกได้ชัดว่าผลการตัดสินนี้มีความน่าเชื่อถือพอ


คดีสิ้นสุดลง หลังจากเดินออกมาจากศาลคณะของฉินสือโอวก็ได้รับการสัมภาษณ์จากนักข่าว เขาก็ให้สัมภาษณ์อย่างตรงไปตรงมาว่า “หวังว่าคดีนี้จะช่วยให้บทเรียนกับชาวประมงและบรรดานักท่องเที่ยวบนทะเลได้บ้าง ในฟาร์มปลาของผมมีเต่ามะเฟืองอยู่ ถ้ามีคนมาขโมยปลาที่ฟาร์มปลาของผม ทางที่ดีควรจะระวังสักหน่อย อย่าทำร้ายพวกมัน ไม่อย่างนั้นพวกเรามีแต่จะได้เจอกันในชั้นศาลเท่านั้น!”


เชือดไก่ให้ลิงดู เพื่อที่จะปกป้องทรัพยากรในฟาร์มปลา ฉินสือโอวลงแรงไปไม่น้อยเลย


ผลของการอ่านคำตัดสินคดีต่างจากที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่มาก ระหว่างเดินทางกลับคุณชายฉินค่อนข้างอารมณ์ดี คนประสาทๆ แบบลินตันสมควรได้รับการลงโทษจากกฎหมาย จิตใจของพวกเขามีปัญหา ถ้าครั้งนี้ไม่ให้บทเรียนกับพวกเขาสักหน่อย ต่อไปก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะฆ่าอะไรเพื่อความเพลิดเพลินอีก!


ชาวประมงและเหล่าทหารอารมณ์ดีมาก มีแค่นีลเซ็นที่เอาแต่โยกตัวไปมาอยู่รอบๆ ด้วยความวิตกกังวล ฉินสือโอวก็ไม่รู้ว่าเขาโยกตัวทำไม


“เป็นอะไรของนาย?” คุณชายฉินอดถามไม่ได้จริงๆ


นีลเซ็นถูมือเข้าด้วยกัน แล้วพูดว่า “บอส ผมอยากขอลาหยุด สักประมาณสี่วันครับ”


“ไปทำอะไรเหรอ?” ฉินสือโอวถาม ฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงที่งานในฟาร์มปลากำลังยุ่งมาก เดิมทีกำลังคนของเขาก็ค่อนข้างขาดแคลนอยู่แล้ว ถ้านีลเซ็นไม่อยู่อีกคน แบบนั้นกำลังคนที่มีก็จะยิ่งไม่เพียงพอต่อการทำงาน


นี่ไม่ใช่แค่กับนีลเซ็น ไม่ว่าใครถ้าจะขอลาหยุดเวลานี้ ฉินสือโอวก็ต้องถามเหตุผลทั้งนั้น ต้องมีเหตุผลที่ดีพอถึงจะขอหยุดได้ ไม่อย่างนั้นถ้าทุกคนมาขอลาหยุดกันหมด แล้วเขาจะทำอย่างไรล่ะทีนี้?


นีลเซ็นบอกว่า “คืออย่างนี้ครับ แพรีสขอสำนักหนังสือพิมพ์ลาหยุดประจำปี เธออยู่แต่ที่นครเซนต์จอห์น ไม่เคยออกไปดูข้างนอก ตอนนี้เธอเป็นนักข่าวแล้ว เลยต้องออกไปดูโลกภายนอกให้มากๆ ดังนั้นผมก็เลยอยากไปกับเธอด้วย”


พอพูดจบ เขาก็หัวเราะออกมาเจื่อนๆ ไม่รู้ว่าหัวเราะอะไร


เหตุผลนี้เพียงพอที่จะเกลี้ยกล่อมฉินสือโอวได้แล้ว ถึงแม้ว่านีลเซ็นจะบอกว่าเหตุผลคือการไปเที่ยวกับแพรีส แต่เมื่อดูจากรอยยิ้ม…ที่อยู่บนหน้าของเขา ก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้วางแผนจะไปเป็นเพื่อนเธออย่างเดียว แต่ยังอยากทำอะไรสักอย่างด้วย เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องสำคัญของชีวิต


ฉินสือโอวพยักหน้าบอกว่าไม่มีปัญหา นีลเซ็นถูมืออีกครั้ง แล้วพูดว่า “เอ่อบอสครับ ผมขอยืมใช้เรือนกนางนวลหน่อยได้ไหมครับ? คืออย่างนี้ ผมกับแพรีสอยากจะเดินทางผ่านทางทะเล จากนครเซนต์จอห์นไปเที่ยวรอบๆ หมู่เกาะกรีนแลนด์ ถ้าเดินทางด้วยเรือโดยสาร ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่มีอิสระพอ”


“ไม่เป็นไร ฉันจัดคนขับเรือสักคนให้นายด้วยก็ได้ เบิร์ดล่ะเป็นไง? ระหว่างทางนายแค่ควงสาวอย่างสบายใจก็พอ” ฉินสือโอวพูดอย่างคนขี้เม้าท์ “แต่อย่างไรนายต้องระวังเรื่องการป้องกันด้วยนะ ฉันไม่แน่ใจว่าแพรีสจะเป็นแบบวินนี่ไหม ผู้หญิงที่อยากจะเป็นคุณแม่ก่อนแต่งงานน่ะ”


นีลเซ็นยิ้มแหยๆ พูดว่า “ไม่ๆๆ บอส คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมกับแพรีสเป็นแค่เพื่อนกันเฉยๆ ยังไม่ถึงขั้นนั้นสักหน่อย”


ฉินสือโอวตบไหล่ของนีลเซ็นพลางหัวเราะเสียงดัง “ไอ้หนุ่ม นายมันหน้าไม่อายจริงๆ เพื่อนกันเฉยๆ? แพรีสมาค้างที่ อพาร์ตเมนต์ของพวกนายตั้งกี่ครั้งแล้ว แต่นายบอกฉันว่าเป็นเพื่อนกันเฉยๆ?”


นีลเซ็นกะพริบตาปริบๆ ถามเขาด้วยความงงงวยว่า “คุณรู้ได้อย่างไรครับ?”


เบิร์ดที่อยู่ข้างๆ ก็พูดอย่างใจเย็นว่า “ถ้าฉันบอกว่าบอสบังคับให้ฉันพูด นายจะยังนับฉันเป็นเพื่อนสนิทอยู่อีกไหม?”


“ฉันจะนับนายเป็นขี้หมาน่ะสิ! ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าพูดไปเรื่อย? ที่บ้านของแพรีสอบรมสั่งสอนเธออย่างเคร่งครัดมาก ครอบครัวของเธอนับถือศาสนาคริสต์ตามแบบอังกฤษดั้งเดิม!”


“ที่บ้านอบรมอย่างเคร่งครัด แต่หลังจากรู้จักกับนายได้หนึ่งเดือนก็มาหากันที่ห้องแล้ว?”


“แต่พวกเราแค่คุยกันเฉยๆ ไม่ได้ทำเรื่องอย่างว่าจริงๆ แพรีสไม่อนุญาต!”


ฉินสือโอวโบกมือขัดการทะเลาะกันของทั้งสองคน แล้วเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “ครั้งนี้นายไปทำอะไรที่เกาะกรีนแลนด์? ตอนนี้ที่นั่นยังมีแต่หิมะสีขาวๆ หรือเปล่า? ฉันว่าพวกนายไปไมอามีไม่ดีกว่าเหรอ แบบนั้นสนุกกว่าตั้งเยอะ”


นีลเซ็นอธิบายว่า “แพรีสชอบวัฒนธรรมลี้ลับ เธอใฝ่ฝันถึงวัฒนธรรมโจรสลัดบนเกาะกรีนแลนด์มาโดยตลอด ที่พวกเราจะไปเป็นเส้นทางทองคำของโจรสลัดไวกิ้งครับ”


ครั้งหนึ่งโจรสลัดไวกิ้งเคยปกครองเกาะกรีนแลนด์มาก่อน หลังจากนั้นก็ใช้หมู่เกาะแห่งนั้นเป็นฐานประจำการ พวกเขาทำการปล้นสะดมจากทั้งทางทิศใต้และทิศตะวันออก และเนื่องจากสภาพอากาศที่เลวร้ายของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ โดยทั่วไปแล้วเรือพาณิชย์ที่ติดต่อกันระหว่างทวีปยุโรปกับทวีปอเมริกา จึงมักจะเดินเรือไปตามแนวชายฝั่งของแคนาดา


เส้นทางนี้เป็นจุดสำคัญในการปล้นของโจรสลัดไวกิ้ง พวกเขาได้รับความมั่งคั่งอย่างมหาศาลบนเส้นทางเดินเรือเส้นนี้ ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าเส้นทางทองคำ


ได้ยินนีลเซ็นบอกว่าแพรีสชอบวัฒนธรรมลี้ลับ ฉินสือโอวก็พูดด้วยรอยยิ้มอย่างมีเจตนาที่ไม่ดีว่า “วัฒนธรรมโจรสลัดไวกิ้งนับว่าเป็นวัฒนธรรมลี้ลับอะไรกัน? พวกเรามีเรือผีนะ มันลึกลับเท่าเรือผีด้วยเหรอ?”


พอพูดจบ ฉินสือโอวก็รู้สึกสนุกขึ้นมา “อีกอย่าง นายพูดเองไม่ใช่เหรอว่าแพรีสไม่ยอมให้นายได้ไปถึงขั้นสุดท้าย? อย่าหาว่าบอสไม่ช่วยพรรคพวกนะ เดินเรือทางทะเลครั้งนี้ ฉันจะส่งเรือผีไปช่วยนาย แล้วไม่ต้องบอกฉันนะว่า มีเรือผีคอยช่วยแล้ว แต่นายก็ยังคว้าเอาแพรีสไว้ไม่ได้!”


นีลเซ็นพูดอย่างเขินอายว่า “แบบนี้ไม่ดีมั้งครับบอส?”


“ถ้าอย่างนั้นนายรักแพรีสไหม?” ฉินสือโอวพูดด้วยความรำคาญ


นีลเซ็นตบอกตัวเองพลางพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้วครับ ความรักที่ผมมีต่อเธอมาจากส่วนลึกของหัวใจ ผมชอบเธอครับ บอส ก็เหมือนที่คุณชอบนายผู้หญิงนั่นล่ะครับ”


ฉินสือโอวจึงพูดอย่างแน่วแน่ว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ความรักไม่ได้อาศัยแค่คำพูด แต่นายต้องลงมือทำมันให้ดีด้วย!”


นีลเซ็นพยักหน้ารับ พูดว่า “ที่คุณพูดก็มีเหตุผล บอส ถ้าอย่างนั้นอีกเดี๋ยวผมจะส่งเส้นทางเดินเรือให้คุณ คุณต้องช่วยผมจัดการเรื่องนี้ให้ดีนะครับ ผมจะได้แต่งงานปีนี้ไหม ก็ต้องพึ่งคุณแล้ว!”


ฉินสือโอวทำมือเป็นรูปโอเคให้เขา พร้อมกับขยิบตาให้แล้วพูดว่า “แน่นอนเลย สองวันนี้นายออกกำลังที่เอวให้ดีๆ ก็พอ”

 

 

 


บทที่ 1123 ความลับส่วนตัว

 

หนุ่มวัยกลัดมันทั้งสามคนกำลังถกกันด้วยความกระตือรือร้นว่าจะจัดการให้เรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์ปรากฏตัวอย่างไรถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นีลเซ็นหวังว่าเรือผีจะไม่ทำให้แพรีสตกใจกลัว ขอแค่มันช่วยสร้างบรรยากาศลี้ลับออกมานิดหน่อยก็พอ พอถึงตอนนั้นถ้าแพรีสไม่กล้านอนคนเดียว ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะได้โอกาสแล้ว


ฉินสือโอวคิดว่าทางที่ดีที่สุดควรจะทำให้แพรีสรู้สึกกลัวบ้างเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นนีลเซ็นจะมีโอกาสกับผีอะไร แพรีสมาค้างที่อพาร์ตเมนต์ของเขาตั้งกี่คืนต่อกี่คืนแล้ว แต่ทั้งสองคนกลับไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งใดๆ ต่อกัน ขนาดคนจีนหัวโบราณอย่างเขายังคิดว่าน่าเหลือเชื่อ


ถกกันไปถกกันมา ยังไม่ทันได้ผลสรุป วินนี่ก็พาหู่จือกับเป้าจือเข้ามาเสียก่อน


เมื่อเห็นแบบนี้เบิร์ดกับนีลเซ็นก็พากันสลายตัวทันที วินนี่สังเกตเห็นความผิดปกติ จึงเข้ามาช่วยบีบนวดไหล่ให้ฉินสือโอวพร้อมกับแย้มรอยยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “อะไรกันคะ เมื่อกี้พวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่ ทำไมพอเห็นฉันมา เบิร์ดกับนีลเซ็นก็เดินหนีไปทันทีเลยล่ะ?”


เรื่องทำนองนี้ไม่เหมาะที่จะพูดให้ผู้หญิงฟัง ฉินสือโอวจึงหัวเราะฮ่าๆ แล้วบอกเธอว่า “ไม่มีอะไรครับ ไม่มีอะไร วันนี้อากาศไม่เลวเลย”


วินนี่เป็นผู้หญิงฉลาด เธอรู้ว่าไม่ควรบีบบังคับคนรักของตัวเองเกินไป ดังนั้นเธอจึงบอกกับเขาว่า “นี่เป็นความลับส่วนตัวของคุณหรือเปล่าคะ? ฉันเข้าใจนะ ที่รัก สามีภรรยาต้องยอมให้ต่างฝ่ายต่างมีอิสระกับความลับส่วนตัวอีกเล็กน้อย แบบนี้ถึงจะรักษาพื้นฐานความกลมเกลียวของครอบครัวได้ ดังนั้น ถ้าคุณไม่อยากพูดก็ไม่ต้องเครียดหรอกนะคะ”


ฉินสือโอวรู้สึกซาบซึ้งขนานหนัก เขาหันกลับไปจูบภรรยาที่รักหนึ่งครั้ง แล้วพูดด้วยความพึงพอใจว่า “มีภรรยาอย่างคุณเป็นโชคดีของผมแล้วจริงๆ คุณคือทรัพย์สมบัติที่พระเจ้ามอบให้ผม ที่รักครับ ผมจะรักคุณไปชั่วชีวิต!”


“ฉันก็เหมือนกันค่ะ” วินนี่ยิ้มหวานหยาดเยิ้ม หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่เธอพูดไว้ทั้งหมด เธอไม่ได้บีบบังคับฉินสือโอว แต่ไปหานีลเซ็นแทน นีลเซ็นไม่ใช่สามีของเธอสักหน่อย จะทรมานให้สารภาพออกมาก็ยังได้


ฉินสือโอวรู้เรื่องนี้ รอจนวินนี่แยกตัวออกจากนีลเซ็น เขาก็รีบเข้าไปถามทันที “นายคงไม่ได้พูดความจริงออกไปหรอกใช่ไหม?”


นีลเซ็นยิ้มและบอกกับเขาด้วยความมั่นใจว่า “วางใจเถอะครับ บอส ผมเคยได้รับการฝึกให้ต่อต้านการสอบสวนมาอย่างเข้มข้น มีทักษะต่อต้านการสอบสวนที่แข็งแกร่งมาก แต่มันกลับไม่มีประโยชน์อะไร เพราะนายผู้หญิงฉลาดเกินไป…”


พอพูดจบเขาก็ถอนหายใจด้วยใบหน้าที่โศกเศร้าราวกับจะร้องไห้ ฉินสือโอวไม่รู้จะพูดอะไรดี นี่เหมือนที่ว่ากันว่าคนน่าสงสารย่อมมีบางอย่างที่น่าชิงชังจริงๆ


หลังจากนั้นวินนี่กลับไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่ตอนท้ายเมื่อมาถึงท่าเรือ เธออุ้มเสี่ยวเถียนกวาแล้วพูดกับฉินสือโอวว่า “ที่รักคะ เรื่องไร้มนุษยธรรมบางเรื่อง คุณอย่าทำเลยจะดีที่สุดนะคะ คุณต้องเข้าใจสิ คุณเองก็มีลูกสาวเหมือนกัน ถ้าหลังจากนี้อีกหลายๆ ปีมีผู้ชายมาทำอย่างนั้นกับลูกสาวของคุณ…”


ฉินสือโอวจึงพูดอย่างเด็ดขาดว่า “ผมจะตีเขาตายแน่ คุณวางใจเถอะ ผมจะตีเขาให้ตายจริงๆ!”


“เพียงแต่” เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แล้วพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “ผมคิดว่ามันจำเป็นที่จะให้เรือผีไปวนอยู่ใกล้ๆ แพรีส ช่วงนี้มีข่าวเรือฟลาวเวอร์ฟอกซ์น้อยเกินไปแล้ว ซึ่งมันก็ช่วยเรื่องคดีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้พอดี ถ้ากระพือข่าวเรื่องเรือผีอีกสักหน่อย ผมว่าถ้าเป็นแบบนั้นคนที่กล้ามาขโมยปลาก็จะยิ่งลดน้อยลงไปอีก”


แพรีสเป็นทั้งนักข่าวและผู้จัดรายการของสำนักหนังสือพิมพ์ ถ้าเธอได้เห็นเรือผีด้วยตาของตัวเองแล้วเก็บข้อมูลไว้สักเล็กน้อย แบบนั้นจะยิ่งมีอิทธิพลต่อสาธารณชนมากขึ้น


วินนี่ลองคิดๆ ดูแล้วพูดว่า “ใช่ค่ะ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แค่อย่าทำให้เธอกลัวก็พอ พวกเราไม่ควรใช้เรือผีไปทำร้ายคนบริสุทธิ์นะคะ”


เวลาต่อมา ในใจของฉินสือโอวก็เหมือนมีหนามแหลมทิ่มแทงอยู่โดยตลอด เขาลองคิดๆ ดูอยู่หลายรอบหลังจากนั้นก็เลือกที่จะดึงหนามแหลมพวกนั้นออกมา “ที่รัก คุณพูดเองไม่ใช่เหรอครับว่าจะให้ผมรักษาความลับ”


วินนี่พยักหน้ารับแล้วพูดว่า “ก็ใช่ไงคะ ฉันจะรักษาความลับให้คุณ ฉันจะไม่เอาเรื่องนี้ไปพูดกับใคร”


ฉินสือโอวพูดอย่างไม่พอใจ “คุณก็รู้ว่าผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้”


วินนี่จึงกอดแขน แล้วพูดกับเขาอย่างอ่อนโยนว่า “ฉันเข้าใจความหมายที่คุณพูดค่ะ ฉันยอมให้คุณมีความลับได้จริงๆ แต่การตัดสินใจว่าเรื่องไหนเป็นความลับหรือไม่ใช่ความลับ ก็ต้องให้ฉันเป็นคนตัดสิน ไม่ใช่เหรอคะ?”


ฉินสือโอว “…”


ช่วงที่นีลเซ็นขอลาหยุดเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม ก่อนหน้านั้นสองวันเขาจึงยุ่งอยู่กับการทำงาน ต้องตรวจเช็กสภาพการทำงานของอุปกรณ์ของเรือยอชต์ทรอลเลอร์นกนางนวลก่อนเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมและเครื่องมือกำหนดตำแหน่งจีพีเอส ถ้าของทั้งสองอย่างนี้เกิดปัญหาขึ้น แบบนั้นคงได้แต่ร้องไห้ไม่มีน้ำตาอยู่ในสนามรบบนมหาสมุทรที่กว้างใหญ่


ตรวจเช็กดูแล้วว่าอุปกรณ์ไม่มีปัญหา นีลเซ็นจึงเริ่มเติมน้ำมันพืช น้ำจืดและอาหารเข้าไปไว้ในเรือ วันที่สิบเดือนพฤษภาคมแพรีสมาถึงฟาร์มปลา ของที่เธอนำติดตัวมาด้วยนอกจากกระเป๋าเดินทาง ก็ยังมีกล่องขนาดเท่าตู้เย็นเครื่องใหญ่อีกสองใบ


มองเห็นกล่องพัสดุพวกนี้ นีลเซ็นจึงถามเธอด้วยความประหลาดใจว่า “นี่คืออะไรครับ?”


แพรีสไหวไหล่บอกกับเขาว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”


นีลเซ็นถลึงตา “คุณไม่รู้? ของของคุณแต่คุณไม่รู้เนี่ยนะ?”


แพรีสกลอกตาใส่เขาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย แล้วพูดว่า “ใครบอกคุณว่านี่คือของของฉัน? นี่คือพัสดุที่คนอื่นส่งมาให้ฉินกับวินนี่ต่างหาก ตอนนั้นบริษัทขนส่งอยู่ที่ท่าเรือพอดี พวกเราได้เจอกัน ฉันเลยช่วยเซ็นรับแทน”


เกาะแฟร์เวลอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่ โดยทั่วไปแล้วพัสดุจะถูกส่งมาเก็บไว้ที่ท่าเรือเหมือนกันหมด หลังจากนั้นก็จะหาคนมาเซ็นรับท้ายที่สุดก็จะส่งเข้ามาพร้อมกัน


ได้ยินว่ามีพัสดุของตัวเอง ฉินสือโอวจึงเดินออกมาอย่างงงๆ เขากำลังจะแกะกล่อง ทว่าลูกสมุนไวส์กลับยื่นมือออกมาด้วยท่าทีเคร่งขรึม “อาจารย์ ให้อานีลเซ็นมาเปิดเถอะครับ”


“ทำไมล่ะ?” ฉินสือโอวถามเขาด้วยความประหลาดใจ


ไวส์พูดด้วยท่าทีจริงจัง “ตอนนี้คุณเป็นผู้นำของสมาคมอิสระของพวกเรา ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยด้วย ดูสิ กล่องใบนี้มันดูแปลกๆ ประหลาดๆ ถ้าข้างคือระเบิดล่ะ?”


นีลเซ็นรู้สึกหงุดหงิดแล้ว “ถ้าเป็นระเบิดก็ระเบิดพวกเราตายไงเล่า?”


ไวส์พูดเอาอกเอาใจเขา “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะจดจำการเสียสละของคุณไว้ คุณวางใจเถอะ ส่งแพรีสมาให้ผมกับอาจารย์ พวกเราจะดูแลเธอให้ดีเอง”


นีลเซ็นบิดหูไวส์ด้วยความโมโหจนเจ้าเด็กน้อยร้องเสียงดังออกมา กอร์ดอนที่อยู่ห่างออกไปไกลๆ ก็หัวเราะเสียงดังฮ่าๆ ออกมา “แล้วลมปราณของนายล่ะ? ไวส์ ไหนลมปราณของนาย? รีบใช้ดรรชนีกระบี่หกชีพจรจิ้มเขาให้ตายเลยสิ”


ฉินสือโอวตะโกนเรียกกอร์ดอนให้เขาเข้ามาแกะกล่อง ขณะที่กำลังแกะกล่องกอร์ดอนก็ถามเขาด้วยความประหลาดใจว่า “นี่มันง่ายมากเลยนะ ทำไมต้องให้ผมมาทำด้วยล่ะ? เป็นการฝึกทักษะการใช้มือของผมเหรอ?”


ฉินสือโอวส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ใช่ ฉันคิดว่าไวส์พูดถูก ถ้าข้างในเป็นระเบิดล่ะจะทำอย่างไร?”


กอร์ดอน “ฉิน คุณเป็นผู้ปกครองที่ดีจริงๆ เลยนะครับ!”


หลังจากเปิดกล่องออก ข้างในเป็นของจำพวกฟิล์มพลาสติกหนาๆ แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนก้อนใหญ่กับโครงค้ำยันพลาสติกแข็ง


ฉินสือโอวไม่รู้ว่ามันคืออะไร กอร์ดอนเห็นคู่มือจึงลองอ่านๆ ดู หลังจากนั้นก็พูดด้วยความงงงวยว่า “นี่คือกระท่อมแคปซูลพลังงานต่ำ ผลิตจากสโลวาเกีย อะไรคือกระท่อมแคปซูล? ใช่แคปซูลอเนกประสงค์ในดราก้อนบอลหรือเปล่า?”


ฉินสือโอวก็ไม่รู้เหมือนกัน เขากำลังจะลองศึกษาดู แต่ก็มีสายของบิลลี่โทรเข้ามาเสียก่อน พอกดรับสาย บิลลี่ก็ใช้น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นพูดกับเขาว่า “เฮ้ เพื่อน บริษัทขนส่งแจ้งกับฉันว่านายได้รับพัสดุแล้ว? เป็นอย่างไรบ้าง ของขวัญที่พวกเราส่งให้นายไม่เลวเลยใช่ไหม?”


ลองมองดูของเศษเล็กเศษน้อยที่อยู่ในกล่องสองใบตรงหน้า เขาก็ถึงบางอ้อในทันที “กระท่อมแคปซูลอันนี้คือของขวัญที่พวกนายส่งมาให้ฉันเหรอ?”


บิลลี่กล่าวว่า “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ฉันกล้าพนันเลยว่า นายกับวินนี่จะต้องชอบของชิ้นนี้แน่ๆ นี่เป็นกระท่อมวิเศษที่พวกเราหามาได้อย่างยากลำบาก! นายลองประกอบมันดู ถ้าประกอบไม่ได้ข้างในหนังสือคู่มือมีเบอร์ศูนย์ให้บริการลูกค้าอยู่ โทรให้เขามาสอนนายได้”

 

 


บทที่ 1124 กระท่อมแคปซูล

 

วางสายโทรศัพท์แล้ว ฉินสือโอวลองเข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อเสิร์ชหากระท่อมแคปซูลอันนี้ มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องอยู่ไม่มาก ล้วนแต่เป็นการนำเสนอข่าวแบบเดียวกัน รายงานว่าทีมสถาปนิกของสโลวาเกียที่ตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมได้พัฒนากระท่อมแคปซูลพลังงานต่ำที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เอง


ดูจากข่าวบนอินเทอร์เน็ต เพียงแค่กระท่อมแคปซูลชนิดนี้เผยโฉมหน้าออกมาก็สามารถดึงดูดความสนใจได้อย่างบ้าคลั่ง แต่เพื่อที่จะปกป้องกรรมสิทธิ์ของเทคโนโลยี ข้อมูลรายละเอียดของกระท่อมจึงไม่ได้ถูกเปิดเผยบนอินเทอร์เน็ต มีแค่การรายงานข่าวอย่างคร่าวๆ เท่านั้น


และตามการรายงานข่าว กระท่อมรุ่นนี้จะเข้าสู่การทดลองผลิตในช่วงปลายปีนี้ ปีหน้าถึงจะรับการสั่งจองล่วงหน้าจากลูกค้า แต่พวกบิลลี่ส่งกระท่อมมาให้แล้ว ดูท่าว่าพวกเขาคงจะใช้คอนเน็คชันเพื่อแย่งชิงของสิ่งนี้มาก่อนเป็นการภายใน


ฉินสือโอวลากกล่องทั้งสองใบมาไว้ที่ชายหาด แล้วเรียกพวกเด็กๆ ทั้งหลายกับพวกทหารรับจ้างให้มาช่วยกันประกอบกระท่อม


คู่มือของกระท่อมเป็นหนังสือเล็กๆ เล่มหนาๆ ดูแล้วน่าจะประกอบได้ยากมาก ฉินสือโอวมีพวกทหารคอยช่วย ลงแรงอย่างหนักถึงเพิ่งจะประกอบกระท่อมได้สำเร็จ


ลักษณะภายนอกของกระท่อมคล้ายๆ กับไข่ไก่ แน่นอนว่าตั้งเป็นไข่ไก่ขนาดยักษ์ ยาวประมาณห้าเมตร กว้างราวๆ สองเมตรครึ่ง สูงสามเมตร ไม่เหมาะที่จะใช้แคปซูลกับกระท่อมมาบรรยายลักษณะของมัน ควรจะเรียกมันว่าห้องนอนขนาดใหญ่ที่มีประโยชน์ใช้สอยครบครันมากกว่า


ฉินสือโอวไม่รู้ว่ากระท่อมหลังนี้ทำมาจากวัสดุอะไร เขานึกว่าเป็นผ้าใบพลาสติก แต่ขณะที่กำลังประกอบก็พบว่าไม่ใช่ น่าจะเป็นพลาสติกชีวภาพชนิดใหม่ สามารถกันความร้อนและระบายอากาศได้ดีมาก


บนหลังคาด้านนอกของกระท่อมคือแผงโซลาร์เซลล์ประสิทธิภาพสูงทั้งหมด ดูเหมือนว่ามีพื้นที่ไม่มาก อัตรากำลังการผลิตไฟฟ้าที่สามารถผลิตได้สูงถึง 1000 วัตต์เลยทีเดียว หลังจากติดตั้งเสร็จพอแสงอาทิตย์ส่องลงมาก็เริ่มเก็บสะสมพลังงานไฟฟ้าได้แล้ว


ใต้แผงโซลาร์เซลล์ก็คือแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ด้านข้างมีกังหันลมขนาดเล็กอยู่หนึ่งต้น ในการทำงานปกติสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ถึง 750 วัตต์ อาศัยอยู่ในกระท่อมริมชายหาดแบบนี้ ภายในหนึ่งปีไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องแหล่งพลังงานเลย


ลมทะเลที่พัดมาอย่างไม่ขาดสายสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าให้กระท่อมได้อย่างเพียงพอต่อการใช้งาน ใบพัดของกังหันลมขนาดเล็กพัดหมุนส่งเสียงหวูดๆ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนไฟแสดงสัญญาณบ่งชี้ของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนก็เริ่มกะพริบส่งแสง เติมพลังงานไฟฟ้าเข้าไปจนเต็มอิ่มอย่างรวดเร็ว


ภายนอกของกระท่อมดูแล้วมีขนาดใหญ่มาก ทว่าที่จริงแล้วพื้นที่ข้างในนับว่ามีขนาดเล็กมาก มีเนื้อที่ราวๆ สิบตารางเมตรเท่านั้น เนื่องจากกระท่อมมีผนังที่หนามาก ข้างในมีผนังกั้น ระหว่างผนังกั้นก็ครอบครองพื้นที่อีกส่วนหนึ่ง


นกกระจอกแม้ตัวจะเล็กกว่าใครๆ แต่อวัยวะภายในก็มีครบสมบูรณ์[1] ข้างในกระท่อมมีเตียงคู่หนึ่งหลัง โซฟาหนึ่งตัว ทีวีจอแบนอัลตราสลิมติดผนังหนึ่งเครื่อง มีห้องครัว มีห้องน้ำแบบปุ๋ยหมัก มีแม้กระทั่งเครื่องทำน้ำอุ่น สมบูรณ์พร้อมสรรพ


ใช้ความพยายามสร้างอย่างยากลำบาก ฉินสือโอวเดินเข้าไปจากทางเข้าหลัก ทางซ้ายมือเป็นห้องครัว เดินผ่านผนังกั้นพลาสติกเข้ามา ข้างๆ ห้องครัวเป็นห้องน้ำ เลี้ยวขวาไปจะเป็นห้องรับแขก ข้างในมีโต๊ะทำงานกับโซฟา ตรงข้ามแขวนโทรทัศน์ไว้หนึ่งเครื่อง เนื้อที่ค่อนข้างกว้างขวาง


เตียงคู่แบบพับได้ถูกแขวนไว้บนผนังห้องนั่งเล่น ถึงตอนกลางคืน โต๊ะกับโซฟาถูกพับไว้ในห้องรับแขก ถ้าวางเตียงคู่ลง ก็จะกลายเป็นห้องนอนแล้ว ถึงแม้ว่าจะปรับเปลี่ยนลำบากนิดหน่อย แต่ก็ใช้งานได้จริง


ด้านหน้าและด้านหลังกระท่อม ที่ส่วนหัวและส่วนท้ายทรงไข่ก็มีผนังกั้นห้อง สามารถนำมาใช้เป็นห้องเก็บของได้ทั้งคู่


ถ้าไม่มีของที่จะเก็บ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถปรับเปลี่ยนห้องเล็กๆ ทั้งสองห้องได้ ให้กลายเป็นห้องเด็กกับห้องสำหรับสัตว์เลี้ยง


ภายในห้องเล็กใช้การตกแต่งอย่างดี พื้นบ้านเป็นวัสดุไม้ ทุกๆ ชิ้นส่วนมีการออกแบบเหมือนกันหมด หากไม่ได้ใช้งานกระท่อม ก็สามารถบีบอัดให้เล็กลงแล้วจัดเก็บได้ แผ่นไม้พวกนี้เมื่อถึงเวลานำมาประกอบ ก็จะกลายเป็นกล่องไม้กระดาน


นอกจากนี้ กระท่อมแคปซูลที่ใช้การออกแบบเป็นรูปไข่ ไม่เพียงแต่สามารถกำบังลมได้ แต่ยังสามารถเก็บน้ำฝนและน้ำค้างได้อีกด้วย ในห้องครัวมีระบบกรองน้ำผ่านแผ่นคัดกรอง หลังจากผ่านการจัดการแล้ว สามารถนำน้ำพวกนี้ไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง


ฉินสือโอวกับพวกเด็กๆ เข้าไปข้างในแล้วลองไปนั่งบนโซฟา หลังจากแบตเตอรี่ลิเธียมเก็บสะสมไฟฟ้าพอแล้ว พวกเขาก็เปิดโทรทัศน์ดู ในตอนนี้ถ้าเปิดหน้าต่างออกอีกครั้ง ภายในกระท่อมหลังนี้ก็จะเป็นเหมือนดินแดนมหัศจรรย์อีกดินแดนหนึ่ง


แน่นอนล่ะว่า นี่เป็นเพราะเพิ่งจะเข้ามาอาศัยอยู่ในที่พักที่แปลกใหม่ ถ้าอยู่ไปนานๆ ก็คงไม่มีใครทนได้ เพราะภายในกระท่อมมันน่าอุดอู้เกินไป


บูลเข้ามาเดินชมภายในกระท่อมแล้วรอบหนึ่ง เขาจุ๊ปากด้วยความชื่นชมแล้วพูดว่า “ของเล็กๆ ชิ้นนี้ไม่เลวเลย ราคาเท่าไรเหรอครับ? ผมก็อยากซื้อสักอันเหมือนกัน ต่อไปถ้าพาลูกขึ้นเขาไปตั้งแคมป์ต้องใช้ของแบบนี้ถึงจะดี”


ฉินสือโอวก็ไม่รู้ราคาเช่นกัน เขาถามบิลลี่ แต่บิลลี่ไม่ยอมบอก ฉินสือโอวจึงบอกเขาไปว่าช่วยถามให้คนอื่น มีคนอยากซื้อ


บิลลี่หัวเราะเสียงดัง พูดกับเขาว่า “ปีหน้าค่อยว่ากันเถอะ ปีนี้หาซื้อไม่ได้หรอก เป็นเพราะความบังเอิญเหมือนกันฉันถึงซื้อกระท่อมหลังนี้มาได้”


ฉินสือโอวยังไม่ยอมแพ้ เขาโทรศัพท์ไปหาเจนนิเฟอร์จากบริษัทอเมริกันเอ็กเพรส เพื่อถามว่าเธอจะช่วยสั่งทำกระท่อมแคปซูลสักหลังได้ไหม


เจนนิเฟอร์ขอช่องทางการติดต่อของโรงงานผู้ผลิต กระท่อม หลังจากนั้นก็โทรกลับเข้ามาแล้วพูดอย่างจนปัญญาว่า “ยากมากค่ะ ฉิน การจัดการผลิตที่เร็วที่สุดต้องรอจนถึงฤดูหนาวถึงจะนำสินค้าออกมาขายได้ คุณรอไหวไหมคะ?”


ฉินสือโอวหันไปถามบูล บูลพยักหน้าบอกว่ารอได้ ดังนั้นเขาจึงถามต่ออีกว่า “แล้วกระท่อมหลังนี้ราคาเท่าไรครับ?”


“แปดแสนสี่หมื่นดอลลาร์สหรัฐค่ะ”


“เท่าไรนะ?!”


“ตอนนี้คุณใช้รุ่นที่มีความหรูหราอยู่ค่ะ ราคาแปดแสนสี่หมื่นดอลลาร์สหรัฐ แต่ถ้าเป็นรุ่นธรรมดา จะมีราคาแค่สี่แสนดอลลาร์สหรัฐ แต่ไม่ได้ใหญ่เท่านี้ วัสดุที่ใช้ก็ไม่ได้ดีขนาดนี้ด้วยค่ะ” เจนนิเฟอร์แนะนำข้อมูลอย่างคร่าวๆ


ฉินสือโอวบอกราคาให้บูลฟัง บูลก็ตะลึงตาค้างในทันที “วอทเดอะฟัค แปดแสนสี่หมื่นดอลลาร์สหรัฐ ผมซื้อวิลล่าได้เลยหลังหนึ่ง!”


เป็นเช่นนั้นจริงๆ แปดแสนสี่หมื่นดอลลาร์ราคาเท่านี้ก็น่ากลัวอยู่หน่อยๆ ฉินสือโอวรู้ว่าพวกบิลลี่ไม่มีทางส่งของราคาถูกมา แต่เขาไม่คิดว่ากระท่อมทรงไข่ไก่หลังนี้จะมีราคาแพงหูฉี่ได้ขนาดนั้น


เขาไม่รู้ว่า บ้านราคาแพงขนาดนี้ทำมาขายให้ใคร คนเร่ร่อน? คนที่ชื่นชอบการตั้งแคมป์เป็นงานอดิเรก? คนเหล่านั้นมีกำลังซื้อขนาดนี้เลยเหรอ?


แต่เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้แล้ว หลังจากประกอบกระท่อมเสร็จ เขาก็มองดูผลของความเหน็ดเหนื่อยด้วยความรู้สึกชื่นใจ แล้วพูดด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจว่า “ดูสิ ว่าพวกเราเจ๋งขนาดไหน ที่สร้างกระท่อมขึ้นมาได้แบบนี้”


พาวลิสกับมิเชลกำลังเก็บกวาดเศษชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ในกล่องพัสดุ พวกเขาเจอแผ่นซีดีแผ่นหนึ่ง จึงส่งให้ฉินสือโอวแล้วถามว่า “นี่คืออะไรเหรอครับ? พวกเราเจอมันอยู่ที่ใต้กล่อง”


ฉินสือโอวใส่มันเข้าไปในคอมพิวเตอร์เพื่อเปิดดู สาวสวยคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้น ข้างกายมีกระท่อมหลังหนึ่งที่ประกอบเสร็จแล้ว หลังจากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาว่า “ยินดีต้อนสู่การสั่งซื้อกระท่อมแคปซูลพลังงานต่ำจากสโลวาเกียค่ะ ตอนนี้คุณได้รับสินค้าแล้วใช่ไหมคะ? ถ้าอย่างนั้น ต่อไปจะขอเชิญคุณมาศึกษาวิธีประกอบไปพร้อมกับพวกเรากันนะคะ…”


ฉินสือโอวปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กด้วยใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวเพราะความโกรธ แม่งเอ๊ย กระท่อมหลังนี้มีวิดีโอสอนการประกอบด้วยเหรอ? บิลลี่ไอ้คนหลอกลวงบอกให้เขาเข้าไปค้นหาวิธีการประกอบจากในอินเทอร์เน็ต เขาก็หาไม่เจอ ที่แท้ทางโรงงานส่งซีดีสอนการประกอบมาให้นี่เอง


วินนี่เห็นเขามีสีหน้าที่ผิดปกติไปจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงยิ้มเจื่อนๆ แล้วอธิบายให้เธอฟังไปหนึ่งรอบ วินนี่ก็หลุดขำ ‘พรืด’ แล้วหัวเราะออกมา หลังจากนั้นก็ตบหลังเขาแปะๆ พูดว่า “โอ๋เอ๋นะคะ อย่าเศร้าไปเลย คืนนี้พวกเราเข้าไปนอนในนั้นดีไหมคะ? ตั้งไว้บนเกาะล่องแก่ง จะได้ไปพักผ่อนบนทะเล”


เกาะล่องแก่งที่การ์เซียสร้างขึ้นด้วยความตั้งอกตั้งใจ ยังไม่เคยแสดงประโยชน์การใช้งานออกมาเลยสักครั้ง ตอนนี้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ในที่สุดก็จะได้ใช้มันสักที


เมื่อได้ฟังข้อเสนอของเธอ ฉินสือโอวก็เริ่มรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบพยักหน้า พูดว่า “ดีครับๆ แบบนั้นพวกเราจะได้ใช้เวลาไปค่ำคืนที่น่าประทับใจจนลืมได้ยากแน่ๆ”


……………………………………………………..


[1]นกกระจอกแม้ตัวจะเล็กกว่าใครๆ แต่อวัยวะภายในก็มีครบสมบูรณ์ มีความหมายว่า แม้เรื่องที่ทำอยู่ หรือสิ่งที่มีอยู่ จะไม่ใหญ่โตมากมาย แต่ก็สมบูรณ์แบบในตัวของมันเอง

 


บทที่ 1125 ลอยออกทะเลไปตามคลื่น

 

ราคาที่แพงลิ่วของกระท่อมแคปซูล ขึ้นอยู่กับวัสดุของมัน ในชื่อของมันมีคำว่า ‘แคปซูล’ อยู่ข้างใน ไม่ได้มีไว้เพื่อแสดงถึงขนาดที่เล็กกะทัดรัด แต่เพื่อแสดงถึงความหายาก


กระท่อมหลังจากประกอบเสร็จแล้วมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ทว่ามีน้ำหนักค่อนข้างเบา ใช้คนแค่สองคนก็สามารถยกเดินได้แล้ว กระท่อมหลังนี้ดูแล้วมีลักษณะบวมๆ พองๆ นั่นเป็นเพราะเติมก๊าซเฉื่อยเข้าไปหลายแห่งที่เพื่อรักษาอุณหภูมิ


ฉินสือโอวขนกระท่อมมาบนเกาะล่องแก่งแล้ว วินนี่เตรียมอาหาร น้ำและเครื่องดื่มเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็พาลูกสาวไปด้วยกัน


หู่จือกับเป้าจือย่อมขาดไม่ได้อยู่แล้ว ลูกแมวป่าเองก็ตามไปด้วยใจแน่วแน่เช่นกัน ส่วนหลัวปอไปไม่ไหว มันมีความหวาดกลัวทะเลตามสัญชาตญาณของมัน ได้แต่เมียงมองอยู่ตรงท่าเรือ สุดท้ายก็ต้องเดินจากไปอย่างไม่มีความสุข


ฉงต้าไม่ได้กลัวทะเล ทว่ามันยัดตัวเองเข้าไปในกระท่อมไม่ได้ สุดท้ายมันจึงเดินเซไปเซมาขึ้นมาบนท่าเรือ เมื่อมาถึงตำแหน่งที่ตั้งของเกาะล่องแก่ง มันก็หมอบลงไปบนท่าเรือแล้วค่อยๆ ขยับอย่างช้าๆ อุ้งเท้าอ้วนๆ ทั้งสองข้างกอดเสาไม้ของท่าเรือเอาไว้ ขาเล็กสั้นก็ถีบสะเปะสะปะ กว่าจะปีนขึ้นไปได้ก็ไม่ง่ายเลย


ปรากฏว่าพอมันขึ้นไปบนเกาะล่องแก่ง เกาะพลาสติกแผ่นเล็กก็จมลงไปครึ่งหนึ่ง ทั้งหน้าและหลังไม่สามารถรักษาสมดุลได้เลย


ฉินสือโอวขยับเท้าด้วยความรวดเร็วคิดจะเตะฉงต้าลงน้ำ วินนี่ขวางเขาไว้ เธอบอกว่า “ให้ฉงต้าอยู่ด้านบนเถอะค่ะ อีกเดี๋ยวถ้ามีลมในตอนกลางคืนพัดขึ้นมา ถ้ามีฉงต้าคอยทับไว้ เกาะของพวกเราก็จะไม่ถูกพัดปลิวไปง่ายๆ”


ฉงต้ามองดูวินนี่ด้วยท่าทางแอ๊บแบ๊ว พอได้ยินที่เธอพูด มันก็ลุกยืนขึ้นแล้วส่ายสะบัดไขมันบนร่างกายเพื่อแสดงให้เห็นว่ามันแข็งแรงกำยำ ปรากฏว่าพอมันเริ่มสะบัด เกาะก็โคลงเคลงตามไปด้วย


ฉินสือโอวยิ้มอย่างจืดเจื่อน เขาไม่ได้กังวลว่าเกาะน้อยจะถูกลมทะเลพัด กลัวแค่ว่าตอนกลางคืนฉงต้าจะไม่ยอมนอนดีๆ จนกดให้เกาะล่องแก่งพลิกคว่ำ!


ใช้เวลาไปกับการประกอบกระท่อม ในตอนนี้นีลเซ็นขับเรือพาแพรีสออกไปแล้ว เมื่อไม่มีเรือนกนางนวล หน้าที่ในการลากเกาะล่องแก่งจึงมอบให้เรือฮาวิซท เรือลาดตระเวนอย่างเรือแฟร์เวลมีแรงม้าที่ไม่มากพอ ใช้เรือประมงกับเรือครูซจะมีประโยชน์กว่า


พลบค่ำ พระอาทิตย์เฉียงไปทางทิศตะวันตก และเริ่มชิดเข้ากับผิวทะเล


ฉินสือโอวสตาร์ทเรือฮาวิซท ก่อนหน้านี้เรือประมงลำนี้เพิ่งจะได้รับการปรับแก้ เปลี่ยนให้เป็นเรืออวนลากจับสัตว์ทะเลหน้าดิน ต่อไปจะสามารถจับสัตว์ทะเลหน้าดินจำพวกปู กุ้งมังกรและปลาหัวเมือกได้


ขณะเดียวกันกับตอนที่อุตสาหกรรมต่อเรือโพไซดอนปรับแก้เรือฮาวิซท ก็ยังทำการบำรุงรักษา และทาสีตัวเรือใหม่อีกครั้งด้วย ดูแล้วเหมือนเรือลำใหม่ไม่มีผิด


ฉินสือโอวไม่ได้ออกห่างจากริมชายฝั่งไปไหนไกล ถึงยังไงในมหาสมุทรก็ดูเหมือนๆ กันหมด ใกล้หรือไกลวิวทิวทัศน์ก็ไม่ได้แตกต่างกัน เขาลากเกาะล่องแก่งให้ไกลออกมาจากท่าเรือสองกิโล หลังจากนั้นก็หาเนินดินใต้ทะเลแล้วทิ้งสมอเรือลงไป ยึดเรือกับเกาะล่องแก่งไว้กับที่


ทางฝั่งฉินสือโอวกำลังยุ่งอยู่กับการจอดเรือประมง ส่วนทางวินนี่ก็กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารเย็นให้พวกเด็กๆ หู่จือเป้าจือ ฉงต้า ต้าป๋าย ราชาเจ้าป่าซิมบ้า นั่งอยู่ข้างๆ อย่างเชื่องๆ ในปากคาบกะละมังใส่อาหารของตัวเองไว้ รอให้อาหารขึ้นโต๊ะ


แสงอาทิตย์อบอุ่นในยามเย็นส่องแสงลงมาบนเกาะพลาสติกและบนร่างกายของเหล่าสัตว์เลี้ยง ฉินสือโอววางงานในมือลงแล้วนอนลงคว่ำหน้าลงไปบนแคมเรือ มองดูวินนี่ที่กำลังยุ่งอยู่ด้วยความเคลิบเคลิ้ม เขาหวังจริงๆ ว่ากาลเวลาจะหยุดอยู่ที่ตรงนี้ให้นานอีกสักหน่อย


เสี่ยวเถียนกวาไม่ได้ออกทะเลครั้งแรก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกทะเลหลังจากที่เธอคลานเป็น ฐานล่างของเกาะล่องแก่งเป็นของจำพวกแผ่นพลาสติกกับขวดพลาสติก เพียงแต่ว่าฉินสือโอวใช้ที่เคลือบพลาสติกทาไว้ พื้นผิวด้านนอกจึงเรียบและเกลี้ยงเป็นมัน


ดังนั้นเมื่อหมอบอยู่บนเกาะพลาสติก เสี่ยวเถียนกวาจึงสามารถลุกคลานได้ง่าย เธอร้องแอ๊ๆ แล้วถลันเข้าไปหาริมขอบ


โดยปกติแล้วจะมีหลัวปอหมาป่าขาววัยกำลังโตคอยจับตาดู ขอบเขตพื้นที่ในการขยับตัวของเสี่ยวเถียนกวาถูกจำกัดไว้ที่โซฟาหรือไม่ก็เตียงเล็กๆ ตอนนี้มาอยู่บนเกาะพลาสติกไม่มีแม่นมน่ารำคาญอย่างหลัวปออยู่ด้วย เสี่ยวเถียนกวาสัมผัสได้ถึงมหาสมุทรกว้างใหญ่และท้องฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา เธอจึงตะลุยคลานไปทั่วทุกที่


วินนี่อุ้มเธอกลับมา แต่ปรากฏว่าพอไม่ได้ดู เธอก็คลานออกไปอีก


นี่ทำให้วินนี่ทรมานจนแทบแย่แล้ว จึงตะโกนออกไปหาฉินสือโอวอย่างหมดปัญญาว่า “คุณดูลูกสาวคุณไว้ให้ดีสิคะ พระเจ้า ทำไมเธอถึงได้มีพละกำลังเหลือเฟือขนาดนั้น? พอกลับไปฉันจะต้องพาเธอไปเข้าร่วมงานแข่งคลานของเด็กๆ ให้ได้เลย!”


ฉินสือโอวเรียกราชาเจ้าป่าซิมบ้ามา บอกใบ้ให้มันดูเสี่ยวเถียนกวาไว้ให้ดี


ราชาเจ้าป่าซิมบ้ามองเขาอย่างงงงวย หลังจากเข้าใจความหมายมันก็ส่ายหัวไม่หยุด เสี่ยวเถียนกวาคือปีศาจร้ายที่สิงอยู่ในร่างมนุษย์ เธอจ้องแต่จะดึงขนรอบๆ หูของมัน และสำหรับแมวป่าแล้วนั่นยังเป็นของที่สำคัญมาก ดังนั้นมันจึงไม่ยอมเดินเข้าไปติดกับเอง


ฉินสือโอวจับราชาเจ้าป่าซิมบ้าตัวอ้วนตุ๊ต๊ะขึ้นมาแล้วฟาดมือลงไปบนก้นของมันสองป้าบ ลูกแมวป่าแยกเขี้ยวยิงฟันร้องออกมาสองครั้ง แล้วตามเสี่ยวเถียนกวาไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ พอเธอจะคลานออกไปข้างนอก มันก็อ้าปากงับเอวกางเกงของหนูน้อยเอาไว้แล้วลากกลับไป


ถูกลากกลับมาสองครั้ง เสี่ยวเถียนกวาจึงเปลี่ยนความสนใจ เธอถลึงตาโตๆ จ้องมองราชาเจ้าป่าซิมบ้าด้วยความตั้งใจ ลูกแมวป่าก็หดตัวไปข้างหลังอย่างลืมตัว สัญชาตญาณของมันบอกว่าท่าจะไม่ได้แล้ว


แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสี่ยวเถียนกวาลุกขึ้นคลานอีกครั้ง และครั้งนี้ก็คือการไล่ตามลูกแมวป่า เมื่อตามทันก็กอดมันไว้ แล้วยื่นมือออกไปจับขนรอบๆ หูของมัน


ราชาเจ้าป่าซิมบ้ารีบร้องขอความช่วยเหลือจากวินนี่ เธอจึงต้องเข้ามาอุ้มเสี่ยวเถียนกวาขึ้นมา ปล่อยให้ราชาเจ้าป่าซิมบ้าหนีไป


ฉินสือโอวยิ้มกริ่มมองดูภาพเหตุการณ์นี้ เขาไปหยิบเอาเบ็ดตกปลามา เอาเบ็ดตกปลาออกไปข้างนอกเตรียมตัวจะติดตะขอ พอเห็นแบบนี้วินนี่จึงพูดด้วยความไม่พอใจว่า “ทำไมคุณถึงยังมีกะจิตกะใจจะตกปลาอยู่อีกคะ? รีบมาช่วยดูลูกสิ”


ฉินสือโอวจงใจไม่เข้าไปหา วินนี่จึงเข้ามาแย่งเหยื่อตกปลาของเขา เธอโบกมือพร้อมกับพูดอย่างอวดดีว่า “เอาสิ คุณตกปลาต่อไปสิคะ”


เมื่อเห็นแบบนี้ ฉินสือโอวก็หัวเราะออกมา เขาพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “คุณคิดว่าพอเป็นแบบนี้ผมก็จะตกปลาไม่ได้แล้วเหรอครับ? ดูให้ดีล่ะ วันนี้สามีจะมอบบทเรียนให้คุณเอง!”


วินนี่ไม่เชื่อว่าเขาจะตกปลาขึ้นมาได้โดยที่ไม่ใช้เหยื่อตกปลา ปลาทะเลแตกต่างกับปลาในแม่น้ำ มีพื้นที่ในการเคลื่อนไหวมากเกินไป ไม่มีของที่สามารถล่อลวงพวกมันให้มาติดกับได้ ไม่มีทางตกพวกมันขึ้นมาได้ง่ายๆ แน่


ฉินสือโอวลุกยืนขึ้นแล้วโบกมือขึ้นไปบนฟ้า แค่แป๊บเดียว บุชกับนิมิตส์ที่บินอยู่บนฟ้าก็บินดิ่งลงมา


นกอินทรีหัวขาวมีสายตาที่ดีมาก ขอเพียงอยู่ในวิสัยทัศน์ของมัน ฉินสือโอวจะทำท่าทางมือยังไงมันก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนทั้งนั้น


หลังจากบินดิ่งลงมา บุชไม่ได้ร่อนลงมาอยู่ข้างๆ ฉินสือโอวอย่างนิมิตส์ มันบินวนอยู่บนเกาะล่องแก่งไม่กี่รอบ ต่อจากนั้นก็กระพือปีกลอยตัวขึ้นไปในอากาศอีกครั้งทันที


วินนี่ทำหน้าตาล้อเลียนฉินสือโอว แล้วพูดด้วยรอยยิ้มจากความยินดีที่เห็นเขาเดือดร้อน “ดูสิคะ ลูกของคุณทิ้งคุณไปแล้ว ที่ผ่านมาใครบอกให้คุณไม่ดูแลพวกมันให้เองดีล่ะ”


ฉินสือโอวยิ้มอย่างมีเลศนัยแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา แล้วนั่งสางขนให้นิมิตส์อยู่บนเกาะล่องแก่งอย่างสบายอกสบายใจ


ผ่านไปประมาณสองนาที บุชก็บินกลับมาอีกครั้งแล้ว เหมือนกับเครื่องบินทิ้งระเบิดที่บินดิ่งลงมา หลังของนกอินทรีหัวขาวบินแฉลบผ่านอาทิตย์อัสดงด้วยความเร็วสูง พลังอำนาจแบบนั้นทำให้คนต้องอุทานด้วยความชื่นชม โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่บนร่างกายของมันถูกพรมไปด้วยแสงอาทิตย์สีแดงเพลิง บอกว่ามันเป็นวิหคเพลิงก็ไม่เกินไปนัก!


วินนี่คว้าโอกาสหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปมันไว้ บุชลดความเร็วลงขณะที่กำลังลอยตัวอยู่ในอากาศ เปิดกรงเล็บออกหลังจากบินลงมาถึงเหนือศีรษะของฉินสือโอว ปลาแฮร์ริ่งยาวยี่สิบเซนติเมตรกว่าๆ ก็ถูกปล่อยลงมาข้างล่าง


ฉินสือโอวหยิบปลาแฮร์ริ่งออกมาหั่นเป็นท่อน แขวนมันไว้บนตะขอแล้วโชว์ให้วินนี่ดู “ดูสิ ไม่ว่าเมื่อไรลูกก็รักผมอยู่ตลอด ผมเป็นพ่อของเขา ผมไม่ได้ดูแลก็ไม่เห็นเป็นไร”


วินนี่กอดแขนทั้งสองข้างพร้อมกับเม้มปากยิ้ม เธอพูดกับเขาว่า “พูดจริงๆ นะคะ ที่รัก บางครั้งฉันก็อยากตีคุณจริงๆ!”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)