พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1117-1120

 บทที่ 1117 รังเกียจแทบแย่

โดย

Ink Stone_Fantasy

ข่าวที่เหมือนจะใช่แต่ความจริงไม่ใช่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปสืบมาอย่างไร คาดว่าขนาดเหมียวอี้ได้ยินแล้วยังต้องงง ขนาดขาของโค่วเหวินหลานเขายังเกาะได้ไม่แน่นด้วยซ้ำ แล้วจะไปเกาะขาของอ๋องสวรรค์โค่วเมื่อไรกัน?


แต่จะว่าไปแล้ว อวิ๋นจือชิวให้เวลาพวกเขาสืบข่าวเพียงสามวันเท่านั้น ภายในสามวันจะสืบอะไรได้ล่ะ? พวกเขาไม่คุ้นเคยกับสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของที่นั่น ข่าวที่ได้ฟังมาก็เป็นสิ่งที่พูดตามๆ กันมาเช่นกัน คนที่รู้เรื่องราวเบื้องลึกจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องมีภูมิหลังอยู่บ้าง แต่อีกฝ่ายจะมาพูดเรื่องราวเบื้องลึกเกี่ยวกับคนระดับสูงของตำหนักสวรรค์ให้คนนอกอย่างพวกเขาฟังได้อย่างไร คนส่วนใหญ่ที่อยู่ระดับล่างลงมาต่างก็คิดว่าเหมียวอี้เกาะขาอ๋องสวรรค์โค่วทั้งนั้น


ตอนยังไม่ได้ฟังก็ไม่รู้ แต่พอได้ฟังว่าเหมียวอี้ได้เกาะขาอ๋องสวรรค์โค่ว ทั้งยังได้รับแต่งตั้งจากราชันสวรรค์ ซือถูเซี่ยวก็กลืนน้ำลายทันที โดยทั่วไปมีเพียงนักพรตระดับบงกชรุ้งเท่านั้นถึงจะถูกแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบของตำหนักสวรรค์ แต่เหมียวอี้ได้เป็นแล้วงั้นเหรอ?


ตอนที่ยังรู้รายละเอียดของเหตุการณ์ ก็ยังยโสโอหังมองไม่เห็นหัวใคร แต่หลังจากได้รู้ถึงโครงสร้างของพิภพใหญ่คร่าวๆ ถึงได้พบว่าหนึ่งในหกปราชญ์ของพิภพเล็กอย่างตนมีอยู่ถมเถไป ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรทั้งนั้น ราชันสวรรค์กับอ๋องสวรรค์เป็นตัวละครแบบไหนล่ะ ขนาดนักพรตบงกชรุ้งยังเพียงพอที่จะทำให้เขาเคารพเลื่อมใส มิหนำซ้ำยังเป็นราชันสวรรค์กับอ๋องสวรรค์ นั่นคือตัวละครระดับบนสุดในบรรดานักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเชียวนะ จามทีเดียวก็ทำให้พวกเจ้าตายได้แล้ว


ซือถูเซี่ยวไม่มีทางบรรยายความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้ได้ จึงกล่าวถามช้าๆ ว่า “เรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราได้ไปสืบมาบ้างหรือเปล่า?”


“พอพูดถึงเรื่องนี้ ศิษย์ก็ยังอกสั่นขวัญแขวนอยู่เลย!” หวังเต้าหลินทำท่าทางตกใจหวาดผวา “อาจารย์! เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเรามีประวัติความเป็นมาไม่ธรรมดาที่พิภพใหญ่ ไม่น่าเชื่อว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของหกปราชญ์จะเป็นหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่”


“หกเคล็ดวิชาพิเศษ?” ซือถูเซี่ยวสีหน้าท่าทางฮึกเหิม ถามว่า “อาจจะถูกจัดให้เป็นเคล็ดวิชาระดับบนๆ ของพิภพใหญ่เลยหรือเปล่า?”


“เป็นเคล็ดวิชาระดับบนๆ ได้อยู่แล้ว หกเคล็ดวิชาพิเศษเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนของหกมหาราชัน ผู้ซึ่งเคยปกครองพิภพใหญ่ แต่หกมหาราชันถูกราชันสวรรค์กับประมุขพุทธะโค่นล้มไปแล้ว คนที่มีความเกี่ยวข้องกับหกมหาราชันล้วนถูกยัดข้อหาโจรกบฏ ถูกมองเป็นกากเดนที่ยังไม่ถูกกำจัด!” หวังเต้าหลินยิ้มขื่นขม “เหมียวอี้พูดไม่ผิด เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราไม่สะดวกจะเผยแพร่ที่พิภพใหญ่จริงๆ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นโจรกบฏทันที จะโดนตำหนักสวรรค์ส่งทหารมาล้อมปราบ!”


“โจรกบฏ…” ซือถูเซี่ยวงงเป็นไก่ตาแตก ตัวเองยังไม่เคยไปที่พิภพใหญ่เลย และเพิ่งจะรู้ด้วยว่ามีตัวละครอย่างหกมหาราชัน ใครจะคิดว่าจะกลายเป็นโจรกบฏของพิภพใหญ่โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แบบนี้จะไปเรียกร้องความยุติธรรมที่ไหนได้ล่ะ? ถ้าอย่างนั้นพิภพใหญ่ที่เคยใฝ่ฝันมาตลอด จะไปหรือไม่ไปดีล่ะ? ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้จึงไม่สนใจเคล็ดวิชาของเขา ให้เขากอดไว้เล่นเอง เพราะลองดีกับเคล็ดวิชาของพวกเขาไม่ไหวจริงๆ ด้วย…


ในห้องพักของปราชญ์เซียนมู่ฝานจวิน


หลังจากได้ฟังลูกศิษย์ตัวเองเล่าจบแล้ว มู่ฝานจวินก็ถามอย่างประหลาดใจสงสัยว่า “ถ้าพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าเหมียวอี้มีอำนาจที่พิภพใหญ่ไม่น้อยเลยจริงๆ เหรอ?”


จงเจิ้นพยักหน้า “เป็นแบบนั้นจริงๆ ขอรับ ทุกคนยอมรับกันโดยทั่วไป ตลาดสวรรค์เป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของพิภพใหญ่ และเป็นแหล่งที่ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ที่สุดด้วย ถ้าเป็นคนที่ไม่มีภูมิหลัง คิดอยากจะเป็นผู้บัญชาการสักเขตก็ยังยากเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้บัญชาการใหญ่ที่คอยบัญชาการทั้งตลาดสวรรค์! เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ทางนั้นเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเรื่องหนึ่ง พิภพใหญ่ในตอนนี้ยังคงพูดคุยถึงประเด็นนี้ไม่หยุด คนที่สัญจรไปมาที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนต่างก็กำลังพูดคุยกันเรื่องเหมียวอี้”


“หมายความว่าอย่างไร?” มู่ฝานจวินรีบถาม


จงเจิ้นเล่าว่า “ว่ากันว่าพวกผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์อยากได้ตำแหน่งผู้บัญชาการสี่เขตเมืองของตลาดสวรรค์ จึงส่งคนมาหาเหมียวอี้เพื่อขอให้อำนวยความสะดวก แต่เหมียวอี้ไม่ไว้หน้า ผลปรากฏว่ากลุ่มผู้จัดการร้านค้าของตลาดสวรรค์อาศัยว่าตัวเองมีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ตำหนักสวรรค์คอยหนุนหลัง อยากจะร่วมมือกันกดดันให้เหมียวอี้ลงจากตำแหน่ง แต่ใครจะคิด เหมียวอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง ลงมือสั่งลูกน้องให้ปิดทางเข้าออกตลาดสวรรค์เลย ปิดประตูตีหมา ส่งทหารไปจับตัวคนพวกนั้นมาเสียเลย กวาดล้างร้านค้าของผู้มีอำนาจในตำหนักสวรรค์หลายร้อยร้าน ค้นยึดร้านและจับตัวคน ทาสของผู้มีอำนาจที่ตำหนักสวรรค์ห้าพันกว่าคนถูกเหมียวอี้บังคับให้มานั่งคุกเข่ารวมกันท่ามกลางฝูงชน ยังไม่จบแค่นั้น พอเหมียวอี้เอ่ยสั่งแค่คำเดียว ก็ตัดหัวคนไปสามพันกว่าคนต่อหน้าฝูงชน สังหารจนเลือดนองกลายเป็นแม่น้ำ! ตอนนั้นทุกคนคิดว่าเหมียวอี้ต้องซวยแน่ๆ ใครจะคิดว่าหลังจากจบเรื่องเหมียวอี้จะไม่เป็นอะไรเลย ถ้าไม่มีคนใหญ่คนโตหนุนหลัง เหมียวอี้จะกล้าเป็นศัตรูกับผู้มีอำนาจส่วนใหญ่ของทั้งตำหนักสวรรค์ได้อย่างไร? จะเห็นได้ว่าข่าวที่ได้ยินมาเป็นความจริง เหมียวอี้มีอำนาจและภูมิหลังที่พิภพใหญ่ไม่น้อยเลยจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่กล้าทำอย่างนี้แน่นอน!”


มู่ฝานจวินได้ยินแล้วสูดหายใจอย่างตกตะลึง ศีรษะทาสประจำตระกูลผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์สามพันกว่าคนงั้นเหรอ? นางเองก็เป็นคนที่ปกครองอาณาเขตเช่นกัน แค่ลองคิดดูก็รู้แล้วว่าเหมียวอี้สร้างปัญหาใหญ่โตขนาดไหนในโครงสร้างอย่างตำหนักสวรรค์ ขนาดทำแบบนี้ยังไม่เป็นอะไรเลยเหรอ?


ตอนนี้นางนับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้ถึงไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ตอนนี้เจ้าตัวเห็นพวกเขาเป็นเพียงกากเดนเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะในมือบีบตัวประกันเอาไว้ ดีไม่ดีเหมียวอี้อาจจะนำคนมากำจัดพวกเขาตั้งนานแล้วก็ได้ คิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกหวาดผวาในใจ


หลังจากครุ่นคิด มู่ฝานจวินก็ถามว่า “ในเมื่อเหมียวอี้สามารถใช้หุ้นส่วนหนึ่งของร้านค้ามาแลกกับตำแหน่งทางการ ถ้าพวกเราลงทุนสักหน่อน จะสามารถใช้วิธีการเดียวกันหาเส้นสายที่พิภพใหญ่ได้หรือเปล่า?”


“…” หลังจากจงเจิ้นอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ส่ายหน้ายิ้มเจื่อนทันที “ท่านอาจารย์ ท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าหุ้นของร้านค้าที่เหมียวอี้ทุ่มออกไปมีมูลค่าเท่าไร ต่อให้ขายทั้งพิภพเล็ก พวกเราก็ยังห่างไกลมากอยู่ดี ศิษย์ได้ไปเดินซื้อของอยู่ที่นั่นถึงได้พบว่าตัวเองยากจนจริงๆ ไม่ได้ยากจนธรรมดา แต่ยากจนมาก สินค้าที่ดีๆ หน่อยศิษย์ก็ซื้อไม่ไหวเลย ว่ากันว่าตอนนั้นเหมียวอี้ก็โดนกดดันจนหมดทางเลือกเช่นกัน ถึงได้ปล่อยหุ้นส่วนนั้นไป หมดหนทางแล้วจึงทำแบบนี้เพื่อปกป้องชีวิต ถ้าไม่ใช่เพราะหุ้นมีราคาแพงมาก มีหรือที่จะได้เกาะขาอ๋องสวรรค์โค่ว ตอนนี้ร้านขายของชำซื่อตรงนับว่าค้าขายทำกำไรที่พิภพใหญ่ได้แล้ว แม้แต่ผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ก็ยังอิจฉาตาร้อน ที่เหมียวอี้สามารถมีวันนี้ได้ ก็เรียกได้ว่าลงทุนไปเยอะมากจริงๆ กว่าเขาจะปักหลักที่พิภพใหญ่ได้ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน แต่เขาก็คลี่คลายสถานการณ์จนได้ จะว่าไปแล้วศิษย์ก็ยังนับถือเลย เจ้าหนุ่มนั่นเป็นคนที่มีความสามารถจริงๆ มีจิตใจแห่งการต่อสู้ฝ่าฟัน! ด้วยเงื่อนไขของพวกเราในตอนนี้ ถ้าอยากจะลงหลักปักฐานที่พิภพใหญ่ได้ในทันทีที่ไป ก็เกรงว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้เหมียวอี้มีโอกาสที่ดีแต่ก็ต้องลำบากอยู่หลายร้อยปี เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราไปแล้วจะไม่ลำบากก่อนสักระยะ”


มู่ฝานจวินพูดไม่ออกแล้ว บอกไม่ถูกว่าในใจมีรสชาติเป็นอย่างไร…


ทางด้านตำหนักหลัง ท่านขุนนางเหมียวเกิดปัญหาแล้ว อวิ๋นจือชิวไม่เชื่อเลยว่าเขากินปูนร้อนท้องเพราะปวดใจที่นางวิ่งเต้นทำงาน นอนด้วยกันมาตั้งกี่ปีแล้ว คำพูดประเภทนี้มีหรือที่จะตบตานางได้?


ภายใต้การถูกกดดันซ้ำๆ เหมียวอี้ทำได้เพียงเล่าเรื่องที่หงเฉินมาหาเขาให้ฟัง แต่ไม่ได้บอกว่าในปีนั้นตัวเองสัญญาไว้ว่าจะแต่งงานกับหงเฉิน จะพูดสิ่งนี้ออกมาไม่ได้ ถ้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ว่าก่อนแต่งงานกับนางเคยไปพูดแบบนี้กับผู้หญิงคนอื่นไว้ ผู้หญิงคนนี้จะต้องกระโดดมากัดเขาตายแน่นอน


หลังจากฟังจบ อวิ๋นจือชิวก็สงบลงแล้ว นางทิ้งเหมียวอี้เอาไว้ แล้วขมวดคิ้วเดินเล่นช้าๆ อยู่ในสวนดอกไม้ เหมียวอี้เดินตามหลังนางอย่างระมัดระวัง ในบ้านมีอนุภรรยาสามคนแล้ว มีหญิงรับใช้ร่วมห้องเป็นโขยง ถ้ายังจะแต่งงานรับเข้ามาอีก ต่อให้เขาจะหน้าด้านกว่านี้แต่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี เรื่องแบบนี้จะทำให้อวิ๋นจือชิวทนความรู้สึกได้อย่างไ?


เขาอยากจะให้หงเฉินไปคุยเรื่องนี้กับอวิ๋นจือชิวเองมากกว่า เขาไม่อยากจะเอ่ยปาก ที่สำคัญคือพูดไม่ออก แต่ตอนนี้ถูกกดันให้พูดออกมาแล้ว


เมื่อหยุดอยู่ข้างกระถางต้นไม้ที่เคยผ่านการตัดแต่ง อวิ๋นจือชิวก็หันกลับมาถามว่า “เจ้าตอบตกลงไปแล้วเหรอ?”


เหมียวอี้ยกมือสองข้าง “ข้าจะตอบตกลงได้ยังไง ถ้าตอบตกลงไปแล้วข้าจะยังปิดบังไม่บอกเจ้าได้เหรอ?”


อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้ว พลางแสยะยิ้มถามว่า “ถ้าไม่ได้ตอบตกลงแล้วเจ้าจะกินปูนร้อนท้องทำไม? เกรงว่าเจ้าเองก็อยากจะตอบตกลงเหมือนกันน่ะสิ?”


เหมียวอี้ยืดอกทันที กล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าไม่ได้มีความคิดนี้เลยจริงๆ!”


“เชอะ!” อวิ๋นจือชิวพูดดูถูกว่า “ถ้าข้าไม่ตอบตกลงเจ้าเรื่องนี้ หากเจ้าสามของเจ้ามีอันเป็นไปขึ้นมา เจ้าจะไม่แค้นข้าไปทั้งชาติเลยเหรอ?”


“เจ้าคิดมากไปแล้ว ถ้าข้าตอบตกลงเรื่องนี้ไม่ได้ ข้าจะหาทางสู้กับมู่ฝานจวินเอง” เหมียวอี้ปฏิเสธ


“พอเถอะ!” อวิ๋นจือชิวหันหน้ามา จากนั้นเดินส่ายเอวไปข้างหน้า หันหลังบอกเขาว่า “จะแต่งก็แต่งไปเถอะ เดี๋ยวไปคุยกับมู่ฝานจวิน ขอเพียงเจ้าพูดโน้มน้าวมู่ฝานจวินได้ ข้าก็ไม่มีความเห็นอะไร อย่างไรเสีย เมื่อแต่งเข้ามาเจ้าก็ต้องหาทางเลี้ยงนางเองอยู่แล้ว”


เอ๋! หงเฉินเดาถูกแล้วจริงๆ เหรอ? เหมียวอี้รีบเดินตาม ถามยืนยันให้แน่ใจ “เจ้าตอบตกลงแล้วจริงๆ เหรอ?”


อวิ๋นจือชิวหยุดฝีเท้า หันขวับมาจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ สายตานั้นราวกับจะกินคน เรื่องนี้นางสามารถตอบตกลงได้ แต่ผู้บัญชาการใหญ่เหมียวตอบตกลงไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเขาทำจนติดเป็นนิสัยจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องแต่งงานรับผู้หญิงเข้าบ้านอีกกี่รอบ


เหมียวอี้ตกใจมาก ตกใจจนทำสีหน้าไม่ถูกและถอยหลังอย่างช้าๆ รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังจะระเบิดอารมณ์แล้ว


“ยังมาบอกอีกเหรอว่าเจ้าไม่อยาก?” อวิ๋นจือชิวร้องโวยวายทันที ราวกับเป็นผู้หญิงบ้า เท้าที่อยู่ใต้กระโปรงลอยออกมาก่อน แต่เหมียวอี้ไหวตัวได้เร็ว เบี่ยงตัวหลบแล้ว


การหลบครั้งนี้ทำให้เกิดปัญหาแล้ว!


“น่าเกลียดไร้ยางอาย กินอยู่ในชามยังมองไปในหม้อ ไปหาคนนั้นทีไปหาคนนี้ที ย่ำยีดอกไม้ไปทั่ว เจ้ายังกล้าหลบอีกเหรอ?” อวิ๋นจือชิวใช้ความรุนแรงทันที นางร้องโวยวาย โผเข้าไปดึงเหมียวอี้มาซ้อมอย่างเอาเป็นเอาตาย


ท่านขุนนางเหมียวหลบไม่ไหวแล้ว เหตุผลก็ที่มีก็ฟังไม่ขึ้น ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะตอบโต้ นั่งยองๆ เอามือกุมศีรษะ ปล่อยให้ฮูหยินจับเขามาระบายอารมณ์อย่างบ้าคลั่ง เรีบกได้ว่าโดนซ้อมไปยกหนึ่ง!


และในตอนนี้ มู่ฝานจวิน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวและจีฮวนก็มาอยู่ข้างกายอวิ๋นอ้าวเทียนพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย


สำหรับห้าปราชญ์ ข่าวที่ลูกศิษย์ทั้งห้านำกลับมาจากพิภพใหญ่ทำให้พวกเขาตกตะลึงเกินไปจริงๆ พิภพใหญ่ที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขตนั่นยังคงลึกลับมากสำหรับพวกเขา ลูกศิษย์ทั้งห้าไปอยู่เพียงห้าวัน ข่าวที่สืบมาได้ก็เท่านั้นเอง แต่เห็นจุดเดียวก็ทำให้เห็นภาพรวม จะเห็นได้ว่าพิภพใหญ่ยังมีหลายสิ่งที่รอให้พวกเขาไปค้นหา


สิ่งที่ทำให้ห้าปราชญ์เซ็งที่สุดก็คือเรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนของตัวเอง ขนาดยังไม่เคยไปพิภพใหญ่ เพิ่งจะได้ข่าวมานิดหน่อยก็กลายเป็นโจรกบฏของตำหนักสวรรค์แล้ว ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้!


ความรู้สึกแบบนี้เหมือนได้กินอะไรบางอย่างแล้วกลืนลงท้องได้แค่แมลงวันตัวเดียว ทั้งห้าคนอยากจะซ้อมเหมียวอี้จริงๆ เจ้าเวรนั่นกลัวพวกเขาไม่ได้ตายดี จงใจให้พวกเขาไปสืบเรื่องเคล็ดวิชาฝึกตนของตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นใครจะถ่อไปสืบข่าวถามเรื่องนี้ล่ะ ถ้าไม่ถามคงไม่รู้ พอถามแล้วเหมียวอี้ก็ทำให้พวกเขารังเกียจแทบแย่


เปรียบเทียบเหมือนเวลาตัวเองหิวแทบตาย แล้วจู่ๆ ก็มีอาหารเลิศรสโต๊ะหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าพวกเขา ขณะกำลังจะโผเข้าไปเขมือบ พ่อครัวคนหนึ่งที่แซ่เหมียวก็เดินเอ้อระเหยมาบอกพวกเขาว่า ในอาหารมียาพิษ จะทำให้คนที่กินตายได้ ถ้าอยากจะกินก็ต้องพิจารณาให้ดี!


จะไปหรือจะไม่ไปดี ทั้งห้ากำลังคิดวนเวียนสับสน!


…………………………


บทที่ 1118 สู่ขอแต่งงาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่ก็คิดวนเวียนสับสนอยู่แค่นิดเดียวเท่านั้น ขณะที่กำลังกังวล ในใจก็ยิ่งกระเหี้ยนกระหือรือ ที่แท้เคล็ดวิชาที่ตนฝึกก็เป็นหนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษของพิภพใหญ่นี่เอง คนที่เคยฝึกก่อนหน้านี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในจ้าวแห่งพิภพใหญ่ คิดคิดแล้วทำให้ฮึกเหิมเลือดเดือดพล่าน!


สำหรับพวกเขา การอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งมานานหลายปีขนาดนั้น ในใจล้วนมีความโอหังอวดดีอยู่บ้าง เมื่อรู้แล้วว่ามีหนทางที่สามารถทำให้เดินไปได้ไกลและสูงกว่าเดิม คงเป็นเรื่องยากที่จะให้พวกเขานั่งเป็นกบในบ่อต่อไป จะกลัวตำหนักสวรรค์แล้วหดหัวอยู่ที่เดิม หรือจะไปบุกเบิกที่พิภพใหญ่ สองทางเลือกนี้ทำให้ตัดสินใจได้ไม่ยากเลย!


ดังนั้นพวกมู่ฝานจวินจึงเป็นฝ่ายมาหาอวิ๋นอ้าวเทียนที่นี่


อวิ๋นอ้าวเทียนขมวดคิ้วนั่งอยู่ในโถงหลักโดยไม่พูดอะไร การที่ทั้งสี่คนหาที่นั่งนั่งเองโดยมองข้ามเขา เขาก็ไม่ว่าอะไรเช่นกัน


ตั้งแต่แน่ใจเรื่องพิภพใหญ่ ทั้งห้าก็เรียกได้ว่าวางบุญคุณความแค้นทั้งหมดระหว่างกันก่อนหน้านี้ไปแล้ว เพราะแข่งขันกันไปก็ไม่มีความหมายอะไร ตอนนี้ต่อให้มีใครบอกว่าจะแย่งอาณาเขตใคร คาดว่าก็คงไม่มีใครสนใจอยู่ดี และคงจะไม่มีใครไปทำเรื่องน่าเบื่อแบบนั้นเช่นกัน ชั่วพริบตาเดียว ผลประโยชน์ที่พิภพเล็กก็กลายเป็นสิ่งที่เล็กน้อยเหมือนเมล็ดงาในสายตาของพวกเขาไปแล้ว ไม่ควรค่าให้ไปสิ้นเปลืองพลังกายพลังใจอีกแล้วจริงๆ ไม่มีความหมาย!


ทั้งห้านั่งเฉยๆ โดยไม่พูดจาอะไร หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ซือถูเซี่ยวถึงได้เอ่ยขึ้นก่อน “คาดว่าทุกคนคงจะรู้แล้วสินะ ถ้าไปที่พิภพใหญ่แล้ว พวกเราก็จะกลายเป็นโจรกบฏ”


มู่ฝานจวินมองซ้ายมองขวาแล้วบอกว่า “คงจะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอกมั้ง ทุกคนระวังตัวไว้ก็พอแล้ว ขอแค่ไม่ทำให้ทุกคนรู้กันหมดก็ไม่น่าจะมีเรื่องอะไร”


ฉางเหลยประนมมือบอกว่า “กลัวก็แต่เหมียวอี้จะจงใจเล่นงานพวกเรา ถ้าเปิดโปงความลับของพวกเราขึ้นมา พวกเราก็จะยุ่งยากกันใหญ่แล้ว”


จีฮวนเอามือลูบเครา “เขากล้าเหรอ? เมียเขาก็ฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานเหมือนกัน ถ้าไม่กลัวพวกเราจะแว้งกัด เขาก็เชิญลองได้เลย ถ้าอวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไร พวกเราก็ไม่น่าจะเป็นอะไรมากหรอก”


ซือถูเซี่ยวกล่าวว่า “อย่าบอกนะว่าลูกชายเจ้าไม่ได้สืบมา? ภายในของตำหนักสวรรค์วุ่นวายยิ่งกว่าพวกเราที่นี่อีก ได้ยินว่าไม่ได้ดำมืดธรรมดา ในคุกมีคนที่ไร้ความผิด มีการยัดข้อหาใส่ร้าย เรื่องประเภทหลอกลวงเบื้องบน ระรานผู้ใต้บังคับบัญชา ฆ่าคนปิดปากก็มีเยอะแยะไป ตราบใดที่เหมียวอี้มีอำนาจมากพอ ถ้าเขาจับพวกเราขึ้นมา ต่อให้พวกเราตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีประโยชน์ ต่อให้บอกว่าเหมียวอี้กับโจรกบฏมีส่วนเกี่ยวข้องกัน คาดว่าหลังจากให้ปากคำและออกจากคุกแล้ว พวกเราก็จะกลายเป็นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา”


จีฮวนถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ปกติมาก ราชันสวรรค์ท่านนั้นต่อให้มีพลังอิทธิฤทธิ์สูงกว่านี้ แต่ก็ไม่สามารถคุมทั้งพิภพใหญ่ด้วยตัวคนเดียวได้ สถานการณ์โดยรวมก็ย่อมวุ่นวายได้ง่ายอยู่แล้ว”


พวกเขาตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง นี่ก็คือสิ่งที่พวกเขากังวล เหมียวอี้คงไม่พาพวกเขาไปพิภพใหญ่เพื่จัดการพร้อมกันทีเดียวหรอกใช่มั้ย?


สักพักซือถูเซี่ยวก็ถามเสียงต่ำว่า “หรือพวกเรามาร่วมมือกันกำจัดเหมียวอี้ทิ้งดีมั้ย จากนั้นก็กดดันให้อวิ๋นจือชิวพาพวกเราไปที่พิภพใหญ่?”


สำหรับเรื่องนี้ อวิ๋นอ้าวเทียนกับมู่ฝานจวินไม่ได้พูดอะไร


ฉางเหลยส่ายหน้า “ไม่เหมาะ! ไอ้จัญไรนั่นไม่กลัวเพราะถือว่ามีคนหนุนหลัง ถ้าเป็นอย่างที่เขาบอกขึ้นมาจริงๆ ถ้าเขาเตรียมอะไรไว้ที่พิภพใหญ่แล้วจริงๆ ในฐานะที่เขาเป็นขุนนางของตำหนักสวรรค์ การที่เขาหายตัวไปจะต้องทำให้ตำหนักสวรรค์สืบหาแน่!”


พวกเขาพูดไม่ออก จะซ้ายก็สับสน จะขวาก็สับสน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรไปชั่วขณะ


ผ่านไปไม่นาน จีฮวนก็อุทานอย่างประหลาดใจอีก “พอพูดถึงเรื่องนี้ พวกเจ้าได้สังเกตเห็นหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าพิภพใหญ่ไม่รู้ว่ามีพิภพเล็กอยู่ด้วย ไม่อย่างนั้นสถานที่ที่มีสาวกอยู่มากมายขนาดนี้ ตำหนักสวรรค์จะต้องส่งคนมานั่งรักษาการณ์แล้วสิ ก็แสดงว่าไอ้จัญไรนั่นไม่ได้เปิดเผยเรื่องพิภพเล็ก”


มู่ฝานจวินตาเป็นประกายวูบไหว คิดอะไรบางอย่างได้ทันที ถ้าเหมียวอี้ต้องการจะให้เยว่เหยาตัดขาดจากนางจริงๆ ก็สามารถนำกำลังพลจากพิภพใหญ่มากพจัดนางทิ้งได้เลย ถ้าแอบทำอย่างลับๆ เยว่เหยาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้…นางจึงแสยะยิ้ม แล้วบอกว่า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!”


สายตาของทุกคนมองมาทันที อวิ๋นอ้าวเทียนถามว่า “ยายแก่นแก้ว อย่างนี้คืออย่างไร?”


มู่ฝานจวินหรี่ตาพูดว่า “ก็เหมือนที่ทุกคนเพิ่งบอกไปเมื่อครู่นี้ อวิ๋นจือชิวฝึกเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทาน หรือพูดได้อีกอย่างว่านางเกี่ยวข้องกับโจรกบฏเหมือนกัน จากข่าวที่สืบมาได้ ก่อนหน้านั้นเหมียวอี้ก็ประสบอันตรายที่พิภพใหญ่อยู่บ้างเหมือนกัน ไอ้จัญไรนั่นไม่เคยเปิดเผยเรื่องของพิภพเล็กให้พิภพใหญ่รู้เลย เป็นไปได้สูงว่าเขาเตรียมจะให้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายยามประสบอันตราย!”


พวกเขาได้ยินแล้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้าเงียบๆ รู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผล ซือถูเซี่ยวหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นพวกเราก็ยิ่งได้โอกาสเหมาะแล้ว เขาสามารถใช้พิภพเล็กเป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายได้ แล้วทำไมพวกเราจะทำไม่ได้ล่ะ? ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา พวกเราก็สามารถถอยกลับมาที่พิภพเล็กได้เหมือนกัน”


ฉางเหลยบอกว่า “แต่ดูจากเจตนาของเจ้านั่น เหมือนเขาจงใจจะกุมเส้นทางไปกลับพิภพเล็กเอาไว้คนเดียวนะ สาเหตุที่เขาพาพวกเราไปที่พิภพใหญ่ได้อย่างสบายอกสบายใจขนาดนี้ได้ เกรงว่าคงจะอยากกุมพิภพเล็กไว้ในมือคนเดียว และถ้าเขาไม่ยอมเปิดเผยเส้นทางไปกลับให้พวกเรารู้ พวกเราก็ทำอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี ถ้าไปที่พิภพใหญ่แล้ว อย่าว่าแต่ข่มขู่เขาเลย แค่เขาไม่ข่มขู่พวกเราก็ดีแล้ว สรุปก็คือถ้าไปที่พิภพใหญ่แล้วอยากจะต่อต้านเขาก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก ที่เดียวที่จะลงมือได้สะดวกก็คืออวิ๋นจือชิว แต่เดาว่าไม่มีทางที่เหมียวอี้จะไม่คำนึงถึงจุดนี้ เกรงว่าคงจะเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้พวกเรารู้หรอกว่าอวิ๋นจือชิวรู้เส้นทางไปกลับ”


เมื่อได้ยินว่าพวกเขาต้องการจะสู้กับอวิ๋นจือชิว อวิ๋นเซี่ยวที่ยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นอ้าวเทียนก็เอียงหน้ามองอวิ๋นอ้าวเทียนแวบหนึ่ง ผลปรากฏว่ามองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ บนใบหน้าอวิ๋นอ้าวเทียน


จีฮวนโบกมือ “พูดสิ่งนี้ไปก็ไม่มีความหมาย ถ้าได้ไปพิภพใหญ่จริงๆ พวกเราก็ย่อมต้องเตรียมตัวได้อยู่แล้ว ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวอี้จะใช้มือเดียวคลุมฟ้าได้ ถ้าประกาศเรื่องไอ้จัญไรนั่นที่เดียวไม่ได้ แต่ไปประกาศที่อื่นก็น่าจะได้มั้ง? ถ้าพวกเราเจอปัญหาแล้วต้องการกลับพิภพเล็ก ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวอี้จะกล้าไม่ให้พวกเรากลับ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเรา เขาก็อย่าหวังจะได้อยู่ดีเลย ต้องมีทางประกาศให้ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเขาสมคบคิดกับโจรกบฏ สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดในตอนนี้ก็คือ กลัวว่าเหมียวอี้จะเตรียมป้องกันจุดนี้ไว้ เตรียมวางแผนไว้ที่พิภพใหญ่นานแล้ว พอพวกเราเหยียบถึงพิภพใหญ่ ก็จะถึงเวลาตายของพวกเราทันที นี่ต่างหากที่เป็นปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด อย่างอื่นเป็นเรื่องเล็กทั้งนั้น ถ้าแม้แต่ก้าวแรกก็ก้าวผ่านไปไม่ได้ งั้นตอนหลังก็ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว ไม่มีโอกาสให้พวกเรามากขนาดนั้นด้วย!”


ปัญหานี้เป็นเหมือนเงื่อนตาย คือจุดที่ทุกคนกังวลที่สุด กลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว!


กลับเป็นมู่ฝานจวินกับอวิ๋นอ้าวเทียนที่ไม่ค่อยกังวลเรื่องนี้สักเท่าไร


อวิ๋นอ้าวเทียนรู้ชัดอยู่แก่ใจ ถ้ามีอวิ๋นจือชิวอยู่ ไม่ว่าจะอย่างไร อวิ๋นจือชิวก็ไม่น่าจะทำให้ท่านปู่อย่างตนตายไป


มู่ฝานจวินมีไพ่อย่างเยว่เหยาไว้ในมือก็พอแล้ว แต่ความกังวลโดยจิตใต้สำนึกที่มีต่อโลกที่ไม่รู้จัก ก็ยากจะลงออกจากใจได้ มันวนเวียนอยู่ในใจตลอด แน่นอน นางกลัวอำนาจอิทธิพลของเหมียวอี้ที่พิภพใหญ่อยู่บ้าง ถ้าบอกว่าไม่กลัวเหมียวอี้เลยสักนิดก็เป็นเรื่องโกหกแล้ว


ปรึกษากันไปปรึกษากันมาก็เป็นอย่างนั้น สุดท้ายก็แยกย้ายกันแล้ว


เมื่อกลับมาถึงเรือนพักของตัวเอง ขณะที่มู่ฝานจวินกำลังครุ่นคิดเดินไปเดินมาอยู่ใต้ชายคา จู่ๆ เสียงของหงเฉินที่อยู่ไม่ไกลก็ดังขึ้น “ท่านอาจารย์ เหมียวอี้กับฮูหยินมาค่ะ”


มู่ฝานจวินที่พลันได้สติกลับมาเอียงหน้ามองไป เห็นเพียงเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวปรากฏตัวพร้อมกัน เดินเลี้ยวเข้ามาเดินบนทางเดินยาวแล้ว


ฉีกหน้ากันจนถึงที่สุดแล้ว หลังจากทั้งสองฝ่ายพบหน้ากัน สองสามีภรรยาก็ไม่เคยเรียกนางว่าท่านปราชญ์อีกเลย เพียงกุมหมัดคารวะ ไม่เรียกชื่อนางตรงๆ ก็ถือว่าเกรงใจแล้ว ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ ใช้คำว่า ‘กู’ ต่อหน้านางด้วยซ้ำ


ทั้งสามไม่ได้ยินและไม่ได้นั่ง เพียงยืนอยู่ตรงข้ามกัน มู่ฝานจวินเอามือไขว้หลังถามว่า “มีธุระอะไร?”


ในตอนนี้ไม่มีใครมองออกว่าเหมียวอี้เพิ่งจะโดนซ้อมมายกหนึ่ง อวิ๋นจือชิวทำท่าเหมือนภรรยาที่คล้อยตามและชเอฟังสามี ส่วนเหมียวอี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ “สู่ขอแต่งงาน!”


“สู่ขอแต่งงาน?” มู่ฝานจวินชะงักงัน ถามอย่างงๆ ว่า “สู่ขอแต่งงานอะไร?”


เหมียวอี้เอียงหน้าเล็กน้อย มองไปยังเทพธิดาหงเฉินที่ยืนสะโอดสะองเงียบๆ อยู่ไม่ไกลจากข้างหลังนาง พยักหน้าบอกใบ้ว่าเป็นท่านนั้น


เทพธิดาหงเฉินที่สวมชุดกระโปรงสีแดงกำลังยืนพิงระเบียงอยู่ใต้ชายคา หน้างดงามตาดุจภาพวาด ยืนหันข้างเงียบๆ อยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดเฉียงลงมา ดอกไม้แดงและใบไม้เขียวที่อยู่นอกระเบียงกำลังสั่นไวตามแรงลม นางไม่สะทกสะท้านกับบทสนทนาที่อยู่ทางนี้ เสมือนคนที่อยู่ในภาพวาดจริงๆ  เงียบจนเหมือนถอดวิญญาณออกมา


ถ้าเปรียบความงามของฉินซีเป็นความเยือกเย็น เช่นนั้นความงามของเทพธิดาหงเฉินก็เป็นความเงียบสงบ


ความเยือกเย็นของฉินซีแทบจะเย็นชาต่อทุกสิ่งทุกอย่างในโลก


แต่เทพธิดาหงเฉินกลับเป็นความเงียบที่ฝังลึกอยู่ในกระดูก เงียบสงบอ่อนโยน แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นสตรีที่ทั้งภายนอกและภายในไม่แก่งแย่งแข่งขันอะไรกับใคร ถ้าไม่ใช่เพราะประสบกับเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นางก็จะอยู่ให้ห่างจากความสับสนวุ่นวายต่อไป ปล่อยให้ความเงียบวิเวกเบ่งบานอยู่ในมุมสงบส่วนตัว งดงามก็ดี อัปลักษณ์ก็ดี จะมีคนชื่นชมหรือไม่ นางไม่ได้แยแสเลยสักนิด


มู่ฝานจวินที่หันกลับมามองแวบหนึ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย ลูกศิษย์คนนี้ทำให้นางวางใจที่สุด วางใจที่ลูกศิษย์คนนี้ไม่ได้มีหัวใจทะเยอทะยาน แต่ก็เป็นนิสัยที่นางรำคาญที่สุดเช่นกัน เพราะตัวนางเองเป็นคนแกร่ง ชอบแข่งขัน แต่ลูกศิษย์คนนี้กลับไม่ได้เรื่อง


ก่อหน้านี้ถึงแม้จะเงียบ แต่ก็ไม่ได้เงียบถึงขนาดนี้ มู่ฝานจวินรู้อย่างชัดเจน ตั้งแต่ประสบเคราะห์ภัยจนคนทั้งครอบครัวตายหมด หงเฉินก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ต้องเร่งถึงจะขยับ เป็นนิสัยที่ทำให้นางไม่ชอบเป็นอย่างมาก!


แต่ไม่นานมู่ฝานจวินก็ตกตะลึงมาก หันกลับมาถามเหมียวอี้ว่า “นางเหรอ?”


เหมียวอี้เอียงหน้ามองไปยังหงเฉินที่อยู่ข้างหลังนางไกลๆ อีกครั้ง “สวยมากไม่ใช่เหรอ? ข้าชอบนางตั้งนานแล้ว หวังว่าจะช่วยให้สมปรารถนา!”


สำหรับเรื่องนี้มู่ฝานจวินทำความเข้าใจได้ไม่ยาก รูปโฉมที่งดงามของลูกศิษย์ตัวเองเป็นสิ่งที่คนในใต้หล้าเห็นประจักษ์ชัดแจ้ง ผู้ชายเห็นแล้วใจสั่นก็เป็นเรื่องปกติมาก แต่ก็ยังถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “แบบนี้ไม่เหมาะมั้ง? ลูกสาวสองคนของศิษย์พี่นางเป็นอนุภรรยาของเจ้าแล้ว ถ้าเจ้ารับนางเป็นอนุภรรยาอีก แบบนี้มันใช่เรื่องซะที่ไหน?”


“ตอนที่เจ้าให้ข้าแต่งงานกับลูกสาวของอันหรูอวี้ เคยพิจารณาบ้างรึเปล่าว่าเยว่เหยาเป็นน้องสาวข้า?” เหมียวอี้ถามกลับ


“…” มู่ฝานจวินเงียบไปชั่วขณะ แล้วเอียงหน้าช้าๆ มองไปยังอวิ๋นจือชิวที่กำลังก้มหน้าก้มตา “นางหนู เขาจะรับอนุภรรยาอีกแล้ว เขาไม่มีความเห็นอะไรเหรอ?”


อวิ๋นจือชิวยิ้มบางๆ “ก่อนหน้านี้เขาขอความเห็นจากข้าแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้คัดค้าน ถึงอย่างไรถ้าในบ้านมีเพิ่มมาสักคนก็ไม่ได้เยอะขึ้น จะลดลงสักคนก็ไม่ได้น้อยลง!”


มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “เจ้านี่ใจกว้างจริงๆ เรื่องแบบนี้จะฝืนตัวเองไม่ได้เด็ดขาด ผู้ชายน่ะไม่กลัวผู้หญิงเยอะหรอก มีสามเมียสี่อนุแล้ว ก็ยังอยากจะได้สามตำหนักหกเรือนอีก เจ้าต้องพิจารณาให้ดีนะ!”


“ถ้าไม่ได้พิจารณาให้ดี ข้าก็คงไม่มาด้วยกันกับเขา ตอนนี้ก็ดูว่าเจ้าจะตอบตกลงหรือเปล่า ” อวิ๋นจือชิวตอบ


มู่ฝานจวินย้ายสายตาจากใบหน้านางไปยังเหมียวอี้ที่จ้องหงเฉินอยู่ตลอดเวลา ในใจรู้สึกสะอิดสะเอียน แต่กลับไม่ได้แสดงออกมา หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวช้าๆ ว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบ ให้ข้าไตร่ตรองสักหน่อยแล้วค่อยให้คำตอบ” คำพูดนี้นับว่าไม่ปฏิเสธแล้ว


ดังนั้นอวิ๋นจือชิวจึงมองไปที่เหมียวอี้ แล้วถามด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมเล็กน้อย “หนิวเอ้อร์ เจ้าไม่รีบหรอกใช่มั้ย?”


“เอ่อ…” เหมียวอี้รีบโบกมือ “ไม่รีบหรอกไม่รีบ ทุกอย่างตามใจฮูหยิน!” ต่อให้รีบ แต่เขาก็ไม่กล้าพูดอยู่ดี ไม่อย่างนั้นกลับไปจะต้องหน้าปูดตาเขียวอีก นี่เพิ่งจะร่ายอิทธิฤทธิ์ลดบวมไปได้ไม่นานเท่าไรเอง


…………………………


บทที่ 1119 ต้องกำจัดทิ้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขามีท่าทีไม่สงบแล้ว อวิ๋นจือชิวมองไปที่มู่ฝานจวินด้วยรอยยิ้ม แสดงออกว่าเจ้าตอบตกลงแล้ว


คำตอบของมู่ฝานจวินเรียบง่ายมาก “นางหนู อาศัยภูมิหลังชาติกำเนิดอย่างเจ้า ไม่จำเป็นต้องโอนอ่อนผ่อนตามคนอื่นอย่างนี้ ผู้หญิงได้รับความไม่ยุติธรรมจนกลายเป็นอย่างเจ้า ช่างใช้ได้จริงๆ!” นางเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน นางไม่เชื่อเลยว่าอวิ๋นจือชิวจะยินยอมจากใจจริงให้สามีของตัวเองแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นอีก


อวิ๋นจือชิวสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ทว่าคำพูดนี้กลับทำให้เหมียวอี้ไม่สบายใจ ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ต่อให้อวิ๋นจือชิวแต่งงานกับผู้ชายเพิ่มอีกสักคน เขาก็รับไม่ไหวเหมือนกัน มิหนำซ้ำเขายังแต่งงานรับอนุภรรยาเข้าบ้านติดต่อกันหลายครั้งแบบนี้อีก


มีอยู่จุดหนึ่งที่เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ที่จริงอวิ๋นจือชิวก็ด่าไว้ไม่ผิด ที่นางตีก็ไม่ผิด ถ้าจะบอกว่าความงามของเทพธิดาหงเฉินไม่ทำให้เขาใจสั่นเลย นั่นก็แสดงว่าพูดโกหกแล้ว ผู้ชายที่สามารถไม่ใจสั่นเลยสักนิดเมื่อเผชิญหน้ากับสาวงาม แสดงว่าจะต้องป่วยแน่นอน เขาย่อมเป็นผู้ชายปกติอยู่แล้ว


เมื่อเห็นแบบนี้ มู่ฝานจวินจึงไม่พัวพันอยู่กับคำถามนี้อีก บอกเหมียวอี้ว่า “เพื่ออนาคตของเจ้า นางหนูอวิ๋นตอบตกลงอย่างไม่เสียดายว่าจะมาเป็นตัวประกันให้ข้าที่แดนโพ้นสวรรค์ กาแต่งงานกับเมียแบบนี้คือวาสนาของเจ้า ต่อไปก็ทำตัวดีกับนางหนูอวิ๋นหน่อยแล้วกัน อย่าทำให้คนในบ้านผิดหวัง!”


“เป็นตัวประกัน?” เหมียวอี้พึมพำอย่างไม่เข้าใจ แล้วหันไปมองอวิ๋นจือชิวด้วยแววตาสงสัย


อวิ๋นจือชิวงงไปชั่วขณะ และถามอย่างไม่ค่อยเข้าใจเช่นกันว่า “เหตุใดปราชญ์เซียนจึงพูดแบบนี้? ข้าไปตอบตกลงเป็นตัวประกันที่แดนโพ้นสวรรค์ของท่านตั้งแต่เมื่อไร?”


มู่ฝานจวินที่พูดส่งเดชเพื่อชี้แนะเหมียวอี้ พอได้ยินแบบนี้ก็อึ้งไปเหมือนกัน ขมวดคิ้วถามว่า “ก่อนหน้านี้ที่หยางชิ่งถือจดหมายของเจ้ามาเจรจาที่แดนโพ้นสวรรค์ เพื่อที่จะแลกกับการสนับสนุนจากข้า หยางชิ่งบอกว่าเจ้ายินดีมาเป็นตัวประกันที่แดนโพ้นสวรรค์ อย่าบอกนะว่าไม่จริง?”


“มีเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ถามอวิ๋นจือชิว


อวิ๋นจือชิวอึ้งไปชั่วครู่ หลังจากดวงตาวูบไหว ก็ตอบมู่ฝานจวินด้วยรอยยิ้มว่า “ก็เป็นเรื่องจริง เพียงแต่วันนี้กับวันนั้นไม่เหมือนกัน ท่านไม่ได้รักษาสัญญา ข้าก็ย่อมไม่ต้องทำตามสัญญา”


“เชอะ!” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม แล้วกลับมาสู่ประเด็นหลัก “เรื่องสู่ขอแต่งงานข้าจะพิจารณาอีกที หลังจากนี้ครึ่งวันจะให้คำตอบพวกเจ้า!” พูดแบบนี้เท่ากับเป็นการส่งแขกแล้ว


“ได้!” อวิ๋นจือชิวหันกลับมาดึงแขนเสื้อเหมียวอี้ “อะไรที่เป็นของเจ้าก็หนีไปไม่พ้น ถ้าไม่ใช่เจ้าใครก็เอาไปไม่ได้ ถ้าไม่ใจร้อน เจ้ากลับไปกับข้าก่อนแล้วกัน”


คำพูดแบบนี้ ทำให้เหมียวอี้อับอายในใจ สองสามีภรรยาเดินจากไปด้วยกันแล้ว


หลังจากมองส่งทั้งสองหายไป มู่ฝานจวินที่เอามือไขว้หลังก็หลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วเรียกเสียงเรียบว่า “หงเฉิน!”


หงเฉินที่อยู่ไม่ไกลเดินเข้ามาเบาๆ “ศิษย์อยู่นี่ค่ะ!”


“สิ่งที่สองสามีภรรยานั่นพูด เจ้าคงจะได้ยินหมดแล้วนะ?” มู่ฝานจวินหันตัวไปมองนาง


หงเฉินเหมือนลูกคลื่นที่สงบ ตอบอย่างสงบนิ่งว่า “ได้ยินแล้วค่ะ”


มู่ฝานจวินพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ ลูกศิษย์ของข้าต่อให้แต่งงานกับบ้านไหน ก็มีแต่ต้องเป็นภรรยาเอกนายหญิงของบ้านเท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าอยากจะรับลูกศิษย์ข้าไปเป็นอนุภรรยา กำเริบเสิบสานจริงๆ! แต่จะว่าไปแล้ว ผู้หญิงเมื่อเติบใหญ่ก็รั้งไว้ไม่อยู่ เวลาแต่งงานก็ควรต้องแต่ง ทั้งชีวิตนี้ถ้าไม่ได้ลิ้มลองรสชาติที่ผู้หญิงควรได้ลอง ก็อาจจะเสียชาติเกิดเหมือนกัน หากเจ้าเต็มใจแต่งงานกับเขา อาจารย์ก็จะไม่ห้าม มีแต่จะอวยพรให้ แล้วก็จะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมด้วย จะจัดงานให้เจ้าอย่างมีหน้ามีตา!”


หงเฉินส่ายหน้าเบาๆ “ศิษย์ไม่อยากแต่งงานค่ะ!”


นี่ไม่ใช่คำโกหก เป็นสิ่งที่นางพูดจากใจจริงเช่นกัน ถึงแม้ลับหลังจะเคยแอบติดต่อกับเหมียวอี้ และเป็นฝ่ายแสดงออกว่าเต็มใจแต่งงานกับเขา แต่ใจจริงของนางไม่ได้อยากแต่งงานเลย


มู่ฝานจวินย่อมรู้จักนิสัยศิษย์ของตัวเองอยู่แล้ว หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็เป็นฝ่ายยื่นมือออกมาจับฝ่ามือข้างหนึ่งของหงเฉินเอาไว้อย่างที่ไม่เคยทำบ่อยๆ  ทำสีหน้าเมตตา จูงมือหงเฉินเดินช้าๆ ไปข้างหน้าตามทางเดินยาวใต้ชายคา พลางกล่าวอย่างทอดถอนใจว่า “นางหนูเอ๊ย! เราเป็นอาจารย์ลูกศิษย์กันมานานมาก แต่ไม่เคยสงบจิตสงบใจคุยกันดีๆ เลย เราสองคนมาคุยกันด้วยความจริงใจดีกว่า”


หงเฉินที่ถูกจูงมือเดินช้าๆ ด้วยกันค่อนข้างใจลอยเคลิบเคลิ้ม ชั่วพริบตานี้ นางราวกับได้ย้อนกลับไปช่วงเวลาในวัยเด็ก ในตอนนั้นอาจารย์อ่อนโยนต่อนางมาก มักจะจูงมือเล็กๆ ของนางพลางกล่าวให้กำลังใจอย่างอบอุ่นอยู่เสมอ เพียงแต่หลังจากเติบโตขึ้น ก็เหมือนจะเป็นเรื่องยากที่จะกลับไปถูกปฏิบัติด้วยอย่างใกล้ชิดสนิทสนมเหมือนเด็กน้อยอีก นานมากแล้วที่อาจารย์ไม่ได้พูดกับนางอย่างอ่อนโยนแบบนี้ ฉากนี้ทำให้นางคัดจมูกเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเอียงหน้ามองใบหน้าด้านข้างของมู่ฝานจวิน


“นางหนู! เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไมพวกเราห้าปราชญ์จึงล้อมอยู่ข้างกายเหมียวอี้ตลอด?”


“ศิษย์ไม่ทราบค่ะ!”


“เจ้าเคยได้ยินเรื่องพิภพใหญ่ใช่มั้ย? ข้าจะพูดเรื่องเกี่ยวกับพิภพใหญ่ให้เจ้าฟังแล้วกัน พิภพใหญ่มีอยู่จริงๆ ข้าส่งจงเจิ้นศิษย์พี่ของเจ้าไปมารอบหนึ่งแล้ว ศิษย์พี่เจ้าได้ข้อมูลกลับมาไม่น้อย ตอนนี้เหมียวอี้ค่อนข้างมีอำนาจที่พิภพใหญ่…”


เล่าสถานการณ์ของพิภพใหญ่ รวมทั้งตำแหน่งของเหมียวอี้ที่พิภพใหญ่ในปัจจุบันออกไม่หยุด เทพธิดาหงเฉินฟังจนตกตะลึงไม่หยุด!


หลังจากบอกให้รู้โดยไม่ปิดบัง อาจารย์และลูกศิษย์ก็หยุดอยู่ข้างๆ แปลงปลูกดอกไม้ที่ยกพื้นสูง มู่ฝานจวินหันมาเผชิญหน้ากับหงเฉิน แล้วพูดอย่างจริงใจว่า “ข้ารู้ถึงความคิดจิตใจของเจ้า เจ้าใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างสบสุข แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจนะ โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ถ้าไม่มีรากฐานที่มั่นคง แล้วจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อย่างไร ถ้าอยากจะอยู่อย่างสงบ ก็ต้องมีคุณสมบัติที่จะอยู่อย่างสงบ ถ้าวันไหนสำนักไร้ที่ยืน ประสบหายนะ เจ้าจะโชคดีรอดพ้นไปได้เหรอ? คนเราเกิดมา มีหลายเรื่องที่ทำตามใจตัวเองไม่ได้ อาจารย์ก็อยากจะเป็นอิสระเหมือนกัน แต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้าจะทำอย่างไรล่ะ? ถ้าข้าทิ้งพวกเขาโดยไม่สนใจ ก็จะมีคนมาหาเรื่องพวกเขาทันที เพื่อที่จะให้พวกเจ้าได้หลบเลี่ยงปัญหา อาจารย์ก็ทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้า มีเพียงการยืนให้สูงขึ้น ปีกแข็งแกร่งขึ้น ถึงจะปกป้องพวกเจ้าได้ คนเราเกิดมาจะคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองไม่ได้ ต้องแบกรับความรับผิดชอบบางอย่างเสมอ! เจ้ายังจำเหตุการณ์หลังจากคนในครอบครัวเจ้าประสบภัยได้หรือไม่? ในด้านศีลธรรมศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าไม่อาจปฏิเสธได้ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง นำคนบุกสังหารไปที่ทะเลทรายม่านเมฆาด้วยตัวเอง ล้างแค้นให้เจ้า เรื่องนี้เจ้ายังจำได้มั้ย?”


หงเฉินพยักหน้าเบาๆ “ศิษย์จำได้ค่ะ!”


“ถ้าวันใดที่เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า เจ้ายินดีจะช่วยหรือไม่?” มู่ฝานจวินถาม


“ศิษย์ยินดีช่วยค่ะ” หงเฉินพยักหน้า


มู่ฝานจวินตบฝ่ามือนางไว้ระหว่างฝ่ามือตัวเอง กล่าวเสียงต่ำว่า “ขนาดของพิภพเล็กเล็กเกินไปแล้ว ทรัพยากรมีจำกัด ถ้าอยากให้ศิษย์พี่กับศิษย์น้องของเจ้ามีความก้าวหน้าและอนาคตมากกว่านี้ การไปพิภพใหญ่คือสิ่งที่ต้องทำ! แต่ว่า พวกเราเล็กน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับพิภพใหญ่ ถ้าอยากจะลงหลักปักฐานในสถานที่ที่ไม่รู้จัก เกรงว่าความลำบากอันตรายจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถึงขั้นเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตด้วยซ้ำ แต่เหมียวอี้กลับสร้างความมั่นคงที่พิภพใหญ่ได้แล้ว และมีตำแหน่งที่มีอำนาจด้วย ถ้าสามารถได้รับการสนับสนุนจากเขา ก็จะช่วยลดความยุ่งยากให้พวกเราได้ไม่น้อยแน่นอน อย่างน้อยทำให้เขาไม่มาหาเรื่องพวกเราก็ยังดี ตอนนี้เขาชอบเจ้าพอดี ให้เจ้าเป็นอนุภรรยาถือว่าไม่ยุติธรรมสำหรับเจ้า แต่สำหรับสำนักกลับมีแต่ผลดีไม่มีผลร้าย เจ้ายินดีจะรับความไม่ยุติธรรมนี้หรือเปล่า?”


หงเฉินเงียบไปนานมาก เดิมทีนี่คือผลลัพธ์ที่นางหวังตอนไปหาเหมียวอี้ แต่ตอนนี้หลังจากเข้าใจสาเหตุแล้ว กลับทำให้นางปวดใจ แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้าให้มู่ฝานจวินที่กำลังทำสายตาเฝ้าคอย “ทุกอย่างแล้วแต่อาจารย์จะจัดเตรียมค่ะ!”


“ดี! นับว่าความรักที่อาจารย์มีให้เจ้าไม่ได้สูญเปล่า!” มู่ฝานจวินมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ตบหลังมือนางเบาๆ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงต่ำลง “หลังจากแต่งงานกับเขาแล้ว ก็พยายามจับตาดูเขาไว้ มีข่าวอะไรก็ให้แจ้งอาจารย์ทันที ถ้าฝั่งอาจารย์เกิดเรื่องขึ้น ก็ต้องการให้เจ้าพยายามต้อนรับขับสู้อยู่ข้างกายเขาด้วย อาศัยที่เขาชื่นชอบในรูปโฉมของเจ้า นี่ก็คือที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดที่จะทำให้เจ้าได้อยู่ข้างกายเขาในตอนนี้ จำไว้นะ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการลงหลักปักฐานของสำนักเราเมื่อก้าวเข้าสู่พิภพใหญ่ เจ้าต้องพยายามสุดแรงกายแรงใจ!”


“ค่ะ!” หงเฉินพยักหน้าเงียบๆ


อีกด้านหนึ่ง หลังจากกลับถึงตำหนักนอนและเชิญให้ฮูหยินนั่งลงแล้ว เหมียวอี้ก็ยกน้ำชามายื่นถึงมืออวิ๋นจือชิวด้วยตัวเอง แล้วขมวดคิ้วถามว่า “เจ้าตอบตกลงจะไปเป็นตัวประกันที่แดนโพ้นสวรรค์ นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมไม่เคยได้ยินเจ้าเอ่ยถึงมาก่อย?”


อวิ๋นจือชิวขมวดคิ้วทำสีหน้าครุ่นคิดมาตลอดทาง หลังจากจิบน้ำชาจนชุ่มคอแล้ว ก็จ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ข้าไม่รู้เรื่องเป็นตัวประกันอะไรนั่นเลย”


เหมียวอี้นั่งลงข้างกายนาง แล้วถามอย่างแปลกใจว่า “แล้วตอนที่มู่ฝานจวินเอ่ยถึงเมื่อครู่นี้ เจ้าจะยอมรับทำไมว่ามีเรื่องนี้?”


อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วแสยะยิ้ม “เจ้ายังดูไม่ออกรึไง? มีคนอยากจะกำจัดข้าไงล่ะ จะได้สนับสนุนให้ฉินเวยเวยอยู่ในตำแหน่งภรรยาเอก! ผู้การใหญ่หยางช่างเจ้าแผนการจริงๆ วางแผนได้ชั่วร้ายมาก วางกับดักซ้อนหลายชั้น โชคดีที่มีหลายเรื่องที่เขายังไม่รู้ เมื่อมีข้อมูลข่าวสารไม่พอ ก็วางแผนได้ไม่สมบูรณ์แบบหรอก เขาไม่รู้ว่าเยว่เหยาเป็นน้องสาวเจ้า ไม่รู้ว่ามู่ฝานจวินจะมีหรือไม่มีข้าเป็นตัวประกันก็ได้ ไม่รู้ว่ายังมีเรื่องที่พิภพใหญ่ บวกกับที่เจ้าเป็นคนไม่ทำอะไรตามกฎและขั้นตอน ไม่อย่างนั้นอาศัยวิธีการของเขา…เฮอะๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะการสู่ขอแต่งงานทำให้มู่ฝานจวินบังเอิญพูดเรื่องนี้ขึ้นมาพอดี เกรงว่าพวกเราคงจะถูกปิดบังไปทั้งชีวิต!”


เหมียวอี้ตกใจทันที ถามว่า “มันเรื่องอะไรกันแน่?”


พอพูดถึงเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวก็ค่อนข้างขวยอายและอึดอัดเช่นกัน ถึงอย่างไรตอนแรกก็ปิดบังเหมียวอี้และทำเรื่องนี้โดยพลการ เมื่อถูกถามตอนนี้ จะปิดบังต่อไปก็คงไม่ค่อยเหมาะแล้ว ทำได้เพียงค่อยๆ เล่าเรื่องที่ตัวเองถูกคำพูดแค่คำสองคำของหยางชิ่งยุงยงจนให้ความร่วมมือ


เมื่อฟังจบ เชื่อมต่อคำพูดของมู่ฝานจวินกับอวิ๋นจือชิวเมื่อครู่นี้ เมื่อได้มองเห็นหมากทั้งกระดานถึงได้เข้าใจ เหมียวอี้ตกใจจนเหงื่อแตก ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าสุนัขหยางชิ่งจะวางแผนกับพวกเขาสองสามีภรรยาแล้ว


เหมียวอี้ลุกพรวดทันที ชี้หน้าอวิ๋นจือชิวพร้อมตำหนิอย่างโมโหว่า “เจ้าไม่รู้เชียวเหรอว่าหยางชิ่งเป็นคนยังไง? การไปเล่นกลอุบายกับเขาไม่ต่างอะไรกับการวางแผนเอาหนังเสือ เมื่อเจอกับคนแบบนี้มีแต่ต้องใช้กำลังข่มขู่เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอะไรคุยกับเขาเลย ต้องบังคับให้เขาทำตามจุดประสงค์ของเจ้า ไม่ใช้ปล่อยให้เขาจูงจมูกพาเจ้าไปถึงจุดประสงของเขา ไม่อย่างนั้นเจ้าจะตายวันไหนก็ยังไม่รู้เลย!”


อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นอย่างช้าๆ กอดแขนเขาเอาไว้ “หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ตกลงมั้ย?”


เหมียวอี้สะบัดแขนนางออก แล้วตำหนิอย่างโมโห “อย่ามาใช้มุกนี้กับข้า! ตอนนี้ข้านับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ เจ้าสามถึงโดนมู่ฝานจวินขัง ที่แท้ก็เป็นฝีมือของเจ้านี่เอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าสาม ข้าจะหย่ากับนางมารร้ายอย่างเจ้าเลย!”


อวิ๋นจือชิวท่าทีอ่อนลงเยอะมาก เบะปากพูดว่า “ข้ากำลังชดเชยให้เจ้าสามไม่ใช่รึไง ไม่อย่างนั้นข้าไม่ตอบตกลงให้เจ้าแต่งงานรับเทพธิดาหงเฉินเข้าบ้านหรอก”


“เจ้า…” เมื่อถูกอุดปากด้วยเหตุผลนี้ เหมียวอี้ก็โวยวายไม่ออก โบกมือเล็งจะตบไปบนใบหน้าอวิ๋นจือชิว


อวิ๋นจือชิวหลับตา ไม่หลบ!


เมื่อมือกำลังจะถึงใบหน้านาง เหมียวอี้ก็หยุดมือค้างไว้ ทำใจตบไม่ลง


อวิ๋นจือชิวลืมตาข้างหนึ่งแอบมองเล็กน้อย เมื่อเห็นเหตุการณ์ก็ยิ้มทันที นางเอียงหน้าเบะปาก แล้วจูบลงบนฝ่ามือของเขาหนึ่งที


“เมื่อไม่มีกฎของบ้าน เจ้าก็คิดจะสลับตำแหน่งแล้ว!” เหมียวอี้พูดอย่างเดือดดาล จับแขนอวิ๋นจือชิวแล้วกดนางให้คว่ำลงบนโต๊ะ ‘เพี้ยะๆ’ เขาจับนางกระดกก้นแล้วตีอย่างรุนแรง เรียกได้ว่าลงมือหนักมาก ตีจนอวิ๋นจือชิวแยกเขี้ยวยิงฟันกัดริมฝีปาก


รู้ว่าความผูกพันระหว่างพี่น้องในช่วงชีวิตที่ลำบากยากเข็ญคือจุดอ่อนที่ผู้ชายคนนี้ลบออกจากใจไม่ได้ รู้ว่าไปลูบเกล็ดมังกรของผู้ชายคนนี้เข้าแล้ว รู้ว่าทำผิดไปแล้ว อวิ๋นจือชิวไม่กล้าเถียงอะไร กัดฟันนอนหมอบโดยไม่กล้าขยับ ยอมทนรับหลายสิบฝ่ามือแต่โดยดี  เรียกได้ว่าโดนตีจนก้นบวมแล้วจริงๆ


หลังจากระบายอารมณ์แล้ว เหมียวอี้ก็ปล่อยนาง แล้วพลันหันขวับไปมองนอกประตู พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบดุร้าย “เริ่มเกิดความคิดชั่วร้ายจะแว้งกัดเจ้าของ เก็บคนอย่างหยางชิ่งไว้ไม่ได้แล้ว ต้องกำจัดทิ้ง!”


…………………………


บทที่ 1120 ต่ำช้าไร้ยางอาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

อวิ๋นจือชิวที่เจ็บจนเอามือลูบก้นสูดหายใจอย่างตกตะลึง ขณะกำลังจะพูดว่าเหมียวอี้ใจร้าย จู่ๆ นางก็ได้ยินว่าเหมียวอี้จะกำจัดหยางชิ่ง ทั้งยังทำท่าทางเหมือนตัดสินใจแน่วแน่ด้วย ทำให้นางตกใจนิดหน่อย รีบก้าวเข้ามาดึงแขนเหมียวอี้ที่กำลังจะออกไป แล้วกล่าวอย่างตกใจว่า “เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ว่าหยางชิ่งเป็นพ่อแท้ๆ ของเวยเวย ถ้าเจ้าฆ่าเขา เจ้าจะอธิบายกับเวยเวยยังไง!”


เหมียวอี้ตอบอย่างไม่ซับซ้อนว่า “ไม่ต้องให้ข้าลงมือเองหรอก หาคนไปแอบจัดการให้ข้าสักรอบก็เรียบร้อยแล้ว วรยุทธ์เล็กน้อยอย่างหยางชิ่งต้านทานไม่ไหวหรอก เรื่องนี้เวยเวยไม่มีทางรู้”


อวิ๋นจือชิวดึงเขาไว้ไม่ยอมปล่อย “เจ้าสามารถปิดบังเวยเวยได้ แต่ถ้าหยางชิ่งตายขึ้นมา ทั้งชีวิตนี้ถ้าหาตัวคนทำไม่ได้ เวยเวยก็จะไม่มีทางหยุด บนโลกนี้หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ถ้าวันหนึ่งเวยเวยรู้ความจริงขึ้นมา เจ้าจะทำยังไง?”


“หยางชิ่งเกิดความคิดที่จะฆ่าเจ้านายตัวเองแล้ว วันนี้ลงมือกับเจ้าได้ ไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องลงมือกับข้าเข้าสักวัน เก็บคนแบบนี้ไว้ข้างกายอันตรายเกินไป” เหมียวอี้กล่าว


อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่เจ้าคิดหรอก ครั้งนี้เขาไม่ได้คิดจะทำอะไรกับเจ้า แค่คิดจะกำจัดข้าเฉยๆ อยากจะให้เวยเวยขึ้นตำแหน่งภรรยาเอก ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรกับเจ้า”


“กำจัดเจ้ากับกำจัดข้าต่างกันยังไง?” เหมียวอี้ถามเสียงต่ำ


เพียงพูดประโยคนี้คำเดียว อวิ๋นจือชิวมองเขาก็ด้วยแววตาเคลิบเคลิ้มแล้ว ในใจรู้สึกราวกับได้ดื่มน้ำผึ้ง นางกอดเขาไว้พร้อมทำเสียงเล็กเสียงน้อย “ช่างเถอะ พอได้ยินเจ้าพูดแบบนี้ ต่อให้ตายข้าก็เต็มใจ หยางชิ่งยังมีจุดที่ใช้ประโยชน์ได้อยู่”


พอเหลือบมองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดเงียบๆ เหมียวอี้ก็ทำสีหน้าจริงจังอีกครั้ง ผลักนางออก แล้วบอกว่า “ถ้าไม่แสดงปฏิกิริยาตอบสนอง เขาก็จะนึกว่าการวางแผนทำร้ายพวกเราไม่ต้องจ่ายอะไรแลกเปลี่ยน จะลุกลามกลายเป็นมีเจตนาไม่ดี ถึงตอนนั้นเวยเวยก็จะพลอยลำบากเพราะเขาไปด้วย ต้องยับยั้งให้ทันเวลา!”


อวิ๋นจือชิวหัวเราะ แล้วถามว่า “กลัวเขาเหรอ?”


“เชอะ!” เหมียวอี้ทำเสียงดูถูก “ข้าจะกลัวเขาเหรอ? ข้าจะบีบจุดอ่อนเขายังไงก็ได้ มีแต่คนสมองหมูอย่างเจ้านั่นแหละที่โดนเขาหลอก!”


“ได้! ข้าโง่เหมือนหมูก็ได้ จบมั้ย?” อวิ๋นจือชิวดึงเขากลับมา กดให้เขานั่งลง แล้วใช้คำพูดดีๆ เกลี้ยกล่อมเขา “ในเมื่อเจ้าไม่กลัวเขา คิดว่าตัวเองควบคุมเขาได้ แล้วจะฆ่าเขาทำไมล่ะ? มีคนแบบนี้ไว้ข้างกายอันตรายจริงๆ แต่ก็มีความสามารถจริงๆ ในอนาคตต้องมีคราวที่เจ้าใช้ประโยชน์ได้แน่ ฟังคำแนะนำของข้าเถอะ ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ”


“เขาต้องการทำร้ายชีวิตเจ้า เจ้าไม่แค้นเขาเหรอ?” เหมียวอี้ถามนาง


อวิ๋นจือชิวถอนหายใจแล้วบอกว่า “น่าสงสารหัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ เขาเองก็คิดเพื่อเวยเวย ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเจ้า”


“เจ้าไม่คิดเหรอว่าเวยเวยรู้สถานการณ์อยู่ก่อนแล้ว?” เหมียวอี้ถามหยั่งเชิง


อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนนั้นเวยเวยตกอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉินแล้ว นางจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไง? ตอนนี้ข้ากังวลอีกเรื่องหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าหยางชิ่งสนใจหงเฉิน แต่เจ้ากลับจะรับหงเฉินเป็นอนุภรรยา แย่งความรักจากเขาไป เรื่องนี้ถ้าจัดการได้ไม่ดี ก็อาจจะทำให้หยางชิ่งเอาใจออกห่างขึ้นมาจริงๆ!”


หลังจากเหมียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง จู่ๆ ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนว่า “พี่สาม!”


เสียงของเขาดังก้องอยู่ในนภาอู๋เลี่ยง ทำให้ทุกคนที่อยู่ทั้งในและนอกตำหนักมองมาทางนี้


เพิ่งจะสิ้นเสียง เงาคนคนหนึ่งก็ปรากฎอยู่นอกประตู อิงอู๋ตี๋เดินเข้ามา พยักหน้าทักทายอวิ๋นจือชิวก่อน แล้วถามเหมียวอี้ทันทีว่า “เจ้าห้า มีเรื่องอะไร?”


เหมียวอี้ยืนขึ้น แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “รบกวนพี่สามไปที่แดนเซียนสักเที่ยว ไปที่ตำหนักเจิ้นกุ่ย ปราสาทดำเนินธารา สายมะโรง พาหยางชิ่งมาพบข้าหน่อย!”


“หนิวเอ้อร์ เจ้าคิดจะทำอะไร?” อวิ๋นจือชิวตกใจ


เหมียวอี้มาสนใจ เพียงพยักหน้าให้อิงอู๋ตี๋ ยืนยันว่าต้องทำแบบนี้


อิงอู๋ตี๋เหลือบมองอวิ๋นจือชิว แล้วก็ถลันตัวออกไปทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


อวิ๋นจือชิวดึงเหมียวอี้มาต่อว่าต่อขาน มู่ฝานจวินก็มาหาด้วยตัวเอง พอเจอหน้าก็บอกทันทีว่า “หงเฉินตอบตกลงแล้ว มาคุยเรื่องวันแต่งงานกันสักหน่อย!”


เหมียวอี้ไม่สะดวกจะจัดการเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวทำได้เพียงวางเรื่องของหยางชิ่งไว้ชั่วคราว แล้วเชิญมู่ฝานจวินไปเจรจากันอีกด้าน


เดิมทีมู่ฝานจวินเองก็ไม่อยากจะปฏิบัติต่อหงเฉินอยากขาดความบุติธรรมเช่นกัน อยากจะจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ให้หงเฉิน แต่หงเฉินกลับอยากให้ทุกอย่างเรียบง่าย ไม่อยากให้จุกจิกวุ่นวายเกินไป ภายใต้ความดึงดันของนาง มู่ฝานจวินจึงทำได้เพียงตามใจนาง ไม่ฝืนใจนางอีก ตอนที่ปรึกษากับอวิ๋นจือชิวก็ย่อมเอ่ยว่าขอจัดงานอย่างเรียบง่าย


หลังจากคุยทุกอย่างเรียบร้อย กำหนดวันแต่งงานได้แล้ว มู่ฝานจวินก็พาหงเฉินกลับไปเตรียมตัวที่แดนโพ้นสวรรค์ ทิ้งจงเจิ้นไว้ที่นี่คนเดียว


เมือ่สังเกตเห็นว่ามู่ฝานจวินออกไปแล้ว พวกจีฮวนที่กำลังตื่นตัวไม่รู้ว่าทำไมมู่ฝานจวินถึงออกไปในเวลานี้ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ทุกคนไปหาถึงที่ทันที


อวิ๋นอ้าวเทียนเป็นผู้นำ ปราชญ์ทั้งสี่มาหาพร้อมกัน พอเห็นเหมียวอี้ อวิ๋นอ้าวเทียนก็ถามทันทีว่า “จะออกเดินทางไปพิภพใหญ่เมื่อไร?”


เหมียวอี้กำลังเอียงอาย อวิ๋นจือชิวจึงออกหน้าตอบให้ ยิ้มอย่างสนิทสนมพร้อมบอกว่า “ไม่รีบหรอก หลังจากนี้ครึ่งเดือน ทุกคนดื่มสุรามงคลก่อนแล้วค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย!”


“สุรามงคล?” ปราชญ์ทั้งสี่ประหลาดใจ มองหน้ากันเลิกลั่ก จีฮวนถามว่า “สุรามงคลอะไร? อย่าบอกนะว่ายังมีเรื่องมงคลอะไรอีก?”


เหมียวอี้ยกถ้วยน้ำชาบังหน้าอย่างขวยเขิน อวิ๋นจือชิวตบบ่าเหมียวอี้ แอบออกแรงมากพอ ตบจนน้ำชาในถ้วยของเหมียวอี้สั่นไหวกระเด็นออกมา  แล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “สามีขอข้าต้องการรับอนุภรรยาอีกสักคน รอรับเจ้าสาวเข้าบ้านก่อนแล้วค่อยเดินทางก็ยังไม่สาย”


สี่ปราชญ์สบตากันแวบหนึ่ง แล้วซือถูเซี่ยวก็ถามว่า “ไม่ทราบว่าจะแต่งงานรับผู้หญิงจากตระกูลไหน?”


“ทุกคนก็รู้จัก เทพธิดาหงเฉิน ศิษย์รักของมู่ฝานจวิน วันแต่งงานกำหนดให้เป็นฤกษ์มงคลในอีกครึ่งเดือนหลังจากนี้” อวิ๋นจือชิวตอบ


ในที่สุดทั้งสี่ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมจู่ๆ มู่ฝานจวินจึงออกไปในเวลานี้ ที่แท้ก็เตรียมไปจัดงานแต่งงาน


เมื่อเจอกับเรื่องแบบนี้ ทั้งสี่ก็ไม่สะดวกจะพูดอะไร นอกจากอวิ๋นอ้าวเทียน ปราชญ์คนอื่นๆ ก็บอกว่ายินดีด้วย จากนั้นก็ต่างคนต่างไปพร้อมความคิดอะไรบางอย่าง


ยังคงยกเว้นอวิ๋นอ้าวเทียน จีฮวนและคนอื่นๆ ออกจากนภาอู๋เลี่ยง ต่างคนต่างกลับไปยังอาณาเขตตัวเองอย่างรีบร้อน


ความเร็วของอิงอู๋ตี๋ยอดเยี่ยมจริงๆ ใช้เวลาครึ่งวันก็กลับมาถึงแล้ว มุ่งตรงไปจับหยางชิ่งจากตำหนักเจิ้นกุ่ยแล้วเรียกออกมาจากกระเป๋าสัตว์ แล้วโยนไว้ตรงหน้าเหมียวอี้โดยตรง


หยางชิ่งที่โดนผนึกวรยุทธ์ไว้ชั่วคราวตกลงพื้น พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวกำลังนั่งอยู่ เหมียวอี้กำลังจ้องเขาอย่างเย็นเยียบ!


อวิ๋นจือชิวส่งสายตาให้อิงอู๋ตี๋ อิงอู๋ตี๋จึงพยักหน้าเงียบๆ แล้วหันตัวเดินจากไป


“นายท่านเรียกมาด้วยธุระอะไร?” หยางชิ่งแสร้งกุมหมัดคารวะถามอย่างใจเย็น


เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ท่านทำเรื่องอะไรไว้ยังต้องให้ข้าเตือนด้วยเหรอ? ใจกล้าไม่เบานะ บังอาจวางแผนทำร้ายฮูหยิน!”


ระหว่างทางที่ถูกจับมา ในหัวหยางชิ่งก็ครุ่นคิดไม่หยุด ทำให้พอจะเดาอะไรบางอย่างออกแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ ‘เชิญ’ เขามาด้วยวิธีการนี้หรอก ตอนนี้ก็ยิ่งแน่ใจแล้วว่าแผนร้ายแดงออกมา เขาเองก็เข้าใจ เรื่องผ่านมาจนป่านนี้ จะแก้ตัวอะไรก็ไม่มีประโยชน์แล้ว จึงใช้สองมือสะบัดชายเสื้อข้างหลัง นั่งคุกเข่าลงช้าๆ แล้วกล่าวอย่างสิ้นหวังว่า “ข้าน้อยเหมือนถูกผีร้ายดลใจไปชั่วขณะ หยางชิ่งยินดีรับโทษทุกอย่าง เพียงแต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเวยเวย หวังว่านายท่านจะไม่บอกเรื่องนี้ให้เวยเวยรู้ หยางชิ่งยินดีตายเพื่อชดใช้ความผิด!”


ถึงแม้จะแสดงท่าทีแบบนี้ แต่เขาก็ไม่กังวลเลยสักนิด ที่เขากล้าลองหยั่งเชิงในสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่เพราะมั่นใจในสถานการณ์ แต่เป็นเพราะรู้จักนิสัยของอวิ๋นจือชิว รู้ว่าสามารถพูดโน้มน้าวให้อวิ๋นจือชิวใจอ่อนได้ เช่นเดียวกัน เป็นเพราะเขารู้นิสัยของเหมียวอี้ ขอเพียงมีฉินเวยเวยอยู่ ขอเพียงอวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไร เหมียวอี้ก็จะไม่ทำอะไรเขา


เขาวางตัวสุขุมเยือกเย็นมาตลอด ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่มั่นใจก็จะไม่ลงมือทำง่ายๆ หลังจากไตร่ตรองแล้ว ก็พบว่าเรื่องนี้มีสองด้าน หนึ่งก็คือแผนการสำเร็จและอวิ๋นจือชิวตาย ขอเพียงอวิ๋นจือชิวตายแล้ว ก็จะถือว่าตายอย่างไร้หลักฐาน ไม่มีใครรู้ว่าอวิ๋นจือชิวเต็มใจไปเป็นตัวประกันหรือไม่ เหมียวอี้ก็จะโทษเขาไม่ได้ สองก็คือแผนการล้มเหลว ขอเพียงอวิ๋นจือชิวไม่เป็นอะไร และเวยเวยยังอยู่ เหมียวอี้ก็ไม่ถึงขั้นทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไป


และยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง ถ้าแผนการไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ มู่ฝานจวินก็คงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เรื่องนี้ก็อาจจะถูกฝั่งให้จมลงไป


ดังนั้นไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาเขาก็จะไม่เป็นะอะไรเลย ก่อนลงมือเขาได้ยืนอยู่ในจุดที่ไม่มีวันแพ้อยู่แล้ว ย่อมลงมือได้อย่างเด็ดขาด!


“ตาย? ท่านได้เปรียบเกินไปหน่อยแล้วมั้ง!” เหมียวอี้ยืนขึ้น แล้วแสยะยิ้มไม่หยุด “เรื่องลงโทษน่ะเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว ท่านชอบเทพธิดาหงเฉินไม่ใช่เหรอ? ต่อไปก็ตัดใจเสียเถอะนะ เดี๋ยวข้าจะไปปรึกษามู่ฝานจวินสักหน่อย จะเอาหงเฉินมาเป็นอนุภรรยา!”


หยางชิ่งกระตุกมุมปากอย่างรุนแรง เงยหน้าขึ้นมอง เหมือนอยากจะตัดสินจากสีหน้าของเหมียวอี้ว่าพูดจริงหรือพูดเล่น!


เหมียวอี้พูดอย่างก้าวร้าวว่า “ทำไมเหรอ? ท่านมีความเห็นแย้งอะไรงั้นเหรอ? จะทวงความยุติธรรมให้เวยเวยสักหน่อยมั้ยล่ะ?”


“ข้าน้อย…ข้าน้อยไม่มีความเห็นแย้งอะไร!” หยางชิ่งส่ายหน้ากล่าวอย่างขื่นขม เรียกได้ว่าเหมือนกลืนมะระขมลงคออย่างยากลำบาก


เงาร่างอรชรอ่อนช้อยที่สวมชุดกระโปรงสีแดงลอยลงมาจากฟ้าปรากฏขึ้นมาในหัวเขา แล้วสะท้อนกลับในดวงตาของเขา ดวงตาฉายแววเศร้าโศก


ตอนที่เขาถูกจับมาก็ได้คิดถึงความเป็นไปได้หลายทางเผื่อเอาไว้ แต่นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีการต่ำช้าไร้ยางอายอย่างการแย่งความรักมารับมือกับเขา เขาพบว่าชาตินี้ตัวเองนับว่าล้มลงด้วยน้ำมือเจ้าเวรนี่แล้ว หลังจากได้สู้กับคนที่ไม่น่าเชื่อถือ แผนการของตนที่ครุ่นคิดมาอย่างดีก็ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ผิดพลาด อีกฝ่ายอยากจะทำอะไรก็ทำอย่างนั้น ไม่รับมือกับแผนของเขาเลย


อวิ๋นจือชิวรีบหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาบังหน้า พบว่าผู้ชายของตัวเองไร้ยางอายเกินไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วิธีการแบบนี้มาจัดการหงเฉินกับหยางชิ่ง นี่เป็นการแย่งคนรักชัดๆ กลายเป็นจงใจทำโทษหยางชิ่งเพราะความผิดของหยางชิ่ง ต่ำช้าไร้ยางอาย วันนี้นับว่าได้เข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘เป็นโสเภณีแต่ยังจะสร้างซุ้มประตูให้ตัวเอง[1]!’


แค่นี้ยังไม่พอ จู่ๆ เหมียวอี้ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกน “ฉินซี!”


หยางชิ่งที่กำลังใจลอย พอได้ยินชื่อนี้ก็พลันเงยหน้ามองเขา ในดวงตาฉายแววหวาดระแวงกลัว ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ยังจะทำอะไรอีก?


เขาเดาความคิดของเหมียวอี้ไม่ออกจริงๆ สรุปก็คือสู้สึกอกสั่นขวัญแขวน หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ!


ผ่านไปครู่เดียว ฉินซีที่ได้ยินเสียงเรียกก็มาถึง พอเข้ามาในโถงแล้วเห็นหยางชิ่งที่กำลังคุกเข่า นางก็อึ้งไปชั่วขณะเช่นกัน หลังจากสบตากับหยางชิ่ง นางก็ก้าวขึ้นมาคำนับ “นายท่าน ฮูหยิน!”


เหมียวอี้บุ้ยปากไปที่ฉินซี แล้วบอกหยางชิ่งว่า “คนนั้นท่านไม่ต้องคิดถึงแล้ว คนนี้ล่ะ ท่านมองดูซิ หญิงม่ายเมียของเฟิงเป่ยเฉิน และเป็นคนรักเก่าของท่านเช่นกัน แต่งงานกับคนนี้แล้วกัน! ข้าให้ท่านรักการวางแผนและคิดการณ์ไกลต่อไป ครั้งนี้จะช่วยให้ท่านสมปรารถนาแล้วกัน แล้วก็จะกล่าวชมสักหน่อย จำเป็นต้องยอมรับว่าท่านคาดการณ์เก่งจริงๆ คาดการณ์ไว้แล้วว่าวันนี้นางจะได้กลายเป็นฮูหยินของท่าน ก็เลยไปแอบคบชู้กันไว้ล่วงหน้า นับถือ!”


“…” หยางชิ่งตกตะลึงอ้าปากค้าง


อวิ๋นจือชิวที่กำลังยกถ้วยน้ำชาอมลมในกระพุ้งแก้ม น้ำชาในปากแทบจะพุ่งออกมา


ฉินซีงุนงงเหมือนโดนหมอกลงสมอง ยังไม่ทันจะรู้ตัวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหมียวอี้ก็กล่าวเสียงเรียบแล้วว่า “ฉินซี ข้าตัดสินใจแล้ว จะให้ท่านแต่งงานกับหยางชิ่ง มีความเห็นแย้งอะไรรึเปล่า?”


ฉินซีสับสนวุ่นวายทันที รีบโบกมือบอกว่า “นายท่าน ข้าไม่ได้วางแผนจะแต่งงานอีก!”


ล้อเล่นอะไรกัน จะให้ตนแต่งงานกับหญิงม่ายเมียเก่าเฟิงเป่ยเฉินเหรอ! หลังจากหยางชิ่งตกตะลึง ก็รีกุมหมัดขอร้อง “นายท่านได้โปรดคืนคำสั่ง!”


เหมียวอี้หันกลับมาบอกอวิ๋นจือชิวที่กำลังถือถ้วยน้ำชาว่า “เจ้าไปด้วยตัวเองสักรอบ ไปเชิญฉินเวยเวยมาพบบิดามารดาที่แท้จริงสักหน่อย ให้ฉินเวยเวยตัดสินใจว่าจะให้สองคนนี้แต่งงานกันหรือไม่!”


…………………………


[1] เป็นโสเภณีแต่ยังจะสร้างซุ้มประตูให้ตัวเอง 婊子还立牌坊 อุปมาว่าทำเลวแต่ก็อยากให้ผู้คนนับถือ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)