พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1115-1116
บทที่ 1115 ยามคว่ำเมฆพลิกฝนได้
โดย
Ink Stone_Fantasy
เพื่อที่จะทำให้ฉินเวยเวยวางใจอย่างถึงที่สุด ท่านขุนนางเหมียวจึงอุ้มฉินเวยเวยเข้าไปในตำหนักนอนเสียเลย ใช้การปฏิบัติจริงเพื่อแสดงออกอย่างชัดเจนว่าตัวเองเชื่อนาง หลังจากเมฆฝนที่เร่าร้อนผ่านไป ก็ทำให้ฉินเวยเวยหัวใจหวานชื่นแล้วจริงๆ วางใจลงจริงๆ แล้ว
เบื่อแล้ว!
หลังจากฉินเวยเวยออกไป นี่คือความคิดของเหมียวอี้ที่นั่งเงียบๆ อยู่บนเก้าอี้เพียงลำพัง เขาพบว่ามีผู้หญิงเยอะเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี เมื่อแต่งงานเข้ามาแล้ว เจ้าไม่อาจทำเหมือนนางเป็นท่อนไม้ ไม่ถามไถ่สนใจใยดีความรู้สึกของนาง จะเอามาปรนนิบัติเจ้าอย่างเดียวไม่ได้ เขารู้สึกเหนื่อยใจนิดหน่อย!
ตอนนี้เขากำลังคิดว่า ตอนแรกที่แต่งงานกับอวิ๋นจือชิวแค่คนเดียวนั้นดีขนาดไหน ตอนแรกเขาคิดจริงๆ ว่าอยากจะอยู่กับอวิ๋นจือชิวคนเดียวไปยันแก่เฒ่า ตอนแรกไม่ได้มีความคิดว่าจะมีภรรยาหลายคนเลย ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะมีจุดไหนที่ทำให้เขาไม่พอใจ แต่ความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกันระหว่างเขากับอวิ๋นจือชิวก็ทำให้ใจของเขาผ่อนคลายมาก เวลาทะเลาะด่าทอกับอวิ๋นจือชิว เขาก็ไม่รู้สึกว่ามีภาระทางด้านจิตใจ เขาสามารถด่าอวิ๋นจือชิวว่าผู้หญิงปากร้ายและนางมารร้ายได้ แต่กับฉินเวยเวยกลับพูดแรงอย่างนั้นไม่ได้ กลัวว่าถ้าไม่ระวังจะทำให้นางคิดมากและทำร้ายจิตใจ ระหว่างสามีภรรยาก็ต้องระมัดระวัง ทำให้เขาเหนื่อยใจมาก
เขาเอนกายลงบนเก้าอี้คนเดียว ในหัวเต็มไปด้วยเงาร่างของอวิ๋นจือชิว ความงามเพริศพริ้งตอนพบกันครั้งแรกที่วัดเมี่ยวฝ่า การจ้องอย่างไม่ละสายตาเมื่อพบกันอีกครั้งที่โรงเตี๊ยมเมฆาวายุ ท่วงท่าที่งดงามยามดื่มสุราบนดาดฟ้าอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น การครอบครองยามร่างงามเข้าสู่อ้อมกอดเป็นครั้งแรก ความตื่นเต้นเร้าใจยามลักลอบเจอกัน ความคนึงหาเมื่อไม่ได้พบหน้ากันนาน ความหยาบคายยามระเบิดอารมณ์ทำร้ายคน คิดถึงสิ่งต่างๆ…
ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นถึงพิภพใหญ่หรือยัง คาดว่าคงใกล้จะถึงแล้ว นี่เพิ่งห่างกันได้ไม่นาน จู่ๆ เหมียวอี้ก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มคิดถึงอวิ๋นจือชิวแล้ว
เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว พอแล้ว! ต่อไปนี้ต่อให้โดนตีให้ตายก็จะไม่แต่งงานอีกแล้ว
ตัวละครเล็กๆ สนใจแต่ตัวเองก็ไม่ผิด แต่เมื่อคนเราขึ้นมาถึงสถานภาพและตำแหน่งบางอย่าง เรื่องบางเรื่องก็ทำตามใจตัวเองไม่ได้ สิ่งที่ต้องพิจารณาคือผลประโยชน์มหาศาล หรือไม่ก็ผลประโยชน์ของคนที่มากกว่านั้น ความสามารถยิ่งมากความรับผิดชอบก็ยิ่งมาก…
อวิ๋นจือชิวก็มาถึงพิภพใหญ่แล้วจริงๆ กลับมาถึงร้านโฉมเมฆา หลังจากถอดเครื่องปลอมตัวออก เดินมาในศาลาเย็นหลังภูเขาจำลอง ก็ปล่อยอวิ๋นเซี่ยวและคนอื่นๆ ออกมาจากกระเป๋าสัตว์
ทั้งห้ามองดูสภาพแวดล้อมรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก เมื่อเห็นเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างหลังอวิ๋นจือชิวก็อึ้งทันที อวิ๋นเซี่ยวมองซ้ายมองขวาแล้วถามว่า “น้องชิว ที่นี่คือพิภพใหญ่เหรอ?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอาหก นี่ก็คือร้านค้าของข้าที่พิภพใหญ่ ด้านนอกคือตลาดสวรรค์ ตลาดสวรรค์มีสาขาอยู่หลายที่ในพิภพใหญ่ เป็นสถานที่ที่เจริญที่สุดของพิภพใหญ่ มีนักพรตมารวมตัวกันมากมาย”
มาถึงพิภพใหญ่แล้วเหรอ? ทั้งห้าคนตาเป็นประกาย เรียกได้ว่าตื่นเต้นเหมือนในใจมีคลื่นโหมซัดสาด!
หลังจากสงบอารมณ์ได้แล้ว จงเจิ้นก็ถามว่า “ได้ยินว่าเหมียวอี้เป็นผู้บัญชาการใหญ่อะไรสักอย่างที่ตลาดสวรรค์ หมายถึงที่นี่หรือเปล่า?”
“ใช่แล้ว! แต่ตอนอยู่ที่นี่ เหมียวอี้ไม่ได้ชื่อเหมียวอี้ ชื่อหนิวโหย่วเต๋อ” หลังจากยกน้ำชาขึ้นมาจิบให้ชุ่มคอ อวิ๋นจือชิวก็กล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ทุกคนออกไปเดินดูถามไถ่สักหน่อยก็ได้ ตลาดสวรรค์เป็นแหล่งรวมลูกค้าจากทั่วสารทิศของพิภพใหญ่ นับว่าเป็นจุดที่ข่าวสารรวดเร็ว อยากจะรู้อะไรก็ไปสืบได้เลย สามวัน ข้าให้เวลาทุกคนเพียงสามวันเท่านั้น หลังจากสามวันนี้พวกเจ้ามารวมตัวกันที่นี่ ข้าจะพาพวกเจ้ากลับไปรายงานผลการปฏิบัติงาน จำไว้ว่าอย่าเพ่นพ่านไปไหนซี้ซั้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นข้าไม่รับผิดชอบหรอกนะ แล้วก็อย่าก่อเรื่องที่นี่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าไปหาเรื่องทหารสวรรค์ของที่นี่ ที่นี่มียอดฝีมือมากมาย วรยุทธ์เล็กน้อยของพวกเจ้าที่พิภพเล็กยังนับว่าสำคัญอะไร อยู่ที่นี่ไม่พอให้ขู่อะไรได้หรอก ที่นี่มีนักพรตบงกชรุ้งนั่งรักษาการณ์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นพวกเจ้าก็หนีไม่พ้น แล้วก็อย่าเปิดเผยที่มาที่ไปของตัวเองนะเมื่ออยู่ที่นี่ ข้ากับเหมียวอี้ก็แกล้งเป็นเพื่อนกันธรรมดาเท่านั้น พวกเจ้าไม่คุ้นเคยกับสภาพชีวิตที่นี่ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย”
พูดจบก็ตั้งใจยืนขึ้นคำนับอวิ๋นเซี่ยว แล้วบอกว่า “ท่านอาหก พิภพใหญ่ไม่ใช่สถานที่ที่สงบสุข สามวันนี้เชิญตามสบายค่ะ ข้าไม่สะดวกจะมาอยู่ด้วย เกรงว่าจะทำให้คนสงสัยโดยไม่จำเป็น ที่ตลาดสวรรค์มีโรงเตี๊ยม สามารถใช้เหรียญผลึกที่นี่ได้ บนตัวท่านอาหกนำเงินมาด้วยหรือเปล่า? ถ้าไม่มี เสี่ยวชิวจะนำมาสนับสนุนให้ท่านอาหกสักหน่อย”
อวิ๋นเซี่ยวหัวเราะเบาๆ แล้วโบกมือบอกว่า “ท่านอาหกของเจ้าไม่ได้จนถึงขั้นไม่มีเงินค่าโรงเตี๊ยมหรอก พูดอย่างนี้แล้วกัน ข้าอดใจรอไม่ไหวอยากจะเดินดูสักหน่อยแล้ว”
อีกสี่คนก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ต่างก็อดใจรอไม่ไหวแล้ว
อวิ๋นจือชิวไม่สะดวกจะรั้งไว้ หันกลับมาสั่งว่า เชียนเอ๋อร์ ช่วยไปส่งให้ข้าหน่อย”
“เชิญ!” เชียนเอ๋อร์ยื่นมือเชิญ แล้วเดินนำทางไป
พอเดินออกจากภูเขาจำลอง พวกเขาก็เหลียวซ้ายแลขวาแล้ว ตอนที่เดินผ่านร้านค้า พวกบัณฑิตที่เห็นคนพวกนี้ก็พากันอึ้ง และคนพวกนี้ก็เห็นว่าคนส่วนใหญ่ในร้านเป็นคนงานของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุในปีนั้น พวกเขากระตุกมุมปากเล็กน้อย สงสัยแม้แต่ลูกน้องพวกนี้ก็ได้มาที่พิภพใหญ่ตั้งนานแล้ว
เชียนเอ๋อร์พาพวกเขามาส่งถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมแล้ว
พวกเขายืนอยู่ด้านนอกโรงเตี๊ยม มองไปยังผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนน ในกลุ่มคนปะปนไปด้วยปราณปีศาจ บ้างก็มีปราณผี แค่มองปราชญ์เดียวก็รู้ว่าผู้ที่สัญจรไปมาคือนักพรตทั้งหมด
ตึกสูงอาคารใหญ่ที่มีลักษณะแตกต่างกันไปทำให้พวกเขาตาลายไปหมดแล้ว
บังเอิญว่าเป็นตอนนี้พอดี ทหารสวรรค์กลุ่มหนึ่งที่กำลังลาดตระเวนเดินเข้ามา หัวหน้าที่มีท่าทางลำพองใจไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเลี่ยหวนที่สวมเกราะรบสีทองนั่นเอง กำลังเอามือไขว้หลังเดินกร่างนำอยู่ข้างหน้าอย่างองอาจผึ่งผาย คนบนถนนหลีกทางให้สองฝั่งทันที
“นั่นนักพรตปีศาจเลี่ยหวนไม่ใช่เหรอ?” หวังเต้าหลินศิษย์คนโตของซือถูเซี่ยวถ่ายทอดเสียงถามทุกคน
พวกเขามองเห็นเลี่ยหวน เลี่ยหวนก็มองเห็นพวกเขาแล้วเหมือนกัน ตกตะลึงเช่นกัน คิดในใจว่าคนพวกนี้มาที่นี่ได้อย่างไร?
เลี่ยหวนยกมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ทันที นำกำลังพลหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว
หลังจากเอามือไขว้หลังเดินวนทั้งห้ารอบหนึ่ง เลี่ยหวนก็โบกมือกล่าวว่า “คนพวกนี้มีพฤติกรรมน่าสงสัย อย่าให้หนีไป!”
กลุ่มทหารสวรรค์ชักอาวุธออกมาพร้อมกันทันที มาล้อมทั้งห้าคนเอาไว้ พอคนที่เดินถนนเห็นสถานการณ์แบบนี้ก็สุมหัวกระซิบกระซาบกัน
พวกอวิ๋นเซี่ยวโมโหทันที นึกถึงคำที่อวิ๋นจือชิวกำชับ จึงได้แต่มองดูตัวเองโดนล้อมเอาไว้ กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอะไร
โชคดีที่เชียนเอ๋อร์ยืนอยู่ตรงประตูพอดี พอเห็นสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลจึงรีบเดินเข้ามา นางยังไม่ทันพูดอะไร เลี่ยหวนก็ถ่ายทอดทอดเสียงถามแล้วว่า “กูกูใหญ่ คนพวกนี้นี่ยังไงกัน?”
“อย่าทำซี้ซั้ว ฮูหยินเป็นคนพามาเอง” เชียนเอ๋อร์ตอบ
เลี่ยหวนขานรับ คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าไม่ถูก ฮูหยินจะพาคนพวกนี้มาทำไมกัน? จึงนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับฝูชิงเพื่อยืนยัน ฝูชิงบอกว่าเป็นการเตรียมการของเหมียวอี้ ไม่ให้เขาทำอะไรซี้ซั้ว เลี่ยหวนที่เดิมทีอยากจะฉวยโอกาสระบายอารมณ์จึงโบกมือ พาคนเดินจากไป ทิ้งให้พวกอวิ๋นเซี่ยวกัดฟันกรอดอยู่อย่างนั้น
พอมาถึงก็พบเรื่องน่ารำคาญใจ นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ต่อมา พวกอวิ๋นเซี่ยวที่เริ่มเดินดูจนทั่วถึงได้รู้ว่าตัวเองยากจนขนาดไหน
ร้านค้าที่ชูสลอนอยู่ที่นี่มีของดีมากมายจริงๆ ทำให้พวกเขาตาลาย รู้สึกเหมือนเป็นบ้านนอกเข้าเมือง แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีของดีชิ้นไหนที่พวกเขาซื้อไหวเลย ของที่ดีจริงๆ ต่อให้นำหกปราชญ์ไปขายก็ซื้อไม่ไหว
พออยู่ไปสามวัน ทั้งห้าคนก็รู้สึกทึ่งสุดๆ แล้วจริงๆ…
พิภพเล็ก ตำหนักอู๋เลี่ยง ทั้งห้าปราชญ์ล้วนมีลูกศิษย์มาคอยปรนนิบัติ เหมียวอี้มีท่าทีที่เลวร้ายมาก ไม่สนใจการกินอยู่ของทั้งห้าคนเลย
หลังจากถามอาจารย์ว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เทพธิดาหงเฉินก็ออกจากลานบ้านเล็ก แล้วมุ่งตรงไปขอพบเหมียวอี้ที่ตำหนักหลัง
เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว พอพบเหมียวอี้ หงเฉินก็อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
เหมียวอี้เห็นแล้วหัวเราะทันที หลังจากบอกให้คนในโถงหลักออกไป ก็เชิญให้หงเฉินนั่งลง แล้วถามว่า “ตอนนี้พูดได้แล้วมั้งว่ามีธุระอะไร?”
หงเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “เจ้าเริ่มแข็งแกร่งแล้ว เพื่อที่จะควบคุมเจ้า อาจารย์กักบริเวณเยว่เหยาแล้ว…” นางเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังคร่าวๆ ทันที
“นางมารร้ายมู่ฝานจวิน!” เหมียวอี้ตะคอกอย่างเดือดดาล นึกไม่ถึงว่ามู่ฝานจวินจะรู้ความจริงของเจ้ารองแล้ว และเพิ่งรู้ด้วยว่าเจ้าสามกำลังโดนขัง โมโหแล้ว เขารู้สึกผิดต่อวิญญาณบิดามารดาของเจ้าสามมาตลอด ตอนเด็กดูแลเจ้าสามไม่ดี ตอนนี้พอได้รู้ว่าเจ้าสามกำลังโดนคนรังแก เขาจะระงับไฟโกรธไว้ได้อย่างไร เดินก้าวยาวออกไปนอกโถงทันที
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” หงเฉินรีบมาขวางเขา
“ก็ต้องไปคิดบัญชีกับนางมารร้ายนั่นน่ะสิ!” เหมียวอี้สีหน้าเย็นเยียบดุร้าย ชี้หน้าหงเฉินพร้อมตะคอกว่า “เจ้าหลีกไป ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
หงเฉินไม่ยอมหลีกทาง แต่ถามกลับว่า “เจ้าจะคิดบัญชียังไง? เจ้ามีบุญคุณที่เลี้ยงดูเยว่เหยามา แต่อาจารย์ข้าไม่มีบุญคุณที่เลี้ยงดูเยว่เหยามาเหรอ ถ้าพูดถึงบุญคุณที่มีต่อเยว่เหยา เมื่อเทียบกับเจ้าแล้วอาจารย์ข้าก็มีบุญคุณไม่น้อยไปกว่ากันเลย เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นพี่ชายคนโต แต่อาจารย์กลับเป็นเสมือนบิดา! อาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์คือหลักการของฟ้าดินที่ต้องทำอยู่แล้ว ใครก็ว่าไม่ได้สักคำ เจ้าจะคิดบัญชียังไง? ต่อให้เจ้ามีความสามารถที่จะคิดบัญชี แต่เจ้าจะให้เยว่เหยาทำยังไง? คนหนึ่งก็เป็น ‘พี่ชายคนโต’ คนหนึ่งก็เป็นเสมือน ‘บิดา’ เยว่เหยาควรจะช่วยใครล่ะ?”
“อย่ามาใช้มุกนี้ เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะ มู่ฝานจวินนับว่าเป็นบิดาบ้าอะไรล่ะ เยว่เหยาน่ะข้าเลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ถ้าพูดด้านความผูกพัน เยว่เหยายังพูดพันกับเจ้ามากกว่าเลย!” เหมียวอี้พูดถากถาง
หงเฉินถอนหายใจแล้วบอกว่า “มาพูดตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย ถ้าไม่มีอาจารย์ก็ไม่มีเยว่เหยาในวันนี้ เยว่เหยาไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณ ไม่อย่างนั้นคงไม่คิดถึงพี่ชายคนโตอย่างเจ้าอยู่ตลอดหรอก ถ้าพูดให้เบาลงหน่อย ต่อให้สิ่งที่เจ้าพูดจะมีเหตุผล แต่อาจารย์ก็เตรียมตัวไว้แล้วเช่นกัน ตอนที่ขังเยว่เหยาก็ได้บอกเยว่เหยาไว้แล้ว ว่าถ้ามีเหตุการณ์ไม่คาดคิด อาจารย์ก็จะลงโทษข้าก่อน แล้วก็เป็นอย่างที่เจ้าบอก เยว่เหยาจะทนดูข้ารับความลำบากได้เหรอ? ถ้าเจ้ากับอาจารย์ข้ามีความสัมพันธ์เหมือนเมื่อก่อนไปตลอด ทุกคนรักษาความสงบได้ก็ไม่เป็นไร แต่วันนี้เจ้าผงาดขึ้นมาแล้ว ความสัมพันธ์ไม่ได้เป็นแบบเมื่อก่อน ต่อไปก็ยังไม่รู้ว่าระหว่างพวกเจ้าจะเกิดความขัดแย้งอะไรขึ้น ข้ากลัวมาก กลัวว่าวันไหนเยว่เหยาจะลำบากเพราะข้า”
เมื่อได้ยินคำพูดแบบนี้ ก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้กำลังคำนึงถึงเจ้าสาม ความโมโหในใจเหมียวอี้สงบลง ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ารู้ว่ามู่ฝานจวินกำลังใช้ประโยชน์จากเจ้า ทำไมไม่หนีไปล่ะ? ถ้าเจ้าเป็นห่วงเยว่เหยาจริงๆ ไม่สู้ทำแบบนี้มั้ย ข้าจะหาที่สงบๆ ให้เจ้าอยู่ ขอเพียงเจ้าหลุดพ้นเงื้อมมือมารของมู่ฝานจวิน มู่ฝานจวินก็จะใช้เจ้าไปควบคุมเยว่เหยาไม่ได้อีก ถึงตอนนั้นข้าค่อยหาทางเสี้ยมมู่ฝานจวินกับเยว่เหยาให้แตกคอกัน แบบนั้นก็ย่อมตัดความรู้สึกที่เยว่เหยามีต่อมู่ฝานจวินได้แล้ว ไม่อย่างนั้นข้าก็ทนให้เจ้าสามลำบากใจไม่ไหวจริงๆ ไม่อย่างนั้นข้าคงหาทางไปชิงตัวเจ้าสามมาจากแดนโพ้นสวรรค์ตั้งนานแล้ว”
“นี่เจ้าจะให้ข้าทรยศอาจารย์เหรอ!” หงเฉินตวาด
“อาจารย์ที่มีเจตนาไม่ดีแบบนี้ เจ้าจะไปนับนางเป็นอาจารย์ทำไม?” เหมียวอี้ถามอย่างหงุดหงิด
หงเฉินส่ายหน้า “อาจารย์ก็มีบุญคุณที่เลี้ยงดูสั่งสอนข้ามาเหมือนกัน ให้เสื้อผ้าให้อาหาร ถ่ายทอดวิชาความรู้ ตอนเด็กก็ปฏิบัติต่อข้าเหมือนเป็นบิดามารดาแท้ๆ ยามวิกฤตก็ช่วยข้าให้พ้นจากความลำบาก ถ้าข้าทรยศนาง ข้ายังจะเอาหน้าจากไหนมายืนอยู่บนโลกนี้ได้อีก?”
“งั้นเจ้าจะมาหาข้าทำบ้าอะไรล่ะ” เหมียวอี้กล่าวด้วยใบหน้าขรึม
“ข้ามาทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า” หงเฉินตอบ
“สัญญา?” เหมียวอี้งุนงง ถามอย่างสงสัยว่า “ข้าเคยสัญญาอะไรกับเจ้าไว้เหรอ?”
หงเฉินยิ้มเจื่อนพร้อมถามว่า “ตำหนักดาวประจิม รอให้เจ้าคว่ำเมฆพลิกฝนได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้ถือว่าเจ้าคว่ำเมฆพลิกฝนที่พิภพเล็กได้หรือยัง?”
…………………………
บทที่ 1116 สิ่งที่พบเห็นมาจากพิภพใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภาพที่แวบผ่านเข้ามาในหัวทำให้เหมียวอี้พูดไม่ออก คำพูดอวดดีบ้าระห่ำในตอนแรกเขาจะลืมได้อย่างไร จำได้อย่างลึกซึ้งเกินไปแล้ว พอหงเฉินเตือนความจำ เหมียวอี้ก็นึกออกทันที
จำได้ก็ส่วนจำได้ แต่เหมียวอี้ไม่ถึงขั้นไม่รู้จักข้อพกพร่องของตัวเอง คำพูดที่เคยพูดไว้ในตอนแรก พอมาคิดดูตอนนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่พูดออกมาภายใต้ ‘ความประมาทของเด็กหนุ่ม’ ตอนนั้นเขาเองก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะมีวันนี้ได้ ดังนั้นเขาว่ากันว่ายิ่งอยู่ในยุทธภพนานก็ยิ่งขี้ขลาด เขาถึงขั้นอับอายกับคำพูดที่บอกว่าจะแต่งงานกับอวิ๋นจือชิวภายในหนึ่งพันปีด้วยซ้ำ
บางครั้งที่ย้อนนึกถึงขึ้นมา เขาก็จะถามตัวเองทุกครั้งว่า ทำไมกล้าพูดอะไรแบบนั้นออกมาได้? โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับรู้ถึงศักยภาพของเฟิงเป่ยเฉินแล้ว เขาก็ยิ่งอับอายกว่าเดิม ในปีนั้นช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ!
มีจุดจุดหนึ่งที่เขาเข้าใจ ว่าคนที่ตัวเองพูดจาบ้าระห่ำด้วยด้วยเป็นสามงาม หงเฉินกับอวิ๋นจือชิวล้วนเป็นสาวงาม เขาคิดว่าถ้าเปลี่ยนเป็นคนอัปลักษณ์ ตัวเองก็คงไม่พูดอะไรแบบนั้นออกมาเช่นกัน พอขบคิดดูสักหน่อยก็พบว่าตัวเองก็ไม่ได้มีดีอะไรเลยจริงๆ
ตอนยังไม่เอ่ยถึงเรื่องนั้นก็ยังดีอยู่ แต่พอเอ่ยถึงขึ้นมา เหมียวอี้ก็ค่อนข้างอับอายเหมือนกัน “ตอนแรกเป็นเพียงคำพูดบ้าระห่ำ เจ้าอย่าคิดเป็นจริงเป็นจัง”
หงเฉินส่ายหน้าบอกว่า “เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดจริงจัง แต่ตอนนี้คิดเป็นจริงเป็นจังแล้ว ถ้าเจ้าไม่รังเกียจที่ข้าฐานะต่ำต้อยไม่คู่ควรกับเจ้า ก็แต่งงานกับข้าเถอะ!”
จริงหรือล้อเล่น? เหมียวอี้ตะลึงค้าง เรียกได้ว่ามองนางศีรษะจดปลายเท้า แล้วก้มองจากเท้าขึ้นไปบนศีรษะ ถึงแม้ตอนนี้จะเคยพบเห็นสาวงามมามากมาย แต่ก็ไม่เหมือนสาวงามคนนี้ที่ทำให้เขาตะลึงค้างเมื่อแรกเห็นบนต้นไม้โบราณ ความงามของผู้หญิงคนนี้ยังคงเหมือนเทพธิดา เขาถามอย่างลังเลว่า “เจ้าจะแต่งงานกับข้าเหรอ? ตอนนี้ข้ามีภรรยาเอกแล้ว แต่งงานกับข้าหมายความว่าอะไรเจ้าน่าจะเข้าใจดีนะ เจ้ายอมลดตัวมามาอนุภรรยาเหรอ?”
หงเฉินพยักหน้าด้วยท่าทางฝืนใจ “เป็นอนุภรรยาก็เป็นอนุภรรยาแล้วกัน ถึงอย่างไรอนุภรรยาของเจ้าก็มีไม่น้อยแล้ว ถ้าจะมีข้าเพิ่มอีกสักคนก็ไม่ต้องใส่ใจหรอก”
ทำไมฟังดูแปลกๆ ล่ะ ท่าทีไม่เหมือนคนที่อยากจะแต่งงานกับเขาเลย เหมียวอี้เกาศีรษะ แล้วถามว่า “มู่ฝานจวินบังคับเจ้าหรือเปล่า? นางมีเจตนาอะไรอีกแล้วใช่มั้ย? ขออภัยที่ข้าพูดตรงนะ ข้ายังดูไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าชอบข้า อย่าบอกเชียวนะว่าเป็นเพราะข้ามาแทนที่เฟิงเป่ยเฉินได้ เป็นเพราะชอบตำแหน่งของข้า เจ้าถึงได้อยากแต่งงานกับข้า เหมือนเจ้าจะไม่ใช่คนประเภทนั้นนะ”
ในแววตาที่อ่อนโยนไร้ความขัดแย้งของหงเฉินฉายแววอ่อนเพลียเล็กน้อย พร้อมบอกว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว! อาจารย์บอกว่าข้าไม่เอาไหน บอกว่าข้าโง่ บางครั้งก็เรื่องมากมายที่ข้าเข้าใจดี เพียงแต่ข้าตั้งใจหลบเลี่ยงมาตลอด ข้าไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุญคุณความแค้นมากมายขนาดนั้น ข้าจึงอะไรก็ได้มาตลอด ไม่ว่าอาจารย์จะพูดอะไรหรือให้ข้าทำอะไร สิ่งที่ที่ข้ารับได้ข้าก็จะรับไว้ ตอนนี้ระหว่างเจ้ากับอาจารย์ข้าเหมือนลูกคลื่นที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ทั้งยังดึงเยว่เหยาเข้ามาเกี่ยวด้วย วิธีการของอาจารย์มีแนวโน้มว่าจะรุนแรง ขึ้นๆ ลงๆ มากเกินไปข้ากลัวว่าข้าจะรับไม่ไหว ข้าไม่อยากต่อต้านอาจารย์ แล้วก็ไม่อยากทำให้เยว่เหยาลำบากไปด้วย แต่ถ้าจะให้ข้าทรยศอาจารย์ข้าก็ทำไม่ได้เหมือนกัน การแต่งงานเป็นเหตุผลที่ดีมาก ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าระหว่างเจ้ากับหกปราชญ์เกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ข้าก็ดูออก ว่าอาจารย์เหมือนจะมีสิ่งที่ขอร้องเจ้า สิ่งนี้เป็นโอกาสสำหรับเจ้ากับข้าแล้ว ถ้าเจ้าเอ่ยปากขอแต่งงาน ข้าว่าอาจารย์ข้าคงไม่ปฏิเสธแน่นอน”
เหมียวอี้เงียบไป ถ้าตัวเองเอ่ยปากตอนนี้ มู่ฝานจวินจะต้องไม่ปฏิเสธแน่นอน แต่ว่า…เหมียวอี้กล่าวอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ลูกสาวของอันหรูอวี้ศิษย์พี่ของเจ้าก็แต่งงานกับข้าไปแล้ว ถ้าศิษย์น้องอย่างเจ้าแต่งงานกับข้าอีก แบบนี้มันใช่เรื่องเหรอ?”
“สำคัญด้วยเหรอ?” หงเฉินค่อนข้างจนใจ “ขอเพียงเจ้าไม่ถือสา ข้าไม่ถือสา อาจารย์ข้าไม่ถือสา คนอื่นจะมองอย่างไรก็ไม่สำคัญ ขอเพียงเจ้าดึงข้าออกมาจากวังวนนั่นได้ก็พอ เยว่เหยาจะได้เข้ามาเกี่ยวข้องน้อยลง ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่มีทางทำเรื่องที่ทรยศอาจารย์ได้หรอก ตราบใดที่ข้ายังอยู่ในมืออาจารย์ เยว่เหยาก็จะกลายเป็นอุบายที่อาจารย์ข้าใช้ควบคุมเจ้าตลอดไป”
เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “ถ้ามู่ฝานจวินกดดันข้าจนหมดทางเลือก ข้าก็จะฆ่านางซะ!” นอกจากการสู้กับเฟิงเป่ยเฉินจะทำให้เขามีความมั่นใจยามเผชิญหน้าหกปราชญ์แล้ว การที่เขาพามู่ฝานจวินไปที่พิภพใหญ่ได้ เขาก็มีทางเล่นงานนางถึงตายได้เหมือนกัน
หงเฉินส่ายหน้า “ถ้าเจ้าฆ่าอาจารย์ของเยว่เหยา เจ้าจะให้เยว่เหยาทำอย่างไร? อย่าว่าแต่เยว่เหยาเลย ถ้าเจ้าฆ่าอาจารย์ของข้าแล้ว ไม่ว่าข้าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจ แต่ข้าก็ต้องไปล้างแค้นเจ้า ระหว่างเราจะถูกกำหนดให้ต้องตายกันไปข้าง ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะฆ่าข้าอีกหรือเปล่า? แล้วเยว่เหยาจะต้องไปหาพี่ใหญ่อย่างเจ้าเพื่อล้างแค้นให้ข้ารึเปล่า? เจ้าอยากกดดันให้เยว่เหยาเป็นบ้าเหรอ? ทำให้เรียบง่ายหน่อย แต่งงานกับข้าเถอะ เจ้าวางใจได้ หลังจากแต่งงานกับข้าแล้ว เจ้าอยากจะครอบครองข้าก็ได้ หรือจะไม่ครอบครองข้าก็ได้ ขอเพียงมอบมุมสงบให้ข้า ข้าก็จะไม่ไปรบกวนเจ้า ถ้าเจ้าจะไม่สนใจข้าเลยตลอดไปก็ไม่เป็นไร ขอให้มอบมุมสงบให้ข้าฝึกตนเงียบๆ ข้าเพียงอยากหลุดพ้นจากความสับสนวุ่นวายนี้!”
เหมียวอี้กระจ่างแล้ว ฟังเข้าใจแล้ว ผู้หญิงคนนี้เหนื่อยมากแล้วจริงๆ แค่อยากจะหาข้ออ้างที่เหมาะสมเพื่อหลุดพ้นจากผลกระทบของมู่ฝานจวิน แต่งกับไก่ก็ตามไก่ แต่งกับสุนัขก็ตามสุนัข เหตุผลนี้ดีจะตาย ถอยอีกก้าวก็ไม่ต้องช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้ว ถึงตอนนั้นต่อให้เขากับมู่ฝานจวินจะฆ่ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย ฝั่งหนึ่งก็อาจารย์ ฝั่งหนึ่งก็สามี นางยังสามารถหลบมุมอยู่เงียบๆ โดยไม่ช่วยเหลือได้
ดังนั้นแล้ว ไม่ใช่เพราะนางชอบเขา และไม่ใช่เพราะชอบอำนาจของเขาในตอนนี้ด้วย ไม่ใช่สิ ที่จริงก็เกี่ยวข้องกับอำนาจของเขาในตอนนี้อยู่บ้างเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นหงเฉินสามารถหาใครจะมาแต่งงานด้วยก็ได้ แต่การแต่งงานกับคนธรรมดาทั่วไปนั้นไม่มีประโยชน์เลย คนทั่วไปไม่สามารถหยุดยั้งการแทรกแซงจากมู่ฝานจวินได้ ถ้าแต่งงานกับอีกห้าปราชญ์ก็เป็นไปไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามู่ฝานจวินจะไม่ตอบตกลง อีกห้าปราชญ์ก็คงไม่ลดตัวไปเป็นผู้ชายของลูกศิษย์มู่ฝานจวินเช่นกัน บังเอิญว่าเขาสามารถเติมเต็มเงื่อนไขที่หงเฉินต้องการได้พอดี
ในเวลานี้ เหมียวอี้นับว่ามองผู้หญิงคนนี้ด้วยสายตาที่สูงขึ้นอีกระดับแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรชัดเจน นางก็รู้แล้วว่ามู่ฝานจวินมีอะไรบางอย่างจะขอร้องเขา คว้าโอกาสได้แม่นยำมา สงสัยผู้หญิงคนนี้จะไม่ได้สวยอย่างเดียว สมองก็ไม่ธรรมดาด้วยเหมือนกัน ก็เป็นอย่างที่นางพูดไว้ จริงในใจรู้ชัดทุกอย่าง เพียงแต่ ‘ขี้เกียจ’ ไปหน่อย หลบเลี่ยงมาตลอด บางทีอาจจะรอโอกาสที่จะหลุดพ้นจากมู่ฝานจวินอย่างสมเหตุสมผลมาตลอดก็ได้
เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร หงเฉินก็ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าไม่เต็มใจทำเพื่อเยว่เหยาเหรอ?”
เหมียวอี้หันตัวไปอีกข้างๆ แล้วนั่งลงช้าๆ ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่เกี่ยวว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจ เพียงแต่ติดที่ฮูหยินของข้า การจะแต่งอนุภรรยาเข้ามา ถ้าภรรยาเอกไม่เต็มใจ ถ้าภรรยาเอกไม่ยอมรับเจ้า แล้วจะให้ข้าแต่งงานได้ยังไงล่ะ? คงจะให้ทะเลาะกันจนในบ้านวุ่นวายเพื่อแต่งงานงานกับเจ้าคนเดียวไม่ได้หรอกมั้ง?”
หงเฉินเดินเนิบนาบเข้ามา นั่งลงข้างกายเจ้า แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าเคยคลุกคลีกับอวิ๋นจือชิวหลายครั้งที่แดนโพ้นสวรรค์ นางเป็นผู้หญิงที่มีแผนการความคิด สามารถให้เจ้าแต่งงานกับฉินเวยเวยได้…เจ้าเล่าสถานการณ์ให้นางฟังอย่างชัดเจน บอกเจตนาของข้าให้นางรู้ แล้วนางจะตอบตกลง”
เหมียวอี้เอียงหน้ามองมา แล้วถามอย่างสงสัย “เจ้าแน่ใจนะว่านางจะตอบตกลง?”
หงเฉินยิ้มบางๆ “นางจะตอบตกลง ถ้าไม่ตอบตกลง เดี๋ยวข้าค่อยไปคุยกับนางอีกที พอแล้ว ข้าไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ข้าจะกลับก่อน เผื่อทางอาจารย์มีธุระจะได้เรียกใช้” พูดจบก็ยืนขึ้นโค้งตัวคำนับเล็กน้อย แล้วหันตัวลอยจากไป
ต้องแต่งงานเพิ่มอีกคนแล้วเหรอ? เหมียวอี้งุนงงเล็กน้อยขระมองเงาหลังนางจากไป ก่อนหน้านี้เขายังสาบานกับตัวเองอยู่เลยว่าจะไม่แต่งงานอีกแล้ว…
หลังจากนั้นเกือบครึ่งเดือน อวิ๋นจือชิวก็นำพวกอวิ๋นเซี่ยวกลับมาถึงพิภพเล็ก กลับมาถึงนภาอู๋เลี่ยงแล้ว ห้าปราชญ์วิ่งมาต้อนรับด้วยตัวเองทันที แล้วต่างคนต่างพาแยกย้ายออกไป
เหมียวอี้เดินเข้ามารับ อวิ๋นจือชิวมองไปยังห้าคนที่แยกย้ายกันออกไป แล้วถือโอกาสดึงแขนเหมียวอี้พาเดินเข้าไปในเรือนในด้วยกัน ระหว่างทางพบว่าเหมียวอี้เอาแต่มองนางด้วยท่าทางมีความลับ รอจนนางมองกลับ เหมียวอี้ก็หลบสายตาทันที
พอชักแขนกลับมาแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เตะไปที่น่องของเหมียวอี้หนึ่งที แล้วเลิกคิ้วถามว่า “หนิวเอ้อร์ ทำไมต้องทำท่ากินปูนร้อนท้องแบบนั้น ไปทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อข้ามารึเปล่า? แล้วลักลอบทำอะไรกับใครอีกแล้วใช่มั้ย?”
“ทำไมเรียกว่าลักลอบทำอะไรกับใคร? เจ้าเคยเห็นข้าลักลอบทำอะไรกับใครเมื่อไร? เพียงแค่รบกวนให้ผู้หญิงบอบบางอย่างฮูหยินลำบากวิ่งเต้นไม่หยุดหย่อน ข้าจึงไม่รู้สึกสงบใจก็เท่านั้นเอง!” เหมียวอี้ทำท่าทางมีเหตุผลหนักแน่น ที่จริงกลับไม่สะดวกจะเอ่ยปากเรื่องที่จะแต่งงานกับหงเฉินมาเป็นอนุภรรยา
อีกด้านหนึ่ง เมื่อกลับมาถึงห้องตัวเองแล้ว อวิ๋นอ้าวเทียนก็หันตัวมาถามทันที “เป็นยังไงบ้าง? มีพิภพใหญ่อยู่จริงมั้ย?”
อวิ๋นเซี่ยวยิ้มเจื่อน “ท่านพ่อ! ไม่ผิดหรอก พวกน้องชิวลงหลักปักฐานที่พิภพใหญ่แล้วจริงๆ ของบางอย่างไม่มีทางปลอมกันได้เลย สิ่งที่ลูกชายได้เห็นได้ยินมามันน่าทึ่งจริงๆ พบว่าพวกเราเหมือนนั่งมองฟ้าจากบ่อน้ำจริงๆ ทางนั้นมีนักพรตระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ นักพรตระดับบงกชรุ้ง สมุนไพรเซียนชนิดต่างๆ ที่ไม่เคยเห็น ที่เหนือกว่าผลึกทองยังมีผลึกม่วงกับผลึกแดง ยาเจี๋ยตันขั้นห้า ทั้งยังมียาเจี๋ยตันขั้นหกที่พวกเราไม่กล้าแม้แต่จะใฝ่ฝันถึง…”
ในห้องพักชั่วคราวของปราชญ์ปีศาจจีฮวน จีฮวนเอามือลูบหนวด ตาเป็นประกายไม่หยุดขณะกำลังฟังลูกชายเล่า
จีเต๋อจวินเรียกได้ว่าพูดเป็นต่อยหอย “พิภพใหญ่มีหลายอย่างที่คล้ายกับพิภพเล็กจริงๆ มีช่องทางไปมาหาสู่ระหว่างกัน ตำหนักสวรรค์มีราชันสวรรค์อยู่ในตำแหน่งสูงสุด ราชินีสวรรค์ ฮูหยินของราชันสวรรค์เป็นใหญ่สุดในฝ่ายหญิง รองลงมาก็มีสี่อ๋องสวรรค์ สิบสองจอมพล สามสิบหกเทพประจำดาว เจ็ดสิบสองโหว แต่ละคนเป็นนักพรตที่มีพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ นี่ยังเป็นแค่ตำแหน่งหลัก ยังมีนักพรตพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพอีกไม่น้อยที่อยู่บนตำแหน่งว่างๆ จำนวนนักพรตบงกชรุ้งที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็ยิ่งมีเยอะมาก…”
ในห้องของปราชญ์พุทธฉางเหลย ฉางเหลยหยุดดึงนับลูกประคำในมือแล้ว กำลังเบิกตากว้างฟังฝ่าเยี่ยนเล่า
ฝ่าเยี่ยนสีหน้าจริงจังหนักแน่น อธิบายอย่างสุขุม “…นอกจากตำหนักสวรรค์ ชาวพุทธของเราก็มีราชันอีกคนหนึ่ง เรียกว่าประมุขพุทธะ เป็นสองมหาราชันของพิภพใหญ่เคียงข้างกับประมุขชิงที่เป็นราชันสวรรค์ ประมุขชิงปกครองใต้หล้า ประมุขพุทธะก็ไม่เข้าไปแทรกแซงปุถุชน แต่กลับมีวัดอยู่เต็มอาณาเขตของประมุขชิง ยึดฉวยพลังปรารถนาของสาวกในวงกว้าง ทั้งสองได้ผลประโยชน์เท่ากัน ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่รุกล้ำกันและกัน เรียกได้ว่าสามารถหยุดนิ่งและเคลื่อนไหวได้อย่างสอดคล้องกัน ไม่มีความขัดแย้งเรื่องอำนาจและผลประโยชน์ระหว่างกัน ให้ความร่วมมือกันดีมากจริงๆ ไม่มีการก้าวก่ายจากแรงภายนอก เป็นไปได้สูงว่ามหาราชันทั้งสองจะรักษาสถานการณ์แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าทำลายกฎเสือสองตัวอยู่เขาเดียวกันไม่ได้…”
ในห้องของปราชญ์ผีซือถูเซี่ยว เมื่อได้ฟังหวังเต้าหลินผู้เป็นลูกศิษย์เล่าจบ ซือถูเซี่ยวก็ถามว่า “เหมียวอี้ล่ะ? สถานการณ์ของเขาที่พิภพใหญ่เป็นอย่างไรบ้าง?”
หวังเต้าหลินบรรยายว่า “เหมียวอี้ล้มลุกคลุกคลานที่พิภพใหญ่ตั้งแต่หลายร้อยปีก่อนแล้ว ข้าสืบเวลามานิดหน่อย เหมือนจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแต่งงานกับอวิ๋นจือชิว นึกไม่ถึงว่าอวิ๋นจือชิวจะเป็นผู้หญิงที่วาสนาดีมาก ตอนแรกเหมียวอี้กับสำนักที่ชื่อลมปราณของพิภพใหญ่เปิดร้านขายของชำที่ตลาดสวรรค์ร้านหนึ่ง ปรากฏว่าโดนทางการกลั่นแกล้งครั้งแล้วครั้งเล่า รอจนธุรกิจใหญ่ขึ้นแล้ว ก็มีผู้มีอำนาจรวมทั้งคนของทางการไม่น้อยที่ต้องการส่วนแบ่ง ตอนหลังเหมียวอี้โดนกดดันจนหมดทางเลือก จึงนำหุ้นในมือไปขอพึ่งพาทางการ แล้วก็ดวงดีมาก ได้เกาะขาอ๋องสวรรค์โค่วหนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ ตั้งแต่นั้นมาก็มีเส้นทางขุนนางที่ราบรื่น ภายในเวลาสั้นๆ สองร้อยปีก็ข้ามไปอยู่ในระดับที่นักพรตส่วนใหญ่ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ก้าวไปไม่ถึง เริ่มต้นจากเป็นทหารเลว แล้วก็กระโดดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่อย่างในปัจจุบัน แถมราชันสวรรค์ยังแต่งตั้งให้เองด้วย ได้เป็นแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบของตำหนักสวรรค์ ชื่อเสียงสนั่นทั้งพิภพใหญ่!”
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น