ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1111-1116

บทที่ 1111 ความกลัดกลุ้มของโลลิน้อย

 

เมื่อเกี่ยวข้องกับการจับปลา พวกชาวประมงมักจะเหนื่อยยากลำบาก การทำงานจับกุ้งล็อบสเตอร์ล็อตแรกดำเนินไปสองวันสองคืน ในช่วงเวลานี้ พวกชาวประมงจับกุ้งล็อบสเตอร์อยู่บนทะเล 24 ชั่วโมงต้องทำงานเกินกว่า 20 ชั่วโมง


ที่เหลืออีก 4 ชั่วโมง พวกเขาต้องพักผ่อนกินข้าวเข้าห้องน้ำ ที่ดีกว่าบนทะเลเล็กน้อย ก็คือข้าวที่กินเป็นข้าวร้อนๆ ที่คนในครอบครัวเป็นคนทำเอง ไม่ใช่ของที่ทำออกมาเหมือนขี้หมาผ่านการอุ่นด้วยไมโครเวฟบนทะเล


นี่เองก็ไม่มีทางอื่น หลังกุ้งล็อบสเตอร์ถูกจับออกมา ชีวิตก็เริ่มเข้าสู่การนับถอยหลัง จำเป็นต้องรีบเร่งเวลาการจับ จากนั้นก็ขนส่งพร้อมกัน แบบนี้ถึงจะเป็นการลดต้นทุนที่ดีที่สุด


ทำงานเสร็จสองวันสองคืน บัตเลอร์ยิ้มจากไปอย่างพอใจ เครื่องบินของเขาขนกุ้งล็อบสเตอร์สดไป 5 ตัน ที่เหลืออีก 20 กว่าตันก็ใช้วิธีการแช่แข็งอุณหภูมิต่ำมาจัดการขนส่งทางทะเลไปที่นิวยอร์ก


จัดการเรื่องเกี่ยวกับกุ้งล็อบสเตอร์เสร็จ วินนี่ให้ฉินสือโอวไปเยี่ยมดูเชอร์ลี่ย์หน่อย เห็นว่าอารมณ์ช่วงนี้ของสาวน้อยเหมือนจะหดหู่เล็กน้อย


ฉินสือโอวไม่อยากไป เขาเดาว่าเชอร์ลี่ย์คงจะเป็นช่วงมีรอบเดือน เพราะว่าอายุกำลังพอดี หัวข้ออย่างนี้เขาไม่สามารถพูดได้ จึงพึมๆ พำๆ ให้วินนี่ไปถามดู


วินนี่มองบนใส่เขาทีหนึ่ง พูดว่า “อย่าคิดไปเรื่อย ไม่ใช่เรื่องนี้ ฉันไม่รู้ว่าเชอร์ลี่ย์เป็นอะไร ถามเธอก็ไม่บอก คุณออกโรงจะดีกว่า”


ฉินสือโอวพูดอย่างแปลกใจว่า “ผมออกโรงแล้วจะมีประโยชน์อะไร? คุณยังถามออกมาไม่ได้ ผมยิ่งทำไม่ได้? เสน่ห์ของคุณเยอะกว่าผมมากนัก ผิวปากครั้งเดียว เจ้าตัวน้อยต่างก็ให้คุณเป็นแม่พวกมันหมดแล้ว”


ระหว่างพูดน้ำเสียงของเขามีความอิจฉาขึ้นมา ฉงต้าเดินมาขอให้เขาลูบอย่างอ้อยอิ่ง เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนที่เจ้านี่เอาหน้าแนบวินนี่อย่างไม่สนใจตัวเอง จึงขยำหน้ามันแรงๆ แกล้งมันอย่างเต็มที่


ฉงต้าเป็นเจ้าแห่งป่าที่เจ้าอารมณ์ มันผลักแขนของฉินสือโอวออกอย่างไม่พอใจ อ้าปากย่นหน้า ทำสีหน้าท่าทางที่ดุมาก


เสียดาย เจ้านี่อ้วนเกินไป ตัวใหญ่พอแต่หน้าเองก็ยิ่งใหญ่ เนื้อบนหน้าสั่นอย่างนี้ นั่นมันมีแต่น่ารักไม่ได้มีความน่ากลัวเลย


ดังนั้นฉินสือโอวก็เลยจับมันมาแกล้งต่อ ครั้งนี้จับฉงต้าพลาด มันใช้แรงทั้งหมดหนีออกจากกรงเล็กมารของฉินสือโอว วิ่งเข้าไปในอ้อมกอดวินนี่อย่างน่าสงสาร เอาหัวมุดเข้าไปในอ้อมกอดของเธอ ขอการปลอบประโลมเหมือนกับเป็นหญิงสาวที่ถูกรังแกอย่างไรอย่างนั้น


วินนี่ลูบขนของมัน ค้อนให้ฉินสือโอวทีหนึ่ง “อย่างรังแกลูกชายคนโตของฉันอย่างนี้! คุณพูดไม่ผิด เด็กๆ คิดว่าฉันเป็นแม่ ฉันก็คือแม่ของพวกเขา ใช่ไหมฉงต้า?”


เนื้อบนตัวของฉงต้าค่อนข้างเด้ง ใบหน้าใหญ่เหมือนกันกับหมีขน บีบขยำแล้วรู้สึกสบายมาก วินนี่เองก็เสพติด อุ้มฉงต้าบีบขยำหน้าอ้วนๆ ของมันขึ้นมาอย่างมีความสุข


นี่ทำให้ฉงต้าสะเทือนใจไม่หาย นี่มันเป็นถึงราชาแห่งสรรพสัตว์ในดงป่าเชียว ทำไมถึงชอบแกล้งมันเล่นอย่างนี้ประจำ?


แต่แขนสู้ขาไม่ได้ ฉงต้าหนีออกจากมือวินนี่ไม่ได้ จึงได้แต่มุดหัวเข้าไปในโซฟา เอาก้นยื่นให้วินนี่


เสี่ยวเถียนกวานอนอยู่บนโซฟาเรียนรู้การคลาน เงยหน้าขึ้นเห็นหูที่มีขนนุ่มกำลังขยับอยู่ ดังนั้นดวงตาจึงเป็นประกาย อ่าๆ อู่ๆ พยายามยกแขนขึ้น ใช้มือน้อยจับหูของฉงต้าแล้วดึงขึ้นมา


ฉงต้าเห็นอย่างนี้ ทั้งบ้านรวมหัวกันแกล้งตัวเอง ยิ่งรู้สึกเสียใจขึ้นมา ยังดีที่มือของเสี่ยวเถียนกวามีแรงไม่มาก สามารถให้เธอแกล้งนิดหน่อยได้


วินนี่ผลักฉินสือโอวให้เขาไปหาเชอร์ลี่ย์ แล้วบอกว่า “คุณเป็นถึงพี่ชายที่ใจดีของเธอนะ ไปเถอะ ถามดูว่าสาวน้อยเป็นอะไร หรือว่าจะมีความรักแล้ว?”


พอได้ยินแบบนี้ ฉินสือโอว ‘ชึบ’ เด้งขึ้นมา พูดอย่างโมโหว่า “อะไรนะ มีความรักแล้ว? เธอเพิ่งจะอายุเท่าไร ไม่ได้ มีความรักไม่ได้ ฉันจะต้องคุยกับเธอดีๆ”


สุดสัปดาห์ มิเชลฝึกซ้อมบอลภายใต้การชี้แนะของกัวซง กอร์ดอนเองก็ฝึกซ้อมเหมือนกัน แต่ว่าซ้อมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ส่วนพาวลิสก็กำลังเก็บซีบิสกิตของเขาไม่เปลี่ยนแปลง รถเอทีวีบอมบาร์เดียร์ขนาดเล็กคันนี้อยู่ในมือของพาวลิสเป็นการใช้ได้คุ้มค่าจริงๆ เก็บรักษาได้ดีมาก


ฉินสือโอวไปที่ห้องเชอร์ลี่ย์ โลลิต้ากำลังหมอบอยู่บนเตียงไม่รู้ว่ากำลังเปิดอะไรดูอยู่ ขาสวยยาวเรียวละมุนยกขึ้นแกว่งไปมา เต็มไปด้วยพลังแห่งความอ่อนเยาว์


ได้ยินเสียงเปิดประตู เชอร์ลี่ย์เงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นฉินสือโอว เธอก็นอนฟุบลงไปบนเตียงอีก ถามอย่างเนือยๆ ว่า “ไงคะ ฉิน มีเรื่องอะไรเหรอ?”


ฉินสือโอวนั่งอยู่ข้างเตียง ยิ้มถามว่า “ช่วงนี้เธออารมณ์ไม่ค่อยปกติ เป็นอะไรไป สาวน้อยน่ารัก มีเรื่องกวนใจอะไรเหรอ?”


เชอร์ลี่ย์เปิดสมุดภาพด้านหน้าตามใจ แล้วพูดว่า “ไม่ค่ะ ไม่มี ขอบคุณที่เป็นห่วง ฉิน หนูสบายดีค่ะ”


ฉินสือโอวช่วยเธอหวีผมสีทองที่กระจัดกระจายไปด้านหลังศีรษะ นิ้วมือไปแตะโดนผิวของโลลิต้า ฝ่ายหลังก็เขินขึ้นมาในทันที สะบัดหัวหลบไปข้างๆ ยกสมุดภาพขึ้นมาบังครึ่งหน้าไว้ พูดเหมือนโกรธว่า “ทำอะไรน่ะ ฉิน คุณเอาเปรียบหนู!”


น้ำเสียงนี้แทนที่จะเป็นการกล่าวโทษ บอกว่าเป็นการอ้อนจะดีกว่า ก็เหมือนกับกวางขาวตัวน้อยที่พบเข้ากับพื้นที่อุดมสมบูรณ์หนึ่ง กำลังแสดงความกลัดกลุ้มในความสุขอย่างดีใจ


ฉินสือโอวพูดไม่ออกบอกไม่ถูกจึงพูดว่า “ฉันเป็นผู้ปกครองของเธอ ก็เหมือนพ่อของเธอ จะเอาเปรียบเธอได้อย่างไรกัน”


เชอร์ลี่ย์โยนสมุดภาพทิ้งแล้วเบะปาก มองเขาด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แล้วบอกว่า “สัปดาห์ที่แล้วพวกเราเพิ่งเรียนวิชาสังคมไปหนึ่งคาบ คุณครูบอกให้พวกเราระวังคุณลุงที่จิตใจ-ผิด-ปกติหน่อย มีพ่อบางคนก็ชอบลูกสาว”


ฟังโลลิต้ายิ่งพูดยิ่งไม่เข้าท่า ฉินสือโอวทำหน้าบึ้งแสดงความเกรงขามของหัวหน้าครอบครัวออกมา


เชอร์ลี่ย์ไม่พอใจขึ้นมาทันที สะบัดหัวอย่างกับป๋องแป๋ง “พอแล้วพอแล้ว เลิกทำเสแสร้งแกล้งทำได้แล้ว ทำไมคุณไม่ทำหน้าบึ้งใส่พี่วินนี่คะ? หนูเพียงแค่มีเรื่องกังวลนิดหน่อยเท่านั้น ไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอก”


“ไม่ได้มีความรัก?” ฉินสือโอวถามอย่างสงสัย


เชอร์ลี่ย์หัวเราะ “กับใคร? เด็กน้อยพวกนั้นในโรงเรียนเหรอคะ?” พูดอย่างนี้ไปประโยคหนึ่ง อารมณ์เธอก็เปลี่ยนไป มองฉินสือโอวอย่างสงสัยแล้วถามต่อว่า “ใครบอกคุณว่าหนูมีความรักแล้วล่ะค่ะ? พี่วินนี่ใช่หรือเปล่า?”


ฉินสือโอวรู้ว่าเด็กๆ หลายคนอาจจะมีนิสัยแปลกประหลาดต่างๆ แต่ไม่มีทางพูดโกหก รวมถึงกอร์ดอนด้วย เขาเพียงแค่เก็บซ่อนเรื่องราวซุกซนในโรงเรียนเอาไว้บ้าง แต่ถ้าหากถามเขา เขาก็ยังคงบอกความจริง


ตรงไปตรงมาและกล้าทำกล้ารับ โดยที่ฉินสือโอวทำเป็นแบบอย่าง สั่งสอนเด็กๆ พวกนี้ให้มีนิสัยที่ดี


ได้ยินเชอร์ลีย์บอกว่าไม่ได้มีความรัก ฉินสือโอวก็วางใจลงมา ตอบไปอย่างนั้นว่า “ใช่ พี่วินนี่ของเธอกังวลว่าเธอกำลังมีความรัก…”


เชอร์ลี่ย์รีบขัดคำของเขาทันที บนใบหน้ามีรอยยิ้มแปลกประหลาดนิดๆ เผยออกมา “เธอกังวลว่าหนูจะมีความรัก? ฮ่า คุณนี่โง่จัง พี่วินนี่หวังให้หนูรีบมีความรักที่สุด! แต่หนูไม่อยากมี หนูไม่อยากไปมีความรักกับเด็กโง่พวกนั้น น่าเบื่อมาก!”


ฉินสือโอวมองบนไปทีหนึ่ง เขาเข้าใจความหมายของเชอร์ลี่ย์ วินนี่ฉลาดขนาดนั้น ต้องดูออกว่าโลลิต้ามีอาการชอบพี่ชายเป็นธรรมดา แสดงออกในชีวิตประจำวัน ก็คือความรู้สึกที่มีต่อฉินสือโอว


แต่พูดก็พูดเถอะ วินนี่ฉลาดขนาดนั้น วิธีการยอดเยี่ยมขนาดนั้น เชอร์ลี่ย์เทียบกับเธอก็เป็นแค่ลูกไก่น้อยไร้เดียงสา จิ้งจอกอย่างเธอ ทำไมถึงได้กลัวลูกไก่น้อยมาแย่งอาหารกับตัวเองกันนะ?

 

 

 


บทที่ 1112 พบกันในห้วงเวลาเก่า

 

ฉินสือโอวไม่สนใจความคิดฟุ้งซ่านของเชอร์ลี่ย์ เขาถามว่า “งั้นเธอเป็นอะไร กลัดกลุ้มเรื่องอะไร? บอกฉันหน่อย ให้ฉันช่วยเหลือเธอได้ไหม?”


เชอร์ลี่ย์ลุกขึ้นนั่ง บนใบหน้าแสดงสีหน้าเศร้าออกมา แล้วพูดอย่างโศกเศร้าว่า “หนูพบว่าหนูไม่มีทิศทางในชีวิตเลย…”


พอได้ยินแบบนี้ ฉินสือโอวเกือบจะหัวเราะ โลลิต้ากลายเป็นฮิปสเตอร์สาวแล้ว? ปัญหาเรื่องทิศทางในชีวิตแบบนี้ เขาไม่สามารถช่วยจัดการได้ เพราะว่าเขาเองก็ไม่รู้ว่าทิศทางในชีวิตของเขาเป็นอะไร


เชอร์ลี่ย์พูดต่อว่า “ที่จริงแล้ว หนูก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีความฝันอะไร พาวลิสอยากเป็นนักแข่งรถ มิเชลอยากกลายเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลใน NBA ไวส์อยากเป็นผู้กล้าที่ผดุงความยุติธรรม มีแต่หนูที่ไม่มีความฝัน”


ฉินสือโอวปลอบโยนเธอว่า “ยังมีกอร์ดอนอีกคนไม่ใช่เหรอ?”


เขาขอโทษกอร์ดอนอยู่ในใจ มีแต่นายที่เป็นแพะได้


แต่สุดท้ายประตูถูกผลักออกในทันที มีหัวยื่นเข้ามาในห้องตะโกนว่า “เกี่ยวอะไรกับผม?”


คนคนนี้แน่นอนว่าคือกอร์ดอน


ฉินสือโอวถูกหัวที่ยื่นเข้ามากะทันหันทำให้ตกใจ เขาพูดว่า “นายยังมีมารยาทอยู่ไหม? เคาะประตูก่อนไม่ได้เหรอ?”


กอร์ดอนพูดอย่างไม่พอใจว่า “ผมจะออกไปซ้อมบอล ผ่านหน้าประตูห้องเชอร์ลี่ย์พอดีเลยได้ยินพวกคุณพูดชื่อของผม นี่ถึงได้อยากจะถามว่าเรื่องอะไร ก็ได้ ถ้าหากผมทำแบบนี้แล้วไม่มีมารยาท งั้นนินทาเยาวชนคนหนึ่งลับหลัง ถือว่ามีมารยาทเหรอครับ?”


พอเขาพูดจบ สมุดภาพเล่มหนึ่งบินมา เสียง ‘ฟิ้ว’ ทำให้กอร์ดอนตกใจกลัวจนรีบปิดประตูหนี


“พูดไร้สาระกับเขาเยอะแยะทำไมกันคะ?” เชอร์ลี่ย์พูด มีมาดราชินีน้อยนิดๆ ซะจริง


ฉินสือโอวบอกว่า “กอร์ดอนเองก็ไม่มีความฝันนะ ไม่ใช่เหรอ?”


เชอร์ลี่ย์ไม่พอใจขึ้นมา แล้วบอกว่า “ฉิน ทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้? มีใครที่ปลอบคนอื่นแบบนี้กัน? เอาหนูไปเปรียบเทียบกับกอร์ดอน? ทำไมคุณไม่เอาหนูไปเปรียบเทียบกับฉงต้าเลยล่ะค่ะ?”


นอกประตูก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นอีก “เชอร์ลี่ย์ เธอหมายความว่าอย่างไร? เปรียบเทียบกับฉันแล้วทำไม? เปรียบเทียบกับฉันมันลดค่าในตัวเธอเยอะเหรอ?”


เชอร์ลี่ย์ตะโกนเสียงดังว่า “ความคิดไกลแค่ไหน นายก็ไปให้ไกลเท่านั้น! ความเร็วแสงเร็วเท่าไร นายก็ไปให้เร็วเท่านั้น!”


นอกประตูกลับสู่ความสงบ ฉินสือโอวกระแอมไอเสียงหนึ่งกำลังจะพูด อยู่ๆ กอร์ดอนก็ตะโกนขึ้นมา “ฉันมีความฝัน! ฉันกับยัยบ้าเชอร์ลี่ย์นั่นไม่เหมือนกัน! ความฝันของฉันคืออยากกลายเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลอันดับสองของโลก นักแข่งรถอันดับสอง…”


เชอร์ลี่ย์วิ่งออกไปเปิดประตูเหมือนอย่างกับกวางน้อย เสียงของกอร์ดอนค่อยๆ ห่างออกไป เห็นได้ชัดว่าทั้งสองต่างเข้าใจกันและกันมาก


เชอร์ลี่ย์กลับมาอย่างไม่พอใจแล้วพูดว่า “ดูสิคะ กอร์ดอนเองยังมีความฝัน ยังมีเรื่องที่ตัวเองอยากทำเลย มีแต่หนูที่ไม่มี หนูก็เหมือนเด็กโง่ที่หลงทาง เดินไปอย่างมืดบอด แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองควรไปที่ไหน”


ปัญหานี้ ฉินสือโอวแก้ไขไม่ค่อยเป็น เขาทำซุปไก่เป็น แต่ว่าให้กำลังใจไม่เป็น ดังนั้นเขาเลยโยนปัญหานี้ให้กับวินนี่ เอาเรื่องที่เชอร์ลี่ย์กลัดกลุ้มไปบอกกับเธอ


หลังรู้ที่มาของเรื่องราว วินนี่ถอนหายใจว่า “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ทำไมเธอถึงไม่ได้เป็นทุกข์เพราะมีความรัก?”


ฉินสือโอวเบิกตากว้างมองภรรยาตัวเอง หลังวินนี่รับรู้ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันล้อเล่นเฉยๆ! ก็ได้ ฉันรู้แล้วว่าเป็นยังไง ปัญหานี้แก้ไขได้ง่ายมาก ฉันจัดการเอง!”


สำหรับวิธีการของภรรยาตัวเอง ฉินสือโอวนั้นนับถือเป็นอย่างมาก ในเมื่อวินนี่บอกว่าไม่มีปัญหา งั้นก็คงไม่มีปัญหา


กินอาหารกลางวันเสร็จ เชอร์ลี่ย์กำลังจากไป วินนี่ก็เรียกเธอไว้ จากนั้นจึงหยิบไวโอลินคันหนึ่งออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วพูดว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พี่จะสอนไวโอลินให้เธอ ดีไหม?”


แน่นอนว่าไวโอลินคันนี้เป็นมรดกจากเรือไททานิกที่ได้รับยกย่องว่าเป็น ‘เสียงแห่งสวรรค์’ เครื่องดนตรีล้ำค่าชิ้นนั้นที่คุณวอลเลซ ฮาร์ตลีย์ใช้ก่อนเสียชีวิต


และเป็นเรื่องบังเอิญ ไวโอลินที่เอาออกมาครั้งที่แล้ว วินนี่ก็เอามาสอนโลลิต้า จากนั้นจำเป็นจะต้องเอาไวโอลินคันนี้ออกมาเพื่อเข้าสู่การบำรุงรักษา ทำให้เส้นทางการเรียนไวโอลินของโลลิต้าจึงต้องหยุดชั่วคราว ตอนนี้เริ่มต้นใหม่ ก็เริ่มต้นจากไวโอลินคันนี้อีก


ฉินสือโอวรู้สึกว่าระหว่างโลลิต้าและไวโอลินคันนี้มีพรหมลิขิตบางอย่างที่บอกไม่ถูก


แต่เห็นได้ชัดว่าโลลิต้าไม่ได้คิดอย่างนั้น พอเห็นไวโอลิน เธอก็ถอนหายใจยาวออกมาครั้งหนึ่ง “เฮ้อ…”


วินนี่ให้โลลิต้านั่งลง เปิดกล่องไวโอลินนำเสียงไวโอลินแห่งสวรรค์ออกมา ผ่านกระบวนการซ่อมบำรุงรักษาขัดเงาต่างๆ ไวโอลินคันนี้เปลี่ยนไปอย่างมาก สีสันสดสว่าง ภายในหนาแน่น เผยให้เห็นเรื่องราวของประวัติศาสตร์ภายใต้ความแปลกใหม่ของยุคสมัย


มองดูไวโอลิน สายตาของวินนี่แสดงความอ่อนโยนออกมา ฉินสือโอวที่เป็นคนดูรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของวินนี่ในวินาทีนี้ นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่บอกออกมาไม่ได้ แต่ก็ให้ความรู้สึกที่เหมือนจริง


“พี่จะเล่นให้เธอดูเพลงหนึ่ง เธอต้องตั้งใจดู ได้ไหม?” มือซ้ายวินนี่ถือไวโอลินวางไว้บนไหล่ที่เหมือนคันหยก มือขวาจับคืนชักไวโอลินเบาๆ มองไปที่เชอร์ลี่ย์อย่างอ่อนโยน


เชอร์ลี่ย์ทำการขัดขืนครั้งสุดท้าย “พี่วินนี่ ความฝันของหนูคือกลายเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลหญิงคนหนึ่ง งั้นหนูไม่เรียนไวโอลินได้เหรือเปล่าคะ แต่จะไปซ้อมบาสเกตบอลกับมิเชลแทน?”


วินนี่ยิ้มอ่อนอย่างมีเสน่ห์ พูดอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ได้!”


เชอร์ลี่ย์ “เฮ้อ…”


มือขวาของวินนี่ขยับช้าๆ คันชักบนสายไวโอลินขยับ เสียงไวโอลินที่ไพเราะดังขึ้นมา


ฉินสือโอวเข้าใจดนตรีไม่มาก แต่บทเพลงนี้ที่วินนี่แสดงมีชื่อเสียงมากเกินไป ดังนั้นตอนที่เสียงเพลงดังขึ้นเขาก็ฟังออกแล้ว แคนนอน!


เมื่อก่อนวินนี่ไม่เคยแสดงความสามารถด้านเครื่องดนตรีของเธอมาก่อน ฉินสือโอวเพียงแค่เคยฟังเธอร้องเพลง เสียงร้องไม่ได้เพราะมาก บอกได้เพียงว่าอยู่ในระดับกลางๆ แต่ในการแสดงเครื่องดนตรี อย่างน้อยก็ไวโอลิน ระดับของวินนี่สูงมาก


เสียงดนตรีอันไพเราะของแคนนอนดังขึ้น วินนี่หลับตาลง รูปกายอันเรียวสูงส่ายไปตามจังหวะ เสียงเพลงแต่ละบทราวกับสายน้ำใสบนภูเขาสูง หลั่งไหลออกมาไม่หยุด


เริ่มแรกฉินสือโอวเพียงแต่รู้สึกว่าไพเราะ แต่พอบรรเลงต่อไป อารมณ์ของเขาก็อดไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบตามไปด้วย ตอนนี้วินนี่ลืมตาขึ้นมองเขา เขาเองก็จ้องมองวินนี่ แล้วฟังบทเพลงแคนนอนต่อไปอีก


ระหว่างนี้ เขานึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมามากมาย เริ่มแรกสุดคือการได้พบกับวินนี่บนเครื่องบิน ตอนนั้นแอร์โฮสเตสจับมือเขาเอาไว้ บรรเทาความกลัวของวัยรุ่นที่ออกเดินทางไกลครั้งแรกคนหนึ่ง


หลังจากนั้นวินนี่ก็มาเป็นแขกที่ฟาร์มปลา ทั้งสองเดินอยู่ท่ามกลางสายฝน ฝนตกพรำๆ ลมทะเลเย็นๆ บอกได้เพียงว่าเป็นการวางแผนจากพระเจ้า พวกเขาได้เจอกับหู่จือและเป้าจือ ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาโชคชะตาของทั้งสองคนก็ผูกเข้าไว้ด้วยกัน


บทเพลงแคนนอนยิ่งบรรเลงยิ่งเร็ว ท่าทางของร่างกายวินนี่เริ่มขยับเยอะขึ้น ผมสีดำสนิทส่ายไปตามการขยับของร่างกาย ราวกับคลื่นทะเลแต่ละลูกที่กำลังซัดสาด


สิ่งที่ฉินสือโอวคิดยิ่งอยู่ยิ่งเยอะ มายากลที่แสดงให้วินนี่ในสนามบิน เหตุการณ์การปล้นที่พบเจอตอนที่ไปพบเธอที่ไมอามี วินนี่ตั้งใจลาออกเพื่อมาดูแลความเป็นอยู่ของเขาที่เกาะแฟร์เวล ทั้งหมดทั้งมวลเหมือนกันกับเปิดเครื่องฉายภาพที่กำลังฉายฉากสำคัญต่างๆ ของเรื่องราวระหว่างพวกเขาเรื่อยๆ


บทเพลงจบลง วินนี่ค่อยๆ วางแขนขวาลง ดวงตาก็ยังคงจ้องมองกับฉินสือโอว ก็เหมือนกับพวกเขาได้พบกันในห้วงเวลาเก่าที่สวยงามอีกครั้ง รู้จักกันใหม่…

 

 

 


บทที่ 1113 ใครกำลังเลื่อยไม้

 

บอกยากว่าจุดไหนที่ทำให้เชอร์ลี่ย์ประทับใจ หลังโลลิต้าฟังการบรรเลงของวินนี่ อยู่ๆ ท่าทีต่อไวโอลินของเชอร์ลี่ย์ก็เปลี่ยนไป ไม่ต่อต้านและไม่ชอบอีก แต่พอจะยอมรับเครื่องดนตรีชนิดนี้ได้บ้างแล้ว


“การเรียนไวโอลินไม่ใช่เรื่องง่าย เธอจะต้องเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง มีความมุ่งมั่นที่จะทำ ได้ไหม?” วินนี่ถามเชอร์ลี่ย์


โลลิต้าพยักหน้าอย่างแรง พูดราวกับสาบานว่า “หนูจะต้องกลายเป็นนักไวโอลินหญิงที่เก่งที่สุดในโลก อ้าไม่ เป็นนักไวโอลินที่เก่งที่สุด ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง!”


ฉินสือโอวเข้ามาสวมกอดวินนี่ไว้ บอกว่า “ที่รัก ฝีมือของคุณสุดยอดจริงๆ ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมเมื่อก่อนคุณไม่ไปเป็นนักไวโอลิน แต่เป็นแอร์โฮสเตส”


วินนี่ยิ้มหวานกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะว่าคุณรักฉัน ดังนั้นคุณเลยสามารถฟังความรู้สึกของฉันได้จากเสียงเพลงของฉัน ความจริงแล้วฝีมือของฉันอยู่ในระดับกลางๆ นั่นแหละ ถ้าหากเป็นคนอื่นที่ฟังคงรู้สึกว่าฉันกำลังเลื่อยไม้อยู่แน่ๆ”


เห็นทั้งสองคนพลอดรักกันในที่สาธารณะอีกแล้ว เชอร์ลี่ย์กระแอมไอออกมาครั้งหนึ่ง แล้วบอกว่า “พี่วินนี่ พี่รีบสอนหนูเล่นไวโอลินเถอะค่ะ”


วินนี่ยิ้มแล้วผลักฉินสือโอวออก เธอเอาไวโอลินให้เชอร์ลี่ย์ ฝ่ายหลังก็รีบเลียนแบบแบกไวโอลินไว้บนไหล่


ท่าทางไม่มีปัญหาอะไร แต่ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าไม่ใช่ ตอนที่วินนี่กำลังยกไวโอลินดูราวกับแม่ที่อุ้มลูกอยู่ เป็นธรรมชาติและสมดุลเข้ากัน เชอร์ลี่ย์ล่ะ? เธอแบกไวโอลินไว้ เหมือนกับแบล็คไนฟ์แบกปืนอยู่อย่างนั้นแหละ


ดุดันอย่างมาก!


แต่โลลิต้ากลับยังไม่รู้ตัว วางท่าเสร็จก็พูดอย่างอารมณ์ดีว่า “พี่วินนี่ พี่ดูท่าทางหนูเป็นอย่างไรคะ?”


วินนี่ยิ้มตอบ “ไม่เลวเลย ตอนนี้ฉันจะสอนบทเรียนบทหนึ่ง นั่นก็คือแนะนำไวโอลินเครื่องดนตรีประเภทนี้ก่อน แนะนำกฎทั่วไปของนักบรรเลงไวโอลินก่อน”


เธอหยุดสักครู่ก่อนพูดต่อว่า “นักบรรเลงไวโอลินเทียบกับนักร้องแล้ว มีข้อเสียเปรียบอย่างหนึ่งโดยกำเนิด เส้นเสียงของนักร้องอยู่บนตัว เครื่องดนตรีของนักบรรเลงไวโอลินเป็นสิ่งของนอกกาย อยากจะทำให้เสียงไวโอลินเข้าใกล้เสียงเพลง ก็จำเป็นจะต้องให้ไวโอลินหลอมรวมเข้ากับร่างกาย เข้าใจหรือเปล่า?”


เชอร์ลี่ย์คงจะรู้ว่าตัวเองทำผิด ดังนั้นจึงออกแรงกดไวโอลิน ให้มันกับไหล่ของตัวเองเข้าใกล้กันมากยิ่งขึ้น จากนั้นจึงถามว่า “แบบนี้ล่ะค่ะ?”


“แบบนี้ระหว่างไวโอลินและคอของเธอสามารถให้บุชบินผ่านได้ไหม” วินนี่กล่าว เธอช่วยเชอร์ลี่ย์แก้ไขท่าที่ถูกต้อง ให้ไวโอลินยิ่งติดกับคอ “เธอจะต้องรู้สึกว่าไวโอลินคันนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเธอ คันชักเหมือนกลายเป็นมือขวาที่ยื่นออกมา แบบนี้ถึงจะถูก”


ช่วยจัดแจงท่าทางให้เชอร์ลี่ย์เสร็จ วินนี่พาเธอไปที่ห้อง ให้เธอยืนมองตัวเองในกระจก


โลลิต้าใช้สายตาชื่นชมมองดูตัวเองในกระจก พูดอย่างดีใจว่า “สวยมาก ใช่ไหมคะ?”


วินนี่บอกอย่างสบายใจว่า “แน่นอน แต่ว่าฉันหวังว่าครึ่งชั่วโมงถัดมา เธอยังจะพูดกับฉันอย่างนี้นะ”


“หมายความว่าไงคะ?”


“รักษาท่านี้ไว้ครึ่งชั่วโมง”


“พระเจ้า!” เชอร์ลี่ย์หน้าถอดสีในทันที


สุดท้ายอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่การฝึกทหาร วินนี่เพียงแค่ขู่โลลิต้าเท่านั้น หลังให้เธอทำท่านี้หน้ากระจกสิบนาที ก็ให้เธอวางไวโอลินลงแล้วพักผ่อนสักครู่


รักษาท่านี้สิบนาที โลลิต้าก็ทนไม่ไหวแล้ว สุดท้ายแขนของเธอสั่นขึ้นมา รอจนเธอวางลง ก็มีท่าทียกไม่ขึ้นแล้ว


วินนี่ช่วยนวดให้เธอ ก่อนหน้าสิบนาทีเธอได้เตรียมถุงน้ำแข็งไว้ เอามาใช้ในการประคบเย็นให้กับเชอร์ลี่ย์


หลังจากพักผ่อนเสร็จ เธอให้เชอร์ลี่ย์ทำท่าจับไวโอลินหน้ากระจกอีกครั้ง พอโลลิต้ายกขึ้น ตัวเองก็รู้สึกว่าไม่ถูก ขมวดคิ้วขึ้นแล้วส่ายหน้า ปรับอยู่สักพักให้ท่าทางสบายเป็นธรรมชาติขึ้นมา


พอเห็นภาพนี้ ในดวงตาของวินนี่มีประกายแปลกประหลาดนิดๆ เธอช่วยเชอร์ลี่ย์ปรับแก้ท่าทางนิดหนึ่งแล้วพูดว่า “ที่รัก พรสวรรค์ของเธอทำให้ฉันประหลาดใจ ตั้งแต่ฉันรู้จักไวโอลินจนกระทั่งทำท่าที่ถูกต้องได้ ฝึกฝนมาประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่เธอใช้เวลาไปแค่สิบนาทีเท่านั้นเอง!”


เชอร์ลี่ย์ในใจรู้สึกได้ใจ บอกกับตัวเองให้พยายามรักษาสีหน้าเอาไว้ ที่จริงแล้วใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยความดีใจตั้งนานแล้ว ขาดเพียงแค่บอกคนรอบข้างเท่านั้น ชมหนูสิ ชมหนูเยอะๆ สิ


ในเมื่อเชอร์ลี่ย์เรียนรู้ได้ค่อนข้างเร็ว วินนี่จึงได้เร่งความเร็วขึ้น “ใช้หางม้าสีสายไวโอลิน ทำให้ไวโอลินเกิดเสียงออกมาก นี่เป็นก้าวแรกของนักบรรเลงไวโอลิน เธอต้องจำไว้ว่า ตอนที่หางม้าสีบนสายไวโอลินจะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ความมากน้อยของความขัดแย้ง ความเร็วของคันชักรวมถึงการจัดที่โดนและองศาต่างๆ ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยต่อการเกิดเสียง”


“ดังนั้น ไม่ว่าเมื่อไหร่ คันชักจะต้องตรง เรียบ นิ่ง แบบนี้ถึงจะจัดการความขัดแย้งทุกอย่างได้ เกิดเป็นเสียงที่สม่ำเสมอ ถูกต้องและไพเราะ…”


วินนี่อธิบายความรู้พื้นฐานง่ายๆ เชอร์ลี่ย์กลายเป็นนกยูงน้อย กำลังได้ใจไม่น้อย เธอฟังวินนี่พูดจนจบ แล้วถามว่า “พี่วินนี่ แคนนอนที่พี่บรรเลงเมื่อครู่นี้ เป็นบทเพลงไวโอลินที่ยากที่สุดหรือเปล่าคะ?”


วินนี่ส่ายหัว กล่าวว่า “ไม่ใช่หรอก แคนนอนเป็นหนึ่งบทเพลงไวโอลินที่คลาสสิคที่สุด ขอเพียงเต็มไปด้วยรัก บทเพลงนั้นเล่นออกมาก็จะไม่มีทางไม่เพราะ”


“งั้นที่ยากที่สุดคืออะไรคะ?” เชอร์ลี่ย์ถามด้วยความคาดหวัง


วินนี่คิดสักพัก แล้วบอกว่า “เสียงสูงต่ำไม่เหมือนกัน ตำแหน่งของคีย์ไม่เหมือนกัน ความยากของบทเพลงก็ไม่เหมือนกัน สำหรับมือใหม่แล้วล่ะก็ ที่ยากที่สุดน่าจะเป็น ‘Ciocarlia’ ผลงานของนักประพันธ์เพลงอัจฉริยะดีนิคูชาวโรมาเนีย”


‘Ciocarlia’ เป็นผลงานที่มีเอกลักษณ์ที่สุดของดีนิคู เป็นบทเพลงเสียงสั่นของไวโอลินเสียงสูงสาย E ที่ไม่เหมือนใคร


บทเพลงนี้ใช้เทคนิคเสียงสั่นที่ใช้นิ้วเลื่อนขึ้นลงอย่างชาญฉลาด ด้วยท่วงทำนองที่สดใสร่าเริง เสียงเปียโนบรรเลงประกอบที่กระชับและมีชีวิตชีวา แสดงให้เห็นนกกระจาบแย่งกันขับขานในป่า แสงแดดเฉิดฉาย บรรยากาศราวกับภาพเขียน


เพราะว่าต้องการแสดงภาพของนกกระจาบแข่งกันขับขาน ดังนั้นความต้องการต่อเสียงสั่นค่อนข้างสูง ต้องการให้ผู้บรรเลงสามารถแสดงทักษะเสียงสั่นที่เหมือนเกือบจะเป็นทักษะเทพ


วินนี่แนะนำบทเพลงนี้ เชอร์ลี่ย์พูดอย่างทะเยอทะยานว่า “งั้นพี่สอนหนูเล่นเพลงนี้ได้หรือเปล่า?”


ได้ยินแบบนี้ วินนี่ยิ้มแล้วบอกว่า “ได้แน่นอน แต่ว่าฉันต้องสอนเธอสีให้ดังก่อนไม่ใช่เหรอ? ก็เหมือนเธอยังเรียนพูดไม่ได้ จะสามารถร้องเพลงที่ไพเราะได้อย่างไรล่ะ?”


เชอร์ลี่ย์ถามอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “พรสวรรค์อย่างหนูก็ไม่ได้เหรอคะ?”


วินนี่ยิ้มแล้วบอก “มีเพียงแต่พระเจ้าที่ทำได้”


เชอร์ลี่ย์จึงได้แต่เริ่มต้นใหม่ จากนั้นวินนี่สอนเธอว่าจะสีให้เกิดเสียงอย่างไร


ในมือของวินนี่ ไวโอลินก็เหมือนเต็มไปด้วยเอลฟ์ตัวน้อยที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ คันชักขยับ ส่งเสียงต่างๆ อันไพเราะออกมาไม่ขาดสาย


แต่พอถึงมือของเชอร์ลี่ย์ พอเธอดังคันชัก เสียงสูงแสบแก้วหูเสียงหนึ่งก็ดังออกมา…


“ไม่ ไม่ใช่แบบนี้ เชอร์ลี่ย์ ดูที่นิ้วของฉัน เป็นหรือยัง? เธอมา”


เสียงยังคงแสบแก้วหู


“ยังคงมีปัญหานิดหน่อย ตามท่าทางของฉันนะ”


เสียงดีขึ้นหน่อยแล้ว แต่ก็ยังคงแสบแก้วหู


ฝึกไปไม่นาน เหล่าเสือหมีหมาที่นั่งฟังอยู่รอบข้างต่างก็ทนไม่ไหวแล้ว ต่างก็วิ่งหนีออกไปกันหมด


ใบหน้าเถียนกวาย่นเข้าด้วยกัน เธอออกแรงแขนขาอยู่บนโซฟา ไม่คาดคิดว่าจะคลานขึ้นมาได้นิดหน่อย คลานไปด้านหน้า ดูท่าทางก็อยากจะหลีกหนีไปจากสถานที่แห่งนี้ด้วยเหมือนกัน


พวกชาวประมงเดินผ่านหน้าประตู ได้ยินเสียงในบ้าน ซีมอนสเตอร์ยื่นหน้าเข้ามาถามว่า “ไง บอส คุณกำลังเลื่อยไม้อยู่เหรอครับ? ต้องการให้พวกเราช่วยหรือเปล่า?”


โลลิต้าสิ้นหวังแล้ว!

 

 

 


บทที่ 1114 เถียนกวาหัดคลาน

 

ความจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อัจฉริยะไม่ได้เป็นกันง่ายๆ


เชอร์ลี่ย์เรียนมาทั้งวันแล้ว ยังเรียนรู้เทคนิคการทำให้เกิดเสียงที่ถูกต้องไม่ได้ ทำให้เธอหดหู่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


วินนี่แสดงผลของพี่สาวที่รู้ใจ ปลอบใจเชอร์ลี่ย์สารพัด สุดท้ายเห็นเธอหมดหวังแล้วจริงๆ จึงพูดว่า “อย่ารีบร้อน สาวน้อยของพี่ ไวโอลินไม่ได้เรียนประสบความสำเร็จกันง่ายๆ จำเป็นต้องมีขั้นตอนในการก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ”


“หนูโง่มากใช่หรือเปล่าคะ?” โลลิต้าถามอย่างหดหู่


วินนี่ส่ายหัวแล้วบอกว่า “ไม่ ที่รัก เธอเพียงแค่รู้สึกเยอะเกินไปหน่อย”


“รู้สึกเยอะเกินไป? หมายถึงอะไรคะ?” เชอร์ลี่ย์ถามอย่างสงสัย


วินนี่อธิบายให้เธอ “ศิลปะเป็นการแสดงออกไปของความรู้สึก ความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมเป็นเงื่อนไขจำเป็นของนักบรรเลงไวโอลินที่ดี ผู้บรรเลงคนหนึ่งที่ไม่มีความรู้สึก ไม่มีความกระตือรือร้น ไม่ว่าจะเล่นบทเพลงอะไร ก็ไม่มีทางทำให้คนอื่นรู้สึก ไม่มีทางทำให้ผู้ชมประทับใจได้หรอก”


“แต่ว่าความรู้สึกล้นจนเกินไป ขาดความเป็นเหตุเป็นผลที่จำเป็น นั่นก็ไม่ได้เหมือนกัน เธอในตอนนี้มีความรู้สึกที่เยอะเกินไป การแสดงจึงมักจะสูญเสียการควบคุม ทำให้ทำนองไม่สม่ำเสมอ คีย์ไม่ถูกต้อง เสียงไม่ไพเราะ แต่ว่าไม่เป็นไร ฝึกซ้อมเยอะๆ ก็พอ จับจุดสำคัญในการออกเสียง จากนั้นก็ง่ายแล้ว”


พอได้รับกำลังใจจากวินนี่ เชอร์ลี่ย์ก็มีกำลังใจขึ้นมาใหม่ แบกไวโอลินฝึกซ้อมต่ออีกโดยไม่กลัวเหนื่อยลำบาก


คิ้วสวยของวินนี่เลิกขึ้น เธอถูกทรมานมาทั้งวัน มีอาการทนไม่ไหวนิดๆ แล้วเหมือนกัน จึงเตือนอ้อมๆ ว่า ยิ่งรีบยิ่งช้า ที่รัก พวกเราพักกันก่อนเถอะ ดีไหม? ค่อยฝึกพรุ่งนี้หรือวันหลังเอา”


เชอร์ลี่ย์พูดอย่างหนักแน่นว่า “ไม่ หนูจะเป็นอัจฉริยะ พี่วินนี่ หนูจะต้องทำได้แน่!”


วินนี่กอดให้กำลังใจเธอทีหนึ่ง จากนั้นก็ออกจากห้องรับแขกเดินออกจากบ้านไปอย่างเงียบๆ


ด้วยเหตุนี้ เชอร์ลี่ย์จึงไม่มีผู้ชมเลยสักคน เพราะวินนี่เป็นคนสุดท้าย…


โลลิต้าเป็นคนฉลาด เธอจะไม่เข้าใจว่านี่หมายถึงอะไรเหรอ? ไม่กล้าไปฝึกซ้อมต่อหน้าคนอื่น เธอจึงลากเอากลุ่มเสือมีหมาแมวป่าน้อยปอหลัวมาตรงหน้า ให้พวกมันนั่งฟังดีๆ


พวกตัวเล็กมีสีหน้าขมขื่น โดยเฉพาะหู่จือและเป้าจือ การได้ยินของพวกมันดีกว่าตัวอื่น ความทรมานที่ได้รับยากที่จะอดทนได้


เมื่อออกจากบ้าน วินนี่ถอนหายใจว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าสอนไวโอลินให้เชอร์ลี่ย์ เป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่”


ฉินสือโอวบอกว่า “แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี”


วินนี่ยิ้มอบอุ่น ผู้ชายบื้อ บ้านตัวเองไม่ว่าเมื่อไรก็สนับสนุนตัวเอง ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจ


ฉินสือโอวจริงจัง เขายกเสี่ยวเถียนกวา กล่าวว่า “อย่างน้อยได้ยินเสียงไวโอลินของเชอร์ลี่ย์ ลูกสาวของเราเกือบจะหัดคลานเป็นแล้วนะ เธอสามารถพยุงตัวเองได้แล้ว”


วินนี่ตั้งใจสอนมาทั้งวัน ดังนั้นเลยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉินสือโอววางเจ้าตัวเล็กไว้บนพื้นหญ้า แสดงให้เธอดู


ปรากฏว่าเสี่ยวเถียนกวาก็ไม่ให้ความร่วมมือเลย หลังจากที่ฉินสือโอววางเธอลง เธอก็นอนหมอบอยู่ที่นั่นดีๆ มือทั้งคู่ดึงใบหญ้าอ่อน เล่นอย่างสนุกสนาน


ฉินสือโอวเกาหัว จับลูกสาวกลับเข้าบ้าน วางเธอไว้หน้าประตู


ในบ้านยังคงเลื่อยไม้อยู่ เจ้าตัวเล็กฟังไปไม่นาน หอบฮืดฮาดๆ หนัก จากนั้นพยายามคลานออกมาก ขยับแขนขาอยากจะวิ่งหนีออกไปข้างนอก เสียดายที่แขนขาเธออ่อนเกินไป แรงก็น้อย คลานไปสองก้าวก็ล้มลงพื้นไป


แต่นี่ก็เกินพอที่จะทำให้วินนี่ดีใจแล้ว การกระทำตอนนี้ของเสี่ยวเถียนกวา หมายความว่าอีกไม่นานเธอก็จะคลานเป็นแล้ว


หลังจากนั้นสองวัน วินนี่สอนเชอร์ลี่ย์เล่นไวโอลิน ฉินสือโอวก็สอนลูกสาวคลาน


แต่เขาขาดประสบการณ์ด้านการสอนเด็กจริงๆ ไม่ว่าจะสอนเสี่ยวเถียนกวาอย่างไร ฝ่ายหลังก็ยังคงออกแรงทั้งแขนขาไม่เป็น


ตอนบ่าย ตากแดดอันอบอุ่นอยู่ในสวน ฉินสือโอวก็สอนลูกสาวคลานอีก


เห็นลูกสาวหัดคลานไม่เป็นสักที เขารู้สึกเป็นเพราะว่าไม่มีคุณครู แบบนี้เขาไม่มีปัญญาแล้วจริงๆ จึงลงมือเอง แขนขาอยู่บนพื้นหญ้าคลานอยู่บนพื้น แสดงการคลานไปทางทิศตะวันออกให้ลูกสาวดู


เสี่ยวเถียนกวามองเขาคลานกลับดีใจประหลาด เงยหัวแล้วส่งเสียงหัวเราะ ‘ฮิๆ’ ออกมาอย่างเดียว แต่ตอนที่ให้เธอคลาน นั่นก็เปล่าประโยชน์แล้ว เธอก็เล่นของตัวเองไป ไม่ได้ฟังคุณพ่อเลยสักนิด บางครั้งก็ฟังสักครั้ง แต่ก็ไม่คลานแล้ว


วินนี่เดินเข้ามาบอกว่า “อย่าไปบีบบังคับเด็ก ที่รัก คุณต้องให้แรงบันดาลใจกับเธอ เมื่อเธอต้องการจะคลานแล้ว ก็จะคลานเองนั่นแหละ หรือจะบอกว่า คุณหาสิ่งที่เธออยากได้ ให้แรงกระตุ้นเธอหน่อย”


ฉินสือโอวรู้สึกว่าภรรยาพูดมีเหตุผล หลังจากเขาดึงแมวป่าน้อยอ้วนๆ มา เอาหางของราชาเจ้าป่าซิมบ้าไปเขี่ยบนใบหน้าเล็กของลูกสาว รอให้ลูกสาวสนใจ เขาก็ลากราชาเจ้าป่าซิมบ้าไปไกลอีกเมตรสองเมตร


ว่าแล้วเชียว เจ้าตัวเล็กร้อนรนแล้ว เธอร้อง ‘อาๆๆ’ พยายามจะคลานไปอยากจะไปแย่งราชาเจ้าป่าซิมบ้า แต่พอคลานขึ้นมาได้ไม่นานก็ล้มลงไปอีกแล้ว


หู่จือและเป้าจือนั่งมองอย่างสนใจอยู่ข้างๆ ตลอด หลังจากนั้นก็อดไม่ได้ เจ้าสองตัวซ้ายตัวขวาตัวคลานอยู่ข้างๆ เสี่ยวเถียนกวา จากนั้นขาทั้งสี่ขาก็คลานอยู่บนพื้นหญ้าอย่างเร็ว เร็วอย่างกับจิ้งจกคลานเดินไปข้างหน้า…


หลังคลานไปรอบหนึ่ง แลบราดอร์หันกลับไป แล้วคลานกลับไปข้างกายเสี่ยวเถียนกวาอีก วนรอบเธอรอบหนึ่ง แล้วคลานต่อ เปลี่ยนท่าทางแล้วมาใหม่อีกรอบ


ฉินสือโอวก็จนใจแล้ว นี่มันอะไรกันเนี่ย เจ้าพวกนี้คืออวดหรืออย่างไร?


วินนี่ยิ้มไม่ไหวแล้ว เอามือถือถ่ายภาพทั้งหมดนี้เอาไว้ บอกว่าจะโพสต์ลงบนอินเทอร์เน็ต


ทุกวันนี้หู่จือและเป้าจือก็มีบัญชีทวิตเตอร์เป็นของตัวเองแล้ว เพราะว่าการว่ายน้ำข้ามผ่านช่องแคบทะเล การแสดงออกที่ยอดเยี่ยมระหว่างตอนอยู่ในศาลในฐานะสุนัขบำบัด หน้าตาที่สื่อๆ บื้อๆ ยิ้มแย้มทั้งวัน ทำให้พวกมันได้รับความนิยามอย่างมากในโซเชียลมีเดีย


ฉินสือโอวและวินนี่มักจะโพสต์อะไรที่เกี่ยวกับพวกมันบ่อยๆ แลบราดอร์สองตัวรวมกัน มีแฟนคลับห้าหมื่นกว่าคนแล้ว


นี่เป็นปริมาณที่ใหญ่มากจำนวนหนึ่ง เพราะว่าแฟนครับห้าหมื่นคนนี้ต่างก็เป็นแฟนคลับจริง ไม่ใช่แฟนคลับผีที่ปั่นออกมา ปกติจะคึกคักเป็นอย่างมาก ข้อความหนึ่งที่มีความน่าสนใจก็สามารถดึงดูดคนมาคอมเมนต์เป็นพันคน แฟนคลับมีความภักดีสูงมาก!


เสี่ยวเถียนกวายังโกรธ เธอมองหู่จือและเป้าจือคลานไปคลานมาบนพื้นหญ้าอย่างสนใจ รู้สึกน่าสนใจจึงยื่นมือจะไปจับ แต่จับอย่างไรก็จับไม่ได้? แบบนี้เธอจึงร้อนรนแล้ว จือปากน้อยๆ เตรียมจะร้องไห้


ฉินสือโอวทำได้เพียงเอาหู่จือไปไว้ข้างๆ เธอ แบบนี้เจ้าตัวเล็กถึงได้เปลี่ยนจากร้องไห้เป็นหัวเราะ ใช้มือน้อยๆ จับหูของหู่จือพยายามเงยหน้าขึ้น ดูท่าทีแล้วก็อยากจะยัดใส่ปาก


นี่ทำให้หู่จือตกใจมาก กินไม่ได้ นี่มันกินไม่ได้นะ นี่เป็นหูของหู่จือต้าเย่ ไอเทมหากิน ยังเป็นอาวุธหลักในการขายความน่ารัก แม้ว่าหู่จือต้าเย่จะเกิดมาสวยซ่อนไว้ไม่ได้ แต่ถ้าไม่มีหูแล้ว นั่นก็เปล่าประโยชน์สิ


เป้าจือนั่งดูอยู่ข้างๆ อย่างออกรสด้วยความรู้สึกที่ว่าเพื่อนตายเถอะฉันรอด ฉินสือโอวตีก้นของมันไปทีหนึ่ง ปรากฏว่าอยู่ๆ ทั้งหู่จือและเป้าจือก็กระโดดขึ้นมา หลังจากนั้นก็พุ่งไปยังประตูฟาร์มปลาหน้าตัวหลังตัว จากนั้นก็มีเสียงร้องดังขึ้นมา


“โฮ่ง โฮ่งๆ โฮ่งๆๆ…”


วินนี่ที่กำลังอ่านหนังสือยิ้มขึ้นมา พูดว่า “พวกเด็กๆ มีพรสวรรค์ด้านดนตรีมาก ดูสิ เสียงพวกมันร้องมีทำนองและจังหวะแค่ไหน เห็นทีพวกมันไม่ได้เสียเปล่าที่อยู่เป็นเพื่อนเชอร์ลี่ย์ฝึกไวโอลินเลย”


ฉินสือโอวไม่ได้รับคำ เขาสงสัยว่าใครมาที่ฟาร์มปลา

 

 

 


บทที่ 1115 ผมให้อภัยพวกเขา

 

คนยากไร้แม้อยู่ในตลาดที่คึกคักยังถูกเพิกเฉย คนมั่งมีแม้อยู่ในหุบเขาลึกยังได้พบญาติห่างๆ


หลังจากฉินสือโอวย้ายมาอยู่ที่เกาะแฟร์เวล ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมีญาติมาเยี่ยม แต่ผู้คนที่มาพบเขาก็มีอยู่ไม่น้อย บางส่วนเป็นชาวจีน บางส่วนเป็นสื่อจากช่องโทรทัศน์ และเจ้าของฟาร์มปลากับชาวประมงอีกบางส่วน เป็นต้น ทุกครั้งที่มาหาก็มักจะมีเรื่องรบกวนเล็กน้อย


ตอนที่หู่จือกับเป้าจือเห่าร้องแล้ววิ่งออกไป เสียงโทรศัพท์ของฉินสือโอวก็ดังขึ้นมาเช่นกัน เป็นเบอร์แปลกที่โทรเข้ามา หลังจากเขารับสายโทรศัพท์ เสียงนุ่มๆ ก็ดังออกมาจากลำโพง “สวัสดีครับ ผมชื่อชไนเดอร์ วอเทอเรนซ์ ไม่ทราบว่านั่นใช่คุณฉินสือโอวหรือเปล่าครับ?”


พอได้ยินนามสกุล ฉินสือโอวก็ทราบถึงตัวตนของเขาแล้ว นี่คือพ่อของลินตัน วอเทอเรนซ์ เขารอการมาของอีกฝ่ายมาหลายวันแล้ว เขายังนึกว่าพอวัยรุ่นพวกนั้นถูกตำรวจจับ ผู้ปกครองของพวกเขาก็อาจจะมาที่นี่ ไม่คิดว่าผ่านไปสามสี่วันแล้วถึงเพิ่งจะมา


ฉินสือโอวตอบกลับไป อีกฝ่ายจึงพูดกับเขาอย่างมีมารยาทว่า “ดีใจมากๆ เลยครับที่สามารถติดต่อคุณได้ คุณฉิน ตอนนี้ผมมาถึงฟาร์มปลาของคุณแล้ว ไม่ทราบว่าคุณจะสะดวกให้เข้าพบไหมครับ? ผมคิดว่าระหว่างพวกเราน่าจะมีความเข้าใจผิดบางอย่าง คงต้องคุยกันหน่อย”


ที่จริงแล้วไม่มีอะไรให้ต้องพูดคุยกันเลย ฉินสือโอวคิดว่าวัยรุ่นพวกนั้นโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ในเมื่อพวกเขาทำเรื่องผิดกฎหมาย ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะได้รับบทลงโทษตามกฎหมาย มาคุยกับเขาแล้วจะมีประโยชน์อะไร? กฎเกณฑ์ข้อบังคับของแคนาดา ความผิดฐานทะเลาะวิวาทจะถูกตัดสินโดยผู้พิพากษา


แต่ถึงอย่างไรเขาก็มาหาถึงที่แล้ว อีกทั้งยังวางท่าทีนอบน้อมมากๆ อีกต่างหาก เขาจะทำตัวเย็นชาเกินไปก็ไม่ได้ จึงตอบกลับไปว่า “ยินดีต้อนรับมากๆ เลยครับ คุณวอเทอเรนซ์ เชิญพวกคุณเข้ามาข้างในก่อนครับ ตอนนี้ผมมองเห็นพวกคุณแล้ว”


สภาพพื้นที่ของฟาร์มปลาไม่ได้ราบเรียบ ฉินสือโอวไม่ได้มองเห็นคนพวกนั้น พวกเขาน่าจะยังอยู่ที่ด้านนอกของประตู แต่ในเมื่อหู่จือเป้าจือพากันเห่าร้องขึ้นมาแล้ว นั่นก็แปลว่าตำแหน่งของพวกเขาน่าจะอยู่ไม่ไกล


ฉินสือโอวผิวปากออกไป หู่จือกับเป้าจือก็ปิดปากเงียบแล้ววิ่งกลับมา คนทั้งคู่เดินเคียงกันเข้ามาแล้ว


อายุของคนทั้งคู่น่าจะราวๆ ห้าสิบปี พวกเขาบำรุงรักษาร่างกายได้เป็นอย่างดี ผิวเรียบลื่นมีเลือดฝาด ดวงตาเป็นประกายมีชีวิตชีวา ยามก้าวเดินก็มั่นคงมีพลัง มีแค่ริ้วรอยบนใบหน้ากับผมสีเทาๆ เท่านั้น ที่ช่วยพิสูจน์ว่ากาลเวลาไม่ปรานีใคร


ชายผิวขาววัยกลางคนที่เดินนำหน้ามาเป็นคนยื่นมือออกมาทักทายก่อน หลังจากที่ฉินสือโอวจับมือทักทายกับเขา ฉินสือโอวก็บอกเป็นนัยว่าให้เข้าไปในห้องรับแขกในวิลล่า ขณะที่กำลังก้าวเดินชายคนนั้นก็แนะนำตัวไปพร้อมกัน เขาเป็นพ่อของลินตัน วอเทอเรนซ์นั่นเอง ชื่อว่าชไนเดอร์ วอเทอเรนซ์ เป็นเจ้าของโรงงานเหล็กกล้าแฮมิลตันวอเทอเรนซ์


คนวัยกลางคนข้างๆ ชไนเดอร์ เป็นผู้ช่วยพ่อของหนึ่งในวัยรุ่นสี่คนที่เหลือ ชื่อว่าคามี่ เชเรนส์


“ผมจำได้ว่า เด็กวัยรุ่นที่มายิงเต่าในฟาร์มปลาของผมมีทั้งหมดสี่คน ผู้ปกครองของเด็กๆ อีกสองคนที่เหลือไม่ทราบเรื่องนี้เหรอครับ?” ฉินสือโอวถามด้วยความสงสัย เขานึกว่าผู้ปกครองของทั้งสี่คนจะจูงมือมาด้วยกัน เนื่องจากพวกเขารู้จักกัน เป็นสมาชิกของสมาคมพี่น้องบิ๊กแซมด้วยกันทั้งนั้น


ชไนเดอร์แย้มยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “คุณเรนส์กับคุณเฮย์วู้ดมีธุระสำคัญเกี่ยวพัน เลยฝากฝังเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องไว้กับพวกเราทั้งสองคน พวกเราเป็นตัวแทนเขาที่มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจ เพื่อให้มาเจรจาเรื่องนี้กับพวกคุณก่อน ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่จำนวนคน แต่อยู่ที่ว่าพวกเราจะสามารถเห็นใจและให้อภัยกันได้ไหมต่างหาก ใช่ไหมล่ะครับ?”


ฉินสือโอวได้ยินที่เขาพูดก็ยิ้มออกมาเล็กน้อยแต่ไม่ได้พูดอะไร คำตอบของชไนเดอร์สามารถวิเคราะห์ออกมาได้ว่า พวกเขาไม่ได้คิดว่าคุณชายฉินอย่างเขามีค่าพอที่จะให้พวกเขาทั้งสี่คนมาเจรจาต่อรอง มีพ่อของวัยรุ่นคนหนึ่งกับผู้ช่วยพ่อของวัยรุ่นอีกคนก็เพียงพอแล้ว


เมื่อเข้ามาในห้องรับแขกแล้ว วินนี่ก็ช่วยชงชาเขียวมาให้ทั้งสองคน เดือนพฤษภาคมบนเกาะแฟร์เวลเริ่มแห้งแร้งแล้ว ดื่มชาเขียวสักหน่อยจะช่วยลดความร้อนภายในได้


หลังจากนั่งลงชไนเดอร์หันไปดูการจัดวางของห้องรับแขก ตรงกึ่งกลางมีฟอสซิลเสือเขี้ยวดาบอยู่หนึ่งตัว ส่วนด้านข้างๆ ก็มีฟอสซิลไดร์วูล์ฟอยู่อย่างละตัว ฟอสซิลพวกนี้ ฉินสือโอวได้ให้คนมาเคลือบขัดเงาไว้หมดแล้ว ทำให้สัตว์เหล่านี้ดูเหมือนจริงไม่น้อย


ชไนเดอร์แย้มรอยยิ้มพูดว่า “ให้เสืออยู่ตรงกับประตู อย่างนี้ถ้าพูดกันตามหลักฮวงจุ้ยของประเทศคุณ ดูเหมือนจะเรียกว่าเสือขาวเฝ้าประตูใช่ไหม? นี่ไม่ค่อยดีเท่าไรหรือเปล่าครับ?”


ฉินสือโอวตกใจเล็กน้อยที่เขารู้จักหลักฮวงจุ้ยของประเทศจีน ถึงแม้ว่าจะอาจจะรู้แค่เพียงผิวเผิน แต่ก็นับว่าหาได้ยากมากแล้ว


ที่จริง ว่ากันตามศาสตร์ฮวงจุ้ย เสือขาวเฝ้าประตูไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะตรงกับที่ว่า ’เสือเฝ้าประตูใต้ภูเขา หนึ่งปีสิ้นหนึ่งราย’


รูปปั้นภาพวาดของเสือสิงห์เต็มไปด้วยความโอหังเผด็จการ เดิมทีถูกนำมาใช้เพื่อข่มขู่และโอ้อวดกำลัง ในยุคโบราณสัตว์ร้ายพวกนี้ถูกนำมาใช้ที่หน้าศาลาว่าการ ที่หน้าค่ายทหารและที่ป้อมปราการสำคัญของพระราชวัง เพราะเชื่อว่าของพวกนี้มีรูปร่างและลักษณะที่โหดร้าย ซึ่งจะสามารถข่มขู่คนชั่วให้รู้สึกกลัวและขจัดสิ่งสกปรกโสมมออกไปได้


แต่หลักฮวงจุ้ยจะเน้นให้ความสำคัญกับการส่งผลกระทบต่อกันและกัน เสือสิงห์และสัตว์ดุร้ายชนิดต่างๆ สำหรับคนธรรมดาทั่วไปนี่คือภูตผีดุร้าย แต่สำหรับฉินสือโอวที่ควรค่ากับสมญานามเทพโพไซดอน นี่ถือเป็นแค่สัตว์จำพวกหนึ่งเท่านั้น


ต่อให้เสือกับสิงห์จะร้ายกาจกว่านี้ แล้วสู้หมีสีน้ำตาลโคดิแอคโตเต็มวัยได้ไหม? เอาชนะนกอินทรีทอง นกอินทรีหัวขาวได้หรือเปล่า? แล้วต่อให้สัตว์ร้ายพวกนี้ร้ายกาจยิ่งกว่านี้ ก็มีแต่จะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ให้กับฉินสือโอวเท่านั้น


ดังนั้น เดิมทีที่ฉินสือโอวจัดให้ฟอสซิลเสือเขี้ยวดาบอยู่ตรงกันกับประตูก็แค่เพื่อความสวยงาม หากจะว่ากันตามศาสตร์ฮวงจุ้ย นั่นก็หมายถึงว่าเขาควบคุมสัตว์ร้ายพวกนี้เอาไว้ แล้วให้พวกมันอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้าประตูก็เท่านั้น!


ชไนเดอร์เห็นสีหน้าแสดงความประหลาดใจของฉินสือโอว บนใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมา แล้วพูดต่อว่า “ผมแนะนำให้คุณย้ายฟอสซิลไปไว้ที่มุมสักหน่อย อยู่ตรงนี้มันไม่ใช่ของตกแต่ง แต่เป็นสัตว์ร้าย”


ฉินสือโอวไม่อยากโต้เถียงเรื่องเกี่ยวกับฮวงจุ้ย เขาจึงตัดสินใจกล่าวคำขอบคุณแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นความหวังดี ทว่าวินนี่ที่รินชาอยู่ข้างๆ กลับพูดตัดหน้าอย่างยิ้มๆ ว่า “ไม่ค่ะ ไม่เป็นไร ไม่ว่าพวกมันจะดุร้ายแค่ไหน สามีของฉันก็จัดการได้หมด!”


หลังจากพูดจบ เธอก็วางกาต้มชาลงแล้วเดินไปที่หน้าประตูเพื่อผิวปากเรียกหาฉงต้า หมีสีน้ำตาลตัวโตสะบัดขนลุกขึ้นยืน มันค่อยๆ วิ่งเข้ามาอย่างช้าๆ แล้วอ้าปากหาว ดูท่าทางเกียจคร้าน แต่ก็มีอำนาจกดดัน


วินนี่ลูบตัวฉงต้าที่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม แล้วหันไปพูดกับพวกชไนเดอร์ว่า “ดูสิคะ เหมือนที่ว่าไว้เลย ในอาณาเขตบ้านของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร สามีของฉันก็จัดการได้ทั้งนั้น! ถ้าพูดกันตามภาษาบ้านเกิดของสามีฉัน ที่นี่ เสือต้องหมอบ มังกรต้องสยบ!”


หางตาของชไนเดอร์กระตุก เขายิ้มแห้งๆ แล้วพูดว่า “คุณนายมีบุคลิกน่าเกรงขามจริงๆ”


ทางฝั่งฉินสือโอวเพิ่งจะรู้ว่าการปะทะกันเริ่มต้นขึ้นแล้ว ที่ชไนเดอร์เพิ่งจะพูดออกมาเมื่อสักครู่ หากพูดอย่างเปิดเผยก็หมายความว่าตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว เสือเขี้ยวดาบดุร้ายเกินไปจะส่งผลร้ายกับฉินสือโอว แต่ความหมายอย่างลับๆ คือการบอกว่าเขาลงโทษคนที่ไม่ควรลงโทษ ถ้าไม่รีบจัดการ แบบนั้นจะมีเรื่องลำบากรอเขาอยู่


วินนี่ตอบกลับไปอย่างแข็งกร้าว เพื่อเตือนว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ฟาร์มปลา จะดีที่สุดถ้าทำตัวให้ดีหน่อย


ในเรื่องความฉลาดทางอารมณ์และทักษะทางสังคม ฉินสือโอวยังด้อยกว่าวินนี่อยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ


นี่เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วย เมื่อก่อนสองปีที่แล้วเขายังเป็นแค่ไอ้ขี้แพ้ สองปีที่ผ่านมาถึงแม้ว่าจะมีเงินมากพอแล้ว แต่เขาพึงพอใจกับชีวิตที่เรียบง่าย จึงไม่เคยมีประสบการณ์การปะทะกับโลกธุรกิจและวงสังคมการเมืองมาก่อน ความไวต่อหัวข้อสนทนาก็ไม่แข็งแกร่งพอ


เมื่อถูกวินนี่ขัดไปแล้วครั้งหนึ่ง ชไนเดอร์ก็กลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบในช่วงเริ่มต้น หลังจากที่เงียบไปกว่าครึ่งนาทีเขาก็หาเรื่องเข้าสู่การสนทนาที่ดีกว่าเดิมไม่ได้ จึงต้องพูดออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม “คุณฉิน ผมกับเพื่อนของผมคิดว่า ระหว่างพวกเราอาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ลูกๆ ของพวกเรายังเด็กอยู่ ไม่ทราบว่าคุณจะทำใจกว้างยอมให้อภัยพวกเขาได้ไหม?”


ฉินสือโอวกล่าวว่า “แน่นอนครับ เด็กๆ ทำผิดแม้แต่พระเจ้าก็ยอมให้อภัย ผมให้อภัยพวกเขา”


ชไนเดอร์กับคามี่ เชเรนส์เผยความรู้สึกดีใจออกมาบนใบหน้า ฉินสือโอวพูดต่ออีกว่า “เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าผู้พิพากษาจะยินดีให้อภัยพวกเขาไหม ผมโอนย้ายคดีให้กับศาลสูงสุดของรัฐไปแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับผมแล้วล่ะครับ”


คนทั้งคู่เปลี่ยนสีหน้าไปแล้ว

 

 

 


บทที่ 1116 ท่านชายฉินคนเนื้อหอม

 

ทั้งสองฝ่ายไร้ซึ่งหนทางที่จะตกลงกันได้ บรรยากาศจึงตึงเครียดขึ้นยิ่งกว่าเดิม ชไนเดอร์ยังอยากพยายามอีกสักหน่อย จึงถามเขาว่า “คุณฉิน ไม่ทราบว่าคุณรู้จักสมาคมพี่น้องบิ๊กแซมไหมครับ?”


ฉินสือโอวไหวไหล่แล้วตอบเขาว่า “แน่นอนอยู่แล้วครับ สมาคมพี่น้องบิ๊กแซมเป็นสมาพันธ์ความร่วมมือที่มีชื่อเสียงมาก ผมคิดว่าใครก็ตามที่ไม่ได้หูหนวกตาบอด ก็คงจะรู้จักสมาคมนี้กันทั้งนั้น”


ได้ยินเขาพูดอย่างนี้ ใบหน้าของชไนเดอร์ก็เผยรอยยิ้มอิ่มอกอิ่มใจออกมา อีกทั้งคามี่ เชเรนส์ที่อยู่ข้างๆ กันก็พูดรับว่า “คุณวอเทอเรนซ์เป็นสมาชิกของสภาภราดรภาพ คุณฉิน หากคุณมีความสนใจเกี่ยวกับสมาคมอยู่บ้าง ถ้าอย่างนั้นคุณก็น่าจะรู้ว่า สมาชิกสภาภราดรภาพเป็นสมาชิกผู้ให้การเสนอแนะที่ดีที่สุดของสมาคม”


ฉินสือโอวยิ้มออกมา นี่คือไม้แข็งที่คงไม่มีการโอนอ่อนอีกแล้ว ชไนเดอร์เริ่มแสดงความประสงค์ดีออกมา น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับสมาพันธ์ความร่วมมือจำพวกนี้จริงๆ ถ้าเป็นองค์กรฟรีเมสันถึงจะน่าสนใจหน่อย


ดังนั้นเขาจึงตอบกลับไปอย่างสบายๆ ว่า “โอ้ ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากๆ เลยครับ”


ชไนเดอร์กับคามี่กำลังจะยิ้มออกมาอีกครั้ง ทว่าฉินสือโอวก็พูดต่อจากเมื่อสักครู่เสียก่อน “แต่เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกันกับผมไม่ใช่เหรอครับ?”


ทั้งสองคนเป็นคนฉลาด พวกเขาไม่เชื่อว่าฉินสือโอวจะโง่จนไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่คามี่พูดออกมา ไม่ต้องสงสัยเลย ฉินสือโอวเลือกที่จะปฏิเสธกิ่งใบสมอ[1] ที่สมาคมพี่น้องบิ๊กแซมยื่นให้


ตามลักษณะนิสัยของชไนเดอร์ เมื่อก่อนถ้ามีคนปฏิเสธคำเชิญชวนของเขา เขาคงจะสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไปตั้งนานแล้ว แต่ครั้งนี้จะทำอย่างนั้นไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพราะเขามีเรื่องจะขอร้องฉินสือโอว แต่ยังเป็นเพราะประธานสภาภราดรภาพสมาคมพี่น้องบิ๊กแซมขอให้เขาลากคนจีนคนนี้มาเข้าร่วมสมาคมด้วย


จนถึงทุกวันนี้ สมาคมพี่น้องบิ๊กแซมไม่ใช่สมาคมนักศึกษาของอเมริกาเพียงอย่างเดียวมาตั้งนานแล้ว ขอแค่มีศักยภาพเพียงพอ ก็จะได้รับการเชิญชวน ในสมาคมมีประเภทคนที่ซับซ้อนจนเกือบจะเป็นเหมือนสหประชาชาติแล้ว


ของหายากจึงดูมีคุณค่า เส้นทางการพัฒนาของสมาคมพี่น้องบิ๊กแซมเป็นความผิดพลาด ก็เหมือนกับมหาวิทยาลัยของจีนที่ขยายการรับนักศึกษาจนทำให้ได้นักศึกษาที่ไร้ค่ามา สมาพันธ์ของพวกเขาขยายการพัฒนาอย่างมืดบอด อาจจะดูเหมือนว่ามีสมาชิกเพิ่มมากขึ้น มีทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร สมาชิกที่เป็นทรัพยากรก็กลายเป็นสิ่งไร้ค่า


แน่นอนว่า ชไนเดอร์ไม่มีทางคิดอย่างนี้แน่ๆ สำหรับคำปฏิเสธของฉินสือโอวแล้ว เขาไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไรนัก จึงพูดขึ้นอีกว่า “คุณฉิน คุณไม่อยากเข้าสมาคมพี่น้องบิ๊กแซมเหรอครับ? คุณแน่ใจใช่ไหมว่ารู้จักสมาคมของพวกเราดี?”


ภายใต้ความฉุกละหุก เขาจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มัวสงวนท่าทีอย่างเมื่อสักครู่อีกต่อไป เห็นได้ว่าเขาเริ่มร้อนใจขึ้นมาแล้ว


ฉินสือโอวแสร้งทำท่าทางเสียดายออกไป แล้วกล่าวว่า “ขอโทษจริงๆ ครับ คุณวอเทอเรนซ์ ผมเป็นสมาชิกของซีซีเอส สมาคมของพวกเรามีข้อกำหนดว่าไม่อนุญาตให้สมาชิกเข้าร่วมสมาคมอื่นอีก ดังนั้นสำหรับความรักและเมตตาของคุณ ผมคงพูดได้แค่ขอบคุณ”


ซีซีเอสเป็นชื่อเรียกสั้นๆ ของสมาคมช่วยเหลือชาวแคนาดาเชื้อสายจีนและชาวจีนโพ้นทะเล ไม่ใช่ครั้งเดียวที่เอี๋ยนตงเหล่ยเคยเชิญให้เขาเข้าสมาคม ทว่าฉินสือโอวไม่มีความสนใจที่จะเข้าสมาคม เนื่องจากสมาคมพวกนี้มีกิจกรรมและเงื่อนไขเยอะเกินไป บุคคลที่ปลอดจากการผูกมัดของโลกียวิสัยอย่างเขา ไม่เหมาะที่จะเข้าไปในกรงขังประเภทนี้


ต่อให้กรงขังพวกนี้จะชุบไปด้วยทองก็ตาม


ชไนเดอร์และคนอื่นๆ ย่อมไม่รู้ว่าฉินสือโอวกำลังพูดเรื่องไร้สาระ พวกเขารู้สึกทดท้ออย่างถึงที่สุด โชคดีที่ทั้งสองคนยังไม่ถึงขั้นสมองพิการ จึงไม่ได้พูดว่าให้ฉินสือโอวออกจากซีซีเอสมาเข้าสมาคมพี่น้องบิ๊กแซม ไม่เช่นนั้นฉินสือโอวคงจะมีเหตุผลให้ไล่พวกเขากลับไปแล้ว


หลังจากนั้นคนทั้งคู่ก็ใช้วิธีการโน้มน้าวเขาสารพัด แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรฉินสือโอวก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เข้าร่วม เขากับวินนี่เอาแต่ชักชวนให้ทั้งสองคนดื่มชา ดื่มไปดื่มมาทั้งสอนคนก็ถึงกับต้องเดินไปเข้าห้องน้ำอย่างไม่หยุดหย่อน…


คุยกันมาหนึ่งชั่วโมงแต่ยังไม่มีความคืบหน้า ชไนเดอร์เริ่มสูญเสียความมั่นใจแล้ว จึงละทิ้งความคิดที่จะพูดโน้มน้าวให้ฉินสือโอวเข้าร่วมสมาคมพี่น้องบิ๊กแซม แล้วเข้าสู่เรื่องสุดท้ายที่จะพูดเลยทันที “คุณฉิน ไม่ทราบว่าพวกเราต้องใช้เงื่อนไขอะไร คุณถึงจะยอมเพิกถอนการฟ้องร้องลูกๆ ของพวกเราครับ?”


สมาคมพี่น้องบิ๊กแซมเป็นเพียงแค่สมาพันธ์ความร่วมมือของเอกชนเท่านั้น ไม่มีทางมีอิทธิพลเหนือกฎหมายได้ วัยรุ่นทั้งสี่คนทำผิดกฎหมายจริงๆ หากศาลดำเนินการอ่านคำตัดสิน เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะต้องถูกตัดสินลงโทษแน่ๆ


ดังนั้น ชไนเดอร์ถึงได้เอาใจใส่กับเรื่องนี้มาก ถึงแม้ว่าลินตันจะเป็นลูกล้างลูกผลาญที่ไม่มีอะไรดีเลยสำหรับครอบครัว แต่เขาก็ไม่อยากให้คนที่จะรับช่วงต่อจากเขาต้องถูกจับเข้าคุก


ผู้คนในสังคมชั้นสูงของแคนาดาต่างก็ต้องรักษาหน้าตากันทั้งนั้น หากลินตันถูกจับเข้าคุก หลังจากออกมาเขาก็คงจะเข้าสังคมนี้ได้ยากแล้ว


ฉินสือโอวเองก็เผยตัวตนที่แท้จริงออกมาแล้วเช่นกัน “คุณวอเทอเรนซ์ คุณมาหาผิดคนแล้วครับ ตอนนี้ผมเพิกถอนการฟ้องร้องไม่ได้แล้ว เพราะนี่ไม่ใช่ข้อพิพาทส่วนตัว แต่เด็กๆ พวกนั้นทำผิดกฎหมายจริงๆ! ถ้าจะให้ผมพูด คุณมาหาผมที่นี่ก็เสียเวลาเปล่า สู้คุณเอาเวลาไปหาทนายเก่งๆ ดีกว่านะครับ”


ชไนเดอร์เห็นอีกฝ่ายยังดึงดัน ในที่สุดเขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมา กล่าวว่า “คุณฉิน ลูกๆ ของพวกเราก็แค่ทำลายผลประโยชน์ของฟาร์มปลาของคุณไม่ใช่หรอกเหรอ พวกเขาสร้างความสูญเสียให้คุณไปเท่าไร? ผมจะชดใช้ให้สิบเท่าเลยโอเคไหม? หนึ่งแสน? ห้าแสน? หรือหนึ่งล้าน?!”


พอพูดถึงเรื่องนี้ ท่านชายฉินก็เผยความจริงใจออกมา “คุณเข้าใจผิดแล้ว คุณวอเทอเรนซ์ พวกเราเพิ่งรู้จักกันแต่ก็เหมือนคนสนิทกันมานาน ผมจะให้คุณชดใช้เงินให้ผมได้อย่างไรล่ะครับ? ในเรื่องนี้ผมไม่มีกำลังพอที่จะช่วยเหลืออะไรได้จริงๆ เพราะพวกเขาทำผิดกฎหมายจริงๆ”


คามี่สอดปากพูดขึ้นมาว่า “ใช่ พวกเขาทำเรื่องผิดกฎหมาย แต่คุณสามารถเพิกถอนคำฟ้องคดีที่พวกเขายิงเต่ามะเฟืองได้ ใช่ไหมครับ? พวกเราต่างก็รู้ว่า เด็กๆ พวกนั้นไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเต่ามะเฟือง พวกเขาก็แค่เบื่อ เลยยิงปลาอย่างปลาคาร์ฟเอเชียไปเรื่อยก็เท่านั้น”


ที่แคนาดาการยิงปลาคาร์ฟเอเชียเป็นการกระทำที่ได้รับการสนับสนุน หากฉินสือโอวเพิกถอนคำฟ้องร้องต่อหน่วยเรนเจอร์ ถ้าอย่างนั้นการจัดการคดีก็จะง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก ทนายก็จะมีเหตุผลเพียงพอที่จะช่วยให้วัยรุ่นพวกนี้หลุดพ้นจากความผิด


ทว่าฉินสือโอวไม่อยากเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ดังนั้นเขาจึงชำเลืองมองคามี่ แล้วพูดอย่างจองหองว่า “ปลาคาร์ฟเอเชียมีชีวิตอยู่ในทะเลเหรอครับ? แล้วก็ คุณรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเต่ามะเฟือง?”


ความหมายนอกเหนือจากคำพูดที่กล่าวออกมาคือ นายเป็นใคร ถึงคิดว่าจะมีสิทธิ์มาต่อรองกับฉันอยู่ที่นี่?


ในความคิดของนักธุรกิจยี่ห้อเก่าแก่อย่างชไนเดอร์ บนโลกนี้ไม่มีปัญหาอะไรที่ใช้เงินจัดการไม่ได้ ถ้าแก้ไขไม่ได้จริงๆ นั่นก็หมายความว่าราคาที่เสนอออกไปไม่ชวนให้อีกฝ่ายรู้สึกสนใจ ถ้าอย่างนั้นแค่เพิ่มเงินเข้าไปอีกก็แก้ปัญหาได้แล้ว


ทว่าในวันนี้ ความเชื่อของเขาถูกทำลายลงแล้ว ฉินสือโอวไม่ต้องการเงินของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว อะไรก็ไม่ต้องการ ต้องการแค่ความยุติธรรมเท่านั้น!


ถือสิทธิ์อะไร ลูกๆ ของพวกนายใช้สารล่อฉลามกับลูกศรไดนาไมต์มาฆ่าสิ่งมีชีวิตในทะเลเหล่านั้นได้ตามใจเหรอ? ถ้าเป็นเพราะต้องการเอามากินหรือเอามาหาเงินเลี้ยงครอบครัว เขาก็คงจะเข้าใจได้ แต่คนพวกนี้ทำแค่เพราะความสนุก นี่เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้!


ท้ายที่สุดชไนเดอร์กับคามี่ก็ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง ทำได้แค่กลับออกไปพร้อมกับความผิดหวัง ก่อนจะกลับชไนเดอร์ยังโน้มน้าวให้ฉินสือโอวลองไตร่ตรองดูให้ดีๆ อย่างไม่หยุดหย่อน


ฉินสือโอวก็พูดยิ้มๆ ว่าเขาจะลองพิจารณาดู พิจารณากับผีน่ะสิ


หลังจากส่งพวกชไนเดอร์กลับไปแล้ว ผ่านไปไม่นาน ก็มีสายโทรศัพท์จากเอี๋ยนตงเหล่ยโทรเข้ามา หลังจากถามไถ่เรื่องคดีความของเขา เอี๋ยนตงเหล่ยก็ตัดเข้าสู่ประเด็นหลัก “เสี่ยวฉิน ถ้าอย่างนั้นนายเข้าร่วมสมาคมช่วยเหลือชาวจีนโพ้นทะเลในนิวฟันด์แลนด์ของพวกเราเลยเถอะ ถ้าพวกสมาคมพี่น้องบิ๊กแซมเล่นงานนาย พวกเราจะได้มีเหตุผลที่เหมาะสมไปช่วยนายได้”


ฉินสือโอวไม่สนใจจริงๆ จึงตอบกลับไปว่าเขาจะลองพิจารณาดู แล้วหลังจากนั้นค่อยให้คำตอบ


…………………………………………………


[1]กิ่งใบสมอ หมายถึง สัญลักษณ์ของสันติภาพ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)