พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1111-1112
บทที่ 1111 ข้าคือขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ยังเป็นอวิ๋นจือชิวที่มองออกถึงสาเหตุที่เหมียวอี้อึ้งพูดไม่ออก แอบคลายความสงสัยให้ ถ่ายทอดเสียงบอกว่า “คนที่อยู่ในระดับอย่างพวกเขา ที่พิภพเล็กนี้ไม่มีคำว่าสหาย มีแค่คนศักดิ์ศรีเสมอกันที่สามารถสู้กันได้ คนอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพูด ระหว่างพวกเขาสู้กันมาแสนกว่าปีแล้ว เป็นห่วงฝ่ายตรงข้ามมาแสนกว่าปี ความสัมพันธ์คลุมเครือมาตลอด เคยชินกับการมีอยู่ของกันและกันตั้งนานแล้ว จู่ๆ ก็ตายไปหนึ่งคน ตายอย่างกะทันหันเกินไป กระต่ายตายจิ้งจอกเศร้าเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ จะบอกว่ารับไม่ได้ในด้านความรู้สึกก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป หดหู่อยู่บ้างนิดหน่อย ไม่ได้มีเจตนาอื่น”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในทันที ยังนึกว่ามีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ค่อนข้างดีต่อกัน ต้องการร่วมมือกันล้างแค้นให้เฟิงเป่ยเฉิน ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็ลำบากแล้ว
คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่อวิ๋นจือชิวใช้ถ่ายทอดเสียงได้ดึงพวกอวิ๋นอ้าวเทียนให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริงอย่ารวดเร็ว
พอกลับสู่ความเป็นจริง พวกเขาก็ทำตัวสอดคล้องกับความจริงทันที จีฮวนเอ่ยปากก่อน “เหมียวอี้ ส่งของบนตัวเจ้าออกมา บอกให้ชัดถึงที่มาที่ไปของของพวกนั้น แล้วจะไว้ชีวิตเจ้า!”
สถานการณ์ไม่ดีแล้ว! อวิ๋นจือชิวดึงแขนเสื้อเหมียวอี้เบาๆ แอบบอกใบ้เหมียวอี้ว่ายืนใกล้ห้าคนนั้นเกินไปแล้ว ถอยห่างสักหน่อยให้มีระห่างในการตอบสนอง
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้กลับจับข้อมือนางเอาไว้ ควบคุมนางให้อยู่นิ่งๆ ไม่ให้นางถอยหลัง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เฟิงเป่ยเฉินก็พูดแบบนี้เหมือนกัน”
จีฮวนยกมือขึ้นลูบเคราตัวเอง “เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?”
เหมียวอี้มองไปทางอวิ๋นอ้าวเทียน “ท่านปู่ ได้ยินว่าท่านคนเดียวสามารถควบคุมพวกเขาได้สามคน ไม่สู้พวกเราร่วมมือกันมั้ยล่ะ ท่านควบคุมพวกเขา เดี๋ยวข้าสังหารทิ้งทีละคน ทั้งใต้หล้านี้ก็จะไม่มีใครมาแก่งแย่งกับท่านแล้ว ของที่โจมตีได้จะให้ท่านหมดเลย เป็นอย่างไร?”
อวิ๋นอ้าวเทียนกำลังใช้นิ้วเคาะบนผิวโต๊ะเบาๆ “ความคิดฟังดูไม่เลวเหมือนกัน!”
จีฮวน มู่ฝานจวิน ซือถูเซี่ยว ฉางเหลยมุมปากกระตุกทันที พบว่าการตายของเฟิงเป่ยเฉินไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยจริงๆ โชคดีที่อวิ๋นอ้าวเทียนพูดเสริมว่า “มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยเหรอ?”
เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “พอแล้ว ไม่ล้อเล่นกับพวกท่านแล้ว พวกท่านเองก็ไม่ต้องกลัว ข้าจะพูดธุระหลักกับพวกท่านนิดหน่อย”
“พวกเรากลัวเจ้าเหรอ?” มู่ฝานจวินแสยะยิ้มถาม
เหมียวอี้ไม่สนใจ ลากเก้าอี้ออกมาโดยตรง แล้วนั่งตรงข้ามกับทั้งห้าคน “อาณาเขตเล็กๆ อย่างแดนอู๋เลี่ยงไม่ได้อยู่ในสายตาข้าเลยจริงๆ จะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้สักหน่อย อาณาเขตของพวกท่านหกปราชญ์รวมกันยังไม่พอให้ทำไม้จิ้มฟันของข้าด้วยซ้ำ”
“โยมเหมียวช่างพูดจาโอ้อวดจริงๆ!” ฉางเหลยกล่าวกลั้วหัวเราะ
เหมียวอี้โบกมือ “ข้าไม่ได้พูดโอ้อวดหรอก เป็นพวกท่านเองที่เหมือนกบในบ่อน้ำ พระเถระ ข้าจะให้ท่านดูอะไรนิดหน่อย ให้ท่านได้เปิดหูเปิดตา” ขณะทีพูดก็โยนแผ่นหยกออกไป
ในดวงตาฉางเหลยฉายแววสงสัย คนอื่นๆ พากันมองไปที่แผ่นหยกในมือเขา
หลังจากฉางเหลยร่ายอิทธิฤทธิ์อ่านแล้ว ก็เงยหน้ามองเหมียวอี้ พร้อมถามด้วยความสงสัย “ตำหนักสวรรค์ น่านฟ้าชวดอี่ ดาวเทียนหยวน ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ หนิวโหย่วเต๋อ…หมายความว่าอย่างไร?”
พิภพเล็กไม่ได้มีชุดความคิดเรื่องตำหนักสวรรค์ สาเหตุหลักเป็นเพราะตอนที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งปรากฏออกมา ตำหนักสวรรค์ยังไม่ได้ก่อตั้งขึ้น ที่ทุกคนเรียกกำลังพลของพิภพใหญ่ว่าทหารสวรรค์ ก็เป็นเพียงคำเรียกด้วยความเคารพประเภทหนึ่ง ดังนั้นฉางเหลยจึงอ่านไม่ค่อยเข้าใจ ที่จริงคนทางพิภพใหญ่ก็ไม่รู้เช่นกันว่ายังมีคนเรียกสถานที่ที่พวกเขาอยู่ว่าพิภพใหญ่ด้วย
แต่อวิ๋นจือชิวกลับตกใจกับคำพูดของฉางเหลย สายตาที่มองไปทางเหมียวอี้ราวกับมองคนบ้า แอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เจ้าบ้าเหรอ! ถ้าปล่อยข่าวนี้ออกไป พวกเขาไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ แม้แต่โอกาสคานอำนาจกันก็อาจจะไม่ให้เจ้าด้วยซ้ำ ต่อให้สู้ตายก็จะจัดการเจ้าให้ได้!”
เหมียวอี้เลิกสนใจชั่วคราว ชี้ที่ตัวเองพร้อมบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อก็คือข้า คาดว่าว่าพวกท่านคงจะเคยได้ยินชื่อหนิวโหย่วเต๋อจากคดีนองเลือดค่ายฆ้องเหล็กที่ทะเลดาวนักษัตรในปีนั้นมาแล้วเหมือนกัน เป็นข้าเองที่ใช้ชื่อหนิวโหย่วเต๋อทำเรื่องนี้ พระเถระ ในมือท่านคือคำสั่งแต่งตั้งตำแหน่ง ข้าก็คือผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวน น่านฟ้าชวดอี่ ตำหนักสวรรค์ ใช่แล้ว พูดถึงตำหนักสวรรค์ พวกท่านอาจจะไม่มีแนวคิดอะไรกับสิ่งนี้ เข้าใจเรื่อพิภพใหญ่มั้ย? ตำหนักสวรรค์ก็คือพิภพใหญ่ที่พิภพเล็กเรียกนั่นแหละ ตอนนี้เข้าใจแล้วรึยัง?”
อวิ๋นจือชิวใกล้จะเป็นบ้าแล้ว อีกฝ่ายไม่เข้าใจ แต่เจ้าเวรนี่ยังตั้งใจอธิบายอีก นางไม่มีทางจินตนาการถึงผลที่จะตามมาได้เลย
พวกสงเวยที่เฝ้าอยู่นอกศาลาก็หันกลับมามองในศาลาอย่างงุนงงเช่นกัน
เป็นอย่างที่คาดไว้ ไม่มีห้าปราชญ์คนไหนนั่งติดที่แล้ว แต่ละคนลุกพรวด เบิกตากว้างมองเหมียวอี้
อวิ๋นอ้าวเทียนเหมือนจะไม่เชื่อ แย่งแผ่นหยกจากมือฉางเหลยมาดูเองแล้ว
พอเขาดูเสร็จ มู่ฝานจวินก็แย่งมาอีก พวกเขาผลัดกันดูรอบหนึ่ง สุดท้ายแต่ละคนก็หันไปมองเหมียวอี้ด้วยแววตาเหลือเชื่อ สถานที่ที่ทุกคนใฝ่ฝันถึง จู่ๆ ก็ถูกทำพังแบบนี้แล้ว จะไม่ให้พวกเขาตกตะลึงพรึงเพริดได้อย่างไร
อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงสูงว่า “เหมียวอี้ ถ้าเจ้ากล้าพูดเท็จแม้แต่คำเดียว ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”
เหมียวอี้ยกขานั่งไขว่ห้าง หลุดขำออกมา แล้วบอกว่า “หลอกพวกท่านแล้วจะมีความหมายอะไรเหรอ? รายได้จากตำหนักสวรรค์หนึ่งปีของข้าน่ะ ต่อให้นำรายได้ของพวกท่านมาบวกรวมกันก็ยังเทียบไม่ติดเลย ชื่อหกปราชญ์อะไรที่พวกท่านใช้เรียกกันน่ะ สำหรับข้าแล้วเป็นเรื่องตลกขำขัน สถานที่ที่ใหญ่เท่าหนึ่งฝ่ามือ แต่มีคนตั้งตัวเป็นใหญ่เบียดกันห้าหกคน ถ้าสุ่มเลือกยอดฝีมือจากพิภพใหญ่มาสักคน ก็สามารถตบพวกท่านให้ตายได้เลย พวกท่านว่าน่าขำมั้ยล่ะ? ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้สักหน่อยนะ ถ้าข้าจะสู้กับพวกท่านน่ะ แค่ข้าเอ่ยสั่งคำเดียว ก็จะเรียกทหารสวรรค์ได้กองหนึ่งแล้ว ให้มากวาดล้างพวกท่านให้เรียบจนไม่เหลือซากได้เลย พวกท่านสู้กลุ่มผีดิบที่ลากเรือมังกรอเวจีไม่ได้ด้วยซ้ำ ยังคิดจะมาสู้กับขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์อย่างข้าอีกเหรอ? รู้หรือไม่ว่าพลังของนักพรตที่พิภพใหญ่เป็นอย่างไร? ระดับบงกชรุ้งมีเยอะเหมือนฝูงสุนัข ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเดินกันให้เกลื่อน ท่านว่าพวกท่านจะเล่นอย่างไรล่ะ?”
การคุยโม้แบบนี้ทำให้อวิ๋นจือชิวหุบปากแล้ว
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สบตากันแวบหนึ่ง บงกชรุ้งมีเยอะเหมือนฝูงสุนัข ระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพเดินกันให้เกลื่อนเหรอ? พูดเกินไปแล้วจริงๆ! ผู้บัญชาการใหญ่นับว่าเป็นขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์ด้วยเหรอ?
ห้าปราชญ์แต่ละคนตาเป็นประกายร้อนรน กำลังรีบครุ่นคิด ไม่ใช่ว่าสมองของพวกเขาใช้งานได้ไม่ดี แต่เรื่องบางอย่างก็อยู่เหนือแนวความคิดที่เคยชินของพวกเขา
เหมียวอี้นั่งตบเกราะรบบนร่างกายตัวเองอยู่อย่างนั้น แล้วชี้ไปยังเกราะรบบนตัวพวกฝูชิงอีก “พวกเขาตามข้าไปทำงานที่พิภพใหญ่ทั้งนานแล้ว ถ้าสุ่มเลือกเกราะรบบนตัวพวกเรามาสักคน ก็สามารถเทียบได้กับทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดของหกปราชญ์ได้เลย ท่านคิดว่าข้ายังจำเป็นต้องไปแย่งอาณาเขตกับพวกท่านมั้ยล่ะ? ถ้าไม่อยากเล่นกับพวกท่านมาตั้งนานแล้ว และไม่ได้มีเจตนาจะสู้กับพวกท่านด้วย แต่เฟิงเป่ยเฉินดันอยู่ดีไม่ว่าดีมารนหาที่ตาย พวกท่านยังจะถ่อออกมาประสมโรงอีก เป็นหกปราชญ์ของพวกท่านต่อไปดีๆ ไม่ได้หรือไง?”
ฉางเหลยหัวเราะเบาๆ “เกรงว่าโยมเหมียวจะพูดเกินความจริงไปหน่อยรึเปล่า? ถ้าที่โยมเหมียวพูดเป็นเรื่องนี้ ทำไมยังต้องอยู่ที่นี่อีกล่ะ?”
“ข้ามีตำแหน่งสูงที่ตำหนักสวรรค์ กินดีอยู่ดี พิภพใหญ่มีสถานที่ที่น่าชมน่าเล่นตั้งเยอะ ท่านคิดว่าข้าอยากกลับมาสถานที่เส็งเคร็งแบบนี้เหรอ?” เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วชี้ไปที่มู่ฝานจวิน “ก็นางทำร้ายไงล่ะ สาเหตุเพราะอะไรนางรู้อยู่แก่ใจ ถ้าไม่ใช่เพราะนางบอกว่าส่งส่วยปีนี้ต้องการจะพบข้าให้ได้ ใครจะกลับมาล่ะ มู่ฝานจวิน ในเมื่อวันนี้ข้าเปิดเผยเรื่องนี้แล้ว ก็แสดงว่าไม่คิดจะเล่นกับท่านแล้ว ทางที่ดีท่านอย่าทำเกินไปเลย ถ้ากดดันจนข้าร้อนรนหมดทาง ท่านก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวหรอก!”
อวิ๋นอ้าวเทียนและอีกสามคนรีบมองไปที่มู่ฝานจวิน ไม่รู้ว่านางทำอะไรเอาไว้ เพียงแต่เห็นมู่ฝานจวินแววตาวูบไหวไม่พูดอะไร ราวกับมีเรื่องราวเบื้องลึกอะไรจริงๆ
“เหมียวอี้ ต่อให้สิ่งที่เจ้าพูดจะเป็นความจริง แล้วเจ้าบอกเรื่องพวกนี้กับพวกเราทำไม?” ซือถูเซี่ยวถาม
“ข้าบอกแล้วไง ว่าข้าไม่อยากเล่นกับพวกท่าน ตั้งแต่วันนี้ไป เรื่องที่พิภพเล็กจบลงแล้ว” เหมียวอี้ทำท่าทางเหมือนพูดคำไหนคำนั้น ชี้รอบวงพร้อมบอกว่า “พวกท่านอยากจะไปเล่นที่พิภพใหญ่มาตลอดเลยไม่ใช่เหรอ? ข้าทำให้พวกท่านสมปรารถนา ข้าจะพาพวกท่านไปพิภพใหญ่ ถ้ามีความสามารถก็ไปแสดงที่พิภพใหญ่ได้เลย!”
พิภพเล็กเล็กเกินไปจริงๆ จำกัดการแสดงความสามารถของหกปราชญ์ ตอนนี้ได้ยินเหมียวอี้บอกว่าจะพาพวกเขาไปที่พิภพใหญ่ แต่ละคนจึงหัวใจเต้นรัว จีฮวนถามทันทีว่า “พูดจริงเหรอ!”
เหมียวอี้ตอบว่า “จริงแท้แน่นอน! เพราะถ้าไปพิภพใหญ่แล้วข้าจะยิ่งจัดการพวกท่านได้สะดวก ถ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งข้า ข้าก็จะส่งทหารไปจับทันที อยากจะลงโทษพวกท่านอย่างไรก็ย่อมทำได้ รับรองว่าพวกท่านหนีไม่พ้นแล้ว จะไปหรือจะไม่ไป พวกท่านก็พิจารณาให้ดีแล้วกัน ข้าไม่ฝืนใจ!
คำพูดนี้จริงใจเกินไปแล้ว อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน นางพูดไม่ออกแล้ว
ห้าปราชญ์ทำสีหน้าแพรวพราวทันที พวกเขาอยากไปพิภพใหญ่จะแย่อยู่แล้ว ถึงขั้นไม่ต้องขู่เหมียวอี้ เหมียวอี้ก็ยินดีเป็นฝ่ายพาพวกเขาไปเองเลย แต่ก็เป็นอย่างที่เหมียวอี้บอก ถ้าไปแล้วเหมียวอี้อยากจะจัดการพวกเขาอย่างไรก็ได้ แบบนี้อันตรายไปหน่อยหรือเปล่า?
แต่ปณิธานอันยิ่งใหญ่ของใครบางคนไม่อาจถูกขู่ให้ตกใจได้ อวิ๋นอ้าวเทียนมองไปที่อวิ๋นจือชิว แล้วถามว่า “น้องชิว ปู่ถามเจ้าหน่อย เจ้าเด็กนี่ไปมาระหว่างพิภพใหญ่กับพิภพเล็กได้จริงเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวไม่เข้าใจว่าเหมียวอี้จะเล่นอะไรกันแน่ จึงมองเหมียวอี้ด้วยแววตาตั้งคำถาม
เหมียวอี้ตรงไปตรงมามาก โบกมือบอกว่า “ไม่มีอะไรน่าปิดบัง บอกไปเลย!”
อวิ๋นจือชิวตอบอย่างหัวเราไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ท่านปู่ ข้าเปิดร้านค้าขายอยู่ที่พิภพใหญ่ร้านหนึ่งค่ะ”
ไม่ต้องพูดอะไรมากแล้ว ขนาดนางยังไปพิภพใหญ่ได้ เหมียวอี้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว
ซือถูเซี่ยวกลับเตือนว่า “ปีศาจเฒ่า ระวังหน่อยนะ แต่งงานออกไปแล้วก็ไม่ได้เอนเอียงไปทางเจ้าเสมอไป ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาสองสามีภรรยาร่วมมือกันปิดบังพวกเราหรือเปล่า”
มู่ฝานจวินก็บอกเช่นกันว่า “พวกเจ้าสองสามีภรรยาพูดจาเชื่อถือไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องมีหลักฐานว่าพวกเจ้าไปพิภพใหญ่ได้จริงๆ”
“หลักฐานบ้าอะไรล่ะ พวกท่านอยากไปก็ไป ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ข้าไม่ได้ขอร้องให้พวกท่านไปเสียหน่อย” เหมียวอี้พูดดูถูก แล้วถามว่า “ข้าจะเอาอะไรมาเป็นหลักฐานให้พวกท่านดู?”
อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าข้าไปที่พิภพใหญ่ได้ สหายของเจ้าคนนั้น ข้าก็จำเป็นต้องขังอีกต่อไปแล้ว” นับว่าพูดแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกันแล้ว
รู้อยู่แล้วว่าสักวันจะต้องใช้แผนแลกตัวประกัน เหมียวอี้มองไปทางมู่ฝานจวินที่ดูกระเหี้ยนกระหือรือ คาดว่าท่านนี้ก็คงไม่ต่างกันเท่าไร จึงถามด้วยรอยยิ้มว่า “พาพวกท่านไปเฉยๆ ก็สิ้นเรื่องแล้ว จะมีเรื่องยุ่งยากอะไรมากมายขนาดนั้น หกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยกลายเป็นขี้กลัวแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไร?”
เกี่ยวอะไรกับเรื่องขี้กลัวล่ะ! ห้าปราชญ์แอบด่าในใจ ไม่สนว่าเหมียวอี้จะกำลังหลอกพวกเขาหรือไม่ สำหรับพวกเขา อยากจะน้อยก็มีอยู่จุดหนึ่ง หากสามารถไปที่พิภพใหญ่ได้จริงๆ อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้รู้ถึงสถานการณ์ของพิภพใหญ่อย่างชัดเจน ถ้าหากเจ้าเด็กนี่วางกับดักจัดการพวกเขาพร้อมกันทีเดียวจะทำอย่างไร?
คนเราบางครั้งก็แปลกเหมือนกัน เวลาที่ไม่ได้มาครอบครองก็จะลำบากไขว่คว้า แต่เวลาที่จะได้มาอย่างง่ายดายกลับไม่กล้าเชื่อง่ายๆ
เมื่อเห็นทั้งห้ากำลังต่างคนต่างครุ่นคิด เหมียวอี้ก็หรี่ตายิ้มพร้อมบอกว่า “หรือไม่อย่างนั้นพวกท่านก็สามารถส่งคนที่ไว้ใจได้ไปเปิดหูเปิดตาที่พิภพใหญ่กับข้าก็ได้นะ รอให้พวกเขากลับมาแล้วพวกท่านค่อยตัดสินใจดีมั้ย?”
ฉางเหลยประนมมือกล่าวพร้อมรอยยิ้มทันที “อามิตาพุทธ คำพูดนี้ถูกต้อง อาตมากำลังมีความคิดนี้พอดี!”
คนอื่นๆ พยักหน้าตาม แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะถามอีกว่า “แล้วทำไมข้าจะต้องปรนนิบัติพวกท่านเหมือนบรรพบุรุษล่ะ? ขอถามตรงๆ เลยแล้วกัน พวกท่านจะให้ผลประโยชน์อะไรกับข้า?”
………………………
บทที่ 1112 กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผลประโยชน์อะไร? ทั้งห้าสบตากันเงียบๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าจะให้ผลประโยชน์อะไรเขาได้
“เจ้าอยากได้ผลประโยชน์อะไร?” ซือถูเซี่ยวถาม
สายตาของทุกคนไปรวมอยู่ที่ตัวเขา ไม่รู้ว่าเขาจะเสนอเงื่อนไขอะไร อวิ๋นจือชิวกลับอกสั่นขวัญแขวน แอบเดาได้แล้วว่าผู้บัญชาการใหญ่เหมียวจะขออะไร
เหมียวอี้ขมวดคิ้วครุ่คิดครู่หนึ่ง แล้วยืนขึ้นส่ายหน้าช้าๆ “ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าพวกท่านจะให้ผลประโยชน์อะไรข้าได้ ถ้าพูดถึงทรัพยากรฝึกตน ต่อให้พวกท่านนำของมารวมกันก็ยังไม่อยูในสายตาข้าเลย แค่หาส่งเดชที่พิภพใหญ่ก็ได้เยอะกว่าที่มีอยู่ในมือพวกท่านแล้ว เงินทองหรือสาวงามข้ามีไม่ขาด ถ้าพูดถึงฐานะตำแหน่ง ถ้าอยู่ที่พิภพใหญ่พวกท่านไม่มีสิทธิ์แม่แต่จะถือรองเท้าให้ข้าด้วยซ้ำ ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่าพวกท่านจะให้ผลประโยชน์อะไรข้าได้ พวกท่านว่ามาเถอะ พวกท่านยังมีอะไรที่สามารถนำออกมาได้บ้าง?”
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ทั้งห้าก็อยากจะเล่นงานเขาให้ตาย สาวกในใต้หล้าล้วนเงยหน้ามองพวกเขา ตอนนี้กลายเป็นสิ่งที่น่าดูถูกในสายตาเจ้าบ้านี่ ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่คู่ควรที่จะถือรองเท้าให้เขาด้วยซ้ำ มีหลักการอย่างนี้ที่ไหนกัน!
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้าสิ่งที่เจ้าหนุ่มนี่พูดคือความจริง เจ้าตัวก็ไม่ต้องชายตาแลของที่อยู่ในมือพวกเขาเลยจริงๆ
“ถ้าหากไปได้ ก็จะยกอาณาเขตของพิภพเล็กนี้ให้เจ้า” มู่ฝานจวินกล่าว
จีฮวนขานรับ “อืม” คนอื่นๆ ก็ใช้วิธีตอลตกลงที่ต่างกัน รู้สึกว่าแบบนี้ก็ได้
เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “พูดจาน่าฟังจริงๆ ถ้าพวกท่านไปที่พิภพใหญ่ได้ ก็ย่อมไม่สนใจอาณาเขตของพิภพเล็กอยู่แล้ว ทรัพยากรฝึกตนที่อยู่ที่นั่นแทบตะไร้ขีดจำกัด ตราบใดที่พวกท่านมีความสามารถ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรฝึกตนเลย ใครจะยังสนใจอาณาเขตของพิภพเล็กล่ะ ทุกคนคุยเรื่องนี้อย่างเปิดเผย ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรปลอมๆ อีก”
อวิ๋นอ้าวเทียนข่มไฟโกรธไว้ไม่ไหวแล้ว “อย่ามาอ้อมค้อมตรงนี้ ในเมื่อเจ้ายอมเจรจา ก็แสดงว่าต้องมีของที่อยากได้อยู่แล้ว อยากได้อะไรก็บอกมาตรงๆ!”
ไม่โมโหคงไม่ได้แล้ว หลานสาวสุดที่รักก็ยกให้แต่งงานกับเขาไปแล้ว เขายังจะมาเสนอเงื่อนไขแบบนี้อีก พูดจบก็กวาดตามองอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง อวิ๋นจือชิวแอบเดาะลิ้น รู้สึกผิดอยู่เหมือนกัน
“พวกท่านมีอะไรที่ล้ำค่าที่สุด ข้าก็อยากได้อันนั้นแหละ” เหมียวอี้กล่าวอย่างตรงไปตรงมามาก
“ชีวิตของพวกเรามีค่าที่สุด มีความสามารถที่จะเอาไปมั้ย?” อวิ๋นอ้าวเทียนถามอย่างเย็นเยียบ
“แค่กๆ!” เหมียวอี้ไอแห้งๆ ไม่คุ้นชินกับการเจรจาต่อรองราคากับท่านนี้จริงๆ
ยังเป็นอวิ๋นจือชิวที่เข้าใจความคิดของเขา ดึงแขนเขาไว้ “เจ้าพูดกับท่านปู่แบบนี้ได้ยังไง ถอยสักก้าวให้ท่านทำตามใจชอบสักหน่อยไม่ได้เหรอ”
เหมียวอี้ใจตรงกับนาง หันกลับมาถามนางว่า “เช่นนั้นฮูหยินต้องการอะไรล่ะ?”
“เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่ข้าฝึกยังไม่สมบูรณ์ ไม่สู้ขอร้องให้ท่านปู่มอบให้ข้าก็พอแล้ว” อวิ๋นจือชิวตอบ
เมื่อนางกล่าวมาแบบนี้ ในใจเหมียวอี้ก็เหมือนมีดอกไม้เบ่งบานแล้วเขากำลังครุ่นคิดว่าถ้าตัวเองพูดเจตนาออกมาตรงๆ ก็อาจจะชัดเจนเกินไปหน่อยหรือเปล่า อวิ๋นจือชิวช่วยเชื่อมประสานให้เขาแล้ว
อวิ๋นอ้าวเทียนกลับถลึงตาจ้องอวิ๋นจือชิว พบว่าตัวเองช่างมีหลานสาวที่ดีจริงๆ หลังจากแต่งงานออกไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะวางแผนอยากได้ทุนเดิมสำหรับตั้งตัวของตระกูลอวิ๋น
แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะกล่าวดูถูก “จะอยากได้ของแบบนั้นไปทำไม? เจ้าอยู่ที่พิภพใหญ่ก็ใช้ว่าจะไม่รู้ ที่จริงเคล็ดวิชาของพวกเข้าล้วนมาจากพิภพใหญ่ เคล็ดวิชาทั้งหกแบ่งเป็นภาคฟ้า ภาคดิน ภาคคน มีทั้งหมดสามภาค ทั้งหมดมีครบอยู่ที่พิภพใหญ่ พวกเขาได้ไปแค่ระดับแรกสุดก็คือภาคคน เดี๋ยวกลับไปรอข้าหาให้ครบก่อน ข้าจะมอบภาคที่สมบูรณ์ให้เจ้า สินค้าที่บกพร่องจะเอามันไปทำไม”
เขารู้ได้อย่างไรว่าเคล็ดวิชาฝึกตนแบ่งเป็นภาคฟ้า ภาคดิน ภาคคน? ห้าปราชญ์เรียกได้ว่าใจเต้นรัวทันที ทั้งหมดเบิกตากว้างแล้ว
พิภพใหญ่มีเคล็ดวิชาฝึกตนแบบสมบูรณ์เหรอ? ในจุดนี้พวกเขาทั้งเชื่อทั้งสงสัย เพราะเคล็ดวิชาของพวกเขามาจากเรือมังกรอเวจี และเรือมังกรอเวจีก็มาจากพิภพใหญ่ ถ้าจะบอกว่าพิภพใหญ่มีเคล็ดวิชาของพวกเขาอยู่ ก็ไม่ได้แปลกพอให้รู้สึกอัศจรรย์ใจ
อวิ๋นจือชิวเขย่าแขนเหมียวอี้ กล่าวอย่างออดอ้อนเล็กน้อยว่า “เจ้ายังหาได้ไม่ครบไม่ใช่เหรอ ใครจะไปรู้ล่ะว่าวันได้ปีไหนจะหาพบ ท่านปู่ข้าก็ไม่ใช่คนนอก ถึงอย่างไรข้าก็เป็นหลานสาวของตระกูลอวิ๋น ท่านสามี ต่อให้ไม่ไว้หน้าคนอื่นแต่ก็ไว้หน้าข้าหน่อยเถอะนะ?”
“เฮอะ! อย่ามาออดอ้อนออเซาะที่นี่!” อวิ๋นอ้าวเทียนทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ พ่นสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “น้องชิว! เจ้าเป็นคนอย่างไรปู่เห็นมาตั้งแต่เด็กจนโตแล้ว รู้จักดีมาก อย่ามาเล่นละครต่อหน้าข้า! เหมียวอี้ เรื่องที่เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเราแบ่งเป็นสามภาค เฟิงเป่ยเฉินได้พูดเอาไว้ก่อนตายใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ยกมือให้อวิ๋นจือชิว “ฮูหยิน เจ้าเห็นแล้วนี่ ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้หน้านะ แต่ท่านปู่ของเจ้าไม่เชื่อเลย”
อวิ๋นจือชิวหันตัวมาหาอวิ๋นอ้าวเทียนแล้วถอนหายใจ “ท่านปู่คะ ท่านกำลังทำไม่ยุติธรรมพวกเราจริงๆ นะ ฉบับสมบูรณ์ของเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกท่านอยู่ที่พิภพใหญ่จริงๆ ท่านสามีกำลังช่วยค้นหาให้ข้าตลอด จนกระทั่งตอนนี้ ก็ช่วยข้าหาเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานได้แค่ภาคดินเท่านั้น ยังตามหาภาคคนกับภาคฟ้าอยู่ ภาคคนอยู่ในมือเจ้าพอดีไม่ใช่เหรอ ถ้าได้มาตรงๆ เจ้าจะได้ไม่เปลืองแรงไม่ใช่หรือไง”
เหมียวอี้ได้ยินแล้วแอบรู้สึกขำ พบว่าฮูหยินของตัวเองไม่ใช่เล่นๆ เลย ถ้าบอกไปตรงๆ ว่าในมือมีภาคดินมาแลกแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอวิ๋นอ้าวเทียนจะแย่งไปหรือไม่ ดีไม่ดีอาจจะเล่นไม่ซื่อกับภาคคนด้วย พอเปลี่ยนวิธีการแบบนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าสามารถหาเคล็ดวิชาทั้งหกที่พิภพใหญ่ได้ ต่อไปก็คงจะเป็นอวิ๋นอ้าวเทียนที่ใจร้อนอยากจะมาแลกแล้ว
เรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ถ้าเจ้ามาขอร้องถึงที่ ดีไม่ดีอีกฝ่ายจะวางมาดใส่ แต่เวลาที่อีกฝ่ายมาขอร้องเอง แบบนั้นทุกอย่างก็คุยง่ายแล้ว
มู่ฝานจวินและอีกสามคนตกตะลึง อวิ๋นอ้าวเทียนฝึกแค่ภาคคนก็เก่งจะแย่อยู่แล้ว อวิ๋นจือชิวหาภาคดินเจอแล้วงั้นเหรอ?
ต่อมาอวิ๋นอ้าวเทียนเริ่มสงบเยือกเย็นแล้ว เพื่อเคล็ดวิชาส่วนหลัง เขาเฝ้าใฝ่ฝันมาหลายปีแล้ว เขากัดฟัน แล้วกล่าวด้วยใบหน้าที่ตึงเหมือนโดนตะคริวกินว่า “น้องชิว เจ้าองก็รู้นิสัยเจ้าอารมณ์ของปู่ เจ้าอย่าเอาเรื่องแบบนี้มาหลอกตบตาปู่เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่นับเจ้าเป็นหลานสาว!”
อวิ๋นจือชิวทำท่าทางเหมือนจนใจมาก ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ท่านปู่คะ! ถ้าท่านไม่เชื่อ ข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เอาอย่างนี้มั้ยคะ ท่านฝึกเคล็ดวิชาภาคคนไปแล้ว ข้าจะท่องภาคดินที่ต่อจากนั้นให้ท่านฟังสักหน่อย จะเชื่อมต่อกันได้หรือไม่ เมื่อท่านได้ฟังแล้วก็คงจะรู้ว่าจริงว่าจริงหรือปลอม”
“ท่อง!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวอย่างใจร้อน
อวิ๋นจือชิวเริ่มใช้วิธีการถ่ายทอดเสียงให้ฟังทันที นางจดจำเคล็ดวิชาภาคดินได้ตั้งนานแล้ว จึงท่องออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว
ความจริงเท็จของเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่อวิ๋นอ้าวเทียนเท่านั้นที่อยากจะรู้ให้ชัดเจน มู่ฝานจวินและคนอื่นๆ ก็อยากจะรู้เช่นกัน แต่ละคนจึงจ้องมองปฏิกิริยาของอวิ๋นอ้าวเทียน
เห็นเพียงอวิ๋นอ้าวเทียนขมวดคิ้วทำท่าตั้งใจฟังในตอนแรก จากนั้นก็ทำสีหน้าร่าเริงปลอดโปร่ง และบางครั้งดวงตาก็ฉายแววดีใจแทบบ้า สุดท้ายก็หลับตาลง สีหน้าท่าทางเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง
เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ปล่อยออกมาจากตัวอวิ๋นจือชิว ก็รู้ว่านางกำลังถ่ายทอดเสียง มู่ฝานจวินและอีกสามคนรู้สึกคันไม้คันมือเหมือนโดนเท้าแมวเกาสะกิด พวกเขาเข้าใจอวิ๋นอ้าวเทียนดีเกินไปแล้ว รู้ว่าอวิ๋นอ้าวเทียนมีนิสัยเหมือนชื่อ เป็นผู้ชายที่หยิ่งในศักดิ์ศรีในระดับหนึ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเหยียดหยามการโกหกแสดงละคร เขาไม่มีทางแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมาได้เหมือนขนาดนี้แน่นอน หมายความว่าเป็นไปได้เก้าในสิบว่าสิ่งที่อวิ๋นจือชิวพูดเป็นความจริง
ชั่วพริบตานี้ ทั้งสี่คนแอบสบตากันโดยจิตใต้สำนึก ถ้าให้อวิ๋นอ้าวเทียนได้วิชามารภาคดินไป จะไม่แย่หรอกเหรอ?
ชั่วอึดใจนี้ ในใจทั้งสี่แอบเกิดความคิดสังหาร แต่พอมองดูรอบๆ แล้วเห็นพวกสงเวยที่สวมเกราะรบ ทั้งยังมีสิ่งที่เหมียวอี้พูดไว้ก่อหนน้านี้ด้วย หากพลาดพลั้งขึ้นมา หากเจอคนพวกนี้ร่วมมือกับอวิ๋นอ้าวเทียนโจมตีกลับขึ้นมา คนที่ดวงซวยก็อาจจะกลายเป็นพวกเขาเอง
เหมียวอี้กวาดสายตามองพวกเขาแวบหนึ่ง พอจะเดาเจตนาของพวกเขาออกอยู่บ้าง
“ทำไมไม่ท่องแล้วล่ะ ต่อสิ!”
อวิ๋นจือชิวที่กำลังท่องเคล็ดวิชาพลันหยุดกะทันหัน อวิ๋นอ้าวเทียนที่ได้สติกลับมาพูดเร่งทันที
อวิ๋นจือชิวยิ้มเจื่อนพร้อมตอบว่า “ท่านปู่คะ ท่องนิดหน่อยให้ท่านรู้ว่าจริงหรือปลอมก็พอแล้ว”
อวิ๋นอ้าวเทียนราวกับโดนตะคริวกินใบหน้า ไม่หน้าเชื่อว่าบนตัวจะมีปราณมารลอยขึ้นมา เกิดอารมณ์วู่วามอยากจะลงมือ เลิกคิ้วกล่าวว่า “นางหนู ตระกูลอวิ๋นไม่ได้ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร้ความยุติธรรมนะ!”
นี่เป็นการเตือนอวิ๋นจือชิวว่าอย่าลืมตระกูลของตัวเอง ไม่อย่างนั้นเขาก็อาจจะไม่เกรงใจ
เหมียวอี้ยื่นมือดึงตัวอวิ๋นจือชิวมาไว้ข้างหลังตัวเอง แล้วแสยะยิ้ม “อวิ๋นอ้าวเทียน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าท่านจะฆ่าพวกเราได้หรือเปล่า จะบอกสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อน ตอนออกจากตำหนักสวรรค์มาข้าก็เตรียมแผนสำรองไว้เหมือนกัน ถ้าข้าไม่ได้กลับไปตามกำหนดเวลา ทางตำหนักสวรรค์ก็จะสืบหาทันที จะตามหาที่นี่เจอจากเบาะแสของข้า ถ้าวุ่นวายจนทำให้คนของตำหนักสวรรค์มาถึงที่นี่ พวกท่านก็เป็นแค่มดในสายตาพวกเขาเท่านั้น การกำจัดพวกท่านทำได้โดยไม่ต้องกะพริบตาด้วยซ้ำ ถ้าอยากได้เคล็ดวิชาส่วนหลังจริงๆ ก็ไปหาเอาเองที่พิภพใหญ่ อย่ามาเล่นไม่ซื่อกับพวกเรา พวกท่านเล่นไม่ไหวหรอก!”
“ปีศาจเฒ่า แย่งของจากหลานสาวตัวเองนับว่ามีความสามารถอะไร” มู่ฝานจวินกล่าว
“อวิ๋นอ้าวเทียน สืบเรื่องพิภพใหญ่ให้แน่ชัดก่อนเถอะ” ซือถูเซี่ยวกล่าวเสียงเย็น
“ประเสริฐแท้!”
“ใช่แล้ว!”
ฉางเหลยและจีฮวนแสดงท่าทีแล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่อยากให้อวิ๋นอ้าวเทียนได้เคล็ดวิชาส่วนหลังไปเร็วขนาดนี้
“เฮอะ!” อวิ๋นอ้าวเทียนพ่นเสียงใส่ สายตาจ้องไปที่เหมียวอี้ “ตกลง! แต่ต้องรอให้คนของข้าไปพิภพใหญ่เพื่อยืนยันก่อน รอให้ข้าไปที่พิภพใหญ่ด้วยตัวเอง ค่อยมอบของให้เจ้า”
“ไม่ไว้หน้าท่านปู่ไม่ได้หรอก ในเมื่อท่านปู่พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าเองก็ไม่ทำให้น้องชิวลำบากใจเหมือนกัน!” เหมียวอี้พยักหน้าตอบตกลง เขากลัวเสียที่ไหนล่ะ ถ้ามาถึงอาณาเขตตัวเองแล้วลองไม่มอบให้สิ
เสร็จแล้วก็หันไปมองพวกมู่ฝานจวินอีก แล้วกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม “พวกท่านเองก็เลิกคิดอะไรบ้าๆ อย่างเช่นฆ่ากันเองในหมู่คณะ ที่พิภพใหญ่มีสถานที่มากมายที่คล้ายกับพิภพเล็ก อย่าเรื่องโง่ๆ อย่างเช่นแข่งขันกันระหว่างหกปราชญ์ หลังจากไปแล้วพวกท่านก็จะรู้ว่าตัวเองน่ะเล็กน้อยแค่ไหน ระหว่างพวกท่านไม่มีอะไรให้แข่งกันโดเด่นเลย ถึงตอนนั้นต่อให้สั่งให้พวกท่านจะแข่งขันกัน พวกท่านก็อาจจะไม่มีกะจิตกะใจจะแข่งด้วยซ้ำ อย่าพูดจาเหลวไหล ฮูหยินของข้าต้องการเคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานที่เป็นภาคคน อวิ๋นอ้าวเทียนก็ตอบตกลงแล้ว พวกท่านล่ะ? มีอะไรที่พอจะนำออกมาได้บ้าง?”
มู่ฝานจวินและคนที่เหลือพูดไม่ออกมาก เงินทอง อำนาจ อิทธิพลและอาณาเขตเจ้าก็ไม่เอา แล้วพวกเราจะให้อะไรเจ้าได้ล่ะ?
“ข้าทำเหมือนอวิ๋นอ้าวเทียนก็ได้ จัดการเหมือนที่เจ้าตกลงกับเขา ถึงตอนนั้นจะมอบเคล็ดวิชาวิญญาณหยินเชื่อมหยางที่เป็นภาคคนให้เจ้า” ซือถูเซี่ยวกล่าว
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะไม่ทำแล้ว “ข้ายอมรับนะว่าถ้าอยู่ที่พิภพใหญ่ เคล็ดวิชาฝึกตนของพวกท่านนับว่าไม่เลว แต่ข้าไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาฝึกตนมากมายขนาดนั้น เอามากินแทนข้าวไม่ได้เลย อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าปาดคอตัวเองให้กลายเป็นนักพรตผีเพื่อฝึกวิชาของท่าน? เคล็ดวิชาเส็งเคร็งนั่นน่ะ ท่านเก็บไว้ใช้เองเถอะ ข้าไม่สนใจ!”
ซือถูเซี่ยวพูดไม่ออกแล้ว ของที่ข้าเห็นว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุด เจ้ายังไม่ชายตาแลเลย จึงกล่าวเสียงต่ำทันทีว่า “เจ้าเองก็บอกแล้วว่าเมื่ออยู่ที่พิภพใหญ่ เคล็ดวิชาฝึกตนของข้านับว่าไม่เลว เอาไปแลกกับทรัพยากรฝึกตนก็พอได้อยู่หรอกมั้ง?”
เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนอยากขำ “ซือถูเซี่ยว พวกเจ้าก็ไม่เคยได้เห็นโลกภายนอกเหมือนกันนะเนี่ย เลยคิดว่าเคล็ดวิชาของตัวเองล้ำค่า เดี๋ยวตอนหลัง ให้คนของเจ้าไปสืบข่าวที่พิภพใหญ่สักหน่อย ดูว่าใครจะกล้านำเคล็ดวิชาฝึกตนของพวกเจ้าไปแลกทรัพยากรฝึกตนได้บ้าง ข้าไม่ได้มีความกล้าขนาดนั้น นอกเสียจากจะเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่ต่อเท่านั้นแหละถึงจะทำ ถ้าเจ้ากล้าเอาออกมาโอ้อวด ข้าจะตัดหัวเอาให้เจ้าไปเล่นได้ตามสบายเลย อวิ๋นอ้าวเทียนเป็นท่านปู่ เป็นคนในครอบครัว ข้าเห็นแก่หน้าฮูหยินถึงได้ตอบตกลง ข้าไม่ได้เป็นญาติสนิทมิตรสหายกับเจ้า เจ้านับว่าแก่กว่ากี่ปี? เคล็ดวิชาเส็งเคร็งนั่นเจ้าเอาไว้เล่นเองเถอะ ข้าไม่สนใจหรอก!”
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น