ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 111-114
ตอนที่ 111 ชนแลมโบกินี่พังเสียแล้ว
ตู๋กูซิงหลันกอดซุ่นเอ๋อร์เอาไว้ พลางยืดตัวขึ้นตรงดุจพู่กันแท่งหนึ่ง วางท่าเสมือนว่านางทั้งเก่งทั้งเท่ห์อย่างเต็มที่
เด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกอุ้มไว้ยังไม่ลืมปิดทองให้นางอย่างเต็มที่ “ท่ายย่าน้อยของข้าเก่งที่สุดอยู่แล้ว เก่งยิ่งกว่าเซียนหญิงคนไหนๆ อีก! “
จากนั้นเด็กหญิงตัวน้อยก็ยกนิ้วขึ้นมา ชี้ใส่รองมหาเสนาฯ และพวก “ท่านย่าน้อย พวกเขาทำร้ายท่านพ่อของซุ่นเอ๋อร์จนตาย ซุ่นเอ๋อร์จะให้พวกเขาชดใช้! “
ตู๋กูซิงหลันกวาดตามองออกไปได้แต่ยิ้มอ่อนให้กับรองมหาเสนาฯ และเสียนไท่เฟย “ทั้งสองท่าน ก่อนหน้านี้เราได้เตือนพวกท่านแล้ว ต้นเหมยต้นนี้ล้ำค่าเหลือคณา ไม่อาจกระทบได้โดยง่าย ของขวัญที่เราตั้งใจจะมอบให้ท่านหญิงเนื่องในวันแต่งตั้งกลับถูกพวกท่านทั้งสองทำลายจนกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว และนี่ยิ่งเป็นความต้องการของท่านหญิงน้อยเอง พวกท่านก็ชดใช้เสียเถอะ”
สายตาของทั้งเสียนไท่เฟยและรองมหาเสนาฯ ต่างก็มืดครึ้มลง
” ผู้หนึ่งเป็นไท่เฟยที่ได้ชื่อว่ามีคุณธรรมสูงส่ง ผู้หนึ่งก็เป็นถึงรองมหาเสนาบดีในราชสำนัก คงไม่ใช่ว่าความกล้าจะยอมรับแค่นี้ก็ยังไม่มีกระมัง? ” ตู๋กูซิงหลันหัวเราะเสียงเย็น นางหันไปมองดูต้นเหมยต้นนั้นพลางยู่ปาก “จุ๊ๆ ดอกเหมยบนต้นถูกสะเทือนเสียจนร่วงลงมาเกือบหมด แม้แต่รากยังถูกกระชากขาดถึงเพียงนี้ ช่างตายอย่างน่าเสียดายจนเราปวดใจจริงๆ “
“แงๆๆ ท่านพ่อตายอย่างน่าอนาถนัก! ” ซุ่นเอ๋อร์เองก็น้ำตาร่วงเช่นกัน
ผู้คนทั้งหลาย “………” นั่นมันจะอย่างไรก็แค่ต้นไม้ต้นหนึ่ง ใช่ผีท่านพ่อเสียที่ไหนกัน!
องค์หญิงใหญ่มองตามไป พอซุ่นเอ่อร์ปลอดภัยไร้เรื่องราว นางก็สงบสติลงเยือกเย็นได้ ก่อนหน้านี้เพราะความเจ็บปวดจากความคิดที่ว่าได้สูญเสียธิดารักไป จึงได้บดบังสติปัญญาของนางไปสิ้น ยามนี้เมื่อมาคิดดูให้ละเอียดละออ ถึงได้รู้สึกว่าตนเองกำลังถูกหลอกใช้เสียแล้ว
มีคนคิดจะหลอกใช้นางและซุ่นเอ๋อร์มาให้ร้ายไทเฮา
คนผู้นั้นต่างหากถึงจะเป็นฆาตกรควักหัวใจ ดื่มโลหิต ที่แท้จริง
และเมื่อมองดูต้นเหมยที่ ‘ชอกช้ำปางตาย’ ต้นนั้น ก็ยิ่งทำให้คิดถึงราชบุตรเขยขึ้นมา…….
ไม่ว่าเรื่องอักขระดึงดูดดวงจิตนี้จะเป็นจริงหรือไม่ ต้นเหมยต้นนี้ก็คือความหวังและความคะนึงหาของซุ่นเอ๋อร์ แต่กลับถูกผู้คนทำลายลงเช่นนี้ นางเองก็ไม่อาจจะทนได้เช่นกัน
ดวงเนตรของนางปรากฎเส้นเลือดขึ้นมา นางคว้าดาบขึ้นมาเดินถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน คราวนี้ย่อมไม่ใช่การหันดาบเข้าใส่ตู๋กูซิงหลันอีกแล้ว
ภายใต้สายตาของผู้คนทั้งหลาย ดาบนั้นก็ชี้เข้าใส่ท่านรองมหาเสนาฯ และเสียนไท่เฟย ” ขอทั้งสองท่านชดใช้มา! เดี๋ยวนี้เลย! “
เสียนไท่เฟยสีหน้าซีดขาว รองมหาเสนาฯ ก็ท่าทางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
” ก็แค่ต้นเหมยต้นหนึ่งไม่ใช่หรือ ไยจะต้องจริงจังถึงเพียงนี้……” รองมหาเสนาฯ ขมวดคิ้วมุ่น เขาเองก็คาดไม่ถึง เหตุการณ์เบื้องหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ เมื่อครู่ทุกคนต่างก็พึ่งจะร่วมมือกันจัดการนางปีศาจตู๋กูซิงหลันนั่นไม่ใช่หรือ?
ทำไมเพียงชั่วแวบเดียวกลับหันหอกกลับมาใส่เขาและเสียนไท่เฟยได้กัน?
“ไทเฮา เสียนไท่เฟยจะอย่างไรก็เคยดูแลท่านดุจมารดาแท้ๆ มาก่อน ก่อนหน้าเมื่อครู่ก็เพียงแต่ร้อนใจเพราะเกรงว่าท่านหญิงน้อยจะเกิดเรื่องเท่านั้นเอง ท่านจะทำเป็นไม่รู้จักบุญคุณได้อย่างไร หนี้เล็กๆ เพียงแค่นี้ก็จะต้องคิดให้ได้? ” รองมหาเสนาฯ คิดจะใช้ความฉลาดเจ้าเล่ห์ของตนเอาตัวรอดอย่างสวยงาม “ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อท่านมีความสามารถมากนัก ก็ปลูกต้นเหมยให้ท่านหญิงน้อยใหม่อีกครั้งก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ? “
คราวนี้ตู๋กูซิงหลันอยากจะหัวเราะบ้างแล้ว ไม่พบกันเพียงไม่นาน ความสามารถในเชิงไร้ยางอายของท่านรองมหาเสนาฯ ถึงกับงอกเงยเพิ่มขึ้นแล้ว
ไอ้ความคิดประเภทที่ว่า ‘ในเมื่อเอ็งร่ำรวยนัก ถึงพวกข้าจะชนแลมโบกินี่ของเอ็งพังไปแล้ว เอ็งก็ไปซื้อใหม่อีกคันดิ ทำไมจะต้องมาตามจี้เอากับพวกจนๆ แบบตรูด้วย’
ช่างกล้าคิดกล้าทำกันออกมาได้นะ!
นางมองดูด้วยสายตาเย็นชา ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก พลันได้ยินสุรเสียงของฮ่องเต้ที่รับสั่งอออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ” เหลวไหลสิ้นดี! “
ผู้คนทั้งหลายต่างตกตะลึงไปแล้ว ต่างก็รีบหันไปมองดูด้านในห้อง แม้จะได้ยินแต่เสียงโดยไม่เห็นหน้า แต่ว่าทำไมถึงได้รู้สึกว่าคล้ายคลึงกับ…..ฮ่องเต้?
ยามนี้พวกเขาถึงได้คิดขึ้นมาได้ว่า ดูเหมือนหลี่กงกงและเหล่าองครักษ์ของวังหลวงต่างก็น้อมรออยู่ที่ระเบียงยาวนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
ตอนแรกพวกเขาคิดกันว่าหลี่กงกงและเหล่าราชองครักษ์มารอเฝ้าไทเฮา คิดไม่ถึงว่า ฮ่องเต้เองก็เสด็จมาแล้ว?
อีกทั้งยังประทับอยู่ในห้องส่วนตัวของไทเฮาอีกด้วย?
แสดงว่าเมื่อครู่ที่พวกเขาพากันอึกทึกครึกโครมกันอยู่ที่ด้านนอก ฮ่องเต้กลับทรงประทับดูงิ้วนี้อยู่ด้านใน?
” นี่เท่ากับว่าเห็นผู้อื่นเป็นลิงเป็นค่างกันหมดหรือไง เขากลับดูงิ้วอย่างสนุกสนาน” มีแต่หยวนเฟยที่กล้าส่งเสียงเบาๆ ด้วยความแค้น
เจ้าฮ่องเต้ผู้นี้ เขามันไม่ใช่คน!
มีอย่างที่ไหนปล่อยให้แม่ของตนเองออกมาสู้ศึกตีฝีปากอยู่เพียงผู้เดียวกัน?
พอเรื่องราวคลี่คลายลงไปกว่าครึ่ง หึ เขาถึงได้โผล่ออกมา
หยวนเฟยวิจารณ์เขาอย่างเผ็ดร้อนอยู่ภายในใจ
หลี่กงกงที่รอคอยอยู่นานจนดอกไม้แทบจะจะร่วงลงมาหมดแล้ว ก็รีบพาเหล่าองครักษ์เข้าไปด้านใน ทั้งยังส่งเสียงคร่ำครวญอย่างยืดยาวรอบหนึ่ง “ฝ่าบาทพะยะค่ะ~”
พอเข้าไปข้างในห้องเขาถึงได้เห็นว่าฝ่าบาทเหงื่อท่วมองค์ พระพักตร์ดำคล้ำ นอนเอนอยู่บนเก้าอี้กุ้ยเฟย ที่ด้านข้างของเก้าอี้ยังมีแตงหวานจานใหญ่ที่ยังเสวยไม่หมดอยู่ด้วย
หลี่กงกงรีบร้อนเข้ามาก็ปากไว “ฝ่าบาท พระองค์ทรง…..ปวดเบาใช่ไหมพะยะค่ะ?
เขาเคยฟังมาว่า แตงหวานกินมากเกินไปทำให้ปวดปัสสาวะได้ง่าย
ไม่น่าละเมื่อครู่ฝ่าบาทถึงได้ไม่ทรงยอมรับสั่ง จะต้องเป็นเพราะทรงรู้สึกไม่สบายท้อง คิดจะเข้าห้องน้ำ แต่กว่าไม่สะดวกพระทัยจะตรัสออกมา
” เจ้าหุบปากให้เราเดี๋ยวนี้! ” จีเฉวียนทรงไม่เข้าพระทัยจริงๆ ว่าทำไมตนเองถึงได้ยอมเลี้ยงดูบ่าวที่โง่เหมือนหมูอยู่ได้!
ตรัสแล้ว พระองค์ก็มีรับสั่งให้กับเหล่าราชองค์รักษ์ “พาเราออกไป ไปพร้อมๆ กับเก้าอี้นี่ด้วย! “
เหล่าองครักษ์ทั้งหลายต่างหน้าตาเลิ่กลั่ก ต่างก็แอบคิดในใจว่าฝ่าบาทยิ่งทียิ่งรู้จักตบตาแล้ว
ผู้คนทั้งหลายต่างเห็นเพียงแต่ฮ่องเต้ทรงถูกเหล่าองครักษ์ยกออกมาจากภายในห้อง เก้าอี้กุ้ยเฟยที่สวยงามและดูภูมิฐานนั้นช่างเตะตาเหลือเกิน
เมื่อรวมเข้ากับฉลองพระองค์ที่หรูหรางดงามของฝ่าบาทแล้ว ก็ดูกลมกลืนกันอย่างบอกไม่ถูก
“ถวายพระพรฝ่าบาท! ” ผู้คนทั้งหลายต่างคุกเข่าลงไปในทันที เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ช่างเกินกว่าจะจินตนาการเสียจริงๆ
ฮ่องเต้ผู้ทรงสูงศักดิ์หาใดเทียบ ได้แต่ทนต่อความเจ็บปวดที่ยังไม่ยอมจางหายไป โบกพระหัตถ์ให้คนทั้งหลายได้ลุกขึ้นมา
หัวเข่าชราของท่านรองมหาเสนาฯ มักจะมีปัญหา เขาลุกขึ้นมาเกือบจะเป็นคนสุดท้าย พอเขาพึ่งจะยันหัวเข่าได้ ก็ถูกฝ่าบาทเรียกเอาไว้เสียก่อน “รองมหาเสนาฯ ในเมื่อเจ้าชอบคุกเข่านัก ถ้างั้นก็คุกเข่าต่อไปอีกสักพักเถอะ เราเข้าใจจิตใจที่ภักดีของเจ้า”
ท่านรองมหาเสนาฯ ที่ลุกขึ้นได้ครึ่งหนึ่งแล้ว “??? “
แต่ว่าฮ่องเต้กลับทรงไร้น้ำใจยิ่งนัก สายพระเนตรที่ทอดมองเขาเพียงแวบเดียวนั้นแทบจะทำให้ตัวของเขากลายเป็นแท่งน้ำแข็งไป
ขาทั้งสองข้างของเขาอดที่จะสั่นสะท้านไม่ได้ เพียงครู่เดียงก็คุกเข่าลงไปใหม่
ตู๋กูซิงหลันมองดูเจ้าลูกชายตัวร้ายที่นั่งอยู่ด้านข้างของนาง เพียงครู่เดียวก็คิดไขปัญหาหนึ่งขึ้นมาได้ เจ้าฮ่องเต้สุนัขผู้นี้ไม่ออกมาก่อนไม่ออกมาหลัง กลับจะออกมาตอนที่นางกำลังต่อรองค่าชดใช้ แน่นอนว่าต้องคิดจะมาแบ่งสมบัติ …….หึ คิดจะริบเอาทรัพย์สินของนางอีกแล้ว!
“ท่านน้าฮ่องเต้ ” พอซุ่นเอ๋อร์มองเห็นจีเฉวียน ก็เรียกออกไปเบาๆ แต่ไหนแต่ไรมานางก็มีความกลัวเกรงท่านน้าผู้นี้อยู่บ้าง ยามปกตินางย่อมไม่กล้าเข้าใกล้เขา นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่นางได้เข้าเฝ้าและมองดูท่านน้าผู้สูงศักดิ์อย่างใกล้ชิดเพียงนี้ นางอดรู้สึกไม่ได้ว่า ท่านน้าและทานย่าน้อยช่างดูเหมาะสมกันอย่างยิ่ง
ต่างก็งดงามหน้าดูเป็นพิเศษ!
พอได้ยินเสียงของซุ่นเอ๋อร์ จีเฉวียนก็ตรัสตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างยากที่จะหาได้ พระพักตร์ที่เย็นชาดุจน้ำแข็งพันปีก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย “เด็กดีที่เชื่อฟัง น้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าเอง จะให้พวกเขาชดเชยท่านพ่อให้เจ้าอย่างแน่นอน”
“อืม เจ้าค่ะ” ซุ่นเอ๋อร์พยักหน้า “ขอบพระทัยท่านน้าฮ่องเต้เพคะ! “
พอนางพูดจบแล้ว ก็เห็นจีเฉวียนทรงยกพระหัตถ์ขึ้นมาจับชายลูกปัดบนพระมาลา จากนั้นก็หันไปมองรองมหาเสนาฯ รอบหนึ่ง “ต้นเหมยต้นนั้นดูดซับจิตวิญญาณธรรมชาติบนเขาชิงซานมากว่าร้อยปี ไทเฮามาขอร้องเราด้วยพระองค์เอง รองมหาเสนาฯ เจ้าลองค่อยๆ คิดคำนวนดู ว่าจะชดใช้อย่างไรเถอะ”
ผู้คนทั้งหลายต่างก็ได้แต่มองดูต้นเหมยที่หนากว่าข้อมือของเด็กหญิงอยู่เล็กน้อย
ฝ่าบาท? ต้นไม้นั้นดูยังไงก็คงมีอายุไม่เกินห้าหกปี ที่บอกว่ามีมาตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อน ทั้งยังมีจิตวิญญาณคอยช่วยเลี้ยงดู คุณธรรมในจิตใจของพระองค์ไม่ได้ทำให้รู้สึกเจ็บปวดบ้างเลยหรือ? “
ตอนที่ 112 ฝ่าบาททรงเข้าข้างไทเฮาอย่า...
ที่จริงแล้วภูเขาฮวาชิงอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงของต้าโจวมาก หากจะขนต้นไม้สักต้นมาจากที่นั่น มีหวังคงได้กลายเป็นท่อนฟืนไปตั้งแต่แรกแล้ว
ผู้คนทั้งหลายต่างอดไม่ได้ที่จะย้อนคิดไปถึงตอนนั้น ที่ฝ่าบาทตรัสถ้อยรับสั่งแสบร้อนแล้วริบเอาทรัพย์สินทั้งหมดของบ้านท่านรองมหาเสนาฯ ไป
ท่านรองมหาเสนฯ าช่างโชคร้ายเสียจริงๆ ถูกใครไถเงินไม่ว่า แต่คนผู้นั้นกลับเป็นฝ่าบาท
ผู้ใดกล้าจะกล่าวว่าฝ่าบาททรงผิดได้บ้างละ?
ยามนี้ท่านรองมหาเสนาฯ คุกเข่าอยู่บนพื้น ทั่วทั้งร่างสั่นสะท้านเขาคิดไปถึงว่าข้าวของในบ้านแม้แต่กระโถนฉี่ทองทำยังถูกฝ่าบาทสั่งริบไปแล้ว
ทุกวันนี้เหล่าญาติพี่น้องที่เคยรักใคร่เขาจะเป็นจะตาย ต่างก็พากันม้วนเสื่อหนีหน้าหายไปในคืนเดียว เขาในตอนนี้นอกจากตำแหน่งขุนนางและชีวิตชราๆ แล้ว ยังจะมีอะไรเหลืออยู่อีก
เดิมทีหนิงเอ๋อร์จะอย่างไรยังนับว่าเป็นถึงพระสนมผู้หนึ่ง ตอนนี้กลับถูกตู๋กูซิงหลันให้ร้ายจนต้องเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น บรรดาลูกน้องของตนเองพวกนั้นแต่ละคนต่างรู้ทางลมทั้งนั้น พอเห็นว่าเขาหมดอำนาจ ลูกสาวเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น แต่ละคนต่างก็คิดหาหนทางไปให้พ้นจากการควบคุมของเขา
โดนเฉพาะบิดาของฉีผิงนับเป็นตัวอย่างอันดี ไม่มีคิดถึงบุญคุณที่เขาสนับสนุนให้ก้าวหน้ามาตลอดหลายปี เพราะเรื่องที่ฉีผิงได้รับความทรมานในคุก ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดตั้งตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเขา
พวกที่เคยขยันมาประจบประแจงเขาอยู่เสมอ ยามนี้ต่างก็แทบจะรีบออกห่างเขาให้ไกล
หมากตานั้นของฝ่าบาท เสมือนกับการถอนฟืนจากเตาไฟ ทำลายรากฐานที่สะสมมาของเขาจนหมด
ยามนี้ หากยังทรงจัดการกับเขา ดูท่าแม้แต่ชีวิตชรานี้ก็คงต้องจบสิ้นแล้ว?
พอคิดถึงตรงนี้ ท่านรองมหาเสนาฯ ก็เกิดความหวาดกลัวขึ้นมา
เขาจะต้องรักษาหมวกขุนนางและชีวิตชราของตนเอาไว้ให้ได้ จึงจะมีโอกาสผงาดขึ้นอีกครั้ง
“ฝ่าบาท กระหม่อมยามนี้ไม่เหลือทรัพย์สินใดๆ ติดตัวอีก ต้นเหมยต้นนี้คงไม่อาจชดใช้ให้ได้แล้ว” รองมหาเสนาฯ น้ำตาร่วง “ขอฝ่าบาทโปรดเมตตา รำลึกถึงความลำบากที่กระหม่อมเคยทำเพื่อต้าโจว ละเว้นกระหม่อมสักครั้งเถอะพะยะค่ะ”
” อย่างเจ้าเคยมีผลงานที่ไหนกัน เคยไปออกรบชายแดนหรือ มีแต่จะโกงกินรีดไถบ้านเมืองมากกว่าละมั้ง? ” หยวนเฟยช่างจดจำความแค้นอยู่แล้ว ทั้งยังชอบโยนหินลงบ่ออีกด้วย นางย่อมรีบออกมาต่อว่ารองมหาเสนาฯ อย่างโกรธแค้น
เต๋อเฟยกับนางกำนัลประจำตัวซิ่วเหอไม่ใช่เคยพูดอยู่หรอกหรือว่า นางที่ไม่มีบิดามารดาไม่มีทางเข้าอกเข้าใจความรู้สึกภาคภูมิใจของคนที่ได้ทำเพื่อบุตรธิดาหรอก นางไม่อยากรู้หรอกว่า มีบิดาอย่างรองมหาเสนาฯ เช่นนี้ มันน่าภาคภูมิใจตรงไหน
รองมหาเสนาฯ กระอักเลือดลงไปบนอกคำหนึ่ง เขาแทบจะอยากให้สายตาของตนเองกลายเป็นดาบแทงหยวนเฟยให้ตายๆ ไปเสีย
ตู๋กูซิงหลันเหลือบมองหยวนเฟยแว่บหนึ่ง หึ ท่าทางของนางที่ช่างจดจำความแค้นนี้ก็น่ารักดีอยู่ไม่น้อย
ว่าแล้ว นางก็หันไปมองดูรองมหาเสนาฯ อยู่ครู่หนึ่งยกยิ้มเบาบางให้เขา
รองมหาเสนาฯ พลันรู้สึกว่าร่างกายเหน็บหนาวขึ้นมาในทันที เกิดความรู้สึกราวกับว่ากำลังตกอยู่ในสงครามขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ รอยยิ้มของนางปีศาจตนนี้ราวกับจะเอาชีวิตของเขา!
เขารีบเบิกตาโต กลับเห็นเพียงฮ่องเต้ยังคงทำพระพักตร์ไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม อีกทั้งยังเพิ่มความเย็นชาอยู่หลายส่วน พอเห็นว่าฝ่าบาทกำลังจะตรัสออกมา เขาก็เกิดปฎิภาณวูบหนึ่ง หันศีรษะไปทางเสียนไท่เฟยที่ยืนกำร่มอยู่ด้านข้าง
“เสียนไท่เฟยพะยะค่ะ ก่อนหน้านี้ทรงรับสั่งว่า หากมีปัญหาพระองค์จะทรงชดใช้นี่ คำพูดนั้นทุกคนล้วนได้ยินชัดเจน”
เรื่องถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่คิดจะรักษาหน้าตาอะไรอีกแล้ว หากว่ายังสามารถผลักหม้อดำออกไปได้ย่อมต้องผลักไปให้เต็มที่ แม้จะต้องล่วงเกินเสียนไท่เฟยก็ตามเถอะ จะอย่างไรต้องรักษาชีวิตตนเองเอาไว้ให้ได้เสียก่อน
พอท่านรองมหาเสนาฯ กล่าวออกไป ผู้คนทั้งหลายต่างมองเขาด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่า คนที่เป็นชาติบุรุษผู้หนึ่ง กลับผลักความผิดมาให้สตรีอย่างไร้ยางอายได้เช่นนี้ ถึงแม้ว่าว่าเสียนไท่เฟยจะเคยพูดเช่นนั้นจริงๆ ก็ตามเถอะ
เสียนไท่เฟยถือร่มยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง นางทอดถอนใจยาวเหยียด ก็หันมาคำนับจีเฉวียนครั้งหนึ่ง “ฝ่าบาท ยามนั้นหม่อมฉันกังวลในความปลอดภัยของท่านหญิงน้อยมากเกินไป ถึงได้สั่งให้นางกำนัลขุดต้นไม้ต้นนั่น เป็นหม่อมฉันหวังดีแต่กลับทำเสียเรื่อง หม่อมฉันยอมรับผิดเพคะ”
นางยืดตัวตรง ไม่อ่อนแอแต่ก็ไม่แข็งขืน ทั้งยังมิได้แก้ต่างให้ตนเอง แสดงให้เห็นถึงธาตุแท้ที่แข็งแกร่ง
ผู้คนต่างก็รู้ว่า เสียนไท่เฟยคืออดีตนางกำนัลประจำตัวของฉางซุนฮองเฮา ผู้ที่ติตามพระนางได้ย่อมไม่ธรรมดา ถึงแม้มีพื้นเพเป็นนางกำนัล แต่ความกล้าหาญเช่นนนี้ก็นับว่าไม่อาจลบหลู่ได้
เมื่อนางกล้ายอมรับอย่างองอาจ ก็ย่อมดูดีกว่ารองมหาเสนาฯ ผู้นั้นมากมายนัก
ตรัสแล้ว เสียนไท่เฟยก็หันไปทางตู๋กูซิงหลันกล่าวว่า “ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้ามีอยู่ หากสามารถชดเชยให้ได้ย่อมต้องชดเชยให้ ไทเฮารับสั่งมาเถอะ ต้องการให้หม่อมฉันทำเช่นไร? “
ตู๋กูซิงหลันยิ้มบางๆ “ไท่เฟยกล่าวเช่นนี้ ราวกับว่าเราช่างคิดเล็กคิดน้อย เพียรตามตื้อจะเอาให้ได้”
เมื่อเปรียบเทียบกับเต๋อเฟยแล้ว ตำแหน่งของเสียนไท่เฟยนับว่าสูงส่งกว่ามาก คำพูดคำจาก็รวบรัดไร้ช่องโหว่ ทั้งที่ยอมรับความผิด กลับสามารถทำให้ผู้คนต่างรู้สึกว่านางมิได้กระทำผิดในที่ใด อีกทั้งยังมีน้ำใจองอาจกล้าทำกล้ารับ
คนผู้นี้ยังสามารถทำให้ผู้คนต่างเห็นอกเห็นใจนาง ใช่สิ อย่างมากก็เป็นเพียงแค่หวังดีแต่กระทำพลาดไปเท่านั้น
เหล่าผู้คนที่เกลียดนางเป็นทุนเดิมต่างก็คิดหัวเราะเยาะนาง ตู๋กูซิงหลันทำเช่นนี้ยังไม่เรียกว่าคิดเล็กคิดน้อยอีกหรือ ก็แค่ต้นไม่เพียงต้นเดียวกลับต้องฟ้องร้องเสียจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต
เรื่องนี้อย่างมากก็เป็นแค่การสร้างเครื่องรางเท่านั้น เครื่องรางนี้จะใช้ได้ผลหรือไม่ใครจะไปรู้กัน
เพียงแต่พวกเขาในตอนนี้ยังไม่มีความกล้า และไม่คิดจะเสี่ยงไปหาเรื่องตู๋กูซิงหลันก็เท่านั้น
ตู๋กูซิงหลันเองก็ยังไม่ได้หาเรื่องสร้างความยากลำบากใดให้กับเสียนไท่เฟย กลับเห็นฮ่องเต้ทรงหรี่พระเนตรหงส์จ้องมองไปทางเสียนไท่เฟย “เป็นหนี้ต้องคืนเงิน ฆ่าคนก็ชดใช้ชีวิต ทำลายสิ่งของย่อมต้องชดใช้ นี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเองก็เป็นคนเอ่ยปากเองว่าจะชดใช้ให้”
“ในเมื่อให้สัญญาไปแล้วว่าจะชดใช้ ก็กระทำให้ชัดเจนเสียหน่อย รีๆ รออยู่ได้เพื่ออะไร? “
“ยิ่งไปกว่านั้น ไทเฮาทุ่มเทเวลาและจิตใจไปตั้งเท่าไหร่เพื่อตระเตรียมของขวัญสำหรับพิธีแต่งตั้งให้ซุ่นเอ๋อร์ หากไม่ใช่ว่านางไม่ได้รับความเป็นธรรม แล้วเจ้าจะมาไม่ได้รับความเป็นธรรมตรงไหนกัน? “
พระดำรัสนี้กล่าวออกไปอย่างไร้เยื่อไย ราวกับว่าสตรีตรงเบื้องพระพักตร์มิใช่ไท่เฟยที่สูงศักดิ์มาจากไหน หากแต่เป็นเพียงนางกำนัลธรรมดาผู้หนึ่ง
ผู้คนทั้งหลายต่างคาดไม่ถึงว่า ฝ่าบาทจะทรงให้ท้ายไทเฮาถึงเพียงนี้
ถึงแม้ว่า….ในพระดำรัสของฝ่าบาทจะฟังดูแล้วไม่มีสิ่งใดที่ผิด แต่ว่าในใจของพวกเขาต่างก็ยึดถือเอาไว้แต่แรกแล้วว่าตู๋กูซิงหลันเป็นตัวหายนะ เป็นนางปีศาจ
เมื่อพูดถึงผู้ที่ในใจตนมีความเกลียดชังอยู่แต่เดิมนั้น อารมณ์ย่อมอยู่เหนือเหตผลทั้งมวลอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าตู๋กูซิงหลันจะกระทำสิ่งใด พวกเขาก็ไม่คิดจะชื่นชม
ตู๋กูซิงหลันเองก็แอบชะงักไปแล้ว นางมิใช่คนโง่ ย่อมต้องดูออกมาเจ้าฮ่องเต้สุนัขกำลังออกหน้าปกป้องนาง
ช่างไร้สาระ เขาจะไม่ปกป้องนางได้หรือ?
เจ้าฮ่องเต้สุนัขกำลังคิดถึงค่าตอบแทนที่เกินกว่าจะนับมูลค่าได้นั่นต่างหากเล่า?
มันก็เป็นแค่ยืนอยู่ฝ่าเดียวกันเพื่อผลประโยชน์ชั่วคราวเท่านั้น เขาที่เป็นพ่อไก่ขนเหล็ก เพียงแค่พูดจาไม่กี่ประโยคก็ได้รับผลประโยชน์แล้ว ย่อมจะต้องยินดีแน่
ตู๋กูจุนลองจับสังเกตจีเฉวียน ยิ่งรู้สึกชัดเจนขึ้นว่าเจ้าฮ่องเต้สุนัขกำลังคิดไม่ดีกับน้องเล็ก
เสียนไท่เฟยชะงักงันอยู่ชั่วครู่ การปฎิบัติที่จีเฉวียนมีต่อนางนั้นนางไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย เพราะตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ฮ่องเต้ทรงมองนางเป็นเพียงนางกำนัลประจำตัวฉางซุนฮองเฮาเท่านั้น
เพียงแต่นางกำลังแปลกใจที่เขาปกป้องตู๋กูซิงหลันถึงขั้นนี้
ทำไมท่าทีที่เขามีต่อตระกูลตู๋กูถึงได้แปรเปลี่ยนไป? หรือว่าเขาลืมไปแล้วว่าฉางซุนฮองเฮาสิ้นพระชนม์ไปได้อย่างไร?
พอนางได้เห็นว่าตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนกำลังสุมหัวอยู่ด้วยกัน ทั้งยังดูกลมกลืนอย่างไร้ที่ติ เสียนไท่เฟยพลันรู้สึกว่านางกำลังคำนวนสิ่งใดพลาดไปหรือไม่
” ฝ่าบาททรงสั่งสอนถูกต้องแล้วเพคะ เป็นหม่อมฉันกล่าวมากเกินความไปเอง ” เสียนไท่เฟยย่อมมีความสามารถคาดเดาจิตใจผู้คนเหนือธรรมดา “ไทเฮาทรงเอ่ยปากทั้งที ไม่ว่าทรัพย์สินเงินทองใดๆ แม้ต้องขายบ้านช่องจนหมดหม่อมฉันก็จะชดใช้ให้ท่าน”
ทันทีที่นางออกมา ตู๋กูซิงหลันก็ตอกย้ำกับนางว่า ” ไท่เฟย ไม่ใช่ชดใช้ให้ข้า แต่ว่าชดใช้ให้กับท่านหญิงน้อยต่างหาก”
ตอนที่ 113 สุนัขกัดกัน
” บิดาย่อมล้ำค่า ภูเขาเงินภูเขาทองใดๆ ก็ชดใช้ไม่ได้! ” ซุ่นเอ๋อร์ทำแก้มพองทั้งสองข้าง นางโกรธขึ้นมาแล้ว “ไท่เฟยทรงคิดจะใช้เงินมาลบหลู่ท่านพ่อของข้า! “
เสียนไท่เฟย “……..”
ประโยคนี้หากว่าตู๋กูซิงหลันพูดออกไปละก็ ผู้คนต่างก็ต้องคิดว่านางกำลังเสแสร้งเป็นแน่
แต่ว่าเมื่อเป็นท่านหญิงน้อยพูดออกมา ต่างก็คิดเพียงว่าเด็กน้อยผูกพันรักบิดาอย่างลึกล้ำ แม้แต่ภูเขาเงินภูเขาทองก็ไม่ยอมแลก
” ไท่เฟย จวนองค์หญิงของข้าไม่ขัดสนเงินทอง ท่านอย่าได้นำสิ่งของเหล่านั้นมาฟาดหัวพวกเรา ” สีพระพักตร์ขององค์หญิงใหญ่เปลี่ยนเป็นไม่น่าดูอย่างยิ่ง
ราชบุตรเขยคือความเศร้าโศกที่นางไม่อาจลบล้างไปจากหัวใจได้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจยินยอมให้ผู้ใดก็ตามมาลบหลู่
ตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียนต่างก็ลอบสบตากันอยู่ชั่วแวบหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรภาษาทางสายตาของนางออกอย่างชัดเจนว่า ‘อยากจะถูกเงินทองลบหลู่’ ถึงเพียงไหน ถึงตอนนี้เขาก็ยังจดจำได้เป็นอย่างดีว่านางมีนิสัยเป็นถังปุ๋ยมาแต่ไหนแต่ไร
เสียนไท่เฟยถูกล้อมกรอบไปทุกด้าน ทำเอานางถึงกับตรัสสิ่งใดไม่ออกไปชั่วขณะ ผ่านไปอีกครู่ใหญ่จึงได้ตรัสเสียงเบาออกมาว่า “หม่อมฉันย่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น องค์หญิงและท่านหญิงต่างเข้าใจผิดไปแล้ว หม่อมฉันเพียงแต่ตั้งใจจะชดใช้ให้อย่างเต็มที่เท่านั้น”
“จริงๆ หรือ? ” ท่านหญิงน้อยทำตาโต ถามนางออกไปอย่างใสซื่อ “เสียนไท่เฟยจริงใจหรือไม่เพคะ? “
เสียนไท่เฟยก็ตอบว่า “ย่อมจริงใจอย่างแน่นอน”
ซุ่นเอ๋อร์สายตาเป็นประกาย “เช่นนั้นเสียนไท่เฟยก็ทำแบบเดียวกับท่านย่าน้อย มอบเลือดจากหัวใจให้ซุ่นเอ๋อร์หนึ่งหยด ท่านย่าน้อยอาจจะยังมีหนทาง ปลูกท่านพ่ออีกครั้ง “
คำพูดพอกล่าวออกไป ผู้คนต่างก็ตกตะลึงไปแล้ว
เลือดจากหัวใจหนึ่งหยดหรือ? นี่จะทำได้อย่างไร? ตู๋กูซิงหลันสร้างอักขระดึงดูดดวงจิตใดกัน? ไยจึงต้องใช้เลือดจากหัวใจชักนำ?
หลอกลวงกันหรือเปล่า? หากว่าใช้เลือดจากหัวใจจริงๆ นางจะสามารถยืนอยู่ตรงนี่อย่างสบายดีได้อีกหรือ?
องค์หญิงใหญ่นิ่งตะลึงไปแล้ว นางหันศีรษะกลับไปมองดูตู๋กูซิงหลัน นาง….ทำถึงขนาดนี้เพื่อซุ่นเอ๋อร์จริงๆ หรือ?
แต่ว่าไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นจริงหรือไม่ ….ยามนี้ในใจของนางก็เกิดความละอายขึ้นแล้ว
ตู๋กูซิงหลันไม่พูดไม่จา เพียงแต่แอบสงสายตาให้กับอู๋เจินอย่างลับๆ
อู๋เจินก็รีบรับช่วงต่อ ยกสองมือขึ้นพนมในทันที “โอ้เง็กเซียนบนสวรรค์ ~ หากว่าไท่เฟยจะทรงมีน้ำพระทัยชดใช้ให้จริงๆ ก็มอบเลือดหยดหนึ่ง มารวมกับเส้นผมของท่านหญิงน้อย และกุญแจอายุมั่นขวัญยืน จากนั้นก็หาต้นเหมยที่ผ่านการสะสมไอทิพย์สักต้นหนึ่ง ให้ข้านักพรตทำพิธีสร้างอักขระดึงดูดดวงจิตลงไป ก็จะสามารถทำความปรารถนาของท่านหญิงน้อยให้สำเร็จลุล่วง”
กระทั่งอู๋เจินยังกล่าวถึงเพียงนี้ บรรดาผู้คนที่มีใจคิดระแวงก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้
คราวนี้นางกำนัลของเสียนไท่เฟยชิงผิงก็รีบกล่าวออกมาว่า ” พระสนมของพวกเราเป็นถึงพระสนมเอกที่อดีตฮ่องเต้ทรงโปรดปราน ร่างกายสูงค่าดั่งทองหยกไหนเลยจะให้บาดเจ็บได้? หากจะเอาเลือดจากหัวใจนี่มิใช่ว่าต้องการชีวิตของพระสนมหรอกหรือ? “
พอชิงผิงพูดออกไป ฮ่องเต้ก็ทรงโบกพระหัตถ์ สั่งหลี่กงกง “ตบปาก “
หลี่กงกงชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงแม้ฝ่าบาทมีพระอัธยาศัยไม่ดีเท่าไหร่ แต่ว่าน้อยครั้งนักที่จะจัดการนางกำนัลเล็กๆ สักคน
เฮ่อ จะกังวลแทนพระองค์ไปทำไม ฝ่าบาทรับสั่งเช่นไรก็ทำไปเช่นนั้นแล้วกัน อย่าว่าแต่เรื่องตบหน้าเนี่ย มันสะใจดีแท้!
เขาเดินนำเหล่าองครักษ์ออกไป ให้คนจับตัวชิงผิงเอาไว้และเมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็ตบลงไปครั้งหนึ่ง ตบเดียวนี้ทำเอาชิงผิงหน้าบวมไปทั้งใบหน้า มุมปากถึงกับมีเลือดไหลหยดออกมา
เสียนไท่เฟยขมวดคิ้ว หัตถ์ในชายแขนเสื้อกำแน่นขึ้น เรื่องของท่านหญิงน้อยนี้ ชิงผิงทำเสียเรื่องไปแล้วก็จริงอยู่ แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นนางกำนัลที่มีศักดิ์ฐานะ ทั้งยังเป็นคนสนิทของตนเอง ฮ่องเต้สั่งให้ตบหน้าชิงผิง ก็เท่ากับว่าเสียนไท่เฟยเองก็โดนตบไปด้วยมิใช่หรือ?
“ฝ่าบาท ชิงผิงเพียงแต่พูดจาแทนหม่อมฉันสักประโยคสองประโยค จำเป็นจะต้องสั่งสอนอย่างหนักถึงเพียงนี้เชียวหรือเพคะ? ” เสียนไท่เฟยจดจ้องจีเฉวียนบนเก้าอี้กุ้ยเฟย เมื่อคิดถึงว่าตำแหน่งฮ่องเต้นี้เดิมทีสมควรจะเป็นของเย่เอ๋อร์ของนาง ความคุกรุ่นที่เก็บกดเอาไว้นานแสนนานมาแล้ว ก็แทบจะระเบิดออกมา
ได้ฟังดังนั้น ฮ่องเต้ก็แย้มพระโอษฐ์เยือกเย็น ใช้พระหัตถ์ซ้ายหนุนพระเศียรไว้ เอนพิงไปกับที่วางแขนบนเก้าอี้กุ้ยเฟย ดูไปทั้งงดงามและเย็นชาประหนึ่งภาพวาดทีเดียว “ในสถานการณ์เช่นนี้ มีที่ให้บ่าวรับใช้เช่นนางโต้คารมด้วยรึ? ในเมื่อไท่เฟยมิอาจสั่งสอนคนของตนเองให้ดีได้ เราก็ได้แต่กระทำแทนแล้ว”
ว่าแล้ว เขาก็ทอดพระเนตรไปยังตู๋กูซิงหลัน “อย่าว่าแต่ ไทเฮามิใช่ว่ายิ่งสูงศักดิ์ยิ่งกว่าไท่เฟยอีกหรือ ตอนนี้ก็ยังอยู่ได้สบายดี ไม่มีปัญหาใดสักนิด? “
ตู๋กูซิงหลัน “…..” คำพูดนี้ทำไมฟังๆ ดูแล้ว เหมือนเจ้าลูกชายจะลากยาวออกไปนอกเรื่อง ทั้งยังสร้างความโกรธแค้นของเสียนไท่เฟยมากกว่าเดิมนะ
เพราะแต่แรกนั้นเจ้าของร่างเดิมและพระมารดาของอี้อ๋องต่างก็ใกล้ชิดกันมาก หากว่าสามารถฉวยโอกาสนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นห่างกันมากสักหน่อย ย่อมส่งเสริมให้บัลลังก์ของเขามั่นคงได้กว่าเดิมอีกหลายส่วน
แต่ก็ช่างเถอะ…..จะอย่างไรเสียเสียนไท่เฟยผู้นี้ก็ไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ จะจับแยกก็แยกไปเถอะ
เสียนไท่เฟยประทับยืนอยู่ที่เดิม ดวงเนตรที่ลึกล้ำนั้นปรากฎริ้วคลื่นขึ้นมาเลาๆ
ในขณะนั้นเองก็พลันได้ยินรองมหาเสนาฯ ที่คุกเข่าอยู่กล่าวกับนางว่า “ไท่เฟยพะยะค่ะ ก็เพียงแค่ต้องการเลือดของท่านเพียงหยดเดียวเท่านั้น มิได้ต้องให้ท่านชดใช้ภูเขาเงินภูเขาทองสักหน่อย พระองค์ประทานให้ก็ถือว่าจบสิ้น พระองค์ก็มิได้มีชาติกำเนิดสูงศักดิ์จริงๆ เสียหน่อย จะกระบิดกระบวนไปเพื่ออะไร? “
รองมหาเสนาฯ ตอนนี้ไม่ได้ห่วงหน้าตาใดๆ อีกแล้ว รักษาหน้าไว้ยังมีประโยชน์อะไรต่อเขาอีกเล่า?
ดูเอาสิ ฝ่าบาทแสดงออกว่าสนับสนุนไทเฮาชัดเจนเพียงไร ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะเพิ่มแรงให้อีกสักหน่อย หากว่าช่วยรุมเสียนไท่เฟยเช่นนี้ ไม่แน่ว่าเมื่อฝ่าบาทพระอารมณ์ดีขึ้นมา ก็อาจจะทรงละเว้นเขาเสียก็ได้
เสียนไท่เฟยใช้สายตาที่เยือกเย็นปานแท่งน้ำแข็งจดจ้องเขา สายตานั้นเย็นยะเยือกจนทำให้ท่านรองมหาเสนาฯ รู้สึกขนลุกทั่วทั้งตัวขั้นมา
ตู๋กูซิงหลันจับตาดูทุกสิ่งอยู่ในสายตา ภาพเช่นนี้ ราวกับว่าได้เห็นสุนัขกัดกันไม่มีผิด
คนสองคนที่เดิมทีร่วมมือคิดจัดการนาง ยามนี้กำลังย้อนกลับมาทำร้ายกันเอง หึ…….นางอยากจะยกเก้าอี้เล็กๆ ออกมาสักตัว แล้วก็มีเม็ดแตงสักจำนวนหนึ่งนั่งแทะชมดูงิ้วฉากนี้เสียจริง
เพียงแต่ว่ายามนี้นางไม่คิดจะเสียเวลาอีกต่อไป จึงได้ส่งสายตาให้อู๋เจินอีกครั้ง
พอถูกสายตาประหนึ่งบรรพบุรุษที่บีบคั้นคนได้มองเข้า อู๋เจินก็รู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา เช้าวันนี้ยามที่ตู๋กูจุนไปจับตัวเขามานั้น ได้มอบจดหมายให้เขาฉบับหนึ่ง จดหมายฉบับนั้นเป็นลายพู่กันของไทเฮาน้อยเขียนด้วยตนเอง ว่าต้องการให้เขามาช่วยเหลือสักหน่อย
เขาก็รีบหันไปกล่าวกับเสียนไท่เฟยว่า “ข้าแต่เง็กเซียนบนสวรรค์~ ก็มิใช่ว่าจะเป็นจะต้องใช้โลหิตจาหัวใจของไท่เฟยจริงๆ ข้านักพรตย่อมจะต้องมีฝีมือกว่าลูกศิษย์อย่างไทเฮาอยู่บ้าง หากว่าไท่เฟยมีความจริงใจจะชดใช้ให้ ก็เพียงแค่สะกิดปลายนิ้ว ประทานเลือดสักหลายหยดก็นับว่าเพียงพอแล้ว”
พูดกันถึงขั้นนี้แล้ว หากว่าเสียนไท่เฟยจะยังไม่ยินยอมอีกละก็ นี่ย่อมนับว่าเล่นตัวเกินไปจริงๆ แล้ว
เพราะการที่ยอมถอยให้ถึงขนาดนี้ ย่อมดีกว่าตอนแรกที่จะกวาดเอาทรัพย์สินทั้งหมดของนางมา ตอนนี้คิดเป็นเงินก็เพียงเงินเหรียญสองเหรียญ นี่ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องดีเข้าไปใหญ่หรอกหรือ?
ท่านนักพรตอู๋เจินช่างเปี่ยมไปด้วยเมตตาจริงๆ
” ไท่เฟยพะยะค่ะ พระองค์รีบประทานเถอะ เสร็จเรื่องแล้ว ฝ่าบาทจะยังมีพิธีพระราชทานตำแหน่งให้กับท่านหญิงน้อยอีก จะได้ไม่เป็นการเสียฤกษ์ไป”
“จริงด้วย ก็แค่สะกิดนิ้วนิดหน่อย ไม่ใช่ว่าจะเอาชีวิตท่านจริงๆ “
เพียงครู่เดียว ทั้งขุนนางและเหล่าพระสนมต่างก็เริ่มส่งเสียงสนับสนุนขึ้นมา
ยามนี้เสียนไท่เฟยก็ประหนึ่งเป็ดที่ถูดจับแขวนไว้ จะไม่ให้ก็ย่อมไม่ได้แล้ว
นางจ้องเขม็งไปยังตู๋กูซิงหลันที่ยืนอยูด้านข้างจีเฉวียน เห็นสีหน้าของนางสงบนิ่ง ดวงตาดอกท้อคู่นั้นก็มองดูนางอยู่เช่นกัน
“พระสนม พระองค์ทรงยอมเถอะเพคะ~” ทันใดนั้น ชิงผิงที่ถูกตบปากไปเมื่อครู่ก็ยังกล่าวกับนางเช่นกัน ทั้งยังยื่นกริชเล่มหนึ่งมาให้
เสียนไท่เฟยจ้องดูนาง เพียงเห็นว่าชิงผิงนั้นนอกจากหน้าบวมเป็นหัวหมูแล้ว ในสายตาของนางกลับไม่มีความโกรธแค้นต่อตนเองสักน้อย
นางถึงได้พลันรู้สึกตัวขึ้นมาว่า ตนเองตกหลุมพรางเสียแล้ว
ตอนที่ 114 นาง.....เป็นอะไรกันแน่?
นางช่างโง่เขลานัก …….ดูไม่ออกแต่แรกว่าชิงผิงนั้นมีปัญหา
ทั้งที่ท่านหญิงน้อยมิได้ตาย แต่นางกลับนำหัวใจและเลือดสดๆ จำนวนหนึ่งกลับมา ต้นเหมยนั้นทั้งที่ไม่จำเป็นจะต้องถูกแตะต้องทำลาย นางกลับขุดมันขึ้นมาจนรากขาด กระทั่งตอนนี้ นางก็เป็นผู้ที่ยื่นกริชมาให้อีกด้วย!
นางได้แต่โทษตนเองที่ไว้ใจชิงผิงมากเกินไป เพราะไม่ทันได้คิดระแวงจึงถูกคนที่ไว้ใจที่สุดหักหลังเช่นนี้
ตู๋กูซิงหลันใช้ฝีมืออันใดกันแน่ถึงสามารถซื้อใจของชิงผิงได้?
“พระสนม เชิญเพคะ~” ชิงผิงยังคงประคองกริชเอาไว้ ส่งให้กับนางอย่างนอบน้อม สีหน้าดูไปเรียบเฉย แต่ในใจกลับลอบยินดีอยู่น้อยๆ ดูเอาเถอะ นางได้ช่วยเหลือท่านเซียนทำงานสำเร็จชิ้นใหญ่ หลังจากเสร็จเรื่องคราวนี้แล้ว นางจะขอให้ท่านเซียนรับนางเป็นศิษย์ ไม่แน่ว่าหากนางตั้งใจฝึกฝนให้มากเข้าก็อาจพบกับความสำเร็จเข้าได้เหมือนกัน
เห็นแก่ที่นางยอมถูกตบจนหูชา ท่านเซียนคงจะยอมรับปากใช่ไหม?
เสียนไท่เฟยใช้สายตาเย็นชาจดจ้องนาง คมกริชที่วาววับฉาบไล้ด้วยแสงเย็นจางๆ ทำให้นางรู้สึกตาลายอยู่บ้าง
ยามนั้นฮ่องเต้กลับตรัสออกมาอีกครั้ง “เสียนไท่เฟย ท่านยังไม่ลงมือ หรือว่าต้องการให้หลี่กงกงช่วยเหลือ? “
ทันทีที่ทรงตรัสออกไป หลี่กงกงที่ยืนอยู่ข้างๆ เสียนไท่เฟยก็ตระเตรียมจะขยับตัว
“ฝ่าบาท วันนี้สุขภาพของหม่อมฉันไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ไม่อาจหลั่งโลหิต ” เสียนไท่เฟยรีบกล่าวออกมา เรื่องหยดเลือดนี้ไม่จำเป็นจะต้องรีบร้อน รอให้หม่อมฉันกลับวังไปพักผ่อนสักเล็กน้อย จะต้องสั่งให้ชิงผิงรีบนำมามอบให้ท่านหญิงน้อยด้วยตนเอง “
ทันทีที่นางพูดจบ ท่านหญิงน้อยก็ร้องไห้เสียงดังออกมา ” ท่านย่าน้อย~ ท่านน้าฮ่องเต้~ท่านแม่~ ไท่เฟยทรงหลอกซุ่นเอ๋อร์ นางไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย ฮือๆๆๆ ข้าต้องการ ท่านพ่อ ฮือๆๆ ท่านพ่อ……”
ท่านหญิงน้อยพอหลั่งน้ำตาออกมาก็เศร้าโศกเสียใจอย่างที่สุด พาให้เหล่าผู้ที่พบเห็นต่างก็รู้สึกปวดใจไปตามๆ กัน
องค์หญิงใหญ่ยิ่งชมดูจนปวดใจกว่าผู้ใด นางหันไปหาเสียนไท่เฟยกล่าวว่า ” ก็เพียงแค่เลือดไม่กี่หยดเท่านั้น ถึงสุขภาพร่างกายท่านจะไม่ดีอย่างไร แต่ว่าคำรับปากเพียงเท่านี้ก็คงไม่ถึงกับทำไม่ได้หรอกใช่ไหม? “
ยามนี้ถึงแม้จะมีบางคนเห็นอกเห็นใจเสียนไท่เฟยอยู่บ้าง แต่ว่าคนส่วนใหญ่ต่างก็อดจะรู้สึกว่านางช่างไม่รู้จักรับน้ำใจของผู้อื่นมากเกินไปแล้ว
ทางองค์หญิงใหญ่เองก็ถอยให้มากถึงเพียงนี้แล้ว นางไยจะต้องหาข้ออ้างมาปฎิเสธรอบแล้วรอบเล่าอยู่นั่น?
“พระสนมเพคะ ท่านรู้สึกไม่สบายในที่ใดเพคะ? เป็นบ่าวเลอะเลือนไปแล้ว ช่วงนี้กลับสังเกตไม่ออกแม่แต่น้อย ” ชิงผิงกลับกระตือรือร้นขึ้นมา เพียงประโยคเดียวก็กล่าวเปิดเผยอาการป่วยของเสียนไท่เฟยออกไปด้วย
เสียนไท่เฟยตวัดสายตาใส่นางคราหนึ่งก็คว้าเอากริชเล่มนั้นไปถือเอาไว้ในมือ ยกคมดาบขึ้นมา หันพักตร์ไปมองดูตู๋กูซิงหลันและจีเฉวียน
ฮ่องเต้ทรงจดจ้องกลับมา “เจ้าไม่ต้องมาทำเป็นจ้องไทเฮา นางขี้กลัว เกิดตกอกตกใจขึ้นมา จะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต หากเป็นเช่นนั้น เจ้าคงจะชดใช้ไม่ไหวแน่”
ผู้คนทั้งหลายต่างมองไปยังฝ่าบาทด้วยสีหน้าสับสน
ฮ่องเต้ทรงเข้าใจอะไรเกี่ยวกับสตรีผู้นี้ผิดไปหรือไม่?
อย่างนางน่ะหรือขี้กลัว?
ความกล้าของนางนั้นสูงส่งเทียมฟ้า ครอบคลุมทั่วนภา เจิดจ้าดังดวงตะวันเสียด้วยซ้ำ
ไม่ทรงได้ฟังท่านหญิงน้อยบอกหรือว่า เจ้าตัวประหลาดที่ลักพาตัวนางมานั้น ถูกไทเฮาไล่ตีกลับไปและ ช่วยเหลือนางเอาไว้
ตู๋กูซิงหลันทำราวกับกำลังอมของเปรี้ยวอยู่ในปาก เจ้าฮ่องเต้สุนัขนี่คงจะยังไม่ลืมความคิดที่จะริบทรัพย์ผู้อื่นอยู่เป็นแน่
นางได้แต่แอบมองอยู่อย่างเงียบๆ ยามนี้ใช่สมควรที่จะร่วมมือกับฝ่าบาท ผสมโรงแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาดีหรือไม่?
คิดๆ ไป ก็เริ่มกุมทรวงอกเอาไว้ สองคิ้วงามดังไต้หยู่ขมวดแนบแน่น กระทั่งใบหน้าก็เริ่มขาวซีดขึ้นมาแล้ว ท่าทางคล้ายกับว่าได้รับความตื่นตระหนกจนหัวใจดวงน้อยๆ กำลังจะรับไม่ไหวเสียแล้ว
ผู้คนทั้งหลาย “…………”
“น้องเล็ก เจ้าอย่าได้ทำให้พี่ใหญ่ตกใจ! ” ตู๋กูจุนรักใคร่ผูกพันนางอย่างไร้ข้อแม้ รีบพุ่งเข้ามา เตรียมจะเข้ามาประคองน้องน้อยของตนเอง
เสียนไท่เฟยรู้สึกว่าหากตนเองยังไม่ลงมืออีกละก็ เกรงว่าตู๋กูซิงหลันคงจะต้องงัดเอาแผนหวาดหวั่นจนสลบสิ้นสติไปมาแสดงแน่ ถึงจุดนั้นก็ไม่รู้ว่าจะเล่นงานนางเช่นใดอีก
นางยกมือที่ขาวสะอาดขึ้นมา ใช้มีดกรีดไปบนนิ้วชี้ของหัตถ์ซ้ายเป็นปากแผลเส้นหนึ่ง
ผิวหนังเปิดออก จนมองเห็นเนื้อเล็กน้อย
การกระทำนี้ ลากเอาสายตาของผู้คนทั้งหลายมาไว้บนตัวนางทั้งหมด
อู๋เจินพุ่งออกไปเป็นคนแรกด้วยความรีบร้อนราวกับจะออกไปรับหยดเลือดให้ทันท่วงที เขาตระเตรียมขวดใบเล็กจากไม้ต้นท้อเอาไว้แต่แรกแล้ว “ขอไท่เฟยทรงหยดเลือดออกมา “
เสียนไท่เฟยวางนิ้วลงไปในปากขวด อู๋เจินเองก็รออยู่ แต่ว่าผ่านไปครู่ใหญ่แล้ว ก็ไม่เห็นเลือดสักหยดออกมา
เขากล่าวขึ้นว่า ไท่เฟยพะยะคะ ปากแผลของทานตื้นเกินไปหรือเปล่า ไม่มีเลือดเลย”
สีพระพักตร์ของเสียนไท่เฟยกลับซีดขาว คล้ายกับว่านางสูญเสีย เลือดมากเสียจนจะเป็นลมลงไปเดี๋ยวนี้แล้ว
“ข้าสุขภาพไม่ดีมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีโรคโลหิตจาง หากว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อยก็ยากที่จะฟื้นฟูได้ เรื่องนี้ สำนักแพทย์หลวงมีบันทึกเอาไว้อยู่แล้ว ” นางมองไปยังอู๋เจิน กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “เพียงแต่ว่าเพื่อท่านหญิงน้อยแล้ว ข้ากรีดไปมีดหนึ่งก็นับว่าคุ้มค่าอยู่ “
อู๋เจินกลับไม่สนใจคำพูดมากมายของนาง คว้าเอากริชมากรีดลงไปอย่างแรงมีดหนึ่ง
ผู้คนทั้งหลาย “……..”
ทันทีที่สัมผัสโดนมือของนาง อู๋เจินก็หน้าเปลี่ยนสีไป ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูหนาว แต่ว่าหัตถ์ของเสียนไท่เฟยกลับเย็นจนเกินไปแล้ว ไม่เพียงแค่เย็น แต่ยังแข็งราวกับไร้ชีวิต
ทั้งๆ ที่เขาพึ่งจะกรีดลงไปมีดหนึ่งแท้ๆ แต่กลับเหมือนกรีดลงไปบนน้ำแข็ง
รอบนี้ ปากแผลบนนิ้วของนางลึกเสียจนเห็นเนื้อได้แล้วชัดๆ
อู๋เจินก็เอาขวดไม้ท้อใบน้อยมารองเลือดอีกครั้ง แต่ว่ารออยู่อีกพักใหญ่ก็ยังไม่เห็นจะมีเลือดหยดออกมา
คราวนี้ ไม่เพียงแต่ตัวเขา ผู้คนที่รายล้อมอยู่โดยรอบต่างก็เริ่มถกเถียงกันด้วยความประหลาดใจขึ้นมาแล้ว
” แผลลึกถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่มีเลือดหรือ? “
“เป็นคนจะไม่มีเลือดได้อย่างไร? “
” เสียนไท่เฟยก็ตรัสไว้แล้วไม่ใช่หรือ ว่านางเป็นโรคโลหิตจางขั้นรุนแรง”
” จะจางถึงเพียงไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีเลือดนี่นา”
” จริงด้วย “
” นาง……เป็นตัวอะไรกันแน่? “
ยามนี้สายตาของผู้คนที่มองมายังเสียนไท่เฟยต่างก็เปลี่ยนไปแล้ว
ดูนางสิ กลางวันแสกๆ แท้ๆ กลับสวมแต่ชุดดำตลอดทั้งร่าง ทั้งยังถือร่มขาว แม้แต่ยามที่กรีดแผลหยดเลือดก็ยังไม่ยอมวางร่มคันนั้นลง
หรือจะเป็นเพราะยามปกติพวกเขาไม่ค่อยจะได้สนใจเสียนไท่เฟยสักเท่าใด?
คล้ายกับว่านอกจากเวลาค่ำคืนแล้ว ทุกครั้งที่นางปรากฎตัวสู่สายตาเป็นต้องสวมชุดกระโปรงดำและร่มขาวเช่นนี้
หรือว่าจะกลัวแสงสว่างรึ?
อะไรกันเล่าที่หวาดกลัวแสงสว่าง……
พอคิดกันได้ถึงตรงนี้ผู้คนทั้งหลายต่างก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแล้ว
เสียงไท่เฟยอ้าปากเตรียมจะกล่าวคำพูดที่นางตระเตรียมเอาไว้
แต่ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าทำไม ขลุ่ยสีแดงเลือดเลาหนึ่งก็หล่นออกมาจากในกระโปรงของนาง
ขลุ่ยสั้นเลานี้มีสีแดงจนเกือบดำ ราวกับว่ามันถูกย้อมไปด้วยโลหิตมาหลายครั้งแล้ว เมื่อตกลงไปบนพื้นหิมะ สีแดงบนตัวขลุ่ยก็ย้อมหิมะโดยรอบจนเปลี่ยนสีไป เพียงชั่วขณะก็เกิดกลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นฟุ้งกระจายออกมา
ขณะเดียวกันก็เกิดสายลมพัดขึ้นอย่างไร้ที่มา ในสายโลมที่พัดโหมเหมือนกับว่าสามารถได้ยินเสียงร่ำไห้ของเด็กเล็กๆ หวีดร้องอยู่ในสายลม คร่ำครวญอย่างน่าหวาดกลัว
ท่านหญิงน้อนซุ่นเอ๋อร์ก็ปล่อยโฮร้องไห้ออกมาโดยทันที “อ้า………….ซุ่นเอ๋อร์กลัว เป็นนาง ฮือ เป็นไท่เฟยที่ต้องการจะกินซุ่นเอ๋อร์! “
” เป็นขลุ่ยเลานี้เอง ตอนที่ซุ่นเอ๋อร์มาถึงก็รู้สึกได้ว่ามันอยู่ที่นี่ ที่แท้ก็เป็นไท่เฟย ท่านทำไมจะต้องกินซุ่นเอ๋อร์ด้วย? ทั้งยังกินเด็กๆ คนอื่นอีก พวกเราทำผิดอะไรหรือ? “
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น