ลำนำบุปผาพิษ 1109-1116

 บทที่ 1109 ต้องปล่อยให้พวกเขาลิงโลดกันเสียหน่อย


ข้างกายตี้ฝูอีมีเพียงแค่มู่อวิ๋นกับมู่เหลยคอยคุ้มกัน ไหนยังจะมีอูอู๋เหยียนถ่วงอยู่ข้างกาย ไม่ว่าไปที่ใดก็คงไม่ค่อยสะดวกนัก…


ครั้งนี้ท่านเจ้านำคนชั้นยอดร้อยกว่าคนไปลอบทำร้ายตี้ฝูอี บัดนี้คงใกล้ถึงแล้ว ถึงเวลานั้นตี้ฝูอีเองก็เอาตัวไม่รอด ย่อมไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจหลงซือเย่…


หลงฟั่นครุ่นคิดเล็กน้อย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกสบายใจขึ้นเรื่อยๆ


เขานำลูกน้องออกมาไม่น้อยเพื่อการไล่ล่าครั้งนี้ สามถึงสี่สิบคนได้ หลังจากเขาวางแผนในใจไว้อย่างดีแล้ว จึงเริ่มมอบหมายหน้าที่ เหลือแค่สิบคนไว้คอยสั่งงานข้างกาย ส่วนคนอื่นให้กลับไป


ที่นี่คือฐานที่มั่นใหญ่ของเขา เขาใช้เวลาสร้างมานานหลายสิบปี ไม่อาจให้สูญสิ้นได้ จำต้องมีคนดูแลมากพอถึงจะวางใจ


“ผู้อาวุโส ให้พวกข้าไล่ล่าไปทางไหนดี?” ลูกน้องสิบคนถามอย่างกระตือรือร้น


หลงฟั่นมองดูเข็มทิศในมือ จุดแดงนั้นยังคงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ออกจากภูเขาลูกนี้ไปทางทิศตะวันออกแล้ว และทางนั้นก็เป็นที่ตั้งของเขาถามสวรรค์ ดูเหมือนว่าหลงซือเย่คิดจะพาเธอไปหลบซ่อนตัวที่นั่น…


แต่ด้วยพลังกายของเธอ ไปได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้ก็ต้องจบเห่แล้ว…


เมื่อกำหนดเส้นทางการไล่ล่ากู้ซีจิ่วแล้ว หลงฟั่นกลับไม่ได้รีบร้อน เอ่ยเบาๆ ว่า “รีบร้อนทำไม? ต้องปล่อยให้พวกเขาลิงโลดกันเสียหน่อย พวกเจ้าฟังข้าสั่งการ…” เขาสั่งการให้แปดคนขี่สัตว์พาหนะบินไปทางเขาถามสวรรค์เพื่อสกัดกั้น


สัตว์บินพาหนะของเขารวดเร็วยิ่งนัก แม้แต่กระเรียนเทพของหลงซือเย่ก็ไม่อาจทัดเทียม เมื่อปลดปล่อยความเร็วในการบิน จะตามไปสกัดกั้นสองคนนั้นได้ทันท่วงทีอย่างแน่นอน หากพวกเขากลับไปเขาถามสวรรค์จริง ถึงครึ่งทางก็ต้องติดกับดักที่เขาวางไว้แล้ว…


ทุกอย่างลงตัวเหมาะเจาะ แปดคนนั้นรับคำสั่งแล้วจากไป


“ผู้อาวุโส ข้าน้อยสองคนเล่า?”


“พวกเจ้าสองคนคอยติดตามข้าเป็นพอ”


หลงฟั่นสั่งการให้นำสัตว์พาหนะมาเช่นกัน จากนั้นมุ่งหน้าไปทางตะวันออกอย่างสบายอกสบายใจ ความเร็วในการบินของเขาไม่นับว่าเร็วนัก กลับมีกลิ่นอายการทัศนาจรยามวสันตฤดูด้วยซ้ำ


ลูกน้องทั้งสองงุนงงเล็กน้อย เมื่อสักครู่เจ้านายตัวเองยังร้อนใจดังไฟลน ตอนนี้กลับสงบจิตใจลงแล้ว?


หลงฟั่นดูเหมือนอารมณ์ดี ทว่าก็เป็นคนอารมณ์แปรปรวนเช่นกัน ลูกน้องทั้งสองจึงไม่กล้าถาม เพียงขี่สัตว์พาหนะตามไปอย่างนั้น


พวกเขาเห็นผู้อาวุโสหลงตรวจดูเข็มทิศในมือเป็นครั้งคราว ท่าทางเหมือนมีแผนการในใจแล้ว รอยยิ้มที่มุมปากทำให้พวกเขาทั้งสองเสียวสันหลังไปหมด


ผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม จุดสีแดงบนเข็มทิศพลันหยุดนิ่ง หลงฟั่นคำนวณสถานที่ที่จุดแดงหยุดลงสักครู่ ก่อนยิ้มจางๆ “ดี พวกเราลงมือได้แล้ว!”  สัตว์พาหนะด้านล่างเพิ่มความเร็วขึ้นทันใด รีบเร่งทะยานไปด้านหน้าดั่งลมกรด



“ผิดปกติ!” หลงซือเย่เอ่ยเบาๆ ขณะเพิ่งออกมาจากพื้นที่ใกล้เคียงภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่ลูกนั้น


“อะไรผิดปกติ?” กู้ซีจิ่วงุนงง


“ซีจิ่ว มีของพวกจีพีเอสบนตัวเธอ!” ขณะเคลื่อนย้ายในพริบตา กู้ซีจิ่วจับมือหลงซือเย่ไว้ตลอดเวลา เป็นครั้งแรกที่หลงซือเย่ได้สัมผัสผิวเธอหลังจากเข้ามาอยู่ในร่างใหม่อีกครั้ง เขารู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติไป


กู้ซีจิ่วสีหน้าเปลี่ยน เริ่มค้นหาสิ่งนั้นบนตัวโดยสัญชาตญาณ


“จีพีเอสนั่นไม่ได้อยู่ในเสื้อผ้า แต่อยู่ใน…ร่างกายเธอ” หลงซือเย่หยั้งเธอไว้


กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง


ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพวกหลงฟั่นจึงวางใจ กล้าปล่อยให้เธอเดินไปมาภายในวังใต้พิภพหลังจากมีชีวิตใหม่ขนาดนี้ หนำซ้ำยังไม่กลัวเธอจะหนีไปไหน ที่แท้ร่างโคลนนิ่งนี้ถูกติดตั้งจีพีเอสไว้!


เธอขมวดคิ้ว “ติดตั้งอยู่ตรงไหน?”


“ติดไว้ใต้หัวใจเธอ…” หลงซือเย่บอกตำแหน่งโดยละเอียด


กู้ซีจิ่วขับเคลื่อนพลังวิญญาณ ใช้การพินิจภายในตรวจดู พบว่ามีวัตถุแปลกปลอมขนาดเท่าเมล็ดถั่วอยู่รางๆ


—————————————————


บทที่ 1110 ใครตัวจริง ใครตัวปลอม?


กู้ซีจิ่วก็เป็นผู้เชี่ยวชาญ เธอดูออกว่าสิ่งนั้นคือจีพีเอสจริงๆ…


สิ่งนั้นติดอยู่กับเลือดเนื้อใต้กระดูกซี่โครงของเธอ ไม่เคลื่อนย้ายตามเส้นเลือด ไม่เคลื่อนย้ายตามลำไส้ หากไม่ผ่าตัดก็ไม่มีทางเอาออกได้


ทว่าในระหว่างการหลบหนีเช่นนี้ ไม่มีทั้งเวลาและปัจจัยในการผ่าตัด


กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือหลงฟั่นจะหาเธอพบในเวลาไม่เกินครึ่งชั่วยาม…


เจ้าโรคจิตหลงฟั่น! เธอเกลียดนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง!


และตอนนี้ตี้ฝูอีก็อยู่ในเมืองที่ห่างไกลออกไปเป็นพันลี้ ในตัวเธอไม่มีสิ่งของใดติดต่อกับเขาได้…อย่างไรเสีย ต่อให้ตอนนี้สามารถติดต่อได้ น้ำไกลก็ไม่อาจดับไฟใกล้ ตี้ฝูอียังไม่ทันมาถึง เธอก็ถูกจับไปก่อนแล้ว…


หลงซือเย่ก็ถูกค้นตัวจนหมดจด ในมิติเก็บของลับเล็กๆ ของเขามีเพียงสิ่งของรักษาชีวิตที่สำคัญมากบางอย่าง ดอกไม้ไฟที่ใช้ติดต่อสานุศิษย์ในสำนักไม่กี่อัน และยังมียันต์บันทึกเสียงอีกสองสามแผ่น ต่อให้เขาขอความช่วยเหลือก็ต้องส่งกระแสเสียงเรียกนกมา เพื่อให้นกเอายันต์บันทึกเสียงไปให้สานุศิษย์ตัวเอง


แต่ละแวกนี้รกร้างห่างไกล ทั้งยังร้อนอบอ้าวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นกถ่ายทอดเสียงเป็นนกที่ชอบสภาพอากาศหนาวเย็น ไม่ชอบอากาศร้อนเป็นที่สุด ที่นี่จึงไม่มีนกถ่ายทอดเสียงอาศัยอยู่ ต่อให้เขาอยากเรียกก็เรียกมาไม่ได้


“พวกเราต้องแยกกัน! ฉันไปทางตะวันออก คุณไปทางใต้! คุณหาทางติดต่ออาจารย์ใหญ่กู่แห่งสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์กับตี้ฝูอี ต้องมาทลายแหล่งกบดานของเขาให้ได้ คุณไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ต่อให้หลงฟั่นจับตัวฉันได้ เขาก็ไม่มีทางฆ่าฉันแน่…” กู้ซีจิ่วเอ่ยปากอย่างรวดเร็ว


หากแยกกันโอกาสที่เขาจะหนีรอดนั้นมีมาก หากไปด้วยกันเขาและเธอต้องถูกจับได้ ถึงเวลานั้นจะไม่มีทางเปิดเผยข้อมูลนี้ออกไป นี่เป็นทางเดียวที่ทำได้ในตอนนี้


หลงซือเย่อึ้งไป ในฐานะที่เขาเป็นเจ้าสำนัก ย่อมเข้าใจความสัมพันธ์ของส่วนได้เสียในนี้ แต่หากปล่อยให้เธอถูกจับคนเดียว…


กู้ซีจิ่วคิดว่าเขาคงต้องพูดว่า ‘รอดก็รอดด้วยกัน ตายก็ตายด้วยกัน ฉันไม่ยอมปล่อยให้เธอไปเสี่ยงอันตรายคนเดียวหรอก’ อะไรทำนองนี้สักหน่อย ในใจถึงขั้นเตรียมคำพูดโน้มน้าวไว้แล้ว หากแต่คาดไม่ถึง เขาหลุบตาลงเล็กน้อยพลางรับปาก “ตกลง!”


ทั้งสองต่างไม่ใช่คนพูดจาเยิ่นเย้อ หลงซือเย่รีบรุดลงใต้ทันใด ส่วนกู้ซีจิ่วมุ่งหน้าไปทางตะวันออกต่อ…


……


เมืองขู่หลิ่วตั้งอยู่ห่างจากภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่นี้ไปทางทิศตะวันออกหนึ่งร้อยลี้ อิทธิพลของภูเขาไฟทำให้อากาศที่นี่ร้อนอบอ้าวตลอดทั้งปี เทียบได้กับหมู่บ้านและเมืองใกล้เคียงภูเขาเปลวไฟในซินเจียงของจีน


เมืองขู่หลิ่วมีจำนวนประชากรไม่มาก เมืองก็ค่อนข้างจะแร้นแค้น ดังนั้นจึงไม่มีสำนักใดมาก่อตั้งที่นี่ เป็นหนึ่งในสามพื้นที่ที่ไม่มีใครสนใจ


คนส่วนมากในถิ่นทุรกันดารมักกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ที่นี่จึงมีกลุ่มอันธพาลท้องถิ่น มักมีการต่อสู้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง


ยามนี้มีคนสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันกลางถนน ไม้กระบองตีกันยุ่งเหยิง เลือดตกยางออก ไม่ต่างจากกลุ่มอันธพาลที่ตีกันตามท้องถนนเสียเท่าไหร่


เมื่อหลงฟั่นตามจีพีเอสมา ก็พบว่ากู้ซีจิ่วกำลังนั่งดื่มชาอยู่ในโรงน้ำชาของสถานีส่งสาร เธอนั่งตำแหน่งติดหน้าต่าง กำลังชมการต่อสู้ด้านนอกด้วยความสนใจยิ่ง


เธอเปลี่ยนเครื่องแต่งกายแล้ว แม่นางน้อยช่างทุ่มเทเสียเหลือเกิน แต่งตัวให้กลายเป็นหญิงสาวชาวบ้านหน้าตามอมแมม สวมใส่อาภรณ์ทำจากผ้าทอเนื้อหยาบ แทบจะมองไม่เห็นลักษณะก่อนหน้านี้


หลงฟั่นงุนงงไปชั่วขณะ เขาคิดว่ากู้ซีจิ่วหยุดพักหายใจหายคอสักครู่แล้วจะรีบหลบหนีต่อ อย่างไรเสียสถานที่แห่งนี้สำหรับเธอแล้วก็ยังไม่นับว่าปลอดภัย กลับไม่คาดคิดว่าเธอจะมานั่งจิบชาสบายใจอยู่ที่นี่


ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ โต๊ะตัวนั้นมีแค่เธอนั่งอยู่ผู้เดียว


แล้วหลงซือเย่เล่า? เขาควรจะอยู่กับเธอไม่ใช่หรือ? หรือว่าเขาปลอมตัวเป็นคนอื่นซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง?


—————————————


บทที่ 1111 เธอบังเอิญทายถูกเข้าแล้ว!


หลงฟั่นกวาดตามองคนในโรงน้ำชาด้วยความรวดเร็ว และไม่พบผู้ใดน่าสงสัย…


เขาพลันสงบจิตใจ ไม่รีบร้อนลงมือ เพียงแต่สั่งการให้ลูกน้องทั้งสองไปตรวจดูโดยรอบเพื่อตามหาหลงซือเย่ เขาสงสัยว่าหลงซือเย่อาจปะปนอยู่ในกลุ่มคนที่สู้กันพวกนั้น


กู้ซีจิ่วมองดูเหตุการณ์ด้านนอกราวกับดูภาพยนตร์ถ้ำมอง[1] จนกระทั่งการต่อสู้ด้านนอกสิ้นสุดลง เธอถึงลุกขึ้นยืนอย่างอารมณ์ค้าง บ่นพึมพำอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “การต่อสู้ยุคนี้ไม่เห็นจะต่างอะไรกับในหนังเลย เมืองนี้ก็ช่างซอมซ่อ ไม่มีอะไรน่าสนุก”


เธอออกมาจากโรงน้ำช้า พูดคุยกับสารถีที่สถานีส่งสารอยู่สองสามคำ สิ่งที่เธอถามก็คือ “เมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดและใกล้ที่สุดคือเมืองอะไร?”


คนขับรถพูดชื่อเมืองหนึ่งออกมา เธอพยักหน้าตอบรับ “ดี เช่นนั้นไปดูที่นั่นกันหน่อย จะทะลุมิติมาเสียเที่ยวไม่ได้ ไปชมสภาพบ้านเมืองที่นั่นสักหน่อยก็ไม่เลว” เธอพลันก้าวขึ้นรถม้า เห็นทีคงอยากจะออกไปเที่ยวชมโลกภายนอกจริงๆ


หลงฟั่นแอบมองดูอยู่ในมุมมืด เดิมทีเขายังคงสงสัยเล็กน้อยว่ากู้ซีจิ่วฟื้นคืนความทรงจำของชาตินี้มาบ้างแล้ว ดังนั้น จึงรีบร้อนออกตามหา คาดไม่ถึงว่าเธอแค่อยากออกมาทำความรู้จักทวีปนี้ หรือว่าเขาจะคิดมากเกินไป?


เขาแอบตามหลังรถม้า ตามไปครึ่งชั่วยามเต็มๆ ก็ไม่เห็นมีใครเข้ามาหาเธอ เขาจึงรู้สึกว่าตามเธอต่อไปก็ไม่มีอะไรน่าสนุกแล้ว…


ทันใดนั้นเขาปรากฏตัวขึ้นหน้ารถม้า ไม่ทันรอให้คนขับรถตอบโต้หรือถามไถ่อันใด ร่างของเขาพลันหายวับเข้าไปในรถม้าแล้ว


 กู้ซีจิ่วที่นอนพักหลับตาอยู่ในรถม้าคล้ายตกใจเพราะการปรากฏตัวกะทันหันของเขา จึงขยับร่างกายคิดจะเคลื่อนย้ายในพริบตา หลงฟั่นเตรียมรับมือเอาไว้ก่อนแล้ว ยกมือขึ้นกดไหล่ของเธอไว้ “ยังคิดจะหนีอีก?!”


กู้ซีจิ่วอาศัยใบหน้าที่แปลงโฉมมา ยังแสร้งทำมึนงง “เจ้าเป็นใคร? ขวางทางข้าด้วยเหตุใด?”


หลงฟั่นแย้มยิ้ม ล้วงน้ำโอสถขวดหนึ่งออกมาสาดหน้าเธอ จากนั้นไม่สนใจว่าเธอจะดิ้นรน ใช้ชายเสื้อเช็ดใบหน้าน้อยๆ จนสะอาดเอี่ยม เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง ก่อนวางกระจกไว้ด้านหน้าเธอ “กู้ซีจิ่ว เธอยังจะเสแสร้งอีก!”


กู้ซีจิ่วขบเม้มริมฝีปาก เธอมองเขาด้วยสายตาเย็นชา ไม่ได้ต่อสู้ดิ้นรนอีก “คุณหาฉันเจอได้ยังไง? ทั้งที่ฉันแปลงโฉมมาแล้ว แถมยังปกปิดและลบร่องรอยทั้งหมดระหว่างทาง…”


หลงฟั่นเอ่ย “เธอลองทายดูสิ?”


กู้ซีจิ่วหลุบตาเล็กน้อย “เดาไม่ออก หรือว่าคุณติดตั้งจีพีเอสอะไรพวกนั้นไว้บนตัวฉัน?”


หลงฟั่นกล่าวสิ่งใดไม่ออก เธอบังเอิญทายถูกเข้าแล้ว!


หากแต่กู้ซีจิ่วก็ปฏิเสธเองอย่างรวดเร็ว “แต่ก็ไม่น่าใช่ ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งหมดแล้ว แม้แต่ผมก็สระแล้ว…”


หลงฟั่นทอดถอนใจ เอ่ยจุดชนวนด้วยเสียงราบเรียบ “หลงซือเย่ที่เธอหนีออกมาด้วยกันเป็นคนของฉัน” ความหมายของคำพูดนี้ก็คือหลงซือเย่หักหลังเธอ


กู้ซีจิ่วตกตะลึง พูดอะไรไม่ออก สีหน้ายังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


หลงฟั่นเอ่ยถาม “หลงซือเย่ล่ะ? เขาหนีออกมาด้วยกันกับเธอไม่ใช่เหรอ?”


กู้ซีจิ่วยิ้มเยาะ “พวกเราแยกกันกลางทาง ในเมื่อเขาเป็นคนของคุณ คุณไม่รู้เลยเหรอว่าเขาอยู่ที่ไหน?”


ทำเอาหลงฟั่นสำลักและทอดถอนใจอยู่นาน “เขาเป็นผลงานร่างโคลนที่ล้มเหลวของฉัน เดิมทีฉันอยากให้หลงซีฟื้นคืนชีพใหม่ที่นี่เช่นกัน…เขาคงรู้ว่าฉันจะทำลายเขาที่เป็นผลงานล้มเหลวทิ้ง จึงรีบหนีไป เธอก็กลับหนีตามเขาไปด้วย!”


กู้ซีจิ่วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ฉันไม่อยากขลุกอยู่ในที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแบบนั้นไปตลอด ฉันอยากออกมาเดินเล่นหลายครั้ง พวกคุณก็ขัดขวางฉันตลอด พอดีกับที่หลงซือเย่คนนั้นบอกว่าเขามีวิธีหนีออกไป ฉันก็เลยร่วมมือกับเขา…หลังจากออกมาไม่นานพวกเราก็แยกกัน เขาคงไม่ได้บอกร่องรอยของฉันกับคุณหรอกใช่ไหม?”


———————————————————————


บทที่ 1112 ไม่มีประโยชน์ที่จะขอโทษ


คำพูดเหล่านี้ของเธอไม่มีพิรุธใดๆ หลงฟั่นมองเธอครู่หนึ่งก่อนเผยยิ้ม “เขาไม่ได้บอกอะไร ฉันเพียงแค่ตามสัญลักษณ์บนเส้นทางของพวกเธอ…เขาคงกลัวว่าฉันจะจับเขาและลงโทษเขา ดังนั้นจึงหักหลังเธอเพื่อช่วยให้ตัวเองสมหวัง ไม่อย่างนั้นฉันคงตามหาตัวเธอไม่ได้เร็วขนาดนี้”


กู้ซีจิ่วกระชับนิ้วมือเล็กน้อย “สารเลว!”


หลงฟั่นผู้นี้ยังมายุแยงตะแคงรั่วความสัมพันธ์ของเธอกับหลงซือเย่ จิตใจช่างไม่บริสุทธิ์เสียจริง!


หลงฟั่นกลับคิดว่าเธอด่าหลงซือเย่ เขาจึงเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ “ก็สารเลวจริงๆ…”


พลังวิญญาณของเธอคือขั้นหก แต่ของหลงฟั่นคือขั้นสิบ ถึงแม้ห่างกันเพียงแค่สี่ขั้น แต่ความต่างราวฟ้ากับดิน กู้ซีจิ่วไม่มีกำลังเทียบเท่าเขาแม้แต่น้อย เธอจึงจำต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของหลงฟั่นอีกครั้ง


หลงฟั่นกลัวว่าเธอจะเล่นลวดลายอะไรอีก จึงสกัดจุดของเธอไว้เสีย ทำให้เธอพูดได้อย่างเดียว แต่ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้


เมื่อควบคุมเธอได้แล้ว หลงฟั่นจึงโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง


เขาไม่กลัวว่าหลงซือเย่จะหลบหนี อย่างไรเสียเขายังมีแผนการนอกเหนือจากนี้ เมื่อใดที่หลงซือเย่กลับเขาถามสวรรค์ ก็จะติดกับดักเขาในทันที


รถม้ายังคงเดินหน้าต่อไป เพียงแต่สารถีด้านนอกกลายเป็นคนของหลงฟั่นเสียแล้ว


หลงฟั่นนั่งลงตรงข้ามกับเธอ


กู้ซีจิ่วสูดลมหายใจเบาๆ “คุณจะพาฉันกลับไปวังใต้พิภพนั่นเหรอ?”


หลงฟั่นจ้องตาเธอ “ซีจิ่ว คราวนี้เธอฆ่าลูกน้องที่ล้วนเป็นยอดฝีมือของฉันไปสี่คน เธอน่าจะรู้ดี การบ่มเพาะยอดฝีมือไม่ใช่เรื่องง่าย…”


“ฉันขอโทษ” กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากเล็กน้อย


“ไม่มีประโยชน์ที่จะขอโทษ” เสียงของหลงฟั่นนุ่มนวล “เธอก็นับว่าเป็นลูกสาวของฉันเหมือนกัน แต่ในเมื่อทำความผิดก็ต้องถูกลงโทษ ไม่เช่นนั้นจะคุมคนหมู่มากได้ยาก เธอก็หัดว่าง่ายเสียบ้าง…”


เสียงของเขาอ่อนโยนดังสายธาร แต่คำที่พูดออกมากลับโหดเหี้ยมหาที่เปรียบมิได้


หลังจากเขาพูดจบก็ให้กู้ซีจิ่วกินยาชนิดหนึ่ง


ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อยาเริ่มออกฤทธิ์ เส้นเลือดเส้นเอ็นทั้งหมดในร่างกายก็เจ็บปวดเหมือนถูกกรีดด้วยคมมีด…


หลงฟั่นนั่งมองเธอทนทุกข์ทรมานอยู่ฝั่งตรงข้าม มองเธอที่เหงื่อโซมใบหน้า แต่กลับอดกลั้นไม่ส่งเสียง เพียงขบกัดริมฝีปากจนเลือดไหลออกมา…


ความเจ็บปวดเช่นนี้ต่อเนื่องราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ค่อยๆ ทุเลาลง จนกระทั่งจางหายไป


ร่างกายของกู้ซีจิ่วชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เมื่อหลับตาลงเบาๆ แม้แต่ขนตาก็ยังเปียกชุ่ม


หลงฟั่นไม่รู้ว่าหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากไหน ค่อยๆ เช็ดเหงื่อบนใบหน้าของเธอ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ได้รับบทเรียนแล้วใช่ไหม?”


ยาชนิดนี้เป็นยาพิศวง และเป็นของวิเศษที่เขาใช้ควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อยาออกฤทธิ์ต่อให้เป็นชายฉกรรจ์สูงเจ็ดฉื่อก็เจ็บปวดจนต้องร้องโอดโอย จิตอ่อนแอจนเกือบถึงขั้นต้องเสียน้ำตา


 กู้ซีจิ่วลืมตาขึ้นมอง ดวงตาคู่นั้นดำขลับราวฟ้ารัตติกาล แม้แต่น้ำตาสักหยดก็ไม่มี เธอเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วพลันหลบสายตา


หลงฟั่นกลับตกตะลึงเบาๆ เขาใช้ยาลบความทรงจำของเธอในชาตินี้เพื่อให้เธอลืมตี้ฝูอี ให้เธอลืมเรื่องราวในทวีปนี้ทั้งหมด จากนั้นเติบโตข้างกาย กลายเป็นแขนขาให้เขา สิ่งที่เขาต้องการก็คือความจงรักภักดีที่เธอมีให้ บางทีเธออาจชอบเขาเหมือนกับที่เธอชอบหลงซีในตอนแรก ดังนั้นเขาจึงทำดีกับเธอมาตลอดตอนอยู่วังใต้พิภพ จนถึงขั้นตามใจเธอไปบ้าง


ตอนนี้เมื่อได้เห็นสายตาที่เต็มเปี่ยมด้วยความเกลียดชัง เขากลับรู้สึกเสียใจภายหลัง…


ทว่าเขาใจแข็งมาแต่ไหนแต่ไร ความเสียใจนั้นเพียงแค่แวบผ่านในสายตาเขา รวดเร็วเสียจนไม่มีใครจับความรู้สึกนี้ได้


“ยานี้เป็นยาลับเฉพาะของฉัน หากไม่ใช้ยาถอนพิษให้ทันท่วงที มันจะกำเริบวันละครั้ง อีกทั้งยังเจ็บปวดมากขึ้นในทุกครั้ง ต่อไปหากเธอเชื่อฟังดีๆ ฉันก็จะให้ยาถอนพิษกับเธอ” เขาเอ่ยข่มขู่


——————————————————————


[1] ภาพยนตร์ถ้ำมอง เป็นภาพยนตร์ยุคบุกเบิก ลักษณะเป็นภาพเคลื่อนไหวที่ต้องมองผ่านเลนส์ ดูได้คราวละหนึ่งคน


บทที่ 1113 ละครดีฉากหนึ่ง


กู้ซีจิ่วหลับตาลง ไม่สนใจเขาอีกแล้ว


บ้าเอ้ย นี่มันเหมือนกับแม่เฒ่าเทียนซาน[1]จงใจฝังยันต์เป็นตายในตัวเจ้าสำนักเพื่อควบคุมสำนักเหล่านั้น ทำให้ต้องจำยอมเชื่อฟังเลย


คนสติเฟื่องผู้นี้คงควบคุมลูกน้องของเขาเหล่านั้นด้วยวิธีแบบเดียวกัน มิน่าแต่ละคนถึงได้ซื่อสัตย์และจงรักภักดีกันขนาดนี้


ความจริงเธอก็เตรียมใจไว้แล้ว หากหลงฟั่นจับตัวเธอได้คงต้องมีการลงโทษแน่ ซึ่งเธอทนรับได้


ตอนนี้ให้เขาได้ใจไปก่อนเสียหน่อย วันหลังเธอจะต้องเอาคืนให้จงได้! ให้เขาต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่านี้สิบเท่า


‘หลงฟั่น คอยดูเถอะ!’


หลงฟั่นย่อมไม่รู้ความคิดของเธอ เขาพูดกับเธออีกตั้งมากมาย คิดจะหลอกถามเกี่ยวกับความทรงจำของเธอ แต่อย่างไรครั้งนี้เธอก็ไม่ปริปากพูด ทำตัวเป็นสวีซู่เข้าค่ายเฉาเชา[2]…ไม่พูดไม่จา


เขาพูดอะไรมากมายก็ไม่ได้การตอบรับจากเธอเลยสักคำ


ภายในรถม้าเงียบสงัดครู่หนึ่ง หลงฟั่นถึงถามเธอ “เธออยากเที่ยวเล่นข้างนอกให้มากหน่อยใช่ไหม?”


ไร้สาระ!


กู้ซีจิ่วไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมา


หลงฟั่นเอ่ยอีก “ถ้าเช่นนั้น ฉันจะพาเธอไปเดินเล่นที่หนึ่ง ให้เธอได้เปิดหูเปิดตาเสียหน่อย ถือว่าเป็นการชดเชยเล็กๆ น้อยๆ ให้ก็แล้วกัน”


กู้ซีจิ่วลืมตาขึ้น ในที่สุดก็ปริปากอันหนักอึ้ง “ไปไหน?”


“เมืองฟานหลี”


หัวใจกู้ซีจิ่วพลันสั่นไหว สถานที่นั้นก็คือเมืองที่ตี้ฝูอีอยู่ในตอนนี้ ห่างจากที่นี่ไปแปดถึงเก้าร้อยลี้ เขาพาเธอไปตอนนี้ไม่รู้จะมาไม้ไหนอีก?


……


เมืองฟานหลีเป็นเมืองใหญ่ที่ค่อนข้างเจริญรุ่งเรืองเมืองหนึ่ง


ภายในเมืองฟานหลีมีภัตตาคารที่มีชื่อเสียงอยู่สองแห่ง…เป็นภัตตาคารแฝด


เล่ากันว่าภัตตาคารสองแห่งนี้ก่อตั้งโดยฝาแฝดที่มีหัวด้านการค้าคู่หนึ่ง ภัตตาคารทั้งสองตั้งอยู่บนถนนเส้นหนึ่ง รูปแบบโดยรวมเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว และหันหน้าเข้าหากันโดยมีถนนกว้างสิบกว่าเมตรกั้นกลาง


ภัตตาคารสองแห่งนี้ถึงแม้จะอยู่ใกล้ แต่กลับไม่มีการแข่งขันกัน ด้วยเหตุที่อาหารของทั้งสองแห่งต่างมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป


ภัตตาคารที่กู้ซีจิ่วอยู่เชี่ยวชาญการปรุงอาหารทางใต้ อาหารแต่ละจานประณีตวิจิตรมากเฉกเช่นผลงานศิลปะ ดูแล้วช่างเจริญหูเจริญตา รสชาติค่อนข้างหวาน เหมาะสำหรับลูกค้าที่มาจากทางใต้


ส่วนภัตตาคารอีกแห่งเชี่ยวชาญการปรุงอาหารทางเหนือ อาหารประณีตยิ่งเช่นกัน รสชาติค่อนข้างเค็ม เหมาะสำหรับคนทางเหนือ


ขณะนี้กู้ซีจิ่วนั่งอยู่ที่ห้องหรูหราบนชั้นสามของภัตตาคารทางฝั่งตะวันออกของถนนแห่งนี้ เมื่อเงยหน้ามองผ่านม่านไข่มุกกึ่งโปร่งใส ก็จะมองเห็นทัศนียภาพของภัตตาคารฝั่งตรงข้าม


หลงฟั่นพูดอย่างอ่อนโยนอยู่ข้างเธอ “อีกประเดี๋ยวที่ภัตตาคารฝั่งตรงข้ามจะมีละครดีฉากหนึ่งให้ดู ตำแหน่งของพวกเราเป็นมุมที่ดีที่สุด”


หัวใจกู้ซีจิ่วพลันไหววูบ “ละครดีอะไร?”


หลงฟั่นคีบขาหมูเย็นชิ้นหนึ่งวางลงในจานของเธอ เก็บไว้ให้เธอยิ่งอยากรู้ “เดี๋ยวเธอก็จะรู้เอง”


ชาติที่แล้วกู้ซีจิ่วอาศัยอยู่ที่ปักกิ่งโดยตลอด เธอชอบอาหารรสชาติทางเหนือมากกว่า ยามนี้เธอมองของกินเล่นที่ประณีตยิ่งกว่างานศิลปะเหล่านั้นบนโต๊ะ แน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน


แต่ไม่ใช่ว่าเธอเรื่องมากไม่อยากกิน แต่เป็นเพราะเธอไม่สามารถกินเองได้


หลงฟั่นไร้ซึ่งคุณธรรมยิ่งนัก ถึงแม้ว่าเขาจะพาเธอมาที่เมืองนี้ แต่กลับทำให้เธอเป็นอัมพาต แถมยังแปลงโฉมให้เป็นชายชราหน้าตาอัปลักษณ์


หลงฟั่นเคยเอากระจกให้เธอส่อง เธอมองแค่แวบเดียวก็ต้องเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ


อัปลักษณ์ยิ่งนัก!


ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าสามารถหนีบแมลงวันให้ตายได้ ดูแล้วอายุไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยปี ประเภทแค่เพียงนอนลงหลับตาก็พร้อมเข้าโลงได้เลย


นี่ยังไม่นับรวมกระที่ปกคลุมทั่วผิวหนัง กับรอยด่างดำบนใบหน้าขนาดเท่าเหรียญอีแปะอีกเก้าจุด!


ส่วนหลงฟั่นถึงแม้แปลงโฉมเช่นกัน ทว่าก็ยังเป็นลักษณะคุณชายแรกรุ่น ดูหล่อเหลาไม่สร่าง หากเดินบนท้องถนนต้องได้รับสายตาร้อนแรงจากหญิงสาวมากมายเป็นแน่


 ลูกน้องสองคนนั้นของเขาก็แปลงโฉมเป็นคนรับใช้ แบกเกี้ยวไม้ไผ่พากู้ซีจิ่วขึ้นมาด้านบน หลงฟั่นกลับทำทีเป็นหลานกตัญญูรีบตามมาข้างเกี้ยวไม้ไผ่ คอยสั่งการให้คนรับใช้ทั้งสองเบามือเป็นครั้งคราว


——————————————————–


บทที่ 1114 หลานรักของข้าจะดูแลข้าเอง


ภัตตาคารแห่งนี้มีคนทุกระดับทุกอาชีพ มีลูกค้าทุกประเภท ดังนั้นเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาจึงไม่มีใครสังเกต


กลับมีเสมียนร้านปากมากเอ่ยถามว่า “คุณชายพาผู้อาวุโสมาด้วย หากขึ้นด้านบนไม่สะดวก ข้าน้อยหาที่นั่งด้านล่างให้ท่านได้นะขอรับ”


หลงฟั่นส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ท่านปู่มีอารมณ์แปรปรวน เกรงว่าจะส่งเสียงดัง นั่งห้องส่วนตัวด้านบนดีแล้ว”


เสมียนร้านคนนั้นยังอยากพูดอย่างอื่นต่ออีก กู้ซีจิ่วจึงตัดบทอย่างอ่อนแรง “หลานรักของข้ากตัญญูต่อข้า ทำตามที่เขาว่าเถิด”


หลงฟั่นคงกลัวว่าเธอจะวางแผนทำการอันใด จึงให้เธอกินยาอะไรเข้าไปไม่ทราบ ไม่เพียงแต่จะไม่มีแรงเคลื่อนไหวร่างกาย แม้แต่พูดยังไม่มีเรี่ยวแรงด้วยซ้ำ ต้องฝืนพยายามพูดจึงจะมีเสียงออกมา น้ำเสียงแก่ชราและแหบแห้ง มีเรี่ยวแรงมากกว่ายุงบินหึ่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงถูกจัดให้นั่งอยู่ตำแหน่งนี้ จากที่หลงฟั่นพูด ตำแหน่งนี้ทัศนวิสัยดี และเหมาะสมกับเธอ


กู้ซีจิ่วเหลือบมองออกไปด้านนอกอยู่บ่อยครั้ง มองผู้คนสัญจรไปมาบนถนนหนทาง มองดูพ่อค้าหาบเร่เหล่านั้นตะโกนขายของ เป็นภาพฉากของยุคสมัยที่รุ่งเรืองเฟื่องฟู


เธอพยายามประคองหลังที่โค้งงอให้ฝืนนั่งอยู่ได้ แขนเกือบยกขึ้นไม่ไหว ดังนั้นถึงแม้เธอจะหิวจนท้องร้องจ๊อกๆ แต่กลับไม่สามารถกินอาหารชั้นเลิศที่วางอยู่ตรงหน้าได้


เห็นได้ชัดว่าหลงฟั่นกำลังแก้แค้นเธอกับคำว่า ‘หลานรัก’ คำนั้น เขาคีบอาหารใส่จานเธอจนเต็ม แต่กลับไม่ป้อนให้สักคำ


แขกที่มากินข้าวในชั้นนี้ต่างเป็นลูกค้าสูงศักดิ์ เสมียนร้านจึงคอยเข้ามาดูแลไม่ขาด ทั้งอุ่นสุรารินน้ำและอื่นๆ


กู้ซีจิ่วอดทนอยู่ครู่หนึ่ง คอยเวลาให้เสมียนร้านมารินน้ำข้างกายเธอ จึงค่อยออกคำสั่งเสมียนร้านคนนั้น “เจ้าอยู่ตรงนี้ก่อน ประเดี๋ยวหลานรักของข้าจะตบรางวัลให้เจ้า” ถึงแม้เสียงของเธอจะแผ่วเบา แต่เมื่ออยู่ด้านหน้าโต๊ะตัวหนึ่งก็ยังคงได้ยิน


เสมียนร้านรับคำด้วยความยินดี ยืนอยู่ด้านข้างอย่างสุภาพ อีกทั้งยังมองดูจานด้านหน้าเธออย่างกระตือรือร้น เขารู้ว่าเธอเคลื่อนไหวไม่สะดวก “ท่านผู้เฒ่า ให้ข้าน้อยป้อนท่านเอาไหมขอรับ?”


กู้ซีจิ่วกลับเป็นผู้อาวุโสที่จุกจิกยิ่งนัก “ไม่จำเป็น หลานรักของข้าจะดูแลข้าเอง” ก่อนหันไปสั่งหลงฟั่นด้วยอาการสั่นเทา “หลานรัก เจ้ากตัญญูที่สุดแล้ว มา มาป้อนลูกชิ้นปู่สักคำ”


หลงฟั่นนิ่งอึ้ง


เมื่อเห็นเสมียนร้านคนนั้นจ้องมองเขา หลงฟั่นข่มอารมณ์คีบลูกชิ้นส่งให้ถึงปากกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วกินอย่างเนิบนาบ พลางออกคำสั่งอีกหนึ่งประโยค “หลานรัก ตักน้ำแกงให้ปู่อีกหน่อย”


เป็นครั้งแรกที่หลงฟั่นอยากจะกดหน้าเธอลงไปในถ้วยน้ำแกง!


ณ ตอนนี้ละครยังไม่เริ่มโหมโรง หลงฟั่นย่อมไม่อยากเปิดการแสดงเองก่อน เมื่อสักครู่เขายังเป็นหลานชายยอดกตัญญูอยู่ดีๆ เวลานี้จึงไม่อาจไม่กตัญญูได้ ทำได้เพียงแค่ป้อนให้เธอ


ลูกไม้ของกู้ซีจิ่วมากมายผิดปกติ เดี๋ยวติอาหารจานนี้หวานไป อาหารจานนั้นจืดชืดไป เธอยังอยากกินเนื้อกุ้ง ต้องการให้หลงฟั่นแกะเปลือกกุ้งให้…ทำให้หลงฟั่นหัวหมุน และเขาเองก็แทบไม่ได้กินอย่างเป็นสุขเท่าใด


หลงฟั่นขุ่นเคือง ส่งกระแสเสียงถึงเธอว่า ‘เธอควรรู้จักพอเหมาะพอควรบ้าง! ถ้ายังยั่วโมโหอีกฉันจะไม่ให้ยาถอนพิษ จะให้เธอต้องทนทุกข์ทรมาน!’


ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่สร้างเรื่องให้เขาอีก มองเขาด้วยสายตาพร่ามัวของชายชรา “หลานรัก ลำบากเจ้าแล้ว ยังต้องคอยดูแลไม้ใกล้ฝั่งอย่างข้าคนนี้อีก เจ้าเองก็ไม่ได้กินเสียเท่าใด เฮ้อ ช่างเถิด ป้อนน้ำแกงให้ปู่อีกสักคำสองคำ ปู่ก็อิ่มแล้ว”


เห็นแก่ที่เธอยอมลดละ หลงฟั่นจึงข่มอารมณ์ป้อนน้ำแกงให้ ทันใดนั้นเธอพลันสำลัก พ่นน้ำลายอีกทั้งน้ำแกงออกมาเต็มหน้าหลงฟั่น…


หลงฟั่นอึ้งตะลึง


เสียง ‘เพล้ง!’ ดังขึ้น ชามกระเบื้องถูกเขาบีบจนแตกเป็นเสี่ยง ทำให้เสมียนร้านผู้นั้นสะดุ้งตกใจ


กู้ซีจิ่วแสดงสีหน้ารู้สึกผิด “หลานรัก ปู่ไม่ได้ตั้งใจ แค่กๆ เจ้าอย่าโกรธไปเลย…แค่กๆ ไม่สนใจปู่แล้วอย่างนั้นรึ?”


————————————————————


[1] แม่เฒ่าเทียนซาน เป็นตัวละครในนวนิยายเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ผลงานประพันธ์ของกิมย้ง มียันต์เป็นตายที่เป็นวิชาสำคัญในการหาทาสมาใช้งาน โดยจะมอบยาบรรเทาอาการเจ็บปวดจากพิษของยันต์เป็นตายให้ปีละครั้ง


[2] สวีซู่เข้าค่ายเฉาเชา เป็นคำกล่าวอ้างถึง บทประพันธ์สามก๊ก สวีซู่ได้รับความช่วยเหลือจากหลิวเป้ย (เล่าปี่) จึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ช่วยเฉาเชา (โจโฉ) ออกอุบาย


บทที่ 1115 ต่อไปเธอจะทำได้


พนักงานที่อยู่ด้านข้างคนนั้นรีบช่วยไกล่เกลี่ย “จะเป็นไปได้ยังไงขอรับ? คุณชายท่านนี้กตัญญูถึงเพียงนี้ จะโมโหท่านผู้เฒ่าได้อย่างไรกัน? อันว่าคนสูงวัย ล้วนเป็นเช่นนี้ๆ คุณชาย ด้านล่างมีห้องที่สงบอยู่ ให้ผู้น้อยพาท่านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยไหมขอรับ?”


ทั้งหัวทั้งหน้าของหลงฟั่นเต็มไปด้วยน้ำแกง ว่ากันตามเหตุผลแล้วควรจะชำระล้างจัดการเสียหน่อย แต่คนผู้นี้ระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่คิดจะออกห่างกู้ซีจิ่วเลยสักก้าว ดังนั้นจึงยกมือร่ายวิชาทำความสะอาดตัวเองคราหนึ่ง หลังจากแสงสีขาวสายหนึ่งวาบผ่าน ร่างเขาก็หมดจดเหมือนใหม่


วิชาความสะอาดมีเพียงผู้ฝึกตนที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นแปดขึ้นไปถึงจะใช้ได้


ถึงแม้เมืองนี้จะไม่เล็ก แต่ผู้ฝึกตนระดับสูงกลับมีไม่มาก ผู้ที่สามารถใช้วิชาทำความสะอาดได้ยิ่งมีอยู่เพียงหยิบมือเท่านั้น นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้พบพานเลยสักท่าน พนักงงานคนนั้นเบิกตากว้างสีหน้าตกตะลึง


หลงฟั่นหรี่ตาลงนิดๆ ฝ่ามือพลันกดลงบนไหล่ของพนักงานคนนั้น “ลำบากเจ้าแล้ว”


พนักงานคนนั้นหน้าซีดเผือดในทันใด ร้องไม่ออกทรุดลงไปอย่างอ่อนแรง


กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงว่าเขาจะไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็สังหารคนเลย “คุณจะทำอะไร?!”


หลงฟั่นตอบด้วยสีหน้าไม่หือไม่อือ “เขารู้มากเกินไปแล้ว” พลางดีดปลายนิ้วไปที่ร่างของพนักงานคนนั้น ควันสีชมพูกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มพนกงานคนนั้นไว้ เมื่อควันสลายไป พนักงานคนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เห็นได้ชัดว่าถูกควันสีชมพูนั้นกร่อนสลายไปแล้ว


คนเป็นๆ ผู้หนึ่งหายไปเช่นนี้ กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากไม่พูดอะไรอีก


หลงฟั่นปัดไม้ปัดมือ มองเธอแวบหนึ่ง “ซีจิ่ว ชาติก่อนเธอก็ฆ่าคนไปไม่น้อย คงไม่ใช่ว่าตอนนี้จู่ๆ ก็มีจิตเมตตาปานพระโพธิสัตว์ขึ้นมากระมัง?”


กู้ซีจิ่วเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็น “ฉันไม่เคยฆ่าผู้บริสุทธิ์!”


หลงฟั่นมองเธออย่างลุ่มลึกแวบหึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ต่อไปเธอจะทำได้”


กู้ซีจิ่วไม่สนใจเขา ทราบว่าเขาคิดจะชุบเลี้ยงให้ตนกลายเป็นดาบของเขา บุกตะลุยไปทั่วหล้าเพื่อเขา


คนผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ได้ภักดีต่อโม่เจ้าผู้นั้นอ่างแท้จริง ไม่แน่เขาอาจมีใจทะเยอทะยานของตนด้วยเช่นกัน


กู้ซีจิ่วสัมผัสได้รางๆ ว่าบางทีหลงฟั่นผู้นี้อาจไม่ธรรมดา…


ขณะที่เธอกำลังใคร่ครวญอยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงที่ค่อนข้างโหวกเหวกดังแว่วมาจากด้านล่าง ผ่านไปครู่หนึ่ง พนักงานอีกคนก็วิ่งขึ้นมาพร้อมกับเด็กน้อยคนหนึ่ง มองเข้ามาในห้องส่วนตัวแวบหนึ่ง ตะลึงไปครู่หนึ่ง “จางวั่งมิได้อยู่ที่นี่หรือ?”


ชัดเจนยิ่งนัก พนักงานที่ถูกหลงฟั่นสังหหารไปเมื่อครู่นามว่าจางวั่ง ลูกน้องที่อยู่ข้างกายของหลงฟั่นตอบกลบประโยคหนึ่ง “จางวั่งหลิววั่งอันใดกัน ไม่เห็น”


“จางวั่งก็คือพนักงานร่างเตี้ยที่มาปรนนิบัติท่านลูกค้าผู้นั้น” พนักงานคนนั้นยิ้มสู้ “ภรรยาของเขาป่วยหนัก ลูกชายของเขาเลยมาตามเขา เถ้าแก่ก็อนุมัติให้ลาหยุดแล้วขอรับ”


เด็กน้อยวัยแปดเก้าขวบผู้นั้นสีหน้าร้อนรน ใบหน้าน้อยๆ แดงก่ำ “พวกท่านอาที่ชั้นล่างบอกว่า ท่านพ่อขงอข้ารับใช้ผู้สูงศักดิ์อยู่ที่นี่ ท่านแม่ข้าป่วยหนักมาก…”


ลูกน้องทั้งสองของหลงฟั่นตอบอย่างไม่มีน้ำอดน้ำทน “บอกว่าไม่อยู่ที่นี่ก็คือไม่อยู่ที่นี่ พวกเจ้าไปตามหาที่อื่นเถอะ”


พนักงานคนนั้นกับเด็กน้อยผู้นั้นไม่กล้าพูดอะไรอีก หันหลังจากไป ด้านนอกมีเสียงเปิดปิดบานประตูแว่วเข้ามา เห็นได้ชัดยิ่งว่าพนักงานคนนั้นกำลังพาเด็กน้อยไปตามหาจนทั่ว เพียงแต่พวกเขาหาไม่พบเลย


ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ชั้นล่างก็มีเสียงร่ำไห้ของเด็กน้อยคนนั้นแว่วขึ้นมา “ท่านพ่อไปไหนกันแน่? ท่านแม่ข้ายังรอให้เขาพาไปหาหมออยู่ที่บ้านนะ…”


หัวใจกู้ซีจิ่วหนาวเหน็บ


คนธรรมดาเหล่านี้ในสายตาของหลงฟั่นบางทีพวกเขาอาจเปรียบเสมือนมดปลวก บี้ส่งๆ ก็ตาย แต่สำหรับครอบครัวของผู้ตายแล้ว กลับเป็นโลกทั้งใบของพวกเขา สังหารส่งเดชคราหนึ่ง ทำลายไปหนึ่งครอบครัว…


หลงฟั่นมองดูเธอ “ใจอ่อนเหรอ? นึกไม่ถึงว่านักฆ่าอย่างเธอก็ใจอ่อนเป็นเหมือนกัน” เขาหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง “โลกนี้ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง เคารพผู้แข็งแกร่งเป็นเรื่องที่เป็นไปตามครรลอง ทำให้คนฉลาดอยู่รอดบนโลกนี้ได้ ส่วนคนธรรมดาพวกนี้ อันที่จริงพวกเขาไม่มีแม้แต่คุณสมบัติที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ มีชีวิตอยู่ก็เปลืองทรัพยากร เปลืองอาหาร…”


———————————————————


บทที่ 1116 เลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุขึ้น


กู้ซีจิ่วอึ้งเล็กน้อย “นี่คือเหตุผลที่คุณสร้างมนุษย์โคลนนิ่งขึ้นเหรอ?”


“การโคลนนิ่งเป็นแค่ปัจจัยหนึ่ง ที่ฉันต้องการทำคือการปรับปรุงพันธุกรรม ทำให้คนฉลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่อาจปล่อยให้คนชั้นต่ำพวกนี้มีมากจนกลบคนฉลาดได้…”


เวรเอ้ย นี่มันตรรกะป่วย! เหมือนตรรกะป่วยๆ ของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง!


ดูเหมือนคนผู้นี้ไม่ใช่แค่อยากเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้ซะแล้ว แต่คิดจะเป็นพระเจ้าผู้สร้างมนุษย์! ความคิดน่าพรันพรึงยิ่งกว่าฮิตเลอร์เสียอีก!


นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องนั้นไม่น่ากลัว แต่นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่ถูกแนวคิดของฮิตเลอร์ล้างสมองสิถึงจะน่ากลัว หากปล่อยให้เขาได้ครอบครองโลกใบนี้ แบบนั้นสิถึงจะเป็นโลกาวินาศของจริง! บางทีโม่เจ้าผู้นั้นอาจไม่ใช่ตัวการหลัก ตัวการหลักที่แท้จริงน่าจะเป็นผู้อาวุโสหลงฟั่นคนนี้…


กู้ซีจิ่วไม่สนใจเขา มองทิวทัศน์ด้านนอกไปเรื่อย


หลงฟั่นมองเงาร่างด้านข้างของเธอ แววตาสาดแสงเล็กน้อย


จู่ๆ เขาก็สำนึกเสียใจขึ้นมา เสียใจที่ไม่ได้ลบความทรงจำทั้งหดของกู้ซีจิ่ว ถ้าเป็นแบบนั้นเธอจะเป็นเหมือนทารกแรกเกิด ยอมให้เขาอบรมสั่งสอนเติบโตแบบที่เขาคาดหวัง มิใช่มีดีมีชั่วของตัวเช่นนี้ และไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อเขาเหมือนในยามนี้


บางทีหลังจากเขากลับไปแล้วอาจจะวิจัยตัวยาที่ลบความทรงจำไปอย่างสมบูรณ์ได้ ค่อยๆ ใช้กับเธอ…


เขาแอบวางแผนอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์


กู้ซีจิ่วกำลังมองด้านนอกไปเรื่อยเปื่อยยู่ทันใดนั้นเธอก็สัมผัสถึงบางอย่างด้ หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เธอเหลือบมองส่งๆ แวบหนึ่ง เห็นว่าในห้องของอาคารที่อยู่ตรงข้ามกับอาคารหลังนี้ มีคนเข้าไปแล้ว


ฝั่งนั้นมีม่านมุกโปร่งใสแขวนอยู่ ในรอยแยกของม่านมุก กู้ซีจิ่วมองเห็นคนสองคน คนที่คุ้นเคยสองคน…


เป็นอิงเหยียนนั่วที่สูงโปร่งกับ ‘กู้ซีจิ่ว’


จู่ๆ หลงฟั่นก็กุมข้อมือเธอไว้ ยิ้มน้อยๆ “ซีจิ่ว ทิวทัศน์ของที่นี่ไม่เลวเลยกระมัง?”


กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร


สายตาของหลงฟั่นจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าเธอ ทันใดนั้นก้นึกเสียใจที่ให้เธอแปลงโฉม ตอนนี้เธอมีรอยตีนกายับย่น ต่อให้สีหน้าแปรเปลี่ยนก็มองไม่ออก


เขารู้ว่ายามปกติกู้ซีจิ่วจะทำการอย่างสุขุมเยือกเย็นนัก คิดจะทำให้เธอเสียกริยาน่าจะยากยิ่งกว่าปีนขึ้นสวรรค์ เพียงแต่ถ้าหากเธอไม่ได้สูญเสียความทรงจำ ด้วยความรู้สึกที่เธอมีต่อตี้ฝูอี พอพบเห็นเขา ต่อให้ทำเป็นเรียบเฉยไร้อารมณ์ อย่างน้อยหัวใจก็คงเต้นรัวบ้างกระมัง?


แต่ไม่มีเลย! น้ำเสียงเธอราบเรียบมั่นคง อัตราหัวใจก็ไม่เร็วขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รับแรงกระตุ้นอะไร ดูเหมือนความทรงจำของเธอจะไม่ได้ฟื้นฟูกลับมาจริงๆ


เดี๋ยว ไม่ถูกสิ ตี้ฝูอีที่เป็นอิงเหยียนนั่วในยามนี้ กู้ซีจิ่วก็คงจะไม่รู้เหมือนกัน


ไม่ทราบเช่นกันว่าหลงฟั่นโล่งอกหรือว่าผิดหวังเล็กน้อย อันที่จริงเขายังคงชอบชมละครเป็นที่สุด หากทำให้กู้ซีจิ่วที่มีความทรงจำอยู่มาเห็นฉากนี้เข้าไม่รู้ว่าเธอจะเป็นยังไงกัน?


เขาเกรงว่ากู้ซีจิ่วจะตะโกนออกมา ดังนั้นขณะที่เขากุมข้อของกู้ซีจิ่วไว้ก็ถือโอกาสสกัดจุดใบ้เธอไปด้วย ทำให้เธอส่งเสียงไม่ได้เลย


ตี้ฝูอีผู้นั้นเจ้าเล่ห์เกินไป มักจะขุดหลุมดักผู้อื่นอยู่เสมอ เขาต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เลี่ยงไม่ให้เกิดเหตุขึ้น


เขามองไปทางตี้ฝูอีครู่หนึ่ง มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม


ไม่รู้ว่ารูปโฉมในยามนี้ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ใช่รูปโฉมที่แท้จริงของเขาหรือไม่ ดูสง่างามยิ่งนัก ซ้ำยังคลั่งรักอีกด้วย ธาตุไฟเข้าแทรกจนกลายเป็นเด็ก ก็ยังอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว…


หลงฟั่นเป็นหมอชั้นเลิศอย่างไม่ต้องสงสัยเลย เป็นธรรมดาที่จะมองสีหน้าคนได้ เขามองออกว่าใบหน้าของตี้ฝูอีมีเค้าความเจ็บป่วยอยู่รางๆ พลังยุทธ์อยูที่ประมาณพลังวิญญาณขั้นเก้า เขากับอูอู๋เหยียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะที่ติดหน้าต่าง สงคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาน่าจะเป็นผู้คุ้มกันทั้งสองของเขา…


อูอู๋เหยียนเล่นละครได้ไม่เลวเลย ทุกอากัปกริยาเหมือนกู้ซีจิ่วไม่มีผิด เพียงแต่อย่างไรเสียก็เพิ่งบาดเจ็บสาหัสมา


——————————————————–

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)