พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1109-1110

 บทที่ 1109 เฟิงเป่ยเฉินล้ม

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในห้องอีกห้องหนึ่ง หลังจากเหมียวอี้โยนพู่กัน แท่นฝนหมึกและกระดาษให้ ก็เตือนเพียงว่า “มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เจ้าฝึกได้เท่าไรก็เขียนออกมาเท่านั้น ถ้าเจ้าเขียนต่างจากอาจารย์ของเจ้า ก็รับผลที่ตามมาเองแล้วกัน”


หลี่โม่จินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “อาจารย์ข้าจะเขียนเหรอ?”


“ข้าว่าเจ้ารู้จักเฟิงเป่ยเฉินดีกว่าข้านะ เจ้าคิดว่าเขากระดูกแข็งขนาดไหนล่ะ?” เหมียวอี้ถามกลับ


ความเงียบช่างมีค่าดั่งทองจริงๆ หลี่โม่จินไม่พูดอะไรมากแล้ว เริ่มฝนหมึกอย่างช้าๆ ยกพู่กันขึ้นมาเขียนของตัวเอง…


เหมียวอี้ถึงขั้นไม่ส่งคนไปเฝ้าเขา เหาะขึ้นมาเหยียบบนตึกที่สูงที่สุดของนภาอู๋เลี่ยง จ้องมองฉินซีและลูกสาวเดินเคียงข้างกันอยู่ในสวนดอกไม้ ไม่น่าเชื่อว่าฉินซีที่มีใบหน้าเย็นชามาตลอดจะเผยรอยยิ้มออกมาเป็นระยะ รอบข้างว่างเปล่าไร้คน ทั้งสองพูดคุยกันไม่หยุด


เขากำลังคิดว่าทำไมฉินซีถึงคลอดฉินเวยเวยไว้ให้หยางชิ่ง มีความเป็นไปได้ไม่น้อยว่าจะใช้วิธีนี้ล้างแค้นเฟิงเป่ยเฉิน ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าฉินซีจะบอกความจริงกับฉินเวยเวยหรือไม่ ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมหยางชิ่งจึงต้องเป็นพ่อบุญธรรมของฉินเวยเวย ถ้าให้ฉินเวยเวยรู้ว่าตัวเองเป็นลูกสาวนอกสมรส แล้วนางจะทนความรู้สึกได้อย่างไร!


ถ้าไม่ใช่เพราะโดนกดดันจนหมดทางเลือก เหมียวอี้ก็สงสัยว่าหยางชิ่งคงจะปิดบังเรื่องนี้กับตนตลอดไป


ขณะที่มองไปโดยรอบ ในใจเหมียวอี้ก็แอบคำนวณเวลาว่าปราชญ์อีกห้าคนจะมาถึงเมื่อไร คาดว่าหลังจากคนพวกนั้นของนภาอู๋เลี่ยงหนีไปแล้ว ข่าวที่อยู่รอบๆ ก็น่าจะมั่วรวมกันเป็นกลุ่ม หวังไม่ให้มีคนปล้นชิงตามไฟ ไปปล้นทรัพย์สินและสิ่งของในโลกมนุษย์


เขาไม่อยากเห็นทั้งแดนอู๋เลี่ยงเกิดความโกลาหล ชาวบ้านตกอยู่ในความทุกขเวทนา แต่พอลองเปลี่ยนความคิด ก็คาดว่าต่อให้มีคนต้องการจะปล้น ก็คงจะลงมือกับบ้านที่ร่ำรวยพวกนั้น คงปล้นเอาอะไรจากมือชาวบ้านธรรมดาไม่ได้ ทั้งยังเสียเวลาด้วย


ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าท่านทูตแต่ละสายทราบข่าวแล้วจะมายอมจำนนหรือเปล่า แต่คิดไปคิดมาก็พบว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ คาดว่าคงรอตัดสินใจอีกทีหลังจากเห็นสถานการณ์สุดท้าย ถ้าจะให้ยอมจำนน คาดว่าคงมีความเป็นไปได้มากกว่าที่จะไปขอพึ่งอีกห้าปราชญ์ ถ้าอยากจะทำให้แดนอู๋เลี่ยงสงบลง หลักๆ ก็ยังต้องรอผลลัพธ์ระหว่างเขากับปราชญ์อีกห้าคนก่อน


หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม สงเวย ฝูชิง อิงอู๋ตี๋และหงเทียนก็มาพร้อมกัน พอทั้งสี่คนที่เหาะลงมากฟ้ารู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินแพ้แล้ว พวกเขาก็มองหน้ากันเลิกลั่ก


ห้าคนพี่น้องพูคุยกันได้ไม่นาน ราชาปีศาจและแม่ทัพปีศาจกลุ่มหนึ่งของทะเลดาวนักษัตรก็ทยอยกันมาถึง ประมุขถิ่นทั้งสี่ทำตามเจตนาของเหมียวอี้ทันที วางกำลังพลไว้รอบๆ นภาอู๋เลี่ยงแล้ว รอการมาถึงของห้าปราชญ์อย่างเงียบๆ


ตรงนี้เพิ่งจะแบ่งวางกำลังพล เหมียวอี้ก็ตบเกราะรบที่สวมไว้บนร่างกายตลอด พร้อมพูดกับทั้งสี่ด้วยรอยยิ้มว่า “สวมเกราะรบของพิภพใหญ่เอาไว้เถอะ”


ทั้งสี่สบตากันแวบหนึ่ง ฝูชิงกล่าวอย่างลังเลว่า “เจ้าห้า แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ? เกรงว่าต่อให้สวมเกราะรบ พวกเราก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกขาอยู่ดี”


เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ แล้วตอบว่า “ข้ามีแผนการของตัวเองแล้ว”


ในตอนนี้ ฉินเวยเวยกับฉินซีมาถึงแล้ว กลุ่มปีศาจเฒ่าจ้องที่ตัวของฉินซีแล้ว ไม่ได้จ้องเพราะความสวยของฉินซี แต่แปลกใจที่เหมียวอี้ไม่ได้ฆ่านางทิ้ง


สงเวยส่งสายตาแปลกๆ ให้ทุกคน หัวเราะแบบไมม่มีเสียง แล้วบอกว่า “เจ้าห้านี่เข้าใจเสพสุขนะ!”


เหมียวอี้กล่าวอย่างดูถูกว่า “ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกท่านคิดหรอก”


“ไม่ต้องพูดถึงความงามของผู้หญิงคนนี้เลย ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นเนื้อต้องห้ามส่วนตัวของเฟิงเป่ยเฉินได้ยังไง ถ้าเจ้าห้าไม่สนใจ งั้นข้าก็จะไม่เกรงใจแล้วนะ” สงเวยกล่าวกลั้วหัวเราะ


เหมียวอี้กล่าวด้วยสีหน้าขรึม “พี่ใหญ่ นางยอมแพ้ให้ข้าแล้ว ตอนนี้เป็นลูกน้องของข้าแล้ว”


“อ้อ!” สงเวยขานรับด้วยน้ำเสียงที่แฝงความหมายลึกซึ่ง ปีศาจเฒ่าทั้งสี่สบตากันแวบหนึ่งแล้วยิ้ม ทุกคนทำท่าทางเหมือนรู้อยู่แก่ใจ ชัดเจนว่าเข้าใจว่าเหมียวอี้อยากจะเก็บไว้เป็นเนื้อต้องห้ามของตัวเอง


ฝูชิงแอบเตือนเสียงเรียบ “เจ้าห้า น้องสะใภ้ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะรังแกกันได้ง่ายๆ นะ ต้องปลอบโยนดีๆ ล่ะ! ไม่อย่างนั้นถ้าเรื่องในบ้านวุ่นวายขึ้นมา พวกเราก็ไม่มีมีใครจะช่วยได้ทั้งนั้น”


พอนึกถึงอวิ๋นจือชิวที่ค่อนข้างหยาบคาย พวกปีศาจเฒ่าที่เคยได้รับบทเรียนมาแล้วก็แอบหัวเราะพร้อม


เหมียวอี้กลอกตามองบน ถ้าพวกเขาอยากจะคิดเบี่ยงเบนไปทางนั้น เหมียวอี้ก็ช่วยไม่ได้ ประเด็นสำคัญคือเรื่องนี้ไม่มีทางอธิบายได้ ในใจก็ยิ้มเจื่อนเหมือนกัน เกิดเป็นผู้หญิงหากสวยเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรเลยจริงๆ โดยเฉพาะเวลาที่สูญสิ้นคนหนุนหลัง ก็กลายเป็นแค่เนื้อก้อนเดียวเท่านั้น ใครจะอยากจะคีบใส่ชามตัวเองไปลองชิมก็ได้ทั้งนั้น


ตอนที่ฉินเวยเวยมาคำนับพวกพี่ชาย ปีศาจเฒ่าทั้งสี่ก็ทำท่าทางเรียบร้อยจริงจังขึ้นมา ส่วนฉินซีก็ยืนดูอย่างสงบนิ่งอยู่ไกลๆ


บังเอิญว่าตอนนี้หลิงเทียนปรากฏตัวและพยักหน้าอยู่ไกลๆ เหมียวอี้สั่งอะไรพวกเขานิดหน่อยแล้วเอามือไขว้หลังเดินออกไปแล้ว


มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงส่วนที่หลี่โม่จินฝึก เหมียวอี้ได้มาไว้ในมือแล้ว ทั้งยังทำสำเนาไว้บนแผ่นหยกแล้วด้วย


พอมาถึงห้องหนังสือ ก็หยิบปึกกระดาษที่เฟิงเป่ยเฉินเขียนขึ้นมา ถึงแม้อีกฝ่ายจะบาดเจ็บสาหัส แต่ตัวอักษรก็ยังสวยงามกว่าที่เหมียวอี้เขียนไม่รู้ตั้งกี่เท่า หลังจากอ่านไปนิดหน่อย ก็ถือปึกกระดาษไขว้หลัง แล้วจ้องมองเฟิงเป่ยเฉินที่ค่อนข้างเครียดกังวล “จะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง รอให้ได้จากเทพยากรณ์มาเปรียบเทียบก่อน ต้องมีตรงไหนเขียนผิด เวลาตายของเจ้าก็จะมาถึง”


“ไม่มีผิดพลาด! ไม่ผิดพลาดแน่นอน!” เฟิงเป่ยเฉินกล่าวอย่างนอบน้อม


เหมียวอี้หันตัวเดินมานั่งลงอีกด้าน พลิกดูแผ่นหยกที่คัดลอกมาจากมือหลี่โม่จิน แล้วเทียบกับที่เฟิงเป่ยเฉินเขียน


เมื่อเห็นเขาดูแผ่นหยก แล้วก็ดูสิ่งที่ตัวเองเขียน เฟิงเป่ยเฉินก็แอบตกใจ อย่าบอกนะว่าในมือเขามีอยู่ตั้งนานแล้ว เพียงจงใจจะหยั่งเชิงว่าตนซื่อสัตย์หรือไม่?


ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าลูกศิษย์ตัวเองอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว


บางครั้งเหมียวอี้ก็มองเห็นปฏิกิริยาของเฟิงเป่ยเฉินอย่างเงียบๆ โดยบังเอิญเช่นกัน เห็นเพียงสีหน้าที่เฝ้าคอยและเครียดกังวล


หลังจากเทียบเนื้อหาที่หลี่โม่จินเขียนและเนื้อหาที่เฟิงเป่ยเฉินเขียนแล้ว ในใจเหมียวอี้ก็พอจะมีข้อมูลคร่าวๆ เทียบมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงที่หลี่โม่จินฝึกกับของเฟิงเป่ยเฉินแล้ว พบว่าไม่มีผิดพลาด จะเห็นได้ว่าอาจารย์และลูกศิษย์คู่นี้ ‘ซื่อสัตย์’มาก


ทว่าหลังจากเหมียวอี้เปรียบเทียบเสร็จแล้ว กลับกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “บังอาจหลอกลวงตบตา…หลิงเทียน ส่งเขาขึ้นไปเถอะ!”


เฟิงเป่ยเฉินอุทานอย่างตกใจมาก “เป็นไปไม่ได้ ไม่ผิดพลาด ไม่ผิดพลาดแน่นอน! ข้าจดจำมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงไว้ในสมอง แม้แต่ตัวอักษรเดียวก็ไม่ผิด ฉบับที่อยู่ในมือเจ้าจะต้องมีปัญหาแน่นอน ให้ข้าดูฉบับที่อยู่ในมือเจ้าหน่อย!”


เหมียวอี้จ้องเขาครู่หนึ่ง แล้วเอียงหน้าเล็กน้อย “ทำให้เขาหมดทุกข์ซะ!”


“ไอ้เหมียวจัญไร…” เสียงอุทานตกใจของเฟิงเป่ยเฉินพลันหยุดชะงัก ถลึงดวงตาเบิกกว้าง เลือดร้อนๆ พุ่งออกมาจากคอ ส่วนคอแทบจะถูกกรงเล็บของหลิงเทียนฉีกขาด จนกระทั่งตอนนี้ เฟิงเป่ยเฉินถึงได้เข้าใจว่าเหมียวอี้จงใจจะหาเรื่องฆ่าเขาอยู่แล้ว


แต่เขาไม่เชื่อ ก่อนที่จะแน่ใจได้เต็มที่ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม เขาจะฆ่าตนได้อย่างไร? อย่าบอกนะว่าในมือเขาจะมีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงจริงๆ? ถ้าหากมีจริงๆ แล้วก็อยากฆ่าตนอยู่แล้ว ก็ลงมือตรงๆ เลยก็ได้ ทำไมต้องให้ข้าเขียนด้วย ไม่สอดคล้องกับเหตุผล…


ความคิดสุดท้ายแวบผ่านเข้ามาในหัว พอคอเอียงลง ร่างที่ไม่สมประกอบก็ล้มนั่งลงบนที่นั่งเดิมของตัวเอง ตายตาไม่หลับ!


เหมียวอี้นำของที่อีกฝ่ายเขียนม้วนเก็บไว้ด้วยกัน จ้องศพของเฟิงเป่ยเฉินครู่หนึ่ง แล้วหันตัวเอามือไขว้หลังเดินออกไป


เขาไม่สนใจแล้วว่าจะเป็นของจริงหรือของปลอม เดาว่าคนอย่างเฟิงเป่ยเฉินคงไม่กล้าให้ของปลอมอยู่แล้ว ถ้าสงสัยก็แค่ไปหาคนมาฝึกก็พอ ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงเคล็ดวิชาภาคคน


จุดสำคัญก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยจะไร้ซึ่งจิตใจที่หยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดนี้ เกียรติอันสูงส่งสักนิดก็ไม่เอาแล้ว ถ้าเป็นคนประเภทสวีถังหรานก็ว่าไปอย่าง แต่เฟิงเป่ยเฉินดันมีจิตใจทะเยอทะยานถึงขีดสุด ถามหน่อยว่าต่อไปยังมีเรื่องอะไรบ้างที่เขาจะทำไม่ได้ เหมียวอี้ไม่กล้าเก็บเขาไว้ และไม่อยากเก็บเขาไว้ด้วย ให้เขาตายไวๆ ก็นับว่าหลงเหลือเกียรติไว้ให้เขาแล้ว


ที่จริงในสายตาเหมียวอี้ คนประเภทเฟิงเป่ยเฉินที่อยู่เหนือผู้คนมานานนับแสนปี วิธีการตายที่มีเกียรติที่สุดก็คือตายในสนามรบ ไม่ใช่ตายด้วยจิตใจที่ไร้ซึ่งความหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่อย่างนั้นคนในใต้หล้าจะรู้สึกอย่างไร ขนาดเหมียวอี้ยังทนมองไม่ไหว แต่เฟิงเป่ยเฉินดังยอมถ่วงเวลาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป…


ศพของเฟิงเป่ยเฉินถูกหลิงเทียนลากออกมา ถูกนำมาโยนไว้ในลานบ้าน โยนอยู่ตรงเท้าของพวกสงเวย


พวกเขาจ้องศพเฟิงเป่ยเฉินแล้วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลงอนิจจัง สงเวยถอนหายใจ “มีอำนาจล้มใต้หล้า เสพสุขจากเกียรติยศความร่ำรวยมาเต็มที่ ทั้งชีวิตนี้เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่ได้นับว่าเสียชาติเกิด!”


ฉินซีเดินเข้ามาเงียบๆ แล้วบอกเหมียวอี้ว่า “คนตายแล้วบุญคุณความแค้นก็หมดไป ความขัดแย้งของพวกท่านก็หายไปแล้วเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องข่มเหงศพของเขาเช่นนี้ ถึงอย่างไรข้ากับเขาก็เคยเป็นสามีภรรยากัน มอบศพของเขาให้ข้าเถอะ ถือว่าให้ข้าได้ตัดจบเรื่องนี้”


เหมียวอี้พยักหน้า “ช้าก่อน! รอให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนมาถึง หลังจากพวกเขาเห็นหมดแล้ว ท่านค่อยฝังศพให้!”


ฉินซียังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เหมียวอี้หันตัวเดินจากไปแล้ว ไม่เหลือที่ว่างให้ปรึกษากันเลย


สงเวยหันกลับมาบอกว่า “แขวนธงไว้!”


นี่คือสิทธิ์ของผู้ชนะ และเป็นการประกาศว่าแดนอู๋เลี่ยงเปลี่ยนเจ้าของแล้ว


ผ่านไปไม่นาน เสาธงที่สูงตระหง่านก็ตั้งอยู่บนพื้นที่ว่างของนภาอู๋เลี่ยงอย่างโดดเด่นสะดุดตา ร่างของเฟิงเป่ยเฉินถูกแขวนปลิวสะบัดตามลมอยู่ข้างบน ดวงตาทั้งสองข้างยังคงเบิกโพลง


เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาหลายปี คุ้นเคยกับทุกอย่างที่นภาอู๋เลี่ยง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะยังมองเห็นหรือไม่


เหมียวอี้เองก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร กำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งสือ นั่งบนตำแหน่งเดียวกับที่เฟิงเป่ยเฉินนั่งก่อนหน้านี้ บนโต๊ะยังมีรอยเลือด เหมียวอี้ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น สีหน้าเรียบเฉย กำลังถือพู่กันคัดตัวอักษร ท่าทางเหมือนมีสมาธิจดจ่อ


หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม หงเทียนก็วิ่งเข้ามา แล้วกล่าวอย่างร้อนใจว่า “เจ้าห้า มู่ฝานจวินมาแล้ว!”


สายตาไปหยุดอยู่บนกระดาษที่ปูแผ่แล้วชะงัก ยังนึกว่าเขียนอะไรที่สำคัญ พอได้เห็นถึงรู้ว่าเขียนไปส่งเดชอย่างนั้นเอง นึกไม่ถึงว่าในเวลาแบบนี้เหมียวอี้จะมีกะจิตกะใจมาคัดตัวอักษร!


“แดนเซียนกับแดนพุทธะอยู่ใกล้ที่นี่ ข้ากำลังคิดอยู่ว่าในบรรดาพวกเขาสองคนใครจะมาถึงก่อน!” เหมียวอี้พูดจบแล้วหยุดเขียนพู่กัน วางพู่กันเอาไว้ส่งเดช แล้วบอกว่า “ไป! ไปดูหน่อย!”


พอมาถึงด้านนอกถึงได้พบว่ามู่ฝานจวินยังอยู่บนฟ้า กำลังลอยอยู่ข้างๆ เสาธงต้นนั้น มองดูศพของเฟิงเป่ยเฉินเงียบๆ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไร


เหมียวอี้ที่ปรากฏตัวในลานบ้านกุมหมัดคารวะแต่ไกลๆ “ท่านปราชญ์มาเยือนด้วยตัวเอง ขออภัยที่ข้าน้อยไม่ได้ไปต้อนรับใกล้ๆ!”


มู่ฝานจวินเอียงหน้ามองลงมา แล้วถลันตัวลงมา ย้ายสายตาจากเกราะรบบนตัวเหมียวอี้ไปยังพวกฝูชิงที่ยืนเรียงแถวอยู่ข้างหลัง


ทั้งสี่ล้วนสวมใส่เกราะรบผลึกแดง ล้วนเป็นชุดที่อวิ๋นจือชิวมอบให้ ถึงแม้จะสู้เกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงบนตัวเหมียวอี้ไม่ได้ แต่ของที่ไม่เคยเห็นที่พิภพเล็กมารวมตัวและโผล่อยู่ตรงหน้ามู่ฝานจวินแล้ว ยังทำให้มู่ฝานจวินตาเป็นประกาย


“พวกเจ้าร่วมมือกันฆ่าเฟิงเป่ยเฉินเหรอ?” มู่ฝานจวินถามอย่างเย็นเยียบ


เหมียวอี้ยิ้มตอบ “ถ้าข้าจะฆ่าเขาก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ไม่จำเป็นต้องให้พวกพี่ๆ มาร่วมมือกกันหรอก ถ้าร่วมมือกันจริงๆ ท่านปราชญ์คงไม่ได้มีโอกาสรับข่าวจากเฟิงเป่ยเฉินเหมือนกัน ข้าน้อยทำคนเดียว! ที่จริงข้าก็น้อยก็ไม่อยากจะฆ่าเขา แต่เขาดึงดันจะหาเรื่องข้าน้อยให้ได้ ตัวเองมารนหาที่ตายเอง เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่มีอะไรให้เกรงใจ!”


“ฆ่าเขาง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ?” มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “ฟังจากความหมายในคำพูดของเจ้า เหมือนกำลังพูดสิ่งนี้ให้ข้าฟังนะ เจ้ากำลังขู่ข้าเหรอ?”


เหมียวอี้กุมหมัดตอบ “มิบังอาจ! ต่อให้จะขู่ใครแต่ก็ไม่กล้าขู่ท่าน ท่านเองก็รู้สาเหตุ” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ เยว่เหยายังอยู่ในมือท่าน


…………………………


บทที่ 1110 ห้าปราชญ์รวมตัวกัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถึงแม้จะพูดจาน่าฟัง แต่มู่ฝานจวินก็ไม่ใช่คนโง่ จากบนตัวเหมียวอี้นางมองไม่ออกเลยว่าเขาเห็นนางอยู่ในสายตา


“เกราะรบบนตัวเจ้าแปลกตาดีนะ เอามาให้ข้าดูหน่อยสิ” มู่ฝานจวินยื่นมือขอตรงๆ


เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องรีบ! รอให้พวกอวิ๋นอ้าวเทียนมาก่อน ทุกคนจะได้ค่อยๆ ดูพร้อมกันขอรับ”


มู่ฝานจวินส่งสายตาที่คมกริบราวกับคมมีดทันที “เจ้ากล้าไม่ฟังข้าเหรอ?”


เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็นว่า “มิบังอาจ! เพียงแค่ตอนนี้ไม่สะดวกจะให้ พวกเราต้องสวมเอาไว้ขู่คนสักหน่อยขอรับ!”


ย่อมไม่ต้องบอกแล้วว่าขู่ใคร! มู่ฝานจวินเดือดดาลในใจ เกิดอารมณ์วู่วามอยากจะลงมือ ในโลกนี้มีคนกล้าพูดกับนางแบบนี้เพียงไม่กี่คน โดยเฉพาะเหมียวอี้ที่ก่อนหน้านี้ยังพูดจาเคารพนอบน้อมต่อหน้านาง ยากที่จะดับไฟโกรธที่เดือดอยู่ในอก


แต่พอเห็นสีหน้าที่สงบนิ่งของเหมียวอี้ ทั้งยังประมุขถิ่นทั้งสี่ที่ทำท่าจ้องมองอย่างดุร้าย แล้วนึกเชื่อมโยงไปยังร่างของเฟิงเป่ยเฉินที่ยังแขวนอยู่บนเสาธง นางยังไม่รู้ชัดว่าศักยภาพของเหมียวอี้เป็นอย่างไรกันแน่ สุดท้ายก็ยังไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร


เหมียวอี้เบี่ยงตัวแล้วยื่นมือเชิญ “เชิญข้างในขอรับ!”


ทำท่าทางเหมือนนภาอู๋เลี่ยงเป้นบ้านของเขาไปแล้ว มู่ฝานจวินมองซ้ายมองขวาดูสถานการณ์ของที่นี่แวบหนึ่ง นางไม่ได้กลัวว่าข้างหน้าจะมีการดักซุ่มโจมตี นางเดินก้าวยาวเข้าไป  ถูกเชิญให้ไปนั่งลงในสวนดอกไม้


เพิ่งนั่งได้ประเดี๋ยวเดียว ปราชญ์พุทธะฉางเหลยก็มาถึงแล้ว เช่นเดียวกับมู่ฝานจวิน หยุดลอยอยู่บนฟ้าเช่นกัน ขณะจ้องมองร่างที่ตายตาไม่หลับของเฟิงเป่ยเฉิน ก็ดึงนับสร้อยลูกประคำในมือที่ละเม็ด


เหมียวอี้เดินออกมาจากศาลา แล้วกุมหมัดทักทาย “ปราชญ์พุทธะให้เกียรติมาเยือน ถือเป็นเกียรติของบ้านนี้ ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับใกล้ๆ!”


บ้านนี้? ฉางเหลยเหลือบตาลงมอง แอบด่าในใจว่าเจ้าเด็กนี่กำเริบเสิบสานนัก ไม่เกรงใจเลยสักนิด เห็นนภาอู๋เลี่ยงเป็นบ้านตัวเองไปแล้วจริงๆ


“เชอะ!” มู่ฝานจวินที่นั่งสง่าอยู่ในศาลาพ่นเสียงทางจมูก


สงเวยและคนอื่นๆ ที่อยู่ในศาลาแอบส่งสายตาให้กัน วันนี้เจ้าห้าไม่ได้กำเริบเสิบสานธรรมดา!


“อามิตาพุทธ!” ฉางเหลยประนมมือพลางกล่าวต่อศพของเฟิงเป่ยเฉิน แล้วถลันตัวไปตรงหน้าเหมียวอี้ หรี่ตายิ้มเหมือนมีเมตตากรุณา แต่ในดวงตากลับฉายแววดุร้าย


เขายังไม่ทันพูดอะไร มู่ฝานจวินที่อยู่ในศาลาก็กล่าวแล้วว่า “ไม่ต้องถามแล้ว เขาเป็นคนฆ่าเฟิงเป่ยเฉิน! พระเถระ ท่านเองก็ไม่ต้องมาแสร้งทำตัวมีเมตตาตรงนี้แล้ว ถ้ามองเขาแล้วไม่ถูกชะตา  ก็ลงมือได้เลย ข้ารับรองว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซง!”


นางอยากจะให้ฉางเหลยทดสอบฝีมือของเหมียวอี้ใจจะขาด


เหมียวอี้ยิ้มบางๆ ทำท่ายื่นมือเชิญไปทางในศาลา “เชิญขอรับ!”


ฉางเหลยประนมมือขอบคุณ คนที่ออกบวชมีความสุภาพเกรงใจเต็มเปี่ยม ไม่ฟังคำพูดเสี้ยมเขาควายของมู่ฝานจวินเพื่อให้อีกฝ่ายได้ผลประโยชน์ เขามานั่งลงในศาลาแล้ว


เหมียวอี้ให้พวกเขาดื่มน้ำชา แต่เห็นได้ชัดว่ามู่ฝานจวินและฉางเหลยกลัวว่าเขาจะเล่นไม่ซื่อ ไม่มีใครแตะต้องถ้วยน้ำชาที่วางอยู่ตรงหน้า


“ค่อยๆ ดื่ม!” เหมียวอี้เอ่ยบอก แล้วขออภัยที่นั่งเป็นเพื่อนไม่ได้ พอออกจากศาลามาแล้ว ก็พูดกับพวกสงเวยที่ยืนอยู่รอบๆ ศาลาว่า “รอให้แขกมากันครบแล้ว รบกวนแจ้งข้าสักหน่อยนะ”


ทั้งสี่ที่สวมเกราะรบพยักหน้าเบาๆ เกราะรบ เหมียวอี้เอเมือไขว้หลังเดินจากไปอย่างไม่รีบร้อน ไม่ต้องมองเขาก็รู้ว่าสายตาของฉางเหลยกับมู่ฝานจวินกำลังจ้องอยู่บนตัวเขา


หลังจากกลับมาถึงห้องหนังสือ เหมียวอี้ก็นั่งลงหน้าโต๊ะที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ถือพู่กันคัดตัวอักษรต่อไป


ผ่านไปอีกสองชั่วยาม ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวก็มาถึงแล้วเช่นกัน เหมือนกับสองคนแรก เขาจ้องมองศพของเฟิงเป่ยเฉินอยู่พักใหญ่


“ผีเฒ่า เจ้าบ้านเชิญเจ้าดื่มน้ำชาน่ะ” จนกระทั่งเสียงของมู่ฝานจวินดังมา ซือถูเซี่ยวถึงได้ถลันตัวมาเหยียบลงนอกศาลา พอเห็นสองคนที่อยู่ในศาลาแล้วถึงได้เดินเข้าไป


ขณะที่แสงอาทิตย์ยามเย็นสาดส่องทั่วท้องฟ้า ตรงขอบฟ้าก็มีเมฆดำสายหนึ่งวาดผ่านฟ้าเข้ามา เมฆมารไหลกลิ้งขึ้นมาบนฟ้า ลอยลงช้าๆ เข้าใกล้ตรงหน้าเสาธงต้นนั้นเช่นเดียวกัน


อวิ๋นอ้าวเทียนที่ยืนอยู่ท่ามกลางเมฆมารจ้องศพของเฟิงเป่ยเฉินด้วยสายตาเย็นเยียบ ในบรรดาห้าปราชญ์ที่มา เหมือนทุกคนก็จะจ้องศพของเฟิงเป่ยเฉินนานมาก


ส่วนข้างกายอวิ๋นอ้าวเทียน ยังมีอีกคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางเมฆมารที่พัดม้วน ไม่ใช่ใครที่ไหน อวิ๋นจือชิวนั่นเอง


อวิ๋นจือชิวเลี้ยวกลับมาจากทางที่จะไปแดนมาร ต้องการจะมาดูสถานการณ์ที่นภาอู๋เลี่ยง แต่ใครจะคิดว่าจะบังเอิญเจอกับอวิ๋นอ้าวเทียนที่ออกเดินทางทีหลังแต่มาถึงก่อน จึงถูกพาตัวมาด้วยกัน


เมื่อได้เห็นร่างที่ดับอนาถของเฟิงเป่ยเฉินแขวนอยู่ที่นี่ อวิ๋นจือชิวก็รู้สึกว่าเหมียวอี้ทำเรื่องนี้อย่างประมาทเลินเล่อเกินไปแล้ว นี่เป็นการอวดบารมีต่อหน้าห้าปราชญ์อย่างโจ่งแจ้งชัดๆ ราวกับกำลังบอกอีกห้าปราชญ์ว่า เฟิงเป่ยเฉินโดนข้าสังหารตายแล้ว ไม่มีการปิดบังเลยสักนิด


อวิ๋นจือชิวมองอวิ๋นอ้าวเทียนเงียบๆ แวบหนึ่ง กังวลว่าการกระทำของเหมียวอี้จะยั่วให้ท่านปู่ของตัวเองโมโห


“มารเฒ่า หลานเขยตัวดีของท่านเชิญท่านมาดื่มน้ำชาน่ะ” เสียงที่เย็นเยียบพิศวงของซือถูเซี่ยวดังมา


อวิ๋นอ้าวเทียนก้มมองไปทางศาลาต้นเสียง เมฆมารพัดม้วนที่อยู่ใต้เท้าพลันมีบางอย่างสีดำแวบผ่านราวกับสายฟ้า ปราณมารกลายเป็นดาบด้ามหนึ่ง แกร๊ก ตัดทั้งเชือกทั้งเสาธงลงมาด้วยกันอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ


เมื่อเสาธงที่ขาดครึ่งตกลงกระแทกพื้น ร่างที่ห้อยของเฟิงเป่ยเฉินก็ลอยลงบนเมฆมารอบ่างช้าๆ


เมฆมารพัดม้วนลงมาที่พื้น ไม่เหมือนคนอื่นๆ ที่ได้แค่เพียงจ้องศพของเฟิงเป่ยเฉิน อวิ๋นอ้าวเทียนยังปลดศพลงมาด้วย


พอลงมาข้างล่าง เมฆมารที่พัดม้วนก็เข้าไปในร่างกายของอวิ๋นอ้าวเทียน ทั้งสองเหยียบลงพื้น ร่างของเฟิงเป่ยเฉินก็นอนสงบอยู่บนพื้นแล้ว


“ให้ผู้ชายของเจ้าโผล่หัวออกมาพบข้า!” ขณะที่อวิ๋นอ้าวเทียนเดินเท้าเปล่าเข้าไปในศาลา ก็ทิ้งคำพูดไว้ให้อวิ๋นจือชิวด้วย


อวิ๋นจือชิวรีบถามพวกสงเวยที่เฝ้าอยู่รอบๆ “คนล่ะ?”


“เจ้าห้าอยู่ในห้องหนังสือ” สงเวยตอบ


เมื่อเห็นอีกสี่ปราชญ์มาถึงแล้ว อวิ๋นจือชิวก็รู้สึกกระวนกระวายใจ นางคุ้นเคยกับที่นี่ ไม่นานก็มาถึงห้องหนังสือแล้ว


พอเดินเข้าประตูมาก็ได้กลิ่นคาวเลือดทันที เห็นเพียงเหมียวอี้ที่สวมเกราะรบกำลังเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะที่มีรอยเลือด อวิ๋นจือชิวอึ้งนิดหน่อย เหมียวอี้ในเวลานี้ทำให้นางเกิดความรู้สึกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นางสังเกตภาพเหตุการณ์ในห้องอีกครั้ง ห้องหนังสือคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด โต๊ะหนังสือเปื้อนรอยเลือด เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบกำลังนั่งคัดตัวอักษรอย่างใจจดใจจ่ออยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกกดดันบางอย่างที่หนักหน่วงถึงขีดสุด บอกไม่ถูกว่ารสชาติเป็นอย่างไร


ส่วนเหมียวอี้ก็เงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง ถามอย่างประหลาดใจมากว่า “ฮูหยิน? ทำไมมาถึงเร็วขนาดนี้?”


“ระหว่างทางบังเอิญเจอท่านปู่ ข้าเองก็หลบไม่พ้น เลยถูกพาตัวมาด้วย เจ้ากำลังเขียนอะไรอยู่?” อวิ๋นจือชิวเดินมาข้างกายเขาแล้วก้มมอง พร้อมอ่านพึมพำว่า “ฝูงห่านริมแม่น้ำ ห่านลาย ห่านขาวใหญ่ หนึ่งสองสามสี่ห้า…”


อ่านต่อไปไม่ไหวแล้ว ภายใต้บรรยากาศแบบนี้ ยังนึกว่าเขียนอะไรที่สำคัญ ที่แท้ก็เขียนเพลงเด็กของโลกมนุษย์


เหมียวอี้ถามด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเขียนเป็นอย่างไรบ้าง มีความคืบหน้ารึเปล่า?”


อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน แล้วชักพู่กันออกจากมือเขาโยนทิ้งเสียเลย “ข้าว่านะท่านขุนนางเหมียว นี่มันเวลาไหนแล้ว? ไฟไหม้ถึงขนคิ้วแล้ว ยังมีอารมณ์มาคัดอักษรที่นี่อีกเหรอ?”


“เจ้าคอยเร่งรัดให้ข้าคัดอักษรบ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ? ข้าเชื่อฟังเจ้า พอมีเวลาก็ไม่อยากเกียจคร้าน” เหมียวอี้พูดหยอกล้ออยู่อย่างนั้น พอเขากระดกนิ้ว พู่กันที่โยนทิ้งไปก็กลับเข้ามาในมือเขาอีกครั้ง แล้วก็จุ่มลงในน้ำหมึก


อวิ๋นจือชิวยื่นมือไปกดข้อมือเขา “หนิวเอ้อร์ ท่านปู่ให้เจ้าไปพบเขา”


“เขาบอกให้ข้าไปหา ข้าก็ต้องไปหาเหรอ? เจ้าดูไม่ออกเหรอว่าเจ้ากำลังวางมาด?” เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ แล้วแกะมือนางออก “รออีกหน่อยเถอะ! ให้คนมาครบแล้วออกไปก็ยังไม่สาย”


อวิ๋นจือชิวประสาทเสียนิดหน่อย จับมือเขาอีกครั้ง “หนิวเอ้อร์ เจ้าคิดจะเล่นบ้าอะไรกันแน่?”


ส่วนด้านนอก ปราชญ์ปีศาจจีฮวนมาถึงแล้ว หลังจากเหยียบลงพื้นก็จ้องร่างเฟิงเป่ยเฉิน แล้วหันกลับมามองบรรดาคนคุ้นเคยในศาลา ถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”


ที่จริงอวิ๋นอ้าวเทียนอยู่ห่างจากที่นี่ที่สุด พาอวิ๋นจือชิวมาด้วยแต่กลับนำหน้าจีฮวนมาแล้ว ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้น


พอจีฮวนมาถึง หลิงเทียนก็วิ่งมารายงานที่ห้องหนังสือทันที “คุณชายห้า นมาครบแล้วขอรับ”


เมื่อเห็นว่ามีคนนอก อวิ๋นจือชิวก็รีบปล่อยมือที่จับเหมียวอี้ออกแล้ว


“เล่นอะไรลาะ?” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะกับอวิ๋นจือชิว “ไม่เล่นอะไรหรอก ข้าไม่เล่นอะไรกับพวกเขาหรอก!” เขาโยนปากกาในมือทิ้ง แล้วเดินออกไปเลย!


อวิ๋นจือชิวที่เดินตามก้นเหมียวอี้ออกไปยังคงครุ่นคิดว่าที่เขาพูดหมายความว่าอย่างไร ส่วนเหมียวอี้ที่เดินมาถึงนอกศาลาก็กุมหมัดคารวะมาแต่ไกลๆ บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว เหมียวมีธุระจึงล่าช้า ขออภัยที่ต้อนรับไม่ดี!”


ห้าปราชญ์แต่ละคนจ้องเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ เหมียวอี้เพิ่งจะเข้ามาในศาลา อวิ๋นอ้าวเทียนที่นั่งเงียบอยู่ในนั้นก็กล่าวอย่างเนิบนาบแล้วว่า “ฝังศพขอเฟิงเป่ยเฉินก่อน”


มู่ฝานจวินและอีกสามคนอึ้งอีกครั้ง หันไปมองเขาพร้อมกัน


เหมียวอี้ก็อึ้งเช่นกัน จากนั้นก็หันไปกำชับคนที่อยู่ข้างนอกว่า “ส่งให้ฉินซี ให้นางไปฝังแล้วกัน”


อวิ๋นอ้าวเทียนเอียงหน้าถาม “ฉินซียังไม่ตายเหรอ?”


“ข้าจะไปคิดเล็กคิดน้อยอะไรกับนาง นางยอมจำนนต่อข้าแล้ว” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม


“ผู้หญิงคนนั้นหน้าตาสวยเกินไปแล้ว เจ้าคงไม่ได้ชอบนางหรอกใช่มั้ย?” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ถ้าเฟิงเป่ยเฉินยังไม่ตาย เจ้าแย่งเมียของเขาไปแล้ว อยากจะเล่นอยากจะนอนอย่างไรก็ได้ เฟิงเป่ยเฉินนั่งอยู่บนตำแหน่งนี้ ถ้าหากแย่งกลับมาไม่ได้ นั่นก็แสดงว่าเฟิงเป่ยเฉินไร้ความสามารถ โทษใครไม่ได้ ตอนนี้เจ้านำศพเฟิงเป่ยเฉินแขวนประจานไว้บนเสาธง ถ้ายังคิดไม่ดีกับเมียเขาอีก มันก็จะเกินไปหน่อยหรือเปล่า ตอนนี้ข้าจะพูดเอาไว้ตรงนี้เลย ว่าถ้าใครกล้าทำซี้ซั้วกับเมียหม้ายของเฟิงเป่ยเฉิน ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”


มู่ฝานจวินและอีกสามคนเงียบงัน


เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก อยากจะถามอวิ๋นอ้าวเทียนมากว่า ลูกหลานของเฟิงเป่ยเฉินที่ตายด้วยน้ำมือท่านเหมือนจะไม่ได้มีแค่คนเดียวหรอกมั้ง? ทำไมทำเหมือนเขาเป็นผู้มีพระคุณล่ะ?


เขาคิดไม่ตกแล้ว ปราชญ์พวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่? คิดอะไรที่มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง? ทำไมทุกคนต่างก็คิดว่าข้าจะทำกับฉินซีอย่างนั้น? ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลถึงชื่อเสียงของฉินซีกับฉินเวยเวย เขาก็อยากจะตะโกนจริงๆ เลยว่า นั่นคือแม่ยายของข้า ตกลงมั้ย?


มีเพียงอวิ๋นจือชิวที่รู้สถานการณ์เบื้องลึกเท่านั้นที่เข้าใจ รีบช่วยแก้ต่างทันทีว่า “ท่านปู่ ไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดนะคะ เหมียวอี้กับฉินซีที่จริงมีความสัมพันธ์อีกอย่างต่อกัน เรื่องนี้ข้ารู้ดีค่ะ”


อวิ๋นอ้าวเทียนไม่ได้พูดอะไรอีก เหล่ตาจ้องศพของเฟิงเป่ยเฉินที่ถูกยกออกไป


ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวที่นั่งอยู่ในนั้น อยู่ก็ถอนหายใจด้วยเสียงเย็นพิศวง “น่าเสียดายที่ข้ามาช้าไป ถ้าข้ามาทันเวลา ถ้าร่างของเฟิงเป่ยเฉินไม่ได้ตากแดดนานขนาดนั้น ข้ายังพอเรียกรวมจิตวิญญาณได้ ทำให้เขากลายเป็นนักพรตผี เพียงแต่ถ้าฝืนกักขังให้เขากลายเป็นนักพรตผี เขาก็จะสูญเสียความทรงจำ” พูดจบก็ส่ายหน้า


นี่แต่ละคนกำลังหมายความว่าอย่างไร? เหมียวอี้เหลียวซ้ายแลขวา มองดูห้าปราชญ์แต่ละคนที่เหมือนกำลังจมอยู่ในอารมณ์รำลึกถึงเฟิงเป่ยเฉิน เขาแทบจะหัวเราะลั่นออกมา ยามปกติคนที่อยากเล่นงานเฟิงเป่ยเฉินให้ถึงตายคือใครกัน? ตอนนี้กลับทำเหมือนข้าคนเดียวที่เป็นคนเลวร้าย แล้วพวกเจ้าทุกคนเป็นคนดีมาก ล้อเล่นอะไรกันอยู่?


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)