องครักษ์เสื้อแพร 1107-1108

 ตอนที่ 1107 ห่างจากเมืองโซอุล 24 ลี้

Ink Stone_Fantasy

“อากาศเกาหลีช่างบัดซบ บ้านข้าไม่ได้หนาวเช่นนี้!”


“ไอ้ตัวบัดซบ เดินทัพเช่นนี้อยู่ อย่าได้ส่งเสียงดังโวยวาย!”


 มีคนวิพากษ์วิจารณ์กันเบาๆ  มีเสียงตำหนิดุดันดังมาทันที แน่นอนเสียงตำหนิไม่ได้ดังมาก  ซามูไรขี่ม้าหลายสิบคนกำลังจากเมืองโซอุลขึ้นเหนือไปยี่สิบกว่าลี้


ฟ้ายังมืดมาก ขอบฟ้ามีแสงเล็กๆ  ไม่รู้เป็นแสงตะวันแรกหรือไม่ ซามูไรขี่ม้ามาไม่ใช้เส้นทางใหญ่ หากใช้เส้นทางตามเขาและเนินเขา  เส้นทางนี้มักล้วนมีการปิดบังร่องรอยด้วยสภาพพื้นทีและต้นไม้  คนเดินทางในเขา ยากจะถูกพบเห็น


ญี่ปุ่นม้าน้อย  ทหารขี่ม้าได้ส่วนใหญ่เป็นซามูไร กองกำลังนี้ราวกับไม่เหมือนกัน ซามูไรแต่ละคนล้วนสวมเกราะเหล็กประกอบแผ่นด้วยหนัง  คนครึ่งหนึ่งยังแบกปืนไฟ อาวุธเช่นนี้ในประเทศวัวเรียกได้ว่าเป็นนักรบอันดับหนึ่ง นับประสาอันใดยังขี่ม้ามาอีก


กองกำลังนี้อยู่เกาหลีค่อนไปทางใต้ที่สุดของจังหวัดซอลลา เป็นซามูไรฮาตาโมโตะ[1] กองสืบข่าวโจรวัวโค่วกองรบหก สังกัดกองรบโคบายากาว่า ทาคากาเกะ


ทหารม้ากองกำลังหมิงออกเคลื่อนไหว แน่นอนไม่อาจหลบซ่อนปิดบังได้นานนัก โจรวัวโค่วรู้นานแล้วและเตรียมป้องกันไว้แล้ว เริ่มรวมกำลังที่จังหวัดคยองกี


โคบายากาว่า ทาคากาเกะหัวหน้าโจรวัวโค่วกองรบหกแม้ว่าตั้งมั่นในจังหวัดซอลลา แต่เขาเป็นทัพใหญ่โจรวัวโค่วที่เข้มแข็งที่สุดกองหนึ่ง  ตั้งมั่นคุมสถานการณ์ในเมืองโซอุลจังหวัดคยองกี พอรู้ข่าวแล้ว  เขาเตรียมกำลังและเตรียมการไม่หยุด


วันที่ 10 เดือนสองมีคนส่งข่าวมาว่า ห่างจากเมืองโซอุลไปสามสิบลี้มีกองกำลังหมิงปรากฏ ทำให้อุคิตะ ฮิเดะอิเอะ ลนลานส่งทหารออกไปสี่หมื่นรับศึก  พอไปถึงกลับพบว่าเป็นเรื่องตกใจเสียเปล่า แค่โจรม้าเกาหลีกระจอก กำลังลุกฮือยังสู้ไม่ได้


หลังจากนั้น โคบายากาว่า ทาคากาเกะก็เริ่มส่งนายทหารที่เก่งกล้าที่สุดของตนอย่างพวกซามูไรฮาตาโมโตะออกสืบข่าว  มุ่งไปทางเหนือและทางตะวันตก กองกำลังหมิงอาจจะปรากฏตัวออกสืบข่าวแถวนั้น


“ชวู่~~~~”


สายสืบซามูไรคนหน้าสุดส่งเสียงให้เงียบ ทุกคนหยุดการพูดคุย


“โจรหมิงอยู่ด้านหน้า ตรงตีนเขามีกองใหญ่!”


กระซิบส่งข่าวกันต่อๆ ไป  ตรวจสอบครอบปากม้า ก่อนจะค่อยๆ โดดลงจากม้าอย่างแผ่วเบาย่องมายังตีนเขา คนด้านหน้าที่มองเห็นบอกทิศทางแล้ว แต่ละคนอดตัวสั่นไม่ได้ กำบังลมด้านหน้า  มองเห็นสายไฟหลายแห่งส่องระยิบ ฟ้าค่อยๆ สว่างแล้ว ทุกคนพอมองเห็นทหารม้ากองใหญ่ด้านหน้าลางๆ ว่ากำลังพักแรม


“โจรหมิงเจ้าเล่ห์มาก ถึงกับมาถึงที่นี่เงียบเชียบได้เพียงนี้”


“ใกล้พ้นยามโฉ่ว[2] น่าจะยามอิ่น[3]แล้ว!”


“รีบไปรายงานที่เมืองโซอุล รีบไป!!”


******************


กองกำลังทหารม้าหลี่หรูซงหลายพันเองก็ส่งทหารยามไว้รอบนอก แต่ทว่าพวกเขาไม่ชำนาญพื้นที่ พวกที่ตอนอยู่จังหวัดฮวังแฮบอกว่าไม่กลัวโจรวัวโค่วพร้อมแลกชีวิตนั้นหายตัวไปหมดแล้ว พวกเขาออกสำรวจได้แค่พื้นที่จำกัด


พวกเขาไม่สังเกตเห็นการปรากฏตัวของสายโจรวัวโค่วที่เนินเขา สายโจรวัวโค่วจากไป ทหารม้าที่มีเวลาพักผ่อนไม่มากนัก ล้วนเริ่มตื่นนอนเก็บค่าย


“นายกองพัน นายกองร้อย นายกองธงใหญ่ นายกองธงเล็ก จับตาคนเบื้องหน้าให้ดี คนกินอิ่มหกส่วน แต่ม้าต้องกินให้พอ!”


หลี่หรูซงเดินไปกล่าวไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ  ทหารในสังกัดหลายนายรีบวิ่งออกไปถ่ายทอดคำสั่ง หลี่หรูซงกับหลี่หรูป๋อร่วมกันเดินอยู่ในแถวทัพ การพักผ่อนคืนวานง่ายมาก หลายคนหาที่แห้งๆ ปูพรมงีบ ไม่ต้องเตรียมถอนค่ายมากนัก


 หลี่หรูซงกล่าวจบ หลี่หรูป๋อก็กล่าวว่า


“จับตาทุกแห่ง อาหารกินไม่หมดต้องเอาไปด้วยให้หมด ผู้ใดสิ้นเปลืองเสบียง ข้าก็จะลงโทษวินัยผู้นั้น พวกเราครั้งนี้นำเสบียงมาสามวัน สิ้นเปลืองไปเล็กน้อย ขากลับก็คงได้แต่หิวท้องแล้ว”


“พื้นที่ตั้งค่ายอยู่ที่จังหวัดฮวังแฮ พวกเรานำเสบียงมาสามวัน ต้องจับตาดูให้ดี!”


หลี่หรูซงส่งเสียงสำทับ ครั้งนี้ทหารม้าสี่พันมาแบบไม่ขนอาวุธหนักมา นำเสบียงมาแค่สามวัน ทหารตระกูลหลี่ทั้งหมด เมื่อก่อนคนไม่น้อยเคยมาเกาหลี ครั้งนี้มีคนบอกว่าตนเองรู้เส้นทางลัด สามารถหลบสายตาพวกโจรวัวโค่วเข้าสู่จังหวัดคยองกี


ใช้หน่วยจู่โจมเร็ว วิธีการเช่นนี้ต้องลองสักหน่อย ความจริงนั้นแผนการนี้เรียกได้ว่าราบรื่น แต่ทหารม้าหลายพัน กองกำลังใหญนี้คิดจะหลบสายสืบฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ตั้งค่ายพักก็มีไม่กี่แห่ง


จะบุกเข้าไปเงียบๆ ไม่ให้รู้ตัวเลยคงเป็นไปไม่ได้ หลี่หรูซงกับหลี่หรูป๋อและขุนพลทหารล้วนเข้าใจ แต่สามารถหาจังหวะจู่โจมได้สักหน่อย  ได้เข้าใกล้ศัตรูอีกสักหน่อย  ก็เป็นข้อได้เปรียบเพียงพอแล้ว


***************


ทั้งกองเตรียมการเสร็จ ทหารม้าสี่พันเดินมาตลอดทาง ม้าขยับเคลื่อนเริ่มอุ่นกำลัง ทหารม้าทยอยขึ้นม้า


ความจริงนั้นมาถึงที่นี่ได้ นับว่าเข้าพรมแดนเมืองโซอุลแล้ว  เส้นทางเดินทางง่ายมาก ในมุมมองนี้ เรียกได้ว่าเข้าสู่เขตสงครามแล้ว


ออกจากเปียงยางข้ามแม่น้ำแทดอง หลี่หรูป๋อผู้บัญชาการเหลียวซีตื่นเต้นมาก แต่ทว่าพอเข้าจังหวัดคยองกี สีหน้า หลี่หรูป๋อไร้รอยยิ้ม สีหน้าบนหลังม้ามีแต่ความกังวล


“พี่ใหญ่ ที่นี่น้ำแข็งละลายเร็วกว่าที่เรา น้ำเพาะปลูกข้าวในนาก็มาก ยังมีดินโคลนในนา ทหารม้าวิ่งผ่านที่นาแฉะดินโคลนเช่นนี้ยุ่งยากมาก!”


หลี่หรูป๋อกล่าว หลี่หรูซงก้มหน้าไม่กล่าวอันใด หลี่หรูป๋อบนหลังม้าเอาแต่มองไปรอบทิศ กล่าวเบาๆ ว่า


“คนเกาหลีรู้แค่คุยโม้ จังหวัดพยองอัน จังหวัดฮวังแฮไหนว่ามีกองกำลังผู้กล้า ไหนว่ายอมตายเข้าช่วยศึกเรา พอเข้าจังหวัดคยองกี ล้วนหนีหายหน้าไปหมดเกลี้ยง จังหวัดคยองกีวุ่นวายกันที่ใด ตลอดทางมาไม่เห็นแม้แต่เงาผี มารดามันสิ ยังมีกองกำลังผู้กล้านับหมื่นที่ไหนของมัน….”


“ในเมื่อมาถึงแล้ว เช่นนั้นก็ต้องไปลองดูแล้ว!”


หลี่หรูซงแต่ไรไม่เห็นด้วยกับการมาที่นี่  ยามนี้กลับกล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น พระอาทิตย์เริ่มสูงขึ้น หลี่หรูซงบนหลังม้ามองไปรอบทิศ ค่อยๆ กล่าวว่า


“ที่นี่น่าเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดในเกาหลี มีที่นาข้าว มีพื้นที่ราบมาก และอากาศยังค่อนข้างอบอุ่นกว่าทางเหนือสักหน่อย ที่เช่นนี้ โจรวัวโค่วย่อมไม่ปล่อยมือไปง่ายๆ!”


กล่าวจบ สองคนล้วนเงียบไป  ทัพใหญ่ค่อยๆ  เดินหน้า  สายสืบที่ออกไปสิ่งลาดตระเวนด้านหน้ากลับมาไม่หยุด เข้ามารายงานสิ่งที่ได้เห็นด้านหน้า


“ท่านแม่ทัพ เริ่มเห็นค่ายวัวโค่วด้านหน้าทางเมืองโซอุลแล้ว!”


“ท่านแม่ทัพ ทหารสายสืบเราเห็นกำแพงเมืองใหญ่ไกลๆ แล้ว….”


กำลังรายงานอยู่นั้น ด้านหน้าเริ่มมีความวุ่นวาย มองเห็นทหารม้าหลายนายบุกเข้าไปในกอหญ้าริมทาง ไม่นาน ด้านหน้าก็กลับมารายงาน


“มีสายโจรวัวโค่ว ถูกสังหารไปสาม ที่เหลือหลายคนหนีไปได้”


เริ่มได้ยินเสียงกลองดังแว่วมาจากที่ไกลๆ เริ่มแรกยังไม่ชัดนัก แต่เสียงยิ่งชัดดังขึ้น เหมือนว่าเป็นเสียงร้องจากฟ้าอีกทาง


“แต่ละหน่วยตั้งสติมั่น กำลังปะทะศัตรูแล้ว!”


หลี่หรูซงออกคำสั่งดัง  ทหารข้างกายรอคำสั่งแล้วก็พากันตะโกนดัง เร่งม้าออกไป  วิ่งไปถ่ายทอดคำสั่ง


หลี่หรูป๋อข้างๆ หันไปถ่มน้ำลายลงพื้น ตรวจดาบประจำตัวตนเองรอบหนึ่ง  พึมพำว่า


“ท่านพ่อช่างมารแทรกจริงๆ!”


*****************


เส้นทางเข้าสู่เมืองโซอุล สองข้างทางเริ่มไม่มีเนินหลุม รอบๆ ราบเรียบยิ่ง สี่พันทหารม้าวิ่งไปค่อยๆ แผ่ตัวออกเป็นแนวระนาบ


ต้องเข้าบุกเมืองเร่งด่วน ทหารม้าแน่นอนได้เปรียบที่ความเร็ว ได้ยินเสียงกลองจากเมืองโซอุลยิ่งดัง ผู้ใดก็รู้ ไม่อาจมีเมืองว่างเปล่าไว้รอเจ้าไปแย่งชิงให้มีโชควาสนาง่ายๆ


เห็นทหารโจรวัวโค่วราวสี่พันกำลังเข้ามาใกล้ สี่พันกว่าคนนี้แบกธงส่วนใหญ่สีน้ำตาลไว้บนหลัง มีทหารราบทวนยาวเป็นหลัก ทหารม้ากับทหารปืนใหญ่วัวโค่วอยู่ด้านหน้าสุดของกองกำลัง


คนสี่พันกว่าไม่เท่าไร แต่ที่ทำให้กองกำลังหมิงสั่นไหวก็คือ สี่พันว่าของกองกำลังโจรวัวโค่ว ด้านหลังยังมีคนและม้า ด้วยตำแหน่งกองกำลังหมิงมองไป ทหารโจรวัวโค่วถึงกับสุดลูกหูลูกตา มารวมตัวกันดำทะมึนจากสามทิศทาง


เสียงกลองดังถี่ไม่หยุด  ท่ามกลางเสียงกลอง  มีเสียงเป่าเขาสัญญาณ ไม่ก็เสียงเป่าเปลือกหอยสัญญาณ ทหารโจรวัวโค่วเดิมตั้งทัพได้เงียบ แต่คนมากมายเช่นนี้  แค่แต่ละแห่งเปล่งเสียงเล็กน้อย ก็ทำให้สนามรบเกิดเสียงดังขึ้นมาได้อย่างมาก


ม้าขบวนทัพม้ากองกำลังหมิงล้วนตื่นกันแล้ว ทหารม้าล้วนต้องดึงบังเหียนม้าไว้สุดชีวิตเพื่อไม่ให้ม้าแตกแถว ความเร็วบุกไปเริ่มช้าลง


“นี่มัน…นี่มัน…”


หลี่หรูป๋อติดอ่าง  อารมณ์ปะทุบนหลังม้าทันที  ตวาดด่าดัง


“ไหนบอกว่าเมืองว่างเปล่าไง! เจ้าพวกเดรัจฉานหลากสายพันธุ์…”


กล่าวไม่ทันจบ ก็หยุดเสียงตะโกน หลี่หรูป๋อรู้สึกคอแห้ง กลืนน้ำลายไปหลายอึก หันไปบอกหลี่หรูซงข้างๆ ว่า


“…พี่…พี่ใหญ่ หนีเถอะ ยังทัน ทหารราบโจรวัวโค่วมาก ตามไม่ทัน!”


หลี่หรูซงมองไปยังน้องชายตนเอง ส่ายหน้ายิ้ม กล่าวไม่ยี่หระว่า


“ฝืนคำสั่งมา หากยังหนีกลับไป รอเรากลับไป จะมีหน้าใดไปพบชาวหมิงใต้หล้า ถึงตอนนั้น ตระกูลหลี่เราก็คงจบสิ้นจริงแล้ว”


หลี่หรูซงแขวนธนูไว้ข้างอานม้า  ชักดาบออกมาครึ่งหนึ่งก่อนจะเก็บคืนฝัก ตะโกนดังว่า


“ในเมื่อมาแล้ว ก็รบละกัน ชีวิตทิ้งไว้ที่นี่ ไม่ผิดต่อตนเองแล้ว ไม่ผิดต่อท่านพ่อ และไม่ผิดต่อแผ่นดินหมิง น้องรอง เจ้ากลับไปกำราบกองกำลังเจ้า อีกสักครู่อย่าได้ทำตระกูลหลี่ขายหน้า”


หลี่หรูป๋อก้มหน้ารับคำก่อนจะเงยหน้าประสานมือคำนับ ขี่ม้าออกไปเอง หลี่หรูซงมองแผ่นหลังเขาไปด้วยรอยยิ้ม หันไปถามทหารติดตาม


“ที่นี่คือที่ไหน!?”


“เรียนท่านแม่ทัพ ที่นี่พวกเกาหลีเรียกว่า ปี้ถีก่วน[4]”


“ชื่อประหลาดจริง!”


………………………………………………………..


[1] นักรบซามูไรผู้ขึ้นตรงต่อโชกุน


[2] ราวตี1-ตี3


[3] ราวตี3-ตี5


[4] ศึกปี้ถีก่วนในประวัติศาสตร์มีบันทึกว่าเป็นศึกระหว่างหลี่หรูซงแห่งแผ่นดินหมิงกับโคบายากาว่าแห่งญี่ปุ่


ตอนที่ 1108 ประลองตัวต่อตัวก่อนประจัญบาน

Ink Stone_Fantasy

อากาศดีจริง ฤดูใบไม้ผลิในจังหวัดคยองกีเกาหลีมาถึงเร็วกว่าที่เหลียวหนิง พระอาทิตย์ขึ้นสูง  ท้องฟ้ากระจ่างใส ไม่มีลมพัดแรงนัก แต่ละคนรู้สึกอบอุ่น


แต่สภาพการณ์สนามรบ กลับไม่ได้งดงามเหมือนทิวทัศน์  อากาศเริ่มอุ่นแล้ว เดิมที่นารอบนอกเมืองโซอุลก็เริ่มน้ำแข็งละลายแล้ว ที่นาเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นนาข้าวใช้น้ำปลูก สภาพตอนน้ำแข็งละลาย แม้แต่ทหารราบเหยียบย่ำก็ยังไม่อาจทนรับได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทหารม้าที่สวมเกราะยิ่งหนัก


พื้นดินเต็มไปด้วยโคลน แม้ทหารราบเดินเท้ายังย่ำจมลงไปรอยเท้าหนักเบาปรากฏ ทหารม้าเดินก็ยิ่งช้า แต่ทว่าทหารม้าที่หลี่หรูซงนำมาเหล่านี้ ขี่ม้าไม่ได้ด้อยไปกว่าคนบนทุ่งหญ้า ในพื้นที่เช่นนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบใดนัก ยังคงเดินหน้าไปได้ดังใจ


อย่างไรก็เป็นทหารเก่าแก่ตระกูลหลี่  เป็นคนของหลี่หรูซงในเมืองเหลียวโจวกับเมืองเซวียนฝู่มานาน ออกคำสั่งไปแต่ละกองก็ล้วนเตรียมตัวเรียบร้อย เรียงแถวเดิน


แม้ทัพใหญ่โจรวัวโค่วที่เห็นเหมือนไกลสุดลูกหูลูกตา แต่พอคำสั่งมาถึง ทหารม้าตระกูลหลี่ก็ไม่ได้แตกตื่นวุ่นวาย หากจัดแถวเดินหน้า แต่ละคนล้วนพร้อมบนหลังม้า ตามหลักทหารม้ายามนี้ควรสวมเกราะ มือถืออาวุธยาวอยู่หน้า แต่ทว่าขบวนทัพม้าตระกูลหลี่ครั้งนี้ไม่ใช่ คนไม่น้อยล้วนเดินตามหลังม้าที่แบกกล่องไม้ไว้ ร่วมเดินไปด้านหน้า


ระหว่างเดินทัพเข้าทำศึก ทหารเก่าแก่มาประสบการณ์บนสนามรบ สองฝ่ายกำลังเข้าใกล้กัน ทหารโจรวัวโค่วหลายพันด้านหน้าอยู่ๆ หยุดเดิน


หลี่หรูซงลังเลครู่หนึ่ง ก็ยกดาบในมือ ท่าทางนี้  ทำให้ทหารธงด้านหลังหลายคนยกธงโบกสะบัด ทัพใหญ่เดินหน้าไม่นานก็หยุด


“โจรวัวโค่วเล่นลูกไม้ใด?”


ทางนี้เพิ่งมีคนบ่นขึ้น ก็เห็นหน้าทัพทหารโจรวัวโค่วมีทหารม้าหนึ่งก้าวออกมาอย่างช้า ๆ หน้าทหารม้ามีทหารราบเดินส่ายไปมา


“มารดาโจรมันสิ เล่นงิ้วหรือไง? แต่งชุดทองอร่ามเช่นนี้!”


 ทหารม้าที่ก้าวออกมาจากกองทัพโจรวัวโค่วผู้นี้ สวมเกราะงดงามอร่ามตา ไม่ต้องพูดถึงว่าปกปิดตั้งแต่เท้าถึงหน้าอกครบ หมวกเกราะก็มีเขากวางประดับ  หมวกเกราะยังมีพู่สีแดงเลือด  ที่ยิ่งเตะตาก็คือ  เกราะทั้งตัวทำด้วยทองคำ ก็ไม่รู้ว่าใช้ทองคำไปเท่าไร  แต่ใต้แสงตะวันนั้นส่องประกายระยับ ทวนยาวในมือปลายสองด้านก็มีคมมีดจันทร์เสี้ยว


โจรวัวโค่วผู้นี้ขี่ม้าออกจากทัพมาได้ราวร้อยกว่าก้าว ก็ยกทวนยาวขึ้นตะโกน ทัพหลี่หรูซงมีคนรู้แต่ภาษาเกาหลี ไม่รู้ภาษาวัวโค่ว พากันงง


แต่คนตรงหน้าก็ถือว่าคิดได้รอบคอบ  ทหารราบที่ดูเดินส่ายไปมาตะโกนว่า


“ข้าคือขุนพลของท่านทาชิบานะ นามว่ายาสุ ซึเนะฮิสะ ขอถามชื่อโจรหมิงทางนั้นที่จะกล้าออกมาประลองม้าเดี่ยวกับข้า…ออกมาประลองกับข้า”


ที่เรียกว่า ประลองม้าเดี่ยว ก็คือภาษาประเทศวัวที่แปลว่าตัวต่อตัวในภาษาจีน ทหารราบสำเนียงภาษาจีนแบบเกาหลี ดูแล้วไม่น่าใช่ชาวประเทศวัว แปลภาษาบกพร่องก็ยากจะหลีกเลี่ยง


 ยาสุ ซึเนะฮิสะตะโกนจบ  ทหารโจรวัวโค่วด้านหลังก็ตีกลอง เสียงดังน่าตกใจ ทางทหารม้ากองกำลังหมิง หลายคนล้วนอุทานตกใจ หลี่หรูซงยิ่งขำ


“เหลียวกั๋วกงบอกว่าเมืองเหลียวโจวเราดูงิ้วมากไป ข้าว่านะ โจรวัวโค่วก็ดูงิ้วมาไม่น้อย ทำท่าทางแบบนี้ให้ผู้ใดดูกัน!”


“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยขอออกศึก ยิงเจ้านั่นให้ตายไปเลย!”


ชายด้านข้างในชุดทหารหน่วยจู่โจมประสานมือคำนับขอออกศึก หลี่หรูซงกำลังจะพยักหน้า หากกลับส่ายหน้ากล่าวว่า


“ไปตามท่านรองมา!”


หลี่หรูซงเรียกหลี่หรูป๋อว่าน้องรอง แต่เวลาเรียกกับลูกน้องก็จะเรียกว่า ‘ท่านรอง’ ทหารในสังกัดรีบไปถ่ายทอดคำสั่ง ไม่นาน หลี่หรูป๋อก็เร่งขี่ม้ามา


“น้องรอง เราคนน้อย โจรวัวโค่วคนมาก ต้องหาวิธีสร้างกำลังใจเรา ด้านหน้าขุนพลวัวโค่ว เจ้ามีความมั่นใจว่าจะตัดหัวมันได้ไหม!”


ได้ยินหลี่หรูซงกล่าวเช่นนี้  หลี่หรูป๋อตื่นเต้นสีหน้าแดงก่ำ กล่าวอย่างร้อนใจว่า


“แต่เล็กฝึกยุทธลำบากตรากตรำ มาถึงตอนนี้เกือบสามสิบปี พี่ใหญ่ ท่านก็ไม่แน่ว่าเป็นคู่ต่อสู้ข้า นับประสาอันใดกับตัวอะไรไม่รู้เบื้องหน้านี้ ให้ข้าออกศึกเอง!”


หลี่หรูซงพยักหน้า เห็นหลี่หรูป๋อหันหลังจะออกไป ก็กำชับไปว่า


“นี่ไม่ใช่ขุนพลในงิ้วต่อสู้ตัวต่อตัว เจ้าต้องระวังตัว สู้ไม่ได้ก็ถอย ทัพใหญ่เราเข้าปะทะก็พอ!”


“พี่ใหญ่ ท่านรอดู!”


 หลี่หรูป๋อไปอย่างตื่นเต้นยินดี หลี่หรูซงถอนหายใจส่ายหน้า ตระกูลหลี่แต่เล็กได้ฟังเรื่องสามก๊กมาจนโต อย่าว่าแต่เรียนรู้ แต่เรียกได้ว่าสองฝ่ายปะทะศึก ขุพลทหารสองฝ่ายออกรบตัวต่อตัวประลองกำลังก็ชอบมาก  พอออกสนามรบจึงได้รู้ว่างิ้วกับชีวิตจริงนั้นต่างกัน นิสัยหลี่หรูซงสุขุมกว่าหน่อย มองเรื่องพวกนี้เป็นแค่เรื่องบันเทิง หลี่หรูป๋อกลับมีนิสัยแบบคุณชายในตระกูลแม่ทัพที่รักสำราญ ชอบเรื่องเช่นนี้ที่สุด ปกติไม่มี วันนี้แม้ว่าเป็นศึกใหญ่เป็นตาย แต่กลับมีโอกาสเช่นนี้ได้ จะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร


โจรวัวโค่วยาสุ ซึเนะฮิสะตะโกนดังสามรอบ  ทัพโจรวัวโค่วก็ยิ่งฮึกเหิม กำลังเตรียมกระชากม้ากลับไป ก็เห็นกองกำลังหมิงส่งแม่ทัพขี่ม้าออกมา กองกำลังหมิงตรงหน้าส่งเสียงตะโกนดัง บรรยากาศเริ่มฮึกเหิมขึ้นมา


  เกราะหู่เวยบนตัวหลี่หรูซง และเครื่องม้าชั้นดีที่สุด สั่งทำเฉพาะไม่ว่า ทุกวันยังมีทหารติดตามค่อยเช็ดถูกขัดเงา เครื่องป้องกันแขนและหน้าอกยังมีการตกแต่ง ต้องแสงอาทิตย์ก็ส่องประกายแวววาว เป็นขุนพลชุดเกราะที่ดูบารมีเกรียงไกรยิ่ง


เห็นทางนี้มีคนออกมารับศึก ขุนพลวัวโค่วเกราะทองคำก็กระชากม้ามุ่งมา ทหารราบข้างๆ วิ่งกลับไปแล้ว


สถานการณ์ประลองกำลังตัวต่อตัวนี้  แม้ว่าในสงครามประเทศวัวก็พบเห็นได้น้อยมาก แม้แต่ในเมืองเหลียวโจวกับเมืองเซวียนฝู่ที่เต็มไปด้วยสงครามออกศึกก็ไม่ค่อยได้พบ ทหารสองฝ่ายยามนี้ตื่นเต้นมาก ลืมเรื่องต่อจากนี้ไปกันชั่วคราว


ทหารราบกับทหารม้าสองฝ่ายไม่น้อยตั้งค่ายกันในกองดินโคลน แต่ขุนพลสองคนนี้กลับเลือกที่ปะทะกันได้ดี มาถึงตอนนี้ เสียงกลองดังติดต่อกันเบาลงไปมาก ราวกับว่าให้ทั้งสองได้ตั้งใจกับการต่อสู้ สองฝ่ายค่อยๆ  ใกล้เข้าหากัน ผู้ใดก็ไม่กระโจนม้าเข้าไปก่อน


ในเวลาเช่นนี้ ต้องพยายามหาจุดที่ทำให้ตนเองได้ประโยชน์ที่สุด เพื่อลดกำลังม้า


พอเข้าใกล้ได้ราวสองร้อยก้าว ไม่ก็ใครเริ่มรุกก่อน ไม่ก็รุกเข้ามาพร้อมกัน สองฝ่ายล้วนเร่งความเร็วม้า สองฝ่ายปะทะกันซึ่งหน้า


 เป็นการประลองก่อนการรบ วิธีการที่ใช้ก็ไม่ได้ระมัดระวังน้อยไปกว่าบนสนามรบ การต่อสู้เป็นตายกันง่ายเพียงนี้ สองฝ่ายล้วนยกทวนยาวระนาบ  คิดอาศัยแรงม้าแทงอีกฝ่ายให้ร่วงจากหลังม้า


ไม่รู้สองทัพ ผู้ใดส่งเสียงก่อน พริบตาก็เสียงเชียร์ดัง ล้วนตะโกนให้กำลังใจ ความสนใจหลี่หรูซงไม่ได้อยู่ที่การสู้ตัวต่อตัวของหลี่หรูป๋อ แต่อยู่ที่การสำรวจการแบ่งของทัพใหญ่โจรวัวโค่ว และสภาพพื้นที่ ได้ยินเสียงร้องเชียร์ยิ่งดัง ก็อดไม่ได้ยิ้ม กล่าวว่า


“ท่านรองเกรงว่าคงตื่นเต้นยินดียิ้มแก้มปริไปแล้ว ภาพเช่นนี้เขาคิดอยากลองแต่เล็ก! ตอนนอนไม่หลับก็มักจะคุยกับข้าเรื่องนี้…”


ทางนี้เข้ามาใกล้ สองฝ่ายทวนยาวชี้ใส่กัน บังคับม้าให้นิ่ง พริบตานี้ผู้ใดได้ตำแหน่งดีกว่า ผู้ใดกำลังมากกว่า


พอระยะสามสิบก้าว พริบตาก็มาระยะสามสี่ก้าว ขุนพลโจรวัวโค่วเกราะทองคำยาสุ ซึเนะฮิสะอยู่ๆ ก็เอี้ยวตัว เขาถือทวนในมือซ้าย มือขวากำทวนสั้นไว้แน่น  พอผงะตัวไปด้านหลังก็คำรามดัง ก่อนจะใช้ทวนสั้นในมือพุ่งใส่หลี่หรูป๋ออาศัยกำลังม้า ความเร็วกำลังเร็วที่สุด  ทวนสั้นพุ่งมาอย่างเร็ว ไม่ช้ากว่าธนู  ในสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมหลบไม่พ้น


กองกำลังหมิงฮือดังทันที มีคนสบถด่าออกมา ขุนพลทหารต่างพากันกำบังเหียนแน่นเตรียมออกศึกสังหาร วิธีการขั้นตอนไม่สำคัญ สังหารศัตรูจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด รอให้มีผลแพ้ชนะนี้ก็ควรได้ปะทะศึกตัดสินแล้ว


“ตัวบัดซบ!!”


หลี่หรูป๋อตวาดด่าดังด้วยความโมโห  แต่เขาอยู่บนหลังม้าตรากตรำฝึกฝนมาสามสิบปีไม่ได้เสียเวลาฝึกมาเปล่าๆ  แม้น้าวธนู หากขาก็ยังพอจากเหยียบบังโกรนม้าไว้อยู่  คนจึงเอี้ยวตัวหลบอีกทาง  ทวนสั้นพุ่งวืดผ่านไป แต่คนมีประสบการณ์ล้วนเข้าใจ หลี่หรูป๋อตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบ ทวนยาวในมือไม่ได้ตั้งตรง ปะทะกับอีกฝ่าย เกรงว่าจะเสียเปรียบ


ระยะ 20 ก้าว หลี่หรูป๋อนั่งตัวตรง มือขวายกขึ้น สะบัดไปด้านหน้า ยาสุ ซึเนะฮิสะคิดว่าตนได้เปรียบ คิดไม่ถึงอีกฝ่ายจะใช้วิธีนี้  ขุนพลเกราะทองวัวโค่วเองก็ตั้งท่าบนหลังม้ามั่น คิดจะหลบก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว ได้แต่มองไปยังสิ่งที่หลี่หรูป๋อขว้างมา ใส่หน้าผากตนพอดิบพอดี…


สองฝ่ายล้วนมองเห็นขุนพลวัวโค่วเกราะทองคำผงะร่างไปด้านหลังอย่างแรง ทวนยาวในมือร่วงลงพื้น  หมวกเกราะเขากวางบนหัวก็ร่วงลงพื้นแตกเป็นสองส่วน


ม้าสองตัวประสานกัน  ม้าขุนพลวัวโค่ววิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุด ยาสุ ซึเนะฮิสะร่วงจากหลังม้า หากอยู่ใกล้ก็คงได้เห็นว่าขุนพลวัวโค่วหน้าผากมีขวานสั้นปักอยู่


“คิดเล่นแบบนี้กับบิดารึ!!”


หลี่หรูป๋อหันหัวม้ามาทางหน้าขุนพลวัวโค่ว แสยะยิ้มกล่าวดัง ทันใดก็เห็นดาบสูงค่าประจำกายขุนพลวัวโค่ว ทวนยาวตวัดเกี่ยวดาบประจำกายหลุดออกมาแขวนไว้ที่อานม้าตน


กองกำลังหมิงกำลังร้องตะโกนบ้าคลั่งยินดี แต่ฝ่ายโจรวัวโค่วเงียบเป็นเป่าสาก หลี่หรูป๋อยามนี้สีหน้าแดงก่ำ ตื่นเต้นมาก ยกทวนยาวสะบัดสองสามที ทัพใหญ่กองกำลังหมิงก็ตะโกนร้องเชียร์ดัง ตอนที่เขาสะบัดทวนนั้น กองทหารม้าโจรวัวโค่วก็มีซามูไรออกมากันหลายคน ล้วนถือธนู ไม่ได้ขี่ม้า วิ่งเหยาะเข้ามาใกล้ เห็นว่าใกล้จะถึงตรงหน้าแล้ว


กองกำลังหมิงมีคนร้อนใจพากันโบกไม้โบกมือ แต่หลี่หรูป๋อเหมือนว่าไม่ทันรู้ตัว ยังคงเดินหน้าไปอย่างองอาจ…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)