ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1105-1110
บทที่ 1105 การฟ้องร้องครั้งแรกของฟาร์...
เรือกำปั่นทะเลค่อยๆ จอดเทียบท่าเรือเซนต์จอห์น เรื่องที่เกิดข้างบนเรือ คนที่อยู่ท้ายเรือยอชต์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาแค่เห็นว่ามีเฮลิคอปเตอร์ของซีซีจีบินเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดตลอดทาง จึงคิดว่าเรือกำปั่นทะเลถูกจับกุมแล้ว
หลังจากเรือเทียบท่า ลินตันและพวกหนุ่มสาวก็เดินออกมาด้วยความมีชีวิตชีวา พวกเขาโอบกอดสาวสวยไว้ในอ้อมแขน พร้อมใบหน้าที่ดูภูมิใจ ราวกับไก่น้อยตัวผู้ที่ตีชนะในการแข่งขัน และด้วยความหยิ่งผยองนั้นทำให้นีลเซ็นคันหมัดจนอยากจะซัดเข้าไปที่หน้าเขา
นีลเซ็นยังไม่ทันได้ลงมือทำอะไร ลินตันที่หน้าตาฟกซ้ำดำเขียวก็เดินผ่านไป แล้วชี้ไปที่หน้าของนีลเซ็นพร้อมพูดเยาะเย้ย “ไอ้โง่ แกตายแน่! แกมันเป็นคนสารเลว ฉันจะหาทนายมาฟ้องครอบครัวของแก แกรอเข้าคุกแล้วโดน…ได้เลย ไอ้เลวเอ๊ย!”
นีลเซ็นจึงยื่นมือออกไปบีบจุดสำคัญ สีหน้าของลินตันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที ดวงตาก็ปูดจนเหมือนจะถลนออกมาเพราะเจ็บจนไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาได้
หน่วยยามฝั่งที่รอเรือเทียบท่า มีบางคนเห็นนีลเซ็นลงมือก็จะเข้าไปจับกุมเขา ฉินสือโอวจึงโยนบัตรประจำตัวหน่วยจู่โจมกองทัพบกให้พวกหน่วยยามฝั่ง ส่วนนีลเซ็นใช้มือข้างหนึ่งหยิบกล้องบันทึกวิดีโอจิ๋วที่ติดไว้กับเนกไทออกมาแล้วพูดว่า “คนพวกนี้คุกคามหน่วยจู่โจมกองทัพบก พวกคุณอยากดูหลักฐานไหมล่ะ?”
แต่ผู้นำหน่วยยามฝั่งในครั้งนี้กลับเป็นคนคุ้นเคยกัน พอฉินสือโอวได้เจอหน้าเขาก็ยิ้มและเดินเข้าไปจับมือทักทาย
เพราะว่าปีที่แล้วฉินสือโอวได้ไปรายงานต่อทางการว่าแก๊งม้ามังกรปลูกกัญชาบนเกาะแฟร์เวล เลยโดนฝั่งนั้นแก้แค้น โดยการส่งคนมาลอบทำร้ายเขาในกลางดึก ตอนนั้นหลังจากที่แจ้งตำรวจ ยามชายฝั่งตอนนั้นก็คือตำรวจพันตรีคนนี้ที่พาคนมาช่วย ฉินสือโอวไม่รู้แม้กระทั่งชื่อเต็มของเขา รู้เพียงแค่ว่าพวกลูกน้องต่างก็เรียกเขาว่าพันตรีเดวิส
“ฉิน เจอกันอีกแล้วนะ บังเอิญจริงๆ เลย” พันตรีเดวิสพูดพร้อมยิ้มเจื่อนๆ เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับฉินสือโอวมักจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเสมอ และครั้งนี้ก็เป็นยามชายฝั่งแห่งเซนต์จอห์นที่ต้องมาเผชิญ
ฉินสือโอวหัวเราะและตอบกลับ “ไม่ ไม่ใช่บังเอิญหรอก พอดีว่ามีคนทำผิดกฎหมาย แล้วพวกเราไปเจอพอดี เลยมาปฏิบัติตามกฎหมายด้วยกัน”
มีนายทหารผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างพันตรีเดวิส ถ้าดูจากยศแล้วมียศเดียวกันกับพันตรีแต่เขาดูสูงวัยกว่าเล็กน้อย เขาได้ยินที่ฉินสือโอวพูด จึงหันมาสบตานิ่งแล้วพูดเสียงเรียบว่า “ไม่ว่าพวกมันจะเป็นอาชญากรหรือไม่ ผมอยากรู้ว่าพวกคุณมีคุณสมบัติพอที่จะจัดการตามกฎหมายเหรอ? อย่าบอกผมนะว่าพวกคุณเป็นทหารกองหนุน”
ฉินสือโอวหรี่ตาและพูดตามปกติว่า “ก็พวกผมเป็นทหารกองหนุน ทำไมเราถึงจะไม่มีคุณสมบัตินั้นกันล่ะครับ?”
แล้วพันตำรวจตรีก็พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดขึ้นมาว่า “กฎหมายข้อไหนบัญญัติไว้ว่าให้พวกนายมีสิทธิ์ที่จะดำเนินการทางกฎหมายกับพลเมืองได้น่ะ? และตามที่ผมรู้มานะ พวกคุณยังทำเกินกฎหมายอีกต่างหาก! กองหนุนอะไรกัน ใครๆ ก็รู้ว่าทหารกองหนุนของแคนาดาก็เป็นแค่พลเรือนทั่วๆ ไปนั่นแหละ!”
พวกหนุ่มสาวเมื่อได้เห็นก็ทำให้เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า ตำรวจพันตรีคนนี้อยู่ข้างพวกเขาอย่างชัดเจน พวกหนุ่มสาวจึงพร้อมใจกันมองไปที่เขาอย่างคาดหวัง
ฉินสือโอวยกมือขวาพร้อมชูนิ้วชี้ขึ้นและกล่าวว่า “อันดับแรก พวกเขาฝ่าฝืนกฎหมายในเขตฟาร์มปลาของผม ในฐานะที่ผมเป็นเจ้าของ ผมก็ต้องปกป้องสมบัติของผม สมบัติส่วนตัวของผมนั้นศักดิ์สิทธิ์ห้ามรุกราน เข้าใจไหม?”
เขาชูนิ้วกลางเพิ่มและกล่าวต่อ “ข้อสอง…”
“ฝ่าฝืนกฎหมายอย่างไร?” แล้วพันตรีก็พูดแทรกขึ้น “จากรายงานที่เราได้รับ เด็กพวกนี้เพียงแค่ไปนั่งเรืออาบแดดกันก็เท่านั้น นี่คนจีน คุณจะพูดอะไรก็ให้มันมีหลักฐานด้วยหน่อยนะ!”
พวกหนุ่มสาวทำหน้าทำตาลอยชายพลางมองไปยังฉินสือโอวอย่างเยาะเย้ย เพราะหลังจากพวกเขาโทรไปหาพ่อแม่ พวกท่านก็บอกให้พวกเขาโยนอาวุธต่างๆ และของที่จะเป็นปัญหาทิ้งลงสู่ทะเล พวกเขาก็ทำตามและคิดว่าฉินสือโอวไม่มีทางหาหลักฐานมามัดตัวพวกเขาได้แน่
ฉินสือโอวยิ้มแล้วหันไปผิวปากใส่ชาร์ค เขาเรียนรู้การผิวปากมาจากวินนี่ทั้งท่าทางที่ดูหล่อและเสียงที่ดังกังวาน
แต่ชาร์คกลับหัวเสียและไม่เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ และมองอย่างเซ่อๆ อยู่บนเรือ
ฉินสือโอวได้แต่ด่าเขาอยู่ในใจ ทำไมชาร์คถึงฉลาดไม่ได้เท่าพวกหู่จือเป้าจือเลยนะ ฉันผิวปากออกจะชัดเจนขนาดนี้ ดูเหมือนว่าจะต้องกลับไปให้บทเรียนกับคนพวกนี้สักหน่อยแล้ว
พอเป็นอย่างนั้นเขาเลยทำได้แค่บอกกับนีลเซ็นเสียงเบา แล้วพยักพเยิดหน้าไปทางเรือ ตอนนี้เองฉินสือโอวก็พูดขึ้น “พวกคุณอยากได้หลักฐานไม่ใช่เหรอ? ได้เลย หลักฐานกำลังมา”
นีลเซ็นและชาร์คแบกกล่องที่ฉินสือโอวซ่อนไว้ในเรือยอชต์ออกมา หลังจากที่ยกออกมา เขาก็เปิดมันออก ด้านในมีปืนไรเฟิลและปืนสั้นสองกระบอก แถมด้านในยังมีคันธนูหกคันและลูกธนูหลากหลายแบบจำนวนมาก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของลูกธนูพวกนี้ก็ใหญ่มาก แค่มองก็รู้แล้วว่ามีปัญหา
“นี่คือหลักฐานที่แสดงว่าพวกนายฝ่าฝืนกฎหมาย ถูกไหม?” ฉินสือโอวพูดกับลินตัน
ลินตันตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ในกล่อง เขาหันไปทางชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แล้วตะคอกใส่ “อัลแมน ไหนนายบอกว่าเอาของพวกนี้ทิ้งไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมมันยังอยู่นี้อีก?!”
พอสิ้นคำพูดนั้น พันตรีก็หน้ามืดมึนตึบขึ้นมาทันใด พลางคิดในใจแม่งเอ๊ย ไอ้พวกโง่!
คงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบลายนิ้วมือแล้ว จากคำพูดของลินตันก็พิสูจน์ได้แล้วว่าของเหล่านี้เป็นของพวกเขาจริงๆ
พันตรีคนนั้นไม่มีทางเลือก ในเวลานี้จึงได้แต่ปากแข็งแล้วพูดออกมาว่า “เอาเถอะ ถึงพวกเขาจะทำผิดกฎหมายฐานมีอาวุธไว้ในครอบครอง แล้วอย่างไรล่ะ? นี่เป็นเรื่องที่ตำรวจต้องจัดการ แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับทหารอย่างพวกคุณกัน?”
ฉินสือโอวชี้ไปที่ซากวาฬที่อยู่หางเรือแล้วพูดกับพันตรีคนนั้นว่า “นี่คุณโง่หรือเปล่า? ลองไปตรวจสอบสาเหตุการตายของวาฬตัวนั้นดูสิ ลองไปตรวจสอบดินระเบิดที่เหลืออยู่ในซากของมันดู แล้วลองมาเปรียบเทียบกับธนูของพวกมัน ส่วนเรื่องที่เหลือยังต้องให้ผมบอกอีกไหม?”
“ยังมีอีกเรื่อง คุณตำรวจพันตรี ต้องให้ผมพูดย้ำเรื่องก่อนหน้านี้อีกกี่ครั้ง ว่าพวกมันมาก่ออาชญากรรมในพื้นที่คุ้มครองปลาของผม! ตรงนั้นคืออาณาบริเวณของผม สมบัติของผม!” ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงยั๊วะสุดขีดพร้อมใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าอกของตำรวจพันตรี
พันตรีเดวิสมองดูการทะเลาะวิวาทของทั้งสองฝ่ายจึงรีบเข้าไปไกล่เกลี่ย ฉินสือโอวดันเขาออกก่อนจะพูดขึ้นว่า “ฟังนะ ทนายของผมได้ร่างหนังสือฟ้องร้องส่งให้ศาลเรียบร้อยแล้ว รู้มั้ยว่าพวกมันใช้ธนูฆ่าอะไร? ไม่ใช่แค่วาฬ ฉลามเท่านั้นนะ แต่มันฆ่าเต่ามะเฟืองด้วย!”
“ไม่ใช่ พวกเราไม่ได้ฆ่าเต่ามะเฟือง!” ลินตันรีบพูดแทรก “แค่วาฬตัวเดียว พวกเราฆ่าไปแค่วาฬตัวเดียว!”
สีหน้าของพันตรีซีดเผือดเข้าไปใหญ่จนแทบอยากจะมุดลงน้ำ ในใจของเขาสาปแช่งลินตันไปแล้วแปดชั่วโคตร อยากจะเอาปืนมาอุดปากมันจริงๆ ทำไมในโลกถึงมีคนที่โง่ได้ขนาดนี้กันนะ? ไม่จำเป็นต้องพูดออกมาทุกอย่างก็ได้!
ฉินสือโอวหัวเราะเยาะและพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามขึ้น “ถึงขนาดนี้แล้ว พวกนายยังจะไม่ยอมรับบาปที่ทำไว้อีกเหรอ?”
พันตรียังคงอดทนและพูดขึ้น “โอเค คุณฉิน ผมเข้าใจพวกคุณผิดไป งั้นคดีนี้ส่งต่อให้พวกเราซีซีจีทำต่อแล้วกัน พวกเราจะทำงานนี้ต่อให้ดีที่สุด”
“ส่งต่อให้พวกคุณ? พวกคุณมีคุณสมบัติที่จะจัดการเรื่องนี้เหรอ?” ฉินสือโอวมองพันตรีด้วยความดูถูก และพูดด้วยท่าทางทะนงตัว “ซีซีจีทุกท่าน ต้องขอบอกพวกคุณว่า พวกคุณคงรับต่อคดีนี้ไม่ได้ นี่คือความรับผิดชอบของหน่วยเรา คงไม่ต้องให้บอกซ้ำนะว่าหน้าที่ของทหารแห่งเกาะแฟร์เวลอย่างพวกเราคืออะไร?”
เขาดีดนิ้ว รอบนี้นีลเซ็นรู้งานและไม่ทำพลาดเหมือนรอบที่แล้ว และพูดต่อด้วยความปราดเปรื่อง “ปกป้องเต่ามะเฟืองเพื่อให้พวกมันแพร่พันธุ์สู่ธรรมชาติ! และต่อต้านอาชญากรรมต่างๆ ที่มาทำร้ายเต่ามะเฟือง!”
จากนั้นก็มีพวกคนที่อยู่ไม่ไกลทยอยพากันเดินเข้ามามุง พอเข้ามาใกล้ก็มีบางคนยกกล้องขึ้นมาบันทึกวิดีโอไว้ ที่ฉินสือโอให้เออร์บักติดต่อสื่อมวลชนมา ในที่สุดก็มาถึงซะที
บทที่ 1106 สมาคมพี่น้องบิ๊กแซม
พอสื่อมวลชนมาถึงเรื่องก็ง่ายขึ้น ฉินสือโอวแสดงให้พวกนักข่าวเห็นว่าเด็กวัยรุ่นหนุ่มสาวพวกนี้ใช้ทั้งปืนผาหน้าไม้ ธนู สารล่อปลา ลูกธนูระเบิด และยังเผยร่างวาฬที่ตายอย่างน่าเวทนาให้พวกเขาดู
ที่รู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจมากที่สุดเห็นจะเป็นร่างของวาฬ นักข่าวและช่างกล้องปรึกษาหารือกัน ก่อนการออกอากาศมีบางส่วนจะต้องเซนเซอร์ เพราะว่าฉากนี้ดูนองเลือดและโหดร้ายทารุณเกินไป
ในจุดนี้พวกวัยรุ่นต้องได้รับโทษ พวกเขาฆ่าวาฬ และล่อให้ฉลามมากัดเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็ใช้มันล่อนกนางนวลมากินมันเป็นอาหาร แถมยังลากซากของมันไปตลอดทางที่ขับเรือ ทำให้ซากของวาฬยุ่ยไปหมด
ตัวเองเป็นคนสร้างเรื่อง ถึงจะดูน่าเกลียดขนาดไหนก็ต้องแสดงให้จบ ตอนนี้พวกวัยรุ่นก็กำลังจำลองเหตุการณ์ด้วยน้ำตาคลอเบ้า
และฉินสือโอวก็หันไปพูดกับสื่อมวลชน โดยใส่ร้ายป้ายสีพวกวัยรุ่นว่าจุดมุ่งหมายที่พวกวัยรุ่นมาถึงฟาร์มปลาก็คือต้องการที่จะฆ่าเต่ามะเฟือง จริงๆ แล้วเขาก็พูดไปอย่างนั้นแหละ กระดองเต่าของเต่ามะเฟืองแข็งมากขนาดนั้น ไม่ต้องพูดถึงลูกธนูว่าจะยิงเข้า แม้แต่ชนวนระเบิดยังไม่เพียงพอที่จะสามารถระเบิดกระดองของพวกมันให้แตกได้
แต่ฉินสือโอวก็ไม่สน เขาทำแบบนี้ก็เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู ถ้าต่อไปมีใครกล้ามาลักลอบจับสัตว์ที่ฟาร์มปลาของเขาอีก เขาก็จะจับกุมมันโดยเอาข้อหาลักลอบล่าเต่ามะเฟืองมาใช้ จากนั้นก็ฟ้องร้องมันเข้าไปด้วยเลย วัยรุ่นพวกนี้โชคไม่ดีนัก ที่เขาเพิ่งบอกกับพวกหน่วยยามฝั่งไปว่าจะฟ้องร้องคนพวกนี้ นั่นไม่ใช่แค่คำขู่ เพราะเขาบอกเออร์บักให้เขียนหนังสือฟ้องร้องแล้วจริงๆ
เจรจากับสื่อมวลชนเสร็จ ฉินสือโอวก็นำพวกวัยรุ่นส่งต่อให้กับตำรวจ จากนั้นก็กลับมาที่ฟาร์มปลา
แล้วเรือยอชต์ลำนั้นล่ะ? หน่วยจู่โจมกองทัพบกอายัดมันไว้แล้ว เพราะว่าเป็นอุปกรณ์ที่พวกวัยรุ่นใช้ทำผิดกฎหมาย หลังจากนี้ต้องรอให้ศาลอ่านคำตัดสินบทลงโทษแปดเก้าในสิบเปอร์เซ็นต์ น่าจะถูกนำไปประมูลขายลดราคา
เรือบิ๊กแซม 107 เป็นเรือยอชต์ลำหนึ่งที่ดีมาก ห้องรับแขกบนดาดฟ้าของเรือกว้างขวางและหรูหรา เอาไว้ใช้ต้อนรับแขก แถมยังเป็นพื้นที่เหมาะสำหรับการคุยเรื่องธุรกิจการค้า ส่วนกลางห้องรับแขกทางซ้ายมือเป็นโซฟารูปตัวยูและโต๊ะกระจกทรงเตี้ยสำหรับวางชุดน้ำชา เป็นการนำสไตล์และสีสันของยุโรปเหนือมาใช้ ทั้งชุดน้ำชาและโซฟาล้วนแล้วแต่มีสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับเทพนิยายของทางยุโรปเหนืออยู่บนนั้น
ทางขวาเป็นโซนอาหาร มีเก้าอี้สี่ตัวและโซฟามุมโค้งรูปตัวแอลล้อมรอบโต๊ะอาหารหนึ่งตัว เป็นหนึ่งชุดต่อหกคน ผนังของห้องรับแขกทั้งสี่ด้าน มีที่นั่งสี่ที่สำหรับดูวิวทิวทัศน์ยามค่ำคืน ที่นั่งแต่ละที่ไม่เท่ากัน เล็กสุดคือยี่สิบหกนิ้ว ใหญ่สุดประมาณหกสิบนิ้ว
ชั้นล่างของดาดฟ้าเป็นโซนสำหรับพักผ่อน ส่วนแรกเป็นห้องนอนของแขกวีไอพี ฉินสือโอวเดินเข้าไปดูด้านใน ด้านในห้องมีเตียงน้ำสำหรับสองคน ตู้เสื้อผ้า ชั้นหนังสือ โต๊ะหนังสือ โต๊ะคอมพิวเตอร์ และอีกมากมาย ซึ่งสไตล์การแต่งห้องจะเป็นแบบเรียบง่าย แต่ค่อนข้างที่จะพิถีพิถัน
นอกจากนี้ยังมีห้องน้ำที่แบ่งเป็นฝั่งเปียกกับแห้ง ด้านในห้องน้ำปูด้วยไม้สักกันลื่น ส่วนด้านข้างของห้องนอนมีบาร์ขนาดเล็กอยู่ ด้านในมีเหล้าครบครัน และยังมีเครื่องดื่มที่เพิ่มความสนุกให้อยู่ไม่น้อย และจะช่วยเพิ่มให้อะไรสนุกนั้นก็อย่างที่รู้ๆ กัน
ฉินสือโอวพร้อมด้วยตำรวจสำรวจรอบๆ ข้างในเรือยอชต์ คนที่อยู่ด้านหลังถ่ายรูปเก็บหลักฐาน เพื่อป้องกันการตกหล่นเวลาอายัดสิ่งของ
ลินตันและพวกวัยรุ่นถูกใส่กุญแจมือและพาเข้าไปในรถตำรวจ ก่อนจะไปก็มีคนตะโกนใส่ฉินสือโอว “แกไม่รู้หรอกว่ากำลังเล่นกับใครอยู่! แกซวยแน่ ดันมาหาเรื่องกับคนที่ไม่ควรหาเรื่อง!”
ฉินสือโอวยักไหล่แล้วเดินมาตบไหล่หนุ่มวัยรุ่นที่กำลังเอะอะโวยวาย พลางพูดด้วยรอยยิ้ม “อาจจะงั้นนะเพื่อน ต่อไปฉันอาจจะซวย แต่ฉันคิดว่าตอนนี้คนที่จะซวยน่ะก็คือพวกแก ที่ทัณฑสถานก็นึกถึงพระเจ้าไว้ซะ แล้วภาวนาให้พระเจ้าคุ้มครองไม่ให้ศาลตัดสินโทษหนักเกินไปล่ะ”
พวกวัยรุ่นหน้าซีดเผือด ฉินสือโอวออกแรงที่แขนเพื่อเอาพวกเขายัดใส่รถตำรวจแล้วปิดประตู
แบ็กอัปของพวกวัยรุ่นหนุ่มสาวนี้ไม่ใช่เล็กๆ ฉินสือโอวเตรียมพร้อมแล้ว แต่หลังจากที่เออร์บักมองเห็นชื่อของเรือยอชต์นี้ ก็เตือนเขาอีกครั้งหนึ่งว่า “ระวังหน่อยนะ คนที่เราจะเล่นครั้งนี้ไม่ใช่คนธรรมดา”
ทำให้คนอย่างเออร์บักต้องบอกให้ระวังนั้นถือว่าไม่ใช่เล่นๆ ฉินสือโอวรู้สึกแปลกใจจึงถามขึ้นว่า “แล้วคนพวกนั้นเป็นลูกหรือว่าเป็นญาติของใครล่ะ? พวกเขาร้ายกาจขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เออร์บักจึงตอบว่า “ฉันไม่รู้จักเด็กวัยรุ่นพวกนั้น แต่ฉันรู้จักเรือนั่น เรือบิ๊กแซม 107 มันน่าจะเป็นของที่เกี่ยวโยงกับสมาคมพี่น้องบิ๊กแซม วัยรุ่นพวกนั้นน่ะ นายแน่ใจไหมว่าพวกเขาเป็นคนแคนาดา?”
ข้อนี้ฉินสือโอวสามารถแน่ใจได้ อีกทั้งในตอนแรกหน่วยยามฝั่งก็พูดยืนยันถึงสถานะของพวกวัยรุ่นแล้ว แล้วตอนที่พวกวัยรุ่นถูกตำรวจจับ พวกเขาก็ไม่ได้พูดถึงสถานะตัวเองออกมา ถ้าเป็นคนอเมริกา ก็จะรีบเอะอะตะโกนพวกเรื่องสถานทูต เรื่องรัฐสภา เรื่องประธานาธิบดีอะไรเทือกนั้นไปแล้ว
ฉินสือโอวไม่เข้าใจว่าสมาคมพี่น้องบิ๊กแซมคืออะไร เออร์บักจึงอธิบายให้เขาเข้าใจว่า มันก็คือกลุ่มกลุ่มหนึ่ง ที่ก่อตั้งมาได้หลายปีแล้ว เมื่อประมาณศตวรรษที่ห้าสิบ
ก่อนครึ่งศตวรรษ อันมีสาเหตุเนื่องมาจากสงครามเย็น ที่ทางอเมริกาต้องการให้มีแรงสนับสนุนมากกว่านี้ และแคนาดาก็แสดงออกอย่างดี ดังนั้นความสัมพันธ์ของสองประเทศนี้จึงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งแหล่งทรัพยากรก็ใช้ร่วมกัน
การถือกำเนิดของสมาคมพี่น้องบิ๊กแซม มาจากสองประเทศเรียนรู้ที่จะใช้ทรัพยากรร่วมกัน ในเวลานั้นอเมริกาได้ส่งนักเรียนจำนวนมากไปแลกเปลี่ยนที่แคนาดา เพื่อแลกเปลี่ยนวิชาความรู้เฉพาะทาง ผู้อพยพในแคนาดาช่วงยุคแรกส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษและฝรั่งเศส คนเหล่านี้ไม่มีความประทับใจที่ดีต่ออเมริกาเพราะบรรพบุรุษของพวกเขา แต่จริงๆ แล้วในปัจจุบันนั้นเป็นเพราะว่าคนอเมริกาไล่พวกเขามาที่นี่
เพราะแบบนี้ตอนอยู่ในโรงเรียน นักเรียนของทั้งสองฝ่ายก็มักจะทะเลาะวิวาทกันอยู่เป็นประจำ นักเรียนแคนาดาจะชอบสั่งการในฐานะที่เป็นเจ้าถิ่นและครองทุกอย่างไว้เอง ทำให้นักเรียนอเมริกาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ด้วยเหตุนี้นักเรียนอเมริกาจึงได้เลียนแบบกลุ่มสมาคมพี่ชายน้องชายและกลุ่มพี่สาวน้องสาว จนกลายมาเป็นกลุ่มสมาคมพี่น้องบิ๊กแซม
ในตอนนั้นสมาคมนี้ได้รับการยอมรับและได้รับความสนใจจากนักเรียนอเมริกาที่อยู่ในแคนาดาอย่างล้นหลาม พวกเขาร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้านและเป็นปฏิปักษ์กับนักเรียนแคนาดา ต่อมาพวกเขาสำเร็จการศึกษาและพากันแยกย้ายเข้าไปทำงานในสังคมและงานต่างๆ ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีกำลังมากขึ้น ความหมายของสมาคมก็คือนับวันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้ไม่ได้มีแค่นักเรียนนักศึกษาแล้ว
ที่อเมริกาและแคนาดาหรือแม้กระทั่งยุโรป สิ่งที่ยากจะรับมือมากที่สุดก็คือพันธมิตรสมาคมแบบนี้ ก็เหมือนน้ำผึ้งหยดเดียวที่พอก่อให้เกิดความยุ่งยากแล้ว สุดท้ายก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าจะไปหยุดอยู่ที่ใคร
อย่างที่คิดไว้ ในตอนค่ำมีคนโทรศัพท์มาหาฉินสือโอ ซึ่งก็คือเบลค เขาถามขึ้นว่า “ฉิน วันนี้นายจัดการพวกวัยรุ่นไปกี่คน?”
ฉินสือโอวสรุปไปเอง แล้วถามถึงสิ่งที่นึกขึ้นได้พอดี “เฮ้ยเพื่อน นายคงไม่ใช่คนในสมาคมบิ๊กแซมอะไรนั่นนะ?”
เบลคจึงขำแห้งขึ้นว่า “สมัยเรียนมหาลัยฉันชอบก่อเรื่องน่ะ เลยเข้าสมาคมนั้นไป”
ฉินสือโอวจึงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “สมาคมพี่น้องอะไรนั่นไม่ใช่ว่าจัดขึ้นเอาไว้สำหรับพวกอเมริกาต่อต้านคนแคนาดาอย่างพวกนายไม่ใช่เหรอ? นายเป็นคนแคนาดาจะเข้าไปทำอะไรอีก? ไปเป็นหนอนบ่อนไส้?”
พอฟังเขาพูดจบ เบลคก็หัวเราะขึ้นมา หลังจากนั้นเลยอธิบายให้เขาฟัง ตอนนี้สมาคมพี่น้องไม่ใช่แค่นักศึกษาง่ายๆ แบบเดิมแล้ว ตอนนี้เกี่ยวข้องพัวพันกับผลประโยชน์เยอะมาก แล้วก็มีคนแคนาดาในกลุ่มเยอะมาก
สมาชิกชาวแคนาดาพวกนี้ บางคนก็เป็นคนอเมริกาที่มาทำงานที่แคนาดาเพื่อหาโอกาสเติบโต หลังจากนั้นก็ได้สัญชาติแคนาดา ลูกของพวกเขาก็เลยกลายเป็นคนแคนาดาแต่กำเนิด แต่พอขึ้นมหาลัย รุ่นพ่อของพวกเขาก็แนะนำให้พวกเขาเข้าสมาคมนี้
และยังมีอีกส่วนหนึ่งที่เป็นแกนกลางสำคัญของสมาคมคิดว่าคนแคนาดาพวกนี้ค่อนข้างเก่ง จะมีประโยชน์ต่อสมาคมในอนาคตเลยดึงตัวเข้ามาไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อที่ในอนาคตจะได้ใช้งานได้สะดวก
ส่วนเบลคถือว่าอยู่ในประเภทนั้น ตระกูลของเขาเป็นตัวแทนที่มีอิทธิพลมากในแคนาดา สมัยเรียนมหาลัยก็เลยถูกดึงเข้าไปอยู่ในกลุ่ม
“โอเค งั้นตอนนี้ฉันจะให้นายมาทำหน้าที่เจรจาเกลี้ยกล่อมให้ นายนับถือพระเจ้าองค์ไหนล่ะ?” สุดท้ายฉินสือโอวก็เป็นฝ่ายถามเขา
………………………………………..
บทที่ 1107 ไพ่คิงอีกใบ
เบลคลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดความจริงออกมา “ในกลุ่มพวกนั้นมีวัยรุ่นอยู่สี่คน ที่พวกเขาต่างมีก็แบ็กอัปที่ค่อนข้างร้ายกาจนิดหน่อย แต่ก็แค่นิดหน่อยนะ แต่ฉันก็คิดว่าในสมาคมบิ๊กแซมมีคนไม่น้อยเลยที่กลัวพวกเขา”
ฉินสือโอวพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า “งั้นให้พวกเขามาสิ พวกเขาต้องรับผิดชอบที่บุกรุกพื้นที่ฉัน และพวกเขาควรที่จะเตรียมพร้อมถูกกฎหมายลงโทษ ฉันก็รู้แหละ คงเป็นเพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าคนจีนนั้นรังแกง่าย ก็เลยมาที่อาณาเขตของฉันกันครั้งแล้วครั้งเล่าสินะ”
เบลคไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี ฉินสือโอวเลยพูดต่อ “ฉันอยากให้คนพวกนั้นรู้ว่า ตอนนี้ไม่ใช่ยุคที่ว่าหากพวกเขาอยู่อีกฝั่งของทะเลจะสามารถยึดครองประเทศหนึ่งได้ด้วยปืนใหญ่”
“นี่คือสิ่งที่ผู้ยิ่งใหญ่ในประเทศนายพูดไว้เหรอ?” เบลคยิ้มแห้ง
“นายพลท่านหนึ่งที่เก่งมากๆ เขาเอาชนะกองกำลังสหประชาชาติของแมกอาเธอร์ได้ ฉันยกให้เขาเป็นไอดอลตอนนี้เลยขอยืมคำของเขามาใช้หน่อยละกัน แล้วก็นอกจากนี้ ฉันยังจะยืมประโยคของนโปเลียนมาอีกหนึ่งประโยค เพื่อนหรือศัตรู ตอนนี้ต้องเลือกแล้ว” ฉินสือโอวยังคงพูดด้วยความนิ่ง
แต่เมื่อเบลคได้ยินประโยคนี้ มันทำให้เขารู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยเพราะฉินสือโอวสงสัยในมิตรภาพของเขา เห็นได้ชัดว่าที่เขาโทรมาในค่ำนี้คงไม่เป็นการดีแน่
ดังนั้นเบลคจึงรีบอธิบาย “อย่าเข้าใจฉันผิด ฉิน ความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นมันยาวนานมาก ฉันแค่กังวลว่านายจะต้องเจอปัญหาที่มันยุ่งยาก ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็สนับสนุนการตัดสินใจของนายเสมอ เออใช่แล้ว ฉันได้ตรวจสอบข้อมูลคนที่เป็นแบ็กอัปของครอบครัวเด็กทั้งสี่และส่งให้นายทางอีเมลแล้วนะ”
ฉินสือโอวเลยถามขึ้นว่า “สี่คนนั้นทำได้มากขนาดไหน?”
เบลคพูดด้วยความมั่นใจ “ไม่มากพอจะทำให้นายหวาดกลัวได้หรอก พ่อของลินตัน วอเทอเรนซ์ เป็นเจ้าของโรงหลอมเหล็กขนาดเล็กที่แฮมิลตัน แค่ลูกศิษย์ของนายร้องออกมาคำเดียวก็ล้มเขาได้แล้ว โดยทำให้เขาล้มละลายได้ภายในเสี้ยววินาทีเชียวล่ะ”
ที่เขาบอกว่าลูกศิษย์นี้จริงๆ แล้วคือ พ่อของไวส์ที่เป็นเศรษฐีเจ้าของโรงหลอมเหล็กรุ่นใหม่ที่มีอิทธิพลในชิคาโก้
พอได้ฟังที่เบลคพูดอย่างคล่องแคล่ว ฉินสือโอวกลับรู้สึกสงสัยเล็กน้อย “เรือยอชต์ลำที่พวกเขานั่งมันมีมูลค่าอย่างต่ำก็สี่ล้านดอลลาร์แคนาดาเลยนะ ไหนว่าเป็นลูกชายเจ้าของโรงหลอมเหล็กขนาดเล็ก ทำไมร่ำรวยได้ขนาดนั้นล่ะ?”
เบลคหัวเราะแล้วพูด “เพราะลินตันมันเป็นลูกที่ล้างผลาญเงินครอบครัวน่ะสิ เขาบังคับพ่อทุกวิถีทางเพื่อให้ซื้อเรือยอชต์ลำนี้ให้ ฉันส่งข้อมูลไปให้นายแล้ว นายสามารถเช็กดูได้ การรวบรวมข้อมูลพวกนี้ใช้เวลาไม่น้อยเลย”
ในตอนสุดท้ายก่อนจะวางสาย เขาก็ไม่ลืมที่จะแสดงความเป็นมิตร แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของตัวเขาเอง
หลังจากวางสายจากเบลค บิลลี่ก็โทรศัพท์เข้ามา พอเป็นแบบนี้ฉินสือโอวก็หัวเราะ ดูเหมือนว่าแบ็กอัปของสี่คนนี้จะไม่ได้ง่ายเหมือนที่เบลคบอกซะแล้ว
“นายก็จะมาพูดขอความเมตตาแทนไอ้โง่สี่คนนั้นเหรอ?” พอฉินสือโอวรับสายก็ถามแบบนี้ขึ้นมาในทันที
บิลลี่ถึงกับงงที่อยู่ดีๆ ก็ถูกถามแบบนั้น “อะไรนะ? ขอความเมตตาให้ไอ้โง่ไหน? ฉันไม่เข้าใจที่นายหมายถึง”
ฉินสือโอวเลยถามขึ้น “งั้นนายโทรมามีอะไร?”
การที่เพื่อนคนนี้โทรมาพอดีมันดูจะบังเอิญไปเสียหน่อย
บิลลี่เลยพูดว่า “อ๋อ คืออย่างนี้ แบรนดอนเอาเครื่องเสาหัวเรือและเหรียญทองที่ได้จากการประมูลมาล้างได้ประมาณหนึ่งแล้ว และพวกเราตัดสินใจที่จะให้ของขวัญนายร่วมกัน เลยโทรมาเพื่อบอกว่าของขวัญกำลังจะมาถึงนายในอีกไม่ช้า”
เกรงใจอยู่สักพัก ฉินสือก็โอววางสายและเริ่มศึกษาข้อมูลที่เบลคส่งมาให้ หลักๆ ข้างในจะเป็นการแนะนำสมาคมบิ๊กแซม มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแบ็กอัปของเด็กสี่คนไม่มากนัก รู้แค่ว่าโรงเรียนพวกนั้นอยู่ไหน เป็นลูกเต้าเหล่าใคร ครอบครัวทำธุรกิจอะไรเท่านั้นเอง
สมาคมบิ๊กแซมก็เหมือนที่เออร์บักบอก เป็นสมาคมที่ตั้งขึ้นเพื่อรับมือกับเด็กนักเรียนแคนาดาเฉยๆ ต่อมาพอสมาชิกรุ่นแรกกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในสังคม พวกเขาก็อยากที่จะพัฒนาสมาคมนี้สักหน่อย จนกลายเป็นสมาคมแนวหน้าของทั้งยุโรปและอเมริกา
วัฒนธรรมสมาคมแบบยุโรปได้เริ่มตั้งแต่ยุคกลาง ทั้งอัศวินเทมพลาร์และองค์กรฟรีเมสัน ที่ตอนนี้ได้แพร่ขยายเป็นวงกว้าง
สมาคมเฮชเอสมีอิทธิพลมากที่สุดในอเมริกา นับตั้งแต่ปี1825 มีประธานาธิบดีอเมริกามีเพียงสองคนที่ไม่ได้มาจากสมาคมนี้ และนับจากปี 1900 ก็มีสมาชิกในสมาคมเพิ่มถึง 67 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันแกนหลักสี่สิบเจ็ดจากห้าสิบอันดับแรกที่มีอำนาจบริหารการจัดการธุรกิจในอเมริกาก็เป็นสมาชิกของสมาคมเฮชเอส ซึ่งนั่นทำให้เกิดความหวาดกลัวในการส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการเมืองของอเมริกาเป็นอย่างมาก
แน่นอนว่า ความน่าหวาดกลัวนี้มาจากจำนวนสมาชิกของสมาคมที่มีจำนวนมากมายมหาศาล สมาคมนี้ไม่ใช่พรรคการเมือง เป็นเพียงสมาคมที่ไม่ได้เคร่งครัดอะไร หรือพูดได้ว่าเป็นกลุ่มแบบหนึ่ง ที่ทุกคนใช้บุกเบิกสร้างมนุษยสัมพันธ์
แต่สมาคมประเภทนี้โดยปกติแล้วจะค่อนข้างหละหลวม หละหลวมจนไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน ดังนั้นเออร์บักจึงได้เตือนฉินสือโอวให้ระวังไว้ แค่ให้ระวังไว้ก็เท่านั้น อย่าเข้าไปเกี่ยวข้องโจมตีมากเกินไป แบบนี้จะได้ไม่ไปขัดใจคนส่วนมาก
การกระทำอันป่าเถื่อนของลินตันและพรรคพวกถูกฉายบนช่องข่าวในวันถัดมา และยังถูกพาดหัวข่าวบนหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเซนต์จอห์นอีกด้วย และมีการวิพากษ์วิจารณ์ต่อระบบการศึกษา เพราะเด็กสี่คนนี้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยโทรอนโต
เออร์บักฟ้องร้องเด็กทั้งสี่ ศาลของเมืองเซนต์จอห์นได้เริ่มการตรวจสอบและรวบรวมหลักฐาน ฉินสือโอวยุ่งมากในชั้นศาล มีสายหนึ่งโทรเข้ามาหาเขา ซึ่งก็คือบัตเลอร์โทรเข้ามา โดยเขาบอกว่ากำลังจะมาถึงฟาร์มปลาเร็วๆ นี้ จึงโทรมาให้เขาออกไปรับหน่อย
ฉินสือโอวจึงฝากงานให้กับคนของศาล และรีบออกไปรับบัตเลอร์ทันที เมื่อบัตเลอร์เห็นเขาก็เข้ามาสวมกอดอย่างแรง พลางถอนหายใจและพูดว่า “เพื่อน ได้ยินว่าช่วงนี้นายเจอปัญหาอีกแล้วเหรอ?”
ฉินสือโอวยิ้ม “ข้อมูลนายนี่แม่นตลอดเลยจริงๆ นะ ใช่แล้ว ฉันจัดการเด็กสี่คนไป พวกเขาบอกว่ามาจากสมาคมบิ๊กแซมอะไรสักอย่าง นายช่วยฉันหาข้อมูลให้หน่อยได้ไหม?”
บัตเลอร์พยักหน้าตอบ “สมาคมบิ๊กแซม บางทีอาจจะเป็นเพราะนายอยู่แคนาดาเลยไม่ค่อยรู้จักพวกเขามาก จริงๆ แล้วสมาชิกส่วนใหญ่เป็นคนอเมริกา แต่ถ้านายอยู่ในอเมริกา นายก็จะรู้ว่าอิทธิพลของคนพวกนั้นไม่ใช่เล่นๆ เลย”
ฉินสือโอวเลยถาม “ทำไม พวกเขาไปหานายแล้วเหรอ?”
บัตเลอร์ถอนหายใจอย่างจนปัญญาแล้วพูด “พวกมันลงมือไปแล้ว ในตระกูลมอร์รี่ก็มีไอ้เวรคนหนึ่งอยู่ในสมาคมบิ๊กแซม ดังนั้นคนพวกนั้นเลยใช้ตระกูลมอร์รี่กดขี่อาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินของพวกเรา”
“แล้วผลเป็นอย่างไร?”
“ไม่ค่อยดีเท่าไร เพื่อน ชีวิตเรายุ่งแน่หลังจากนี้ พวกคนจีนมักจะพูดกันไม่ใช่เหรอว่าอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขจะนำพาความร่ำรวยมาให้? ฉันอยากถามหน่อย ถ้าเป็นไปได้ นายจะช่วยเพิกถอนคำฟ้องร้องพวกระยำนั่นได้ไหม?” บัตเลอร์ถามอย่างระมัดระวัง
ฉินสือโอวหัวเราะและยิ้มออกมาอย่างสดใส “พวกเราคนจีนก็มีคำพูดที่ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับอำนาจหรือไม่ว่าจะเป็นแผนชั่วร้ายใดๆ ล้วนแล้วแต่เป็นแค่เสือกระดาษ[1] ถ้าพวกเราประนีประนอม นั่นก็หมายความว่าพวกเรามีศักยภาพไม่มากพอ แต่พวกเรามีศักยภาพมากพอที่จะจัดการนี่ ถูกไหม?”
ตาสองข้างของบัตเลอร์ตาเป็นประกายแล้วพูด “ฉันได้ยินมาว่านายรับเด็กที่เป็นลูกของราชาโรงเหล็กกล้ามาเป็นลูกศิษย์…”
“ไม่ เรื่องพวกนี้มันไม่จำเป็น หรือสมาคมพี่น้องระยำนั่นมันใช้ตระกูลมอร์รี่มากดขี่พวกเราเหรอ? ถ้าอย่างนั้นก็ดี เราก็จะโจมตีพวกมันในธุรกิจตลาดปลาอย่างองอาจผ่าเผย!” ฉินสือโอวพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ฉันควรจะให้อีกหนึ่งบทบาทของฟาร์มปลาได้ออกโรงแล้ว”
ดวงตาของบัตเลอร์สว่างเหมือนหลอดไฟ “อะไร?”
“รอดูแล้วกัน!”
……………………………………………
[1] เสือกระดาษคือ เหมือนมีอำนาจหรือมีอำนาจ แต่ทำอะไรไม่ได้หรือไม่ยอมทำ ปล่อยวางเฉย
บทที่ 1108 ผลการเก็บเกี่ยวใหม่
หลังจากผ่านฤดูใบไม้ผลิ ฉินสือโอวสั่งซื้อกรงดักกุ้งผ่านเรค บิ๊กฟุต ครั้งนี้เขาสั่งไปหนึ่งพันคู่หรือก็คือสองพันอัน ถ้าหากทุกอย่างราบรื่นได้ในครั้งเดียว ก็จะได้กุ้งมังกรตัวใหญ่ห้าถึงสิบตันเลยทีเดียว
สำหรับตลาดอาหารทะเลในตอนนี้การได้เมนล็อบสเตอร์มาห้าถึงสิบตันถือว่าเป็นโชคดีอย่างมาก และหากคุณภาพของเมนล็อบสเตอร์ล็อตนี้ล้ำเลิศ ความคุ้มค่าที่ได้รับกลับมาคงจะประเมินค่าไม่ได้เลยทีเดียว
ส่วนกุ้งมังกรแก๊ฟคี่ส่งผลกระทบต่อตลาดกุ้งมังกรของอเมริกาเหนือเป็นอย่างมาก ซึ่งในปีนี้ก็กำลังเริ่มเป็นที่จับตามองแล้ว
ฉินสือโอวจำได้ว่าตอนที่เขาไปที่บ้านของวินนี่ในช่วงคริสต์มาสครั้งแรก มาริโอ้พ่อของวินนี่เคยบ่นว่าปกติกุ้งมังกรสองปอนด์ ซื้อหนึ่งคู่ราคาไม่ถึงหนึ่งร้อยดอลลาร์แคนาดา แต่ครั้งนั้นเขาต้องจ่ายถึงสี่ร้อยดอลลาร์แคนาดาถึงจะได้มันมาหนึ่งคู่
แน่นอนว่านั่นก็เป็นผลกระทบมาจากวันคริสต์มาสด้วย ในวันเทศกาลไม่เพียงแต่อาหารทะเล ของทุกอย่างจะขึ้นราคาสูงหมดเลย
แต่ตลาดในปัจจุบันนี้ แม้แต่ช่วงเวลาธรรมดาที่ไม่ใช่วันเทศกาล ซื้อกุ้งมังกรน้ำหนักสองปอนด์ก็มีราคาถึงสี่ร้อยดอลลาร์แคนาดาเช่นกัน!
ซึ่งก่อนหน้านี้ ถ้าในฤดูใบไม้ร่วงซึ่งถือเป็นฤดูตกกุ้งมังกร ราคาต่อคู่จะไม่เกินสี่ร้อยดอลลาร์แคนาดา และแน่นอนว่าพอถึงฤดูใบไม้ผลิปริมาณกุ้งก็น้อยลง ทำให้ราคาสูงกว่าฤดูที่แล้วเล็กน้อย ซึ่งอย่างมากที่สุดก็แค่หนึ่งร้อยดอลลาร์แคนาดา แต่ในปัจจุบันราคาสูงขึ้นกว่าเดิมถึงสี่ร้อยเปอร์เซ็นต์!
หลังจากบัตเลอร์มาถึง ฉินสือโอวก็สั่งให้ชาวประมงเอากรงดักกุ้งไปวางไว้ในบ่อปลา กรงใหม่ที่สั่งไปสองพันกรงบวกกับครั้งก่อนที่สั่งไว้สองร้อยชิ้นตอนที่ไปดักกุ้งที่อ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ รวมทั้งหมดตอนนี้เขามีกรงดักกุ้งสองพันสองร้อยชิ้นและเอาไปวางไว้ในบ่อปลาด้วยกันเลย
เห็นชาวประมงวางกรงดักกุ้งด้วยความมั่นอกมั่นใจ สีหน้าของบัตเลอร์ก็เต็มไปด้วยความตะลึง “หะ..หา..ฉิน ฟาร์มปลาของนายยังมีกุ้งมังกรด้วยเหรอ? เท่าที่ฉันรู้ ฟาร์มปลาของนายเพิ่งสร้างมาได้แค่สองปีเองไม่ใช่เหรอ?”
ปกติแล้วกุ้งมังกรจะเจริญเติบโตช้า และจะใช้เวลาประมาณหกปีถึงจะโตได้ถึงหนึ่งปอนด์ ส่วนที่อเมริกาและแคนาดานั้น ตามกฎมาตรฐานการจับกุ้งมังกรที่เล็กที่สุดนั้นอ้างอิงตามวัดความยาวที่เปลือก ถ้าถึง 3.25 นิ้ว ก็คาดว่าหนักถึงหนึ่งปอนด์
ดังนั้นกุ้งมังกรจึงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหกถึงเจ็ดปีถึงจะโตได้มาตรฐานและตกขึ้นมาได้ ตามการคาดการณ์แล้ว ทุกปีในอเมริกาเหนือการตกกุ้งมังกรจะมีประมาณแปดสิบห้าถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่ได้ตามมาตรฐานกำหนด
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่บัตเลอร์จะสงสัย เพราะฉินสือโอวเพิ่งจะมารับช่วงต่อได้แค่สองปี แต่ในบ่อก็มีกุ้งมังกรให้เก็บผลผลิตได้แล้ว?
จริงๆ นะ ฟาร์มปลาต้าฉินมีกุ้งมังกรให้เก็บผลผลิตได้แล้วจริงๆ
พลังโพไซดอนใช้อย่างไรก็ไม่มีที่สิ้นสุด แต่ตอนนี้ฉินสือโอก็เริ่มไม่ค่อยแน่ใจเท่าไรแล้ว เพราะหลังจากที่ปลาทูน่าครีบน้ำเงินดูดซับพลังโพไซดอนไป ความเร็วในการเจริญเติบโตของพวกมันก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่คุณภาพของเนื้อเปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาก และหลังจากที่กุ้งมังกรได้รับพลังโพไซดอนไป การเติบโตของพวกมันก็คงเติบโตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง!
เหมือนกับกุ้งเครฟิชที่บ้านเกิดของฉินสือโอว และช่วงชีวิตของเมนล็อบสเตอร์ยักษ์ก็ต้องลอกคราบหลายครั้งเพื่อเติบโต ในช่วงอายุน้อยมันจะผลัดเปลือกสองถึงสามครั้งในหนึ่งปี เมื่อเริ่มโตก็ผลัดเปลือกเพียงปีละครั้ง รวมๆ ทั้งชีวิตจนกว่าจะถึงตอนที่สามารถเอาออกขายได้ก็ประมาณสี่สิบห้าสิบครั้ง
แต่กุ้งมังกรของฟาร์มปลาต้าฉินนั้นลอกคราบหนึ่งครั้งต่อเดือน หรือประมาณสิบครั้งต่อปี ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ดังนั้นในหนึ่งปีกว่าๆ ก็สามารถเอาออกขายได้แล้ว ฉินสือโอวมองไปที่ก้นบ่อ ในบ่อนั้นเต็มไปด้วยกุ้งมังกรยักษ์หลายสิบตัว
โดยปกติแล้วกุ้งมังกรที่โตเต็มที่แล้วจะหนักถึงสิบห้าปอนด์ ซึ่งนั่นก็ต้องใช้เวลาถึง 50ปี! แต่ในฟาร์มปลาต้าฉินยิ่งพวกมันได้รับพลังโพไซดอนมากเท่าไร พวกมันก็ยิ่งโตเร็วมากเท่านั้น
ฉินสือโอวลองคิดใคร่ครวญถึงปัญหานี้ เขาเชื่อว่าพลังโพไซดอนนี้ส่งผลต่อวิวัฒนาการของสัตว์เหล่านี้ โดยทำให้การดำรงชีวิตของพวกมันมีการพัฒนามากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น ปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ยิ่งไขมันในเนื้อของพวกมันสูงเท่าไร พลังงานก็เยอะขึ้นตามเท่านั้น ความสามารถในการว่ายน้ำก็ยิ่งแข็งแรงมากขึ้น และความสามารถในการดำรงชีวิตก็แกร่งขึ้นเช่นกัน ดังนั้นพลังโพไซดอนจึงทำให้ไขมันในเนื้อของพวกมันเพิ่มเยอะขึ้น
พอมาถึงฝั่งเมนล็อบสเตอร์ เนื่องจากในทะเลมีกุ้งมังกรแก๊ฟคี่อยู่ พวกมันจึงต้องการเปลือกที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมเพื่อไว้ป้องกันตัวเอง ดังนั้นพวกมันจึงลอกคราบอยู่ตลอดเวลา ทุกครั้งที่กุ้งมังกรลอกคราบ เปลือกของมันก็จะแข็งและดีขึ้น
สิ่งที่สามารถยืนยันการคาดเดาของเขาได้ก็คือกุ้งมังกร ฟาร์มปลาต้าฉินมีกุ้งมังกรอยู่สองชนิด ชนิดแรกคือกุ้งมังกรสีรุ้ง เป็นพันธุ์ที่นำมาเลี้ยงเป็นกลุ่มแรก เปลือกของกุ้งมังกรชนิดนี้มีการเปลี่ยนสี สีสันของมันทำให้เหมือนหลงอยู่ในความฝัน เปลือกก็แข็งเป็นพิเศษจึงไม่กลัวการโจมตีและการแพร่ของเชื้อโรค พวกมันใช้เวลาที่ลอกคราบนาน การเจริญเติบโตก็เลยช้า
ส่วนพวกที่โตเร็ว เป็นกุ้งมังกรที่นำมาเลี้ยงทีหลัง เปลือกของมันไม่ได้เปลี่ยนสีรุ้ง ถ้ามองจากภายนอกจะเห็นว่ามีความแตกต่างกับเมนล็อบสเตอร์ทั่วไปไม่มาก ความแข็งของเปลือกก็ต่างกันไม่มาก เช่นนี้จึงทำให้พวกมันเกิดการลอกคราบได้รวดเร็ว การเติบโตจึงเร็วมากขึ้น
ได้ฟังข้อสงสัยของบัตเลอร์ ฉินสือโอจึงพยายามอธิบายด้วยสีหน้าที่เป็นธรรมชาติ “เพื่อน เหตุผลมันก็ง่ายมาก กุ้งมังกรพวกนี้อยู่ในฟาร์มปลามาก่อนแล้วไง ฉันคิดว่านายควรจะรู้ไว้ ก่อนที่ฉันจะมา ฟาร์มปลาของฉันอยู่ที่นี่มาอย่างน้อยก็ยี่สิบปี หนำซ้ำในระยะเวลานั้นก็มีอยู่สิบปีที่ปล่อยว่างไว้!”
“ยี่สิบปีนี้ไม่มีคนมาตกปลาเลยเหรอ?” บัตเลอร์ถามด้วยความยากที่จะเชื่อ
ฉินสือโอวยักไหล่แล้วตอบว่า “แน่นอนว่าไม่มี นี่เป็นฟาร์มปลาส่วนตัวของคุณปู่ฉัน บนเกาะเขาทั้งมีบารมีและชื่อเสียงใหญ่โต ถ้ายังไม่ได้รับคำอนุญาตจากเขา ชาวประมงก็ยอมที่จะออกไปทะเลไกล และจะไม่มาจับปลาที่ฟาร์มของเขา ดังนั้นตอนนี้ก็เลยมีกุ้งมังกรกับปลาทะเลเยอะขนาดนี้ไงล่ะ”
“ถือเป็นการลดภาระและฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาติที่ประสบความสำเร็จจริงๆ” บัตเลอร์ถอนหายใจ “ฉิน ครั้งนี้ถือว่านายได้เปรียบ เป็นอะไรที่โชคดีมากจริงๆ เลยล่ะ ฉันล่ะอิจฉานายมากจริงๆ อิจฉาสุดๆ!”
พูดอย่างไรเขาก็ยังคงไม่เชื่ออยู่ดี “ถ้างั้นก็ไม่มีคนมาขโมยปลาเลยใช่ไหม? แต่ฉันคิดว่าเป็นเพราะในช่วงเวลานั้น อาจจะไม่มีคนช่วยนายดูฟาร์มปลาก็ได้นะ”
ฉินสือโอวแอบด่าไอ้คนเจ้าเล่ห์ที่รับมือยากอยู่ในใจ แต่ก็ทำได้เพียงอธิบายต่อ “พวกเขาสามารถมาขโมยได้แหละ แต่ใครจะสนใจกุ้งมังกรราคาถูกกัน? นายรู้ไหม แต่ก่อนทุกปีแคนาดาสามารถนำกุ้งมังกรออกสู่ตลาดได้ถึงเจ็ดหมื่นตันเลยนะ!”
ในที่สุดบัตเลอร์ก็คล้อยตามไปกับเขา พลางพยักหน้าตามตอนที่ฉินสือโอวพูด
เพราะว่าชายฝั่งทะเลแคบและมีชาวประมงค่อนข้างน้อย แคนาดาจึงอุดมไปด้วยกุ้งมังกร การจับเมนล็อบสเตอร์ก็ครองจำนวนกุ้งมังกรอเมริกาเหนือเกินกว่าครึ่ง
ในจำนวนนั้นกุ้งมังกรประมาณเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์มาจากเรือจับปลาขนาดเล็ก พวกเขามักจะจับอยู่ที่อ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์กับเกาะนิวฟันด์แลนด์ โดยไม่จำเป็นต้องแอบขโมย สามารถจับได้อย่างเปิดเผยได้เลย
และถ้าหากไม่ใช่การมาทำร้ายกุ้งแก๊ฟคี่ การขโมยกุ้งมังกรก็ใช่ว่าจะได้กำไรอะไร แล้วอย่างนี้ใครจะยอมเสี่ยงให้ถูกจับได้ที่มาขโมยของที่ไม่มีกำไรแบบนี้กันล่ะ? ปลาอลาสก้าพอลล็อคกับปลาค็อดแอตแลนติกยังมีราคากว่าตั้งเยอะ
และนี่จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่บัตเลอร์บอกว่าฉินสือโอวโชคดี เขาเพิ่งรับช่วงกิจการฟาร์มปลามา ตลาดโลกกุ้งมังกรก็ผันผวนวุ่นวายไม่แน่นอน ทำให้เขาสามารถฉวยโอกาสนี้ทำกำไรก้อนโตได้พอดิบพอดี
ฉินสือโอเชิญบัตเลอร์มาที่วิลล่าเพื่อพักผ่อนดื่มกาแฟกัน แต่ชายหนวดเครารุงรังคนนี้กลับลากเก้าอี้มานั่งที่ท่าเรือแล้วพูดว่า “ไม่ๆ เพื่อน ฉันไม่ไป ฉันจะอยู่ที่นี่ ฉันชอบฤดูใบไม้ร่วงของที่ฟาร์มปลามากกว่า”
“ฉันเคยไปมาก็หลายที่แล้ว เคยเห็นวิวทิวทัศน์สวยๆ มาก็เยอะ แต่ฟาร์มปลาของนายทำให้ฉันได้เห็นน้ำทะเลที่สวยที่สุด ทุกครั้งที่เห็นน้ำทะเลใสๆ เป็นประกาย หัวใจดวงนี้ของคนที่ชอบหลงระเริงก็กลับมาสงบลงได้” ชายหนวดเครารุงรังเริ่มระบายความรู้สึกตัวเองออกมา
ฉินสือโอวจับไปที่หน้าผากเขาแล้วถามขึ้น “นายมีไข้หรือว่ามีอารมณ์อยาก…กันล่ะ?”
บัตเลอร์ “…”
บทที่ 1109 ล็อบสเตอร์ต้าฉิน
หลังจากระบายความรู้สึก บัตเลอร์ก็กลับไปนั่งที่ท่าเรือ ฉินสือโอวยักไหล่ ทำได้แค่นั่งข้างๆ เป็นเพื่อนเขา
เข้าเดือนห้าแล้ว ฤดูใบไม้ผลิอากาศดีมาก แสงอาทิตย์อุ่นๆ เป็นประกายส่องกระทบผิวน้ำ คลื่นแวววาวที่ถูกสายลมทะเลพัดผ่านขึ้นมาคลื่นแล้วคลื่นเล่าจนเกิดเป็นเสียง ‘ซู่ๆ’ เบาๆ
บัตเลอร์หันหน้ามายิ้มเบาๆ “นายเคยนั่งบนหน้าผาแล้วมองออกไปยังมหาสมุทรแอตแลนติกไหม? ที่เป็นหน้าผาแบบเก่าแก่ ด้านหลังก็เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม ใต้ก้นเป็นหินแกรนิตหยาบๆ แต่ด้านข้างมือยังสัมผัสได้ถึงหย่อมหญ้าเขียวขจี นายเคยมีประสบการณ์แบบนี้ไหม?”
ฉินสือโอวส่ายหัว เขาเคยปีนเขาที่แคนาดา ซึ่งก็คือเทือกเขาเคอร์บัลที่อยู่ข้างๆ ทุกครั้งที่ปีนเขา เขาก็แค่ขึ้นไปสูดอากาศบริสุทธิ์เฉยๆ เพราะว่าเขาอยู่ใกล้มหาสมุทรมาก ใกล้จนบางทีก็ทำให้เขามองข้ามไม่สนใจมหาสมุทร
“นั่นต้องเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมากแน่ๆ เลย”
“แน่นอน นายต้องลองไปสัมผัสถึงความรู้สึกแบบนั้นสักครั้งนะ” บัตเลอร์ยิ้มตอบ “ลองคิดดูนะเพื่อน นั่งตรงหน้าผาที่มีป่าสนอยู่รอบๆ จ้องมองไปที่มหาสมุทรแอตแลนติกที่เต็มไปด้วยกุ้งมังกรลอยอยู่เต็มไปหมด ในตอนนั้นข้างในใจก็จะรู้สึกสงบเหมือนได้จมลงไปใต้ท้องทะเลลึก ในตอนนั้นกาลเวลาก็จะไม่มีความหมายกับนาย นายจะกลายเป็นเหมือนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ตามชายฝั่งทะเล”
ฉินสือโอวมองลุงผู้มีหนวดเคราดกดำรุงรังด้วยสายตาประหลาดใจ ชายผู้นี้เก่งด้านศิลปะและวรรณกรรมจริงๆ
เห็นท่าทางประหลาดใจของคนที่อยู่ตรงหน้าเขา บัตเลอร์ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง แต่รอยยิ้มบนหน้าของเขาช่างดูเรียบง่าย “นายเคยดูหนังเรื่องฟอร์เรสท์ กัมพ์ ไหม? ตอนที่ฟอร์เรสท์ กัมพ์อยู่ที่เวียดนาม เขามีเพื่อนร่วมรบคนหนึ่งชื่อ บับบา ที่บ้านของเขาทำบ่อตกกุ้งมาหลายรุ่น ประทับใจไหม?”
ฉินสือโอวตอบ “แน่นอน เป็นหนังที่คลาสสิคมาก นักแสดงก็เล่นได้ดีมาก ฉากสุดท้ายที่บับบาอยู่ในอ้อมกอดของกัมพ์แล้วพูดว่าอยากกลับบ้านไปหาแม่ ฉันจำฉากนี้ได้ขึ้นใจเลย”
บัตเลอร์เลยพูดว่า “ตอนที่เพิ่งรู้จักกัน ฉันเคยบอกนายว่าบ้านของฉันทำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารทะเล ฮ่าๆ ที่จริงแล้วมีบางอย่างที่ฉันโกหกนาย บ้านของฉันไม่ได้ทำธุรกิจอาหารทะเลหรอก แต่ที่จริงแล้วจับกุ้งต่างหาก ก็เหมือนกับบ้านของบับบา มีเรือจับกุ้งอยู่ลำหนึ่ง ต้องลงทะเลทุกๆ วัน”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้กำไรทั้งหมดก็เป็นของนาย? งั้นก็ดีเลยน่ะสิ” ฉินสือโอวถามด้วยความแปลกใจ
ที่ฟลอริดานั้นบัตเลอร์มีอิทธิพลมาก ที่นั่นธุรกิจของตระกูลมอร์รี่ไม่ใหญ่เท่าเขา ความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายอยู่ที่นิวยอร์ก ในตอนนั้นเจ้าเครารุงรังนี่มุ่งมั่นเอาไว้ว่าอยากจะเข้าไปตีตลาดที่นิวยอร์ก สุดท้ายแล้วก็ถูกตระกูลมอร์รี่ดักทางไว้ไม่ให้ทำได้ เป็นความพ่ายแพ้เหมือนในยุทธการวอเตอร์ลู
ถ้าพูดถึงสถานการณ์นี้แล้ว บัตเลอร์เป็นคนลงมือจัดการกับทุกอย่างด้วยตัวเอง นั่นก็มากพอที่จะทำให้ฉินสือโอวเลื่อมใสได้แล้ว
บัตเลอร์ไม่ได้พูดเรื่องนั้น พูดเพียงแค่ว่า “บ้านเกิดของฉันอยู่ที่เมืองเล็กๆ ในฟลอริดา เมืองเล็กๆ นั้นตั้งอยู่บนภูเขาใกล้ๆ กับทะเล วัยเด็กของฉันกับตอนวัยรุ่น ฉันมักจะนั่งอยู่บนหน้าผาสูงมองพ่อแม่ขับเรือออกไปจับกุ้งก็เหมือนกับที่ทำอยู่ในตอนนี้”
“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ฉันก็มาถึงบ้านของนายแล้วสิเพื่อน ไม่คิดจะพาฉันไปเดินชมหน่อยเหรอ?” ฉินสือโอวพูดแบบยิ้มๆ
บัตเลอร์ทำท่าทางเชื้อเชิญผายมือไปทางทะเล “มาสิ กระโดดลงไปเลย ฉันจะพานายไปเยี่ยมชมบ้านเกิดอย่างดีเลยล่ะ ฮ่าๆ”
พอพูดจบชายผู้ไว้หนวดเคราดกดำรุงรังก็หัวเราะออกมายกใหญ่
พวกเขาสองคนนั่งอยู่บนท่าเทียบเรือที่ทำจากไม้สนเนื้อแข็ง ลมทะเลที่มีกลิ่นเค็มปนกับกลิ่นสนจางๆ ลอยไปมา ตอนแรกกลิ่นไม่ค่อยดีนัก แต่พอฉินสือโอเริ่มคุ้นชินกับมันแล้ว พวกเขาก็คิดว่านี่มันเป็นกลิ่นของการประมง
แต่สำหรับชายหนวดเคราดกดำคนนี้ นี่คงจะเป็นเหมือนกลิ่นอายของบ้านเกิด
คลื่นที่กระทบกับท่าเทียบเรือ และบางช่วงที่กระแสน้ำลดลงก็จะเห็นร่องรอยของเพรียงคอห่าน เปลือกด้านนอกของพวกมันเหมือนกับก้อนหินที่เกาะอยู่บนท่าเรือ เปลือกสีเทาขรุขระมารวมอยู่ด้วยกันเป็นกระจุกดูแล้วรูปร่างแปลกประหลาดพิกล
แล้วคลื่นระลอกต่อไปก็กระทบตามมา เปลือกของเพรียงคอห่านมีรูและรอยแตก เมื่อน้ำทะเลกระทบมันก็ทำให้เกิดเสียงที่แตกต่างกัน ถ้าลองฟังดีๆ เสียงมันเหมือนกับเสียงดนตรีซิมโฟนี
ฉินสือโอวปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปสัมผัส เช่นนี้ความรู้สึกก็ยิ่งแรงกล้าขึ้นไปอีก ในสายตาของคนอื่น มหาสมุทรก็เป็นเหมือนทรราชเผด็จการที่อารมณ์แปรปรวน แต่ความรู้สึกในใจของโพไซดอนนั้นก็คือวีนัสแขนหักที่อบอุ่นและสวยงาม
ใช้เวลาไม่นานในการจับกุ้งมังกรในฟาร์มปลา เพราะโดยปกติแล้วชาวประมงจะมีงานสำคัญอีกอย่าง ซึ่งก็คือการค้นหาตำแหน่งที่ชัดเจนของทรัพยากรในฟาร์มปลา ด้วยวิธีนี้เมื่อจับสัตว์ทะเลก็จะได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามแค่ครึ่งเดียว
ตราบใดที่ไม่ใช่การอพยพในฤดูหนาว ในฤดูอื่นล็อบสเตอร์จะค่อนข้างขี้เกียจ ชาวประมงใส่กระชังกุ้งลงตรงที่ล็อบสเตอร์กลุ่มใหญ่อาศัยอยู่ซึ่งเป็นที่ที่ได้รับการสำรวจล่วงหน้าอย่างละเอียดมาก่อน ดังนั้นจึงใช้เวลาเพียงสี่หรือห้าชั่วโมงในการนำกระชังขึ้นมา
ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง ชาร์คจะพาคนไปสุ่มเลือกกระชังกุ้งสองสามอันเพื่อดูว่าข้างในเป็นอย่างไร พอยกกระชังครั้งที่สองก็เห็นเงาของกุ้งมังกรแล้ว
ชาร์คเอาล็อบสเตอร์ยักษ์ก้ามใหญ่เล็กสิบกว่าตัววางไว้บนท่าเรือ บัตเลอร์ผู้เชี่ยวชาญ เขาแค่มองเข้าไปข้างในแวบเดียว ก็พูดออกมาอย่างประหลาดใจ “เอ๋ ตอนนี้ยังมีล็อบสเตอร์เปลือกอ่อนอยู่อีกเหรอ? ต้องยอมรับเลยนะฉิน ว่าฟาร์มปลาของนายนี่มันมหัศจรรย์จริงๆ”
ล็อบสเตอร์มีกระบวนการผลัดเปลือกที่ซับซ้อน ในแต่ละปีเพื่อจะสร้างเปลือกใหม่ที่ใหญ่และแข็งขึ้นจึงต้องลอกคราบเปลือกเก่าออก แต่กระบวนการนี้มักจะเกิดขึ้นในฤดูร้อน และล็อบสเตอร์ที่เพิ่งลอกคราบใหม่นี้เรียกว่า “ล็อบสเตอร์เปลือกนิ่ม”
เมื่อเปรียบเทียบกับล็อบสเตอร์เปลือกแข็งที่อายุไล่เลี่ยกันแล้ว ล็อบสเตอร์เปลือกอ่อนมีความเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายมากกว่า จึงไม่สะดวกในการขนส่ง เนื่องจากระหว่างทางมันอาจจะบาดเจ็บจนตายได้
แต่ในเวลานี้เนื้อล็อบสเตอร์นี้จะอวบอิ่มและสะดวกในการรับประทานมากกว่า แม้แต่ในบอสตันก็ยังมีวิธีการกินล็อบสเตอร์ คือนำล็อบเตอร์เปลือกนิ่มมาแช่ในน้ำส้มสายชูและกินพร้อมเปลือกไปเลย โดยธรรมชาติแล้วล็อบสเตอร์เปลือกนิ่มที่ยังมีชีวิตอยู่ ราคาของมันแพงกว่าล็อบสเตอร์เปลือกแข็งมาก
ล็อบเตอร์กว่าหนึ่งโหลกำลังใช้โคนหนวดขู่กัน บัตเลอร์คว้าขึ้นมาตัวหนึ่งและพยายามชั่งน้ำหนัก แค่กะดูก็รู้ว่ากุ้งมังกรตัวนี้อ้วนหรือไม่
เป็นปกติที่ฟาร์มปลานี้จะทำให้เขาเกิดความประหลาดใจอีกครั้ง ล็อบสเตอร์ในมือเขาหนักมาก ให้ความรู้สึกว่าอ้วนท้วนสมบูรณ์ ยืนยันได้ว่าเนื้อข้างในกุ้งมังกรแน่นมาก
หลังจากนำล็อบสเตอร์ขึ้นฝั่ง ใบหน้าของบัตเลอร์ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มพูดว่า “มาเถอะฉิน จะให้นายลองกินล็อบสเตอร์สูตรพิเศษของบ้านเกิดฉัน รีบตามมาเร็ว”
ฉินสือโอวเป็นแฟนพันธุ์แท้นักชิม พอบัตเลอร์พูดแบบนี้เขาก็ตั้งตารอ รีบเข้าไปทำความสะอาดห้องครัวและจัดเตรียมอุปกรณ์ให้เขา พลางถามเขาว่าต้องการอะไรเพิ่มไหม
บัตเลอร์หัวเราะคิกคัก แล้วบอกว่าเขาต้องการน้ำทะเลสะอาดสักหม้อ
ฉินสือโอวเอาถังมาให้เขา แล้วบัตเลอร์ก็เอาน้ำทะเลใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นค่อยนำกุ้งมังกรใส่ลงไป แล้วก็ต้มมันทั้งอย่างนั้น
ฉินสือโอตะลึงจนตาค้างกับวิธีการทำแบบนี้ นี่ไม่ใช่ล็อบสเตอร์ต้มน้ำทะเลหรอกเหรอ? แค่นี้เขาก็ทำได้ อีกทั้งวิธีการล็อบสเตอร์ของเขายังพิถีพิถันกว่านี้เยอะ
บัตเลอร์ปรับอุณหภูมิให้เหมาะสม ปรบมือแล้วพูดว่า “เอาล่ะ ต่อไปที่พวกเราจะทำนั่นก็คือรอ รอล็อบสเตอร์สไตล์คารีน่าแสนอร่อย และอีกสักหน่อยนายต้องข่มใจตัวเองไว้หน่อยนะ อย่าเผลอกลืนลิ้นลงไปในท้องล่ะ”
ฉินสือโอวพูดอย่างจำใจ “ได้เลย ฉันรอไม่ไหวแล้ว แต่ฉันพูดได้ไหมเพื่อน ล็อบสเตอร์จะต้องเอาไปนึ่งถึงจะอร่อยไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงเอามาต้มกินล่ะ?”
บทที่ 1110 การกระทำของเมืองที่อบอุ่น
กุ้งล็อบสเตอร์เหมือนกันกับปู ถ้าหากต้มกิน สสารกลิ่นคาวและสารอาหารที่ละลายน้ำได้ในเนื้อจะถูกละลายไปในน้ำจากการกระตุ้นด้วยอุณหภูมิสูง สูญเสียความสดและคุณค่าสารอาหารแต่เดิมไป
โดยเฉพาะเมนล็อบสเตอร์ พวกมันอาศัยอยู่ใต้ทะเล กินพวกกุ้งและแพลงก์ตอนเป็นอาหาร ในเหงือกจึงมีโคลน สิ่งสกปรกและปรสิตต่างๆ ไม่น้อย ถ้าหากใช้น้ำต้ม สิ่งสกปรกเหล่านี้จะเข้าไปในช่องท้องตามน้ำ ส่งผลกระทบต่อรสชาติและความสะอาด
ดังนั้น การกินกุ้งล็อบสเตอร์ในแคนาดา วิธีการทำปกติคือการใช้วิธีการนึ่ง ไม่เพียงแต่สามารถรักษาสารอาหารได้ และยังเพราะว่าอุณหภูมิสูงกว่าการใช้น้ำต้ม สุกได้ไวสามารถลดเวลาในการทำได้ รักษารสชาติความสดของกุ้งล็อบสเตอร์เอาไว้ได้มากที่สุด
ในขณะเดียวกัน อุณหภูมิของการนึ่งยังสามารถฆ่าปรสิตที่อยู่ภายในได้อีกด้วย ลดโอกาสการปนเปื้อนจากลำไส้ภายในของกุ้งล็อบสเตอร์ รักษาความสะอาดของเนื้อเอาไว้ ความชื้นน้อย สีสันแดงสด อร่อยและสวยงาม
ฉินสือโอวรู้สึกว่าบัตเลอร์จะต้องรู้หลักการนี้เป็นแน่ ดังนั้นเพียงแค่ประท้วงเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรมาก
ลุงหนวดหัวเราะ แต่ไม่ได้อธิบาย บอกเขาว่า “อีกสักพักนายก็จะรู้ ฉันทำแบบนี้ไม่มีปัญหา”
ฉินสือโอวคิดว่าเพียงแค่ต้มกุ้งธรรมดา แต่ไม่นานเขาก็รู้แล้วว่าตัวเองเข้าใจผิด กุ้งล็อบสเตอร์ในหม้อ ต้มไปนาทีเดียว น้ำเพิ่งจะร้อน ลุงหนวดก็เอาออกมาแล้ว ให้ฉินสือโอวเตรียมเกลือละเอียดไว้ ใช้น้ำมันมะกอกผสมกับเกลือ ขัดเปลือกกุ้งล็อบสเตอร์อย่างแรง
ขัดไปสักพัก เขาก็ใช้น้ำส้มสายชูชะล้างเปลือกนอกของกุ้งล็อบสเตอร์ หลังล้างเกลือที่อยู่ข้างบนออกจนหมด ก็ให้ฉินสือโอวเตรียมหม้อนึ่ง แล้วนำกุ้งล็อบสเตอร์เข้าไปนึ่ง
ในตอนนี้บัตเลอร์ถึงยักไหล่กับฉินสือโอว แล้วพูดว่า “ตอนนี้น่าจะได้แล้ว อีกสักพักสุกแล้วก็กินได้”
น้ำที่ใช้นึ่งกุ้งล็อบสเตอร์คือน้ำทะเล ยังคงเป็นน้ำทะเลที่ใสสะอาด ระหว่างที่ไอน้ำเยอะ บัตเลอร์เปิดหม้อออก เผยให้เห็นกุ้งล็อบสเตอร์ข้างในที่มีสีสันสวยสด
บัตเลอร์สวมถุงมือหนาแล้วเริ่มแกะกุ้งหั่นอย่างชำนาญ แบ่งเนื้อกุ้งขาวกับฉินสือโอวส่วนหนึ่งให้เขาลองชิม
ฉินสือโอวเป่าเนื้อกุ้งแล้วกิน ระหว่างที่ค่อยๆ เคี้ยว สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือความกรุบกรอบของเนื้อกุ้งและความเนียนนุ่มของน้ำในเนื้อกุ้ง สิ่งที่ทำให้แปลกใจถัดมาคือรสชาติที่กระจายออกมาบนต่อมรับรส สุดท้ายถึงเป็นความหอมสดของเนื้อกุ้ง
กินกุ้งรสชาติอร่อย ฉินสือโอวยกนิ้วโป้งให้กับบัตเลอร์ “เป็นรสชาติที่ดีมาก เพื่อน ต่อมรับรสของฉันถูกนายกำราบแล้ว!”
บัตเลอร์ทำท่าทางโค้งคำนับ แล้วบอกว่า “ยินดีต้อนรับสู่เมืองคาริน่าที่สวยงาม คุณผู้ชายหวังว่าที่นี่จะสามารถสร้างความทรงจำที่ดีให้แก่คุณ”
ฉินสือโอวยกกุ้งล็อบสเตอร์จานหนึ่งไปให้วินนี่และเออร์บัก อันเดร์ได้ลิ้มรส บัตเลอร์แกะกุ้งล็อบสเตอร์ที่เหลือออก เรียกชาวประมงและเหล่าทหารมาดื่มชาบ่าย
หลังจากอันเดร์ได้กินเนื้อกุ้งก็ยกนิ้่วโป้งขึ้นในทันที ชมยกใหญ่ว่า “นี่เป็นรสชาติที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ฉันเคยกินกุ้งล็อบสเตอร์มามากมาย แต่คงต้องยอมรับว่ากุ้งล็อบสเตอร์ที่ได้กินวันนี้เป็นกุ้งที่ระดับสูงสุด ฉันจะต้องทำความรู้จักกับพ่อครัวคนนี้หน่อย เป็นนายใช่ไหมฉิน?”
ฉินสือโอวลากบัตเลอร์ออกมา แล้วพูดว่า “ไม่ครับ เป็นผลงานการเข้าครัวของบัตเลอร์ ถ้าหากพวกคุณอยากจะขอบคุณก็ขอบคุณเขาเถอะครับ”
อันเดร์ถามว่า “พ่อหนุ่ม ถ้าหากไม่ถือสา ฉันอยากจะรู้ว่ากุ้งล็อบสเตอร์นี้ทำอย่างไรได้ไหม?”
บัตเลอร์นั่งลงแล้วพูดอธิบายว่า “แน่นอนว่าไม่ถือสา ได้รับคำชมจากท่านถือเป็นเกียรติของผม ความจริงแล้ว เมนูนี้ง่ายมาก อันดับแรกใช้น้ำทะเลต้ม จะต้องใช้น้ำทะเลบริเวณที่กุ้งล็อบสเตอร์อาศัย นี่เป็นเคล็ดลับ เปลี่ยนเป็นน้ำทะเลที่อื่นก็จะไม่มีรสชาติแบบนี้แล้ว”
“ต้มด้วยน้ำทะเลธรรมดานิดหนึ่ง ให้เปลือกกุ้งล็อบสเตอร์มีรอยแตก ให้เนื้อกุ้งคงสภาพกึ่งสุก จากนั้นใช้เกลือทะเลและน้ำมันมะกอกขัดรอบหนึ่ง แบบนี้จะมีเกลือและน้ำมันมะกอกบางส่วนซึมเข้าไปเนื้อกุ้งล็อบสเตอร์ ทำให้เนื้อกุ้งมีความเด้ง และยังสามารถกระตุ้นความสดของมันออกมาด้วย”
“สุดท้าย นั่นก็คือการนึ่ง ใช้น้ำทะเลที่กุ้งล็อบสเตอร์อาศัยเช่นกัน กุ้งล็อบสเตอร์ที่นึ่งออกมาแบบนี้จะมีรสชาติความสดที่สุด”
พูดจบ เขาก็หยิบกุ้งล็อบสเตอร์มาท่อนหนึ่ง ปอกเปลือกชื่นชมเนื้อกุ้งที่ใสสด ใส่เข้าไปในปากแล้วกิน
ยังไม่ได้กลืนเนื้อกุ้งคำนี้ลงไป สีหน้าของบัตเลอร์ก็เปลี่ยนไป เขาเลิกคิ้วขึ้น อยู่ๆ ก็ตบไปบนไหล่ของฉินสือโอว “ให้ตายสิ เป็นของที่อร่อยจริงๆ! ฉันเคยกินกุ้งล็อบสเตอร์มามากมาย แต่ไม่เคยมีความรู้สึกที่เยี่ยมขนาดนี้มาก่อน”
ฉินสือโอวยิ้มแล้วบอก “ฉันรู้ เพื่อน คำชมที่พวกเราได้รับมันมากพอแล้ว นายไม่จำเป็นต้องย้ำอีกแล้วมั้ง?”
บัตเลอร์รีบส่ายหัว “ไม่ๆๆ ฉิน นายเข้าใจฉันผิดแล้ว ฉันไม่ได้ชมตัวเอง ฉันแค่ยากที่จะเชื่อ! เนื้อกุ้งนี้มีรสชาติดียิ่งกว่าที่ฉันเคยทำอย่างมาก! วิธีการเดียวกัน กุ้งล็อบสเตอร์ที่ฉันเคยทำ ไม่ได้มีรสชาติดีขนาดนี้!”
ไม่ต้องถาม นี่เป็นผลงานของพลังโพไซดอน
บัตเลอร์กินกุ้งล็อบสเตอร์ไปครึ่งตัวอย่างมูมมาม ตบเบาๆ ไปที่ท้องใหญ่กลมๆ เขาถอนหายใจว่า “ไม่น่าล่ะ นายบอกว่านี่อาจจะทำเป็นอาหารทะเลตัวท็อป ฉันไม่น่าสงสัยนายเลย รสชาติของกุ้งล็อบสเตอร์นี้อร่อยเกินไป ฉันจะต้องวางแผนดีๆ สักหน่อยแล้ว จะใช้มันสั่งสอนพวกลูกหมาตระกูลมอร์รี่อย่างไร!”
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาและแคนาดา กุ้งล็อบสเตอร์คุณภาพชั้นเยี่ยมต่างก็เป็นของหายาก แม้ว่ากุ้งล็อบสเตอร์ในอเมริกาเหนือถือเป็นชนิดสัตว์ที่จับได้ตลอดปี แต่ส่วนมากจะจับในช่วงทุกปีของเดือนกรกฎาคมถึงเดือนตุลาคม
เดือนกันยายนและเดือนตุลาคมเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการจำหน่าย ราคาจึงค่อนข้างสูง จากนั้นตามภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของภาคการท่องเที่ยว ราคากุ้งล็อบสเตอร์ก็จะลดลง จากนั้นพอถึงฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิ เริ่มขาดแคลนกุ้งล็อบสเตอร์ ราคาก็จะขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
ผู้ผลิตเมนกุ้งล็อบสเตอร์จำนวนมากจะบริหารบ่อเพาะเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์ เพาะเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์ในน่านน้ำเฉพาะอ่าวชายฝั่ง พ่อค้าพวกนี้จะรับซื้อกุ้งล็อบสเตอร์ตอนที่ราคาค่อนข้างต่ำ จากนั้นเก็บไว้ในพื้นที่เลี้ยงเพาะเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์ กุ้งล็อบสเตอร์ที่เพาะเลี้ยงส่วนมากจะออกขายในฤดูหนาว ซึ่งราคาตอนนั้นจะสูงที่สุด
แต่เพราะสาเหตุมาจากกุ้งมังกรแก๊ฟคี่ ฤดูหนาวปีที่แล้วจึงไม่สามารถเพาะเลี้ยงกุ้งล็อบสเตอร์ได้ ดังนั้นราคาของกุ้งปีนี้จึงสูงยิ่งกว่า บัตเลอร์จะใช้ประโยชน์จากมันสักหน่อย เขาสามารถทำให้ตระกูลมอร์รี่ไม่ทันตั้งตัวได้แน่ ตอนนี้พวกเขาก็ไม่มีกุ้งล็อบสเตอร์เก็บไว้สักเท่าไร
ในช่วงเหตุการณ์ปกติ กุ้งล็อบสเตอร์ที่ชาวประมงจับได้ส่วนใหญ่จะถูกขายให้กับภัตตาคารและซูเปอร์มาร์เก็ตในลักษณะสดใหม่ กุ้งล็อบสเตอร์ต้าฉินไม่สามารถจัดการอย่างนี้ได้ อีกอย่างทางที่พวกเขาเดินเป็นระดับไฮเอนด์ ไม่สามารถใช้วิธีการขายกุ้งล็อบสเตอร์ออกไปในราคาต่ำได้
บัตเลอร์ใช้วิธีแช่แข็งด้วยอุณหภูมิต่ำในการจัดการกุ้งล็อบสเตอร์ ใช้วิธีการผสานกันของไนโตรเจนและน้ำแข็งแห้งในการเก็บรักษากุ้งล็อบสเตอร์
คุณภาพอาหารของผลิตภัณฑ์อย่างนี้กับการใช้กุ้งล็อบสเตอร์สดปรุงสุกแทบจะไม่ต่างกัน กุ้งล็อบสเตอร์ของฟาร์มปลาจึงใช้วิธีการจัดการอย่างนี้
พวกชาวประมงนำกุ้งล็อบสเตอร์ที่จับได้ขึ้นมาเรื่อยๆ จะแบ่งตามขนาดความใหญ่ของตัวเพื่อคัดแยก กุ้งล็อบสเตอร์ที่ดีที่สุดจะห่อด้วยสาหร่ายทะเลหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ชุ่มน้ำทะเล บวกกับเจลทำความเย็น ปกติ 20-50 ปอนด์หนึ่งห่อใส่กล่อง
ภายใต้สภาวะแบบนี้ การควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ 4 องศาเซลเซียส กุ้งล็อบสเตอร์หลังออกจากน้ำแล้วจะยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ 36-48 ชั่วโมง นี่ก็คือวิธีการขนส่งกุ้งล็อบสเตอร์สด เพียงแต่ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง กุ้งล็อบสเตอร์ส่วนมากจึงเก็บแช่แข็งขนส่งออกไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น