องครักษ์เสื้อแพร 1101-1103
ตอนที่ 1101 ไม่ได้รบง่ายเช่นนั้น
Ink Stone_Fantasy
หลี่หนิงกับฉาต้าโข่วนำกำลังทหารม้าห้าพันมาขวางไว้ ตอนหลี่หรูป๋อได้รับข่าวโจรวัวโค่วออกจากเมือง ก็กล่าวว่าจะนำกำลังทั้งหมดออกไล่ล่า ความจริงนั้น ตอนนี้ทหารม้าห้าพันเข้าร่วมขบวนทัพม้าครั้งนี้เกือบหกส่วนแล้ว เพื่อไม่ให้เสี่ยงเกินไป ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นทหารสังกัดตระกูลหลี่
จู่เฉิงซวิ่นพ่ายศึกเพราะดูเบาศัตรู ขอเพียงให้ความสำคัญ โจมตีโจรวัวโค่วก็ราวผักปลา หลังข้ามแม่น้ำยาลูมา กองกำลังหมิงทุกคนล้วนมีภาพในห้วงคิดเช่นนี้ อย่างไรการต่อสู้ที่ป้อมดินกับเปียงยางก็ได้พิสูจน์เรื่องนี้แล้ว
ศัตรูหนี ไล่ล่าตามทาง เป็นเรื่องง่ายที่สุดที่จะมีโอกาสได้สร้างความชอบใหญ่ หลี่หนิงกับฉาต้าโข่วล้วนมั่นใจเต็มเปี่ยม ตัดสินใจว่าจะต้องโจมตีให้งดงาม
ตั้งแต่ตามทัพใหญ่มาจนถึงบุกเข้าโจมตีศัตรู ทุกอย่างล้วนราบรื่น เพียงแต่การหนีกระเจิดกระเจิงที่คาดไว้ยังไม่เห็นเท่านั้น โจรวัวโค่วกลับแบ่งทหารเป็นสองหน่วยออกมารับศึก
“ตั๊กแตนขวางรถ ไม่รู้ประมาณตน!”
ฉาต้าโข่วเคยอ่านหนังสือมาหลายเล่ม วิจารณ์บนหลังม้าอย่างลำพองใจ ขณะเดียวกันก็ยิ่งเร่งความเร็วม้า ให้ม้าทะยานเข้าไป การปะทะครั้งแรกต้องรวดเร็ว ไม่เช่นนี้ผลการปะทะจะไม่ดีนัก
โจรวัวโค่วสองหน่วยออกรับศึกแม้ว่าเป็นทหารราบอยู่มาก แต่อย่างไรก็ทหาร ดาบและทวนไร้ตา สองฝ่ายยามปะทะกันย่อมเกิดการบาดเจ็บล้มตาย ทหารม้าบุกมาขวางหน้าอยู่
โจรวัวโค่วด้านหน้าเหล่านี้เห็นชัดว่าเป็นพลกองปืนใหญ่ ตอนนี้ทหารม้าในทิศทางนี้ คิดจะปรับเปลี่ยนก็ไม่อาจทำได้แล้ว ด้านหน้าไม่ว่าเป็นอันใดก็ต้องกัดฟันบุกเข้าไป บุกอีกฝ่ายให้แตกพ่ายให้ได้ โจรวัวโค่วสองกองแยกออกจากกองใหญ่ จะบุกปะทะให้กระเจิงนั้น ย่อมไม่ได้ผลอันใด
“บุก!! บุก!!”
ขุนพลทหารล้วนตะโกนคำรามเสียงแหบ ไม่น้อยตะโกนส่วนตะโกน แต่ความเร็วม้ากลับลดลง พวกเขาลดความเร็ว คนอื่นๆ เองก็ไม่ได้โง่ แน่นอนก็ลดตาม แต่ทว่าด้านหน้าก็มีคนเร่งความเร็ว และเร่งบุกหน้า โจรวัวโค่วตรงหน้าแม้ว่าไม่เป็นท่า แต่ขบวนทัพม้าก็ค่อยๆ เละไม่เป็นท่าเช่นกัน
ปืนใหญ่วัวโค่วยิงขึ้น จำนวนปืนใหญ่วัวโค่วครั้งนี้ไม่ได้เหมือนกองร้อยเมื่อวานนอกเมือง จำนวนมากยิ่งกว่า หนาแน่นยิ่งกว่า ไม่ก็รู้อยู่ว่ามาตาย แต่ก็ยังตัดสินใจกัดฟันบุกมาตาย ทำให้การยิงยิ่งนิ่งมากขึ้น
ปืนใหญ่ยิงไประลอกหนึ่ง คนบุกด้านหน้าส่งเสียงร้องโหยหวนร่วงลงพื้น ด้านหลังคิดลังเล คนตามมาไม่มาก ทหารม้านำหน้าเริ่มหรอมแหรม
แต่อย่างไรทหารม้าบุกมา ทหารราบย่อมต้านทานไม่อยู่ การยิงของปืนใหญ่วัวโค่วก็แค่ทำให้กำลังบุกผ่อนความเร็วลงเท่านั้น ปืนใหญ่วัวโค่วยิงจบ ก็วิ่งออกสี่ทิศ ซามูไรทวนยาวหวาดกลัว ถอยหลังหนีกระจาย ทหารราบยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่ก็ยังมีบางคนที่กล้าหาญถือทวนยาวออกมารับศึก ตอนนี้สถานการณ์รอบๆ ล้วนมีแต่ตาย ไม่สู้ปะทะกันสักตั้ง มีคนฮึกเหิมจริงๆ ขึ้นมาแล้ว
ปืนใหญ่วัวโค่วทำให้กำลังด้านหน้าผ่อนความเร็วลง เสียงซามูไรกับทหารราบคำรามทำให้ทหารม้าเมืองเหลียวโจวพากันหลบด้วยสัญชาตญาณ ความเร็วกำลังวิ่ง แม้อีกฝ่ายถืออาวุธนิ่ง ตนเองชนเข้าไปก็ย่อมทะลุ อย่างไรก็ต้องหลบ…
กองทหารม้าหรอมแหรมเช่นนี้หลีกทางแล้วก็ไม่มีแรงปะทะ สองกองกำลังโจรวัวโค่วแตกกระจัดกระจายไร้รูปร่างทำให้แรงปะทะทหารม้าลดลง
มีคนหน้าหงายร่วงจากม้า บาดเจ็บล้มตาย แต่มีคนใต้ม้าบนม้าใช้อาวุธแทงใส่กันเอาเป็นเอาตาย สถานการณ์ถึงกับอลหม่านติดพัน
ความเร็วทหารม้าเป็นข้อได้เปรียบนั้นสิ้นไป เหลือแต่ว่าอยู่ที่สูงสังหารที่ต่ำ แต่ที่อยู่ก็ทำให้มีข้อเสียที่เคลื่อนไหวไม่สะดวก ทหารราบสามารถแทงเสยใส่ทหารม้าได้แม่นกว่า ในเวลาปะทะกันสั้นๆ เมื่อครู่ซามูไรกับทหารราบแตกกระจัดกระจายก็กลับมารวมตัวใหม่อีกครั้ง
“ขยับม้าๆ อย่าให้พวกมันเข้าสู้ประชิดตัวได้!!”
สถานการณ์เช่นนี้ หลี่หนิงกับฉาต้าโข่วรู้ว่าไม่ได้การแล้ว พยายามรวบรวมกำลังที่เหลือเร่งเข้าสังหาร เป็นจู่เฉิงซวิ่นที่สู้ได้ไม่เลวกว่า พวกเขาตอนเริ่มต้นบุกไม่เร็ว เพียงขี่ม้าวนรอบนอกยิงธนู ขี่ม้ายิงแน่นอนไม่ได้แม่นอันใด แต่รูปทัพโจรวัวโค่วหนาแน่น ขอเพียงยิงไป ย่อมโดนเข้าสักคน พอบาดเจ็บล้มตายก็เริ่มกระเจิดกระเจิงหนี จู่เฉิงซวิ่นจึงได้กล้าลงมือปะทะสังหารต่อ พอแตกกระจัดกระจายไป ศัตรูไร้การป้องกัน ไล่สังหารจึงเป็นเรื่องง่ายยิ่ง
สถานการณ์ใหญ่ตอนนี้ ขบวนทัพม้ากองกำลังหมิงกลับเข้ารบพัวพัน สองกองกำลังโจรวัวโค่วออกมาสู้กับกองหลัง เริ่มรวมกำลังได้อีก ปืนใหญ่วัวโค่วในมือสองคนประคองออกมาได้อีก ซามูไรจำนวนมาไปรวมตัวกันที่กองกำลังปืน โจรวัวโค่วจัดทัพได้ดูน่าเกรงขาม
ทหารม้ากองกำลังหมิงที่บุกมาเริ่มมีคนบุกเข้าขวางสองกองกำลังนั้นแล้ว แต่ครั้งนี้โจรวัวโค่วรวมปืนใหญ่วัวโค่วเป็นกองกำลังใหญ่เพียงพอแสดงอานุภาพยิงแล้ว
ปืนใหญ่วัวโค่วยิงไป ทหารม้าที่เข้ามาใกล้ร่วงจากหลังม้า สองคนที่แบกปืนกระบอกใหญ่นั่นอยู่ระยะ 50 ก้าว แม้ว่าไม่ได้แม่นอันใด แต่ก็ยิงเศษเหล็กกระจัดกระจายใส่ร่างคนบาดเจ็บได้
“กลับหลังหัน!!”
หลี่หนิงกับฉาต้าโข่วล้วนทนรับสภาพบาดเจ็บล้มตายนี้ไม่ไหว ทหารม้าครั้งนี้เป็นทหารสังกัดตนเสียมาก สิ้นเปลืองไปแล้วย่อมเจ็บปวดใจ ยึดเมืองเปียงยางได้ก็เป็นความชอบใหญ่แล้ว ในเมืองนอกเมืองตัดหัวไปได้ไม่น้อยแล้ว เมื่อครู่ปะทะกันไป ก็น่าจะได้อีกพันหัว ไยต้องมาสู้ตายเช่นนี้ มองดูสภาพโจรวัวโค่วทั้งกองแล้ว หากยังดันทุรังบุกเข้าไปอีก ความเสียหายเกรงว่าจะยิ่งมากไปอีก
ไม่มีคนออกคำสั่งอย่างเป็นรูปธรรม แต่ทหารม้าด้านหน้าเริ่มถอยห่างจากโจรวัวโค่ว ไม่มีผู้ใดอยากจะไปตายเปล่า ทัพใหญ่ทั้งคนและม้าล้วนตามถอยออกมาไกล
โจรวัวโค่วเพิ่งจะหยุดเคลื่อนไหว ทหารม้ากองกำลังหมิงครั้งนี้ไม่มีที่วิ่งวนได้เพียงพอเพื่อจะเว้นระยะห่างพอจะวิ่งเข้าปะทะโจรวัวโค่วได้อีก โจรวัวโค่วกองนี้ตีโต้เช่นนี้ทำให้กองกำลังหมิงระวังตัว เมื่อวานการต่อสู้ก็เป็นเมื่อวาน กองกำลังโจรวัวโค่วตรงหน้าคิดง่ายเพียงนี้ แต่มันไม่ง่ายเพียงนั้น สงครามย่อมเป็นสงคราม ย่อมต้องมีคนตาย
ไม่มีทหารม้าก่อกวน ทัพโจรวัวโค่วเร่งความเร็ว การต่อสู้เมื่อครู่ ทำให้กองปืนใหญ่โจรวัวโค่วฮึกเหิมไม่น้อย ทหารม้าทุกครั้งพอเข้าใกล้ พวกเขาก็จะรีบเตรียมยิง
ค้างกันแบบนี้ครู่หนึ่ง ทหารโจรวัวโค่วแนวหน้าเริ่มข้ามแม่น้ำแทดอง ผิวแม่น้ำแข็งเป็นน้ำแข็งหนา สภาพเช่นนี้ ทหารม้าไม่อาจติดตามไล่ล่าได้อีก บนแม่น้ำปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่ใต้หิมะก็อาจมีร่องน้ำแข็ง หากลงแม่น้ำไป ที่เหมาะๆ ก็หาได้ไม่มาก
อีกฟากแม่น้ำ ก็พอเห็นเงาลางๆ ของกองทหาร อีกฝ่ายมีคนมารอรับ ตั้งแต่ไล่มาถึงตอนนี้ ทหารม้ากองกำลังหมิงไม่ได้หยุดเลย ในวันอากาศหนาวเหน็บหิมะปกคลุมเช่นนี้ ม้าหลายตัวล้วนวิ่งเหงื่อออก สีหน้าเห็นชัดว่าเหนื่อยอ่อน ต้องหยุดพักแล้ว
*****************
“เจ้าพวกบัดซบ หิ้วหัวกลับมาไม่ถึงพันห้า ตนเองเสียหายไปเจ็ดร้อย!”
จวนที่พักชนชั้นสูงในเปียงยางกลางเป็นที่ตั้งกองกำลังหมิง หลี่หรูป๋อตวาดดังต่อหน้าหลี่หนิงกับฉาต้าโข่ว สีหน้าดุดันด่าไม่หยุด
นี่เป็นหลี่หนิง ทหารคนสนิทหลี่หรูซง ฉาต้าโข่วที่เหลียวซีก็นับว่าเป็นคนมีตำแหน่งพอตัว ไม่เช่นนั้นเกรงว่าหลี่หรูป๋อคงลงมือโบยไปนานแล้ว หลี่หรูซงสีหน้าดูไม่ได้ ทหารในสังกัดพวกเขา ตอนนี้เรียกได้ว่าตายไปหนึ่งก็น้อยลงหนึ่ง คิดจะเพิ่มกำลัง อย่างไรก็ต้องห้าปี เป็นเรื่องยุ่งยากมาก แต่หลี่หรูซงนับว่านิ่งพอ ได้แต่สบถว่า
“ไม่อาจตำหนิพวกเขา รบกันย่อมมีคนตาย หรือว่าเจ้าคิดว่าเราจะตายแค่คนสองคนกัน โจรวัวโค่วตายไปนับพันนับหมื่น พวกเขามีมีดดาบ และยังมีปืน…”
“ไสหัวไปๆ!”
หลี่หรูป๋อคำรามไล่ออกไป หลี่หนิงกับฉาต้าโข่วสบตากัน แม้ล้วนไม่พอใจ แต่ก็รับคำสั่งออกไป พอทุกคนออกไปแล้ว หลี่หรูเหมยก็วิ่งเข้ามาหน้าตาตื่น กล่าวว่า
“ในเมืองนอกเมืองตัดหัวมาได้ราวสี่พันสอง บวกกับที่ไล่ล่า หัวห้าพันก็คงได้ ไปรายงานชัยชนะครั้งนี้ ความดีความชอบไม่น้อย บ่ายนี้จะนำรถใหญ่คนหัวไป”
พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าหลายคนในห้องล้วนไร้ยินดี หลี่หรูป๋อถูมือกล่าวว่า
“ยึดเปียงยาง ยังตัดหัวมาได้มากเพียงนี้ ความดีความชอบเห็นๆ กันอยู่แล้ว ดีไม่ดีตระกูลหลี่เราครั้งนี้อาจได้อำนาจใหญ่คืนมา!”
ยังไม่ทันให้หลี่หรูเหมยรับคำ หลี่หรูซงก็กล่าวเสียงเรียบว่า
“ให้พวกเราสงบเสงี่ยมหน่อย ผู้หญิงไม่ต้องยุ่ง แต่หัวชาวเกาหลีอย่าตัดไปมากนัก ไม่ก็เอาพวกเขาไปใช้แรงงานก่อสร้าง ทางนี้ถูกโจรวัวโค่วกวาดล้างมารอบ ไหนเลยจะมีชาวบ้านมากมายมาช่วยออกศึกได้!”
ในเมืองนอกเมืองตัดหัวไปเท่าไร ในใจหลี่หรูซงนับไว้ครบ ผลการรบคืนวานแม้ว่าดุเดือด แต่ไหนเลยจะได้หัวมาได้ ตามที่ว่าในเมืองสี่พันกว่ากับที่ไล่ล่ามาอีกพันห้า นับรวมเป็นห้าพันหัว หลี่หรูซงขี้เกียจจะเปิดโปง อย่างไรที่สังหารทิ้งก็เป็นราษฎรเกาหลีมาสวมรอย รู้แล้วก็ขี้เกียจจะสนใจ ไม่ใช่คนแผ่นดินหมิง ตายแล้วก็แล้วไป อย่าเสียเวลางานหลักก็พอ
พอหลี่หรูซงกล่าวเช่นนี้ หลี่หรูป๋อกับหลี่หรูเหมยล้วนท่าทีกระอักกระอ่วนใจ หลี่หรูเหมยชินกับพี่ชายมาก ได้แต่ยู่ปากบ่นเบาๆ ว่า
“เรื่องพวกนี้เจ้าเมื่อก่อนก็ใช่ว่าไม่ทำนี่!!”
หลี่หรูซงได้แต่ทำเป็นไม่ได้ยิน กล่าวต่อว่า
“ครั้งนี้จับเชลยได้มาร้อยกว่า เจ้ารีบให้ทางเหลียวหนิงส่งล่ามมา เร่งถามความจากคนเหล่านี้ ตอนนี้เกาหลีแปดจังหวัด เราคุมมาได้แค่หนึ่ง รอบๆ ล้วนยังเป็นพวกศัตรู ไม่อาจประมาท!”
“พี่ใหญ่ เราลงใต้กันเถอะ จังหวัดฮวังแฮเล็กๆ ผ่านจังหวัดฮวังแฮไปก็เป็นเกาหลีแล้ว ยึดเมืองโซอุล นี่เรียกได้ว่าเป็นความดีความชอบสะเทือนแผ่นดินเลยเชียวนะ”
ได้ยินวาจาตื่นเต้นหลี่หรูป๋อ หลี่หรูซงถอนหายใจส่ายหน้าชี้หน้าอยากกล่าวอันใดแต่ไม่ได้กล่าวออกมา สุดท้ายได้แต่กล่าวว่า
“ครั้งนี้ไปอี้โจว ต้องเร่งสะสมเสบียง ข้างหน้าอีกสามสิบลี้ เสบียงทหารเราไม่พอแล้ว!!”
ตอนที่ 1102 เสบียงไม่มีเหลือ
Ink Stone_Fantasy
ทหารยังไม่เคลื่อนทัพ เสบียงต้องมารอก่อน ทหารออกศึกและม้าที่ขี่นั้นล้วนต้องการกินอาหารและหญ้า กองหลังขนเสบียงเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง
ครั้งนี้จำนวนกองกำลังหมิงมาถึงเปียงยางเกินสามหมื่น ม้าก็เกินหมื่น คนกิน ม้ากิน ยังมีกองยุทโธปกรณ์ต่างๆ อีก ที่ต้องใช้จำนวนแรงงานขนน่าตกใจ
ทุกครั้งที่ทัพใหญ่ออกศึก เรื่องขนเสบียงและอาวุธล้วนเป็นเรื่องน่าปวดหัวที่สุด ก่อนเข้าสู่เกาหลี ทุกคนในแผ่นดินหมิงล้วนคิดไว้ว่า ไม่ว่าเกาหลีขนาดเล็กเพียงใดก็เป็นประเทศ ทัพใหญ่ออกศึก เสบียงอันใดก็น่าจะพอมีอยู่ แก้ปัญหานี้ได้ แผ่นดินหมิงเราสละเลือดเนื้อเพื่อเกาหลีเจ้า เจ้าอย่างไรก็ไม่อาจนั่งนิ่งดูดาย จัดหาเสบียงก็เป็นเรื่องที่สมควร
แต่ทว่าพอถามขุนนางเกาหลี ปรากฏทำให้ทุกคนตกใจ เกาหลีไม่มีอันใดปิดบัง กล่าวตรงๆ ว่า หากทหารหนึ่งหมื่นเข้าสู่จังหวัดพยองอัน อาจอยู่ได้สักเดือน แต่หากยึดจังหวัดฮวังแฮกลับคืนมา ก็อาจได้อีกสามเดือน ในเขตแดนเกาหลีมีโจรวัวโค่วสองแสน แผ่นดินหมิงส่งทหารหนึ่งหมื่นมา ใช่ว่ามาตายเปล่าหรือ?
ตอนเจรจากันถึงตรงนี้ ขุนนางแผ่นดินหมิงทำอันใดไม่ได้ ได้แต่ลดความต้องการลงว่า หากแผ่นดินหมิงนำเงินมาเอง มาหาซื้อในพื้นที่ได้หรือไม่ คนเกาหลีแต่ไรก็ขี้เหนียว ไม่แน่อาจไม่อยากให้เสบียงมาเปล่าๆ แผ่นดินหมิงศึกนี้ไม่รบไม่ได้ เพราะแผ่นดินหมิงไม่อาจยอมรับให้ศัตรูมาอยู่ในเกาหลีเช่นนี้ได้
แต่คำตอบเกาหลีทำให้ยิ่งทำอันใดไม่ได้ เขตแดนเกาหลีเสบียงต่างๆ ล้วนตกในมือโจรวัวโค่วไปแล้ว แม้ทหารหมิงคิดจะซื้อ เกาหลีก็ไม่มีเสบียงขาย เกาหลีทางนั้นไร้หนทางแล้ว จึงได้แต่ทำตามระเบียบแผ่นดินหมิงในยามออกนอกด่าน ตนเองสะสมเสบียงกับหากองส่งเสบียงไปเอง
พูดถึงการขนส่งเสบียงนอกด่าน ความจริงนั้นเกาหลีมายังแผ่นดินหมิง ระยะทางไม่ได้ไกลกว่าไปเมืองกุยฮว่าเฉิงหรือต้าถงเท่าไร แต่ตอนหวังทงจากต้าถงไปเมืองกุยฮว่าเฉิงออกศึกครานั้น ได้รวบรวมกำลังขนเสบียงมาจากหลายช่องทางก่อนหน้า พ่อค้าซานซีก็ล้วนออกแรงในการนี้มาก เมืองต้าถงเองก็เป็นพื้นที่สำคัญชายแดน สะสมเสบียงไว้เพียงพอ ประเด็นก็คือ ตอนนั้นหวังทงนำเสบียงไปแค่สิบวัน ที่เหลือล้วนไปเตรียมเอาที่เมืองกุยฮว่าเฉิง ใช้เสบียงศัตรูมาเป็นของตนเอง เรื่องนี้มีความเสี่ยง แต่สุดท้ายก็ทำได้ดังใจหมาย
เมืองเหลียวโจวทางนี้ดูเหมือนใกล้ แต่ความจริงนั้นมีหลายอย่างไม่เหมือนกัน เรื่องแรก เหลียวหนานกับเกาหลีติดกัน เป็นพื้นที่รกร้างหนาวเย็นของเหลียวหนิง คนอาศัยอยู่น้อย ผู้บัญชาการเหลียวหนานยังต้องหาเสบียงมาจากเหลียวซีและเหลียวตง สองปีก่อนโรงบ้านนอกกำแพงเมืองเพาะปลูกส่งเสบียงเข้ามาไม่น้อย ถึงผ่อนสถานการณ์ขาดแคลนให้เบาลงได้
ในสถานการณ์เช่นนี้ แถบอี้โจวทางตะวันออกเฉียงใต้เหลียวหนิงไม่มีที่ตั้งทัพใหญ่ ทัพใหญ่จากนี้ไปยังเกาหลี เสบียงที่ตามมาล้วนต้องมาจากเหลียวหนิงกับในด่านส่งมาแล้ว จากนั้นไปรวมกันที่อี้โจว ก่อนจะขนเข้าสู่เกาหลี
แรงคนและสัตว์ในการขนส่งนั้น คนกับม้าวัวเองก็ต้องกิน ระหว่างขนส่งก็ย่อมใช้เสบียงไม่น้อย การใช้แรงคนและแรงสัตว์จากในด่านมายังกับเหลียวซีเหลียวตงก่อนไปยังเหลียวหนาน การสิ้นเปลืองในการขนส่งเองก็เรียกได้ว่ามากมายมหาศาล ตอนนี้หวังทงนำกำลังทัพใหญ่กำลังเข้าสู่เหลียวหนิง การรองรับทหารเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ละแห่งก็ไม่ได้มีมาก ดังนั้นการขนเสบียงไปรวมกันที่อี้โจวจึงจำกัด
ทหารเหลียวหนิงหลี่หรูซงเปลืองเสบียงมาก แม้ว่าจำนวนทหารน้อยกว่ากำลังทัพใหญ่หวังทง แต่ก็สิ้นเปลืองน้อยกว่ากันไม่เท่าไร
ไม่กล่าวเรื่องอื่น การกินของม้านับหมื่นก็ทำให้คนต้องตกใจแล้ว ทหารหลี่หรูซงกับกองกำลังหลวงแตกต่างกัน พวกเขายังคงทำแบบเมื่อก่อน ปกติที่ไม่ค่อยดูแลทหารราบเท่าไร แต่พอถึงยามสงครามก็จะให้กินกันอิ่มเต็มที่ เสบียงอันใดก็ไม่ต้องพูดถึง ความสิ้นเปลืองเรียกได้ว่าเป็นจำนวนที่น่าตกใจไม่น้อย
จังหวัดพยองอันใหญ่แค่ราวมณฑลใหญ่แผ่นดินหมิง เส้นทางขนเสบียงมีจำกัด ไม่อาจจัดหาให้ไปสิ้นเปลืองได้มากกว่านี้แล้ว
ตอนนี้อี้โจวสะสมเสบียงรอทัพใหญ่เคร่งเครียดมาก การจัดหาให้กองหน้าไปนั้นก็เรียกได้ว่าลงแรงไปมาก แม้ว่าตอนนี้คนและม้าล้วนอิ่มหนำ เสบียงไม่ได้ถูกตัดขาด แต่ก็มีจำกัด หากเกินไปอีกนิดย่อมยุ่งยาก
เทียบกับพวกหลี่หรูป๋อที่ยังคงไม่ยี่หระในเรื่องนี้ หลี่หรูซงอยู่เมืองเซวียนฝู่มาหลายปี ได้เห็นได้ยินมามาก อุปนิสัยก็นิ่งสุขุมลงมาก เขานับว่าใส่ใจในเรื่องเสบียงอยู่ไม่น้อย ตลอดทางออกรบมานี้ เขาใส่ใจเรื่องเสบียงมาตลอด เสบียงจัดเตรียมมาพอทั้งกองทัพหรือไม่
ที่ทำให้หลี่หรูซงผิดหวังก็คือไม่ว่าจังหวัดพยองอันหรือเมืองเปียงยาง ล้วนไม่มีสะสมเสบียงมากนัก ไม่พอที่จะทำให้การรบกินเวลายาวนานต่อไปได้
ที่เรียกว่าลงใต้ไป 30 ลี้ เสบียงเกรงว่าคงส่งไปไม่ทัน ไม่ได้พูดเกินจริง สถานการณ์ตอนนี้ ระยะการขนเสบียงยิ่งยาว ก็ยิ่งสิ้นเปลืองมาก ตอนนี้เป็นขีดจำกัดที่ต้องรักษาไว้ หากเกินกว่านี้ ก็คงเกิดปัญหาแล้ว
“พี่ใหญ่ พี่คิดมากไปแล้ว เดี๋ยวเราบุกหน้าไปอีกร้อยลี้ จับตัวพวกเกาหลีมาถาม หาเสบียงเอาตามทางก็ได้!”
เห็นหลี่หรูป๋อไม่สนใจกล่าวเช่นนี้ หลี่หรูซงในที่สุดก็โมโห ลุกขึ้นยืนกล่าวว่า
“บัดซบ โจรวัวโค่วสะสมเสบียงในเมืองได้เท่าไร จับพวกเกาหลีมาไม่ได้หมายความว่า เสบียงโจรวัวโค่วจะขนมาจากจังหวัดคยองกีได้หรือ? จังหวัดฮวังแฮมีเสบียงเท่าไรกัน ไม่มีเสบียงอาหารให้พี่น้องทหารเราเหล่านี้ เกรงว่าก็จะเริ่มวุ่นวายแล้ว ถึงตอนนั้นอยากร้องไห้ก็ล้วนร้องไห้ไม่ออกแล้ว!”
หลี่หรูป๋อยังคิดต่อปาก แต่มองเห็นตาถมึงทึงของหลี่หรูซง โมโหเต็มที่แล้ว ก็ยู่ปากบ่นเบาๆ ไม่กล้าออกเสียงอีก หลี่หรูซงหันไปกล่าวกับหลี่หรูเหมยว่า
“เรื่องขนหัวกลับไป เจ้าไปด้วยตนเองสักครา รายงานความชอบเป็นเรื่องรอง เรื่องเสบียงเป็นเรื่องที่ต้องจับตาให้ดี เสบียงขาดสามวัน พวกเราในเปียงยางล้วนอยู่ไม่ได้แล้ว เจ้าเข้าใจไหม?”
หลี่หรูซงอยู่ๆ โมโหหนัก ทำให้หลี่หรูเหมยตกใจพอแล้ว ตอนนี้จึงได้แต่พยักหน้าหงึกๆ
**************
เดือนหนึ่งปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 21 ผู้บัญชาการเมืองเซวียนฝู่หลี่หรูซงนำทัพมีชัย ข่าวนี้แพร่ไปอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าเอกสารรายงานทางการมากนัก
ทุกคนในเหลียวหนิงล้วนรู้แก่ใจ ตระกูลหลี่เหลียวซีทหารม้าเกือบพันนำออกศึกนี้หมด แต่ละแห่งม้าเร็วแจ้งข่าว นำข่าวชัยชนะใหญ่นี้ประกาศทั่วหล้า โดยเฉพาะเมืองหลวง มีขุนนางถวายฎีกา ว่าตระกูลหลี่นำชัยชนะใหญ่มาเช่นนี้ เป็นการเบิกฤกษ์ที่ดีมาก ไม่สู้ตามน้ำไปต่อ ให้ตระกูลหลี่เป็นแม่ทัพ อาศัยจังหวะกำลังมีชัยเช่นนี้บุกต่อ เป็นต้น การกล่าวเช่นนี้แน่นอนถูกแค่นเสียงฮึดูแคลน ตอนนี้ก็แค่ชนะในแถบจังหวัดพยองอันและแค่ขับไล่ศัตรูออกนอกเมือง โจรวัวโค่วเพียงแค่ถอย ไม่ใช่พ่ายแพ้ยับเยิน
สำหรับการขนหัวศัตรูมานั้น ทางนี้สามพันทางนั้นสามพัน รวมๆ ตัดมากได้เกือบหมื่น ความชอบนี้ไม่ธรรมดา คิดถึงตอนนั้นแม่ทัพใหญ่ชีปราบตะวันออกเฉียงใต้ สู้มาตั้งหลายปี ตัดหัวโจรวัวโค่วมาเท่าไรกัน ไม่ได้มากไปกว่านี่เท่าไร
แต่ความชอบไม่ธรรมดานี้ ผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วกับองครักษ์เสื้อแพรประจำเหลียวหนิงล้วนกล่าวในรายงานกระจ่าง จำนวนเป็นที่ยอมรับ แต่ฎีการายงานมีประโยคหนึ่งว่า ‘ในนี้มีหัวราษฎรเกาหลี จำนวนไม่แน่ชัด’
สังหารราษฎรมารับความชอบในแผ่นดินหมิงไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่เมื่อมีประโยคนี้ ทุกคนก็เข้าใจ ชัยชนะนี้มีเติมน้ำมาผสม สำหรับน้ำที่ผสมเข้ามาเท่าไรนั้น ทุกคนไม่อาจวิเคราะห์ได้ แต่ในใจก็หักลบความชอบไปไม่น้อย
ตระกูลหลี่เคลื่อนไหวในเมืองหลวง หลี่หรูเหมยกลับเคลื่อนไหวในอี้โจวเดิมคิดว่าการนำหัวมารายงานความชอบเป็นเรื่องดี อย่างน้อยทุกคนก็คงยิ้มแย้ม แต่คิดผิด ผู้ว่าการมณฑลสวีกว่างกั๋วกับผู้บัญชาการเหลียวหนาน ตอนนับหัวก็ยังดูไม่มีอันใดดี ตระกูลหลี่เองยังเป็นห่วงอีกฝ่ายจะคิดการอะไรกับหัวพวกนี้ แต่ก็เป็นห่วงเสียเปล่าแล้ว
หลี่หรูเหมยขอสวีกว่างกั๋วส่งเสบียงไปเปียงยางให้ทหารตระกูลหลี่เพิ่ม ข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ ผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วตอบอย่างเข้าใจยิ่งว่า
“เหลียวกั๋วกงนำทัพใหญ่ใกล้มาถึง เสบียงอี้โจวยังไม่พอ ไหนเลยมีกำลังเหลือส่งไปเปียงยาง ขอผู้บัญชาการหลี่แห่งเมืองเซวียนฝู่รักษาเมืองเปียงยาง จังหวัดพยองอันกับจังหวัดฮัมกยอง รอทัพใหญ่ไป”
ก่อนจากเปียงยางมา หลี่หรูซงกล่าวกับหลี่หรูเหมยเข้าใจแล้วว่า เสบียงไม่มาก็ไม่อาจขยายชัยชนะไปต่อ หลี่หรูเหมยเรื่องอื่นไม่รู้ แต่รู้ว่าการขยายผลการรบมีความหมายต่อตระกูลหลี่ แน่นอนไม่ยอมวางมือในเรื่องนี้
พูดโยกโย้ มีแต่รายละเอียด ถ่วงเวลา ผู้ใดก็ไม่เก่งไปกว่าขุนนางบุ๋น สวีกว่างกั๋วเป็นขุนนางที่ก้าวขึ้นมาจากท้องที่ทีละก้าว เวลาที่ผ่านมาเรียกว่าสั่งสมประสบการณ์ หลังเจรจาไปหลายครั้ง หลี่หรูเหมยก็ไม่ได้ฉลองปีใหม่ดีๆ ทุกวันได้แต่ไปขอร้อง ถกเถียงและวิวาทะ
ตระกูลหลี่เป็นขุนนางเป็น หลี่หรูเหมยใช่ว่าไม่เป็น เห็นเช่นนี้ แน่นอนเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่มาก ทุกคนในเหลียวหนิงผู้ใดไม่รู้ว่าสวีกว่างกั๋วละโมบมากที่สุด เป็นคนที่เห็นเงินแล้วตาโตมาก คิดไม่ถึงครั้งนี้ของขวัญไม่ได้ประโยชน์แม้แต่น้อย คนเฝ้าประตูล้วนได้รับคำสั่งมา เข้าไปมอบของขวัญยังไม่ได้
“ใต้เท้า หรือว่าไม่เห็นความชอบตระกูลหลี่เรา รอแต่เหลียวกั๋วกงมาเก็บความชอบนี้ไป?”
ไปมาหาสู่หลายครั้ง หลี่หรูเหมยเริ่มร้อนใจแล้ว จึงไม่ไว้หน้ากล่าวเช่นนี้ออกมา ในตาสวีกว่างกั๋วไม่อาจปล่อยให้มีเม็ดทราย จึงได้ตบโต๊ะดังในตอนนั้น
“ข้าจัดระเบียบทัพครานี้ คนเหลียวกั๋วกงยังต้องอยู่ใต้การจัดระเบียบข้า ทำเช่นไรไม่ใช่หน้าที่ใต้เท้าหลี่มากล่าว หากไม่เห็นว่าท่านเป็นคนตระกูลหลี่ ท่านคิดว่าข้าไม่กล้าทูลโอรสสวรรค์หรือ?”
พอฉีกหน้ากันแล้ว สวีกว่างกั๋วก็ไม่ใจอ่อนอีก และไม่มีทางที่เกรงใจให้อีกแม้แต่น้อย กล่าวกันถึงขั้นนี้แล้ว หลี่หรูเหมยก็ได้แต่ขอโทษ แสดงท่าทีว่าตนหลุดวาจาไป
“ในเมื่อท่านคิดเช่นนี้ ข้าก็ขอนำท่านไปดูโกดังเสบียงเรา ว่าแท้จริงใช่ข้าหลอกท่านหรือไม่ จงใจขัดตระกูลหลี่ท่านหรือไม่”
สวีกว่างกั๋วเองก็ไม่ปิดบัง ในโกดัง มีเสบียงส่งเข้ามาไม่ขาด และขนไปเปียงยางไปขาด แต่ไม่มีเก็บสะสมจริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพิ่มจำนวน หลี่หรูเหมยได้แต่อึ้งไร้วาจา ขออภัยไปอีกรอบ
ตอนที่ 1103 พ่อลูกบีบบังคับกันเอง
Ink Stone_Fantasy
“ทหารผู้บัญชาการหลี่แห่งเมืองเซวียนฝู่ทุกวันกินเท่าไร ใต้เท้าหลี่คิดแล้วย่อมเข้าใจ เหลียวกั๋วกงนำทัพใหญ่มาจำนวนยิ่งมาก ทุกวันกินเท่าไร ท่านลองคิดตัวเลขดู พื้นที่สะสมเสบียงก็มีแค่ที่นี่ รอข้ากลับไป ใต้เท้าหลี่ก็สามารถขี่ม้าไปดูรอบๆ ได้ ไม่มีที่ท่านเข้าไปไม่ได้ หากมีเสบียงเหลือ ข้าจะขอขมาท่าน!”
กล่าวได้ตามมารยาทเช่นนี้ แต่ยามนี้หลี่หรูเหมยได้แต่หมดหวัง อีกฝ่ายจะตั้งใจขัดตระกูลหลี่ตนหรือไม่ไม่รู้ แต่ทว่าไม่มีเสบียง กล่าวอันใดก็ไร้ความหมาย
สวีกว่างกั๋วกล่าวได้มีมารยาท แต่ท่าทางกลับไม่ได้เกรงใจแม้แต่น้อย ชี้ไปยังกองกำลังขนเสบียงไกลออกไป กล่าวว่า
“พวกเจ้าหมื่น ม้าและวัวสี่พัน ทหารสามหมื่น ล้วนต้องอาศัยเสบียงอี้โจว ท่านควรรู้ว่าข้าทุ่มกำลังใจไปเท่าไร ท่านก็รู้เหลียวหนิงสิ้นเปลืองไปเท่าไร เพื่อความชอบตระกูลท่าน เสี่ยงนำทหารออกไป นำทหารน้อยบุกเข้าไป ยังคิดการเพื่อการแค่นั้น เหลวไหลโดยแท้”
กล่าววาจาเหล่านี้จบ สวีกว่างกั๋วก็เดินจากไปอย่างไม่สนใจไยดี ทิ้งหลี่หรูเหมยสีหน้าซีดเผือด ชะเง้อมองไปรอบๆ
สวีกว่างกั๋วกลับไปยังที่ทำการตนแล้ว ก็รับรายงานจากทหารรับใช้ ว่าหลี่หรูเหมยเดินไปดูรอบโกดังแต่ละแห่งรอบหนึ่งทั้งหมด สุดท้ายก็คอตกกลับไป ได้ยินเช่นนี้ สวีกว่างกั๋วได้แต่ยิ้มเยาะ
ซุนโส่วเหลียนไปยังแถบเขาฉางไป๋ซานกลับมาแล้ว ความจริงนั้นบริเวณเชิงเขาพื้นที่นั้น ทัพใหญ่โจรวัวโค่วไม่มีกำลังไปถึง จังหวัดฮัมกยองพื้นที่ใหญ่กว่าจังหวัดพยองอัน แต่พื้นที่ใกลแผ่นดินหมิง ส่วนใหญ่เป็นเขา พื้นที่ซับซ้อนมาก จากทางใต้เกาหลีขนเสบียงไปยังจังหวัดฮัมกยองไม่ง่าย มีค่าต่อการศึกนี้ไม่มาก ดังนั้นทัพใหญ่โจรวัวโค่วยึดพื้นที่ได้ครึ่งหนึ่งแล้วจึงไม่ได้เคลื่อนไหวต่อ จึงไม่ได้ส่งผลกดดันกองกำลังหมิงทางนี้
“ใต้เท้าซุน รถใหญ่ท่านรีบเร่งต่อ”
“ขอใต้เท้าวางใจ ย่อมไม่เสียการ รถใหญ่ต่อเสร็จ ก็จะขนเสบียงจากเจี้ยนโจวกับเหลียวตงมา ไม่ทำให้ทัพใหญ่กั๋วกงขาดเสบียงแน่!”
โกดังไม่มีเสบียงจริงๆ หลี่หรูซงนำกำลังทัพใหญ่สิ้นเปลืองไปมาจริงๆ สวีกว่างกั๋วไม่ได้กล่าวเท็จ แต่ทว่าก็มีหลายข่าวที่มิได้บอกให้หลี่หรูเหมยรู้
“ทหารน้อยกว่าบุกเข้าไป ความเสี่ยงสูงมาก ยังคิดให้ท้องที่เพิ่มเสบียงให้ ช่างเหลวไหลสิ้นดี หรือว่ายังคิดว่าความดีความชอบตระกูลหลี่มีผลต่อการรุ่งเรืองตกต่ำของแผ่นดินหมิง ไม่รู้หนักเบา ไม่เห็นแก่ส่วนรวม!”
สวีกว่างกั๋วกับซุนโส่วเหลียนนับว่าเป็นคนกันเอง กล่าวอย่างไม่สนใจว่าจะเข้าหูหรือไม่ พอฟังสวีกว่างกั๋ว ซุนโส่วเหลียนกลับส่ายหน้ากล่าวว่า
“ข้าน้อยเองเป็นทหารลูกน้องหลี่เฉิงเหลียงมาหลายปี รู้ดีถึงการทำงานของตระกูลหลี่ เรื่องนี้เกรงว่าไม่เลิกราง่ายๆ หลี่เฉิงเหลียงย่อมยังคิดไม่เลิก”
สวีกว่างกั๋วส่ายหน้าถอนหายใจกล่าวว่า
“เขาไยไม่ลองคิดดู หากสูญเสียไปจริง บุตรชายหลายคนล้วนไม่พูดต่อหน้า แต่ก็ย่อมเป็นความผิดฝ่าฝืนวินัยทัพ ความเสี่ยงนี้มากเกินไป ช่างไม่รู้…”
ซุนโส่วเหลียนเงียบไปนาน ถอนหายใจกล่าวว่า
“ปล่อยวางไม่ได้นั่นเอง!”
******************
คนตระกูลหลี่มีเพียงพอ ขนหัวข้ามแม่น้ำยาลูมา แน่นอนมีคนจากที่ต่างๆ ให้การช่วยเหลือ หลี่หรูเหมยไม่อาจเจรจาได้เสบียงมาเพิ่ม ได้แต่นำกำลังเร่งเดินทางกลับเปียงยาง
ตอนนี้จังหวัดพยองอันถูกจัดการเรียบร้อยพอควรแล้ว มีแต่โจรเกาหลีกับโจรวัวโค่วกองเล็กๆ จากจังหวัดฮัมกยอง ยังนับว่าสงบสุขอยู่ หลี่หรูเหมยครั้งนี้ก็มีขุนนางเกาหลีทั้งบุ๋นบู๊ติดตามมาร้อยกว่า ตลอดทางได้รับการประจบมาก ในเมื่อประจบยกย่องกันเช่นนี้ หลี่หรูเหมยก็ขอเสพสุขเสียหน่อย ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่าขุนนางเกาหลีพวกนี้ไปหาหญิงสาวตระกูลสูงในพื้นที่มาจากที่ใด ทำให้หลี่หรูเหมยสบายไปทั้งคืน
เสียเวลาไว้หนึ่งวันหนี่งคืน หลี่หรูเหมยถูกคนจากแผ่นดินหมิงไล่ตามมาทัน เห็นได้ว่าเขาเดินทางช้า คนตามมานั้นเร็ว
คนที่ตามมาก็คือหลี่อี้ เป็นหนึ่งในบุตรบุญธรรมหลี่เฉิงเหลียง เรียกว่าบุตรบุญธรรม ที่จริงเป็นพ่อบ้านตระกูลหลี่ที่จวนเหลียวหยาง ตอนนั้นติดตามหลี่เฉิงเหลียงออกศึก หลี่หรูซงกับหลี่หรูป๋อเห็นพี่บุญธรรมผู้นี้แล้วยังต้องเกรงใจอย่างมาก คนผู้นี้มีสถานะไม่น้อยในตระกูลหลี่
สถานการณ์เปียงยางโดยรวมเริ่มสงบลงแล้ว ราษฎรเกาหลีตอนนั้นที่หนีไปหลบในภูเขากันพากันออกมา เพราะเปียงยางไม่ได้สะสมเสบียงไว้มากนัก เสบียงนำไปให้เพียงทหารตระกูลหลี่ ย่อมไม่นำมาช่วยชาวบ้าน พวกเขาในเมืองได้แต่รออดตาย
ขุนนางเกาหลีมายังเปียงยางแล้วก็เริ่มดูแลประชาชนตนเอง ตามวาจาพวกเขาว่าคนพวกนี้สามารถเสริมกำลังแรงงานกองทัพหมิงได้อย่างดีที่สุด สำหรับคนเหล่านี้ หลี่หรูซงเดิมทีไม่คิดจะสนใจ เพราะคนพวกนี้มาแล้วไม่ได้ทำให้ได้เสบียงมาเพิ่ม รับมาไว้ในกองทัพ กลับมีแต่สิ้นเปลืองเสบียงทัพใหญ่
แต่ทว่าหลี่หรูเหมยระหว่างทางอย่างไรก็ได้รับการต้อนรับดี อย่าไรก็ไม่อยากทำอีกฝ่ายเสียหน้า จึงได้กล่าวไปว่า ให้หาที่พักให้คนเกาหลีพวกนี้
คนเหล่านี้แม้ว่าหาเสบียงไม่ได้ แต่ทว่ากลับมีความสามารถอื่น นำกองกำลังหมิงค้นพบห้องใต้ดินของบ้านร่ำรวยได้หลายแห่ง แม้ว่าได้เสบียงมาไม่มาก แต่เงินทองก็มีอยู่ พวกเขารวย อย่างไรก็ต้องแบ่งปันกันบ้าง
และคนพวกนี้ยังมีความสามารถอันหนึ่ง นอกเมืองพวกเกาหลีที่หนีกลับมาหลายคนล้วนเพื่อมีชีวิตรอด ต้องขายสมบัติและคนในบ้านไม่น้อย หญิงในครอบครัวถูกนำมาขายเพื่อหาทางรอดยังชีพไม่น้อย ภาษาไม่ได้ ไม่มาหาถึงที่ก็ไม่อาจขายได้ ตอนนี้พวกขุนนางเกาหลีจึงทำหน้าที่ตัวกลาง รับผลประโยชน์ ทหารตระกูลหลี่เสพสุขร่ำรวยถ้วนหน้า พวกเขาเองก็พลอยได้ผลประโยชน์ ทุกคนยินดีปรีดา
เมื่อก่อนสถานการณ์เช่นนี้ พี่น้องตระกูลหลี่กับบรรดาทหารคนสนิทย่อมชอบที่สุด อย่างไรก็ไม่อาจขาดความสำราญกับชาวบ้าน แต่ตอนนี้กลับล้วนไม่มีกระจิตกระใจ ทั้งวันหารืออยู่แต่ในห้อง
หลี่อี้นำจดหมายหลี่เฉิงเหลียงมาถึง และยังมีวาจากำชับมา จดหมายว่าไว้กระจ่าง ชัยชนะใหญ่จังหวัดพยองอันครั้งนี้เป็นที่โดดเด่น ในเมืองหลวงตระกูลหลี่ได้หน้าไปมาก ขุนนางแต่ละระดับไปจนหน่วยงานราชสำนัก พอมีชัยชนะนี้เป็นฐาน ก็สามารถออกหน้าแทนตระกูลหลี่ได้เต็มที่
หลี่เฉิงเหลียงยังกล่าวว่า ตอนนี้กำลังเป็นเวลาแห่งการไล่ล่าชัยชนะ หากสามารถยึดเมืองโซอุลได้ก่อนหวังทงเข้าเมืองอี้โจวเช่นนั้นย่อมเป็นความดีความชอบแห่งแผ่นดิน อาจได้แทนที่แม่ทัพหวังทงถึงเก้าส่วน ตระกูลหลี่ในเมืองเหลียวโจวมีหวังได้รุ่งเรืองอีกครั้ง
“เหลวไหลๆ ไม่มีทางทำได้แม้แต่น้อย ตอนนี้เสบียงที่มี ข้ามแม่น้ำแทดองไปก็ย่อมสามารถขาดเสบียงได้ตลอดเวลา ถึงตอนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตอนเมืองเปียงยางยังไม่ได้ทำลายกำลังวัวโค่วมากเท่าไร ตอนนี้จังหวัดฮวังแฮยังมีทหารโจรวัวโค่วยิ่งมาก มีความเป็นไปได้ที่จะขาดเสบียง ขวัญทหารย่อมสั่นคลอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะปะทะกับศัตรูที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า นี่ไม่ใช่ตายสถานเดียวหรือ?”
ตามธรรมเนียมตระกูลหลี่ หลี่อี้มาถ่ายทอดคำสั่ง ความจริงนั้นเป็นตัวแทนหลี่เฉิงเหลียง ลูกหลานตระกูลหลี่ย่อมรู้ท่าทีหลี่เฉิงเหลียง แต่หลี่หรูซงกลับโมโหมาก ขว้างถ้วยชาใส่หน้าหลี่อี้
“คุณชายใหญ่ นายท่านเป็นห่วงเช่นนี้ หวังว่าท่านจะเข้าใจ นายท่านแก่มากแล้ว ตอนนี้ก็เป็นถึงโหวแล้ว อำนาจวาสนาสูงส่งแล้ว ยังคิดการไปทำไมอีก หากไม่ใช่เพื่อคุณชายทุกท่าน ยังมีตระกูลหลี่ หลี่อี้แม้ว่าหลายปีมานี้ดูแลอยู่แต่ในจวน แต่ก็เข้าใจการทหาร สถานการณ์ตอนนี้เป็นโอกาสยิ่งใหญ่จริง!”
ได้ยินเช่นนี้ หลี่หรูซงก็ระเบิดตูม ก้าวเข้าไปกระชากคอเสื้อหลี่อี้ หลี่หรูป๋อกับหลี่หรูเหมยเองก็เร็วพอ รับวิ่งเข้าไปกอดหลี่หรูซง หลี่อี้คุกเข่าลงนิ่งที่พื้น ชักมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากรองเท้า หลี่หนิงกับหลี่ซานสือเห็นแล้วก็ชักดาบตาม คิดไม่ถึงหลี่อี้ยกมีดสั้นจ่อลำคอตนเอง ยังคงนิ่งเหมือนเดิม กล่าวว่า
“คุณชายใหญ่ ที่หลี่อี้กล่าวมานั้นไม่ใช่เพื่อตนเอง ไม่ใช่ว่าปากมาก หากคุณชายใหญ่ไม่เชื่อ ก็สั่งมาคำเดียว หลี่อี้จะปลิดชีพตนเองทันที”
หลี่หรูซงดิ้นสะบัด แต่ไม่อาจสลัดน้องชายสองคนออกไปได้ ได้ยินหลี่อี้กล่าวด้วยท่าทีนิ่งเช่นนี้ ก็รู้สึกหมดแรง ถูกหลี่หรูป๋อลากถอยหลังไปหลายก้าว ยืนหมดแรงกล่าวว่า
“วาจาเหล่านี้เจ้านำกลับรายงานท่านพ่อ ท่านพ่อนำทัพมาหลายปีย่อมรู้ว่ามีอันตราย ตระกูลเราตอนนี้มีสองผู้บัญชาการ รองแม่ทัพและขุนพลทหารอีกหลายคน ก็ควรรู้จักพอได้แล้ว หากเสี่ยงภัยจนทำให้ทหารในมือเราเดิมต้องสูญสิ้นไป เราตระกูลหลี่ ยังจะทำอันใดได้อีก ยังคิดจะเรืองอำนาจวาสนาใดเหมือนก่อนกัน เกรงว่าแม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่อาจรักษาไว้ได้!”
พูดถึงตรงนี้ หลี่หรูซงใจเย็นลงแล้ว ท่าทีระบายความอัดอั้นในใจทำให้หลายคนไม่มีอันใดจะกล่าวอีก หลี่หรูป๋อ หลี่หรูเหมยล้วนปล่อยมือ หลี่หรูซงมองน้องชายสองคน กล่าวว่า
“โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว เราไม่อาจทำตามแบบเดิมๆ ที่เราเคยทำมาได้อีกแล้ว ตอนนี้ควรทำอะไรก็ควรทำไป รอดูให้เข้าใจแล้วค่อยคิด”
บรรยากาศในห้องพริบตาก็เริ่มหนักอึ้ง หลี่อี้เองก็ปล่อยมีดลงค่อยๆ ยืนขึ้น ลังเลครู่หนึ่ง กล่าวว่า
“คุณชายใหญ่ โจรวัวโค่วไม่ใช่ว่าสู้ง่ายหรือ? หัวก็ตัดได้มาร่วมหมื่น…”
“หัวนับหมื่นนั่น… โจรวัวโค่วไม่ใช่สู้เราไม่ได้ แต่สู้ยังไม่เป็น ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเรามีอันใดบ้าง แต่พวกเขาตอนถอยทัพเรียกได้ว่าเคี้ยวยากไม่น้อย ความแน่วแน่อดทนของทัพใหญ่โจรวัวโค่วเกรงว่าจะแข็งแกร่งว่าพวกนอกด่านมากนัก สู้ไม่ง่ายๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโจรวัวโค่วยังมากกว่าเรามากเพียงนั้น!”
หลี่หรูซงกล่าวได้หนักแน่น หลี่อี้เหมือนไม่อยากจะเชื่อ มองไปยังหลี่หรูป๋อกับหลี่หรูเหมยอย่างเสียมารยาท เห็นสองคนล้วนไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธ…
วาจากล่าวกันถึงขั้นนี้แล้ว หลี่อี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว ครั้งนี้ติดตามทัพมา พอมีคนรู้ภาษาวัวโค่วบ้าง สอบถามเชลยโจรวัวโค่วก็ได้คำตอบรวดเร็ว
จังหวัดฮัมกยองทางตะวันออกของจังหวัดพยองอันมีโจรวัวโค่วหน่วยสอง 23,000 จังหวัดฮวังแฮกับจังหวัดกังวอนยังมีโจรวัวโค่วกองรบสามและสี่รวมแล้ว 25,000 นับรวมกับพวกกองรบหนึ่งที่ถอยไปจังหวัดพยองอัน ทหารโจรวัวโค่วรอบตระกูลหลี่ก็ราว 80,000 ที่นี่แม้สถานการณ์มีชัย แต่เห็นชัดว่าวิกฤตมาก
หลี่อี้บันทึกสถานการณ์เหล่านี้ไว้อย่างละเอียด และยังส่งม้าเร็วส่งกลับไปเหลียวหยาง สถานการณ์เช่นนี้ต้องควรขอให้นายท่านหลี่เฉิงเหลียงไตร่ตรอง คิดว่าไม่น่าจะบีบคั้นมากเกินไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น