ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 110-121

 ตอนที่ 110 แขกผู้ชั่วร้าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ครึ่งเดือนในการสำรวจแดนลึกลับที่ไม่รู้จัก เกรงว่ามันจะกระชั้นชิดเกินไป อีกอย่างเราก็ยังไม่รู้ว่าแดนลึกลับนี้มีขนาดเท่าไหร่ ในนั้นมีทางออกทางอื่นหรือไม่” ประมุขนิกายปีศาจได้ยินก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย


“เวลากระชั้นชิดเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลี่ยง ผู้อาวุโสอย่างพวกข้าไม่กี่คนก็รับรองได้แค่ว่าทางเข้าจะปลอดภัยภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น พวกเจ้าก็ฟังให้ดี เข้าไปแล้วต้องคำนวณเวลาให้ดี พอถึงเวลาแล้วไม่ว่าจะค้นพบอะไรก็ตามให้รีบออกมาตรงเข้าทางให้เร็วที่สุด ถ้ามาช้าล่ะก็จะถูกขังอยู่ในนั้นตลอดกาล” อาจารย์ปู่เยี่ยนกล่าวกำชับกับบรรดาศิษย์ทั้งหลาย


หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินต่างก็ขานตอบรับกลับไป “ทราบ!”


“นอกจากนี้ลำดับของการทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้ก็วัดจากทรัพยากรที่พวกเจ้าหามาได้จากในนั้น พอถึงเวลานั้นไม่ว่าพวกเจ้าจะได้ทรัพยากรจากในนั้นมามากน้อยเท่าไหร่ ข้ารับรองให้ว่าพวกเจ้าวามารถเก็บไว้ได้หนึ่งในสิบ เพื่อเป็นรางวัลตอบแทนจากการเผชิญอันตรายในครั้งนี้” อาจารย์อาเยี่ยนโบกมือกล่าวออกมา


ตอนนี้ศิษย์ทั้งหลายต่างก็ดีใจมากขึ้นกว่าเดิม


“ใช่สิ! ศิษย์หลานประมุข ของที่ข้าให้เจ้านำมาจากคลังเก็บสิ่งของเหล่านั้น เจ้าได้นำมันมาด้วยหรือไม่?” ผู้อาวุโสชุดเทานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามออกไป


“ในเมื่อเป็นคำสั่งที่อาจารย์อาสั่งโดยเฉพาะ ศิษย์หลานจะลืมได้อย่างไร สิ่งของทั้งหมดข้านำมันมาแล้ว!” พอประมุขนิดายปีศาจได้ยินก็กล่าวโดยไม่ต้องคิด


“เช่นนี้ก็ดี! นำพวกมันออกมาให้พวกเขารู้จักก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ!” อาจารย์ปู่เยี่ยนพยักหน้า


“ทราบ!”


ประมุขนิกายปีศาจตอบรับแล้วก็หยิบผ้าไหมสีเหลืองอ่อนที่พับซ้อนกันกับมุกกลมๆ สีขาวขนาดเท่าหัวแม่มือแต่ละเม็ดออกมาจากแขนเสื้อ หลังสะบัดเล็กน้อยพวกมันต่างก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ


หลิ่วหมิงยกแขนขึ้นคว้าเอาผ้าไหมและมุกไว้ในกำมือ และพินิจดูด้วยความสงสัย


ผ้าไหมนี้บางราวกับปีกของจั๊กจั่น แต่บนพื้นผิวมีอักขระสีเหลืองอ่อนจารึกอยู่เป็นชั้นๆ ทำให้คนที่มองเห็นรู้สึกตาลายวิงเวียนศีรษะขึ้นมา


มุกกลมๆ นั้นกลับดูโปร่งใส ราวกับผลึกหินทั่วไป


“ผ้าย่อส่วนเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ พวกมันไม่มีความสามารถอื่นใด มีชั้นจำกัดแค่หนึ่งชั้น แต่กลับสามารถย่อส่วนสิ่งของขนาดใหญ่ที่ห่ออยู่ให้เล็กลงกว่าเดิมถึงร้อยเท่า ทำให้พกพาได้สะดวก มีข้อเสียอย่างเดียวคือไม่ว่าสิ่งของเหล่านี้จะถูกลดขนาดไปเท่าไหร่ก็ตามแต่น้ำหนักเดิมของมันก็ยังคงอยู่ ส่วนมุกสัมผัสเหล่านั้นต่างก็ใช้เคล็ดวิชาหลอมสร้างมาเป็นพิเศษ มันสามารถรับรู้ตำแหน่งของเม็ดอื่นๆ ภายในระยะสิบลี้ได้ พวกเจ้าพกมันติดตัวอย่างละหนึ่งชิ้น เมื่อเข้าไปในแดนลึกลับแล้วจะต้องได้ใช้มันอย่างแน่นอน” อาจารย์ปู่เยี่ยนอธิบายเล็กน้อย


พอศิษย์ทั้งหมดได้ยินเช่นนี้ ต่างก็พากันขอบคุณที่มอบสิ่งของให้


“เอาล่ะ! พวกเจ้าไปทำความคุ้นเคยกับของทั้งสองชิ้นก่อน พรุ่งนี้เมื่อศิษย์ของนิกายวาตอัคคีมาถึง พวกเราก็จะเข้าไปในแดนลึกลับเลย” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


“รับทราบ!”


“รับทราบ!”


ศิษย์ทั้งหลายตอบรับแล้วก็ค่อยๆ ทยอยกันออกไปจากหอหิน จากนั้นก็เริ่มศึกษาวิธีการใช้ของที่เพิ่งจะได้รับมาทั้งสองชิ้น


จนเมื่อหลิ่วหมิงและศิษย์คนอื่นๆ ออกไปจากห้องโถงแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของประมุขนิกายปีศาจค่อยๆ เลือนหายไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันหน้าไปถามผู้อาวุโสชุดเทา


“อาจารย์อา ท่านคิดว่าศิษย์เหล่ายนี้เป็นอย่างไรบ้าง สามารถสู้กับศิษย์นิกายอื่นๆ ได้ไหม?”


“ไม่อาจกล่าวได้ ข้าเองก็เห็นศิษย์นิกายอื่นเพียงแค่ไกลๆ เท่านั้น และก็ไม่ได้ลงมือทดสอบพลังของพวกเขาด้วยตนเอง แต่ถ้าอาศัยแค่ความรู้สึกของข้าล่ะก็ นิกายของเราอาจจะไม่ค่อยมีหวังมากนัก” ผู้อาวุโสชุดเทากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ! ศิษย์ที่นิกายเรานำมาในครั้งนี้แข่งแกร่งกว่าการประลองใหญ่ในปีก่อนหน้ามาก” อาจารย์อาจางถามออกมาอย่างอดไม่ได้


“ศิษย์นิกายเราเหล่านี้ไม่เลวเลยจริงๆ ถ้าข้าดูไม่ผิดล่ะก็ เจ้าเด็กหยางเฉียนนั้นดูเหมือนจะทำพลังเวทย์ในร่างให้บริสุทธิ์ไปแล้วรอบหนึ่ง ถ้าหากยอมก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ เกรงว่าจะมีโอกาสอย่างน้อยสามในสิบส่วน เฟิงฉานนั้นดูจากใบหน้าและไอดำระหว่างคิ้วของเขาแล้ว ดูเหมือนจะฝึกฝนร่างศพเหล็กไปจนถึงระดับที่ชำนาญค่อนข้างมาก เจ้าเด็กที่มีพลังธาตุอัสนีเต็มไปทั่วร่างนั้นคงจะเป็นศิษย์เก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนีผู้นั้นใช่ไหม ยังมีเจ้าเด็กเกาชงที่ดูเหมือนจะมีกลิ่นไอเข้าใกล้อาจารย์จิตวิญญาณแล้ว คงเป็นเพราะว่าเขาได้กลั่นโลหิตอสูรมังกรแดงที่ข้ามอบให้หยดนั้นสำเร็จแล้ว แน่นอนว่าคนอื่นๆ ก็ดูไม่เลวเลย ถ้าว่ากันตามการทดสอบความเป็นความตายในปีที่ผ่านมา พวกเขาคงจะได้ตำแหน่งที่ดีอย่างแน่นอน แต่ถ้าข้าดูไม่ผิดล่ะก็ ศิษย์นิกายอื่นๆ ก็ปรากฏศิษย์ผู้มีพรสวรรค์อันน่าตกใจเช่นกัน พลังของพวกเขาแข็งแกร่งมาก เกรงว่าจะแข็งแกร่งกว่าหยางเฉียนด้วยซ้ำ โดยเฉพาะศิษย์หญิงของนิกายจันทราสวรรค์ผู้หนึ่ง ตามที่แอบสังเกตนางด้วยพลังระดับผลึกของข้า ไม่คาดคิดว่านางจะรับรู้ได้ในทันทีและมองมาที่ข้าอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้ไม่อาจใช้คำว่าศิษย์ผู้มีพรสวรรค์มาอธิบายได้แล้ว คงต้องใช้คำว่ามารร้ายมาบรรยายน่าจะเหมาะว่า”


“อะไรนะ! สามารถรับรู้ได้ว่าอาจารย์อาสังเกตดูอยู่ เป็นไปได้อย่างไร!”


“ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงล่ะก็ จะต้องเป็นศิษย์หญิงที่มีร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่ของนิกายจันทราสวรรค์ผู้นั้นแน่นอน”


ผู้อาวุโสแซ่หวงกับนักพรตวัยกลางคนหลุดปากพูดออกมาติดๆ กัน


“อือ! ข้าก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน และนอกจากนิกายจันทราสวรรค์แล้ว นิกายอื่นๆ ก็มีศิษย์ที่มีกลิ่นไอไม่ธรรมดา เกรงว่าถ้าพวกของหยางเฉียนได้เจอกับพวกเขา ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาชนะได้อย่างแน่นอน” อาจารย์ปู่เยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก


“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงล่ะก็ ไม่เท่ากับว่าการทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้ นิกายของเราต้องอยู่ในอันดับรั้งท้ายอีกแล้ว” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่


“อันนี้ก็พูดยาก ในเมื่ออันดับแพ้ชนะในการประลองครั้งนี้วัดจากจำนวนทรัพยากรที่รวบรวมมาได้ ขอแค่ศิษย์นิกายเราเหล่านี้ดวงดีสักหน่อย และมีไหวพริบในการหลบหลีกผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งของนิกายอื่นๆ เล็กน้อย ไม่แน่พวกเขาอาจจะนำเรื่องน่ายินดีที่คาดไม่ถึงมาให้พวกเราก็ได้” ผู้อาวุโสชุดเทากล่าวด้วยสีหน้าที่กลับมาดูสงบดังเดิม


“คงได้แต่คาดหวังว่าจะเป็นเช่นนี้” ประมุขนิกายปีศาจมีสีหน้าดีขึ้นก่อนที่จะถอนหายใจกล่าวออกมา


……


ในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงกำลังเล่นอยู่กับผ้าไหมสีเหลืองอ่อนในมือจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร!


เขานำผ้าไหมปกคลุมหินสีขาวเทาใต้เท้าที่มีขนาดใหญ่เท่าแตงโมหนึ่งชิ้น หลังจากที่มันถูกย่อส่วนให้เท่าเมล็ดถั่วแล้ว เขาก็หยิบมันออกมาและขยายเป็นขนาดใหญ่เท่าเดิม


ส่วนมืออีกข้างก็ถือมุกสีขาวในมือเม็ดหนึ่ง มันกำลังเปล่งแสงสีขาวจางๆ ออกมา ถ้าใช้สายตาจ้องมองอย่างละเอียดล่ะก็จะพบกับจุดดำเล็กๆ ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารสิบจุด อยู่ในแต่ละส่วนของมุกเม็ดนั้น บ้างก็หยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว บ้างก็ค่อยๆ เคลื่อนย้ายอยู่ไม่หยุด


หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลิ่วหมิงก็ดูเหมือนจะเล่นจนเบื่อแล้ว จึงเก็บของทั้งสองสิ่งเข้าไป จากนั้นก็หามุมที่ไม่มีคนนั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจเข้าฌานอย่างเงียบๆ


ขณะที่กำลังหายใจเข้าออกอยู่นั้น เข็มแหลมเล็กราวกับเส้นขนที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อก็ค่อยๆ เปล่งประกายขึ้นมา ราวกับว่ากำลังแอบตอบสนองอยู่ไม่หยุด


บนแขนทั้งสองของเขาต่างก็มีปุ่มขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองค่อยๆ นูนขึ้นมา ในนั้นห่อหุ้มสิ่งของขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารสีดำขาวข้างละหนึ่งสี มันกำลังพองยุบตามจังหวะการหายใจเข้าออกของหลิ่วหมิง ดูคล้ายกับเป็นสิ่งมีชีวิตอันแปลกประหลาด


ขณะนี้ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าส่องมากระทบหลังหลิ่วหมิงและศิษย์นิกายปีศาจคนอื่นๆ จนดูราวกับว่าหลังของพวกเขาถูกทาด้วยโลหิตสดๆ ให้ผู้พบเห็นรู้สึกเคร่งขรึมอย่างบอกไม่ถูก


……


เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌาณอยู่พลันรู้สึกราวกับว่าหินโสโครกใต้ร่างมีการสั่นสะเทือน ถึงแม้มันจะเบามากแต่ก็ทำให้เขาตกใจจนออกฌาณได้ เขารีบมองออกไปด้วยความแปลกใจ


ระลอกน้ำบนพื้นผิวทะเลสาบบริเวณนั้นค่อยๆ กระเพื่อมขึ้นมา และแรงสั่นสะเทือนตรงหินโสโครกใต้ร่างยิ่งรุนแรงมากขึ้น พื้นทะเลสาบก็เริ่มก่อตัวเป็นคลื่นราวกับถูกพายุพัดผ่าน


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้ยินเสียงแว่วๆ ดังกระหึ่มมาจากที่ไกลๆ ตอนแรกเสียงมันเบามาก แต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นเสียงที่ดังมากขึ้นกว่าเดิม


ขณะนี้ทะเลสาบทั้งผืนสั่นสะเทือนรุนแรงมากยิ่งขึ้น


การสั่นสะเทือนอันรุนแรงนี้ ย่อมทำให้ศิษย์คนอื่นๆ และประมุขนิกายปีศาจกับอาจารย์จิตวิญญาณคนอื่นๆ ที่กำลังพักผ่อนอยู่ในหอหินต่างก็เดินออกมาด้วยความตกใจ


พวกเขามีสีหน้างุนงง และแหงนหน้าจ้องมองขอบฟ้าอยู่ไม่หยุด


แต่กลับไม่มีร่องรอยของอาจารย์ปู่เยี่ยนผู้นั้น ไม่รู้ว่าเขาไปจากหินโสโครกตั้งแต่ตอนไหน


นิกายจันทราสวรรค์และนิกายต่างๆ ที่อยู่บนหินโสโครกอื่นๆ ต่างก็มีท่าทีตอบสนองที่พอๆ กัน ศิษย์จำนวนมากต่างก็ลุกขึ้นแหงนหน้าเบิ่งมองท้องฟ้าอยู่ไม่หยุด


หลังจากรอดูอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีจุดสีดำปรากฏบนท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป และค่อยๆ ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ครู่เดียวก็กลายเป็นยอดเขาสีดำมืดมิดสูงสองร้อยจั้ง และเหาะมาทางหินโสโครกอย่างรวดเร็ว


ในขณะนี้เสียงกระหึ่มดังก้องจนหูจะหนวก ทะเสสาบทั้งผืนก็ยิ่งสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด และยังมีคลื่นยักษ์ม้วนตัวสูงจั้งกว่าๆ


“ยอดเขาเหาะ! ทำไมสำนักวาตอัคคีถึงได้ใช้ของล้ำค่าชิ้นนี้พาพวกเขามาที่นี่ มันดูไม่ถูกต้องมากนัก” พอเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของยอดเขาสีดำชัดเจน ผู้อาวุโสแซ่หวงก็กล่าวกับประมุขนิกายปีศาจด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


“มันช่างดูแปลกประหลาดจริงๆ! แต่อย่าเพิ่งร้อนใจไป รอคนของนิกายวาตอัคคีมาถึงก่อนแล้วดูว่าพวกเขาจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร ข้าคิดว่าต่อให้นิกายวาตอัคคีจะโง่เขลาแค่ไหน แต่ก็คงไม่เลือกเป็นศัตรูกับพวกเราทั้งสี่นิกายพร้อมกันหรอก” ประมุขนิกายปีศาจขมวดคิ้วกล่าวออกมา


และบนหินโสโครกอื่นๆ ผู้ที่แต่งชุดอาจารย์จิตวิญญาณต่างก็แอบกระซิบกันอยู่เบาๆ เห็นได้ชัดว่ามีพวกเขาต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึมปรากฏออกมา


ครู่ต่อมา ในที่สุดยอดเขาสีดำก็พาพายุบ้าระห่ำมาปรากฏตัวเหนือหินโสโครกทั้งหลาย และหยุดลงบนอากาศที่อยู่สูงจากผิวทะเลสาบร้อยจั้ง


หลังจากที่มีเสียงหัวเราะอันดังมาจากปลายยอดเขาสีดำ ก็มีคนสี่สิบถึงห้าสิบคนเหาะออกมา นักพรตวัยกลางคนคนแรกที่สวมชุดนักพรตสีทองกล่าวอยู่บนอากาศด้วยเสียงอันดัง


สหายทั้งหลายโปรดให้อภัย เหตุที่ประมุขนิกายของเรามาช้าไปหน่อยเป็นเพราะว่ามีแขกคนสำคัญมาหาพอดี พอเขาได้ข่าวว่ามีทางเข้าแดนลึกลับปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ก็ตั้งใจนำของล้ำค่ามาช่วยพวกเราอีกแรง”


พอนักพรตชุดสีทองกล่าวจบก็หลีกทางให้กับชายชุดลายอสรพิษที่มีใบหน้าผอม จมูกแหลม สีหน้าอึมครึม ดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย


และพอชายผู้นี้ปรากฏตัวออกมา ก็กวาดสายตามองไปข้างล่างอย่างเยือกเย็น จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่เกรงใจ


“ที่นี่มีแค่เด็กอย่างพวกเจ้าหรือ? ผู้อาวุโสระดับผลึกไปไหนกันหมด!”


……………………………………….


ตอนที่ 111 นิกายเอกะ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะที่ชายชุดลายอสรพิษถามขึ้นมานั้น ก็ปล่อยกลิ่นไออันรุนแรงออกมาด้วย ประมุขนิกายปีศาจและคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างได้สัมผัสเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกตกใจขึ้นมา


คนผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกเช่นกัน!


“ฮึ! มู่หรงเซวี่ยนเจ้าไม่ฝึกฝนอยู่ในนิกายนิกายเอกะ แต่กล้าเข้ามายังแคว้นต้าเสวียนของเรา เจ้าคิดว่านิกายของพวกเราไม่มีคนหรือไง?” พลันมีเสียงฮึดฮัดดังมาจากหินโสโครกที่ทางนิกายจันทราสวรรค์อยู่ จากนั้นแสงสีขาวลำหนึ่งก็พุ่งขึ้นฟ้า หลังจากที่มันหมุนไปหนึ่งรอบก็กลายร่างเป็นแม่ชีเฒ่าสวมชุดสีขาวผู้หนึ่ง


นางสวมหมวกแม่ชีสีขาว สะพายกระบี่ยาวสีเงิน ในมือถือสร้อยลูกประคำอยู่เส้นหนึ่ง นางจ้องมองชายชุดลายอสรพิษด้วยสีหน้าดุร้าย


“นิกายเอกะ”


อาจารย์จิตวิญญาณที่อยู่ด้านล่างได้ยินเช่นนี้ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก


“ข้าคิดว่าคือใคร ที่แท้ก็คือเหลิ่งเยวี่ยซือไท่! ในเมื่อมีคนควบคุมที่นี่ย่อมเป็นเรื่องที่ดี แต่สหายเหลิ่งเยวี่ยอย่าได้เข้าใจผิด ข้าไม่ได้มาหาเรื่องแต่มาช่วยพวกท่านอีกแรงตามที่ได้บอกไว้” พอชายชุดลายอสรพิษเห็นแม่ชีเฒ่า สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป และมีความหวาดกลัวเล็กน้อย


“น่าตลก! เรื่องที่พวกข้าไม่กี่นิกายทำกัน จำเป็นต้องให้คนนิกายนิกายเอกะมาช่วยด้วยเหรอ? สหายมู่หรงมาจากทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถอะ!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ปฏิเสธอย่างไม่เกรงใจ


ชายชุดลายอสรพิษได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็อึมครึมขึ้นมา


ขณะนั้นเองประมุขนิกายวาตอัคคีกลับฝืนยิ้มเอ่ยออกมา


“ผู้อาวุโสเหลิ่งเยวี่ยอย่าเพิ่งรีบร้อนไป ผู้อาวุโสมู่หรงมาถึงที่นี่เป็นเพราะว่าอาจารย์อาชื่อหยางพยายามหาทางเชิญมาอย่างสุดความสามารถ แต่ระหว่างทางท่านได้เผชิญกับเรื่องราวบางอย่าง เลยมาช้าเล็กน้อย แต่ก็จะรีบตามมาอธิบายเรื่องนี้กับผู้อาวุโสทั้งหลายเอง”


“ฮึ เจ้าเฒ่าชื่อหยางคิดจะทำบ้าอะไร? นิกายเอกะมักจะครอบงำแคว้นฉีเยวี่ยอยู่ตลอด และไม่เคยมีการคบค้าสมาคมกับนิกายทั้งหลายของพวกเรา ทำไมจู่ๆ ถึงวิ่งมาแคว้นต้าเสวียนได้ล่ะ! และยังเลือกโอกาสอันดีนี้โดยเฉพาะ!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ซือไท่ได้ยินก็กล่าวด้วยตาถมึงทึง


“ผู้อาวุโสมู่หรงเป็นสหายที่อาจารย์อาชื่อหยางรู้จักกันเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่นิกายเราได้รับข่าวเรื่องแดนลึกลับนั้น ผู้อาวุโสมู่หรงกำลังเป็นแขกอยู่ที่นิกายของเราพอดี ทั้งยังมีของล้ำค่าที่ช่วยประคับประคองทางเข้าแดนลึกลับได้เป็นอย่างดี ดังนั้นอาจารย์อาถึงเป็นคนเชิญผู้อาวุโสมู่หรงให้มาพร้อมกัน” ดูเหมือนว่าประมุขนิกายวาตอัคคีก็หวาดกลัวเหลิ่งเยวี่ยซือไท่เป็นอย่างมาก จึงรีบอธิบายออกมา


“สามารถประคับประคองทางเข้าแดนลึกลับได้! มันคือของล้ำค่าอันได้?” ในที่สุดเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“ของล้ำค่าในนิกายนิกายเอกะของเรามีมาก ถ้าไม่ใช่ว่าข้ากำลังเป็นแขกของนิกายวาตอัคคีอยู่พอดี ประกอบกับสหายชื่อหยางเจตนาเชิญข้ามา เหลิ่งเยวี่ย! เจ้าคิดว่าข้าจะยอมมาถึงที่นี่เหรอ!” มู่หรงเซวี่ยนกล่าวอย่างไม่เกรงใจ


“ถ้าหากเจ้ามาช่วยจริงๆ ข้าเองก็ไม่พูดอะไรมาก แต่ศิษย์เหล่านั้นคืออะไรกัน?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่มีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่ยังคงชี้ไปยังศิษย์หลายสิบคนที่เหาะลงมาจากยอดเขาเหาะแล้วถามขึ้นมา


ในบรรดาศิษย์เหล่านี้ นอกจากมีสิบคนที่สวมชุดสีเขียวแดงของนิกายวาตอัคคีแล้ว คนอื่นๆ ล้วนสวมชุดสีเงินเหมือนกันหมด พวกเขาทั้งหมดคือศิษย์นิกายเอกะ


“อ๋อ! มันมีส่วนเกี่ยวข้องกับของล้ำค่าที่ข้าใช้อยู่ไม่น้อย เจ้าคงไม่คิดว่าข้ามาช่วยเปล่าๆ หรอกนะ คนเหล่านี้คือศิษย์ที่ข้านำมาแลกเปลี่ยนความรู้กับนิกายวาตอัคคี และก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณทั้งหมด ในเมื่อตอนนี้ได้รับโอกาสอันดีเช่นนี้ ย่อมไม่ยอมปล่อยไปโดยง่าย” มู่หรงเซวี่ยนหาวแล้วกล่าวออกมา


“อะไรนะ! เจ้าคิดจะให้ศิษย์นิกายเจ้าเข้าไปแดนลึกลับด้วยเหรอ? ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง


“เฮ่อๆ! เหลิ่งเยวี่ย ใยเจ้าต้องบอกว่าไม่ได้ด้วยล่ะ! เรื่องราวต่างๆ บนโลกใบนี้ล้วนสามารถหารือกันได้ อีกอย่างนี่ก็เป็นความเห็นของเจ้าเพียงคนเดียว! จะให้พวกข้าเข้าไปได้หรือไม่นั้น ต้องให้สหายท่านอื่นๆ หารือกันก่อนถึงจะเป็นการตัดสินใจที่แท้จริง”


ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยดังมาจากบนฟ้า ผู้คนทั้งหมดต่างก็ตกตะลึงจากนั้นก็มองขึ้นไปพร้อมกัน


ลมสีเขียวม้วนตัวผ่านไปเหนือยอดเขาสีดำนั้น จากนั้นก็ปรากฏร่างผู้อาวุโสสวมชุดสีเหลืองออกมาจากในนั้น มือข้างหนึ่งของเขาโบกพัดใบลานสีแดงเพลิงอยู่ไม่หยุด เท้าทั้งคู่เหยียบอยู่บนสิ่งของสีเขียวที่ดูคล้ายล้อรถ


“ชื่อหยาง ในที่สุดเจ้าก็มา ที่พวกเขาพูดมาทั้งหมดเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องจริงหรือ?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ถามผู้อาวุโสชื่อหยางด้วยสีหน้าหนักอึ้ง


“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง เหลิ่งเยวี่ยที่เจ้าคัดค้านเรื่องนี้เป็นเพราะยังไม่รู้ว่าสหายมู่หรงนำของล้ำค่าอะไรมาใช่ไหม? ถึงได้เป็นเช่นนี้ มิเช่นนั้นล่ะก็คงจะไม่คัดค้านอย่างเด็ดขาดเช่นนี้อย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสชื่อหยางหัวเราะกล่าวออกมา จากนั้นสิ่งของใต้เท้าเขาก็หมุนติ้วๆ แล้วก็ค่อยๆ พาเขาเหาะลงมา


ส่วนประมุขนิกายปีศาจ และอาจารย์จิตวิญญาณแต่ละนิกายต่างก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไรออกมา เพราะว่าผู้อาวุโสระดับผลึกของนิกายไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย ทำได้เพียงแต่ยืนจ้องมองผู้อาวุโสระดับผลึกทั้งสามคนพูดคุยกันตาปริบๆ


“ฮึ! ของล้ำค่าอะไรที่ทำให้จิ้งจอกเฒ่าอย่างเจ้ายอมเสียสละขนาดนี้ หรือว่ามันจะสามารถประคองทางเข้าแดนลึกลับได้นานขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว?” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ทำเสียงฮึดฮัด นางรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็กล่าวอย่างเยือกเย็นโดยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา


“เฮ่อๆ! อันนี้ต้องรอสหายมู่หรงเห็นสภาพของทางเข้าก่อนจึงจะตัดสินได้ แต่ถึงแม้จะเป็นสภาพที่เลวร้ายที่สุด ก็คงจะยังสามารถประคองไว้ได้นานสองสามเท่าขึ้นไป” ผู้อาวุโสชื่อหยางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนยิ้ม


“สองสามเท่าขึ้นไป! ครั้งนี้เหลิ่งเยวี่ยซือไท่รู้สึกตกใจขึ้นมาจริงๆ เขามองฝ่ายตรงข้ามอยู่ครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้


และมู่หรงเซวี่ยนก็ยืนตระหง่านไม่พูดไม่จาอยู่กลางอากาศ ประจักษ์ชัดแจ้งว่าเขายอมรับโดยปริยาย


“ไม่ผิด ถ้าไม่เช่นนั้นข้าจะกล้าเชิญสหายมู่หรงมาหรือ ข้าเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรบอกบุคคลภายนอก” หลวงจีนชื่อหยางหาว และกล่าวอย่างคลุมเครือ


“ถ้าหากสามารถประคองทางเข้าได้นานสองเท่าขึ้นไปได้ เรื่องที่จะให้ศิษย์นิกายนิกายเอกะเข้าไปแดนลึกลับด้วยนั้นก็พอจะคุยกันได้ เพียงแต่ต้องควบคุมจำนวนคนอย่างเข้มงวด” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวด้วยสีหน้าที่ดูผ่อนคลายลงอีกครั้ง


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้จะรออะไรอีกล่ะ! ข้าทั้งสองจะพาสหายมู่หรงไปดูที่ทางเข้าก่อน แล้วค่อยปรึกษากับสหายคนอื่นๆ ล่ะกัน ตอนนี้เวลากระชั้นชิดมาก ถ้าหากยืดเยื้อต่อไปมันอาจจะส่งผลกระทบกับผลประโยชน์ที่พวกเราจะได้รับ” หลวงจีนชื่อหยางหัวเราะกล่าวออกมา


มู่หรงเซวี่ยนก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าออกมาด้วยเช่นกัน


ดังนั้นเวลาต่อมาทั้งสามก็เปลี่ยนทิศทางมุ่งหน้าไปยังภูเขาไปที่โผล่พ้นมาจากพื้นทะเลสาบ และหลังจากผ่านไปไม่นานก็ค่อยๆ จมหายเข้าไปในภูเขาไฟอย่างไร้ร่องรอย


ไม่คาดคิดว่าทางเข้าแดนลึกลับจะอยู่ในภูเขาไฟลูกนี้


แต่ประมุขนิกายปีศาจและอาจารย์จิตวิญญาณแต่ละนิกายกลับไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ แต่กลับมุ่งความสนใจไปที่ศิษย์ที่เพิ่งมาใหม่อย่างนิกายวาตอัคคีกับนิกายเอกะ


ไม่รู้ว่าประมุขนิกายวาตอัคคีใช้วิธีการอะไร เขาแค่ปล่อยวิชาใส่ยอดเขาดำ ยอดเขาดำก็ย่อขนาดเล็กลงอย่างรวดเร็วด้วยเสียงที่ดังกระหึ่ม ครู่เดียวก็กลายเป็นเขาเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือ และถูกเก็บเข้าไปในแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง


จากนั้นนักพรตชุดทองก็พาศิษย์นิกายวาตอัคคี และนิกายเอกะ หาหินโสโครกขนาดใหญ่แล้วร่อนลงไป


ประจักษ์ชัดแจ้งไม่คิดที่จะสร้างหอหินหรือว่าวางผนึกจำกัดใดๆ เลย ทั้งหมดต่างก็นั่งสมาธิเข้าฌานอยู่ตรงพื้นที่ต่างๆ ของหินโสโครก


“ครั้งนี้ต้องยุ่งยากแน่แล้ว คิดไม่ถึงว่านิกายเอกะแห่งแคว้นฉีเยวี่ยจะสอดแทรกเข้ามาด้วย!” ผู้อาวุโสแซ่หวงกล่าวพึมพำออกมา ไม่รู้ว่าเขากล่าวกับตนเองหรือคนข้างๆ


“ถ้าหากเป็นดังที่พูดเมื่อครู่ ว่าสามารถประคองทางเข้าแดนลึกลับได้นานขึ้นล่ะก็ ข้าและนิกายอื่นๆ คงจะหาทรัพยากรจากในนั้นได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมันดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเรื่องแย่แต่อย่างใด” อาจารย์อาจางคิ้วหมวด ใบหน้าเต็มไปด้วยความฉงน


“ถ้าหากพวกหยางเฉียนสามารถอยู่ในแดนลึกลับได้นานขึ้น ผลประโยชน์ที่ได้รับก็จะมากขึ้นด้วย แต่ขณะเดียวกันโอกาสในการปะทะกับศิษย์นิกายอื่นๆ ก็เพิ่มมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเพิ่มศิษย์นิกายนิกายเอกะเข้าไปข้างในด้วยล่ะก็ เกรงว่าการทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้คงจะอันตรายเกินกว่าที่คาดคิดไว้มาก นิกายเอกะเป็นนิกายใหญ่ที่ตั้งตนเป็นใหญ่ในแคว้น เกรงว่านิกายต่างๆ ของพวกเราต้องร่วมมือกันถึงจะต่อต้านนิกายนี้ได้ พลังของศิษย์ที่อยู่ในนิกายนั้นแข็งแกร่งจนยากที่รู้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนนิกายวาตอัคคี และนิกายนิกายเอกะจะสนิทสนมกันมาก น่าจะทำการตกลงร่วมมือกันในระหว่างที่เดินทางแล้ว มิเช่นนั้นหลวงจีนชื่อหยางคงไม่พาพวกเขามาด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้” ประมุขนิกายปีศาจได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างขมขื่น


เมื่ออีกสองคนได้ยินเรื่องนี้ก็คิดใคร่ครวญเล็กน้อย และเมื่อเห็นว่ามันมีเหตุผลที่จะเป็นเช่นนี้ สีหน้าพวกเขาดูไม่ได้ขึ้นมา


“ศิษย์พี่ท่านประมุขก็ไม่ต้องกังวลจนเกินไป ทางเข้าแดนลึกลับที่เราค้นพบก็เป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ถึงแม้นิกายเอกะจะมีอิทธิพลมากแต่ก็ไม่อาจจะรู้ล่วงหน้าได้ จึงไม่ได้นำศิษย์ที่แข็งแกร่งมา ข้าว่าศิษย์ของนิกายเอกะเหล่านี้ ส่วนมากเป็นแค่ศิษย์ค่อนข้างโดดเด่นที่ส่งมาศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับนิกายวาตอัคคีเท่านั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ นิกายของพวกเราและนิกายต่างๆ ก็ยังมีโอกาสชนะสูง” ผู้อาวุโสคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“อืม! ข้าเองก็หวังว่าจะเป็นเช่นนี้” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้า เขายังคงรู้สึกจิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่าย


ว่ากันตามที่อาจารย์อาเยี่ยนได้กล่าวไว้ พลังของศิษย์นิกายปีศาจไม่ได้เหนือกว่านิกายอื่นๆ ตอนนี้ยังมีนิกายเอกะที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเพิ่มขึ้นมาอีก พอถึงตอนนั้นคงเกิดความวุ่นวายขึ้นในแดนลึกลับจนยากที่จะคาดคิดได้


ตอนที่แขกผู้ไม่ได้รับเชิญร่อนลงไปบนหินโสโครกนั้น หลิ่วหมิงเองก็นั่งขัดสมาธิลงไปอีกครั้ง


สำหรับเขาแล้วไม่ว่าจะเป็นนิกายวาตอัคคีหรือนิกายเอกะล้วนมีผลกระทบต่อเขาไม่มากนัก ยังไงซะพอถึงตอนสุดท้ายเพื่อที่จะรวบรวมทรัพยากรจำนวนหนึ่ง เขาก็มีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่ต้องปะทะกับศิษย์นิกายอื่นๆ อยู่แล้ว


พอถึงเวลานั้นก็หาโอกาสที่เหมาะสมและลงมือในทันที


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น พลันมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา และมีคนเดินมาบริเวณที่เขาอยู่


เมื่อเขาหันไปเห็นใบหน้าของผู้ที่เดินเข้ามาอย่างชัดเจนแล้ว ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย


“ศิษย์พี่เจียหลาน ท่านหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยตาที่เป็นประกาย


ผู้ที่เดินเข้ามาก็คือดรุณีน้อยที่มีนามว่าเจียหลานนั่นเอง


นางคืนร่างมาเป็นดรุณีน้อยสวยสดงดงามตามเดิมแล้ว จึงไม่เป็นที่เตะตาในบรรดาศิษย์นิกายต่างๆ


……………………………………….


ตอนที่ 112 แดนลึกลับ

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ศิษย์น้องไป๋ ข้ารู้ว่าพลังจิตของเจ้าแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมาก สามารถสัมผัสอะไรได้จากศิษย์นิกายเอกะบ้าง!” จู่ๆ เจียหลานก็ขมวดคิ้วถามขึ้นมา


“หรือว่าศิษย์พี่พบเห็นอะไร? ข้าไม่ได้รู้สึกผิดปกติแต่อย่างใด!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ


“ข้าคงจะคิดไปเอง แต่เมื่อเข้าไปในแดนลึกลับศิษย์น้องควรจะระวังศิษย์นิกายเอกะสักหน่อยนะ! ในบรรดาศิษย์ของนิกายเอกะดูเหมือนจะมีคนที่ไม่ได้รับผลกระทบจากร่างละเมอฝันของข้า แต่กลับจะต่อต้านพลังของข้าได้ คงจะเป็นผู้ที่มีพลังจิตแข็งแกร่งมากเช่นกัน” สีหน้าเจียหลานเปลี่ยนไปมาหลายครั้งแล้วถึงกล่าวออกมา


“นิกายเอกะมีศิษย์เช่นนี้ด้วย!” หลิ่วหมิงได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังหินโสโครกครู่หนึ่ง น่าเสียดายที่อยู่ห่างกันค่อนข้างไกล ทำให้เห็นแค่เงาร่างเลือนลางจำนวนหนึ่งเท่านั้น และไม่สามารถมองเห็นอะไรอย่างชัดเจนได้เลย


ตอนนี้เจียหลานก็ไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วก็เดินออกไปเงียบๆ เหมือนตอนที่เดินมา


“ศิษย์น้องไป๋ เมื่อครู่ศิษย์น้องเจียหลานพูดอะไรกับเจ้า?” ในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดถึงเรื่องที่เจียหลานกล่าวถึงอยู่นั้น พลันมีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาและกล่าวอย่างเยือกเย็น


“ที่แท้ก็คือศิษย์พี่หมิ่น! ศิษย์พี่ก็แค่พูดคุยเล่นกับข้าไม่กี่ประโยคเท่านั้น!” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วมองผู้ที่เดินมาแล้วกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


ผู้ที่ถามขึ้นมาคือหมิ่นโซ่วที่มีชื่ออยู่อันดับที่สามบนแผ่นศิลาจันทรา ใบหน้าเขาซีดขาว ดวงตาทั้งคู่เรียวเล็ก เป็นศิษย์สาขาพิษจิตวิญญาณ ถึงแม้จะไม่ได้แสดงฝีมือในการประลองใหญ่ แต่ว่ากันว่าวิชาพิษของเขาได้ฝึกฝนจนเข้าขั้นยอดเยี่ยมแล้ว สามารถใช้พิษโจมตีศัตรูได้อย่างรวดเร็วและไร้ร่องรอย


“ในเมื่อแค่พูดคุยเล่น ศิษย์น้องควรจะอยู่ห่างเจียหลานไว้หน่อยจะดีกว่า เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดของศิษย์พี่อย่างข้า” หมิ่นโซ่วกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม


ตอนแรกหลิ่วหมิงก็รู้สึกงงงวย จากนั้นก็พินิจดูชายชุดเขียวอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะโดยไม่กล่าวอะไรออกมา


หมิ่นโซ่วเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เขากล่าวออกมาด้วยแววตาที่โหดร้าย


“ดูเหมือนศิษย์น้องจะยังไม่รู้ ตระกูลหมิ่นของข้าได้พูดเรื่องการแต่งงานกับเจียหลานแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานศิษย์น้องเจียหลานก็จะเป็นคนของข้า ทางที่ดีศิษย์น้องควรจะรู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร! มิเช่นนั้นล่ะก็เจ้าจงดูจุดจบของหินก้อนนี้!”


พอหมิ่นโซ่วกล่าวคำพูดที่เหมือนข่มขู่จบ ก็พลันชี้นิ้วมือไปยังหินสีเทาก้อนที่อยู่ข้างตัวหลิ่วหมิง จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงชายตามองเล็กน้อย ก็เห็นหินก้อนนั้นกลายเป็นสีดำมืดแล้วระเบิดออกมา


เขาเอามือลูบคางไปมา หลักจากที่ดวงตาของเขาเป็นประกายเขาก็ไม่ใส่ใจในเรื่องนี้อีก


เวลาค่อยๆ ผ่านไป เมื่อเวลาผ่านไปประมาณครึ่งวัน ในที่สุดก็มีแสงพุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟที่อยู่ไกลออกไป เงาร่างของคนสองคนเหาะออกมาจากในนั้นแล้วพุ่งมายังแนวหินโสโครก


ครู่เดียวลำแสงก็ดับไปพร้อมกับปรากฏร่างของคนสองคน พวกเขาคือเหลิ่งเยวี่ยซือไท่กับหลวงจีนชื่อหยาง


“ทางเข้าแดนลึกลับมั่นคงแล้ว ทั้งหมดจงลงไปข้างล่างเพื่อเตรียมพร้อมเข้าแดนลึกลับกัน” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวอย่างเยือกเย็น


“ศิษย์นิกายเอกะฟังให้ดี จากการที่พวกข้าได้หารือกัน พวกเจ้าสามารถเข้าแดนลึกลับได้สิบคน ที่เหลือก็ให้รอฟังข่าวอยู่ด้านนอก” หลวงจีนชื่อหยางกล่าวกับศิษย์นิกายเอกะด้วยรอยยิ้มจางๆ


“ทราบ! พวกข้าน้อมรับคำสั่งของผู้อาวุโส!” ศิษย์ของนิกายเอกะผู้หนึ่งที่เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงบางลุกขึ้นมาโค้งคารวะพร้อมกับกล่าวออกมา


“ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไรแล้วก็เริ่มดำเนินการเถอะ!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่สั่งแล้วก็หมุนตัวเหาะไปยังปล่องภูเขาไฟพร้อมกับหลวงจีนชื่อหยางอีกครั้ง


ภายใต้การนำของเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ ศิษย์แต่ละนิกายก็พากันเหาะไปยังภูเขาไฟ


เวลาผ่านไปชั่วครู่ หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็มาถึงด้านบนของปล่องภูเขาไฟ เมื่อมองลงไปด้านล่างก็เห็นหินละลายสีแดงดำพ่นไอร้อนสีดำออกมา


“ระวังกันหน่อยนะ! ด้วยระดับการฝึกฝนของพวกเจ้าในตอนนี้ไม่อาจจะต้านทานอุณหภูมิระดับนี้ได้ พวกข้าจะแสดงวิชาคุ้มกันให้พวกเจ้าลงไปเอง”


ประมุขนิกายปีศาจกล่าวอย่างเคร่งขรึมแล้วก็สะบัดแขนเสื้อ ม่านแสงสีแดงชั้นหนึ่งถูกปล่อยออกมาทันที และค่อยๆ แผ่ขยายปกคลุมไว้รอบด้าน มันห่อหุ้มหยางเฉียน เฟิงฉาน และอีกสามคนไว้ข้างใน แล้วก็กลายเป็นแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมา พอมันเปล่งประกายก็จมหายไปในหินละลายอย่างไร้ร่องรอย


หลิ่วหมิงเห็นฉากนี้ก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย


แต่ในขณะนั้นเอง อาจารย์อาจางที่อยู่ด้านข้างก็แสดงวิชาเหมือนกันออกมาแล้ว และมันก็ห่อหุ้มเขา เหลยเจิ้น และสือชวนไว้ในแสงสีแดงแล้วพุ่งออกไป


หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าแสงสีแดงตรงหน้ามืดแล้วก็สว่าง จากนั้นร่างของเขาก็เข้าไปในหินละลายนั้นแล้ว แต่เพราะถูกแสงสีแดงปกคลุมไว้เลยไม่รู้สึกร้อนแต่อย่างใด และถูกพลังบางอย่างพาเขาดิ่งลึกลงไปอย่างรวดเร็ว


หลังจากที่พุ่งลงไปประมาณชั่วเวลาครึ่งถ้วยชา แสงสีแดงที่ปกคลุมรอบด้านก็หายไป ทิวทัศน์รอบด้านก็กลายเป็นดินสีดำ


แต่ครั้งนี้เขาดิ่งลงไปแค่เพียงชั่วครู่ก็พบกับถ้ำขนาดใหญ่ที่มีแสงสว่างรอบด้าน


พื้นที่ภายในถ้ำทั้งหมดมีขนาดใหญ่ร้อยกว่าหมู่ ผนังหินรอบด้านล้วนเป็นหินสีดำที่ดูเกลี้ยงเกลาเป็นพิเศษ ราวกับว่าถูกคนใช้ขวานอันคมกริบผ่ามันออกมา


และพื้นที่ใจกลางถ้ำมีค่ายกลอักขระหลากสีขนาดหมู่กว่าๆ ตั้งอยู่ ในนั้นมีผลึกหินฟ้าสีดำเลี่ยมฝังอยู่แน่นขนัด มองออกไปคร่าวๆ ก็เห็นมีจำนวนประมานหลายร้อยก้อน และแต่ละก้อนก็มีขนาดเท่าไข่ไก่


รอบค่ายกลยังมีแท่นหินสูงจั้งกว่าๆ อยู่หกแท่น แต่และแท่นมีคนนั่งอยู่หนึ่งคน ซึ่งก็คืออาจารย์ปู่เยี่ยน เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ และผู้อาวุโสระดับผลึกท่านอื่นๆ


ห้าคนในนั้นต่างก็มีแผ่นกลมๆ ลอยอยู่ด้านหน้า และมีแสงสีขาวเปล่งออกมาจากในนั้น แสงเหล่านั้นต่างก็รวมตัวเป็นกลุ่มแสงสีเทาลอยอยู่เหนือค่ายกล


แสงกลุ่มนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางเจ็ดแปดจั้ง มันค่อยๆ หมุนตัวในอากาศอยู่ไม่หยุด ทั้งยังไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ ราวกับว่ามันไม่มีเสียง


ใจกลางค่ายกลกลับมีเตาหลอมสีทองขนาดใหญ่อยู่ใบหนึ่ง และอักขระสีทองแต่ละตัวก็พุ่งออกมาจากในนั้นอยู่ไม่หยุด แแล้วก็จมหายเข้าไปในกลุ่มแสงสีเทา


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังสังเกตดูรอบด้านนั้น ศิษย์แต่ละนิกายต่างก็มาถึงถ้ำที่เขาอยู่แล้ว และยืนอยู่รวมกันเป็นกลุ่มตามนิกายของตนเอง


พอเขากวาดสายตามองไป กลับเห็นทางด้านหุบเขาเก้าช่องนั้นมีศิษย์ผู้หนึ่งใช้สายตาที่โหดเหี้ยมจ้องมองเขาอยู่


“คือเขา”


พอหลิ่วหมิงเห็นใบหน้าของศิษย์ของหุบเขาเก้าช่องผู้นั้นชัดเจนก็หัวเราะออกมา


คนผู้นั้นก็คือจินอวี่ ศิษย์ผู้มีพรสวรรค์ที่เคยต่อสู้กับเขาบนเกาะสยบมังกรนั่นเอง ตอนนี้เขาสูงกว่าสองปีก่อนเล็กน้อย ไหล่ก็หนากว่าเดิมนิดหน่อย โดยรวมแล้วเปลี่ยนแปลงไปไม่ค่อยมาก


แต่ตัวเขาเองกลับใช้น้ำล้างไขกระดูกจนทำให้รูปร่างภายนอกดูเปลี่ยนไปไม่น้อย ต้อมชมที่ศิษย์ผู้นี้ยังจำเขาได้


หลังจากที่หลิ่วหมิงนึกถึงจุดนี้ก็ยิ้มให้กับฝ่ายตรงข้ามเล็กน้อยแล้วก็ละสายตากลับมา แต่เป็นเพราะคำพูดของเจียหลานในก่อนหน้านั้นเขาเลยมองไปยังนิกายเอกะ


ศิษย์ทั้งสิบของนิกายเอกะเป็นหญิงสามคนชายเจ็ดคน ในสามคนนี้ต่างก็ค่อนข้างเป็นคนสวยงาม ชายหนุ่มทั้งเจ็ดก็เรียกได้ว่ามีกลิ่นไอที่ไม่ธรรมดา แต่จากการสังเกตเพียงคร่าวๆ และรวดเร็วก็ไม่สามารถค้นพบความผิดปกติใดๆ ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจียหลานคิดไปเอง ก็เป็นเพราะว่าคนผู้นี้กับเจียหลานต่างก็มีความชำนาญในการปลอมตัว


หลิ่วหมิงไม่กล้ามองอะไรมาก เขาถอนสายตากลับมาแล้วกวาดมองไปยังนิกายอื่นๆ รอบหนึ่ง


ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ล้วนสวมชุดสีขาวไปทั้งตัว แต่ละคนสะพายกระบี่ไว้ที่หลัง ศิษย์หอสายธารโลหิตสวมชุดสีเลือดเป็นหลัก ทุกคนต่างก็มีกลิ่นคาวเลือดบางอย่างที่บอกไม่ถูก ศิษย์หุบเขาเก้าช่องถึงแม้จะใส่ชุดปนกันหลายแบบ แต่ต่างก็มีถุงหนังตุงนูนห้อยอยู่ที่เอว


ขณะนี้ชายแปลกประหลาดบนแท่นหินผู้หนึ่งที่มีผิวหนังดูคล้ายกับโปร่งแสงก็ได้กล่าวออกมาในที่สุด


“ดีมาก! ในเมื่อมากันครบแล้ว หลังเวลาหนึ่งก้านธูปก็เริ่มเข้าสู่แดนลึกลับกันเถอะ!”


เมื่อกล่าวจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อ “ฟรึ่บ!” ธูปติดไฟก็พุ่งออกมาและเสียบอยู่บนพื้นบริเวณอย่างมั่นคง


“แต่ก่อนอื่นจะอธิบายกฎของการทดสอบความเป็นความตายกันก่อน เพราะนิกายเอกะนั้นก็เป็นแขก คงจะไม่ค่อยเข้าใจกฎการทดสอบความเป็นความตายของพวกเรา” ชายผอมสูงที่คลุมผ้าคลุมยาวสีเลือดมองดูก้านธูปอยู่ครู่หนึ่งและยิ้มกล่าวออกมาด้วยสีหน้าอึมครึม


“ฮึ! การทดสอบครั้งนี้ต่างกับครั้งที่ผ่านมา แล้วยังต้องใช้กฎอะไรอีก กฎเดียวก็คือไม่ต้องการกฎ! ศิษย์ที่เข้าแดนลึกลับสามารถรวบรวมทรัพยากรต่างๆ ได้โดยไม่จำกัดวิธีการใดๆ ในระหว่างนี้ทุกคนต้องรับผิดชอบความเป็นตายของตนเอง รอจนเมื่อศิษย์ทุกคนกลับมาแล้ว ค่อยใช้จำนวนทรัพยากรที่แต่ละนิกายหาได้จากในนั้นมาตัดสินอันดับตามที่ได้ตกลงไว้ในก่อนหน้า!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก


“เฮ่อๆ! ดูท่าสหายเหลิ่งเยวี่ยมีความมั่นใจต่อศิษย์ที่พามาในครั้งนี้มาก ได้! งั้นเอาตามนี้แหละ!” ชายโปร่งแสงหัวเราะแปลกประหลาดแล้วกล่าวออกมา


“ข้าไม่มีข้อคัดค้านใดๆ!”


“แบบนี้ดีแล้ว!”


ผู้อาวุโสระดับผลึกหลายคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย


ผู้อาวุโสระดับผลึกของนิกายเอกะอย่างมู่หรงเซวี่ยน กลับหรี่ตาควบคุมแผ่นกลมที่อยู่ด้านหน้า โดยไม่กล่าวอะไรออกมา


“ดีมาก! ในเมื่อทุกคนไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ก็ให้ผู้น้อยเหล่านี้เริ่มเตรียมตัวกันเถอะ!” หลวงจีนหลิงอวี้มองดูธูปที่ไหม้ไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้วกล่าวออกมาอย่างสงบ


“ตามกฎเดิม จะส่งศิษย์นิกายละหนึ่งคนนิกายเข้าไปพร้อมกันในแต่ละครั้ง” หลวงจีนหลิงอวี้กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


ประจักษ์ชัดแจ้งว่าคนอื่นๆ ก็ไม่คัดค้านกับวิธีการนี้


ดังนั้นเมื่อธูปก้านนั้นมอดไหม้จนหมด ศิษย์แต่ละนิกายก็เริ่มเดินเข้าไปยังใจกลางค่ายกล พวกเขาถูกแรงดึงดูดม้วนตัวเข้าไปกลุ่มแสงสีเทา จากนั้นก็หมุนติ้วๆ หายวับเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย


ทางฝั่งนิกายปีศาจได้ส่งศิษย์พี่ใหญ่อย่างหยางเฉียนเข้าไปก่อน


ศิษย์คนแรกที่นิกายอื่นๆ ส่งเข้าไปต่างก็เป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาศิษย์ของตนเอง เพื่อป้องกันไว้ว่าถ้าหากเกิดอะไรขึ้นในนั้นก็ยังพอจะรับมือด้วยตนเองได้


หลิ่วหมิงถูกส่งเข้าไปเป็นอันดับที่เจ็ด หลังจากที่ตัวเขาหมุนติ้วๆ พลิกไปมาแล้ว ก็มาคุกเข่าอยู่กลางทุ่งหญ้ารกที่สูงเท่าเอว


เขาฝืนลุกขึ้นมามองดูรอบด้านก็พบว่าศิษย์ที่ถูกส่งมาก่อนหน้านั้นต่างก็ยืนอยู่กันเป็นกลุ่มๆ ในบริเวณแถบนั้น


และอากาศที่อยู่สูงขึ้นไปสิบกว่าจั้ง ก็มีกลุ่มแสงสีเทาขนาดใหญ่เช่นกัน มันค่อยๆ หมุนวนอยู่ไม่หยุด


บนท้องฟ้าที่สูงขึ้นไปอีกก็มีพระอาทิตย์อยู่ดวงหนึ่ง ตำแหน่งที่อยู่ห่างจากพวกเขาไปไม่ไกลมีป่าดงดิบผืนหนึ่งที่เขียวชอุ่มเป็นอย่างมาก อีกด้านหนึ่งเป็นทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด


ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างก็อยู่ในระหว่างเขตแดนทั้งสองพอดี


หลิ่วหมิงฉุกคิดไปมาอย่างรวดเร็ว จนเมื่อฟื้นตัวมาเล็กน้อยแล้วก็เดินไปยังที่ที่หยางเฉียนและคนอื่นๆ ยืนอยู่


……………………………………….


ตอนที่ 113 เห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากผ่านไปสักครู่ ในที่สุดศิษย์ทั้งหมดก็หล่นออกมาจากกลุ่มแสงสีเทา และยืนห้อมล้อมกันตามกลุ่มนิกายของตนเอง


ขณะนั้นเองก็สีน้ำเสียงเยือกเย็นของเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ดังออกมาจากกลุ่มแสงสีเทา


“พวกเจ้าจงฟังให้ดี ทางเข้านี้มีของล้ำค่าของสหายมู่หรงคอยช่วยต้านทานไว้ ดังนั้นจึงประคองไม่ให้มันทลายลงมาได้นานขึ้น พวกเจ้าสามารถอยู่ในแดนลึกลับได้นานหนึ่งเดือนครึ่งแล้วค่อยกลับมายังสถานที่แห่งนี้ จำไว้ให้ดีมีเวลาแค่หนึ่งเดือนครึ่งเท่านั้น ถ้ากลับมาช้ากว่านี้ก็อย่าคิดที่จะออกไปจากในนี้อีกเลย”


หลังจากเสียงของเหลิ่งเยวี่ยซือไท่สิ้นสุดลง กลุ่มแสงสีเทาก็เงียบสงบขึ้นมา


“ศิษย์น้องทุกท่านได้ยินกันแล้วใช่ไหม พวกเรามาหารือกันว่าจะดำเนินการต่อไปดีกว่า ตามความเห็นของท่านประมุขและอาจารย์อาทั้งหลายคือถ้าหากว่าแดนลึกลับแห่งนี้ไม่กว้างล่ะก็ ให้พวกเราไปด้วยกันจะดีที่สุด เพื่อป้องกันการโจมตีจากนิกายอื่นๆ แต่ถ้าหากแดนลึกลับกว้างมากล่ะก็ ก็ต้องแยกย้ายกันดำเนินการ จะได้รวบรวมทรัพยากรได้มากและรวดเร็วที่สุด” หยางเฉียนกวาดสายตามองหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ แล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“เฮ่อๆ! แดนลึกลับแห่งนี้มีพลังฟ้าดินเข้มข้นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพื้นที่คงไม่เล็กแล้ว ย่อมต้องแยกย้ายกันดำเนินการ อย่างน้อยข้าก็จะไม่ไปกับคนอื่นแน่นอน!” ศิษย์แข็งแกร่งที่สุดของสาขาฝึกศพที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิงอย่างเฟิงฉานก็หัวเราะและกล่าวออกมา


“ข้าเองก็เห็นด้วย ข้าไม่อยากถูกคนอ่อนแอบางคนที่อาศัยความโชคดีเข้ามาในกลุ่มของพวกเรา และเป็นภาระในการดำเนินการด้วย แดนลึกลับลับธรรมชาติขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่รู้ว่าหลายพันปีจะเจอสักครั้งหรือเปล่า ข้าจะไม่ยอมเสียโอกาสอันดีที่ฟ้าประทานมาให้นี้ไปอย่างแน่นอน” หมิ่นโซ่วหัวเราะเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา


ส่วนผู้อ่อนแอที่เขากล่าวถึงจะเป็นใครนั้นนั้น ก็คงมีแต่ฟ้าเท่านั้นที่รู้


ส่วนเฉียนฮุ่ยเหนียง เจียหลาน เกาชงและคนอื่นๆ ถึงจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ดูจากสีหน้าที่แสดงออกก็ประจักษ์ชัดว่าก็เห็นด้วยพอๆ กัน!


“ดีมาก! ในเมื่อศิษย์น้องทุกท่านต่างก็ต้องการเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็แยกกันดำเนินการ และรับผิดชอบความเป็นตายของตัวเองเถอะ! แต่ถ้าในระหว่างนี้เจอศิษย์ร่วมนิกายที่ผจญกับอันตรายอยู่ล่ะก็ จงให้ความช่วยเหลือเป็นอันดับแรก” หยางเฉียนพยักหน้ากล่าวออกมา


ขณะนี้ศิษย์นิกายอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะหารือกันเสร็จแล้ว ตอนนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนนำออกไปก่อน และต่างก็แยกย้ายกันออกไป บ้างก็กระโจนไปยังป่าดงดิบบริเวณนั้น บ้างก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้ามองไปยังทุ่งหญ้าที่ไกลออกไป


แต่ผู้ที่แสดงวิชาทะยานเวหานั้นต่างก็อยู่สูงจากพื้นสิบกว่าจั้งเท่านั้น และไม่กล้าเหาะขึ้นสูงมากนัก


ดูเหมือนทุกคนต่างก็ไม่มีใครโง่ ที่จะไม่รู้ว่าสถานที่อันตรายแห่งนี้ ถ้าเหาะขึ้นสูงขึ้นไปก็เท่ากับหาเรื่องตายเท่านั้น


เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้เฟิงฉานก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แล้วเขาก็พุ่งร่างไปยังป่าดงดิบพร้อมกับไอดำที่พุ่งออกมา


หมิ่นโซ่วกับเกาชงก็เดินตามไปติดๆ โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


หยางเฉียนและคนอื่นๆ ต่างก็เรียกเมฆสีเทาออกมาแล้วขี่ออกไปยังทุ่งหญ้าที่อยู่ไกลๆ


พริบตาเดียวก็เหลือแค่หลิ่วหมิง สือชวน และเจียหลานที่ยังอยู่ที่เดิมเท่านั้น


“ศิษย์น้องระวังให้มากหน่อยนะ ข้าเองก็ต้องไปก่อนละ!”


สือชวนกำชับหลิ่วหมิวไปหนึ่งประโยคแล้วก็ทะยานขึ้นฟ้าไป ดูจากทิศทางที่ไปแล้วเป็นทิศทางเดียวกับศิษย์พี่ใหญ่ในนิกายอย่างหยางเฉียน


เจียหลานยิ้มให้กับหลิ่วหมิงแล้วก็หมุนตัวเหาะไปยังป่าดงดิบ


หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองฟ้า และมองไปยังศิษย์ไม่กี่คนที่ยังไม่ยอมจากไปอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เรียกเมฆเทาเหาะไปยังป่าดงดิบ


แต่พอเขาเหาะไปใกล้จะถึงชายป่าดงดิบ กลับเปลี่ยนทิศทางเหาะเลียบไปตามขอบชายป่าในฉับพลัน


คนอื่นๆ ที่เหลือก็เลือกทิศทางอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พากันจากไป


หลิ่วหมิงใช้แผ่นกลมๆ วาดแผนที่ที่เหาะผ่านมา และสำรวจดูรอบด้านอย่างระมัดระวัง


เห็นได้ชัดว่าพื้นที่ป่าดงดิบนั้นกว้างมาก ต้องเรียกว่าป่าดงดิบขนาดใหญ่ถึงจะถูก


อึดใจเดียวเขาก็เหาะมาได้ครึ่งชั่วยามแล้ว แต่ตลอดทางที่เหาะผ่านมานั้นดูเงียบผิดปกติ นอกจากจะพบเห็นแมลงขนาดเล็กที่ไม่ทราบชื่อจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่เห็นสัตว์อื่นใดปรากฏออกมาเลย


หลิ่วหมิงเริ่มคิดพิจารณาแล้วว่าจะมุ่งหน้าต่อไปดีหรือไม่


ตามที่เขาคำนวณในใจ ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากตำแหน่งที่คนอื่นเข้าไปในป่าดงดิบค่อนข้างไกลแล้ว เพียงแค่ระวังให้มากหน่อยในระยะเวลาอันสั้นนี้คงจะไม่พบเจอกับศิษย์นิกายอื่นๆ


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้นพลันได้ยินเสียงดังขึ้น ตอนแรกดูเหมือนจะเบาๆ แต่ครู่เดียวก็ดังสะเทือนเลือนลั่นขึ้นมา


เขามองไปยังทุ่งหญ้าด้วยความตกใจ บนเส้นขอบฟ้าที่จรดกับทุ่งหญ้าสีเขียวนั้น มีกำแพงวายุสีแดงที่มองไม่เห็นขอบสิ้นสุด ซึ่งไม่รู้ว่ามันปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และมันกำลังพุ่งมายังป่าดงดิบด้วยเสียงอันดัง


สีหมิงสีหน้าหนักอึ้งในทันที เขาหมุนตัวเหาะไปยังป่าดงดิบอย่างไม่ลังเล


ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่ากำแพงวายุสีแดงนี้คืออะไร แต่คิดว่ามันคงไม่ใช่สิ่งที่ดีอย่างแน่นอน และก็ไม่รู้ว่าศิษย์ที่เข้าไปในทุ่งหญ้าจะมีใครโชคร้ายโดนม้วนตัวเข้าไปในนั้นหรือเปล่า


หากเป็นเช่นนี้จริงล่ะก็ คงได้แต่ขอให้พวกเขาโชคดีเท่านั้น


สถานที่ทุกแห่งของป่าดงดิบเต็มไปด้วยต้นไม้โบราณที่สูงยี่สิบถึงสามสิบจั้ง!


พอหลิ่วหมิงเจ้าไปในป่าดงดิบ ก็รีบเก็บวิชาทะยานฟ้า แล้วเปลี่ยนเป็นวิชาตัวเบาแทน จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปตามช่องว่างระหว่างต้นไม้แต่ละต้น


ผ่านไปไม่นานเขาก็เข้าไปในป่าดงดิบได้ไกลหลายลี้ จากนั้นจึงได้ชะลอความเร็วเพื่อสำรวจดูรอบด้าน


ไม่รู้ว่ากี่ปีแล้วที่ไม่มีผู้มาเยือนป่าดงดิบแห่งนี้ ช่องว่างระหว่างต้นไม้แต่ละต้นต่างก็มีเถาวัลย์สีดำที่ไม่ทราบชื่อพันอยู่เต็มไปหมด บนพื้นเต็มไปด้วยใบไม้แห้งที่ทับถมกันจนสูงหลายฉื่อ ใบไม้ส่วนล่างล้วนเน่าเปื่อยกลายเป็นดินเลนหมดแล้ว ขณะที่ส่วนบนกลับยังมีสภาพเป็นเหมือนใบไม้ที่เพิ่งจะร่วงลงมา


และด้านบนของป่าดงดิบทั้งหมดล้วนปกคลุมด้วยใบไม้กิ่งไม้ ใบไม้ ซ้อนกันหลายๆ ชั้น ซึ่งมีแสงแดดเล็ดลอดลงมาได้เพียงเล็กน้อย ทำให้บรรยากาศด้านล่างเปียกชื้นและมืดครึ้มผิดปกติ


หลังจากที่ตาของหลิ่วหมิงเป็นประกาย ก็ถือโอกาสถึงเถาวัลย์แห้งเส้นหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้น หลังจากที่ออกแรงไปสองส่วนไม่คาดคิดว่าจะไม่สามารถดึงมันให้ขาดได้ เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้


เขาสังเกตดูเถาวัลย์เหล่านี้อย่างละเอียดครู่หนึ่ง แล้วถึงได้กำมือออกแรงไปห้าส่วน


เสียงดัง “พลั่ก!”


ครั้งนี้เส้นเถาวัลย์ก็ขาดกระจุยอยู่ในมือเขา


หลิ่วหมิงส่ายศีรษะแล้วก็ลอยไปโดยไม่สนใจเถาวัลย์เหล่านี้อีก


หลังจากที่เดินหน้าต่อไปได้ประมาณชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าว สีหน้าของหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไป เขาลอยลงจากบนต้นไม้ และร่อนลงบนใบไม้แห้งหนาๆ หลังจากที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก็มาปรากฏตัวด้านหน้าต้นไม้แห้งที่เหลืออยู่เพียงครึ่งท่อน


ไม่รู้ว่าทำไมส่วนบนของไม้ต้นนี้ถึงได้อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น เปลือกไม้ส่วนล่างก็เหลืองแห้งจนลีบผิดปกติ ดูเหมือนกับว่ามันไม่มีชีวิตรอดแล้ว


แต่หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจต้นไม้แห้งต้นนี้ สายตาของเขาตกอยู่ที่กลุ่มเห็ดหูหนูสีดำที่ขึ้นหลบแสงแดดอยู่ตรงส่วนล่างของต้นไม้ต้นนี้ มันดูคล้ายไปกับเห็ดหูหนูทั่วไป แต่บริเวณขอบของมันกลับมีอักขระสีทองเปล่งประกายอยู่ และยังส่งกลิ่นหอมจรุงใจยั่วยวนคนเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงเอามือคลำตรงหน้าอกแล้วหยิบคัมภีร์สีเงินหนาๆ เล่มหนึ่งออกมา บนนั้นมีอักษรสีคำเขียนว่าไว้ ‘คัมภีร์รวมวัตถุจิตวิญญาณ’ เขาพลิกดูอย่างรวดเร็ว


ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง ประมุขนิกายปีศาจได้มอบคัมภีร์เล่มนี้ให้กับศิษย์แกนนำทั้งสิบโดยเฉพาะ เพื่อป้องกันพวกเขาพลาดทรัพยากรล้ำค่าอะไรไป


โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์เหล่านี้ต่างก็ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญการเก็บสมุนไพรโดยเฉพาะ ถึงแม้จะรู้จักวัตถุจิตวิญญาณบ้าง แต่ก็ล้วนเป็นแค่สิ่งของธรรมดาเท่านั้น และไม่เคยได้สัมผัสกับวัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินตามตำนานทั้งหมดอย่างแน่นอน


มีคัมภีร์เล่มนี้แล้ว พวกเขาแค่อ่านผ่านๆ ก่อนหนึ่งรอบก็พอจะเข้าใจคร่าวๆ จากนั้นเมื่อค้นพบสิ่งของที่ดูคล้ายกันก็หยิบมันออกมาดูคำอธิบายตามรูปภาพก็สามารถแยกแยะได้แล้ว


คัมภีร์รวมวัตถุจิตวิญญาณเล่มนี้ไม่เพียงแต่บันทึกพืชหญ้าสมุนไพรเท่านั้น แต่ยังบันทึกเกี่ยวกับทรัพยากรล้ำค่ากับวัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินที่ไม่สามารถจัดหมวดหมู่ได้


ทันทีที่นิ้วเขาหยุดชะงัก หน้าคัมภีร์ก็หยุดค้างไว้


“ที่แท้ก็เป็นเห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำ ของสิ่งนี้สามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการปรุงโอสถจิตวิญญาณคุณภาพสูง ในโลกภายนอกนั้นมีอยู่น้อยมาก คาดว่าเห็ดกลุ่มเล็กๆ นี้มีราคาเกือบหนึ่งพันหินจิตวิญญาณเลยทีเดียว” หลิ่วหมิงดูรูปในคัมภีร์ และมองไปยังวัตถุจิตวิญญาณบนตอไม้แห้งแล้วก็กล่าวพึมพำด้วยความดีใจอย่างอดไม่ได้


จากนั้นเขาก็หยิบกล่องไม้เล็กๆ ออกมาจากตัว มืออีกข้างก็พลิกตัวหยิบกระบี่สั้นสีเขียวออกมา


เขาค่อยๆ สะบัดข้อมือเล็กน้อย หลังจากที่ลำแสงสีเขียวกระพริบผ่านไป เห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำทั้งหมดก็ถูกตัดออกมาพร้อมกันและหล่นลงในกล่องไม้ที่ตนเองเตรียมไว้พอดี


หลิ่วหมิงนำผ้าย่อส่วนคลุมกล่องไม้ไว้ หลังจากที่มันถูกย่อส่วนจนมีขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียวแล้วก็ห่อมันไว้ในนั้น และนำไปเก็บไว้ตรงหน้าอก จากนั้นก็ค้นหาบริเวณนั้นอีกรอบ


หนึ่งชั่วยามผ่านไป เขาก็หาเห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำจากต้นไม้แห้งสองต้นที่อยู่บริเวณนั้นได้อีกสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีขนาดพอๆ กับที่พบในก่อนหน้า ส่วนอีกกลุ่มกลับมีขนาดใหญ่กว่าสามถึงสี่เท่า


เท่ากับว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้เขาได้ทรัพยากรที่มีมูลค่าห้าถึงหกพันเหรียญจิตวิญญาณแล้ว


สิ่งนี้ย่อมทำให้หลิ่วหมิงค่อนข้างพอใจเป็นอย่างมาก


ถึงแม้เขาจะรู้ว่าถ้าค้นหาต่อไปก็จะยังหามันได้เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ แต่เขาก็ระงับอาการดีใจไว้ แล้วก็ไปออกไปจากสถานที่แห่งนี้


ถึงแม้เห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำนี้จะมีมูลค่าไม่น้อย แต่ก็ไม่คุ้มค่าที่จะเสียเวลาไปกับมัน


เขามีเวลาอยู่ในแดนลึกลับนี้จำกัด ดังนั้นควรจะไปหาของล้ำค่าที่แท้จริงของแดนลึกลับแห่งนี้จะดีกว่า


หลิ่วหมิงเดินไปตามทิศทางบางแห่งในป้าดงดิบไปเรื่อยๆ ถ้าระหว่างทางพบเจอกับพืชสมุนไพรจิตวิญญาณก็รีบค้นหาอีกรอบ พอพื้นที่บริเวณนั้นไม่มีของล้ำค่าใดแล้วก็รีบเดินทางอีกครั้ง


ผ่านไปไม่นาน ผ้าย่อส่วนของเขาก็มีพืชจิตวิญญาณที่แตกต่างกันเจ็ดถึงแปดชนิด ในนั้นมีทั้งพืชที่มีราคาไม่เท่าเห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำ และราคามากกว่าเห็ดหูหนูจิตวิญญาณทองคำเท่าตัว นับว่าเขาเก็บเกี่ยวได้ไม่เลว


ทันใดนั้น หลิ่วหมิงก็หยุดชะงักลงบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งด้วยความตกใจ เขามองออกไปยังต้นไม้ใหญ่อีกต้นที่อยู่ไม่ไกล


บนปลายกิ่งไม้ขนาดเท่าแขนนั้น มีศพของสัตว์ขนอ่อนสีเทาเล็กๆ เสียบอยู่ ร่างเกือบครึ่งหนึ่งของมันได้อันตรธานหายไปแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่กลับมีหยดโลหิตสดๆ ไหลออกมา


ขณะเดียวกันกลิ่นคาวเลือดก็คละคลุ้งไปทั่วพื้นที่บริเวณแถบนี้ สัตว์ตัวนี้ดูเหมือนเพิ่งจะตายไปได้ไม่นาน


ถึงแม้หลิ่วหมิงจะรู้แต่แรกแล้วว่าแดนลึกลับธรรมชาติที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ จะต้องมีสัตว์อาศัยอยู่ แต่เมื่อเห็นสภาพการณ์ในตอนนี้แล้วเขาก็รู้สึกใจเสียขึ้นมาในทันที


……………………………………


ตอนที่ 114 ทานตะวันวารีลี้ลับกับพุ่มหนามโลหิต

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขากวาดสายตามองไปบริเวณรอบๆ หลังจากที่ไม่พบความผิดปกติใดๆ ก็ขยับตัวลอยเข้าไป


พอเข้าไปใกล้หลิ่วหมิงถึงค้นพบว่าเจ้าสัตว์ขนอ่อนนุ่มตัวเล็กๆ นี้คือกระต่ายสีเทาที่มีขนาดใหญ่จนน่าตกใจ มันมีขนาดใหญ่กว่ากระต่ายบนโลกภายนอกถึงสองเท่า เมื่อดูจากเขี้ยวอันแหลมคมสองอันที่โผล่พ้นออกมาจากปากแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้กินพืชเท่านั้น


หลิ่วหมิวมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มตัวลงแล้วใช้ฝ่ามือกดลงบนหัวของกระต่ายยักษ์ ขณะเดียวกันไอร้อนจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกจากนิ้วมือทั้งห้าอย่างรวดเร็ว


ครู่ต่อมา สีหน้าของหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ดูหนักอึ้งขึ้นมา


ภายในศพกระต่ายยักษ์มีพลังเวทย์สั่นไหวอยู่ มันไม่ใช่กระต่ายธรรมดาแต่เป็นปีศาจอสูรระดับต่ำ


ขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “ซู่!” สิ่งของเรียวเล็กสีดำพุ่งออกมาจากต้นไม้ใหญ่อย่างรวดเร็ว มันแค่เคลื่อนไหวเล็กน้อยก็พุ่งมาใกล้คอหลิ่วหมิง และคิดที่จะเจาะทะลุเข้าไป


หลิ่วหมิงที่เดิมทีก้มลง และไม่ขยับเขยื้อนกลับขยับแขนในฉับพลัน แล้วคว้าเอาสิ่งของสีแดงดำไว้แน่น จากนั้นก็คำรามเสียงต่ำแล้วออกแรงดึงอย่างรุนแรง


เสียงดัง “พลั่ก!”


แผ่นเปลือกไม้สีเหลืองเขียวขนาดใหญ่ที่ติดอยู่กับลำต้นถูกดึงลงมาในทันที แต่มีบางสิ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วจนดูลางเลือน และมันได้กลายเป็นปีศาจอสูรที่ดูคล้ายตุ๊กแกยักษ์ มันแยกเขียวยิงฟันกระโจนเข้ามาหาหลิ่วหมิง


สิ่งของเรียวเล็กสีดำเส้นนั้นแท่จริงแล้วมันคือลิ้นยาวๆ ของปีศาจอสูรตัวนี้


เสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”


คมวายุสองเส้นพุ่งออกจากมือ หลังจากที่แสงสีเขียวกะพริบผ่านไปมันก็ฟันปีศาจอสูรที่ปรากฏตัวขึ้นมาใหม่จนขาดออกเป็นสามส่วน ร่างของมันร่วงตกลงไปบนพื้นโลหิตสดๆ ไหลออกมาจากร่าง


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงปล่อยลิ้นมันไป แล้วลอยจากต้นไม้ลงไปยังด้านข้างศพของปีศาจอสูร แล้วสังเกตดูมันอย่างละเอียด


ปีศาจอสูรที่ยาวไม่ถึงครึ่งจั้งตนนี้ ร่างของมันแบนราบผิดปกติ เมื่อมันตายแล้วผิวภายนอกสีเขียวเหลืองของมันก็กลายเป็นผิวหนังสีขาวน้ำนมดูเกลี้ยงเกลาเป็นพิเศษ กรงเล็บบนมือเท้าทั้งสี่คดเคี้ยวเล็กน้อย ดูๆ แล้วเหมือนกับว่าแหลมคมเป็นพิเศษ


“ไม่คิดว่ามันจะเป็นอสูรกิ้งก่าเปลี่ยนสี มิน่าล่ะถึงไม่สามารถรับรู้ถึงการปรากฏตัวของมันในระยะอันใกล้เช่นนี้” หลังจากที่หลิ่วหมิงเห็นอสูรตนนี้ชัดเจนแล้วก็กล่าวกับตนเองด้วยความดีใจ


ถึงแม้กิ้งก่าเปลี่ยนสีจะไม่ใช่อสูรระดับสูง แต่หนังของมันเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับโลกภายนอกเป็นอย่างมาก เป็นวัสดุหลักสำหรับทำเกราะจิตวิญญาณ เสื้อผ้าจิตวิญญาณ!


หลังจากที่หลิ่วหมิงกระตุกแขนเสื้อ ดาบสั้นสีเขียวอ่อนก็ปรากฏขึ้นในมือ…


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป บนพื้นก็เหลือแค่ชิ้นเนื้อสามก้อนที่ถูกลอกหนังออกจนหมดสิ้น


หลิ่วหมิงนำหนังอสูรสีขาวน้ำนมสามชิ้นที่ลอกออกมาเก็บไว้ แล้วก็ออกเดินทางต่อโดยไม่หยุดพัก


สองวันผ่านไป


หลิ่วหมิงยืนนิ่งอยู่บนกิ่งไม้บนต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่ง บนต้นไม้บริเวณรอบๆ ที่เขายืนอยู่มีปีศาจอสูรหลายตัวรูปร่างยาวเกือบจั้งที่ดูคล้ายเสือดาวกำลังล้อมเขาไว้


ขนของปีศาจอสูรเหล่านี้ต่างก็มีลายสีแดงเข้ม แสงสีเขียวในดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย พอปีศาจอสูรหนึ่งในนั้นคำรามเสียงต่ำออกมา ปีศาจอสูรทั้งหมดก็อ้าปากกว้างพ่นลูกไฟยักษ์ขนาดเท่ากำปั้นออกมาทันที จากนั้นมันก็เคลื่อนไหวกลายเป็นเงาร่างกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง


เสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!”


หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย โซ่สีดำเส้นหนึ่งพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เขาแค่สะบัดมันเพียงเล็กน้อยลูกเปลวไฟเหล่านั้นก็โดดหวดจนดับไป จากนั้นแขนอีกข้างก็ดีดนิ้วออก ลำแสงสีเขียวพุ่งออกไปจากในนั้น มันแค่กะพริบผ่านไปรอบด้านก็สามารถเจาะทะลุหัวของปีศาจเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ


ปีศาจอสูรหลายตนนี้ตกลงจากกลางอากาศและไร้ซึ่งลมหายใจในทันที โดยไม่ทันได้ส่งเสียงร้องใดๆ ออกมาเลย


หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจปีศาจอสูรหลายตนนั้นเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่เขาขยับตัวก็ลอยผ่านศพของของพวกมันไป


ปีศาอสูรเหล่านี้เป็นแค่เสือดาวเพลิงที่พบเจอได้บ่อยในโลกภายนอก เขาย่อมไม่อยากเสียเวลากับมัน


ห้าวันต่อมา


พื้นที่ซ่อนเร้นแห่งหนึ่งของป่าดงดิบ หลิ่วหมิงถือก้านไม้ดอกที่สูงเท่าครึ่งตัวของมนุษย์ เขากำลังกลายร่างเป็นเงาสีเขียวกระโดดลอยตัวไปมาระหว่างต้นไม้ด้วยความรวดเร็วอยู่ไม่หยุด ต่างจากท่าทีที่สุขุมเยือกเย็นในหลายวันก่อน


ไม่ไกลจากด้านหลังของเขามีเสียงดังหวึ่งๆ ก้อนเมฆดำขนาดใหญ่กำลังไล่ตามติดเขาอย่างไม่ลดละ


ทันใดนั้นเขาก็ยื่นแขนข้างหนึ่งไปทางด้านหลัง ลูกเปลวไฟสีแดงลูกหนึ่งพุ่งออกไปใส่เมฆดำจนระเบิดออกมา


หลังจากที่คลื่นความร้อนม้วนตัวผ่านไปอย่างรวดเร็ว จุดสีดำจำนวนมากได้ร่วงลงมาจากเมฆดำ มันคือตัวต่อสีดำที่ดุร้าย แต่ละตัวมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ และมีลายสีเงินจางๆ ตลอดทั้งตัว ตรงท้ายของมันมีเหล็กในพิษสีดำขนาดยาวชุ่นกว่าๆ


ถึงแม้มันจะโดนลูกไฟขัดขวางไปชั่วพักหนึ่ง แต่ตัวต่อสีดำที่หล่นลงมานั้นยังไม่ได้หล่นลงไปบนพื้นจริงๆ พวกมันรีบกางปีกบินขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับอานุภาพอันรุนแรงของลูกไฟเมื่อครู่นี้ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้มากนัก


หลังจากที่เมฆดำหยุดชะงักไปเพียงชั่วครู่ แล้วมันก็เริ่มไล่ประชิดหลิ่วหมิงอีกครั้ง


ครึ่งชั่วยามผ่านไป ร่างของหลิ่วหมิงก็ถูกปกคลุมด้วยไอสีดำ เขาเข้าไปหลบในบึงน้ำที่มีขนาดกว้างไม่ถึงหมู่กว่าๆ และหลบอยู่ใต้น้ำที่ลึกลงไปสองสามจั้ง


ฝูงตัวต่อบินหวึ่งๆ อยู่บนพื้นผิวน้ำอยู่สักพัก ถึงได้จำใจบินจากไปอย่างเลี่ยงไม่ได้


หลังจากผ่านไปสักพัก หลิ่วหมิงถึงผุดขึ้นจากน้ำพร้อมกับถอนหายใจยาวออกมา หลังจากที่เก็บไอดำบนร่างแล้ว เสื้อผ้าบนตัวก็กลับมาสะอาดดังเดิม ราวกับว่ามันไม่เคยได้สัมผัสกับน้ำแม้แต่หยดเดียว


แต่หลังจากที่หลิ่วหมิงมองดูทิศทางที่ฝูงตัวต่อบินไปนั้นแล้ว สีหน้าก็ยังคงมีแววของความหวาดกลัวอยู่


ตัวต่อเงินฝูงนี้โหดร้ายกว่าในตำนานมาก ไม่เพียงแต่จะบินเร็วเท่านั้น แต่ยังต้านทานวิชาต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาค้นพบบึงแห่งนี้ก่อน และยังใช้เวลาไม่น้อยในการหลบซ่อนอยู่ในบึงพร้อมกับจัดการพวกปลาประหลาดไปด้วย เกรงว่าคงจะต้องใช้อาวุธจิตวิญญาณทั้งสองชิ้นมาต่อสู้กับปีศาจฝูงนี้แล้ว


แต่ด้วยจำนวนตัวต่อเงินที่มีมากถึงขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะสามารถจัดการมันได้หมด แต่ก็เกรงว่าคงจะต้องเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อย


สถานที่มีอันตรายรอบด้านแห่งนี้ วิธีการเช่นนี้ล้วนเสี่ยงกับอันตรายเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฟื้นฟูพลังเวทย์เลย


หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ และก้มหน้าดูก้านดอกสีเงินในมือ แล้วก็ยิ้มขึ้นมาด้วยความดีใจ


ก้านดอกมีจุดสีเงินกระจายอยู่ทั่ว ตรงปลายด้านบนของมันมีดอกทานตะวันสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือติดอยู่ ใจกลางของดอกมีเมล็ดสีเงินสิบกว่าเมล็ดอยู่เต็มไปหมด แต่ละเมล็ดดูอิ่มเอิบเป็นพิเศษ ทั้งยังส่งกลิ่นไอปราณบริสุทธิ์ออกมา


“ทานตะวันวารีลี้ลับ ไม่คาดคิดว่าจะสามารถหาวัตถุฟ้าดินที่แท้จริงได้จากสถานที่แห่งนี้ ของสิ่งนี้แค่เพียงชิ้นเดียวก็เพียงพอที่จะแลกกับอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำในโลกภายนอกได้หนึ่งชิ้น ดูท่าแดนลึกลับแห่งนี้มีวัตถุจิตวิญญาณมากกว่าที่คาดคิดไว้มาก” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำไม่กี่ประโยคแล้วก็เดินทางต่อด้วยความตื่นเต้น


……


สถานที่อีกแห่งหนึ่งของป่าดงดิบ พื้นที่กว้างโล่งที่มีพุ่มไม้หนามเตี้ยๆ แห่งหนึ่ง ศิษย์หอสายธารโลหิตผู้หนึ่งกำลังเข้าไปยังใจกลางพุ่มไม้เตี้ยอย่างระมัดระวัง


ท่ามกลางกิ่งหนามยาวอันแหลมคม มีหญ้าจิตวิญญาณสีแดงราวกับเลือดต้นหนึ่งขึ้นอยู่ตรงนั้น


ศิษย์หอสายธารโลหิตผู้นี้ถือดาบยาวสีเลือดอยู่ในมือ และฟาดฟันกิ่งหนามที่ขวางทางอยู่ไม่หยุด ยิ่งเข้าใกล้หญ้าจิตวิญญาณนี้ สีหน้าเขาก็ยิ่งดูร้อนรนมากขึ้น


จนเมื่อเขาเข้าใกล้จนแค่เอื้อมมือก็สามารถดึงมาได้นั้น ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในฉับพลัน!


กิ่งหนามรอบด้านที่ราวกับไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ กลับเปล่งประกายแสงสีเลือดขึ้นมาในฉับพลัน แล้วมันก็รัดพันศิษย์หอสายธารโลหิตอย่างบ้าคลั่งราวกับมีชีวิตขึ้นมา


ศิษย์หอสายธารโลหิตผู้นี้ถูกเลือกให้เข้าร่วมทดสอบความเป็นความตายได้ ย่อมไม่ใช่ศิษย์ธรรมดา ถึงแม้จะตกใจเป็นอย่างมากที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ แต่ก็ทำท่ามือขึ้นมาในทันที ครู่เดียวก็ปรากฏม่านแสงสีเลือดออกมา ขณะเดียวกันก็ตวัดดาบสีเลือดในมือจนกลายเป็นเงาดาบจำนวนมากฟันเข้าใส่กิ่งหนามเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง


พอเงาดาบเหล่านี้ปะทะกับกิ่งหนามสีเลือดรอบด้านก็บังเกิดเสียงดังขึ้นมา ราวกับเป็นการฟาดฟันที่รุนแรงเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่ามันจะฟันไปได้แค่สามสี่กิ่งเท่านั้น


ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังทำให้มือของศิษย์หอสายธารโลหิตผู้นี้ รู้สึกร้อนขึ้นมาจนดาบเกือบจะกระเด็นหลุดจากมือไป


จากนั้นกิ่งหนามก็ถือโอกาสรัดพันอย่างบ้าคลั่ง แล้วห่อหุ้มศิษย์สายธารโลหิตไว้ในนั้น แต่กิ่งหนามทั้งหมดถูกชั้นของม่านแสงสีเลือดต้านทานไว้ได้ และมันไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลยแม้แต่น้อย


ตอนแรกศิษย์หอสายธารโลหิตรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่ก็ระงับอาการได้ในทันที เขารีบทำท่ามือด้วยมือเดียว ประกายไฟข้างตัวก็ประกายออกมา และกำลังจะแสงวิชาธาตุไฟที่มีอานุภาพรุนแรงบางอย่างเพื่อโจมตีกิ่งหนามรอบด้าน


แต่ช่วงที่ประกายไฟปรากฏออกมานั้น กิ่งหนามรอบด้านสั่นไหวขึ้นมาในทันที หนามแหลมจำนวนมากพุ่งออกมาติดต่อกันอย่างรุนแรง พร้อมด้วยเสียงอันดังจนแสบแก้วหู มันดูราวกับลูกธนูที่พุ่งออกมาอย่างดุเดือด


“อ๊ากกก!”


ศิษย์หอสายธารโลหิตเห็นเช่นนี้ก็ตกใจจนร้องออกมา และคิดที่จะเปลี่ยนไปใช้วิธีป้องกันอย่างอื่นก็ไม่ทันแล้ว


ม่านแสงสีเลือดบนตัวเขาต่อต้านได้เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น จากนั้นมันสลายไป


หลังจากมีเสียงแผดร้องแหลมอย่างเวทนา ศิษย์หอสายธารโลหิตผู้นี้ก็ถูกแทงทะลุไปหลายร้อยหลายพันแผล


ขณะเดียวกันหลังจากที่ไม่มีม่านแสงต้านทานไว้ กิ่งหนามก็รัดตรึงตัวเขาไว้แน่นแล้วฉีกร่างเขาจนแตกกระจุย โลหิตและเศษเนื้อจำนวนนับไม่ถ้วนไหลออกมาตามช่องว่างที่บีบรัดของกิ่งหนาม


พอเลือดเนื้อเหล่านี้ตกลงบนพื้นด้านล่าง ก็มีเส้นหนวดสีขาวจำนวนมากผุดออกมาจากพื้นดิน และแทงเข้าไปในคราบเลือดเหล่านั้นพร้อมกับดูดมันเข้าไปราวกับสิ่งมีชีวิต


ครู่เดียวเลือดเนื้อเหล่านั้นก็หายไปกับตาอย่างรวดเร็ว กิ่งหนามที่ห่อหุ้มอยู่ก็ค่อยๆ คลายออกมา แล้วทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติ


ถ้าไม่ใช่เพราะว่ายังมีดาบยาวสีเลือดกับเสื้อผ้าที่ขาดกระจุยอยู่บนพื้น เกรงว่าคงไม่มีใครเห็นถึงความผิดปกตินี้


สิ่งของของผู้ตายเหล่านี้ค่อยๆ จมหายไปในพื้นดินอย่างไร้ร่องรอยภายใต้การสั่นไหวของพื้นดินบริเวณนั้น


และในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงของชายแปลกหน้าดังขึ้นมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ตรงขอบพื้นที่ว่างเปล่า


“จุ๊ๆ! ปีศาจต้นไม้อันดุร้าย แต่ในเมื่อเจ้าได้เปิดเผยการเคลื่อนไหวออกมาแล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายที่ข้าจะจัดการกับเจ้า”


เมื่อเสียงสิ้นสุด เงาร่างหลังต้นไม้ใหญ่ก็เคลื่อนไหว ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดนิกายวาตอัคคีเดินออกมาจากในนั้น ตรงเอวของเขามีพัดใบลานสีแดงเสียบอยู่ด้ามหนึ่ง ทันทีที่มองออกไปมันดูคล้ายๆ กับพัดในมือของหลวงจีนชื่อหยางคนนั้นไม่มีผิด


……………………………………….


ตอนที่ 115 หุบเหว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชายหนุ่มผู้นี้ตาโตคิ้วแดง พอเขาปรากฏตัวออกมาอักขระสีแดงจำนวนมากก็ปรากฏออกมาบนผิวหนังเขา ดูเหมือนอุณหภูมิบริเวณรอบๆ นั้นก็สูงขึ้นมาด้วยเล็กน้อย


ชายหนุ่มหยิบหยิบยันต์สีฟ้าอ่อนผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออย่างไม่รีบร้อน พอเขาสะบัดข้อมือยันต์ผืนนั้นก็หายไปในทันที


ครู่ต่อมา อากาศเหนือใจกลางพุ่มไม้หนามก็สั่นไหวขึ้นมา อักขระสีฟ้าอ่อนที่ไม่ทราบชื่อตัวหนึ่งได้ปรากฏออกมาบนนั้น จากนั้นก็บังเกิดเสียงดัง “ฟู่!” อักขระแตกกระจายออกมากลายเป็นม่านแสงสีฟ้าปกคลุมหญ้าโลหิตไว้


จากนั้นชายหนุ่มก็หยิบพัดใบลานที่เสียบอยู่ตรงเองออกมาอย่างไม่รีบร้อน พร้อมกับร่ายคาถาออกมา


หลังเกิดเสียงดัง “หวึ่งๆ!” พัดใบลานก็เปล่งประกายแสงออกมา ขณะเดียวกันอักขระสีแดงแต่ละตัวก็ลอยออกมาจากในนั้น และลอยวนพัดใบลานอยู่ไม่หยุด


ผ่านไปสักพัก พัดทั้งด้ามก็แผ่อุณหภูมิความร้อนสูงที่ทำให้รู้สึกหายใจอึดอัดออกมา


แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอุณหภูมิของพัดในมือ แต่กลับโบกพัดใส่กิ่งหนามเบาๆ


เสียงดัง “ฟู่!”


เปลวเพลิงม้วนตัวออกจากพัดใบลานไป และกลายเป็นทะเลเพลิงห่อหุ้มพื้นที่บริเวณนั้นไว้


ชั่วพริบตานั้นเอง กิ่งหนามทั้งหมดก็โบกสะบัดไปมาท่ามกลางเปลวเพลิงอย่างบ้าคลั่ง แต่เปลวไฟอันคุโชนเช่นนี้ทำให้มันกลายเป็นขี้เถ้าภายในเวลาไม่กี่อึดใจ


ท่ามกลางทะเลเพลิงมีแค่หญ้าโลหิตที่ถูกม่านแสงสีฟ้าปกคลุมไว้เท่านั้นที่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ


เมื่อทะเลเพลิงดับมอดไปจนหมดสิ้นแล้ว ชายหนุ่มก็ค่อยๆ เดินเหยียบพื้นไหม้ๆ สีดำเข้าไปยังม่านแสงสีฟ้าที่ปกคลุมอยู่


……


ในขณะเดียวกันในพื้นที่อีกส่วนหนึ่งของป่า ศิษย์หญิงสาวใบหน้างดงามที่เป็นศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ผู้หนึ่ง กำลังกระตุ้นพลังเวทย์เข้าใส่กระบี่ยาวแวววาวเพื่อต่อสู้กับอสรพิษยักษ์สีแดงดำที่มีขนาดยาวเจ็ดถึงแปดจั้ง


ทันทีที่นางแผดเสียงยาวออกมา กระบี่ยาวในมือก็เคลื่อนไหวกลายเป็นวงล้อสีเงิน


หลังจากที่ร่างของนางได้เคลื่อนไหวต่อสู้กับอสรพิษแล้ว หัวอสรพิษขนาดใหญ่ก็ถูกตัดขาดลงมาท่ามกลางแสงสีเลือด


ตอนนี้ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ถึงได้ม้วนตัวตีลังกาลงบนกิ่งไม้อย่างมั่นคง นางจ้องดูร่างอสรพิษยักษ์ที่กระตุกอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง แล้วก็นำกระบี่ยาวเก็บเข้าฝักที่สะพายไว้อยู่ด้านหลังด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก จากนั้นก็หมุนตัวล่องลอยจากไป


……


บริเวณทุ่งหญ้าที่อยู่ลึกเข้าไป ศิษย์นิกายเอกะชายหญิงสองคนที่มีใบหน้าคล้ายๆ กันกำลังจับมือกันค่อยๆ เดินไปในท่ามกลางฝูงหมาป่าขนาดใหญ่


ฝูงหมาป่าราวๆ พันตัว แต่ละตัวมีขนาดเท่าลูกวัว คมเขี้ยวของโผล่ออกมาจากปาก แต่พวกมันกลับเมินเฉยต่อชายหญิงทั้งคู่ที่เดินผ่านพวกเขาไป ราวกับพวกเขาไม่ได้อยู่ในสถานที่แห่งนั้น


ครู่ต่อมา ศิษย์ชายหญิงนิกายเอกะทั้งสองก็เดินผ่านฝูงหมาป่าไปไกลมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นจุดสีดำสองจุดแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


……


พื้นที่ใต้ดินลึกที่อยู่ห่างจากทุ่งหญ้าไปไม่ไกล มีถ้ำที่มีผลึกหินจิตวิญญาณส่องแสงสว่างอยู่ไปทั่วพื้นผนัง หุ่นพยัคฆ์สองตัวที่ชำรุดเสียหายกองอยู่บนพื้น และอสูรดุร้ายที่ดูคล้ายหนอนดูดเลือดก็ถูกฉีกขาดจนแหลกละเอียดอยู่บนพื้นเช่นเดียวกัน และยังมีศพที่เหมือนจะถูกย่อส่วนให้มีขนาดเล็กกว่าคนสองเท่าแห้งเปื่อยอยู่ด้วย


ศพนี้สวมชุดคลุมสีฟ้าธรรมดา บนหน้าผากมีรูขนาดเท่ากำปั้นหนึ่งรู แต่ไม่มีเลือดไหลออกมาจากในนั้น


……


เจ็ดวันผ่านไป หลิ่วหมิงยืนอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งตรงชายป่า เขาเขม้นตามองออกไปไกลๆ


พื้นที่ของป่าแห่งนี้กว้างกว่าที่เขาคิดไว้มาก หลังจากเดินทางยากลำบากมาหลายวัน ในที่สุดก็สามารถเดินออกมาได้ แต่พอเห็นเห็นทิวทัศน์แปลกประหลาดที่ไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นอย่างชัดเจนแล้ว เขาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


หุบเหวที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างสองฝั่ง


ฝั่งหนึ่งมีแสงแดดแผดเผา อีกฝั่งเป็นธารน้ำแข็งที่เต็มไปด้วยพายุหิมะที่ตกเต็มท้องฟ้า


ถึงแม้หลิ่วหมิงจะมีท่าทีที่สงบ แต่พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกสะดุ้งขึ้นมา


เขาเบิ่งตามองจากที่ไกลๆ กลับค้นพบว่าโลกทางด้านที่มีหิมะนั้น ถึงแม้จะมองเห็นได้ไม่ชัดเจนเพราะมีพายุหิมะที่พัดกระหน่ำ แต่ยังคงมองเห็นยอดเขายักษ์สูงเสียดฟ้าที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพายุหิมะนั้น


หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดก็ตามที่มียอดเขา ที่นั่นก็จะมีพลังปราณที่เข้มข้น และก็เป็นสถานที่ที่วัตถุจิตวิญญาณฟ้าดินสามารถเติบโตได้ง่าย


ยอดเขาที่ซ่อนอยู่หลังพายุมีขนาดใหญ่เช่นนี้ มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่มันจะเป็นศูนย์กลางของแดนลึกลับ ขอเพียงแค่เข้าไปในเขานี้ได้ก็ไม่จำเป็นต้องไปค้นหาทรัพยากรจากสถานที่อื่นๆ แล้ว


อีกอย่างแดนลึกลับกว้างใหญ่เช่นนี้ ทั้งยังมีเวลาค้นหาที่จำกัด ต่อให้เขาอยากจะไปค้นหาที่อื่นๆ ก็ใช่ว่าจะมีโอกาสมากนัก


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ เมื่อสอดส่องสายตามองดูซ้ายขวาไม่พบร่องรอยของคนอื่นๆ แล้ว เขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวเรียกเมฆเทาออกมา และเหาะต่ำๆ ไปยังหุบเหวที่อยู่ไกลๆ


ผ่านไปไม่นาน เขาก็เข้ามาใกล้บริเวณหุบเหวแล้ว ตอนที่เขาถือโอกาสจะเหาะข้ามหุบเหวไปนั้น พลันรู้สึกขนลุกขนพองโดยไม่มีสาเหตุจนสีหน้าเขาเปลี่ยนไปในทันที เขาหยุดชะงัก และพุ่งถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว


เมื่อเขาถอยมาได้ไกลสิบกว่าจั้ง ถึงกลับมาทรงตัวได้อย่างมั่นคงด้วยสีหน้าขาวซีด


ลางสังหรณ์อันรุนแรงนี้เหมือนกับตอนที่เขาอยู่บนเกาะมฤตยู และยังฝึกเคล็ดวิชาไม่สำเร็จ ซึ่งได้เผชิญหน้ากับคนชั่วร้ายคนหนึ่งที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้ และความรู้สึกที่โดนจับจ้องนี้ดูเหมือนจะเหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด


ตอนนั้นถ้าไม่ใช่ว่าท่านอาเฉียนเข้าช่วยไว้ เกรงว่าเขาคงจะถูกคนชั่วร้ายคนนั้นฉีกออกเป็นชิ้นๆ แล้ว


หลิ่วหมิงค่อยๆ ร่อนลงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา ความรู้สึกถึงอันตรายที่อยู่ในใจตอนนี้ค่อยๆ หายไป


ตาของเขาค่อยๆ เปล่งประกายขึ้นมา เขาเดินไปข้างหน้าไม่กี่จั้งด้วยความลังเลเล็กน้อย และกวาดสายตาจ้องมองด้านล่างของหุบเหวที่อยู่ตรงข้ามอยู่ครู่หนึ่ง


หุบเหวกว้างประมาณสามสิบถึงสี่สิบจั้ง ด้านล่างที่ลึกลงไปเจ็ดสิบถึงแปดสิบจั้งล้วนเต็มไปด้วยหมอกหนาสีขาวเทา ทำให้มองเห็นไม่ชัดว่ามีอะไรอยู่ด้านล่าง


สิ่งนี้ทำให้คิ้วหลิ่วหมิงขมวดขึ้นมา แต่หลังจากที่กวาดสายตามองพื้นดินบริเวณนี้แล้วก็ก้มลงหยิบกิ่งไม้แห้งขึ้นมาท่อนหนึ่ง


เขาใช้มือข้างหนึ่งชั่งน้ำหนักของมันเบาๆ หลังจากรับรู้ถึงน้ำหนักของมันแล้วก็สูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งเฮือก แขนของเขาขยายใหญ่ขึ้นมาในทันที และขว้างกิ่งไม้ในมือไปยังหุบเหวตรงข้ามอย่างรุนแรง


เสียงดัง “ฟิ้ว!”


กิ่งไม้แห้งพุ่งออกไปราวกับลูกธนู แต่พอพ้นจากขอบเหวไปสามสี่จั้งก็หยุดชะงักและตกลงไปข้างล่างทันที เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา เขายกก้อนหินขนาดใหญ่เท่าศีรษะที่อยู่บริเวณนั้นขึ้นมาก้อนหนึ่งอย่างไม่ลังเล หลังจากหมุนตัวอย่างรวดเร็วก็ออกแรงที่แขนทั้งสองแล้วโยนออกไปทันที แต่ครั้งนี้ก้อนหินลอยออกไปได้ไกลเจ็ดแปดจั้ง แล้วก็หล่นร่วงลงไปเช่นกัน ราวกับว่ามันมีพลังบางอย่างดึงมันลงไปด้านล่าง


“แรงโน้มถ่วงตามธรรมชาติ!”


ในที่สุดหลิ่วหมิงก็หาสาเหตุได้พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน


ถ้าหากเขามีปฏิกิริยาตอบสนองช้ากว่านี้หน่อยล่ะก็ เกรงว่าคงจะถูกแรงโน้มถ่วงดึงดูดลงไปในหุบเหวลึกเหมือนกับกิ่งไม้แห้งและหินก้อนนั้นแล้ว


ถึงแม้จะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ใต้ไอหมอกเหล่านั้น แต่คิดว่ามันคงไม่ใช่สิ่งที่ดีอย่างแน่นอน


และถึงแม้ผนึกกำจัดที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาเองนี้จะพบเจอได้น้อยมาก แต่มันก็อันตรายกว่าผนึกจำกัดทั่วไปมาก


ศิษย์จิตวิญญาณอย่างเขาไม่สามารถต้านทานแรงโน้มถ่วงนี้และเหาะข้ามไปได้


แต่จะให้เขาละทิ้งการค้นหาบนเขาที่เต็มไปด้วยของล้ำค่าที่อยู่ไม่ไกลก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้


ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงจึงรู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


ดูเหมือนนอกจากจะมีสะพานหินที่ทอดยาวไปทางฝั่งนั้น ถึงจะพอจะมีโอกาสบ้าง


พอหลิ่วหมิงนึกถึงคำว่า ‘สะพานหิน’ ก็ใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้


เขามองดูซ้ายขวาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขี่เมฆเหาะไปตามขอบหุบเหวในทันที


สองชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงมองเห็นกลุ่มเสาหินที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางหุบเหว เขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


เสาหินเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ แต่ยังเรียงกันอยู่อย่างหนาแน่น ระยะห่างระหว่างพวกมันห่างกันมากสุดไม่ถึงสองสามจั้ง ใกล้สุดก็แค่สามถึงสี่ฉื่อเท่านั้น


หลิ่วหมิงหาเส้นทางจากเสาเหล่านี้อยู่รอบหนึ่ง ในที่สุดก็หาเส้นทางที่เหมาะสมได้ เขารีบสะบัดแขนเสื้อออกไปอย่างไม่ลังเลพร้อมกับโซ่สีดำที่ดีดตัวออก หลังจากที่มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วก็พันปลายเสาหินต้นหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปสองจั้งไว้อย่างอย่างแน่นหนา


หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนพื้นอย่างรุนแรง ร่างของเขาก็พุ่งเข้าไปยังเสาหินต้นนั้น


เสียงดัง “ฟุ่บ!” พอเขาห่างออกมาจากขอบหุบเหวจั้งกว่าๆ ก็รู้สึกถึงความหนักอึ้งของร่างกาย และร่วงลงไปยังด้านล่าง


แต่หลิ่วหมิงออกแรงดึงโซ่สีดำอย่างรวดเร็ว ร่างของเขายังคงเหาะไปยังด้านหน้า แสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา กระบี่สั้นสีเขียวแทงเข้าไปยังพื้นด้านหนึ่งของเสาหิน และทำให้ร่างของเขาแนบติดอยู่ที่นั่น


ตอนนี้เขารู้สึกว่าร่างของเขาหนักจนยากจะหาที่เปรียบได้ การเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าล้วนเชื่องช้าเป็นอย่างมาก ราวกับว่ามีแรงหนักพันชั่งดึงเขาร่างอยู่


ถึงแม้ตอนนี้เขาจะมีร่างที่แข็งแกร่งกว่าศิษย์ทั่วไปมาก แต่ก็ยังคงรู้สึกหมดพลังไปไม่น้อย


แต่ครู่ต่อมา พอเขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เส้นเลือดเขียวก็ปรากฏออกมาบนหน้าผากในทันที แขนขาทั้งสี่ขยายใหญ่ขึ้นพร้อมกัน พลังอีกรูปแบบพุ่งออกมาจากตัว


หลิ่วหมิงดึงกระบี่สั้นสีเขียวออกมา แล้วจับโซ่ดำค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนปลายเสาหิน


เมื่อเขาบังคับร่างให้มั่นคงได้แล้วก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง โซ่ดำคลายตัวออกมาจากเสาหินแล้วพุ่งไปพันเสาหินอีกต้นในทันที


หลิ่วหมิงคำรามเสียงต่ำออกมา แล้วกระโดดไปยังเสาอีกต้น


……


อีกด้านหนึ่ง ของหุบเหวที่ไม่รู้อยู่ห่างไปไกลเท่าไหร่ มีเสาหินขนาดใหญ่ต้นหนึ่งพาดขอบหุบเหวไว้อย่างไม่น่าเชื่อ


เกาชงกำลังกำมือทั้งสองเดินอยู่บนนั้นพร้อมกับไอโลหิตที่พวยพุ่งออกมาทั่วตัว ทุกย่างก้าวของเขาทำให้เสาหินด้านล่างเกิดการสั่นไหว


ถึงแม้ลมหายใจของเขาจะค่อยๆ ถี่ขึ้น แต่ก็ยังคงก้าวไปเดินไปทีละก้าว


……


ตรงขอบหุบเหว ศิษย์หญิงที่สวมชุดนิกายจันทราสวรรค์ผู้หนึ่งกำลังยืนเหยียบเมฆเทาที่ลอยอยู่บนอากาศ


หลังจากที่นางจ้องมองหุบเหวตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ก็กระบัดข้อมือโยนกระต่ายยักษ์สีเทาในมือไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรุนแรง


พอกระต่ายยักษ์ลอยไปไม่กี่จั้ง ก็หล่นลงไปในหุบเหวลึกด้วยความหวาดกลัว


เมื่อนางเห็นเช่นนี้แล้ว หางคิ้วก็กระตุกเล็กน้อย บังเกิดความลังเลบนสีหน้าคล้ายกับนางกำลังคิดวางแผนอะไรอยู่


ครู่ต่อมา ดวงตาของศิษย์หญิงนิกายจันทราสวรรค์ผู้นี้ก็เปล่งประกายขึ้นมา ทันนั้นใดนั้นนางได้ดึงกระบี่หิมะขาวที่สะพายอยู่ด้านหลังออกมาถือไว้ข้างหน้าในแนวขวาง ปราณกระบี่อันน่าตื่นตะลึงได้พุ่งออกมาจากตัวกระบี่ในทันที


……………………………………….


ตอนที่ 116 เถี่ยเยวี่ย

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากที่หญิงนางนี้ส่งเสียงออกมา ปราณกระบี่ที่ทะยานขึ้นฟ้าก็หมุนวนหนึ่งรอบแล้วพุ่งเข้ามาในกระบี่บนมือของนาง จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


ศิษย์นิกายปีศาจสะบัดกระบี่หิมะขาวอย่างรุนแรง หลังจากที่เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนพื้นนางก็กลายเป็นแสงเย็นสะท้านที่ยาวจั้งกว่าๆ พุ่งไปยังฝั่งตรงข้ามด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ


ถ้าหากมีคนเห็นฉากนี้จะต้องตกใจจนต้องร้องออกมาอย่างแน่นอน


สิ่งนี้คือร่างฝึกกระบี่ที่ฝึกจนถึงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณแล้วถึงจะสามารถใช้วิชากระบี่รวมร่างเข้าด้วยกันได้ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ร่างฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์เพียงเล็กน้อยต่อให้ฝึกฝนจนถึงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณก็ยังไม่สามารถแสดงความสามารถเช่นนี้ออกมาได้ ก็เหมือนกับหญิงแซ่อวี๋ที่เสียชีวิตด้วยฝีมือของมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณตนนั้น ถึงแม้ในมือจะถืออาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ระดับการฝึกฝนก็สูงกว่าศิษย์หญิงผู้นี้เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถแสดงความสามารถเช่นนี้ออกมาได้


และวิชานี้เป็นการนำพลังเวทย์ทั้งหมดที่มีถ่ายเทลงไปในกระบี่เพื่อใช้ในการฟาดฟันศัตรูที่แข็งแกร่ง ตอนนี้กลับนำมาใช้เหาะข้ามหุบเหว นับว่าใช้ความสามารถไม่เหมาะกับงานเลย


ถึงแม้แรงโน้มถ่วงในหุบเหวนั้นจะมีพลังที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อแสงกระบี่อันเย็นสะท้านกะพริบผ่านไปก็มีเสียงกระบี่ปะทะกับแรงโน้มถ่วงดัง “เปรี๊ยะๆ!” หลังจากที่ข้ามหุบเหวไปได้แสงเย็นสะท้านก็หายไป ร่างของศิษย์หญิงนิกายจันทราสวรรค์ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง


ใบหน้างดงามของหญิงที่มีลักษณะห้าวหาญนางนี้ค่อยๆ ดูขาวซีดขึ้นมา ประจักษ์ชัดแจ้งว่าเมื่อครู่นางใช้พลังเวทย์ไปไม่น้อย แต่หลังจากที่หันมาดูหุบเหวอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็นำกระบี่ใส่ฝักที่สะพายอยู่ข้างหลังด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินไปยังพื้นที่ที่มีพายุหิมะ


……


บนอากาศอีกด้านหนึ่งของหุบเหว ชายสวมชุดคลุมสีเลือดกำลังค่อยๆ เดินอยู่บนอากาศ ทุกย่างก้าวของเขาจะมีแสงสีเลือดเปล่งประกายขึ้นมาบนร่าง ขณะเดียวกันก็มีดอกบัวสีเลือดแต่ละดอกออกมารองรับเท้าของเขาไว้


ดอกบัวสีเลือดแต่ละดอกค่อยๆ เกิดขึ้น แล้วก็แตกกระจายไป ชายชุดคลุมสีเลือดเดินไปยังฝั่งหุบเหวฝั่งตรงข้ามโดยไม่คิดที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย พอเขาเงยหน้าขึ้นมองก็เผยให้เห็นใบหน้าทระนงองอาจของชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าปี


ดวงตาทั้งคู่จ้องมองยอดเขายักย์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังพายุหิมะด้วยสายตาอันเร่าร้อน


……


เสียงดัง “ฟู่!”


หลิ่วหมิงรู้สึกว่าแรงโน้มถ่วงบนตัวหายไปในฉับพลัน เขารีบดึงโซ่สีดำในมือด้วยความดีใจแล้วก็ดีดตัวกระโดดออกไปราวกับคันธนูในระยะทางหนึ่งจั้งสุดท้าย จนมาปรากฏตัวบนเนินหินสีดำที่ถูกโซ่สีดำรัดไว้จนแน่น


เขาหันหน้ากลับไปดูหุบเหวตรงด้านหลัง ความรู้สึกที่ปวดร้าวไปทั้งตัวทำให้เขาเบะปากหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่นอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็เก็บโซ่ดำและหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับก้าวยาวไปยังด้านหน้า


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เขาก็มาถึงขอบเขตบริเวณรอบพายุหิมะ เขากัดฟันก่อนที่จะเดินเข้าไปในนั้น


แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีพายุหิมะพัดปะทะบนใบหน้าเขา หลิ่วหมิงสะดุ้งขึ้นมาในทันที เขารู้สึกราวกับว่าถูกแช่แข็งไปทั้งตัว


ภายใต้สีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาทำท่ามือด้วยมือเดียวอย่างไม่ลังเล ไอดำพวยพุ่งออกมาจากร่างเขาในทันที และปกคลุมร่างของเขาไว้อย่างแน่นหนา ขณะเดียวกันพลังเวทย์ตรงทะเลจิตวิญญาณก็พรั่งพรูออกมาขับไล่ความเย็นออกไปจนหมด และยังเคลื่อนไหวไปตามเส้นชีพต่างๆ อยู่ไม่หยุด ทำให้ร่างของเขายังคงรักษาอุณหภูมิเอาไว้ได้


หลิ่วหมิงค่อยๆ เดินหน้าต่อไปอย่างช้าๆ


สถานที่แห่งนี้พายุหิมะแรงกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก และท่ามกลางพายุหิมะยังมีลูกเห็บขนาดเท่ากำปั้นปนเปอยู่ด้วยตลอด มันตกใส่ด้านหลังของเขาเสียงดัง “เปาะ!” “แปะ!”


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขากระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำ และใช้วิชาคุ้มกันร่างทั้งหมดไว้ เกรงว่าลำพังแค่ลูกเห็บเหล่านี้ก็ตีหัวเขาจนเลือดตกยางออกได้ อย่าได้คิดที่จะเดินไปต่อได้เลย


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ทุกครั้งที่พายุหิมะพัดเข้ามาก็ยังคงทำให้เขารู้สึกหนาวเย็นไปถึงกระดูก ราวกับว่าโลหิตในร่างเกาะตัวกันจนเป็นน้ำแข็ง


สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือกระตุ้นพลังเวทย์ภายในร่างอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น


แต่ผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้ย่อมทำให้พลังเวทย์ของเขาสูญสิ้นไปอย่างรวดเร็ว


ดีที่ว่าขอบเขตของพายุหิมะนี้ไม่ค่อยกว้างเท่าใดนัก ถึงแม้เขาจะต้องก้าวเดินทีละก้าวโดยไม่สามารถใช้วิชาทะยานเวหาได้ก็ตาม แต่ก็เพียงแค่เดินต่อไปอีกสองสามลี้กว่าๆ ก็สามารถเกินออกมาจากพายุหิมะได้ในทันที


หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวออกมา และหยุดไอสีดำที่ออกจากร่างเขา จากนั้นก็มองไปยังยอดเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า แต่เขาต้องเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


ยอดเขาตรงหน้าแลดูแปลกประหลาดไปหน่อย! ดูจากด้านล่างของยอดเขานอกจากจะมีขนาดใหญ่แล้วอย่างอื่นก็ดูปกติ แต่ด้านบนของยอดเขานั้นแบ่งออกเป็นยอดเขาแหลมเล็กขนาดต่างๆ จำนวนห้าลูก


มองออกไปไกลๆ ดูคล้ายกับฝ่ามือยักษ์ที่ชูขึ้นฟ้า


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น ท่ามกลางพายุหิมะที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง เงาร่างมนุษย์ร่างหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเยือกเย็น


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบถอยหลังไปสองก้าวแล้วมองออกไป


เงาร่างมนุษย์ยักษ์นั้น แท้จริงแล้วมันคือหุ่นวานรยักษ์ที่สูงสามจั้ง มันมีสีดำตลอดทั้งตัวราวกับว่าสร้างมาจากเหล็กบริสุทธิ์


“ศิษย์หุบเขาเก้าช่อง!”


หลิ่วหมิงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย ไม่ว่าอย่างไรก็ตามนิกายปีศาจกับหุบเขาเก้าช่องก็ได้ทำความร่วมมือกันไว้แล้ว


แต่พอเขากวาดสายตามองซ้ายมองขวาแล้วก็เกิดความประหลาดใจและรู้สึกฉงนเล็กน้อย


พื้นที่บริเวณที่หุ่นวานรยักษ์ยืนอยู่นั้นว่างเปล่าไม่มีเงาร่างของบุคคลอื่นเลย


เฮ่อๆ! ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องนิกายปีศาจ ศิษย์น้องอายุยังเยาว์เช่นนี้ก็สามารถมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัยได้นับว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ” ทันใดนั้นก็มีเสียงดังมาจากตัวหุ่นวานรยักษ์


“ท่านคือ…”


แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขาส่งสายตามองไปบนตัวของวานรยักษ์


“อ้อ! ศิษย์น้องเพิ่งจะเคยเห็นหุ่นขนาดใหญ่เช่นนี้ล่ะสิ! ข้าจะออกไปเจอศิษย์น้องสักหน่อยแล้วกัน!”


หลังจากพูดจบก็แสงสีขาวเปล่งประกายขึ้นตรงท้องของวานรยักษ์ จากนั้นก็มีประตูเล็กๆ สูงเท่าครึ่งตัวมนุษย์โผล่ออกมา ชายหนุ่มชุดคลุมสีฟ้าโค้งตัวมุดออกมาจากในนั้น ใบหน้ากลมๆ ยิ้มตาหยีๆ ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกประทับใจ


“ข้าเถี่ยเยวี่ย ทำให้ศิษย์น้องขบขันแล้ว” พอชายหน้ากลมเดินออกมาก็ทักทายหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม


“ที่แท้ก็คือพี่เถี่ย ข้าน้อยไป๋ชงเทียน” หลิ่วตาเป็นประกายแล้วก็ยกมือขึ้นคารวะ


“ไป๋ชงเทียน…เจ้าคือศิษย์นิกายปีศาจที่เอาชนะศิษย์น้องจินอวี่ได้! ฮ่าๆ! ช่างบังเอิญจริงๆ” ตอนแรกเถี่ยเยวี่ยรู้สึกตะลึง แต่ครู่เดียวก็หัวเราะออกมา


“อ้อ! พี่เถี่ยรู้จักข้าด้วยหรือ?” หลิ่วหมิงมีสีหน้าแปลกใจ


“เฮ่อๆ! ศิษย์น้องจินอวี่เป็นคนหยิ่งยโส เขาเป็นหนึ่งในพันคนที่มีพรสวรรค์ในการใช้วิชาควบคุมที่หาได้ยากยิ่ง แต่ตั้งแต่เขาพ่ายแพ้ให้กับเจ้าก็ฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งมากกว่าเดิม และยังประกาศว่าจะต้องเอาชนะศิษย์น้องไป๋ให้ได้” เถี่ยเยวี่ยกล่าวออกมา จากนั้นก็สังเกตดูหลิ่วหมิงราวกับว่าหลิ่วหมิงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่หายากยิ่ง


“เรื่องครั้งก่อนนั้นข้าแค่โชคดีเท่านั้น ถ้าลงมืออีกครั้งล่ะก็จะเอาชนะได้อย่างไร ว่าแต่หุ่นของพี่เถี่ยตัวนี้ดูพิสดารมาก!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา


“แน่นอน! หุ่นที่สามารถจุคนไว้ในนั้นได้ก็เป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยมากในนิกายของเรา แต่หุ่นชนิดนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย มันใช้ได้ดีสำหรับการเดินทางหรือฝ่าเขตแดนที่อันตรายดังเช่นเมื่อครู่ที่ผ่านมา แต่ถ้าใช้ต่อสู้ล่ะก็ ก็เป็นได้แค่เป้าให้คนคนอื่นโจมตีเท่านั้น เพราะว่าตัวมันใหญ่เกินไปหน่อย” เถี่ยเยวี่ยอธิบายเล็กน้อยแล้วก็ถอนหายใจออกมา


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! แต่ในเมื่อพี่เถี่ยมาถึงที่นี่แล้ว ไม่ทราบว่าพี่มีแผนการอย่างไรบ้าง?” หลิ่วหมิงพยักหน้าถามออกไปโดยไม่เผยความผิดปกติใดๆ ออกมา


“นี่ยังจะต้องพูดอีกหรือ? ในเมื่อมาถึงเขาแห่งสมบัติเช่นนี้ก็ย่อมไม่กลับไปมือเปล่าแน่นอน น้องไป๋ เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่ ข้ามีหุ่นคอยสำรวจเส้นทางซึ่งดีกว่าที่เจ้าต้องเผชิญกับอันตรายเพียงคนเดียว” เถี่ยเยวี่ยตอบพร้อมกะพริบตาปริบๆ


“ขอบคุณพี่เถี่ยที่หวังดี ก่อนหน้านี้ข้าสูญเสียพลังเวทย์ไปมาก ต้องพักผ่อนเสียก่อนถึงจะคิดเรื่องเข้าไปในเขา” หลิ่วหมิงได้ยินก็ตอบกลับโดยไม่ต้องคิด


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าเองก็ไม่บังคับน้องไป๋แล้ว ข้าออกเดินทางไปก่อนแล้วกัน” ชายหนุ่มหน้ากลมได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับยกมือขึ้นกล่าวอำลาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หมุนตัวมุดเข้าไปในร่างของหุ่นวานรยักษ์อีกครั้ง


จากนั้นวานรยักษ์ก็ส่งเสียงดังครั่นครืน แล้วยืนตัวตรงอีกครั้ง ก่อนที่จะก้าวยาวไปไปยังยอดเขาขนาดใหญ่ต่อไป


ถึงแม้หุ่นตัวนี้จะเคลื่อนไหวได้ไม่ค่อยเร็วมากนัก แต่ทุกย่างก้าวของมันก็ไปได้ไกลถึงสองจั้งกว่าๆ ครู่เดียวก็หายเข้าไปในป่าเขาที่อยู่ไกลออกไป


หลิ่วหมิงหรี่ตามองไปยังทิศทางที่วานรยักษ์เดินไป จากนั้นก็ขยับตัวพุ่งไปยังทิศทางที่ค่อนข้างจะลาดเอียงเล็กน้อย


ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็หาโพรงไม้ว่างเปล่าตรงตีนเขาได้ เขาเอามือตบถุงหนังตรงเอว จากนั้นแมงป่องกระดูกขาวก็โผล่ออกมาท่ามกลามไอสีเขียวอันพวยพุ่งในทันที มันใช้ก้ามทั้งสองลูบเท้าหลิ่วหมิงอย่างสนิทสนมจากนั้นก็มุดลงไปใต้ดิน


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้นั่งขัดสมาธิลงไปในโพรงไม้อย่างวางใจ แล้วเริ่มต้นฟื้นฟูพลังเวทย์ขึ้นมา


เขานั่งอยู่ในโพรงไม้นานครึ่งวัน เมื่อเขาลืมตาทั้งสองขึ้น ไม่เพียงแต่พลังเวทย์ในร่างจะฟื้นคืนมาดังเดิมเท่านั้น แต่ยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่ากว่าก่อนหน้านั้นมาก


เพราะสิ่งที่ประสบในหลายวันก่อนทำให้เขาต้องใช้พลังจิตไปไม่น้อย


เสียงดัง “ซู่!”


ไอสีเขียวพวยพุ่งอยู่ที่โพรงไม้ด้านนอก แมงป่องกระดูกขาวมุดตัวขึ้นมาจากพื้น แล้วส่งเสียงเรียกหลิ่วหมิงราวกับว่ารู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก


หลังจากที่หลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงเล็กน้อย ถึงพบว่าก้ามของมันแต่ข้างต่างก็คีบผลึกหินจิตวิญญาณสีเขียวหยกก้อนหนึ่งไว้


“ผลึกหินไม้”


หลิ่วหมิงรับผลึกหินสีเขียวทั้งสองก้อนมาไว้ในมือแล้วตรวจดูเล็กน้อย แล้วพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ


“ไม่ใช่บอกให้เจ้าเฝ้าอยู่แถวนี้หรือ? ไปเอาของเหล่านี้มาจากไหนกัน” ภายใต้ความตกใจ เขาอดไม่ได้ที่จะถามแมงป่องกระดูกขาว


หลังจากที่เปลวไฟสีเขียวในเบ้าตาของมันเปล่งประกาย มันก็บิดตัวมุดลงไปใต้ดินในฉับพลัน และครู่เดียวมันก็มุดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับคีบผลึกหินสีเขียวออกมาอีกสองก้อน


“หรือว่าข้างล่างนี้จะมีผลึกหินธาตุไม้อยู่เป็นจำนวนมาก!” ครั้งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจขึ้นมาจริงๆ จากนั้นเขาก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา


……………………………………….


ตอนที่ 117 หญ้าลอยฟ้ากับตะขาบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ผลึกหินไม้นี้ทีมูลค่าสูงมาก จัดอยู่ในอันอันดับต้นๆ ของผลึกหินที่อยู่ในธาตุทั้งห้าเลยทีเดียว


ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูกพืชจิตวิญญาณ หรือการรักษาโรค ต่างก็ต้องใช้ผลึกหินไม้นี้เป็นจำนวนมาก แต่ปริมาณผลึกหินธาตุไม้ มีน้อยกว่าผลึกหินธาตุอื่นๆ ที่อยู่ในธาตุทั้งห้ามาก


ผลึกหินไม้ระดับต่ำหนึ่งก้อนสามารถขายในโลกภายนอกได้หินจิตวิญญาณถึงยี่สิบก้อน ถ้าหากเป็นผลึกหินไม้ระดับกลางล่ะก็ มูลค่ามันเพิ่มมากขึ้นถึงยี่สิบเท่าก็ไม่ใช่เรื่องอันน่าแปลกใจแต่อย่างใด


ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงก็ไม่ลังเลที่จะพลิกฝ่ามือนำกระบี่สั้นสีเขียวเล่มนั้นออกมา จากนั้นก็ส่งพลังเวทย์เข้าไปก่อนที่จะปล่อยลำแสงสีเขียวครั่นคร้ามกรีดลงไปบนพื้นด้านหน้า


เมื่อพื้นดินถูกลำแสงสีเขียวฟาดผ่านไป มันก็แยกออกอย่างง่ายดายราวกับก้อนเต้าหู้


มืออีกข้างของหลิ่วหมิงคว้าไปในอากาศ และยกขึ้น ดินก้อนขนาดเท่าอ่างล้างหน้าก็ถูกโยนออกไปด้านนอกโพรงไม้


ขณะเดียวกันแมงป่องกระดูกขาวก็ใช้ก้ามทั้งสองช่วยนายของมันขุดพื้นดินบริเวณนั้นอยู่ไม่หยุด


หนึ่งชั่วยามต่อมา ทางตรงดิ่งยาวยี่สิบกว่าจั้งได้ปรากฏอยู่ในโพรงไม้ ดินบริเวณด้านนอกกองรวมกันจนกลายเป็นเนินดินเล็กๆ


แมงป่องกระดูกขาวหยุดการขุดดินในฉับพลัน หลังจากที่มันบิดตัวก็มุดลงไปด้านล่างท่ามกลางไอสีเขียว


ตาทั้งสองของหลิ่วหมิงเป็นประกาย แสงเย็นสะท้านของกระบี่สั้นสีเขียวในมือกรีดลงไปบนพื้นอีกครั้ง จนเกิดเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ด้านล่างไม่ใช่ดินที่อ่อนร่วนอีกต่อไป แต่เป็นชั้นหินหนาๆ


เขากระตุ้นกระบี่สั้นในมือฟันลงไปข้างล่างต่อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเบาโหวงแล้วร่างของเขาก็หล่นลงไปในทันที


ด้านล่างเป็นถ้ำหินธรรมชาติที่มีขนาดไม่เกินสิบกว่าจั้งเท่านั้น แต่บนผนังหินสีขาวเทาพื้นผิวไม่สม่ำเสมอกลับมีผลึกหินสีเขียวอ่อนกับผลึกหินที่ไม่ทราบชื่อสีอื่นๆ ฝังเลี่ยมอยู่


ส่วนของมันที่ยื่นออกมาจากมีขนาดใหญ่สุดเท่ากำปั้น ขนาดเล็กสุดเท่ากับเมล็ดถั่วขณะเดียวกันถ้ำทั้งแห่งล้วนตลบอบอวลไปด้วยพลังแห่งชีวิต


หลิ่วหมิงมองออกไปด้วยความดีใจ และขณะที่กำลังจะเดินไปตรวจดูที่ผนังหินนั้น พลันได้กลิ่นไออันเข้มข้นของพืชจิตวิญญาณโชยเข้ามาในจมูก หลังจากที่กวาดตามองก็พบหญ้าสีเขียวหยกต้นเล็กๆ ที่มุมหนึ่งของถ้ำ มันสูงแค่สองชุ่นเท่านั้น แต่มันดูคล้ายกับจะโปร่งแสง และถูกไอหมอกสีขาวน้ำนมปกคลุมไว้


“หญ้าลอยฟ้า”


หลังจากที่หลิ่วหมิงพอจะมองออก และจำหญ้าต้นนี้ได้ ก็พูดออกมาด้วยความตกใจระคนดีใจ


เขารีบหยิบคัมภีร์รวมวัตถุจิตวิญญาณเล่มนั้นออกมาจากอก หลังจากเปิดดูเพียงชั่วครู่ก็เจอรูปในคัมภีร์ที่มีลักษณะคล้ายกันไม่มีผิด


“หญ้าลอยฟ้า หญ้าจิตวิญญาณธรรมชาติที่พบเจอได้น้อยมาก มันขึ้นแค่ในพื้นที่ที่มีปราณไม้เข้มข้นเท่านั้น ทานแบบสดๆ จะทำให้ตัวเบาเหมือนนกนางแอ่น ขจัดพิษชะล้างใจ ใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการปรุงโอสถจักษุม่วง ผงชะล้างใจ…เป็นต้น โดยมีวิธีการแยกแยะดังนี้…”


หลังจากที่หลิ่วหมิงอ่านดูคำแนะนำบนรูปภาพอย่างรวดเร็วแล้ว ก็เอามาเทียบกับหญ้าสีเขียวหยกตรงมุมถ้ำ เมื่อเห็นมันเหมือนกันอย่างไม่มีผิด เขาก็รีบเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล และก้มลงไปพร้อมกับใช้นิ้วสัมผัสมันเบาๆ


ไอเย็นแผ่ขึ้นมาบนปลายนิ้ว!


เขาคว้ามือไปดูดไอหมอกบริเวณหญ้าต้นนั้นมาดมเบาๆ กลิ่นหอมจรุงใจโชยเข้าจมูกของเขา ขณะเกียวกันเขาก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา


“ไม่เลว เหมือนที่บรรยายไว้ไม่มีผิด มันจะต้องเป็นหญ้าลอยฟ้าอย่างแน่นอน! ของดีเช่นนี้ถึงแม้จะสามารถใช้ปรุงโอสถได้ แต่ก็ไม่อาจนำออกไปด้านนอกได้” หลิ่วหมิงกล่าวพึมพำแล้วก็ถอนหญ้าจิตวิญญาณขึ้นมาจากพื้นด้วยตาที่เป็นประกาย จากนั้นก็ใช้หยดน้ำกลมๆ ลูกหนึ่งทำความสะอาดมันเล็กน้อย แล้วใส่เข้าไปในปากทันที


หญ้าเล็กๆ สีเขียวหยกที่เดิมทีคิดว่าทานยาก แต่ทันทีที่มันสัมผัสโดนกับลิ้นก็กลายเป็นของเหลวที่มีรสหวานไหลผ่านคอไป


เขาอ้าปากค้าง ไม่คิดว่ามันจะมีรสชาติเอร็ดอร่อยติดปากขนาดนี้ แต่พอเขายืดแขนยืดขาและกระโดดไปมาสองสามทีแล้วไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดูผิดปกติแต่อย่างใด


ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงของหญ้าลอยฟ้าคงจะค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ และคงไม่เห็นผลในฉับพลัน


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ค่อนข้างพอใจเป็นอย่างมาก


ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าหญ้าจิตวิญญาณแบบนี้จะขายได้เหรียญจิตวิญญาณจำนวนกี่ก้อน แต่ในเมื่อในคัมภีร์บอกว่าเป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยมาก แสดงว่ามันคงมีมูลค่ากว่าที่คิดไว้มาก


หลังจากที่เขานึกถึงรสหอมหวานในปากแล้วก็คิดที่จะสำรวจดูผลึกหินบนผนังรอบด้าน ทันใดนั้นแมงป่องกระดูกขาวก็ส่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา จากนั้นมันก็ชูก้ามทั้งสองไปยังผนังหินทำท่าทางราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ


หลิ่วหมิงรีบมองไปยังผนังหินฝั่งนั้นด้วยความตกใจ ตอนนี้เขาเพิ่งค้นพบว่าบนผนังหินมีร่องยาวหลายฉื่อ และมีไอหมอกสีม่วงพวยพุ่งออกมาจากในนั้น


“นี่คือ…”


หลังจากที่เขาฉุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และยังไม่ทันเตรียมตัวรับมือใดๆ ก็พลันรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และมีกลิ่นคาวจางๆ โชยมา


“มีพิษ”


หลิ่วหมิงหลุดปากพูดออกมา จากนั้นก็กลั้นลมหายใจไว้ก่อนที่จะถอยร่างออกมาในทันที ขณะเดียวกันก็หยิบขวดสีเขียวหยกเล็กๆ ออกมาจากอกหนึ่งขวด และเทโอสถสีแดงออกมาหนึ่งเม็ดใส่เข้าไปในปาก


ตอนนี้เขาถึงรู้สึกว่าอาการวิงเวียนศีรษะลดลงไปบ้างแล้ว


หลิ่วหมิงย่อมไม่รู้ว่าพิษไอหมอกสีม่วงนี้ร้ายแรงกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก โอสถถอนพิษที่ทานไปเมื่อครู่ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก


ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งจะกลืนกินหญ้าลอยฟ้าที่มีฤทธิ์ถอนพิษได้ และยังใช้น้ำล้างไขกระดูกจนทำให้ร่างกายแข็งแกร่งล่ะก็ เขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้


แต่แมงป่องกระดูกขาวดูเหมือนจะไม่ค่อยหวาดกลัวพิษไอหมอกสีม่วงมากนัก หลังจากที่หลิ่วหมิงถอยออกไปแล้วหางตะขอของมันก็ตั้งตรงขึ้นมา เปลวไฟในเบ้าตาคุโชนขึ้นมามากกว่าเดิม


ขณะนั้นเองก็มีเสียงดังออกมาจากในร่อง ไอหมอกสีม่วงจำนวนมากพุ่งออกมาในทันที ช่วงตัวของตะขาบที่มีขนาดยาวสี่ถึงห้าฉื่อคลานออกมา หนวดสัมผัสของมันยาวอย่างน่าประหลาด มีสีเขียวหยกทั้งตัว และปากของมันก็พ่นไอหมอกสีม่วงออกมาอยู่ไม่หยุด ทำให้คนที่มองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่ใช่ตะขาบธรรมดา


เสียงดัง “ซู่ๆ!” หางตะขอตรงหลังของแมงป่องกระดูกขาวเพียงแค่ขยับก็กลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้นพุ่งออกไป


ตะขาบยักษ์ที่เพิ่งจะคลานขึ้นมาไม่ทันได้ระวังจึงถูกโจมตีจนเกิดเป็นรู้สีแดงดำสิบกว่ารู โลหิตพิษสีเขียวหยกกระเด็นไปทั่วทิศ


หลังจากที่ตะขาบร้องด้วยความเจ็บปวด มันก็หมุนตัวกระโจนเข้ามาด้วยความโมโหอย่างสุดขีด ขณะเดียวกันเท้าเล็กๆ ของมันขยับขยุกขยิก แล้วปล่อยชิ้นส่วนสีม่วงแดงอันแหลมคมพุ่งเข้าใส่แมงป่องกระดูกขาวอย่างโหดเหี้ยม


ร่างแมงป่องกระดูกขาวเคลื่อนไหวเพื่อปัดป้องการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม ขณะเดียวกันหางตะขอตรงหลังก็กวัดแกว่งอย่างรุนแรง จนดึงตะขาบลงมาจากอากาศ จากนั้นก็ส่งเสียงดัง “ซู่!” แล้วกลายเป็นเงาร่างสีเขียวกระโดดขึ้นไปบนตัวฝ่ายตรงข้าม พร้อมกับใช้ก้ามทั้งสองหนีบใส่มันอย่างบ้าคลั่ง


แต่เปลือกของตะขาบตนนี้ดูเหมือนจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ความแหลมคมของก้ามหน้าของแมงป่องกระดูกขาวทำได้เพียงแค่วาดบาดแผลขนาดต่างๆ ไว้บนตัวของมันเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถสร้างบาดแผลสาหัสให้มันได้เลย


แต่หางตะขอบนหลังของมันก็ทิ่มแทงอยู่ไม่หยุด มันแทงจนเกิดรูเล็กๆ เต็มบนแผ่งหลังของตะขาบ


แต่ตะขาบยักษ์ตนนี้ดวงแข็งยิ่งนัก ไม่ว่าจะได้รับอาการบาดเจ็บแค่ไหน ก็ยังคงทำการโจมตีอยู่ไม่หยุด ไม่เพียงแต่เท้าของมันที่ทำให้พื้นเดินเกิดรูเล็กๆ นับไม่ถ้วนเท่านั้น ปากมันยังคงพ่นไอหมอกพิษที่เข้มข้นมากกว่าเดิม ราวกับว่ามันได้เกาะตัวกันเป็นกลุ่มหมอกสีม่วงเข้มปกคลุมภายในระยะหลายจั้ง


หินสีเทาบนพื้นแถวนั้นก็ถูกไอหมอกพิษค่อยๆ เซาะกร่อนจนเริ่มอ่อนตัวขึ้นมา


เดิมทีหลิ่วหมิงคิดที่จะเข้าไปช่วยสักหน่อย แต่แค่เดินหน้าไปสองก้าวก็รู้สึกถึงกลิ่นคาวที่ทำให้ศีรษะหนักอึ้งขึ้นมาจนต้องถอยออกมาด้วยความตกใจ


ยังไรซะแมงป่องกระดูกขาวก็ได้เปรียบอยู่แล้ว เขาจึงไม่รีบเข้าไปอีก


สำหรับการต่อสู้ที่ยาวนาน ตะขาบยักษ์กับแมงป่องกระดูกขาวต่อสู้กันแบบประชิดตัว ทั้งยังมีหมอกบดบังการมองเห็น ทำให้เขายิ่งไม่กล้าลงมือเข้าไปใหญ่


แต่หลิ่วหมิงยืนดูอย่างสงบได้ไม่นาน สีหน้าก็พลันหนักอึ้งขึ้นมาทันที


ภายใต้ไอหมอกสีม่วงเข้มข้นที่ปกคลุมอยู่ แมงป่องกระดูกขาวที่โจมตีอย่างห้าวหาญมาโดยตลอด พลันเคลื่อนไหวช้าลง ขณะเดียวกันเปลวไฟในเบ้าตาทั้งสองที่หรี่ลงเล็กน้อย


ตะขาบยักษ์พลิกตัวดิ้นหลุดออกจากก้ามยักษ์ของแมงป่องกระดูกขาวได้ แล้วก็เริ่มทำการต่อสู้ขึ้นมา


ร่างแมงป่องกระดูกขาวที่เดิมทีเป็นสีขาวก็เริ่มมีจุดสีม่วงอ่อนที่แลดูผิดปกติผุดขึ้นมา พิษไอหมอกสีม่วงนั้นรุนแรงมาก จนเมื่อเวลาผ่านไปแมงป่องกระดูกขาวเองก็ไม่สามารถต้านทานมันได้


หลังจากที่หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็วก็ใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสื่อสารกับจิตของแมงป่องกระดูกขาว


ครู่ต่อมา แมงป่องกระดูกขาวก็ตวัดหางตะขออย่างรวดเร็วจนดูพร่ามัว จนบีบให้ตะขาบยักษ์ถอนออกไปครึ่งก้าว จากนั้นมันก็กระโดดออกไปจากไอหมอกพิษ


ก่อนหน้านั้นตะขาบยักษ์รู้สึกเสียเปรียบเป็นอย่างมาก พอเห็นเช่นนี้มันจึงไม่ยอมเลิกรา มันส่งเสียงดังออกมา และตามติดออกไปในทันทีพร้อมกับเลือดสีเขียวที่อาบไปทั่วร่าง


แต่พอมันพุ่งออกมาจากไอหมอก หลิ่วหมิงก็ยกแขนที้งสองขึ้นพร้อมกับมีเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” คมวายุเจ็ดแปดเส้นพุ่งยิงออกไปภายในพริบตา


ตะขอยักษ์ตัวนั้นคิดที่ถอยกลับเข้าไปในไอหมอกพิษด้วยความหวาดกลัว แต่มันกลับสายไปเสียแล้ว


พอแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา คมวายุทั้งหมดก็ฝังลงบนตัวตะขาบ


แต่หลังจากที่ได้ยินเสียง “ฉับๆ!” คมวายุเหล่าก็ฝังลงไปได้เพียงเล็กน้อย แล้วก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้อีก


ภายใต้ความเจ็บปวดมันกลิ้งลงไปบนพื้นแล้วถอยเข้าไปในไอหมอกสีม่วง


ท่าทีหยิ่งยโสปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิ่วหมิง มือข้างหนึ่งพลิกขึ้นมาพร้อมกับกระบี่สั้นสีเขียว หลังจากที่เขาคำรามเสียงต่ำออกมา ก็ฟาดฟันกระบี่สั้นผ่านอากาศไปยังไอหมอกพิษ


เสียงดัง “เฟี้ยว!” แสงกระบี่สีเขียวเส้นหนึ่งม้วนตัวออกไปจากกระบี่สั้นทะลุผ่านไอหมอกพิษไป


ครู่ต่อมาก็มีเสียงดังมาจากไอหมอก เลือดสีเขียวพรั่งพรูออกมา จากนั้นก็มีเสียงดังเพล้งๆ อยู่ไม่หยุด ราวกับว่าตะขาบตัวนั้นกำลังต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากอะไรบางอย่างอยู่


หลิ่วหมิงยักคิ้วแล้วเก็บกระบี่สั้นเข้าไป จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง ลูกเปลวไฟแต่ละลูกปรากฏขึ้นมา หลังจากที่เขาสะบัดข้อมือก็มีลูกเปลวไฟห้าหกลูกพุ่งยิงออกไป


หลังจากเสียงดัง “ตู้ม!” “ตู้ม!” ลูกเปลวไฟก็ระบิดตัวท่ามกลางไอหมอกพิษ แล้วกลายเป็นเปลวไฟอันคุโชนเผาไหม้ทุกสิ่งให้จมอยู่ในนั้น


……………………………………….


ตอนที่ 118 จู่โจม

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไอหมอกพิษค่อยๆ สลายหายไปท่ามกลางทะเลเพลิง ผ่านไปเพียงชั่วครู่ก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีก


หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง สะบัดแขนเสื้อใส่ทะเลเพลิง พายุอันบ้าคลั่งม้วนตัวออกไปปัดเป่าเปลวไฟจนดับสนิท เผยให้เห็นศพสองท่อนที่ไหม้เกรียมของตะขาบตัวนั้น


เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


คิดไม่ถึงว่าตะขาบตัวนี้จะต้านทานเปลวไฟได้ถึงขนาดนี้ มิเช่นนั้นคงจะถูกทะเลไฟเผาไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้าไปนานแล้ว ไหนเลยจะหลงเหลือซากศพไว้เช่นนี้


แต่ในขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “ซู่!” มองป่องกระดูกขาวที่ดูซึมกระทือก็พุ่งผ่านด้านข้างเขาไปยังซากศพชิ้นหนึ่ง หลังจากที่ก้ามยักษ์ทั้งสองฉีกซากศพอย่างบ้าคลั่ง มันก็หนีบสิ่งของสองอย่างชิ้นมาจากในนั้น


มันคือชิ้นเนื้อกลมๆ ที่มีสีม่วงแก่กับผลึกหินสีเขียวหยกหนึ่งก้อน


ชิ้นเนื้อกลมมีขนาดเท่ากำปั้น มีของเหลวสีม่วงหยดออกจากในนั้นอยู่ไม่หยุด พอมันตกลงพื้นก็ก่อให้เกิดรูดำๆ ขึ้นมา


ชิ้นเนื้อกลมๆ นี้คือถุงพิษที่อยู่ในร่างของตะขาบ


ส่วนผลึกสินสีเขียวหยกนั้น ดูผ่านๆ มันคล้ายกับผลึกหินไม้ แต่หลังจากที่สังเกตดูอย่างละเอียดกลับค้นพบว่าสีของมันขุ่นข้นกว่าผลึกหินไม้มาก


หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้ตรวจสอบเพิ่มเติม แมงป่องกระดูกขาวก็อ้าปากกลืนถุงพิษลงไปในท้อง จากนั้นก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาด จุดพิษที่เกิดขึ้นบนตัวของมันก็แผ่กระจายไปทั่วร่าง ทำให้ร่างของมันสั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คว่ำลงไปบนพื้นไม่ขยับเขยื้อน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบกระตุ้นวิชาสื่อสารจิตวิญญาณเพื่อสื่อสารกับแมงป่องกระดูกขาว แต่จิตของมันกลับดูเลอะเลือนไม่มีการตอบสนองใดๆ


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกตกใจแต่อย่างใด แมงป่องกระดูกของเขาตนนี้มีสติปัญญาค่อนข้างมาก ในเมื่อมันกล้ากลืนกินถุงพิษได้คาดว่ามันคงไม่เป็นอะไร


แต่เขากลัวว่าแมงป่องกระดูกขาวตนนี้จะสลบหลับใหลไปหลายวัน ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็คงเกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว


อย่างที่รู้กันดีว่าอีกสิบกว่าวันให้หลังนี้เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด มีโอกาสที่จะเกิดการปะทะอย่างดุเดือดกับศิษย์นิกายอื่นๆ เป็นอย่างมาก ถ้าหากไม่มีแมงป่องกระดูกขาวตนนี้คอยช่วยล่ะก็ อาจจะทำให้ความแข็งแกร่งของเขาลดลงไปเกือบครึ่งหนึ่ง


ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น จุดพิษสีม่วงบนตัวแมงป่องกระดูกขาวก็ได้กระจายไปทั่วร่างแล้ว หลังจากที่คลายแรงหนีบตรงก้ามด้านหน้าลงผลึกสีเขียวหยกก็กลิ้งหล่นมา ขณะเดียวกันก็มีไอสีเขียวพวยพุ่งออกมาห่อหุ้มแมงป่องกระดูกขาวไหวจนแม่แต่ลมฝนก็ไม่อาจเล็ดลอดเข้าไปได้


หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็เดินสองสามก้าวไปเก็บผลึกสีเขียวหยกขึ้นมาดูอย่างละเอียด


ในระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ เขาถึงค้นพบว่าภายในผลึกหินสีเขียวหยกนั้นมีใยไหมสีขาวน้ำนม และมันยังส่งกลิ่นคาวจางๆ ออกมา


เขานึกถึงสิ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์รวมวัตถุจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว แต่มันกลับไม่มีสิ่งของใดคล้ายกับผลึกก้อนนี้


ดูเหมือนว่าต้องรอออกไปจากที่นี่ก่อน จากนั้นค่อยหาคนที่พอจะรู้จักมาระบุสิ่งของชิ้นนี้


ขณะที่หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่ ก็กวาดสายตามองบริเวณรอบๆ ถ้ำไปด้วย จากนั้นก็เดินไปยังผนังหินที่อยู่บริเวณนั้น


อาศัยจังหวะที่แมงป่องกระดูกขาวยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้นั้น เขาควรจะจัดการกับผลึกหินไม้กับแร่อื่นๆ ก่อน ไม่แน่อาจจะมีเรื่องน่ายินดีอื่นๆ เกิดขึ้นก็เป็นได้!


ผลึกหินไม้แต่ละก้อนถูกเขาใช้กระบี่สั้นสีเขียวงัดออกมาจากผนังหินอย่างระมัดระวัง จนได้ประมาณห้าสิบถึงหกสิบก้อน


ส่วนมากมีขนาดเท่านิ้วมือ ก้อนที่ใหญ่ที่สุดก็มีขนาดไม่เกินลูกกำปั้นสองลูก แต่ไม่คาดคิดว่าในนั้นจะมีหินจิตวิญญาณระดับกลางอยู่สองก้อนที่มีขนาดเท่าไข่ไก่ และผลึกหินที่มีขนาดใหญ่ทั้งสองนี้แม้แต่โลกภายนอกก็พบเจอได้น้อยมาก ทั้งสองก้อนคงขายรวมกันคงได้หินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง


แต่แร่อื่นๆ ล้วนเป็นแร่ที่มีมูลค่าไม่ค่อยสูง ซึ่งมันทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย


เขาได้แต่เลือกแร่ที่มีมูลค่าสูงสุดในนั้นมาสองสามก้อน ส่วนแร่อื่นๆ นั้นเขาขี้เกียจจะไปจัดการกับมัน


เมื่อเขานำผลึกหิน และสิ่งของอื่นๆ เก็บไว้ในผ้าย่อส่วนแล้วก็ค้นพบว่าแมงป่องกระดูกขาวยังไม่มีวี่แววจะฟื้นเลย เขาส่ายศีรษะแล้วก็เดินไปมารอบๆ ถ้ำเพื่อสำรวจดูว่ามีสถานที่ใดที่เขาพลาดไปบ้าง


ครู่ต่อมา เมื่อหลิ่วหมิงมองไปยังร่องที่ตะขาบยักษ์ตนนั้นมุดออกมานั้น เขาก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา ขณะเดียวกันก็เดินเข้าไปพร้อมกับใช้มือตบไปยังขอบร่องเบาๆ คาดไม่ถึงว่ามันจะมีเสียงดัง “ตึงๆ!” ราวกับว่าข้างในมันกลวง


ตาทั้งสองของหลิ่วหมิงเป็นประกายขึ้นมาพร้อมกับสะบัดแขนเสื้อ กระบี่สั้นสีเขียวได้ปรากฏขึ้นบนมือ


หลังจากที่มีแสงเย็นสะท้านยาวฉื่อกว่าๆ ฟาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว รูกลมๆ ขนาดใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลางยาวหลายฉื่อก็ปรากฏออกมา


แต่ข้างในมืดมากทำให้หลิ่วหมิงไม่กล้าเดินเข้าไปทันที


หลังจากที่เขาร่ายคาถาพร้อมกับดีดนิ้วออก ลูกเปลวไฟก็พุ่งออกไปแลเข้าไปในรูอันมืดมิดก่อนที่จะลอยตัวค้างอยู่กลางอากาศ


แสงสีแดงขับไล่ความมืดมิดไปจนหมด!


หลังจากที่หลิ่วหมิงเห็นสภาพภายในชัดเจนแล้วก็ก้มหน้ามุดเข้าไปในรูด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป


ถ้ำข้างๆ นี้มีขนาดแค่สามสี่จั้งเท่านั้น แต่บนพื้นเต็มไปด้วยกระดูกและยังมีชั้นหญ้าแห้งหนาๆ ปูอยู่ และมุมสลัวๆ ที่เปียกชื้นนั้นมีไข่หนอนขนาดใหญ่ที่มีลายพาดกลอนสีม่วงอยู่สองใบ มันมีขนาดประมาณลูกกำปั้น และเต็มไปด้วยพลังแห่งชีวิต


เห็นได้ชัดว่าไข่หนอนทั้งสองใบนี้เป็นของตะขาบยักษ์ตัวก่อนหน้านั้น


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


ตะขาบยักษ์ตัวนั้นเก่งกาจถึงเพียงนี้ ไข่ของมันก็คงไม่ด้อยไปกว่ากัน ไม่ว่าเขาจะนำมันไปฟักเองหรือเอาไปขายด้านนอกก็คงได้ราคาดีไม่น้อย


เขารีบหยิบกล่องหยกใบหนึ่งออกมาแล้วนำไข่ทั้งสองใบใส่ลงในนั้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เก็บมันไว้ในผ้าย่อส่วนแล้วจึงไปตรวจดูโครงกระดูกบนพื้น


น่าเสียดายที่มันเป็นแค่กระดูกปีศาจอสูรระดับต่ำเท่านั้น


เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีอะไรให้ค้นหาอีกแล้วจึงเดินจากไป


หลิ่วหมิงใช้ช่วงเวลาที่เหลือหาสถานที่เงียบๆ ในถ้ำเพื่อนั่งรออย่างสงบ


เขาได้ตัดสินใจว่าจะรอแมงป่องกระดูกขาวครึ่งวัน ถ้าเลยเวลานี้ไปแล้วมันยังไม่ตื่นก็จะเก็บมันไว้ในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ เพราะตนเองยังต้องรีบไปหาของล้ำค่าอีก


เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ


เมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม ก็มีไอสีเขียวพวยพุ่งออกมาจากร่างของแมงป่องกระดูกขาว และมันยังมีการเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วจนในที่สุดก็กลายเป็นสีม่วงคล้ายกับพิษที่ตะขาบยักษ์ตัวนั้นพ่นออกมา


ดูจากพื้นดินที่สัมผัสโดนไอหมอกสีม่วงค่อยๆ กลายเป็นสีดำ ถึงแม้พิษมันจะไม่รุนแรงเท่ากับพิษของตะขาบยักษ์ในก่อนหน้านั้น แต่ก็ดูเหมือนจะต่างกันไม่มากนัก


แมงป่องกระดูกขาวตนนี้เพียงแค่กลืนกินถุงพิษของตะขาบยักษ์ มันก็ได้รับการถ่ายทอดพิษเพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างมาก


หลังจากมีเสียงร้อง “แกว๊ก!” ดังขึ้น ไอหมอกพิษก็สลายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับร่างของแมงป่องกระดูกขาวที่ปรากฏออกมาอีกครั้ง


นอกจากจะมีจุดสีม่วงเข้มเกิดขึ้นบนตัวของปีศาจตนนี้แล้ว ส่วนอื่นก็ไม่ไม่อะไรเปลี่ยนไป


หลิ่วหมิวหรี่ตาลงรวบรวมพลังจิตสื่อสารกับปีศาจตนนี้


ครู่ต่อมาปีศาจตนนี้ก็ส่ายหัวพร้อมกับอ้าปากพ่นไอหมอกพิษไปยังผนังหินแถวนั้น


เสียงดัง “เพล้ง!”


ไอหมอกม้วนตัวกระจายออกมาปกคลุมผนังหินไว้ ครู่เดียวผนังหินแต่ละชั้นก็ละลายออกมา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบลุกขึ้นอย่างไม่ลังเลพร้อมกับตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว แสงสีดำม้วนตัวออกมาจากในนั้นและย่อส่วนแมงป่องกระดูกขาวก่อนที่จะเก็บมันเข้าไป


เขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวเรียกเมฆเทาก้อนหนึ่งออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ ทะยานพุ่งขึ้นไปตามเส้นทางที่ได้ขุดไว้


แต่พอเขาทะยานพ้นปากทางที่ขุดไว้ก็เห็นแสงสีเลือดที่ปรากฏตรงหน้า ดาบยาวสีเลือดฟันลงมาบริเวณด้านหน้าอย่างรวดเร็วจนเกือบจะฟันศีรษะเขาหลุดจากบ่า


ตอนที่เขาเหาะออกมานั้นดูเหมือนจะไม่มีป้องกันตัวใดๆ เลย แต่ด้วยความที่เขาเคยชินกับการที่ต้องอยู่อย่างระมัดระวังบนเกาะมฤตยูมานานหลายปี ทำให้กระบี่จันทราหยกที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อปรากฏขึ้นมาบนมือในทันที ในสถานการณ์แบบนี้เขาขยับแขนอย่างไม่ต้องคิดด้วยความรวดเร็วจนดูลางเลือน กระบี่สั้นเล่มนี้ก็มาบังอยู่ด้านหน้าเขาแล้ว


เสียงดัง “ตู้ม!” หลิ่วหมิงแค่รู้สึกร้อนที่แขนทั้งสองข้าง ร่างของเขาก็ถูกโจมตีด้วยพลังมหาศาลจนกระเด็นออกมาและชนเข้ากับโพรงไม้ด้านหลังอย่างรุนแรง


ยังไม่ทันที่เขาจะทรงตัวได้มั่นคงและรู้สึกโมโหเป็นอย่างมากนั้น พลันมีเสียงหัวเราะเยาะอันคุ้นเคยดังเข้ามาในหู


จากนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งประกายขึ้นตรงหน้า คมวายุเจ็ดแปดเส้นพุ่งเข้ามาด้วยเสียงอันแหลมคม มันกะที่จะฟันเขาออกเป็นชิ้นๆ


ถ้าหากเป็นศิษย์ทั่วไป หลังจากถูกโจมตีอย่างรุนแรงเช่นนี้ล่ะก็พลังเวทย์ภายในคงถูกรบกวนจนไม่สามารถทำการป้องกันใดๆ ได้ทันแล้ว


แต่หลิ่วหมิงเพียงแค่มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป จากนั้นเมื่อเขาส่งพลังผ่านจิตก็มีแสงสีเขียวเปล่งประกายขึ้นมาบนแขนข้างหนึ่ง เส้นสีเขียวจำนวนมากพุ่งออกมาจากในร่างเขาอย่างรวดเร็ว มันถักทอเข้าด้วยกันจนกลายเป็นเงาร่างสีเขียวจางๆ ขณะเดียวกันร่างกายก็อ่อนตัวราวกับไร้กระดูกบิดคดเคียวจนเหมือนจะพับได้


หลิ่วหมิงหลบหลีกคมวายุส่วนมากได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ยังมีอีกสามเส้นที่ฟันลงมา แต่หลังจากที่มีเสียงดังติดต่อกันมันก็ค่อยสลายตัวไป


หลังจากที่ร่างของหลิ่วหมิงกลับมาเป็นปกติแล้วก็ค่อยๆ ลอยลงบนพื้นที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้ง


มีบาดแผลยาวเล็กบนหน้าอกของเขาไม่กี่แห่ง และมีเลือดไหลออกมา แต่ดูเหมือนบาดแผลจะไม่ค่อยลึกมากนัก เขาเพียงแค่ส่งพลังเวทย์ไปยังบริเวณปากแผลก็สามารถห้ามเลือดให้หยุดไหลได้


ขณะเดียวกัน เงาร่างสีเขียวอ่อนบนตัวเขานั้นก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งจนกลายเป็นสิ่งของบางอย่าง มันคือเสื้อเกราะที่ถักทอมาจากเส้นเถาวัลย์จำนวนมาก ถึงแม้มันจะดูเรียบง่ายแต่ก็เพียงพอที่จะคุ้มกันร่างกายส่วนบนที่เป็นจุดสำคัญไว้ได้


มันคือเมล็ดเถาวัลย์ที่หลิ่วหมิงเพาะไว้บนแขน และกระตุ้นใช้มันในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ และมันก็กลายเป็นเสื้อเกราะคุ้มกันร่างกายไว้


ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฝ่ายตรงข้ามจู่โจมแบบกะทันหันเกินไป ทำให้เสื้อเกราะไม่สามารถคุ้มกันร่างกายทั้งหมดได้ทัน เกรงว่าคงจะไม่มีบาดแผลเช่นนี้เกิดขึ้น


แต่ตอนนี้หลิ่วหมิงมีสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการแสดงวิชาเถาวัลย์โลหิตนำมาซึ่งความเจ็บปวดราวกับเป็นตะคริว อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าที่อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไปไม่ไกลมีชายหญิงสองคนร่วมมือกันโจมตีเขา


ผู้ชายสวมชุดสีเลือดทั้งตัว ในมือถือดาบอยู่ หน้าตาดุร้าย ดูเหมือนจะอายุประมาณยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี ผู้หญิงสมชุดนิกายวาตอัคคีรูปร่างสวยหยาดเยิ้ม ดวงตารียาว ในมือถือถือดาบสั้นสีเขียวอยู่เล่มหนึ่ง


สีหน้าของทั้งสองเต็มไปด้วยความตกใจ เห็นได้ชัดว่าการจู่โจมเมื่อครู่นั้นล้มเหลวเหนือการคาดหมายของพวกเขาไปมาก


……………………………………….


ตอนที่ 119 เข็มบิน

โดย

Ink Stone_Fantasy

“พวกเจ้าอยากตายหรือ!”


หลิ่วหมิงจ้องมองคนทั้งสองและค่อยๆ สบถออกไปด้วยความเจ็บปวดที่เกิดจากบาดแผลบริเวณหน้าอก


ในสถานการณ์ปกติเขามีเกราะอาญาสิทธิ์ที่นักพรตแซ่จงผู้นั้นมอบให้ ถึงแม้คมวายุเหล่านั้นจะทำลายเกราะเถาวัลย์แต่ก็คงไม่สามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้ แต่การถูกโจมตีเมื่อครู่ทำให้พลังเวทย์ของเราถูกรบกวนจนไม่สามารถส่งพลังเวทย์ไปยังเกราะอาญาสิทธิ์ที่สวมอยู่ได้


และเกราะอาญาสิทธิ์ที่ไม่มีพลังเวทย์ก็เป็นได้แค่แผ่นไม้ไผ่เท่านั้น ซึ่งมันไม่มีพลังคุ้มกันแต่อย่างใด ทำให้มันถูกคมวายุเหล่านั้นฟันเข้าอย่างง่ายดาย และยังฟันโดนเนื้อของเขาด้วย


แต่ตอนนี้พลังเวทย์ของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว แค่ส่งพลังเวทย์จำนวนหนึ่งไปยังแผ่นไม้ไผ่ เกราะอาญาสิทธิ์ในส่วนที่ถูกทำลายก็สมานตัวกลับมาเป็นดังเดิมอย่างรวดเร็ว


เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันเยือกเย็นของหลิ่วหมิง ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตกับหญิงสาวนิกายวาตอัคคีต่างก็สบตาแล้วหัวเราะออกมาพร้อมกัน


“เฮ่อๆ! เจ้าเด็กน้อย ดูเจ้าอายุยังน้อยแต่วาจาไม่เบาเลยนะ คิดจริงๆ หรือว่าที่เจ้าโชคดีหลบการโจมตีเมื่อครู่นี้ได้จะทำให้เจ้ากลายเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราได้ ถ้าเจ้าไม่อยากตายล่ะก็ รีบมอบของล้ำค่าที่เจ้ามีทั้งหมดมาเดี๋ยวนี้ ไม่แน่ข้ากับศิษย์น้องอู๋อาจจะใจดีละเว้นชีวิตเจ้าก็เป็นได้” พอร่างชายชุดคลุมสีเลือดสั่นไหวเล็กน้อยก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างศิษย์หญิงนิกายวาตอัคคี พร้อมกับหัวเราะอย่างชั่วร้ายและกล่าวออกมา


“ดูจากอายุของศิษย์น้องแล้วคงจะเพิ่งเข้านิกายได้สามสี่ปีล่ะสิ! ถ้าหากว่าฝึกฝนมาแค่นี้ ต่อให้เจ้าจะมีพรสวรรค์แค่ไหนก็คงไม่มีประสบการณ์การต่อสู้มากนัก ก็เหมือนกับที่ศิษย์พี่ซุนกล่าวเมื่อครู่ ที่เจ้าสามารถหลบการโจมตีของพวกข้าทั้งสองได้เป็นเพราะว่าเจ้ามีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วเล็กน้อยเท่านั้น คิดหรือว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเราได้! เจ้าควรจะมอบสิ่งของมาให้พวกข้าซะโดยดี ของล้ำค่ามันสามารถเทียบเจ้าชีวิตเจ้าได้หรือ!” หญิงนิกายวาตอัคคีก็กัดฟันกล่าวออกมา


“พวกเจ้าเห็นข้าเป็นเด็กสามขวบหรือไง!”


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งสองลง ทันใดนั้นกระบี่สั้นก็โผล่ขึ้นมาบนมือ หลังจากที่ส่งพลังเวทย์เข้าไปในนั้นแล้วก็สะบัดข้อมือออกไป ปราณกระบี่สีเขียวกระแทกลงไปบนพื้น


เสียงดัง “ฟิ้ว!”


บังเกิดรูขนาดเท่าลูกกำปั้นขึ้นบนพื้น หลังจากมีเสียงร้องแหลมรันทดดังออกมาจากในนั้น โลหิตจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกมา


ต่อมาพื้นดินบริเวณนั้นก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ อสรพิษดำขนาดยาวหลายฉื่อกระเด็นออกมา บนตัวของมันมีบาดแผลที่เกรอะกรังไปด้วยคราบโลหิตจนดูเหมือนเกือบถูกฟันออกเป็นสองส่วน มันสะบัดหางแล้วพุ่งกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม


แต่หลิ่วหมิงได้เตรียมรับมือไว้ก่อนแล้ว ขณะที่อสรพิษดำปรากฏตัวกระบี่สั้นสีเขียวในมือก็ฟันผ่านอากาศลงไปสองครั้งอย่างรวดเร็ว


หลังจากที่แสงเย็นสะท้านม้วนตัวผ่านไป อสรพิษดำก็ถูกฟันเป็นสามส่วนตกลงมาบนพื้น พริบตาเดียวโลหิตของอสรพิษดำก็แดงเต็มพื้นไปหมด


“เจ้ากล้าสังหารเจ้าดำของข้า!” ตอนแรกหญิงสาวนิกายวาตอัคคีรู้สึกตกตะลึง แต่ก็ตะคอกเสียงแหลมด้วยความโมโห


อสรพิษดำตนนี้ดูธรรมดา แต่ความจริงมันเป็นลูกอสรพิษจิตวิญญาณที่มีสายเลือดมังกรแดง ไม่รู้ว่าหญิงสาวผู้นี้หมดไปเท่าไหร่กับการซื้อมันมาจากตลาด ถ้าหากมันถูกคนเลี้ยงดูอย่างดีเป็นเวลาหลายร้อยปี ภายภาคหน้าแม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณก็ไม่อาจมีพลังเทียบมันได้


ด้วยเหตุนี้พอมันถูกสังหารหญิงนางนี้จึงรู้สึกเจ็บปวดจนยากที่จะรับรู้ได้


ชายชุดคลุมสีเลือดที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา


ประจักษ์ชัดว่าเมื่อตอนที่ทั้งสองพูดคล้ายกับเกลี้ยกล่อมนั้น ความจริงแล้วกลับแอบให้อสรพิษดำตัวนี้ซุ่มอยู่ใต้ดินบริเวณนี้แล้ว พวกเขาเตรียมที่จะโจมตีโดยไม่ให้หลิ่วหมิงรู้ตัว และมีชีวิตรอดจากไป


แต่หลิ่วหมิงมีพลังจิตที่แข็งแกร่งบวกกับแมงป่องกระดูกขาวเองก็ชำนาญวิชาหลบหลีกในใต้ดิน ทำให้เขารับรู้ถึงความผิดปกติที่อยู่ใต้ดินได้อย่างรวดเร็ว พออสรพิษดำมุดลงดินบริเวณนั้นได้ไม่กี่จั้งก็ถูกค้นพบเข้าแล้ว เขาจึงชิงลงมือก่อนอย่างไม่ปราณี


เมื่อได้ยินเสียงร้องอันกระหืดกระหอบของหญิงสาวนิกายวาตอัคคี หลิ่วหมิงก็ขี้เกียจที่จะพูดอะไรต่ออีก เขาตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่ห้อยอยู่ตรงเอว แสงสว่างม้วนตัวออกมาจากในนั้น


หลังจากมีเสียงร้องดัง “แกว๊กๆ!” ร่างขนาดยาวหลายจั้งของแมงป่องกระดูกขาวก็ปรากฏออกมาท่ามกลางไอสีม่วงอันพวยพุ่ง พอมันสะบัดหางเสร็จแล้วก็จมหายเข้าไปในดินอย่างรวดเร็ว


“มันคือปีศาจ! ศิษย์น้องอู๋ระวังตัวหน่อย พวกเราร่วมมือกันกำจัดเจ้าเด็กนี้ก่อนค่อยว่ากัน พอไม่มีนายมันแล้วปีศาจตนนี้ก็จะไม่มีอำนาจคุกคามใดๆ” ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตเห็นเช่นนี้ก็ตะโกนออกมาเบาๆ พร้อมกับทำท่ามือร่ายคาถา ไอโลหิตพวยพุ่งออกมาจากชุดคลุมสีเลือด ทำให้ร่างของเขาดูลางเลือนขึ้นมา


หญิงสาวนิกายวาตอัคคีได้ยินเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะเรียกสติจากความเจ็บปวดในการสูญเสียอสูรจิตวิญญาณกลับคืนมาได้ นางใช้สายตาอันดุร้ายจ้องมองหลิ่วหมิงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ร่ายคาถาก่อนที่จะโบกสะบัดดาบสั้นสีเขียวในมือ


หลังจากที่มีแสงสีเขียวปรากฏออกมาเป็นจุดๆ แล้ว ก็มีม่านแสงสีเขียวปรากฏออกมาจากร่างของนางนี้ นางค่อยๆ ลอยตัวขึ้นไปจนอยู่สูงจากพื้นเจ็ดแปดจั้ง เห็นได้ชัดว่ามันเป็นการป้องกันการจู่โจมของแมงป่องกระดูกขาวที่อยู่ใต้ดิน


หลังจากที่นางทำท่ามืออีกครั้ง คมวายุแต่ละเส้นก็เริ่มปรากฏออกมาด้านหน้าจนมีราวๆ เจ็ดแปดเส้น


“คมวายุขั้นสมบูรณ์แบบ!”


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ดวงตาก็ค่อยๆ เป็นประกายขึ้นมา แต่เขาก็รีบทำท่ามือด้วยมือเดียวอย่างรวดเร็ว และก็มีคมวายุสีเขียวเจ็ดแปดเส้นปรากฏออกมาด้านหน้าด้วยเช่นกัน


หญิงสาวนิกายวาตอัคคีที่อยู่ไกลออกไปเห็นฉากนี้ก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย


ขณะนี้ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตที่ถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกโลหิตกลับตะโกนออกมาพร้อมกับตวัดดาบยาวสีเลือดในมือ จากนั้นปราณดาบแสงสีเลือดก็ม้วนตัวออกไปหาหลิ่วหมิงด้วยเสียงแหลมรันทด


หญิงสาวนิกายวาตอัคคีเองก็ชี้ดาบสั้นในมือไปทางที่หลิ่วหมิงยืนอยู่ จากนั้นคมวายุเจ็ดแปดเส้นก็พุ่งออกไปด้วยเสียงดังสนั่น


พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อคมวายุตรงหน้าก็พุ่งออกไปด้วยเสียงอันดัง จากนั้นดาบสั้นสีเขียวในมือก็สั่นไหวก่อนที่จะมีปราณกระบี่สายหนึ่งฟันออกไป


ชั่วพริบตาเดียวคมวายุสิบกว่าเส้นก็ปะทะกันกลางอากาศ แต่เมื่อมีแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมาจากคมวายุของหญิงสาว คมวายุทั้งหมดของนางก็ถูกฟันจนแตกเป็นชิ้นๆ


คมวายุที่สมบูรณ์เพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อยแล้วก็พุ่งไปยังด้านหน้าของนางอย่างรวดเร็ว


นางรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่โบกสะบัดดาบสั้นในมือจัดการกับคมวายุที่พุ่งมาทั้งหมดได้แล้ว ก็บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นขึ้นมา!


กระบี่สั้นสีเขียวปะทะเข้ากับปราณดาบแสงสีเลือดอย่างรุนแรง


ลำแสงสีเขียวที่ผสมผเสกันกับแสงสีเลือด มันต่างก็ทำลายกันและกันอย่างไม่หยุดหย่อน และสุดท้ายก็มันแตกระเบิดกระจายออกไปด้วยเสียงอันดัง คลื่นวงกลมขยายตัวออกไปรอบทิศทาง พื้นดินหนาๆ บริเวณนั้นถูกตัดออกไปชั้นหนึ่ง


เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกตกใจแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่กระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นเขาก็กระโจนฝ่าคลื่นวงกลมออกไปท่ามกลางไอโลหิต


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีก คมวายุสีเขียวเจ็ดแปดเส้นปรากฏขึ้นตรงหน้า พริบตาเดียวมันก็พุ่งไปยังเงาร่างในแสงสีเลือดที่กระโจนเข้ามา


หลังจากมีเสียงดัง “เต๊ง! เต๊ง!” ศิษย์หอสายธารโลหิตตวัดดาบสีเลือดในมืออย่างบ้างคลั่งจนคมวายุทั้งหมดกระเด็นออกไป หลังจากที่เขากระโจนออกไปอีกครั้งก็หยุดฝีเท้าลงตรงที่ที่อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ถึงเจ็ดแปดจั้ง แต่หลังจากที่ดาบสีเลือดในมือดูเลือนลาง เขาก็ยกมันขึ้นเหนือศีรษะด้วยมือทั้งสอง ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาบางอย่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


ชั่วเวลานั้นไอโลหิตทั้งหมดก็พุ่งเข้าไปยังดาบสีเลือดอย่างบ้าคลั่ง


ดาบที่เดิมทียาวไม่เกินสามฉื่อก็ขยายขนาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นดาบยักษ์แปลกประหลาดที่มีขนาดยาวจั้งกว่าๆ


ขณะเดียวกันกลิ่นไอบนตัวของชายหนุ่มหอสายธารโลหิตก็แลดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก


หญิงสาวที่เพิ่งจะทำลายคมวายุทั้งหมดได้ ก็ไม่ได้โจมตีหลิ่วหมิงในทันที แต่กลับพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาขยี้ยันต์สีขาวในมือจนแตกเป็นจุน ขณะเดียวกันก็ชี้ดาบสั้นสีเขียวในมือไปทางชายหนุ่มหอสายธารโลหิต


แสงสีขาวเปล่งประกายขึ้นบนตัวของชายหนุ่มหอสายธารโลหิต ไอสีขาวเป็นสายๆ พันรอบร่างเขาอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้สีหน้าก็หนักอึ้งขึ้นมา เขาตวัดกระบี่สั้นในมือโดยไม่ต้องคิด ปราณกระบี่สีเขียวฟันออกไปข้างหน้าอีกครั้ง


และพื้นดินบริเวณที่ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตยืนอยู่นั้น มีก้ามยักษ์สองอันพุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตกลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เพียงแค่แสงสีขาวเปล่งประกายขึ้นบนร่างเขา ร่างเขาก็พร่ามัวกลายเป็นเงาร่างสามร่างที่เหมือนกัน


ปราณกระบี่สีเขียวกับก้ามยักษ์ทั้งสองพุ่งผ่านบริเวณขาทั้งสองของเงาที่อยู่ตรงกลาง แต่มันล้วนสัมผัสกับความว่างเปล่า


ขณะเดียวกันเงาร่างทั้งสามก็ฟันดาบยักษ์ในมือเข้าใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรง


เสียงดัง “ตู้ม!”


เงาร่างสองในสามสลายไปในทันที เงาร่างที่อยู่ทางซ้ายสุดกลับปล่อยแสงสีเลือดเย็นสะท้านออกมาอย่างรวดเร็ว ตอนแรกมันก็มีเพียงนิดเดียว แต่หลังจากที่มันพร่ามัวก็มีมากมายมหาศาลจนดูราวกับจะมันครอบคลุมไปทั่วฟ้าและปฐพี


หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าแสงสีเลือดสว่างขึ้นตรงด้านหน้าราวกับว่าทั่วท้องฟ้าถูกแสงสีเลือดปิดกั้นไว้ ทำให้เขารู้สึกใจเสียขึ้นมา


ถ้าคนทั่วไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ เกรงว่าถ้าไม่ตกใจจนหน้าถอดสี ก็จะรีบถอยหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว แต่หลิ่วหมิงกลับมีสีหน้าที่เฉียบขาด หลังจากที่แผดเสียงยาวออกมาแล้วก็ส่งพลังเวทย์เข้าไปในกระบี่สั้นอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวทันที


หลังจากที่ค่ายกลอักขระสามชั้นกะพริบผ่านไปบนกระบี่สั้น ปราณกระบี่สีเขียวขนาดใหญ่เจ็ดแปดสายก็พุ่งไปยังชายหนุ่มหอสายธารโลหิตที่อยู่ด้านหน้าด้วยเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”


ปราณกระบี่เหล่านี้ดูลางเลือนแล้วก็รวมตัวกันเป็นจันทราสีเขียวดวงหนึ่ง และยังหมุนติ้วๆ พุ่งไปปะทะกับแสงสีเลือดอย่างรุนแรง


เสียงดัง “ครืดๆ!”


หลังจากที่จันทราเขียวปะทะเข้ากับแสงสีเลือดแล้ว ก็บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ทั้งสองสีผสมผเสกันจนดูเป็นน้ำวนสีเขียวแดงขนาดใหญ่ และดูดเอาสรรพสิ่งที่อยู่รอบด้านเข้าไปในนั้น ทั้งยังทำให้อากาศบริเวณนั้นสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด


ขณะนั้นเองก็มีคลื่นค่อยๆ สั่นไหวตรงด้านหลังของหลิ่วหมิง เงาร่างเลือนลางโผล่ออกมาราวกับปีศาจ


แสงสีเลือดเปล่งประกาย ดาบยาวสีเลือดเล่มหนึ่งค่อยๆ พุ่งมากดลงบนต้นคอของหลิ่วหมิง


เสียงดัง “ฟิ้ว!”


ร่างของหลิ่วหมิงไหวตัวหันกลับไปมองในทันที และหลังจากที่แขนข้างหนึ่งเคลื่อนไหวจนดูลางเลือนก็ดีดนิ้วออกไป ลำแสงสีดำเปล่งประกายขึ้นบนปลายนิ้วราวกับว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งออกไป


บังเกิดเสียงร้องดังอย่างน่าเวทนา!


หลังจากที่เงาร่างตรงหน้าสั่นไหว ดาบยาวสีเลือดบนมือก็ถูกละทิ้งไป มือทั้งสองป้องหน้าพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นฟ้าก่อนที่จะล้มลงไป เขาก็คือชายหนุ่มหอสายธารโลหิตผู้นั้นนั่นเอง


……………………………………….


ตอนที่ 120 เห็ดหลินจือหยก

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่ตอนนี้ร่างของเขากระตุกอยู่บนพื้นแค่ไม่กี่ครั้งก็ตัวแข็งทื่อแน่นิ่งไป


ทันทีที่หลิ่วหมิงกวักมือไปทางศพก็มีเสียงกึกก้องดังขึ้น เข็มแหลมเล็กสีเขียวหยกเล่มหนึ่งโผล่แวบออกมา หลังจากที่มันดูลางเลือนแล้วก็จมหายเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไร้ร่องรอย


มันก็คือเข็มเงาหยกเล่มนั้นนั่นเอง!


เดิมทีพลังของชายหนุ่มหอสายธารโลหิตผู้นี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด และยังมีเคล็ดวิชาของหอสายธารโลหิตที่ยอดเยี่ยมหลายอย่าง เพียงแต่เขามั่นใจกับการต่อสู้ระยะประชิดของตัวเองมากไป และยังคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงยังมีอาวุธจิตวิญญาณอย่างอื่นอยู่ ซึ่งเป็นอาวุธจิตวิญญาณเข็มบินที่พบเห็นได้น้อยมาก เขาไม่คาดคิดว่าหลิ่วหมิงจะสามารถกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณทั้งสองชิ้นพร้อมกันได้ ด้วยเหตุนี้จึงถูกเข็มของหลิ่วหมิงทำลายพลังเวทย์ที่คุ้มกาย และมันยังเจาะเข้าไปที่ศีรษะจนเสียชีวิต


ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีคนควบคุม แสงสีเลือดบนฟ้าก็ถูกจันทราหยกจัดการจนหมดสิ้น ทุกสิ่งที่อยู่ด้านล่างก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็นอีกครั้ง


พอหญิงสาวนิกายวาตอัคคีเห็นศพของชายหนุ่มก็พลั้งปากร้องออกมาด้วยสีหน้าที่ยากจะเชื่อกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


มิแปลกที่นางจะเป็นถึงเช่นนี้!


เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อครู่ชายหนุ่มหอสายธารโลหิตยังตกอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบในการแสดงวิชาอันยอดเยี่ยมอยู่เลย แต่พริบตาเดียวก็ถูกขัดขวางการแสดงวิชาและกลายเป็นศพไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วนี้ไม่ว่าใครก็ไม่อาจรับได้


แต่ตอนที่หลิ่วหมิงหมุนตัวมองไปยังหญิงสาวสวยหยาดเยิ้มด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกนั้น


หญิงนางนี้ก็หน้าถอดสีขึ้นมา นางหมุนตัวอย่างรวดเร็วราวกับเพิ่งได้สติก่อนที่จะกลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งจากไป


แต่ในตอนนั้นหลิ่วหมิงได้ทำท่ามือด้วยมือทั้งสองแล้ว หลังจากที่ประกบมือแล้วแยกออกจากกัน ก็บังเกิดคมวายุยักษ์ยาวครึ่งจั้งตรงหน้า


พอสะบัดแขนคมวายุยักษ์ก็กลายเป็นเส้นสีเขียวกะพริบผ่านไป


พอหญิงสาวได้ยินเสียงแหลมดังขึ้นในหูก็รีบสะบัดดาบสั้นออกไปอย่างรุนแรง


เงาดาบสีเขียวยาวจั้งกว่าๆ โผล่ออกมาบังหลังของนางไว้


ครู่ต่อมา หลังจากมีเสียงแตกหักดังขึ้น คมวายุยักษ์ก็ฟันเงาดาบรวมถึงแสงสีเขียวที่คุ้มกายของนางไว้จนขาดออกจากกัน แล้วตัดผ่านไปยังตรงเอวของนาง


นางส่งเสียงร้องแหลมก่อนที่ร่างของนางจะกลายเป็นสองส่วนแล้วร่วงหล่นลงไปบนพื้น


แต่นางก็ยังไม่ได้เสียชีวิตในทันที นางกลับรีบควักยันต์ผืนหนึ่งออกมาจากอกด้วยใบหน้าที่ดุร้าย และเตรียมที่จะบีบมันให้ละเอียดเป็นจุน


แต่ครู่ต่อมาก็มีเสียง “ซู่!” ดังขึ้นมาจากพื้นดินพร้อมกับมีเส้นสีดำพุ่งออกมาจากในนั้น หลังจากที่มันขยับไปมาก็เตรียมที่จะเจาะเข้าไปที่ศีรษะของนาง


ตรงปลายของเส้นสีดำเป็นตะขอดำขลับที่แหลมคมเป็นพิเศษ


ครั้งนี้ปากของนางแค่ขยับไปมาไม่กี่ครั้งแล้วสิ่งของที่อยู่ในมือก็ร่วงลงไปบนพื้น ก่อนที่นางจะคอพับไร้ซึ่งลมหายใจ


ขณะนี้แมงป่องกระดูกขาวที่เพิ่งจะคลานขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณนั้นได้ดึงหางตะขอออกมาจากศพ หลิ่วหมิงเดินเข้ามาหาอย่างไม่รีบร้อน หลังจากที่กวาดสายตามองสิ่งของที่ตกอยู่ข้างศพแล้วก็ยื่นมือข้างหนึ่งดูดมันขึ้นมา


มันคือยันต์สีเขียวอ่อน!


แต่มีอักขระสีแดงจารึกอยู่บนนั้น หลังจากใช้พลังจิตกวาดดูแล้วก็รับรู้ได้ว่ามันแฝงไปด้วยพลังปราณวาตอัคคี ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งของที่หาได้ทั่วไป


เห็นได้ชัดว่ามันเป็นยันต์โจมตีระดับสูง หลิ่วหมิงจึงเก็บมันไว้กับตัวอย่างไม่เกรงใจ


แมงป่องกระดูกขาวขยับก้ามคีบสิ่งของสองอย่างส่งไปยังด้านข้างหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงมองดูอย่างละเอียดก็ค้นพบว่ามันคือดาบหยกสีเขียวเล่มนั้น แต่ตอนนี้มันได้หักออกเป็นสองท่อนแล้ว


ดูท่าอาวุธชิ้นนี้คงเป็นแค่อาวุธอาญาสิทธิ์ระดับสูง มิเช่นนั้นถึงแม้จะถูกคมวายุยักษ์ทำลายเงาดาบ แต่ก็คงไม่ทำให้ตัวดาบจริงๆ หักออกไปเช่นนี้


ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตามหลิ่วหมิงก็ยังเก็บชิ้นส่วนทั้งสองไว้ และค้นตัวหญิงนิกายวาตอัคคีได้ยันต์มาสิบกว่าผืน โอสถสองสามขวด อาวุธอาญาสิทธิ์ระดับกลางอีกสองชิ้น และถุงหนังที่ใส่สิ่งของต่างๆ ใบหนึ่ง


ในถุงหนังยังมีห่อผ้าขนาดเล็กห่อหนึ่ง ซึ่งมันก็คือผ้าย่อส่วนนั่นเอง


ตาทั้งสองของหลิ่วหมิงเป็นประกาย เขารีบหยิบห่อผ้ามาชั่งน้ำหนักบนมือ จากนั้นก็เริ่มร่ายคาถา มืออีกข้างก็ทำท่ามือรูปแบบต่างๆ ก่อนที่จะคว้าถุงผ้าขึ้นมาเทสิ่งของในนั้นลงบนพื้น


แสงสว่างจ้าขึ้นมา!


สิ่งของมากมายกองอยู่บนพื้น ในนั้นมีแร่ที่ดูเหมือนค่อนข้างมีมูลค่า กับกล่องที่ทำจากหยกและไม้อีกหกเจ็ดกล่อง


หลิ่วหมิงสังเกตดูแร่พวกนั้นแค่เพียงประเดี๋ยวเดียว ก็ค่อยๆ เปิดกล่องพวกนั้นออกมาทั้งหมด ผลลัพธ์มันช่างน่ายินดีเป็นอย่างมาก


เป็นดังที่คาดคิดไว้สิ่งของที่บรรจุอยู่ในกล่องล้วนเป็นพืชจิตวิญญาณที่มีมูลค่าไม่น้อย ถึงแม้มันจะไม่สามารถเทียบได้กับหญ้าลอยฟ้า แต่สองต้นในนั้นมีมูลค่าไม่ด้อยไปกว่าทานตะวันวารีลี้ลับของเขาเลย


หลิ่วหมิงเก็บสิ่งของทั้งหมดมาใส่ไว้ในผ้าย่อส่วนของตนเองอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นก็เดินไปยังศพของชายหนุ่มหอสายธารโลหิต


ขณะนี้ร่างส่วนบนของหญิงสาวได้ละลายไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่นานก็มีโลหิตสีดำม่วงนองเต็มพื้น


และเมื่อร่างอีกส่วนสัมผัสโดนโลหิตนี้ก็ค่อยๆ ละลายไปเช่นกัน


พิษจากหางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวในตอนนี้ร้ายกาจกว่าที่คาดคิดไว้มาก


ผ่านไปสักครู่ หลิ่วหมิงก็ได้รับของล้ำค่าจากศพของชายหนุ่มหอสายธารโลหิต ซึ่งมันมีมูลค่ามากกว่าที่ได้จากศพของศิษย์หญิงนิกายวาตอัคคีมาก


นอกจากดาบยาวสีเลือดที่ดูเหมือนจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำแล้ว เขายังเจอเห็ดหลินจือหยกในผ้าย่อส่วนซึ่งมันสามารถกินแบบดิบๆ ได้ และดูเหมือนมันจะมีอายุสามสี่ร้อยปี


หลิ่วหมิงหยิบพืชจิตวิญญาณใส่ปากแล้วกลืนลงไปด้วยความดีใจ


พอมันตกลงไปในท้องก็แผ่ความร้อนกระจายไปตามเส้นลมปราณต่างๆ อย่างรวดเร็ว


หลังจากที่หลิ่วหมิงปล่อยลูกเปลวไฟเผาร่างของชายหนุ่มหอสายธารโลหิตจนกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว ก็ ให้แมงป่องกระดูกขาวเฝ้าอยู่ด้านนอก จากนั้นตนเองก็เข้าไปในโพรงไม้เพื่อเข้าฌาน


หลังจากผ่านไปครึ่งช่วยยาม เขาถึงได้ถอนหายใจยาวๆ ออกมาแล้วลืมตาทั้งสองขึ้นมาอีกครั้ง


ตอนนี้พลังเวทย์ของเขาเพิ่มขึ้นมาเป็นอย่างมาก มันเทียบเท่ากับพลังเวทย์ที่ได้จากการฝึกฝนเดือนกว่าๆ เลยทีเดียว


นี่เป็นสิ่งที่ได้จากการที่เขาควบคุมพลังกว่าครึ่งหนึ่งของพืชจิตวิญญาณไว้ แล้วกลั่นออกมาใช้แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ถ้าหากกลั่นทั้งหมดล่ะก็เชื่อว่าคงได้รับพลังเวทย์เทียบเท่ากับการฝึกฝนครึ่งปีเลยทีเดียว


น่าเสียดายที่สิ่งของที่เขาได้รับมานั้นถึงแม้จะมีโอสถจิตวิญญาณที่ช่วยเพิ่มพลังเวทย์อยู่หลายชนิด แต่มันมีสิ่งอื่นเจือปนอยู่ทำให้มันไม่บริสุทธิ์พอจึงจำเป็นต้องปรุงมันให้เป็นเม็ดโอสถก่อน


ถ้าเขาเพียงแค่ทานเพิ่มอีกสองสามต้นล่ะก็ ออกไปแล้วก็สามารถฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้โดยไม่ต้องไปซื้อโอสถเพิ่มพลังอื่นๆ อีก


หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ แล้วก็ลุกขึ้นทำท่ามือเรียกเมฆเทาออกมา จากนั้นก็เหาะออกไปจากโพรงไม้


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงก็เก็บแมงป่องกระดูกขาวเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้วค่อยๆ หายเข้าไปในป่าเขา


……


ครึ่งวันผ่านไป ชายสวมชุดนิกายเอกะผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่เขตบริเวณใกล้เคียง


พอเขาเข้าใกล้บริเวณป่าก็ค่อยๆ หรี่ม่านตาลง หลังจากที่กวาดตามองไปแล้วก็ค้นพบร่องรอยการต่อสู้ในก่อนหน้านั้น และยังค้นพบถ้ำที่หลิ่วหมิงขุดไว้


หลังจากที่ลังเลเล็กน้อยก็สำรวจดูบริเวณนั้นอยู่หลายรอบจนมั่นใจว่าแถวนั้นไม่มีคนอื่นแล้วถึงได้กระโดดลงไปตรวจดูในถ้ำอย่างรวดเร็ว


แต่ตอนที่ชายที่ดูสุขุมลุ่มลึกเหาะออกมาจากในถ้ำนั้น ก็ก้มดูโลหิตที่ละลายมาจากร่างของหญิงสาวนิกายวาตอัคคีอยู่ครู่หนึ่ง เขาสูดดมมันเบาๆ แล้วก็กล่าวพึมพำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“ช่างเป็นพิษที่รุนแรงมาก! ไม่รู้ว่าเป็นของศิษย์นิกายใดที่สามารถฆ่าศิษย์สองนิกายได้พร้อมกันเช่นนี้ ช่างเถอะ! ในเมื่อคนผู้นี้ขึ้นเขาจากทางนี้ งั้นข้าก็เปลี่ยนไปขึ้นทางอื่นแล้วกัน! ปีศาจร้ายเช่นนี้ควรอยู่ห่างเข้าไว้จะดีกว่า”


ชายหนุ่มท่าทางสุขุมส่ายศีรษะแล้วก็เหาะไปยังอีกทิศทางทันที


……


ขอบทางยาวๆ เส้นหนึ่งของหุบเหวเดียวกัน หยางเฉียนกับชายหนุ่มหน้าดำรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนเคียงบ่ากัน


ดางตาทั้งคู่ของชายหนุ่มหน้าดำเป็นประกายกว่าปกติ บนตัวสวมเสื้อเกราะสีเงินแวววาว ในมือถือกระบองสั้นสีทองจางๆ อยู่อันหนึ่ง


หุบเหวด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลออกไปมีหินละลายเดือดปะทุอยู่ ควันสีแดงดำหมุนเป็นเกลียวลอยวนขึ้นมา ทำให้ท้องฟ้ากว่าครึ่งหนึ่งเปลี่ยนเป็นสีแดงดำ ราวกับว่ายืนอยู่ฝั่งนี้ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่แผดเผามาจากฝั่งนั้นได้


แต่เมื่อมองทะลุแสงสีแดงและควันดำออกไปก็จะพบกับยอดเขาขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดลี้ ซึ่งทั้งสองสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน


“ช่างแปลกเสียจริง! เห็นชัดๆ ว่าพวกเราเดินตรงไปอย่างเดียว แต่เข็มทิศในมือกลับชี้ให้เห็นว่าพวกเราเดินวนเป็นวงกลมขนาดใหญ่ แล้วก็มาถึงที่นี่โดยไม่รู้ตัว ดูจากสถานที่แล้วที่นี่คงจะเป็นใจกลางของแดนลึกลับ พี่หยาง ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?” ชายหนุ่มหน้าดำก้มหน้ามองวัตถุกลมๆ สีเขียวบนมือแล้วก็กล่าวออกมาด้วยความแปลกใจ


“จะให้คิดเห็นว่าอย่างไรล่ะ! แน่นอนว่าในเมื่อมาแล้วก็ย่อมไม่หวาดหวั่นใดๆ การเกิดเรื่องผิดปกติในแดนลึกลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้วใยต้องแปลกใจด้วยเล่า มันเป็นเรื่องดีซะอีกที่พวกเราหาใจกลางแดนลึกลับเจอก่อน อย่างไรซะของล้ำค่าในแดนลึกลับส่วนมากก็คงอยู่ในเขาใหญ่ลูกนั้น” ดูเหมือนว่าหยางเฉียนจะสนิทกับชายหน้าดำมาก เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ก็ตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน


“อืม! พูดเช่นนี้พอจะมีเหตุผลหน่อย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มาดูกันว่าระหว่างพวกเราใครจะไปถึงที่นั่นก่อนกัน” หลังจากที่ชายหน้าดำพยักหน้าเสร็จแล้วก็หัวเราะกล่าวออกมา พอเขาสะบัดหัวไหล่เสื้อเกราะบนตัวก็ส่งเสียงดัง “เคล้งๆ!” จากนั้นมันก็ลางเลือนกลายเป็นปีกสีเงินคู่หนึ่งที่ยาวจั้งกว่าๆ


ชายหนุ่มหน้าดำเพียงแค่กระพือปีกแรงๆ ร่างของเขาก็ทะยานขึ้นฟ้าแล้วบินไปทางฝั่งตรงข้าม


ถึงแม้ตอนที่บินผ่านเหนือหุบเหวระดับความเร็วของเขาจะลดไปสองในสิบส่วน แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการว่าอ่อนแรงแต่อย่างใด ผ่านไปสักครู่ เขาก็ค่อยๆ บินข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามได้ และยังบินต่อไปโดยไม่คิดจะหยุดพักเลย


เมื่อหยางเฉียนเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ทำเสียงฮึดฮัดพร้อมตบมือข้างหนึ่งไปยังถุงหนังดำขลับบนเอว ไอสีดำพวยพุ่งออกมาในทันที หลังจากที่มันรวมตัวกันแล้วก็กลายร่างเป็นปีศาจกระดูกยักษ์ที่มีหัวเป็นวัวมีร่างเป็นมนุษย์


“ไป!”


หยางเฉียนทำท่ามือด้วยมือเดียว แล้วตะโกนด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึก


ครู่เดียวปีศาจตรงหน้าก็ม้วนตัวกลายเป็นวิหคกระดูกยักษ์ที่สูงจั้งกว่าๆ ท่ามกลางไอสีดำอันพวยพุ่ง


วิหคกระดูกกระพือปีกกระดูกพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางไอสีดำที่ห่อหุ้มอยู่ แต่หลังจากที่บินวนบนอากาศไปรอบหนึ่งก็ใช้กรงเล็บจับไหล่ทั้งสองของหยางเฉียนแล้วยกขึ้น และก็บินไปยังหุบเหวตรงหน้า


……………………………………….


ตอนที่ 121 พี่น้อง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ด้านบนอากาศเหนือหินละลายอันพวยพุ่ง ต้วนฉานจู่จ้องมองชายหญิงใบหน้าคล้ายกันสองคนที่ขวางอยู่ตรงหน้า สีหน้าเขาซีดขาวผิดปกติ ชุดคลุมยาวบนตัวฉีกขาดรุ่งริ่ง เผยให้เห็นถึงรูปร่างอันผอมแห้งที่มีแถบผ้าสีเหลืองห่อหุ้มอยู่ และยังมีแถบผ้าสิบกว่าเส้นโบกสะบัดอยู่บริเวณนั้นไม่หยุด จนทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเกิดเงาของแถบผ้าที่ถักทอกัน


แต่ถึงแม้จะป้องกันได้อย่างเหนียวแน่นเช่นนี้ ต้วนฉานจู่ก็ยังคงกล่าวกับทั้งสองด้วยสีหน้าที่สิ้นหวัง


“พวกเจ้าทั้งสองต้องการจะฆ่าข้าจริงๆ หรือ! ถ้าหากข้าไม่สามารถรอดไปได้จริงๆ ทำไมข้าจะไม่ลากให้พวกเจ้าตายไปด้วยกันเล่า”


“พี่ใหญ่ ท่านได้ยินเสียงสุนัขเห่าหรือยัง! ผู้อ่อนแอก็คือผู้อ่อนแอ ไม่คาดคิดว่าจะกล้าเอาคำพูดเสี่ยงตายมาข่มขู่พวกเรา ตอนแรกกะให้เขาตายอย่างสบายๆ แต่ดูท่าคงจะให้เขาตายง่ายๆ ไม่ได้แล้วล่ะ” หญิงสาวอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น หน้าตาแลดูน่ารัก แต่หลังจากที่ยิ้มหวานๆ ให้กับชายที่อยู่ข้างๆ กลับพูดคำพูดที่ทำให้คนรู้สึกขนลุกขนพองออกมา


หญิงนางนี้กับชายที่อยู่ด้านข้างสวมชุดนิกายเดียวกัน


“ฮึ! ตอนนี้ไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้าหรอก ในเมื่อคนผู้นี้รู้ความลับของเราก็ไม่อาจให้เขามีชีวิตรอดไปได้ รีบลงมือให้เร็วหน่อย ถ้าหากมีคนผ่านมาจะยุ่งยากกว่าเดิม” ชายหนุ่มรูปงามด้านข้างกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด


“เอาจริงๆ ตั้งแต่จากเผ่ามาก็ไม่ค่อยได้เล่นสนุกกันเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของพี่ใหญ่น้องสาวอย่างข้าก็คงต้องทำตามสินะ” หญิงร่างอรชรทำปากมุ่ยราวกับว่าไม่ค่อยพอใจมากนัก


แต่ต้วนฉานจู่ที่อยู่ตรงข้ามได้ยินคำพูดนี้กลับตัวสั่นเล็กน้อย เขาขยี้ยันต์ผืนหนึ่งที่อยู่ในมือจนแตกกระจายในทันที แสงสีเขียวจำนวนมากพุ่งออกมาจากในนั้น หลังจากที่ร่างของเขาขยับไปด้านหลังอย่างรวดเร็วก็กลายเป็นแสงสีเขียวหลบหนีไป”


“คิกๆ! ต่อหน้าพวกข้าสองคนพี่น้อง เจ้ายังคิดจะหนีเหรอ ฝันไปเถอะ!”


พอหญิงร่างอรชรเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด แต่กลับหัวเราะคิกๆ ออกมา


จากนั้นก็มีอักขระสีฟ้าปรากฏออกมาบนหน้าหญิงสาว พอนางบิดตัวก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีฟ้าพุ่งตามไปด้วยความรวดเร็ว เพียงแวบเดียวก็ตามมาเกือบถึงตัวต้วนฉานจู่


ต้วนฉานจู่เห็นเช่นนี้ก็หน้าแดงก่ำไปทั่ว เขาคำรามออกมาโดนฉับพลัน แถบผ้าทั้งหมดบนตัวโบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งแล้วก็เปลี่ยนเป็นสีทองจางๆ


บริเวณที่แถบผ้าพัดผ่านบังเกิดเสียงฟิ้วๆ ราวกับมีคมดาบอันน่าสะพรึงกลัวสิบกว่าเล่มฟันลงมาพร้อมกันอยู่ไม่หยุด ทำให้ร่างของต้วนฉานจู่ถูกห่อหุ้มอยู่ในเงาคมดาบสีทองนั้น


แต่หญิงสาวร่างอรชรผู้นี้ทำราวกับไม่เห็บคมดาบเหล่านี้ นางเพียงแค่หัวเราะเบาๆ แล้วก็พุ่งเข้าไปในเงาดาบเหล่านั้น


แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายขึ้นมา เสียง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ดังขึ้น เงาดาบอย่างน้อยสิบกว่าเส้นฟันผ่านร่างของหญิงสาวร่างอรชรภายในพริบตา


แต่ฉากอันน่าตกใจได้ปรากฏขึ้นแล้ว


ร่างของหญิงอรชรมีแสงสีฟ้าหมุนวนอยู่ไม่หยุด และนางก็ไม่สนใจการโจมตีที่พุ่งเข้าหานางเลย แต่นางก็ไม่ได้รับบาดแผลใดๆ เลยแม้แต่น้อย


ต้วนฉานจู่ตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบหยิบดาบสั้นสีเขียวเล่มหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ และคิดที่จะฟันไปยังด้านหน้า แต่มันก็สายไปเสียแล้ว


พอร่างของหญิงอรชรดูลางเลือนก็พกพาสายลมอันหอมหวลพัดผ่านมายังหน้าเขา ต้วนฉานจู่แค่รู้สึกว่าดวงตาทั้งสองมืดลง จากนั้นก็ส่งเสียงร้องอันน่าเวทนาออกมา


รูเลือดสองแห่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา ลูกตาที่เดิมอยู่ในเบ้าตาถูกหญิงสาวใช้วิธีการที่คาดไม่ถึงควักออกมา


ถึงแม้ต้นฉานจู่จะนับว่าเป็นศิษย์ยอดเยี่ยมของนิกายปีศาจ แต่เมื่อตาทั้งคู่บอดลงเขาก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีด เขาทำได้แค่พยายามฟันดาบสั้นในมือออกไปทั่วทิศอย่างบ้าคลั่ง


ปราณดาบแต่ละสายตัดสลับกันไปมาจนทำให้เกิดรอยสีขาวบนพื้นที่บริเวณนั้น


แต่เสียงหัวเราะของหญิงสาวร่างอรชรก็ดังวนอยู่บริเวณนั้นไม่หยุด จนทำให้เขาไม่อาจจับตำแหน่งของฝ่ายตรงข้ามได้


ใจของต้วนฉานจู่ร่วงหล่นลงไปในทันที


“น้องเล็ก เจ้าใช้เวลานานเกินไปแล้ว ช่างเถอะ! ให้ข้าลงมือจัดการเองเถอะ!” ขณะนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงอันเย็นยะเยือกของชายหนุ่มดังเข้ามา


ครู่ต่อมา ต้วนฉานจู่พลันได้ยินเสียงคลื่นขนาดใหญ่ดังขึ้น พลังมหาศาลพุ่งเข้ามาจากทั่วทิศ


แถบผ้าที่พลิ้วไหวอยู่ข้างตัวต้วนฉานจู่เพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อย แล้วก็ถูกพลังมหาศาลนี้จู่โจมจนต้องค่อยๆ ถอยกลับไป


เขารู้สึกถึงร่างกายตัวเองที่หนักอึ้งจนแม้แต่นิ้วก็ไม่สามารถกระดิกได้


“พวกเจ้า…”


เขาร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้านราวกับว่าต้องการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตะโกนออกมา แต่พออ้าปากก็มีพลังลมปราณกรอกเข้าไปในปากเขาอย่างบ้าคลั่งจนสกัดคำพูดเหล่านั้นไว้


หน้าของต้วนฉานจู่ไม่มีเส้นเลือดเลยแม้แต่น้อย


ในตอนนี้ถ้าหากตาทั้งสองของเขายังมองเห็นล่ะก็ ก็จะสามารถเห็นอย่างชัดเจนว่าอากาศที่อยู่ห่างจากเขาไปไม่ไกลนั้น หญิงสาวร่างอรชรกำลังทำปากยื่นยืนอยู่ด้านหลังของชายหนุ่มนิกายเอกะ


และชายหนุ่มนิกายเอกะกลับใช้สองมือทำท่าในลักษณะโอบล้อมอยู่ ผมยาวเต็มศีรษะสะบัดพลิ้วไหวไปกับสายลม ในขณะเดียวกันใบหน้าอันขาวผ่องเต็มไปด้วยอักขระสีน้ำเงิน ดวงตาทั้งคู่ก็กลายเป็นสีน้ำเงินไปด้วย


อากาศรอบตัวต้วนจานฉู่เต็มไปด้วยคลื่นที่โหมซัดสาดติดต่อกันออกไป และยังมีอักขระสีฟ้าแต่ละตัวพรั่งพรูออกมาอยู่ไม่หยุด


อักขระสีฟ้าเหล่านี้วิ่งวนไปมาล้อมตัวต้วนฉานจู่ไว้ ครู่เดียวมันก็ห่อหุ้มร่างของเขาจนแม้แต่ลมฝนไม่อาจผ่านเข้าไปได้


ชายหนุ่มเห็นสภาพเช่นนี้แสงในดวงตาสีน้ำเงินก็เปล่งประกายขึ้นมา จากนั้นสองมือที่โอบอุ้มก็รวมกันที่ตรงกลางก่อนที่จะพูดคำว่า “ตาย!” ออกมา


อักขระทั้งหมดรัดตัวต้วนฉานจู่ทันที ร่างของต้วนฉานจู่พองตัวขึ้นเล็กน้อยจากนั้นก็ระเบิดออกมาด้วยเสียงอันดัง


เศษเลือดเนื้อกระจัดกระจายไปทั่วทิศ ศิษย์นิกายปีศาจผู้นี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว


“พี่ใหญ่ วิชาสายน้ำตกของท่านร้ายกาจมากขึ้นทุกวัน ดูเหมือนจะไม่ต้องรอถึงสิบปีก็สามารถกลับไปได้แล้ว” หญิงสาวร่างอรชรเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มแย้มแจ่มใสออกมา


“น้องเล็ก ไม่ใช่บอกแล้วเหรอว่าไม่ควรพูดเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเผ่าเราในสถานที่แห่งนี้ ก่อนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจ้าไม่ระมัดระวังคำพูด ก็คงไม่ถูกเจ้าเด็กนี่ค้นพบความลับของเราได้ ถ้าหากคนอื่นได้ยินเข้าล่ะก็จะสร้างความยุ่งยากให้พวกเราอีกครั้ง” ชายหนุ่มหยุดแสดงวิชาแล้วขมวดคิ้วกล่าวออกมา ขณะเดียวอักขระสีน้ำเงินบนใบหน้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


“ที่นี่ไม่ใช่โลกภายนอกสักหน่อย ทั้งยังเป็นแค่มนุษย์ที่ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น อย่างมากพวกเราก็แค่ฆ่าพวกมันให้หมดก็พอแล้ว” หญิงสาวร่างอรชรเอาลิ้นชมพูเลียริมฝีปากแล้วก็ทำท่าทีไม่ใส่ใจ


“เจ้าพูดเหลวไหล! ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเราจะทำเรื่องนี้ไม่สำเร็จ ถ้าหากว่ามีแค่เราสองคนที่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ เจ้าคิดว่าผู้อาวุโสที่อยู่ข้างนอกเหล่านั้นจะปล่อยพวกเราไปอย่างง่ายดายหรือ ถึงแม้พวกเราจะทานโอสถลับของเผ่ามาตั้งแต่เด็ก ในสถานการณ์ทั่วไปไม่อาจมีคนค้นพบพวกเราได้ แต่ถ้าผู้อาวุโสระดับผลึกของเผ่ามนุษย์ใช้เคล็ดวิชาตรวจสอบล่ะก็ พวกเราก็ไม่อาจแปลกปลอมผ่านด่านไปได้” ชายหนุ่มกล่าวตำหนิด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป


“ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจน่ะสิ! มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะค้นพบแดนลึกลับตามธรรมชาติแห่งนี้ หรือว่าจะต้องแบ่งของล้ำค่ากับมนุษย์พวกนี้อย่างนอบน้อมอย่างนั้นหรือ?” หญิงสาวร่างอรชรเอียงศีรษะกล่าวอย่างไม่ยอม


“เจ้าลืมแผนการในก่อนหน้านี้แล้วหรือ! ทรัพยากรอื่นๆ ในแดนลึกลับแห่งนี้ก็ให้เผ่ามนุษย์เหล่านี้เอาไปเถอะ แต่ศพของมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณระดับผลึกตนนั้นพวกเราจะต้องชิงมาให้ได้ ขอแค่ได้ศพของมังกรแดงตนนี้มา ก็นับว่าพวกเราได้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ให้กับเผ่าเราแล้ว ไม่แน่พอถึงเวลานั้นพวกเราอาจจะไม่ต้องอยู่ที่นิกายเอกะอีกต่อไป และอาศัยผลงานนี้กลับไปได้” ในที่สุดชายหนุ่มก็ตอบกลับด้วยอารมณ์ฮึกเหิม


“ถ้าหากสามารถหามังกรแดงตนนี้เจอจริงๆ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก แต่จะบอกว่าแดนลึกลับแห่งนี้ใหญ่มันก็ไม่ใหญ่ จะบอกว่าเล็กก็ไม่เล็ก เพื่อป้องกันความสนใจจากคนอื่นพวกเราก็ไม่อาจแสดงวิชาหลบหลีกของเผ่าเราเพื่อตรวจสอบดูได้ คิดที่จะหามังกรแดงตนนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย นอกเสียจากว่าพี่ใหญ่จะยอม…” หญิงสาวร่างอรชรพยักหน้า แต่ก็กระพริบตาปริบๆ แสดงท่าทีลังเลออกมา


“ถูกต้อง! ตอนนี้ก็เสียเวลาไปเล็กน้อยแล้ว ดูเหมือนจะต้องใช้ของสิ่งนั้นแล้วล่ะ” ชายหนุ่มได้ยินก็ถอนหายใจเบาๆ ออกมา


“พี่ใหญ่ ท่านคิดดีหรือยัง ของสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ท่านจะใช้กระตุ้นเส้นลมปราณตอนที่ทะลวงเขตแดนของเหลวจิตวิญญาณนะ มันเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสตั้งใจมอบให้ท่าน ถ้าหากใช้มันหมดตอนนี้ล่ะก็ ทางเผ่าคงไม่มอบให้เป็นครั้งที่สองอีก” หญิงสาวร่างอรชรได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ดูเคร่งขรึมขึ้นมา


“วางใจเถอะ! ข้ารู้ว่าควรจะทำอย่างไร ถึงแม้โลหิตมังกรสมุทรขวดนั้นจะล้ำค่าเป็นอย่างมาก แต่ไหนเลยจะเทียบกับมังกรแดงระดับผลึกตนหนึ่งได้ ขอแค่พวกเราได้ศพมังกรแดงตนนี้มา ก็อาศัยผลงานยิ่งใหญ่นี้แลกกับโลหิตมังกรสมุทรขวดหนึ่งได้อย่างง่ายดายแล้ว แต่ถ้าเราไม่สามารถคว้าโอกาสอันดีนี้ไปได้ข้าคงต้องเสียใจไปตลอดชีวิต” ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว


“ในเมื่อพี่ใหญ่คิดดีแล้ว น้องสาวอย่างข้าก็ไม่ขัดขวางท่านแล้ว ว่าแต่จะแสดงมันตอนนี้เลยหรือไม่?” หญิงร่างอรชรถอนหายใจกล่าวออกมา


“ชะลอตัวลงชั่งคราวก่อนเถอะ! มังกรแดงตนนั้นบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เป็นไปได้ว่ามันอาจจะอยู่ในเขาใหญ่นี้เพื่ออาศัยพลังปราณอันเข้มข้นรักษาชีวิตของมันไว้ รอเข้าไปข้างในแล้วข้าค่อยแสดงวิชาหาตำแหน่งของมันเพื่อที่จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองโลหิตมังกรสมุทรขวดนั้น” ชายหนุ่มกล่าวอย่างมั่นใจ


หญิงสาวร่างอรชรได้ยินเช่นนี้ย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ


ดังนั้นคนทั้งสองจึงค้นเอาผ้าย่อส่วนจากชิ้นเนื้อที่เกือบไหม้เกรียมออกมา จากนั้นก็เคียงไหล่กันเหาะไปยังยอดเขาใหญ่


…….


ตรงปากทางเข้าแดนลึกลับ เหลิ่งเยวี่ยซือไท่ หลวงจีนหลิงอวี้ และผู้อาวุโสระดับผลึกคนอื่นๆ ต่างก็ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหินกระตุ้นแผ่นกลมๆ ในมือเพื่อประคองทางเข้าแดนลึกลับให้มั่นคง เตาหลอมสีทองที่อยู่ตรงกลางนั้นก็มีอักขระพรั่งพรูออกมาอยู่ไม่หยุด


“สหายมู่หรง ในเมื่อเจ้ายอมจ่ายค่าตอบแทนมากมายเช่นนี้ เพื่อแลกกับการที่จะให้ศิษย์ในนิกายได้เข้าไปแดนลึกลับ คิดว่าศิษย์ที่นำมาในครั้งนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งเป็นอย่างมากล่ะสิ!” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่เอ่ยปากถามมู่หรงเซวี่ยนที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาในฉับพลัน


……………………………………….


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)