ยอดหญิงสกุลเสิ่น ตอนพิเศษ 1.1-1.2

ตอนพิเศษ 1-1 สวีโย่ว (ต้น)

 

 


 


หลังจากที่สวีโย่วรู้จักกับคุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหวนามว่าแม่นางเสิ่นเวยผู้นั้น จึงรู้สึกว่าชีวิตค่อยสนุกขึ้นบ้าง


 


 


นับตั้งแต่จำความได้ เขาก็อาศัยอยู่ในเรือนหลังหนึ่งในจวนจิ้นอ๋อง ไม่มีเสด็จพ่อ ไม่มีเสด็จแม่ และไม่มีพี่น้องคนอื่นๆ เขามีเพียงหญิงรับใช้และแม่นม ยังมียาน้ำขมๆ และความเจ็บปวด


 


 


ใช่แล้ว ความเจ็บปวด ความเจ็บปวดที่ติดตามเหมือนเงา เมื่อกำเริบขึ้นมาก็เจ็บปวดเหมือนจะตาย เมื่อนั้นยายหรูจะกอดเขาเอาไว้ในอก บอกกับเขาด้วยน้ำตานอง “คุณชายใหญ่นิ่งไว้! อดทนเข้า อดทนอีกนิดก็หายแล้วเจ้าค่ะ”


 


 


เมื่อเห็นยายหรูเป็นทุกข์ถึงเพียงนั้น เขาอยากจะบอกนางว่า “อย่ากังวลไปเลย ข้าจะอดทน” ทว่าแม้แต่แรงที่จะเปิดปากพูดก็ยังไม่มี ดังนั้นเขาจึงอดทนต่อความเจ็บปวดได้เป็นพิเศษตั้งแต่เด็ก ตอนที่เขารู้ว่าสตรีงดงามที่ต่อหน้าเสด็จพ่อทำทีดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดีแต่เมื่อเสด็จพ่อไม่อยู่กลับจับตามองเขาอย่างเย็นชาไม่ใช่เสด็จแม่ของเขาเอง เขาก็ยิ่งอดทนเก่งมากขึ้น


 


 


แม้ความเจ็บปวดจะมากมายเพียงใด แค่เขากัดฟันมันก็จะผ่านพ้นไป เหมือนกับการขึ้นภูเขาไม่มีผิด


 


 


ตอนนั้นเขาอายุห้าขวบหรือหกขวบหรือไม่ก็เจ็ดขวบเขาเองก็จำไม่ค่อยได้แล้ว เป็นเพราะวันเวลาในตอนนี้เขามีความสุขมากเหลือเกิน เขาจึงได้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตได้น้อยมาก


 


 


จำได้เพียงครั้งนั้นเขาป่วยจนเกือบตาย ทว่าแม้บ่าวไพร่สักคนในเรือนก็ไม่อยู่ แม้แต่ยายหรูที่ดีต่อเขามากที่สุดก็ยังไม่อยู่ เขาทุกข์ทรมานอย่างถึงที่สุด รู้สึกเหมือนร่างกายมีไฟแผดเผา เขากระหายน้ำอย่างยิ้ม จึงพลิกกายลงจากเตียงอย่างสุดชีวิต เขาล้มลงบนพื้น ทันใดนั้นก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย สัมผัสเย็นๆ ทำให้เขารู้สึกสบายมากขึ้น สบายจนอยากจะนอนหลับไม่ตื่น


 


 


จากนั้นเขากลับตื่นขึ้นมา เป็นท่านพี่รัชทายาทแห่งจวนจิ้นอ๋องที่บังเอิญช่วยเขาได้พอดี อ้อ ในตอนนั้นท่านพี่รัชทายาทยังไม่ได้เป็นรัชทายาทเลย เขาเป็นคุณชายใหญ่แห่งจวนฉินอ๋องต่างหาก


 


 


ตอนที่เขาตื่นขึ้นมานั้น เขาไม่ได้อยู่ในห้องที่คุ้นเคย แต่เขานอนอยู่ในห้องที่กว้างใหญ่มาก ชายชราที่อยู่ในชุดสีเหลืองสว่างมองเขาด้วยความเมตตา และยังมีชายชราหนวดเครายาวอีกสองสามคนคุกเข่าอยู่ที่พื้น


 


 


นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเสด็จปู่ของเขาเอง ชายชราเครายาวคนนั้นเป็นหมอหลวงที่ให้การรักษาเขา


 


 


เสด็จปู่มีหน้าตาอย่างไร เขาเองก็จำไม่ได้แล้ว แต่เขายังจำได้ว่าเสด็จปู่พูดคุยกับเขาอย่างสนิทสนมและยังทำดีกับเขา ไม่เหมือนเสด็จพ่อที่แสนเย็นชาเลยแม้แต่น้อย ใจของเขาทั้งประหม่าทั้งปีติยินดี


 


 


จากนั้นเขาก็ถูกส่งขึ้นมาบนภูเขา บนเขามีหมอเทวดาคนหนึ่งอาศัยอยู่ซึ่งสามารถรักษาโรคของเขาให้หายได้ พูดอย่างจริงจังว่าเขาเป็นโรคเรื้อนแต่กำเนิด หมอเทวดามีนิสัยไม่ดีเอาเสียเลย ตอนที่เขาเพิ่งจะขึ้นเขามาได้ หมอเทดามองเห็นว่าสายตาของเขาเต็มไปด้วยความเฉยชา ยังร้องเรียกเขาว่าเจ้าลูกหมาและยังใช้ให้เขาทำงานอีกด้วย


 


 


“เจ้าลูกหมา ไปถอนหญ้าที่สวนสมุนไพรหลังเรือนซิ”


 


 


“เจ้าลูกหมา ฟืนของวันนี้ยังไม่ได้ผ่าเลยนะ”


 


 


“เจ้าลูกหมา น้ำในถังแห้งหมดแล้วไม่เห็นหรือไร ช่างเป็นคุณชายที่มีตาแต่หาแววไม่ยิ่งนัก”


 


 


——


 


 


เขาอยากจะกระโดดลงเขาเสียทุกครั้ง แต่เมื่อคิดถึงตอนที่ยายหรูกอดเขาเอาไว้แล้วสั่งเสียว่า “คุณชายใหญ่ เมื่อขึ้นเขาไปแล้วต้องเป็นเชื่อฟังและเป็นเด็กดี คนที่อยู่บนภูเขาผู้นั้นเป็นราวกับเทวดา มีเพียงเขาเท่านั้นจึงจะสามารถรักษาท่านได้ ท่านนักปราชญ์ต้องลงแรงอย่างมากจึงจะวางแผนเพื่อท่านได้นะเจ้าคะ”


 


 


หากเขากลับไปเช่นนี้ ยายหรูจะต้องน้ำตาไหลพรากแน่ เสด็จปู่เองก็คงจะทรงผิดหวัง เมื่อนึกถึงเสด็จปู่ที่ลูบศีรษะเขาอย่างสนิทสนม เขาก็กัดฟันทนต่อไป


 


 


จากนั้น หมอเทวดาก็กลายเป็นอาจารย์ของเขา


 


 


มันเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหนกัน อาจจะเป็นตอนที่เขาเคยชินกับการต้องกัดฟันทน อาจจะเป็นตอนที่เขายอมปล่อยให้เขาแทงเข็มเงินมากมายถึงเพียงนั้นเข้ามาในร่างกายโดยไม่ร้องสักแอะกระมัง! เขาได้ยินหมอเทวดาบ่นพึมพำ “ช่างเป็นเจ้าลูกหมาที่ดื้อรั้นจริงๆ”


 


 


บางครั้งเขาก็เห็นแววตาสงสารยามที่หมอเทวดามองมาที่เขา เมื่อเขาตั้งใจมองดีๆ หมอเทวดาก็ลูบเคราตัวเองแรงๆ พลางถลึงตาจ้อง “อืดอาดอยู่ทำไม วันนี้ท่องหนังสือแล้วหรือ คัดตัวอักษรแล้วหรือ ฝึกยืนบนเสาได้กี่ชั่วยาม ฝึกวิชาต่อสู้ได้กี่รอบแล้ว”


 


 


ใช่แล้ว หมอเทวดานั้นนอกจากจะรักษาโรคให้เขาแล้ว ยังสอนหนังสือและฝึกวิชายุทธ์ให้เขาอีกด้วย พลางสอนพลางเฉยชา “ดูให้ดีนะ ข้าจะสอนเจ้าเพียงครั้งเดียว ถ้าทำไม่ได้ตอนเที่ยงไม่ต้องกินข้าว”


 


 


ปากยังชอบบ่นอีกว่า “เสียเปรียบชัดๆ เพื่อเศษสมุนไพรไม่กี่ต้นต้องลำบากเลี้ยงทารกด้วย”


 


 


หมอเทวดายังคงพูดจาเหมือนมะนาวไม่มีน้ำกับเขาเหมือนเดิม ยังใช้เขาทำงานหนัก และยังต่อว่าที่เขาเรียนได้ช้า เพราะโง่เง่า ทำให้เขาเสียหน้า ทว่าสวีโย่วกลับรู้สึกสนิทสนม ทั้งยังบ่มเพาะประสาทสัมผัสตั้งแต่ยังเยาว์ ใครกันแน่ที่ดีต่อเขาอย่างจริงใจ เพียงครู่เดียวเขาก็แยกแยะได้


 


 


เหมือนกับหมอเทวดา แม้เขาจะบ่นว่าเขานั้นเลี้ยงเสียข้าวสุก แต่ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายป่าหรือไก่ป่าที่ล่ามาได้ในสามวันห้าวันก็แบ่งให้เขากินด้วย แม้ว่าเขาจะพูดจาไม่น่าฟัง แต่ก็ยังยัดลูกวาดใส่คอเขาทุกครั้งที่ดื่มยาจนหมด


 


 


ดังนั้นจึงเริ่มที่จะเรีกเขาว่าอาจารย์ และหมอเทวดาก็เอาแต่อ้าปากค้างและไม่ได้พูดตอบโต้อะไร ทำเพียงถอนหายใจยาวแล้วยอมรับ และในช่วงเวลานั้นเองที่เจียงเฮยและเจียงไป๋ได้มาอยู่ข้างๆ เขา พวกเขาเป็นเด็กกำพร้าที่อาจารย์เก็บได้ที่ล่างเขา


 


 


เสด็จปู่เสด็จมาหาเขาบนภูเขาในปีที่สอง เมื่อมาถึงแล้วก็มีพระราชโองการเรียกให้เขาเข้าไปพบ เขามองไปที่เสด็จปู่ผู้แก่ชรา ในใจก็รู้สึกเป็นทุกข์ เสด็จปู่ยังคงมองเขาอย่างเมตตาเช่นเคย แต่เขากลับรู้สึกว่าเสด็จปู่กำลังมองผ่านเขาไปที่ใครบางคน ความรู้สึกเช่นนั้นช่างแปลกประหลาดนัก


 


 


เสด็จปู่มอบป้ายอาญาสิทธิ์ให้เขาหนึ่งป้าย เป็นป้ายที่สลักรูปกิเลนเอาไว้ ให้เขาเก็บเอาไว้ให้ดี อย่าได้บอกใครเด็ดขาด บอกว่าเป็นของที่เอาไว้ให้เขาตั้งตัว


 


 


ตอนนั้นเขายังไม่เข้าใจ ต่อมาภายหลังจึงรู้ว่าเสด็จปู่ทิ้งทหารคุ้มมังกรเอาไว้ให้เขา ทหารคุ้มมังกรคือทหารลับที่เก่งกาจที่สุดและลึกลับที่สุดในพระหัตถ์ของเสด็จปู่ แต่เสด็จปู่กลับมอบให้กับเขา และเป็นเพราะเขาต้องพึ่งพาการคุ้มครองจากทหารคุ้มมังกรเองทำให้เขามีโอกาสได้พบกับหญิงสาวคนสำคัญ


 


 


ทุกๆ ปีเขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บนภูเขา มีเพียงช่วงปีใหม่ที่เขาต้องกลับเมืองหลวง กลับไปยังจวนจิ้นอ๋อง


 


 


พูดไปแล้วก็น่าขัน จวนจิ้นอ๋องเป็นบ้านของเขาแท้ๆ เขาเป็นทายาทชายเอกของจวนจิ้นอ๋องแท้ๆ เชียว แต่เขากลับยอมที่จะอยู่บนเขามากกว่า ไม่อยากจะกลับมาเลยแม้แต่น้อย


 


 


เขาจะกลับมาทำไม สายตาของเสด็จพ่อที่มองมาที่เขาช่างเย็นชานัก แม้ว่าหญิงคนนั้นถามใถ่สารทุกข์สุขดิบด้วยความอบอุ่น แต่ก็เป็นเพียงการใส่หน้ากากเท่านั้น ลับหลังก็ยังคงจัดแจงกลั้นแกล้งไม่หยุด อย่างเช่นการยัดคนเข้ามาในเรือนพักของเขา โดยเฉพาะยัดเยียดสาวใช้หน้าตาสวยๆ เข้ามา


 


 


พี่น้องคนอื่นก็ไม่ได้สนิทสนมกับเขา พวกเขาก็มีครอบครัว เขาเป็นเพียงคนนอกที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ บ่าวไพร่ที่เคยอยู่รับใช้เขาสองสามคนนั้น นอกจากยายหรูแล้วก็ไม่รู้ว่าถูกส่งไปที่ใด แม้แต่ยายหรูก็ไม่ได้อยู่ในเรือนพัก กลับไปอยู่ที่ศาลบรรพชนคอยดูแลรักษาป้ายวิญญาณของเสด็จแม่


 


 


เมื่อเขาเริ่มมีอายุมากยิ่งขึ้น เขาก็รู้ถึงประวัติความเป็นมาของชีวิตตัวเอง รู้ว่าเสด็จแม่ต้องเสียชีวิตเพราะคลอดเขาออกมา รู้ว่าเสด็จพ่อของเขานั้นไม่ยินยอมที่จะแต่งงานกับเสด็จแม่ของเขา หญิงผู้นั้น ผู้ซึ่งตอนนี้เป็นจิ้นหวังเฟยต่างหากถึงจะเป็นคนที่เสด็จพ่อรักทั้งใจ ดังนั้นเขาจึงไม่อยากกลับมายังจวนจิ้นอ๋อง


 


 


ตอนที่เขาอายุสิบห้าปีอาการป่วยของเขาหายแล้ว โรคที่อยู่ในการก็รักษาหายแล้ว อาจารย์กล่าวไว้ว่าหากเขาไม่รนหาที่ตาย ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงเจ็ดสิบแปดสิบปี ส่วนเรื่องทายาทก็คงจะมีอุปสรรคบ้างเล็กน้อย แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ท่านอาจารย์ผู้ชราได้คิดค้นหาวิธีให้เขาอย่างยากลำบากแล้ว


 


 


เรื่องนี้ สวีโย่วไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย หลายปีมานี้เขาได้บ่มเพาะนิสัยเย็นชาไม่ยินดียินร้าย หากต้องใช้ชีวิตอย่างเป็นทุกข์ขนาดนี้ จะมีอะไรดีเล่า ตายแล้วก็จะได้หลุดพ้น ไม่เห็นว่าจะมีอะไรไม่ดีตรงไหน


 


 


ดังนั้นเขาจึงยอมรับเสด็จลุง จักรพรรดิยงเสวียนฮ่องเต้องค์ปัจจุบันพระราชทานฐานะและตำแหน่งแก่เขา ต่อหน้าเขาคือองค์ชายใหญ่ขี้โรคแห่งจวนจิ้นอ๋องลับหลังเขาเป็นหัวหน้าทหารเงา อยู่นอกสายตาโดยสิ้นเชิง เรื่องต่างๆ ที่ยากจะแก้ไขในราชสำนักเขาล้วนแล้วแต่รับมาจัดการทั้งสิ้น


 


 


เป็นเพราะเขากลัวและไม่เสียดายชีวิต ใช่แล้ว เขาไม่เอาเรื่องความเป็นความตายของตัวเองมาใส่ใจ ขอแค่เข่นฆ่าศัตรูได้ เขาก็ไม่สนใจว่าตัวเองจะบาดเจ็บ ดังนั้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากเพียงใดก็สามารถจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงค่อยๆ ได้รับความเชื่อถือและไว้วางใจจากฝ่าบาท ในสายตาของคนทั้งหลายเขาเป็นเพียงคุณชายใหญ่ผู้ไร้อำนาจแห่งจวนจิ้นอ๋องผู้เป็นพระภาติยะที่ฝ่าบาทรักใคร่เอ็นดูมากที่สุด

 

 

 


ตอนพิเศษ 1-2 สวีโย่ว (ต้น)

 

 


 


ความรักใคร่เอ็นดูเช่นนี้ขวางหูขวางตาผู้หญิงคนนั้น พูดตามตรง การปล่อยให้เขามีอายุถึงสิบห้าปี หญิงผู้นั้นก็ร้อนอกร้อนใจแทบแย่ นางวางยาใส่ร้ายเขาต่อหน้าเสด็จพ่อ ทำให้เสด็จพ่อยิ่งรังเกียจหมางเมินเขาไปกันใหญ่ ที่จริง หญิงผู้นั้นทำไปเพียงเพื่อตำแหน่งซื่อจื่อเท่านั้น


 


 


เฮอะ เฮอะ ตำแหน่งซื่อจื่อนั้นไม่อยู่ในสายตาของเขาเลย อีกอย่าง สำหรับเขานั้นจวนจิ้นอ๋องก็เป็นเพียงสถานที่แปลกหน้าที่น่ารังเกียจเท่านั้น เขาไม่เห็นอยากได้


 


 


หลังจากที่โดนผู้หญิงคนนั้นยั่วยุ เสด็จพ่อจึงดุด่าเขาโดยไม่คิด เพื่อความสงบ เขายอมยกตำแหน่งซื่อจื่อให้กับน้องชายคนรองสวีเยี่ย บุตรชายคนโตของผู้หญิงคนนั้นด้วยตัวเอง ที่จริงแล้วน้องรองเองก็มีอายุน้อยกว่าเขาเพียงไม่กี่เดือน


 


 


ผู้หญิงคนนั้นต้องการที่จะแสดงตัวว่าเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง จึงเริ่มที่จะเข้ามาวุ่นวายในเรื่องการแต่งงานของเขา เตรียมงานหมั้นหมายในเขาทั้งหมดสามครั้งด้วยกัน แสดงต่อหน้าดูงดงามไม่มีด่างพร้อย แต่ความจริงต้องการลดทอนอำนาจของเขาให้อ่อนลง


 


 


เป็นเพราะนางไม่มั่นใจกลัวว่าเขาจะให้กำเนิดทายาท ดังนั้นว่าที่เจ้าสาวของเขาทั้งสามล้วนแล้วแต่เกิดปัญหา คนแรก ระหว่างทางไปไหว้พระม้าเกิดตกใจจนห้อตกหน้าผา คนที่สอง ทะเลาะกับน้องสาวที่เกิดจากอนุภรรยาจนถูกจับโยนลงบ่อน้ำเสียชีวิต คนที่สาม ถูกจับได้ว่าคบหากับผู้ชายจึงแขวนคอตายด้วยความอับอาย


 


 


ดังนั้นเขาจึงได้รับฉายาฉาวโฉ่ไปทั่วว่าเป็นผู้ชายกินเมีย ผู้คนพากันหลีกเลี่ยงเขาเหมือนตัวโชคร้าย


 


 


สวีโย่วไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย กลับรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้อยากแต่งงานเลย และไม่คิดจะมีทายาทด้วย เพราะเขาจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่อยากจะทำให้หญิงสาวบ้านไหนต้องเจ็บปวด เขาชินกับการอยู่คนเดียว และไม่ชอบที่จะมีคนมากมายมาล้อมหน้าล้อมหลัง


 


 


แต่ความคิดเช่นนี้ของเขาได้เปลี่ยนไปเมื่อพบสาวน้อยที่ชื่อเสิ่นเวย


 


 


ตอนนั้นเขาอายุยี่สิบสองปี เขายังคงเป็นคุณชายใหญ่ผู้อ่อนแอแห่งจวนจิ้นอ๋อง ใช้เวลาส่วนใหญ่ในหนึ่งปีรักษาตัวบนภูเขา แต่ในความจริงแล้วเขากำลังซ่อนตัวเพื่อทำภาระกิจแทนฝ่าบาทอยู่


 


 


ตอนนั้นเป็นเดือนเจ็ด จวนของเสด็จป้าองค์หญิงใหญ่ได้จัดงานเลี้ยงรับรอง เขาอยู่ที่เมืองหลวงพอดี อีกอย่าง เขามีธุระต้องไปหาน้องชิงอวี่พอดี จึงไปยังจวนองค์หญิงใหญ่เป็นครั้งแรก


 


 


ที่จวนองค์หญิงใหญ่เป็นครั้งแรกที่พบกับเสิ่นเวย ตอนนั้นเสิ่นเวยกำลังต่อปากต่อคำกับกลุ่มของสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวง แต่เขากำลังยืนอยู่ที่ชั้นบนสุดของหอสูง


 


 


ฝีปากของหญิงคนนั้นช่างเก่งกล้านัก คนๆ เดียวกลับต่อปากต่อคำกับกลุ่มสตรีสูงศักดิ์โดยไม่เพลี้ยงพล้ำ ทั้งยังใช้วิธีหลาดหลาย ทั้งเยาะเย้ยถากถางและขู่ให้หวาดกลัว สตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงไหนเลยจะหาวิธีมาสู้นางได้


 


 


เขาที่มองอยู่ด้านบนนั้นมองดูด้วยความสนุก แต่แม่นางผู้นั้นช่างกล้าพูดนัก ปกติแล้วคุณหนูต้องสงบเสงี่ยมไม่ใช่หรือ นางเอาแต่เปิดปากพูดเรื่องแต่งเข้าแต่งออก อนุภรรยาหรือเมียน้อย แล้วยังชี้ให้เห็นว่าเหล่าสตรีสูงศักดิ์เหล่านี้ทำให้นางลำบากก็เป็นเพราะอิจฉาที่นางเป็นว่าที่ภรรยาของหย่งหนิงโหวซื่อจื่อ และยังบอกว่าหากนางมีความสามารถจริงก็ไปให้ถึงตัวของหย่งหนิงโหวให้ได้ซี ซ้ำนางยังมีน้ำใจอวยพรให้พวกนางโชคดี


 


 


เฮอะ เฮอะ ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจนัก ดังนั้นเขาจึงจำนางเอาไว้ในใจ อ้อ ใช่แล้ว ตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าตัวนางชื่อเสิ่นเวย กลุ่มสตรีสูงศักดิ์ในตอนนั้นเรียกนางว่าเสิ่นซื่อ เจียงไป๋บอกว่านางเป็นคุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหว เพิ่งกลับมาเมืองหลวงหลังจากไปรักษาอาการป่วยที่บ้านนอก แต่ที่เขาเห็นนั้น นางดูมีชีวิตชีวาเกินกว่าที่จะเป็นคนป่วย แต่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้เขาเองก็เข้าใจ คงเป็นเพราะแม่แท้ๆ ของเสิ่นซื่อไม่อยู่แล้ว ดังนั้นคงมีคนให้เหตุผลนี้รังแกนางนั่นเอง


 


 


ครั้งที่สองที่เจอกับเสิ่นเวยคือที่ภัตตาคาร นางพาสาวใช้มารับประทานในห้องอาหาร บรรดาสาวใช้ต่างพูดคุยกันเสียให้เอ็ด แต่นางกลับไม่ดุว่า ทั้งยังเล่นสนุกด้วยความรื่นเริง ยังพูดกับพวกนางด้วยว่า “พวกเจ้าซื้อหาอะไรได้เต็มที่ วางใจเถิด คุณหนูของเจ้าจะจ่ายเงินให้ คุณหนูของพวกเจ้ามีเงิน ไม่ต้องเกรงใจข้า เดี๋ยวพวกเรากินเสร็จแล้วตอนบ่ายก็ไปซื้อของต่อ ดูสิว่าใครจะซื้อได้มากที่สุด”


 


 


ตอนนั้นเขาอยู่ห้องข้างๆ น้ำเสียงใสเสนาะหูนั้นเพียงไม่นานเขาก็จำได้ ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อได้ยินที่แม่นางคนนั้นพูด มุมปากของเขาก็ยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในสมองปรากฏดวงตาแสนเฉลียวฉลาดผุดขึ้นมาหนึ่งคู่


 


 


ครั้งที่สามที่พบกับเสิ่นเวยนั้นอยู่นอกเมือง พูดตามตรง การพบหน้ากันในครั้งนี้ช่างน่าอึดอัดใจอยู่บ้าง เป็นเพราะแม่นางเสิ่นเวยผู้นี้นัดพบบุรุษ ตอนนั้นเขาไม่อาจก้าวเดินได้ จำต้องยื่นนิ่งอยู่กับที่


 


 


ไม่ได้เจตนาจะเสียมารยาทในการแอบฟัง แต่ไม่รู้ทำไม น้ำเสียงใสของแม่นางคนนั้นจึงดังเข้ามาในหูอย่างชัดเจน ฟังเพียงไม่กี่คำเขาก็ต้องขมวดคิ้ว นางถูกถอนหมั้นหรือ หรือจะพูดให้ถูกก็คือการแต่งงานของนางนั้นถูกน้องสาวที่เป็นลูกภรรยาเอกแย่งไป ชายหนุ่มที่นัดนางออกมาคือหย่งหนิงโหวซื่อจื่อ เป็นว่าที่สามีที่เคยหมั้นกับนางเอาไว้นั่นเอง


 


 


แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยสนใจเรื่องอะไรนักแต่เขาก็รู้ว่าหญิงสาวที่ถูกถอนหมั้นนั้นเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะหย่งหนิงโหวซื่อจื่อผู้มีชื่อทรงคุณธรรม ทุกคนในเมืองหลวงต่างพากันแย่งชิงคุณชายแสนดีคนนี้ นางจะต้องเป็นทุกข์มากและยิ่งไม่ยินยอมด้วย หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องอยากพบเขาอยู่ร่ำไปแม้ว่าจะถอนหมั้นกันแล้วก็ตาม


 


 


วินาทีต่อมา สวีโย่วรู้ว่าตัวเองนั้นคิดผิดเสียแล้ว แม่นางผู้นั้นไม่มีทีท่าว่าจะเจ็บปวดทุกข์ใจแม้แต่น้อย ทั้งยังดุกว่าหย่งหนิงโหวซื่อจื่อเสียด้วยว่าห้ามส่งจดหมายมาหานางอีก อย่าทำให้นางต้องแปดเปื้อนไปด้วย


 


 


หย่งหนิงโหวซื่อจื่อคนนั้นดูท่าคงจะเลอะเลือนเสียแล้ว ถึงได้บอกว่าจะแต่งกับน้องสาวของนางให้เป็นภรรยาเอกแล้วแต่งนางเป็นภรรยารอง เหอๆ ช่างน่าหัวเราะนัก! ตอนนั้น ความประทับใจที่เขามีต่อคุณชายแสนดีของเมืองหลวงก็ลดฮวบลงไปถึงขีดสุด


 


 


ภรรยารองหรือ อย่างนั้นก็เท่ากับดูหมิ่นนางชัดๆ!


 


 


เป็นดังคาด แม่นางคนนั้นไม่ทำให้เขาผิดหวัง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกถากถางไม่พอใจ “เว่ยจิ่นอวี้ เจ้าหน้า ใหญ่นักหรือ แต่งงานกับคุณหนูแห่งจวนจงอู่โหวคนเดียวไม่พอจะแต่งถึงสองเลยหรือไร เจ้าคิดจะเลือกคุณหนูแห่งจวนจงอู่โหวเหมือนเลือกซื้อหัวผักกาดข้างถนนหรืออย่างไร เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร แค่มีคนป้อยอเข้าหน่อยเจ้าก็ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงแล้วหรือ กลับไปถามหย่งหนิงโหวพ่อของเจ้าซี รู้ไหมคำว่าถ่อมตนเขียนอย่างไร แม้แต่แม่ของเจ้าเองก็ไม่ต้องพูดถึงเลย นางเป็นหญิงโง่ไร้ความรู้! สำหรับข้าแล้ว เจ้าเป็นเพียงคนชั่วที่ตระบัดสัตย์ ว่าอย่างไร ข้าพูดถูกหรือไม่ ยังคิดที่จะแต่งข้าเป็นภรรยารอง ทำไมไม่ขึ้นสวรรค์เสียเลยเล่า เจ้าไม่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับดวงตะวันเลยเล่า ตัวข้าเสิ่นเวยยอมแต่งกับชาวนายังดีกว่าแต่งกับเจ้าเป็นพันเท่า เว่ยจิ่นอวี้ ข้าจะบอกเจ้าไว้อย่าง เก็บความคิดสกปรกของเจ้าไปเสีย อย่ายั่วโมโหข้าอีก ไม่อย่างนั้นข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ไป ไสหัวไปไกลๆ ข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะตีเจ้าทุกครั้งที่เห็นหน้าเชียว!”


 


 


เมื่อพูดจบนางก็ก้าวยาวๆ เดินนำสาวใช้ออกไป ท่าทีของนางเหมือนกำลังสลัดเอาของสกปรกออกจากกายไม่มีผิด สวีโย่วมองแผ่นหลังของนาง สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม


 


 


สวีโย่วจึงได้รู้ในครั้งนี้ว่านางชื่อเวย เสิ่นเวย ดอกหญ้าที่งดงาม เป็นชื่อที่เหมาะกับนางยิ่งนัก!


 


 


เจียงไป๋ตกตะลึงกับท่าทีเก่งกล้าของนาง ถึงกับร้องชื่นชมว่า “แม่นางที่แกร่งกล้าถึงเพียงนี้จะแต่งออกหรือ”


 


 


สวีโย่วกลับรู้สึกชอบใจนัก ให้ความรู้สึกสดใหม่ กล้าหาญ สดใส และยังชัดเจนอีกด้วย! หญิงสาวเช่นนี้ซีจึงจะเรียกว่าใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ได้ทำให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบากเพราะเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ทั้งยังกล้าหาญ และไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบ ไม่ยอมให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบาก


 


 


ใช่แล้ว เป็นเพราะเสด็จแม่ สวีโย่วจึงไม่มีความสนใจในหญิงสาวผู้อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ไม่เห็นหรือว่าเสด็จพ่อมีรักอื่น เรื่องยุ่งยากเพียงไร เสด็จแม่เอาแต่อยู่ในเรือนหลักนิ่งๆ จนผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในจวนแล้วก็ปล่อยให้นางจัดการทุกอย่างมิใช่หรือ หากเสด็จแม่ยังอยู่ ตัวเขาจะมีสภาพเช่นนี้หรือ


 


 


เขากระทั่งคิดว่า หากเสด็จแม่ของเขาเหมือนเสิ่นเวยก็คงจะมีกว่านี้มาก!


 


 


ความจริงแล้ว หญิงสาวที่ทั้งงดงามและพิเศษกว่าคนอื่นได้ตกลงสู่กลางใจของเขาตั้งแต่ตอนนั้น เพียงแต่เขายังไม่รู้สึกก็เท่านั้น หากเขารู้ว่าเขาพึงใจหญิงคนนี้ เขาคงจะดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดเสียแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)