พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1099-1108
บทที่ 1099 เปิดโปง
โดย
Ink Stone_Fantasy
เข้าใจแล้ว! ฉินซีถาม “จะนำมาใช้สู้กับทวนวิเศษของเหมียวอี้?”
เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะอย่างเย็นเยียบ “วรยุทธ์ของไอ้จัญไรนั่นก็ไม่ได้สูง เพียงเพราะความคมของทวนวิเศษทำให้คนไม่มีทางเข้าใกล้ได้ ไม่อย่างนั้นจะยอมให้เขากำเริบเสิบสานขนาดนั้นได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะนึกขึ้นได้ถึงของที่อยู่บนยอดเขาเมฆาร่วงหล่น ข้าก็คงทำอะไรเขาไม่ได้ไปชั่วขณะจริงๆ มีต้นไม้ต้นนี้แล้ว เดี๋ยวเจาคอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเขาอย่างไร”
สายตาของฉินซีไปหยุดอยู่บนไม้ที่มีรอยเลือดเป็นจุดๆ พร้อมเตือนว่า “ท่านอย่าลืมนะว่าเขาสามารถควบคุมไฟได้”
“ฮูหยินคิดมากไปแล้ว มีหรือที่ข้าจะไม่นึกถึงจุดนี้ ไฟสามารถข่มไม้นั่นไม่ผิด ไฟสามารถเผาทำลายไม้นี้ได้จริงๆ แต่เจ้าก็เห็นแล้วว่าไม้นี้ไม่ธรรมดา หลายปีก่อนเป็นเพราะข้าแปลกใจว่ามันคือต้นไม้อะไร เคยตัดกิ่งไปใช้วิธีการต่างๆ ทดลองมาแล้ว เวลาเจอไฟมันทนต่อการเผาไหม้สุดๆ ไม่ถูกเผาจนไหม้ภายในเวลาสั้นๆ แล้วข้าก็ไม่ได้แข็งทื่อเหมือนคนตาย เมื่อมีพลังอิทธิฤทธิ์ของข้าคอยเสริม มีหรือที่จะยอมให้ไฟเผาอยู่บนนั้นได้ตลอด? ของสิ่งนี้ถ้าใช้สู้กับคนอื่นอาจจะไม่ไหว แต่กลับเป็นของยอดเยี่ยมที่ใช้สู้กับทวนวิเศษในมือไอ้จัญไรนั่นได้พอดี!”
เฟิงเป่ยเฉินเผยสีหน้าดุร้ายขณะที่พูด เหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะทำให้เหมียวอี้ตายอย่างไร แต่พอเปลี่ยนความคิดก็ทำสีหน้าอึ้งไปชั่วขณะ สายตามองสำรวจฉินซีศีรษะจดเท้า แล้วถามว่า “ฮูหยิน ปกติเจ้าไม่ค่อยสนใจเรื่องของข้า วันนี้เป็นอะไรไปแล้ว?”
ฉินซีตอบเสียงเรียบว่า “ข้าเห็นว่าท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ท่านว่าเขาจะปล่อยข้าไปรึเปล่า?” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ นางกังวลเรื่องความเป้นความตายของตัวเอง
โดนผู้หญิงของตัวเองดูถูกแล้ว เฟิงเป่ยเฉินรู้สึกอับอายนิดหน่อย “ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเหรอ? ตลกน่า! เป็นเพราะเขามีของวิเศษดีๆ เท่านั้นแหละ”
ฉินซีเอียหน้ามองไปอีกด้าน ขี้คร้านจะเถียงกับเขา
ทำท่าทางแบบนี้อีกแล้ว เฟิงเป่ยเฉินพูดไม่ออกนิดหน่อย ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ฮูหยินไปพักผ่อนก่อนเถอะ ถ้าข้าจัดการตรงนี้เสร็จแล้วจะกลับไป”
ฉินซีส่ายหน้า “ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่ข้างกายท่านแบบนี้”
“…” เฟิงเป่ยเฉินอึ้งไปชั่วขณะ พบว่าวันนี้นางผิปกติจริงๆ จึงถามอย่างแปลกใจ “ทำไมล่ะ?”
ฉินซีตอบว่า “ครั้งก่อนมีคนโจมตีมาถึงที่นี่ แต่ท่านก็ทิ้งข้าแล้วหนีไปเลย ครั้งนี้ถ้ามีคนมาอีก ข้าอยู่ข้างกายท่าน อย่างน้อยยามท่านหนีจะได้ถือโอกาสพาข้าติดไปด้วย”
เฟิงเป่ยเฉินทำสีหน้าไม่ถูก และชั่วพริบตาเดียวก็ทำสีหน้าอับอาย
ที่บอกว่า ‘ครั้งก่อน’ ก็หมายถึงครั้งนี้ปราชญมารอวิ๋นอ้าวเทียนมาโจมตีที่นี่โดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอวิ๋นอ้าวเทียนเลย การรักษาชีวิตสำคัญที่สุด จะยังสนใจฉินซีได้อย่างไร ก็เลยทิ้งฉินซีไว้แล้วหนีไปคนเดียว ที่โชคดีก็คือ ครั้งนั้นอวิ๋นอ้าวเทียนมาแค่คนเดียว แล้วครั้งนั้นอวิ๋นอ้าวเทียนก็พุ่งเป้ามาที่เขาคนเดียว ไม่ได้สนใจคนอื่นเลย ไม่อย่างนั้นต่อให้ฉินซีไม่ตายแต่ก็ต้องโดนจับตัวไปแน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เกรงว่าเฟิงเป่ยเฉินคงจะต้องแต่งงานใหม่อีกครั้งแน่
เขาไอแห้งๆ แล้วอธิบายว่า “ฮูหยินเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ทิ้งฮูหยินแล้วหนีไป แต่ข้ารู้ว่าอวิ๋นอ้าวเทียนพุ่งเป้ามาหาข้า มีแต่ต้องให้ข้าล่อเขาออกไปเท่านั้น ถึงจะรับประกันความปลอดภัยของฮูหยินได้”
ฉินซีไม่ตอบอะไร ได้แต่มองตาเขาเงียบๆ
เฟิงเป่ยเฉินถูกนางมองจนรู้สึกกินปูนร้อนท้อง จึงยิ้มแห้งๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก ตอนนั้นสถานการณ์เป็นอย่างไร ทุกคนล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ คนที่ได้ถอดเสื้อผ้าเจอกันบ่อยๆ มีใครบ้างที่ไม่รู้จักกันดี เขาจึงถือกระบี่ตัดเล็มท่อนไม้ในมือต่อไป และไม่ได้โน้มน้าวให้ฉินซีจากไปอีก
ท่ามกลางเสียงตัดต้นไม้ จู่ๆ ฉินซีที่รอได้ครู่หนึ่งก็ถามว่า “ท่านจับอนุภรรยาของไอ้เหมียวจัญไรมาไม่ใช่เหรอ? อย่าบอกนะว่าท่านมีต้นไม้นี้เป็นที่พึ่งแล้ว จึงฆ่าอนุภรรยาของเขาทิ้งไปแล้ว?”
เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้ามองนางแวบหนึ่ง แล้วตบที่กระเป๋าสัตว์ตรงเอว พร้อมตอบด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ยังไม่มีเวลาสนใจนางหรอก นางยังมีประโยชน์ ต่อให้จะฆ่าก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ ตอนนี้นำท่อนไม้มาหลอมสร้างเป็นอาวุธที่เหมาะมือให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
ฉินซีก็เลยหุบปาก ไม่พูดอะไรแล้ว
เมื่อเห็นนางเปลี่ยนท่าทางเป็นเย็นชาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เฟิงเป่ยเฉินก็แอบส่ายหน้า เป็นอุปนิสัยที่หาพบได้ยากในโลกนี้จริงๆ
แต่จะว่าไปแล้ว ในใต้หล้ามีผู้หญิงมากมายที่ยินดีจะประจบประแจงเขา ผู้หญิงที่งามเลิศล้ำและโดดเด่นไม่เหมือนใครแบบนี้ ทุกครั้งที่นางโดนปรนนิบัติอย่างไม่เต็มใจ ล้วนทำให้เขามีอารมณ์ตื่นเต้นอยากจะเอาชนะอย่างรุนแรง ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกรับไม่ได้ท่าทางแบบนี้ของนาง กลับยิ่งชอบมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ ค่อนข้างโรคจิตวิปริตจริงๆ…
ณ สำนักงามวิจิตร ตามแนวภูเขาซึ่งเป็นที่อยู่ของลูกศิษย์ บนทางหินเล็กๆ หนุ่มน้อยสองคนกำลังถืออาวุธเหลียวซ้ายและขวาเดินไปเดินมา ดูจากเครื่องแต่งกายล้วนเป็นลูกศิษย์ของสำนักงามวิจิตร
เหมียวอี้ที่ปลอมตัวแล้วจู่ๆ ก็กระโจนออกมาจากพงหญ้าข้างทาง ราวกับงูเทพที่กระโจนกินอาหาร พอเด้งออกมาก็หดกลับไปทันที ดึงคอลูกศิษย์ที่ลาดตระเวนหดกลับมาด้วยอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองมีวรยุทธ์แค่ระดับบงกชเขียว จะสู้กับเหมียวอี้ได้อย่างไรกัน โดนพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้กดอัดจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ กำลังมองเหมียวอี้ด้วยความตกใจกลับว ต่างก็รู้สึกได้ถึงพลังอิทธิฤทธิ์ที่น่ากลัวของเหมียวอี้
เหมียวอี้คลายมือที่บีบคอทั้งสองเล็กน้อย แล้วถามว่า “โม่จวินหลันพักที่ไหน?”
หนึ่งในนั้นถามอย่างหวาดกลัวว่า “เจ้าเป็นใคร?”
“ตอบผิดแล้ว!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แกร๊ก! หักคออีกฝ่ายจนขาดเสียเลย ฆ่าทิ้งไปแล้วคนหนึ่ง
แล้วหันหน้ามาถามศิษย์อีกคนที่หวาดกลัวจนตัวสั่น “โม่จวินหลันพักที่ไหน?”
“พลับพลาหลันถิงบนภูเขาทิศใต้” คนคนนั้นตอบอย่างหวาดกลัว
เหมียวอี้ถามอีกว่า “อยู่ตรงไหน? ชี้ให้ข้าดู” พูดจบก็รีบดึงคนคนนั้นให้ขึ้นมาพุ่มไม้เหนือหัว
คนคนนั้นชี้ไปยังไหล่เขาที่อยู่ไกลๆ “ลานบ้านที่มีกำแพงสีขาวตรงไหล่เขานั่น”
เหมียวอี้ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองดูอย่างละเอียด มองเห็นบนไม้วงกบประตูของลานบ้านตรงไหล่เขามีคำว่า ‘พลับพลาหลันถิง’ จริงด้วย เขาถามอีกว่า”โม่จวินหลันอยู่ข้างในรึเปล่า?”
คนนั้นกล่าววิงวอนว่า “นั่นคือที่พักของศิษย์ระดับสูง ข้าไปไม่บ่อย แล้วก็ไม่เคยเข้าไปด้วย ไม่รู้จริงๆ แต่ได้ยินว่าครั้งก่อนหลังจากที่ท่านจื่อหยางศิษย์ทรยศปรากฏตัว ลูกสาวเจ้าสำนักก็ออกจากพลับพลาหลันถิงน้อยมาก ทุกคนแอบลือกันว่าเดิมทีลูกสาวเจ้าสำนักควรจะได้แต่งงานกับท่านจื่อหยาง แต่สามีนางแอบเล่นไม่ซื่อลับหลัง คาดว่านางคงจะอยู่ข้างใน”
เพื่อที่จะรักษาชีวิต เรียกได้ว่าอะไรที่ควรจะพูดก็พูดออกมาหมด
แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ข่าวที่เจ้าหนุ่มนี่ให้มายังมีจำกัด จึงดึงเขากลับมาที่พื้นอีกครั้ง รีบลงมือผนึกวรยุทธ์ของเขา ซ้อมจนเขาสลบ ถอดเครื่องแต่งกายของเขามาใส่ แล้วเดินหลบๆ ซ่อนๆ เข้าไปในป่าภูเขาต่อไป
ยิ่งเข้าใกล้จุดที่บุคคลระดับสูงของสำนักงามวิจิตรพักอาศัย ทหารยามที่คอยเฝ้าทั้งในที่แจ้งและในที่ลับก็ยิ่งมีมากขึ้น ถ้าอยากจะเข้าใกล้พลับพลาหลันถิงกลางวันแสกๆ โดยไม่ให้ถูกจับได้ ก็ค่อนข้างยุ่งยากจริงๆ
ที่จริงเขาสามารถตรงเข้าสู่พลับพลาหลันถิงได้เลย เกรงว่าที่สำนักงามวิจิตรคงจะไม่มีใครขัดขวางเขาได้ แต่เขาไม่แน่ใจว่าโม่จวินหลันอยู่ข้างในหรือเปล่า ถ้าเข้าไปแล้วคว้าน้ำเหลว ก็จะเป็นการแวกหญ้าให้งูตื่น ถ้าจะให้เข่นฆ่ากันเขาก็ไม่กลัว แต่เขากลัวว่าถ้าโม่จวินหลันหลบขึ้นมาจะหาไม่พบ แบบนั้นเรื่องราวก็จะจัดการยากแล้ว”
ถ้าไม่แน่ใจ เขาก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ทำได้เพียงอดทนเข้าใกล้ต่อไป
ณ พลับพลาหลันถิง เรือนเล็กๆ ที่น่าอยู่แห่งหนึ่ง เจ้าของเรือนเล็กนี้ก็คือโม่จวินหลันและเซี่ยงไป่ถิงสองสามีภรรยา ชื่อของเรือนเล็กนี้ตั้งโดยนำตัวอักษรในชื่อของทั้งสองคนมารวมกัน โดยนำชื่อของฝ่ายหญิงไว้ข้างหน้า ในสังคมที่ชายเป็นใหญ่แบบนี้ บางทีสิ่งนี้อาจจะอธิบายได้ว่าฐานะระหว่างสองสามีภรรยาเป็นอย่างไร
ถึงแม้เรือนเล็กจะมีพื้นที่ไม่ใหญ่ แต่ข้างในกลับมีกระโจมศาลากลางน้ำ มีดอกไม้บานทั้งสี่ฤดู ถึงจะเล็กแต่มีทุกอย่างครบครัน
สถานที่ที่รวบรวมคนจำนวนมากของหนึ่งสำนักเอาไว้ เป็นไปไม่ได้ที่จะครอบครองคฤหาสน์ที่ใหญ่โตรโหฐานเหมือนพระราชวังเอาไว้ผู้เดียว
ด้านนอกลานบ้านมีกังหันน้ำกำลังหมุน คอยผันน้ำในลำธารระหว่างภูเขาเข้ามาในลานบ้าน เซี่ยงไป่ถิงรับถังน้ำมาหนึ่งใบ ถือมาให้ข้างกายโม่จวินหลันด้วยตัวเอง
ส่วนโม่จวินหลันก็กำลังรดน้ำดอกไม้ สีหน้าท่าทางเงียบสงบ เซี่ยงไป่ถิงกำลังกระซิบอยู่ข้างๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พูดคุยเรื่องที่สนุกน่าสนใจ
ส่วนโม่จวินหลันจะฟังเข้าหูหรือไม่ มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ สรุปก็คือไม่เห็นการแสดงสีหน้าใดๆ ตอบกลับ
ตั้งแต่ที่เยารั่วเซียนปรากฏตัวครั้งก่อน ที่เซี่ยงไป่ถิงตบหน้านางไปหนึ่งครั้งด้วยความโมโห ความสัมพันธ์ระหว่างสองสามีภรรยาก็เย็นชาลงตั้งแต่ตอนนั้น โม่จวินหลันเองก็ไม่ได้ฟ้องใคร แต่นางรักษาระยะห่างกับเซี่ยงไป่ถิงตั้งแต่นั้นเป็นเป็นต้นมา เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกยังคงทำท่าทางเหมือนเป็นสามีภรรยากัน
ทว่าเซี่ยงไป่ถิงกลับนึกกลัวทีหลังแทบแย่ อย่าไปมองว่าเขาคือผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสัก ลูกสาวของเหมียวจวินอี๋คือคนที่เขาจะไปรังแกง่ายๆ ได้อย่างไร ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเขามีวันนี้ได้เพราะแต่งงานกับโม่จวินหลัน ถ้าไปยั่วโมโหเหมียวจวินอี๋ขึ้นมา เขาก็ไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย
ตอนนี้เขาเปลี่ยนวิธีการประจบเอาใจ แต่โม่จวินหลันกลับมีลักษณะท่าทางเหมือนฉินซีอยู่หลายส่วน
ไม่รู้ว่าเหมียวจวินอี๋มาปรากฏตัวอยู่ในสวนดอกไม้ตั้งแต่เมื่อไร กำลังยืนแอบฟังอยู่ตรงนอกประตูพระจันทร์ รออยู่ตั้งนานแต่ก็ไม่ได้ยินเสียงลูกสาวตัวเอง กลับได้ยินคำพูดคำจาหวานไพเราะจากเซี่ยงไป่ถิงมากมาย ฟังจนนางยังกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ ปลื้มอกปลื้มใจ รู้สึกว่าตัวเองหาลูกเขยได้ดี
นางถึงได้นำหญิงรับใช้สองคนเดินเข้ามาในประตูพระจันทร์ แล้วหัวเราะคิกคักพร้อมกล่าวว่า “คู่รักคู่นี้กำลังหยอดคำหวานอะไรกันอยู่ล่ะ?”
โม่จวินหลันกับเซี่ยงไป่ถิงหันกลับมาพร้อมกัน แล้วรีบเดินเข้ามาคำนับ “ท่านแม่!”
เหมียวจวินอี๋มองเซี่ยงไป่ถิงพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ นางยกมือขึ้นเล็กน้อย แล้วบอกว่า “อืม! ไม่ต้องมากพิธี ไป่ถิงเอ๊ย! อย่าหาว่าข้าว่าเจ้าเลยนะ ชีวิตของพวกเจ้าสองคนยังอีกยาวไกล ยังมีเวลาให้เรื่องความรักอีกเยอะ ตอนนี้ต้องใส่ใจเรื่องวรยุทธ์กับหลอมของวิเศษให้มากๆ หน่อย เจ้าคือคนที่ต้องเป็นเจ้าสำนักในอนาคต เอาแต่เดินตามก้นผู้หญิงไม่ใช่เรื่องที่ดี”
โม่จวินหลันฟังเงียบๆ ส่วนเซี่ยงไป่ถิงก็ยิ้มแห้ง “ท่านแม่สอนได้ถูกต้อง ไป่ถิงจดจำไว้แล้ว ใช่แล้ว ท่านแม่มาได้อย่างไรขอรับ?” พูดจบก็เดินตามหลังเหมียวจวินอี๋
เหมียวจวินอี๋ที่เดินชมดอกไม้ใบหญ้าในสวนกล่าวว่า “เพิ่งถูกท่านปราชญ์เรียกพบ ข้าอาจจะต้องกลับไปอยู่นภาอู๋เลี่ยงสักระยะ ตอนที่ข้าไม่อยู่ ดูแลหลันเอ๋อร์ให้ดี”
ตอนนี้นางยังไม่รู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินเรียกนางไปด้วยเรื่องอะไร และเฟิงเป่ยเฉินก็ไม่ได้บอกด้วยว่าตัวเองสู้แพ้เหมียวอี้ กำลังเรียกรวมยอดฝีมือเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด
“ดูแลฮูหยินของตัวเองให้ดีคือหลักการของฟ้าดินที่ต้องทำอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ท่านแม่บอก ไป่ถิงก็จะดูแลให้ดีขอรับ” เซี่ยงไป่ถิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เหมียวจวินอี๋หันกลับมามองเขาแล้วยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าดีกับหลันเอ๋อร์ ข้าก็แค่พูดให้ฟังเท่านั้น ถือโอกาสมาดูว่าคู่รักอย่างพวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน”
ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ ด้านนอกก็มีเสียง “บึ้ม” ดังสะเทือน ทุกคนสีหน้าเปลี่ยน หันขวับมองไปทยังทิศทางที่เสียงระเบิดดังมา
เหมียวอี้ที่ทำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่ในป่าภูเขาโบกมือป้องใบหน้าเล็กน้อย สะบัดแขนเสื้อไล่หินดินที่โผเข้ามาตรงมา ในจแอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว หลบหูตาของทหารยามได้แต่กลับไปกระตุ้นสัญญาณเตือน ทำให้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น ตอนนี้อยากจะหลบก็หลบไม่ได้แล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ เงาคนหลายคนปรากฏตัวอยู่ไม่ไกลทันที ตะคอกว่า “ใครบุกเข้ามาที่นี่!”
ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไปก็ไม่มีความหมายแล้ว เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจพวกเขา เรียกทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือและถลันตัวขึ้นมาแล้ว กระโจนผ่านยอดศีรษะคนหลายคนที่เข้ามาขวาง โผตรงไปยังทิศทางพลับพลาหลันถิง
…………………………
บทที่ 1100 ดาวอัปมงคลของสำนักงามวิจิตร
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่ได้มีแค่คนที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นที่ถูกเสียงระเบิดนี้ทำให้ตกใจ บนท้องฟ้าที่อยู่รอบๆ ล้วนมีคนเหาะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว บ้างก็พุ่งตรงเข้ามาทางนี้
ในพลับพลาหลันถิงที่อยู่ใกล้ๆ ก็มีคนหลายคนเหาะขึ้นฟ้าแล้วมองมาทางนี้เช่นกัน เป็นเหมียวจวินอี๋รวมทั้งผู้ติดตาม ทั้งยังมีโม่จวินหลันกับสามีด้วย
ตอนพวกเขายังไม่ปรากฏตัวก็ไม่เป็นไร แต่พอปรากฏตัวขึ้นมา พวกเหมียวอี้ก็รู้สึกบันเทิงแล้ว เขากำลังกลัวว่าจะหาไม่เจอ นึกไม่ถึงว่าเสียงระเบิดรั้งเดียวจะทำให้เป้าหมายตกใจจนออกมาโดยตรง ไม่เปลืองแรงแล้ว ดีมาก!
“บังอาจ!”
เมื่อเห็นว่ามีคนบุกเข้ามา เหมียวจวินอี๋ก็เรียกได้ว่าตะโกนอย่างแข็งกร้าว แสดงความน่าเกรงขามของลูกศิษย์ปราชญ์เต๋าออกมาจนหมดอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเห็นเหมียวอี้มุ่งหน้าเข้ามาด้วยความเร็ซ เหมียวจวินอี๋ก็ตัดสินได้ว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายไม่ต่ำ พลิกฝ่ามือนำกระบี่ใบมีดกว้างที่คล้ายกับของเฟิงเป่ยเฉินมาไว้ในมือ แล้วถลันตัวเข้ามาดักตรงหน้า
เหมียวอี้ที่พุ่งเข้ามาสะบัดทวนออกมาในชั่วพริบตาเดียว
พอลงมือสู้ก็รู้ถึงระดับลึกตื้น เหมียวจวินอี๋แอบร้องว่าแย่แล้ว ต้องโทษตัวเองที่ประมาท ไม่ควรใช้พลังต่อสู้ แต่ควรจะใช้ของวิเศษกวนใจอีกฝ่าย แล้วรอให้ทุกคนร่วมมือกันป้องกันศัตรู
ทว่ามาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว ขนาดอาจารย์ของนางยังต้านทานไม่ไหว แล้วความสามารถอย่างนางจะสู้ได้อย่างไร
ทวนพุ่งเข้ามาตรงๆ อย่างไม่ผิดพลาด เกิดเสียงดังชัดใส กระบี่ยาวโดนทำลายหักจนเกิดเสียงดัง หัวทวนที่แหลมคมโจมตีต่อไปพร้อมเสียงมังกรคำราม เหมียวจวินอี๋ตกใจมาก ตกใจในความคมแหลมของทวนอีกฝ่าย และตกตะลึงกับวรยุทธ์ออกอีกฝ่ายด้วย ไม่รู้ว่าใครกันที่วรยุทธ์สูงถึงขนาดนี้แต่ยังถ่อมาทำลับๆ ล่อๆ ที่นี่
สะบัดแขนเสื้อสองข้างติดต่อกันหลายครั้ง หมุนตัวขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็วเพื่อหลบออกไป
เหมียวอี้ฟาดทวนเข้ามาในแนวขวาง ตุ้บ! ด้ามทวนกระแทกโดนแผ่นหลังของเหมียวจวินอี๋
“อั้ก!” พ่นเลือดสดออกมาคำหนึ่ง เหมียวจวินอี๋โดนกระแทกจนกระเด็นออกไป เรียกได้ว่าพอเจอหน้ากันก็บาดเจ็บสาหัสทันที
วรยุทธ์สู้เหมียวอี้ไม่ได้ ฝีมือก็สู้เหมียวอี้ไมได้ ทั้งสองไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันเลย ศึกนี้ไม่มีทางต่อสู้กันได้
เหมียวอี้รีบถลันตัวตามไป แล้วบีบคอเหมียวจวินอี๋หิ้วขึ้นมา ราวกับอินทรีเฒ่าขยุ้มนกน้อย
หญิงรับใช้ทั้งสองของเหมียวจวินอี๋พุ่งเข้ามาแย่งตัว เหมียวอี้ใช้มือข้างเดียวถือทวนแทงไปทางซ้ายและขวา สังหารจนเกิดละอองเลือดสองกลุ่มพร้อมกับเสียงกรีดร้องสองครั้ง ผู้ไม่เกี่ยวข้องที่เสนอหน้าออกมา ช่างเป็นการรนหาที่ตายจริงๆ พวกนางจะต้านทานเหมียวอี้ในตอนนี้ได้อย่างไร
เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งถือทวน ใช้มืออีกข้างถือคน แล้วก็พุ่งไปหาโม่จวินหลัน
เมื่อเห็นมารดาได้รับบาดเจ็บ โม่จวินหลันก็ถือกระบี่พุ่งเข้ามาแล้ว
เซี่ยงไป่ถิงที่ถือทวนไว้ในมือกลับสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เดิมทีก็อยากจะพุ่งเข้าไปแสดงความสามารถสักหน่อย ไปช่วยเหมียวจวินอี๋อีกแรง ปรากฏว่าเห็นเหมียวจวินอี๋ต้านทานไม่ไหวแม้กระทั่งการโจมตีครั้งเดียวของเหมียวอี้ แล้วก็เห็นเหมียวอี้สังหารหญิงรับใช้สองคนของเหมียวจวินอี๋ที่วรยุทธ์สูงกว่าเขา แล้ววเขาจะกล้าก้าวมาข้างหน้าได้อย่างไร
ขระที่ตกใจจนลุกลี้ลุกลนถอยหลัง ก็ตะโกนเสียงดังว่า “หลันหลัน ใช้กำลังปะทะตรงๆ ไม่ได้!”
เห็นมารดาตกอยู่ในมืออีกฝ่ายทันทีที่พบหน้ากัน ชีวิตถูกบีบอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว โม่จวินหลันลูบหน้าปะจมูก ไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วเช่นกัน ตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าเป็นใครมาทำกำเริบเสิบสานที่นี่!”
เหมียวอี้ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับนาง ไม่น่าเชื่อว่าจะสะบัดเก็บทวนเกล็ดย้อนในมือ แล้วเด้งกรงเล็บไปที่นางอีก
โม่จวินหลันตกใจมาก ขณะที่ถอยหลังก็ฟันกระบี่ออกมาโดยจิตใต้สำนึก ปรากฏว่ากระบี่ยาวค้างอยู่กลางอากาศ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกเหมียวอี้ใช้มือเปล่าบีบตัวกระบี่ไว้ ตัวเองอยากจะชักกลับมาก็ชักไม่ได้ ถึงได้รู้ว่าวรยุทธ์ของอีกฝ่ายสูงกว่าตัวเองเกินไปมาก
เหมียวอี้ที่บีบตัวกระบี่เอาไว้ถือโอกาสส่งออกไป โม่จวินหลันจับกระบี่วิเศษไม่อยู่มือทันที ด้ามกระบี่กระแทกย้อนกลับมาชนหน้าอกหนาง
“อั้ก!” โม่จวินหลันกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง เงยหน้าขึ้นฟ้ากระเด็นถอยหลัง
เหมียวจวินอี๋ที่โดนบีบอยู่ในมือเหมียวอี้มองดูลูกสาวได้รับบาดเจ็บ แต่ตัวเองกลับกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ เรียกได้ว่าโมโหจนดวงตาแทบถลนออกมา จากนั้นก็ได้แต่ดูมือมารอีกข้างของเหมียวอี้ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว ยื่นไปบีบคอลูกสาวตัวเองเอาไว้
เหมียวอี้ลงมือจับตัวทั้งแม่ทั้งลูกสาวติดต่อกัน เป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น รวดเร็วเป็นที่สุด
จนกระทั่งคนที่อยู่รอบข้างตามมาทัน สองแม่ลูกก็ตกอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว อย่าว่าแต่ลูบหน้าปะจมูก ศักยภาพของเหมียวอี้ก็เห็นๆ กันอยู่ คนทั่วไปไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีก
เหมียวอี้หิ้วคนทั้งสองไปเหยียบลงบนหลังคาของพลับพลาหลันถิง จากนั้นกวาดสายตาเย็นเยียบมองไปรอบๆ ไม่ได้รีบจากไปในทันที
ตอนนี้ทั้งสำนักงามวิจิตรมีเสียงระฆังเตือนภัยส่งเสียงลากยาว ยอดฝีมือของสำนักงามวิจิตรได้ยินกันหมด กำลังพาหันเหาะมาทางนี้ โม่หมิงเจ้าสำนักงามวิจิตรก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
ทั้งพลับพลาหลันถิงเรียกได้ว่าถูกล้อมเอาไว้แล้ว ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรที่ถือของวิเศษหน้าตาประหลาดหายากไว้ในมือและกำลังจ้องมองอย่างดุร้าย เหมียวอี้ที่บีบคอผู้หญิงสองคนยืนอยู่บนหลังคาย่อมสงบเยือกเย็น มองกลุ่มคนราวกับมองสิ่งของ ตอนนี้เขาไม่เห็นสำนักงามวิจิตรอยู่ในสายตาเลย
โม่หมิงเหยียบลงบนหลังคาที่อยู่ติดกัน เห็นภรรยากับลูกสาวมีรอยเลือดที่มุมปาก ปิ่นปลิวผมกระจาย สภาพสะบักสะบอมมาก เรียกได้ว่าใบหน้าแฝงความเศร้าโศกปนโมโห
เซี่ยงไป่ถิงถือดาบเหาะไปเหยียบข้างกายเขาแล้วกล่าวปนเสียงสะอื้นว่า “ศิษย์ไร้ความสามารถ!”
โม่หมิงยื่นมือผลักเขาไปอีกด้านเสียเลย แล้วจ้องเหมียวอี้พร้อมกล่าวเสียงต่ำ “ข้าทำดีต่อผู้อื่นมาตลอดทั้งชีวิต ไม่เคยล่วงเกินใครง่ายๆ ท่านเป็นใครกันแน่ เหตุใดต้องจับตัวลูกเมียข้าไป?”
ลูกเมียของเจ้าเหรอ? ยังไม่รู้อีกว่าเป็นลูกเมียของใคร! เหมียวอี้แสยะยิ้ม มองดูหน้าตาของโม่จวินหลันให้ละเอียด พบว่าไม่เหมือนโม่หมิงเลยจริงๆ แต่มีเงาของเฟิงเป่ยเฉินอยู่หลายส่วน การสวมหมวกเขียว[1]ใบนี้ ถ้าให้โม่หมิงรู้ความจริง ถ้ารู้ว่าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่เลี้ยงถนอมมาหลายปีเป็นลูกสาวคนอื่น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะโมโหจนตายหรือเปล่า
เขาเหลือบตาขึ้นมองโม่หมิง ร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้หน้ากากบนใบหน้าสะเทือนปลิวออกไป เผยโฉมหน้าที่แท้จริง
“ไอ้เหมียวจัญไร!”
ในกลุ่มคนมีเสียงร้องอุทานทันที เหมียวอี้ไม่ได้โผล่หน้ามาที่สำนักงามวิจิตรเป็นครั้งแรก มีคนไม่น้อยจำเขาได้ เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเหมียวอี้จะมีศักยภาพถึงขั้นนี้ ขนาดเหมียวจวินอี๋ยังไร้กำลังจะโต้ตอบ
“เหมียวอี้!” โม่หมิงอุทานอย่างตกใจ “จื่อหยางให้เจ้ามาเหรอ?”
ตอนแรกทุกคนต่างก็รู้ว่าเหมียวอี้ชิงตัวเยารั่วเซียนไปจากสำนักงามวิจิตร สุดท้ายก็หายตัวไปอย่างประหลาดตอนที่อยู่ในมือเหมียวอี้ มีคนไม่น้อยที่สงสัยว่าเยารั่วเซียนยังอยู่ในมือเหมียวอี้ ตอนนี้จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถ่อมาจับตัวเหมียวจวินอี๋กับโม่จวินหลัน ทำให้โม่หมิงอดไม่ได้ที่จะสงสัยเรื่องนี้
ดวงตาเซี่ยงไป่ถิงกลับฉายแววระแวงสงสัย เรื่องที่ลูกศิษย์ของเขาสะกดรอยตามเหมียวอี้ เขานั้นรู้อยู่แก่ใจ
“จื่อหยางเหล่าหยางอะไรกัน” เหมียวอี้หลุดหัวเราะ แล้วประกาศด้วยน้ำใสใจจริงว่า “บอกเฟิงเป่ยเฉินด้วย ว่าลูกศิษย์ของเขาตกอยู่ในมือข้าแล้ว ถ้าขนของข้าเส้นผมหายไปแม้แต่เส้นเดียว ข้าจะทำให้เขาได้เห็นดีแน่!”
พูดจบก็ไม่เปลืองคำพูดอะไรอีก เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดคุย และไม่ได้เตรียมจะมาเปิดฉากสังหารด้วย หิวผู้หญิงทั้งสองคนเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
ในมือเขามีตัวประกัน ไม่มีใครกล้าลงมือขัดขวาง แต่กลับมีคนกลุ่มหนึ่งไล่ตามไป แต่นอกจากเหมียวจวินอี๋ ที่สำนักงามวิจิตรก็ไม่มีนักพรตบงกชทองคนอื่นแล้ว ที่เหลือเป็นนักพรตทั่วไป ถึงแม้ในมือเหมียวอี้จะถือคนสองคนอยู่ แต่พวกเขาก็ตามเหมียวอี้ไม่ทัน ไม่นานก็ได้แต่มองเหมียวอี้หายลับไปในท้องฟ้าตาปริบๆ หมดหนทางที่จะทำอะไรแล้ว
ลูกศิษย์ของสำนักงามวิจิตรไม่น้อยที่ทอดถอนใจ ขอแค่ไอ้เหมียวจัญไรคนนี้มาที่สำนักงามวิจิตร สำนักงามวิจิตรก็จะต้องเกิดเรื่องขึ้น ช่างเป็นดาวอัปมงคลของสำนักงามวิจิตรจริงๆ…
จนกระทั่งออกห่างสำนักงามวิจิตรมาไกลแล้ว แน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามมา เหมียวอี้ถึงได้แฝงตัวเข้าไปในป่าภูเขาแห่งหนึ่ง ผนึกวรยุทธ์ของทั้งสองแล้วโยนเข้ากระเป๋าสัตว์
เหมียวอี้หันมองภูเขาเขียวที่อยู่รอบๆ แล้วนั่งยองๆ วักน้ำล้างหน้าริมลำธาร ลุกขึ้นนำระฆังดาราออกมาติดต่อฉินซี
ฉินซีในเวลานี้ยังคงอยู่บนยอดเขาเมฆาร่วงหล่น พอระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติขยับ นางก็มองไปยังเฟิงเป่ยเฉินที่กำลังออกแรงทำงานไม้แวบหนึ่ง แล้วยื่นมือไปรับเปลือกไม้ที่ถูกฟันปลิวเข้ามา ถือโอกาสกำไว้ในมือ แล้วหันตัวเหาะออกไป บทจะไปก็ไป ไม่บอกกล่าวอะไรสักคำ
เฟิงเป่ยเฉินหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วส่ายหน้าเล็กน้อย นิสัยประหลาดของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาพูดไม่ออกเหมือนกัน
เมื่อกลับถึงห้องสมาธิที่ตัวเองใช้ฝึกตนในตำหนักอู๋เลี่ยง ฉินซีก็หยิบระฆังดาราออกมาตอบ : มีเรื่องอะไร?
เหมียวอี้ถามว่า : เหมียวจวินอี๋กับโม่จวินหลันอยู่ในมือข้าแล้ว เวยเวยเป็นอย่างไรบ้าง?
ฉินซี : ตอนนี้นางยังไม่เป็นอะไร เฟิงเป่ยเฉินกลัวว่าเจ้าจะมาหาได้ทุกเมื่อ กำลังรีบทำอาวุธชิ้นหนึ่งไว้ต้านทานทวนวิเศษของเจ้า ตอนนี้ยังไม่มีเวลาสนใจนาง
เหมียวอี้แปลกใจทันที ที่พิภพเล็กยังมีอาวุธอะไรที่สามารถต้านทานทวนวิเศษผลึกแดงบริสุทธิ์ของตนได้อีก? จึงซักไซ้ถามทันทีว่า : อาวุธอะไร?
ฉินซีเล่าสิ่งที่เฟิงเป่ยเฉินกำลังฟังให้ทำทันที
เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจอยู่บ้าง ยังมีไม้ประเภทนี้อยู่ด้วยเหรอ ขนาดไฟก็ยังยากที่จะรับมือกับมันไหว ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้นครั้งนี้ตนก็ลำบากแล้ว
ฉินซี : ข้าหยิบไม้นั่นมาด้วยนิดหน่อย เดี๋ยวจะใช้อินทรีเทพส่งไปให้ เจ้าก็ปล้นอินทรีเทพเทพไว้ตามทิศทางที่ระบุ ดูว่าสามารถหาวิธีการแก้ไขได้รึเปล่า ถ้าหาทางแก้ไขไม่ได้ เจ้าก็อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม ข้าจะคอยดูอยู่ที่นี่ เวยเวยคงจะยังไม่เป็นอะไร…
แดนโพ้นสวรรค์ นอกตำหนักเก้าชั้นฟ้า หยางชิ่งกำลังยืนรออยู่ใต้บันไดสูง ขณะเดียวกันก็มองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่แดนโพ้นสวรรค์
ผ่านไปไม่นาน บ่าวหญิงคนหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่นอกตำหนัก แล้วกล่าวเสียงดังว่า “หยางชิ่ง ท่านปราชญ์เรียกพบ”
หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ แล้วรีบก้าวเท้าขึ้นบันไดไป พอเดินมาถึงหน้าประตูตำหนัก ก็เห็นมู่ฝานจวินที่นั่งสง่าอยู่ในตำหนักลืมตาเล็กน้อย นางกำลังจ้องเขาอย่างเย็นเยียบ ลักษณะท่าทางแบบนั้นทำให้คนรู้สึกกดดันจริงๆ
หยางชิ่งรีบเดินเข้ามาคำนับในตำหนัก “ข้าน้อยคำนับท่านปราชญ์”
มู่ฝานจวินที่นั่งอยู่เบื้องสูงกล่าวถามอย่างเย็นเยียบว่า “อวิ๋นจือชิวมีธุระอะไรต้องให้เจ้ามาพบข้า?”
หยางชิ่งหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกมาทันที แล้วใช้สองมือชูขึ้นเหนือศีรษะมอบให้
มู่ฝานจวินขยุ้มมือข้างที่วางบนหัวเข่า ดูดแผ่นหยกมาไว้ในฝ่ามือโดยตรง พอร่ายอิทธิฤทธิ์อ่านเนื้อหาข้างใน ดวงตาหงส์ทั้งคู่ก็เบิกโพลงทันที
อวิ๋นจือชิวเป็นคนเขียนเนื้อหาในแผ่นหยกด้วยตัวเอง เนื้อหาหลักคือยืนยันว่านางส่งหยางชิ่งมาจริงๆ เนื้อหาหลักในนั้นบรรยายเรื่องที่เหมียวอี้กับฉินเวยเวยไปล่องเรือเที่ยวข้างนอกแล้วโดนเฟิงเป่ยเฉินลอบโจมตี
ความรู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดในใจมู่ฝานจวินยากจะอธิบายออกมาได้ ไม่ใช่เพราะเฟิงเป่ยเฉินมาลอบโจมตีถึงแดนเซียน แต่ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะมีศักยภาพถึงขั้นโจมตีให้เฟิงเป่ยเฉินถอยได้
นางกดแผ่นหยกในมือ จ้องมองลงมาที่หยางชิ่งพร้อมถามว่า “อวิ๋นจือชิวทำไมไม่มาพูดด้วยตัวเอง ทำไมต้องให้เจ้ามาเจรจา?”
หยางชิ่งกุมหมัดตอบอย่างเปิดเผยว่า “ตอบท่านปราชญ์ เฟิงเป่ยเฉินรังแกกันเกินไปแล้ว ท่านทูตเดือดดาลมาก รวบรวมกำลังพลหนึ่งล้านของสายมะโรงแล้ว พร้อมทั้งเรียกรวมกลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรด้วย เตรียมจะนำทัพไปโจมตีแดนอู๋เลี่ยง ถอนรากถอนโคนอำนาจของเฟิงเป่ยเฉินให้หมดสิ้น เพื่อที่จะขอการสนับสนุนจากอวิ๋นอ้าวเทียน ท่านทูตไปที่นภาจอมมารแล้ว เวลากระชั้นชิดมาก ลำบากที่ไม่มีวิชาแยกร่าง จึงสั่งให้ข้าน้อยรับอำนาจแทน มาอธิบายกับท่านปราชญ์ขอรับ”
มู่ฝานจวินดวงตาวูบไหว นำข้อมูลที่อยู่ในคำพูดกับสถานการณ์ที่จะตามมาหลังจากเกิดเรื่องมาครุ่นคิดในสมองแล้วรอบหนึ่ง จากนั้นก็แสยะยิ้มไม่หยุด “กล้าใช้วิธีลงมือทำก่อนแล้วค่อยรายงายกับข้าเหรอ คิดว่าข้าทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้รึอย่างไร? เจ้าใจกล้าไม่เบา คิดว่าข้าไม่กล้าฆ่าเจ้าเหรอ?”
หยางชิ่งรีบตอบว่า “ข้าน้อยหวาดกลัว ก่อนจะมาท่านทูตก็ย้ำกับข้าซ้ำๆ ว่าต้องเคารพให้เกียรติท่านปราชญ์ ขออาศัยแค่กำลังพลของสายมะโรงสายเดียว ต่อให้โจมตีแดนอู๋เลี่ยงได้ ก็ยังคงเป็นท่านปราชญ์เท่านั้นที่เป็นผู้นำสูงสุด”
…………………………
[1] 戴绿帽子 สวมหมวกเขียว อุปมาถึงผู้ชายที่โดนภรรยานอกใจ
บทที่ 1101 เงื่อนไขของมู่ฝานจวิน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ขอยืมกำลังพลนึ่งสายเหรอ?” มู่ฝานจวินราวกับได้ยินเรื่องที่น่าตลกมาก ถามกลับว่า “โจมตีแดนอู๋เลี่ยง กำลังพลของสายมะโรงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ มีทั้งทะเลดาวนักษัตรเคลื่อนทัพ ทั้งยังขอให้อวิ๋นอ้าวเทียนสนับสนุนได้ สามารถไปขอยืมกำลังพลจากอวิ๋นอ้าวเทียนได้เลย เหตุใดยังต้องมาขอยืมกำลังพลของข้าอีกล่ะ? นกเสียจากเหมียวอี้จะปีกกล้าขาแข็งแล้ว อยากจะแทนที่เฟิงเป่ยเฉินเท่านั้นแหละ แต่กลับกังวลว่าจะยั่วยุให้แดนอื่นๆ ร่วมมือกัน อาศัยกำลังพลของข้าคือข้ออ้าง อยากจะให้แดนอื่นๆ เห็นว่าข้าสนับสนุนพวกเจ้า จะได้ตีเสมอกับแดนอื่นๆ ได้สะดวก นั่นต่างหากคือสาเหตุที่แท้จริง ถ้าปล่อยให้พวกเจ้าทำสำเร็จ ยังจะหวังให้พวกเจ้าปฏิบัติตามคำสั่งข้าอยู่อีกเหรอ?”
อีกฝ่ายมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง หยางชิ่งก็ไม่หวังแล้วว่าจะปิดบังอีกฝ่ายได้ จึงบอกไปตรงๆ เลยว่า “ท่านปราชญ์ช่างปราดเปรื่อง! ก่อนที่จะมาท่านทูตได้บอกไว้แล้ว ว่าขอเพียงแค่สามารถแทนที่เฟิงเป่ยเฉินได้ หลังจากจบเรื่องแล้ว แดนอู๋เลี่ยงจะส่งมอบผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งมาให้ท่านปราชญ์ทุกปี หลังจากนั้นกำลังพลของแดนอู๋เลี่ยงก็จะเชื่อฟังคำสั่งระดมกำลังของท่านปราชญ์อย่างไม่มีเงื่อนไข นายท่านเหมียวยังคงปฏิบัติตามคำสั่งท่านปราชญ์เช่นเดิม จะไม่ทรยศเด็ดขาด และแน่นอน เพื่อไม่ทำให้แดนอื่นๆ เกิดความกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างจะปฏิบัติการอย่างลับๆ”
มู่ฝานจวินตาเป็นประกาย เงื่อไขที่ดีขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นมีใครบ้างที่จะไม่หวั่นไหว ถ้าสามารถทำแบบนี้ได้จริงๆ ก็เท่ากับทำให้อำนาจของแดนอู๋เลี่ยงเข้ามาอยู่ในสังกัดของนางอย่างลับๆ แต่นางไม่เชื่อว่าบนโลกเราจะมีเรื่องดีๆ ขนาดนี้อยู่ จึงแสยะยิ้มแล้วถามว่า “ช่างพูดจาไพเราะราวกับร้องเพลงจริงๆ มีเรื่องดีๆ แบบนี้อยู่ด้วยเหรอ? ใครจะรับประกันได้ว่าหลังจากจบเรื่องแล้วพวกเจ้าจะไม่กลับคำ? ข้าจะอาศัยอะไรมาเป็นหลักเพื่อเชื่อพวกเจ้า?”
“อันหรูอวี้และสามีเป็นตัวประกันอยู่ในมือท่านปราชญ์ขอรับ” หยางชิ่งตอบ
มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “ช่างน่าขำ! เดิมทีพวกเขาก็เป็นของข้าอยู่แล้ว พวกเจ้านำมาต่อรองราคากับข้าได้รึไง? พ่อแม่ของอนุภรรยาเบ็กๆ สองคนมีคุณสมบัติพอที่จะมาเป็นตัวประกันด้วยหรือ?”
คำพูดแบบนี้ทำให้หยางชิ่งรู้สึกเจ็บแปลบในใจ เพราะลูกสาวของเขาก็เป็นอนุภรรยาเหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องนี้ เขากุมหมัดคารวะกล่าวว่า “ท่านทูตอวิ๋นจือชิวยินดีจะมาเป็นตัวประกันที่แดนโพ้นสวรรค์ขอรับ! ฮูหยินของนายท่านเหมียวจะมาเป็นตัวประกันด้วยตัวเอง ไม่ทราบว่าท่านปราชญ์คิดว่าทำอย่างนี้จริงใจหรือไม่ขอรับ?”
เมื่อเขากล่าวมาแบบนี้ มู่ฝานจวินก็เงียบไป เห็นได้ชัดว่ารู้สึกเหนือความคาดหมาย
คำพูดนี้หยางชิ่งไม่ได้คิดขึ้นมากะทันหัน แต่เขาเตรียมวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้ว
และคำพูดนี้ก็ไม่ใช่ความคิดของอวิ๋นจือชิวเช่นกัน อวิ๋นจือชิวไม่รู้เลยว่าหยางชิ่งจะใช้นางมาเป็นแต้มต่อการเจรจาที่สำคัญที่สุด
ที่สำคัญที่สุดก็คือ หยางชิ่งรู้ดีอยู่แก่ใจ ว่าเดี๋ยวถ้าเขาบอกอวิ๋นจือชิว บอกว่ามู่ฝานจวินต้องการจะให้เป็นตัวประกัน เพื่องานใหญ่ของเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวจะต้องปฏิเสธได้ยากมากแน่นอน จะต้องมาเป็นตัวประกันแน่นอน นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเขาต้องใช้ความรู้สึกทำให้ประทับใจ ใช้เหตุผลทำให้เข้าใจ ยุยงอวิ๋นจือชิวให้ปิดบังเหมียวอี้
ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ชัดว่าอวิ๋นจือชิวสามารถจ่ายเพื่อเหมียวอี้ได้มากขนาดหน เขาก็คงไม่มาที่แดนโพ้นสวรรค์นี่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ที่ให้อวิ๋นจือชิวปิดบังเหมียวอี้แล้วทำเรื่อง ก็เพราะอยากจะหยั่งเชิงอวิ๋นจือชิว หลังจากอวิ๋นจือชิวตอบตกลงแล้ว ทั้งยังมั่นใจด้วยว่าจะโน้มน้ามอวิ๋นอ้าวเทียนได้ หยางชิ่งก็แน่ใจแล้วว่าอวิ๋นจือชิวจะตอบตกลงเป็นตัวประกันแน่นอน
ให้อวิ๋นจือชิวได้รับการสนับสนุนจากอวิ๋นอ้าวเทียน แล้วก็ให้อวิ๋นจือชิวมาเป็นตัวประกันเพื่อคุมมู่ฝานจวินให้สงบ เขาไม่สนใจเลยว่าจะทำให้สองคนนี้สงบได้นานเท่าไร เขาแค่อยากจะตีแดนอู๋เลี่ยงให้ทันเวลาเท่านั้น ขอเพียงก่อนหน้านั้นสามารถอาศัยอำนาจของอวิ๋นอ้าวเทียนและมู่ฝานจวินทำให้ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวและจีฮวนไม่กล้าบุ่มบ่ามเคลื่อนไหวก็เพียงพอแล้ว
ถ้าสามารถตีแดนอู๋เลี่ยงได้อย่างราบรื่น รากฐานของเฟิงเป่ยเฉินถูกทำลาย ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อความสมดุลของทั้งหกแดนอยู่ดี ทุกอย่างจะกลับไปเป็นเหมือนจุดเริ่มต้น หกแดนจะอยู่ในสถานการณ์ที่คานอำนาจกันเหมือนเดิม
หลังจากจบเรื่องหากมีคนต่อต้านเหมียวอี้ แดนที่เหลือก็จะไม่ยอมเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นเฟิงเป่ยเฉินสิ้นอำนาจไปแล้ว ถ้าเหมียวอี้ล้มลงอีกคน ประโยชน์ก็มีแต่จะไปตกอยู่กับอวิ๋นอ้าวเทียน ในทางตรงกันข้าม แดนที่เหลือจะไม่ต่อต้าน แต่กลับจะช่วยเหลือสนับสนุนด้วยซ้ำ และจะไม่ถือสาที่เหมียวอี้ผงาดขึ้นเร็วเกินไป อย่างมากเหมียวอี้ก็จะกลายเป็นอวิ๋นอ้าวเทียนคนที่สอง ทุกคนก็จะร่วมมือกับอวิ๋นอ้าวเทียนมาคานอำนาจกับเหมียวอี้ สรุปก็คือสถานการณ์จะกลับไปสมดุลเหมือนหกแดนก่อนหน้านี้
ส่วนครั้งนี้เหมียวอี้จะกำจัดเฟิงเป่ยเฉินทิ้งได้หรือไม่ เรื่องนี้ไม่สำคัญเลย ขอเพียงสามารถแทนที่เฟิงเป่ยเฉินได้ทันเวลา เมื่อสถานการณ์โดยรวมถูกกำหนดแล้ว หยางชิ่งก็มีความมั่นใจเต็มที่ว่าจะสามารถเล่นงานเฟิงเป่ยเฉินให้ถึงตายได้
แน่นอนว่าวรยุทธ์ของเขาไม่สูงพอที่จะกำจัดเฟิงเป่ยเฉินได้ แต่เขาสามารถทำให้ทุกคนมั่นใจได้ ว่าถ้าเฟิงเป่ยเฉินไปขอพึ่งพาแดนไหน ก็จะไม่ใช่เรื่องดีกับแดนอื่นๆ ที่เหลือ ถึงตอนนั้นย่อมกดดันให้แดนอื่นๆ ร่วมมือกันกำจัดเฟิงเป่ยเฉินทิ้งเพื่อรักษาความสมดุลระหว่างแดน
สรุปก็คือขอเพียงตีแดนอู๋เลี่ยงให้ได้ภายในครั้งนี้ เฟิงเป่ยเฉินก็จะต้องตายแน่นอน นี่ก็คือราคาที่เฟิงเป่ยเฉินต้องจ่ายเพราะไปแตะต้องลูกสาวหยางชิ่ง!
ส่วนหลังจากจบเรื่องแล้ว ฝั่งเหมียวอี้จะต้องถูกมู่ฝานจวินบงการอย่างลับๆ อยู่ตลอด หยางชิ่งก็ไม่มีทางนั่งดูดายให้เกิดเรื่องแบบนี้ต่อไปเหมือนกัน
เป็นเพราะอวิ๋นจือชิวคือตัวประกันที่ถูกบีบอยู่ในมือของมู่ฝานจวิน หยางชิ่งไม่คิดจะปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถ่อไปแดนโพ้นสวรรค์เพื่อกำจัดอวิ๋นจือชิวที่เป็นตัวประกันทิ้ง ต่อให้มีความสามารถนั้นแต่เขาก็จะไม่ลงมือเอง หลังจากจบเรื่องนี้ ขอเพียงแอบปล่อยข่าวให้แดนอื่นๆ รู้ ดำเนินการเพิ่มนิดหน่อย ให้ทุกคนได้เข้าใจว่าสาเหตุที่เหมียวอี้มาแทนที่เฟิงเป่ยเฉินได้ เป็นเพราะอวิ๋นจือชิวกำลังถูกมู่ฝานจวินควบคุมอย่างลับๆ ที่จริงแล้วอำนาจของแดนอู๋เลี่ยงเป็นของมู่ฝานจวิน ถึงตอนนั้นต่อให้มู่ฝานจวินไม่ฆ่าอวิ๋นจือชิวทิ้ง แต่แดนอื่นๆ ก็ไม่มีทางนั่งดูหนึ่งแดนเป็นใหญ่อยู่เพียงลำพังได้ จะต้องร่วมมือกันกดดันให้มู่ฝานจวินกำจัดอวิ๋นจือชิวทิ้งเพื่อให้เหมียวอี้เป็นอิสระ เพื่อที่จะรักษาสมดุลระหว่างกันต่อไป
สุดท้ายพออวิ๋นจือชิวตาย เหมียวอี้กับมู่ฝานจวินก็จะมีความแค้นที่ใหญ่โตต่อกัน อันหรูอวี้กับสามีอยู่ฝ่ายมู่ฝานจวิน ความสัมพันธ์ฝั่งสองพี่น้องโอวหยางก็จะอึดอัดมาก ฝั่งนี้มีตนคอยสนับสนุนและผลักดัน ตำแหน่งฮูหยินภรรยาเอกของเหมียวอี้จะต้องเป็นฉินเวยเวยลูกสาวของเขาอย่างแน่นอน
ภายใต้การอาศัยอำนาจคนอื่นดำเนินการต่อเนื่องกันเป็นชุด นี่ก็คือเป้าหมายที่เขาต้องการผลักดันไปให้ถึง ล้างแค้นกำจัดเฟิงเป่ยเฉินทิ้งเพื่อให้เหมียวอี้ไปแทนที่ก่อน แล้วค่อยกำจัดอวิ๋นจือชิวให้สองพี่น้องโอวหยางยืนหลีกทาง ถ้าครั้งนี้ลูกสาวของเขาสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ตำแหน่งที่มีเกียรติที่สุดของผู้หญิงในใต้หล้า ก็จะเป็นสิ่งที่เขาชดเชยให้ลูกสาวตัวเอง
เขารู้จักลูกสาวตัวเองดี รู้ว่าฉินเวยเวยไม่สนใจอำนาจอิทธิพล และรู้ด้วยว่าลูกสาวตัวเองต้องการความสุขแบบไหน เช่นนั้นเขาก็จะมอบความสุขนี้ให้ลูกสาวเขาได้เสพแต่เพียงผู้ดีย ในปีนั้นเขาให้ลูกสาวตัวเองเป็นอนุภรรยาภายใต้ความจนใจ ครั้งนี้เขาจะชดเชยให้ทั้งต้นทั้งดอก ให้ลูกสาวได้ครองตำหนักหลัก!
ในตำหนักเก้าชั้นฟ้า ทุกอย่างกำลังเงียบงัน หยางชิ่งมองประเมินสีหน้าที่คาดเดาได้ยากของมู่ฝานจวินเงียบๆ
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ มู่ฝานจวินก็จ้องมาด้วยแววตาเย็นเยียบ “ให้อวิ๋นจือชิวมาเป็นตัวประกันคือความคิดของเหมียวอี้เหรอ?” ในดวงตาถึงขั้นฉายแววดุร้าย
หยางชิ่งตอบว่า “หลังจากเกิดเรื่องนายท่านเหมียวก็รีบไปสะสางบัญชีกับเฟิงเป่ยเฉินที่นภาอู๋เลี่ยงแล้ว ย่อมไม่รู้เรื่องนี้ขอรับ มิหนำซ้ำนายท่านเหมียวก็ไม่มีอำนาจที่จะระดมกำลังพลทั้งสายมะโรงด้วย ที่ท่านทูตสามารถส่งข้าน้อยมาได้ การยินดีเป็นตัวประกันย่อมเป็นความคิดของท่านทูตเองขอรับ”
“เฮอะ!” มู่ฝานจวินพ่นเสียงทางจมูก แต่ความดุดันในแววตาคลายลงแล้ว นางกล่าวเสียงเรียบว่า “เหมียวอี้ปีกกล้าขาแข็งแล้ว ถ้าข้าฝืนรั้งเก็บไว้ ตาแก่ของแดนอื่นๆ ก็คงจะไม่วางใจเหมือนกัน ถ้าเขาจะไปแทนที่เฟิงเป่ยเฉิน ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร จะให้ข้าสนับสนุนพวกเจ้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า พวกเจ้าสามารถโน้มน้าวมารเฒ่าอวิ๋นนั่นได้ ไม่อย่างนั้นมีข้าแดนเดียวสนับสนุนไปก็ไม่มีประโยชน์ ส่วนจะจับตัวประกันไว้หรือไม่ เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ ข้ามีเงื่อนไขอยู่เพียงข้อเดียว!”
หยางชิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกุมหมัดถามว่า “ข้าน้อยจะล้างหูรอฟัง ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขอะไรขอรับ?”
มู่ฝานจวินกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งในแต่ปีของแดนอู๋เลี่ยง ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว หลังจากจบเรื่องก็มาส่งส่วยตามกำหนดเวลาก็พอ ไม่ต้องให้อวิ๋นจือชิวมาเป็นตัวประกันแล้ว เพื่อลดหยางเพิ่มหยินระหว่างหกปราชญ์ ข้าเป็นผู้หญิงคนเดียวอาจจะรู้สึกเหงา ข้าว่าเอาอย่างนี้แล้วกัน หลังจากจบเรื่องให้อวิ๋นจือชิวไปเป็นปราชญ์เต๋าของแดนอู๋เลี่ยงเถอะ ให้เหมียวอี้เป็นผู้ช่วยนาง ถ้าพวกเจ้าตอบตกลงเงื่อนไขนี้ ข้าก็จะตอบตกลงเงื่อนไขของพวกเจ้าเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ตอบตกลง เช่นนั้นก็การเจรจานี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น”
นางขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับเขา จึงโบกมือ ส่งสัญญาณให้เขาถอยไป!
หยางชิ่งเหม่อเล็กน้อย นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? ทำไมคุยง่ายขนาดนี้? ถ้าไม่มีตัวประกันที่มีน้ำหนักมากพอ แล้วเจ้าอาศัยอะไรมาเชื่อว่าพวกเราจะส่งมอบผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งของแดนอู๋เลี่ยงให้เจ้าทุกปี? ถ้าไม่กำจุดอ่อนไว้ในมือ ต่อให้ตอนนี้พวกเราตอบรับเงื่อนไขของเจ้า แล้วเจ้าจะเอาอะไรมาเชื่อว่าหลังจากจบเรื่องพวกเราจะให้อวิ๋นจือชิวเป็นปราชญ์?
แผนการที่มีความมั่นใจเก้าในสิบของเขา ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเจอกับสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงแบบนี้ เรียกได้ว่าออกหมัดหนักแต่กลับชกไม่โดนอะไร ออกมาจากตำหนักเก้าชั้นฟ้าอย่างค่อนข้างงุนงง ต่อให้คิดจนหัวจะแตกก็คิดไม่ตกว่ามู่ฝานจวินกำลังเล่นบ้าอะไร
หารู้ไม่ว่าสำหรับมู่ฝานจวินแล้ว ถ้าเหมียวอี้ไม่แย่แสความตายของตัวประกัน จะให้นางนำอวิ๋นจือชิวมาเป็นตัวประกันก็ไม่มีความหมาย แต่ถ้าเหมียวอี้แยแสความเป็นความตายของตัวประกันจริงๆ ตัวประกันก็ไม่จำเป็นต้องมีเยอะ แค่คนเดียวก็เพียงพอแล้ว
ถึงแม้หยางชิ่งจะวางแผนอย่างรอบคอบและคิดการณ์ไกล แต่เสียที่รู้ข่าวสารไม่คีบถ้วน มีเรื่องบางเรื่องที่เขาไม่รู้เลย เรื่องที่เขาไม่รู้ก็ย่อมไม่ได้อยู่ในแผนของเขา
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เขามองได้อย่างแม่นยำแล้ว นั่นก็คือเหมียวอี้มีศักยภาพที่จะโจมตีชนะเฟิงเป่ยเฉิน เรื่องนี้กลับตัวไม่ได้แล้ว ถ้ามู่ฝานจวินให้เหมียวอี้อยู่ใต้บังคับบัญชาต่อไป ก็จะทำให้แดนที่เหลือหวาดระแวงจริงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แดนอื่นร่วมมือกันมากดดัน นางทำได้เพียงฝืนใจตอบตกลงไป นี่ก็คือสิ่งที่หยางชิ่งมองขาด ถึงได้มีความมั่นใจที่จะกล้ามาเจรจา
“ให้เยว่เหยากับหงเฉินมาที่นี่หน่อย!”
หลังจากหยางชิ่งออกไปแล้ว มู่ฝานจวินที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็เอ่ยสั่งเสียงเรียบ แล้วมีคนไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที
ผ่านไปครู่เดียว เยว่เหยาที่สวมชุดกระโปรงขาวกับหงเฉินที่สวมชุดกระโปรงแดงก็มาด้วยกัน พอก้าวเข้ามาในตำหนักก็ทำความเคารพ “ท่านปราชญ์!”
มู่ฝานจวินที่นั่งอยู่เบื้องบนอมยิ้มน้อยๆ ในดวงตา แล้วถามว่า “เยว่เหยา พี่รองคนนั้นของเจ้าที่หายตัวไปหลายปี ได้ข่าวบ้างหรือไม่?”
พอถามมาแบบนี้ เยว่เหยากับหงเฉินก็สบตากันโดยจิตใต้สำนึก ในดวงตาฉายแววลุกลี้ลุกลนนิดหน่อย ทำเอามู่ฝานจวินเริ่มหรี่ตามอง
หลังจากคุมสติได้แล้ว เยว่เหยาก็ตอบว่า “ไม่เคยได้ข่าวเลยค่ะ”
ดวงตาที่อมยิ้มของมู่ฝานจวินหายไปแล้ว เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบแทน “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ไม่ได้ข่าวจริงเหรอ?”
จู่ๆ ก็มาไม้นี้ ในใจเยว่เหยาเรียกได้ว่าสับสนอลหม่าน แต่ก็ยังฝืนถามด้วยรอยยิ้ม “หรือว่าท่านอาจารย์ได้ข่าวเขาหรือคะ?”
มู่ฝานจวินแสยะยิ้ม “นางหนู ดีเลย เจ้าช่างดีจริงๆ! ในบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมดหกคน ข้าเอ็นดูเจ้าที่สุด แต่ตอนนี้เจ้ากลับใช้คำพูดมาเป็นมีดแทงหัวใจข้า! ข้าเคยห้ามเจ้าไม่ให้ไปมาหาสู่กับลูกศิษย์ของไต้ซือศีลเจ็ดเหรอ?”
พอเรียกชื่อคน คู่เทพธิดาโพ้นสวรรค์ที่ยืนอยู่เบื้องล่างก็เหม่อไปเลย ไม่รู้ว่านางรู้ได้อย่างไร
หารู้ไม่ว่าในปีที่มู่ฝานจวินพาพวกนางสองคนไปหาเหมียวอี้ที่ทะเลดาวประจิม ตอนที่ไต้ซือศีลเจ็ดมาพูดขอร้องให้เหมียวอี้ ตอนนั้นนางก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติแล้ว เพราะมันทำให้นางนึกขึ้นได้ว่าในปีนั้นเยว่เหยาเคยบอกว่าพี่รองของนางโดนคนพาตัวไป เค้ารางต่างๆ เหมือนเคล็ดวิชาของไต้ซือศีลเจ็ด กอปรกับเห็นปฏิกิริยาที่เครียดกังวลของศีลแปดในตอนนั้น ก็ทำให้นางสงสัยแล้ว ตอนหลังจึงส่งคนไปสืบเวลาตอนที่ไต้ซือศีลเจ็ดรับศิษย์ ก็พบว่าสอดคล้องกันจริงๆ บวกกับตอนหลังสามพี่น้องไปมาหาสู่กันบ่อยด้วย
นางแน่ใจในตัวตนของศีลแปดแล้ว เพียงแต่มีหลายเรื่องที่นางอมไว้ไม่เผยออกมา เล่ห์เหลี่ยมล้ำลึก ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่มีประโยชน์ก็จะไม่เปิดโปงออกมาง่ายๆ ที่มาเอ่ยถึงตอนนี้ก็แสดงว่าถึงเวลาจะใช้ประโยชน์แล้ว
ตุ้บ! เยว่เหยาคุกเข่าลงตรงนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็สะอึกสะอื้น “ท่านอาจารย์ ศิษย์ผิดไปแล้ว!”
…………………………
บทที่ 1102 ไม้กระบองใหญ่สองด้าม
โดย
Ink Stone_Fantasy
หงเฉินก้มหน้า
“ตอนนี้เจ้ายอมรับแล้วใช่มั้ยว่าลูกศิษย์ของไต้ซือศีลเจ็ดคือพี่รองของเจ้า?” มู่ฝานจวินถาม
“ค่ะ!” เยว่เหยาร้องไห้คุกเข่าอยู่บนพื้น
มู่ฝานจวินถอนหายใจยาว “นางหนูเอ๊ย! ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ข้ามองเจ้าเหมือนเป็นลูกเป็นหลานตัวเอง แต่เจ้ากลับหลอกข้าซ้ำแล้วซ้ำอีก นี่เจ้าทำร้ายจิตใจข้าอย่างโหดเหี้ยมนะ!”
“ท่านอาจารย์!” เยว่เหยาโขกหน้าผากกับพื้นด้วยน้ำตานองหน้า เรียกได้ว่ารู้สึกผิดสุดๆ
มู่ฝานจวินมองไปที่หงเฉินอีกครั้ง “เจ้าก็เหมือนกัน! เจ้ากล้าบอกมั้ยว่าเจ้าไม่รู้เรื่องนี้?”
หงเฉินคุกเข่าลงอย่างช้าๆ เยว่เหยาที่ร้องไห้ฟูมหายรีบเงยหน้าบอก “ท่านอาจารย์ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศิษย์พี่ค่ะ”
มู่ฝานจวินไม่สนใจนาง ถามหงเฉินต่อไป “เมื่อครู่ข้าบอกแล้วว่าจะให้เยว่เหยาอีกครั้ง ศิษย์พี่อย่างเจ้าทำไมมัวมองดูศิษย์น้องตัวเองโกหกอาจารย์แล้วไม่ห้าม?”
“…” หงเฉินตอบนางด้วยความเงียบ
“มีเจตนาไม่ดี!” เสียงของมู่ฝานจวินพลันเฉียบคม “เจ้าว่ามาซิว่าข้าควรจะลงโทษพวกเจ้าสองคนอย่างไร?”
เยว่เหยาโขกศีรษะกับพื้นซ้ำๆ “ท่านอาจารย์ ถ้าจะลงโทษก็ลงโทษเยว่เหยาคนเดียวพอแล้ว เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับศิษย์พี่เลยจริงๆ เป็นข้าเองที่ไม่ยอมให้ศิษย์พี่พูด”
“หงเฉิน ศิษย์น้องเจ้ากำลังวิงวอนให้เจ้า เจ้าจะอธิบายอย่างไร?” มู่ฝานจวินถาม
“ศิษย์ยอมรับโทษค่ะ!” หงเฉินตอบอย่างเฉื่อยชา
“ศิษย์พี่!” เยว่เหยาร้องไห้สะอึกสะอื้น
มู่ฝานจวินกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “หงเฉิน ข้ามอบเยว่เหยาให้เจ้าคอยดูแลมาตั้งแต่เด็ก แต่ศิษย์น้องไม่ได้เรียนรู้อะไรดีๆ เจ้าเลี่ยงความรับผิดชอบนี้ได้ยาก ครั้งนี้ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง เห็นแก่ที่เยว่เหยาวิงวอนขอร้องเพื่อเจ้าด้วย ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ถ้าเยว่เหยาทำเรื่องอกตัญญูอีก ข้าจะลงโทษเจ้าคนแรก เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไร?”
“ขอบคุณท่านอาจารย์!” หงเฉินโน้มตัวโขกศีรษะกับพื้นเช่นกัน “ศิษย์ไม่มีความคิดเห็นอะไรค่ะ”
เมื่อเห็นศิษย์พี่รอดพ้นจากการทำโทษ เยว่เหยาเพิ่งจะโขกศีรษะกับพื้นขอบคุณ แต่มู่ฝานจวินกลับชี้นาง “เจ้า! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไปที่ยืนสำนึกผิดที่เขตต้องห้าม ถ้าเมื่อไรที่รู้ความแล้วจริงๆ ก็ค่อยออกมาเมื่อนั้น!”
หงเฉินเงยหน้ามองมา แบบนี้เท่ากับศิษย์น้องโดนกักบริเวณแล้ว นางอึกอักอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกมู่ฝานจวินจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบ จึงต้องกลืนคำพูดลงคอไปอีกครั้ง
“ค่ะ!” เยว่เหยากลับสมัครใจรับโทษ
หลังจากทั้งสองถอยออกไปแล้ว มู่ฝานจวินที่นั่งอยู่เบื้องสูงก็หลับตาโดยไม่พูดอะไร
ใครว่านางไม่ต้องการตัวประกันล่ะ เมื่อก่อนเหมียวอี้ยังปีกอ่อน ที่เล่นแง่กับเยว่เหยาก็เพราะจะเก็บไว้เป็นตัวประกัน ตอนนี้เหมียวอี้ปีกแข็งแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เหมียวอี้แข็งข้อ ตอนนี้นางจึงจับเยว่เหยาขังสียเลย เพียงแต่วิธีการของนางไม่ได้แข็งกร้าวขนาดนั้น เยว่เหยาที่โดนทำโทษยินยอมสมัครใจ ต่อให้จะลงโทษอย่างไร แต่ลูกศิษย์คนนี้ก็ยังเป็นลูกศิษย์ของนางตลอดไป
ส่วนหงเฉินที่อยู่เป็นเพื่อนเยว่เหยาตั้งแต่เด็กจนโต ก็คือเครื่องพันธนาการเส้นที่สองของเยว่เหยา ทั้งสองมีความผูกพันกัน ถ้าเยว่เหยากล้าหนีไปกับเหมียวอี้ เมื่อครู่นางก็เพิ่งจะบอกไว้อย่างชัดเจนแล้ว ว่าถึงตอนนั้นนางจะลงโทษหงเฉินก่อน…
อวิ๋นจือชิวยังคงอยู่ระหว่างทางไปนภาจอมมาร ตอนที่ได้รับข่าวจากหยางชิ่ง นางก็แปลกใจมาก แดนอู๋เลี่ยงที่ตีได้แล้ว จะให้เหมียวอี้นั่งรักษาการณ์หรือจะให้นางรักษาการณ์ มีอะไรแตกต่างกันด้วยเหรอ? ตอนอยู่ที่สายมะโรง มู่ฝานจวินก็จะให้นางเป็นท่านทูตให้ได้ วันนี้ใช้วิธีการนี้อีกแล้ว นางไม่ค่อยเข้าใจว่ามู่ฝานจวินกำลังจะทำอะไรกันแน่
แต่ก็เป็นอย่างที่บอก ไม่ว่าจะเป็นนางหรือเหมียวอี้ที่นั่งรักษาการณ์ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน นางเป็นของเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็เป็นของนาง เหมียวอี้สามารถมอบทั้งบ้านให้นางได้ตลอดเวลา จะต้องไม่ถือสาแน่นอนว่านางจะได้นั่งตำแหน่งนั้นหรือไม่
ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดแล้ว ก็ตอบหยางชิ่งว่า : ใครเป็นก็เหมือนกัน ตอบตกลงนางไป!
หยางชิ่งที่เก็บระฆังดาราแล้วกลับถอนหายใจ รู้สึกว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่ามู่ฝานจวินไปกินยาอะไรผิดมากันแน่ แผนการที่ตัวเองวางไว้อย่างดีถูกมู่ฝานจวินทำให้มั่วไปหมดแล้ว…
อินทรีเทพตัวหนึ่งบินร่อนอยู่บนท้องฟ้า ระหว่างแนวภูเขาที่สูงต่ำสลับกันเบื้องล่างพลันมีเงาคนพุ่งขึ้นฟ้า รีบตามอินทรีเทพตัวนั้นไปด้วยความเร็วสูง อินทรีเทพที่อยู่บนฟ้าพบว่ามีคนตามมา จึงรีบกระพือปีกบินให้ไว แต่กลับไม่สามารถรอดพ้นเงื้อมมือมารของผู้ที่มาได้
ชายหนุ่มชุดม่วงคนนึ่งคว้าอินทรีเทพมาไว้ในมือ แล้วก็รีบเหาะลงมา เหาะผ่านท้องฟ้าเหนือแนวภูเขาเป็นวิถีเส้นโค้ง สุดท้ายก็มาเหยียบลงบนภูเขาลูกหนึ่ง ท่วงท่างดงามปราดเปรียว ผลักอินทรีเทพมาตรงหน้าเหมียวอี้ด้วยรอยยิ้ม “คุณชายห้า ดูว่าใช่ตัวที่ท่านต้องการหรือไม่”
เขาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหลิงเทียน ทูตซ้ายของอิงอู๋ตี๋แห่งตำหนักดาวทักษิณของทะเลดาวนักษัตร
พื่อให้ติดต่อกับกำลังพลเบื้องล่างได้สะดวก ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋จึงฝากฝังให้อวิ๋นจือชิวที่กลับมาบ่อยๆ นำระฆังดารามาให้ทูตซ้ายที่เฝ้าตำหนักเพื่อสร้างช่องทางติดต่อ หลิงเทียนเองก็รู้ว่าตอนนี้เหมียวอี้มีตำแหน่งที่พิภพใหญ่แล้ว เหล่าพี่น้องกลุ่มใหญ่หวังจะได้หากินเพราะคุณชายห้าท่านนี้ ดังนั้นเขาจึงเคารพนับถือมาก
หลังจากได้รับแจ้งจากเหมียวอี้แล้ว หลิงเทียนก็รีบมาพบหน้าเหมียวอี้ก่อน
ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูงเท่าเฟิงเป่ยเฉิน เหาะตามความเร็วของเฟิงเป่ยเฉินไม่ทัน ต้องอาศัยสัตว์พาหนะคอยช่วย ไม่อย่างนั้นต่อให้ได้ประมือกับเฟิงเป่ยเฉินอีก ก็จะปล่อยให้เฟิงเป่ยเฉินหนีไปง่ายๆ อีกอยู่ดี ตอนนี้เหมียวอี้นึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ไม่ได้นำสัตว์เทพดีๆ จากพิภพใหญ่สักตัวมาเป็นพลังเท้าให้ตัวเอง
เพียงเพราะตอนอยู่ที่พิภพใหญ่เขาได้เข้าใจสถานการณ์ของเฮยทั่นแล้ว อาชามังกรแบบเฮยทั่นกำลังอยู่ในสภาวะวิวัฒนาการ ถ้าวิวัฒนาการสำเร็จขึ้นมา ก็จะเป็นสัตว์พาหนะระดับสูงที่เหาะได้ เพียงรอดูผลลัพธ์การวิฒนาการของมัน ว่าการตื่นตัวของสายเลือดจะเอนเอียงไปทางมังกร หรือจะเอนเอียงไปทางอาชาสวรรค์
สัตว์พาหนะที่ยังรักษาสติปัญญาไว้ได้ประเภทนี้ เหนือกว่าสัตว์พาหนะประเภทที่โดนลดสติปัญญาให้หลับหูหลับตายอมรับเจ้าของ พวกมันมีการปรับตัวให้มีความสามารถในการเป็นฝ่ายรุกโจมตี
สัตว์เทพดีๆ ราคาแพงเกินไปแล้ว จะไม่ให้แพงก็ไม่ได้ สัตว์เทพดีๆ ตัวหนึ่งมีค่าเท่ากับชีวิตคนคนหนึ่งในยามคับขัน ราคาไม่ได้ต่ำกว่าเกราะรบผลึกแดงหนึ่งชุดเลย เพื่อสัตว์เทพตัวหนึ่งที่โดนลดสติปัญญาแล้ว เขารู้สึกว่าการจ่ายเงินมากขนาดนั้นไม่คุ้มค่า
ที่จริงก็ไม่ได้เป็นเพราะมีเงินหรือไม่มีเงิน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เหมียวอี้ไม่ค่อยสนใจสัตว์พาหนะเท่าไรนัก เขารอการตื่นรู้ทางสายเลือดของเฮยทั่นมาตลอด เฝ้ารอเจ้าอ้วนที่เคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมา เจ้าอ้วนที่วิ่งมาตรงหน้าเขาพร้อมบาดแปลเต็มตัวตอนอยู่การปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร ในด้านอารมณ์ความรู้สึก เขากำลังเฝ้ารอมันมาตลอด
ดังนั้นสัตว์เทพหลายตัวที่เขาได้มาจากการทดสอบหนึ่งร้อยปีจึงมอบให้พวกอวิ๋นจือชิวไปหมด ให้พวกนางไว้ป้องกันตัว เวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจะได้หนีได้ไว้
ตอนกลับมาจากการทดสอบก็เห็นผีจวินจื่อขุดทางใต้ดินใหม่ หลังจากถามอะไรบางอย่างกับผีจวินจื่อแล้ว ตอนที่เขากลับไปหาพวกอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก มอบสัตว์เทพทั้งหมดให้ไปเลย ไม่เหลือไว้สักตัว
ตอนนี้พอถึงเวลาที่จะใช้งานถึงได้แค้นที่ขาดแคลน ในขณะที่หมดทางเลือก จึงทำได้เพียงเรียกหลิงเทียนให้มาหาก่อน
เมื่อได้อินทรีเทพมาไว้ในมือ เหมียวอี้ก็หยิบท่อนไม้สีขาวที่เหมือนเลอะรอยเลือดออกมา เก็บอินทรีเทพเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วพลิกดูท่อนไม้ที่มีขนาดใหญ่เท่าครึ่งฝ่ามือ ตอนที่พลิกดูได้กลิ่นหอมจางๆ ที่ทำให้จิตใจสดชื่น
หลิงเทียนที่อยู่ข้างๆ ถามอย่างแปลกใจว่า “คุณชายห้า นี่มันของอะไรกัน?”
“ไม่รู้ว่าเป็นของอะไร ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่เฟิงเป่ยเฉินจะนำมาสู้กับข้า” เหมียวอี้ตอบ
“ใช้ไม้ท่อนเดียวมาสู้กับคุณชายห้าเหรอ?” หลิงเทียนถามอย่างสงสัย แล้วจ้องมองพลางครุ่นคิด
เหมียวอี้โยนท่อนไม้ไว้บนพื้น แล้วโบกมือเรียกทวนเกล็ดย้อนออกมา ก่อนจะร่ายอิทธิฤทธิ์แทงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ท่อนไม้ที่ถูกเสียบอยู่บนหัวทวนถูกถือขึ้นมา หลิงเทียนก็ยื่นหน้าเข้ามาดูใกล้ๆ เช่นกัน มันถูกแทงทะลุได้ง่ายมาก เหมือนจะไม่ได้แปลกประหลาดอะไร
เหมียวอี้ดึงท่อนไม้ออกจากหัวทวน ปรากฏว่าเห็นรอยแผลที่โดนแทงทะลุบนท่อนไม้กลับมาหลอมประสานกันอีกครั้ง ค่อนข้างแปลกจริงๆ แต่ต้านทานการโจมตีของทวนเกล็ดย้อนไม่ไหวเลย
เหมียวอี้จึงโยนท่อนไม้ลงบนพื้นแล้วแทงซ้ำอีกหลายครั้ง ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม
ตอนที่เก็บของขึ้นมาอีกครั้งเขาก็เริ่มกลุ้มใจแล้ว ของสิ่งนี้สามารถต้านทานการโจมตีจากทวนวิเศษของตนได้เหรอ?
เขาจำเป็นต้องหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับฉินซีอีกครั้ง ถามว่านางเข้าใจผิดหรือเปล่า
ฉินซีตอบว่า : ไม้ที่หนาเท่าฝ่ามือย่อมต้านทานการโจมตีของเจ้าไม่ได้อยู่แล้ว ใช้ดาบฟันก็เข้าไปได้แค่นิ้วเดียว แต่ถ้ามันหนาเพียงพอ ความแข็งแรงยืดหยุ่นก็สูงมาก อาศัยให้เฟิงเป่ยเฉินให้วรยุทธ์ทั้งหมดที่มีฟันไปหนึ่งครั้ง แต่ก็ยังฟันได้ไม่ลึกเท่าไร เฟิงเป่ยเฉินต้องการจะนำทั้งต้นมาทำเป็นอาวุธ เจ้าอย่าประมาทเชียวนะ!
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! หลังจากเหมียวอี้เก็บระฆังดาราแล้ว ก็หยิบหินผลึกไขมันเพลิงออกมาก้อนหนึ่ง เขาร่ายอิทธิฤทธิ์จุดไฟ แล้วควบคุมไฟให้เผาท่อนไม้ท่อนนั้น
เป็นอย่างที่ฉินซีบอกไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ ท่อนไม้นี้ติดไฟได้ยากมาก ไม่ใช่ว่าเผาแล้วไม่เกิดอะไรขึ้น แต่ใช้เวลานานมากกว่าจะติดไฟ มีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือยิ่งเผายิ่งหอม กลิ่นหอมมาก
แต่ถ้าต้องสู้กับเฟิงเป่ยเฉินขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เฟิงเป่ยเฉินจะรอให้ท่อนไม้ถูกเผาหมดก่อนค่อยสู้กับเจ้า
หลิงเทียนที่กำลังดูอยู่พยักหน้าบอกว่า “ท่อนไม้นี้ค่อนข้างแปลกจริงๆ”
เหมียวอี้กลับเก็บหินผลึกไขมันเพลิงแล้ว ใช้ฝ่ามือรองท่อนไม้ท่อนนั้นขึ้นมา แล้วจู่ๆ เปลวเพลิงที่ใสโปร่งแสงเหมือนน้ำกลุ่มหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากฝ่ามือ มาครอบเผาไม้ท่อนนั้น
หลิงเทียนตาเป็นประกาย เห็นเพียงท่อนไม้ในฝ่ามือเหมียวอี้เลื้อยราวกับมีชีวิตขึ้นมา จู่ๆ ก็เริ่มงอเบี้ยวหดลง กำลังเผาไหม้อย่างรุนแรง ไม่นานก็หดกลายเป็นถ่านสีดำก้อนหนึ่ง
เปลวเพลิงน้ำหดกลับเข้าไปในฝ่ามือเหมียวอี้ พอเหมียวอี้กำมือก็เกิดเสียงดังกรอบ พอแบมืออีกครั้ง ท่อนไม้เล็กก้อนนั้นก็กลายเป็นเถ้าปลิวไปแล้ว
เหมียวอี้โค้งมุมปากยิ้ม อีกประเดี๋ยวเฟิงเป่ยเฉินอย่าร้องไห้ก็แล้วกัน!
หลิงเทียนทำสายตาเหมือนถามว่าสิ่งที่โผล่ออกมาจากฝ่ามือเหมียวอี้เมื่อครู่นี้คืออะไร
เหมียวอี้ไม่ได้อธิบาย ทั้งสองมองไปรอบๆ เช่นกัน ท่อนไม้นั่นถูกเผนทำลายไปแล้ว แต่กลิ่นหอมที่กระจายออกมากลับดึงดูดสัตว์เล็กในป่าภูเขารอบๆ ให้มาทางนี้
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าท่อนไม้นี้จะมีสรรพคุณที่อัศจรรย์ขนาดนี้ หลิงเทียนร่ายอิทธิฤทธิ์โบกมือ ไล่สัตว์เล็กที่อยู่รอบๆ ให้แยกย้ายออกไป
หลิงเทียนหันกลับมาถามว่า “คุณชายห้า จะลงมือเมื่อไรขอรับ?”
เหมียวอี้ปัดขี้เถ้าในมือแล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “ฝั่งอวิ๋นจือชิวให้พวกเรารอสักหน่อย ต้องรอให้ยอดฝีมือของแดนอู๋เลี่ยงไปรวมตัวที่นภาอู๋เลี่ยงให้หมดก่อน รอให้กองทัพใหญ่บุกโจมตีจนอีกฝ่ายหมดพลานุภาพ แล้วค่อยลงมือทีหลัง รอก่อนแล้วกัน จะได้ถือโอกาสรอให้พวกพี่ใหญ่มาด้วย ถึงตอนนั้นจะขุดรากถอนโคนกำลังสำคัญของเฟิงเป่ยเฉินให้หมดเพื่อตัดปัญหาที่จะตามมาภายหลัง”
ที่จริงเขาไม่อยากรอนานเลย เป็นห่วงฉินเวยเวยที่ตกอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉิน กลัวว่าปล่อยให้เวลายืดเยื้อแล้วจะเกิดเหตุไม่คาดคิด ถ้าไม่ใช่เพราะมีฉินซีคอยดูอยู่ แล้วบอกว่าจะติดต่อเขาทันทีที่เกิดเหตุไม่ชอบมาพากล เขาก็คงจะรอไม่ไหวจริงๆ…
ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น เงาคนคนหนึ่งแวบออกมา มาเหยียบลงที่ตำหนักอู๋เลี่ยง เป็นเฟิงเป่ยเฉินนั่นเอง
ฉินซีที่ตัดต้นไม้รอเงียบๆ อยู่ในลานบ้านเอียงหน้าเล็กน้อย ถามเสียงเรียบว่า “ทำเสร็จแล้วเหรอคะ?”
พอเฟิงเป่ยเฉินใช้สองมือเรียกออกมา ท่อนไม้กลมใหญ่สองชิ้นที่ยาวครึ่งจั้งก็ปรากฏอยู่ในมือเขาแล้วโบกไปมา
ฉินซีที่เย็นชามาตลอดกระตุกมุมปากเล็กน้อย นี่นับว่าเป็นอาวุธอะไรกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นไม้กระบองใหญ่สองด้าม เป็นไม้กระบองใหญ่ที่ผู้หญิงในโลกมนุษย์ใช้ซักผ้าริมลำธาร แต่เป็นแบบที่ขยายให้ใหญ่ขึ้น
ที่จริงก็เป็นแค่ลำต้นที่กำจัดเปลือก ใบและกิ่งทิ้งไปแล้ว แล้วค่อยฟันให้ขาดครึ่งเป็นสองท่อน ส่วนปลายถูกตัดแต่งให้เป็นสองจุดที่จับถือได้สะดวก เหมือนไม้กระบองใหญ่สองด้ามมาก
เมื่อเห็นว่าแม้แต่ฉินซีที่นิสัยเย็นชาก็ยังทำท่า ‘ตกตะลึง’ เฟิงเป่ยเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น “อย่าไปมองว่ามันน่าเกลียดนะ มันใช้ดีกว่าอะไรทั้งนั้น”
…………………………
บทที่ 1103 แลกตัวประกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ท่านรู้สึกว่าใช้ดีก็พอแล้ว” ฉินซีตอบส่งเดชขณะมองดูเขาโอ้อวด
ขณะที่ถูกนางมองด้วยสายตาแปลกๆ เฟิงเป่ยเฉินก็รู้ว่าการถืออาวุธสองด้ามนี้ไม่สง่างาม แต่ก็ไม่มีทางเลือก เขาถูกเหมียวอี้โจมตีจนกลายเป็นแบบนั้น จึงอับอายที่จะขอกำลังเสริม ยกตัวอย่างเช่นตอนที่โดนอวิ๋นอ้าวเทียนโจมตี เขาก็สามารถเรียกปราชญ์ที่เหลือให้มาช่วยได้ทันที แต่ถ้าแพ้ให้เหมียวอี้แล้วยังเรียกกำลังเสริมมาอีก ต่อไปก็ไม่มีหน้ามาเรียกตัวเองว่าหนึ่งในหกปราชญ์แล้ว
เขาไม่อยากประกาศเรื่องฉาวโฉ่พวกนี้ ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่อยากให้ของบนตัวเหมียวอี้ตกไปอยู่ในมือคนอื่น
ตรงนี้เพิ่งจะเก็บไม้กระบองใหญ่สองด้าม ด้านนอกก็มีคนมารายงานแล้วว่า “ท่านปราชญ์ โม่หมิง เจ้าสำนักงามวิจิตรมาขอพบขอรับ”
ฉินซีเหล่ตามองแวบหนึ่ง นางรู้ดีอยู่แก่ใจ
เฟิงเป่ยเฉินถามกลับว่า “เขามาทำไม จวินอี๋ไม่ได้มาเหรอ?” เขาเรียกเหมียวจวินอี๋มา ไม่ได้เรียกพบโม่หมิง
ผู้ที่มาตอบว่า “เปล่าขอรับ มีแค่โม่หมิงคนเดียว ดูท่าทางร้อนรนมาก เหมือนจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
เฟิงเป่ยเฉินโบกมือ ผู้ที่มารีบสาวเท้าเดินออกไป และไม่นานก็นำโม่หมิงเข้ามา
พอพบหน้าและทำความเคารพ โม่หมิงก็ไม่รอให้เฟิงเป่ยเฉินถาม แย่งบอกอย่างใจร้อนแล้วว่า “ท่านปราชญ์! จู่ๆ ไอ้เหมียวจัญไรก็จู่โจมสำนักงามวิจิตร จับตัวจวินอี๋กับลูกสาวไป..” เรียกได้ว่ารีบร้อยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง
“เฮอะ!” หลังจากได้ฟังแล้ว เฟิงเป่ยเฉินก็แค่พ่นเสียงทางจมูก แต่ไม่นานสีหน้าเปลี่ยนก็ไปเล็กน้อย เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ ถามกลับว่า “ไม่ได้จับคนอื่นเหรอ ขับแค่จวินอี๋กับหลันหลัน?”
โม่หมิงไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึก พยักหน้าตอบไปว่า “ขอรับ! จับพวกนางไปแค่สองคน พูดทิ้งท้ายไว้แล้วจากไปเลย”
ตอนนี้ดวงตาเฟิงเป่ยเฉินฉายแววร้อนรนแล้ว หน้าดำคร่ำเครียดนิดหน่อย รู้สึกเหมือนโดนเหมียวอี้ทำให้มีอะไรติดคอ เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในลานบ้าน เหมียวอี้พุ่งเป้าหมายมาชัดเจนเกินไปแล้ว ทำเอาเขาหวาดกลัวแทบแย่
เป็นอย่างที่ฉินซีบอก โม่จวินหลันเกิดจาดเขากับเหมียวจวินอี๋จริงๆ ปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผย ไม่น่าเชื่อว่าจะทำลูกศิษย์หญิงของตัวเองจนท้องคลอดลูกออกมา ที่สำคัญที่สุดก็คือ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากลูกศิษย์แต่งงานแล้ว ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร
เขาสงสัยว่าเหมียวอี้รู้อะไรบางอย่างเข้าแล้วหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นใครมันจะลงมือได้แม่นยำขนาดนี้ ทำไมต้องลงมือกับเหมียวจวินอี๋และลูกสาวด้วยล่ะ?
หลังจากสับสนวุ่นวายใจอยู่พักหนึ่ง ฝีเท้าก็หยุดนิ่ง จู่ๆ ก็พบว่าตัวเองคิดมากเกินไปแล้ว ในบรรดาลูกศิษย์ของตัวเองก็มีแค่เหมียวจวินอี๋ที่พักอยู่นอกนภาอู๋เลี่ยง ถ้าเหมียวอี้จะจับคนมาบีบเขา ถ้าไม่จับเหมียวจวินอี๋แล้วจะให้จับใครล่ะ? เขากับชุยหย่งเจินก็ทำเรื่องน่าอับอายเหมือนกัน ครั้งก่อนเหมียวอี้ก็จับชุยหย่งเจินไปเหมือนกันไม่ใช่หรือไง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะเปิดโปงเรื่องอะไรออกมา ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเขาสะเพร่าไปเอง ไม่ได้แจ้งเหมียวจวินอี๋ให้เตรียมพร้อมป้องกันได้ทันเวลา
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องระหว่างตนกับเหมียวจวินอี๋ไม่มีบุคคลที่สามรู้เรื่องนี้ ตนไม่มีทางบอกกับคนนอก เหมียวจวินอี๋ก็ไม่ทำเรื่องโง่แบบนั้นแน่นอน ถ้าเรื่องฉาวโอ่แบบนี้หลุดออกไป เหมียวจวินอี๋ก็รับผลที่ตามมาไม่ไหวเหมือนกัน
หลังจากมีความคิดแบบนี้ เขาก็หันหน้ามาถามทันทีว่า “โม่หมิง คนที่ไอ้เหมียวจัญไรต้องจับมาบีบจุดอ่อนข้า จับแค่จวินอี๋คนเดียวก็พอแล้ว ทำไมต้องจับหลันหลันไปด้วย อย่าบอกนะว่าตอนนั้นสองแม่ลูกกำลังอยู่ด้วยกันพอดี?”
ฉินซีได้ยินคำพูดนี้แล้วหัวเราะเยาะในใจ นางรู้ดีว่าเฟิงเป่ยเฉินถามแบบนี้เพราะมีเจตนาอะไร
โม่หมิงที่มีผมขาวแซมเต็มศีรษะกุมหมัดตอบว่า “ท่านปราชญ์ช่างปราดเปรื่อง ตอนนั้นพวกนางสองแม่ลูกกำลังอยู่ด้วยกันพอดี ท่านปราชญ์ได้โปรดหาทางช่วยชีวิตพวกนางสองแม่ลูกด้วยขอรับ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เฟิงเป่ยเฉินก็แอบถอนหายใจหนักๆ สองคนนั้นอยู่ด้วยหันพอดีจริงๆ ด้วย ก็อย่างว่านั้นแหละ ไอ้เหมียวจัญไรจะไปรู้เรื่องนั้นได้อย่างไร
ถ้าหลังจากจับเหมียวจวินอี๋ได้แล้ว ไอ้เหมียวจัญไรตั้งใจไปจับโม่จวินหลันอีก แบบนั้นเขาก็ต้องหวาดระแวงกลัวแล้ว ตอนนี้ย่อมกล่าวอย่างใจเย็นว่า “ไม่ต้องกังวล! จวินอี๋เป็นลูกศิษย์ของข้า ข้าไม่มีทางนิ่งดูดาย ย่อมหาทางช่วยอยู่แล้ว”
“ขอบคุณท่านปราชญ์!” โม่หมิงเรียกได้ว่าโค้งตัวขอบคุณ
ฉินซีเห็นเหตุการณ์นี้แล้วแอบส่ายหน้า จู่ๆ ในใจก็มีความคิดที่เหลวไหลบางอย่างแวบเข้ามา ไม่รู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินจะต้องขอบคุณหยางชิ่งรึเปล่า?
เมื่อเกิดความคิดนี้ขึ้นมา นางก็แอบรู้สึกร้อนที่ใบหน้า พบว่าตัวเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน
หลังจากเฟิงเป่ยเฉินโบกมือให้โม่หมิงออกไปแล้ว ก็เอามือไขว้หลังเดินช้าๆ เริ่มกลัดกลุ้มนิดๆ แล้ว ถ้าเหมียวอี้จับตัวเหมียวจวินอี๋กับลูกสาวมาแลกเปลี่ยนจริงๆ ตัวเองจะแลกหรือไม่แลกดีนะ? ถ้าตัวเองเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย เหมียวจวินอี๋จะเปิดโปงเรื่องฉาวโฉ่ระหว่างพวกเขาหรือเปล่า? แล้วถ้าแลกเปลี่ยนกันล่ะ เขาก็จะชิงของบนตัวเหมียวอี้มาไม่สะดวกแล้ว
ไม่นานก็พบว่าตัวเองคิดมากเกินไป เมื่อมีไม้กระบองใหญ่สองด้ามในมือแล้ว ก็จะจัดการไอ้จัญไรนั่นได้พอดี เดี๋ยวพอได้คนกลับมาแล้วค่อยลงมือก็ยังไม่สาย
แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ ขนาดโม่หมิงยังมาแล้ว เหมียวอี้ที่จับสองแม่ลูกคู่นั้นไปทำไมยังไม่นำตัวมาแลกอีก? อย่าบอกนะว่ากำลังหากำลังเสริม?
หลังจากไตร่ตรองพักหนึ่ง เขาก็โบกมือเรียกตัวประกันที่จับได้ออดมา แล้วใช้มือดึงฉินเวยเวยขึ้นมา
ฉินเวยเวยยังคงสวมชุดเกราะ เป็นชุดเกราะสีทองขั้นสี่ เกราะที่มีระดับสูงเกินไป วรยุทธ์ของนางก็ควบคุมไม่ไหวเช่นกัน
ลักษณะเวลานางสวมเกราะรบชุดนั้นก็ดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ เฟิงเป่ยเฉินเคลื่อนสายตามองเรือนร่างอันมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่กำลังสวมชุดเกราะของนาง พอนึกขึ้นได้ว่าสาวงามคนนี้คืออนุภรรยาของเหมียวอี้ แล้วนึกถึงความอัปยศที่เหมียวอี้นำมาให้เขา เขาก็เลิกคิ้วเล็กน้อย แต่ก็เอียงหน้ามองฉินซีที่อยู่ข้างกายแวบหนึ่ง ทำให้นึกเชื่อมโยงว่าเหมียวจวินอี๋และลูกสาวยังอยู่ในมือเหมียวอี้ จึงยังข่มกลั้นความคิดชั่วร้ายนั้นไว้
ฉินเวยเวยที่โดนผนึกวรยุทธ์ตกใจกลัวนิดหน่อย คนที่อยู่ตรงหน้าคือปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน สำหรับนางนี่คือบุคคลที่อยู่ในตำนาน ถ้าบอกว่าไม่กลัวก็คงโกหก
จู่ๆ เฟิงเป่ยเฉินก็คว้าข้อมือฉินเวยเวย นางตกใจทันที ดิ้นรนแต่ไม่หลุดพ้น “ถุย” จึงพ่นน้ำลายใส่หน้าเฟิงเป่ยเฉินทันที
ความอัปยศอดสูนี้มาจะมาถึงตัวเฟิงเป่ยเฉินได้อย่างไร นอกจากจะไม่รู้ว่าน้ำลายนั่นหายไปไหนแล้ว เฟิงเป่ยเฉินยังโบกมือตบเข้ามาหนึ่งฉาดด้วย
เพี้ยะ! ถึงแม้จะมีเกราะหัวปิดบังใบหน้า แต่ฉินเวยเวยที่โดนตบจนโซเซก็ยังมีเลือดไหลออกจากมุมปาก
“มีอย่างที่ไหนมาตบหน้าผู้หญิง? ผู้ชายอย่างพวกท่านก็ดีแต่รังแกผู้หญิง” ฉินซีที่อยู่ข้างกายกล่าวเสียงเรียบ
เฟิงเป่ยเฉินหันมามองนางแวบหนึ่ง แล้วดึงแขนฉินเวยเวยขึ้นมา รูดกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือฉินเวยเวยออกมาโดยตรง จากนั้นก็สะบัดมือส่งเดช ทำให้ฉินเวยเวยที่โดนตบจนมึนล้มลงพื้น
ฉินซีมองมาแวบหนึ่ง ข่มอารมณ์ที่วู่วามเอาไว้ พยายามรักษาสีหน้าท่าทางเย็นชาไว้เหมือนเดิม ไม่ได้ก้าวเข้าไปประคอง
เดิมทีเฟิงเป่ยเฉินก็แค่จะดูไปอย่างนั้นว่าในกำไลเก็บสมบัติของฉินเวยเวยมีอะไร ผลปรากฏว่าตอนยังไม่ดูก็ยังไม่รู้ แต่พอดูแล้วก็ตกใจ ของอย่างอื่นไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลยจริงๆ เขาเห็นระฆังดาราหลายอันอยู่ในกำไลเก็บสมบัติของฉินเวยเวย ทั้งยังพบว่ามีแหวนเก็บสมบัติอีกวงที่ใช้เก็บยาแก่นเซียนหลายล้านเม็ดโดยเฉพาะ
จะเป็นไปได้อย่างไร? ขนาดเขายังไม่มีทางหายาแก่นเซียนมาได้มากขนาดนี้ในรวดเดียวเลย เยอะกว่ายาแก่นเซียนที่เขาเคยใช้มาทั้งชีวิตอีก เขากล้ารับประกันว่าหกปราชญ์คนอื่นๆ ก็หายาแก่นเซียนไม่ได้มากมายขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดสสถานการณ์อย่างปัจจุบันหรอก
เขายังนึกว่าตัวเองมองผิดไป หลังจากหยิบมาลองกินเม็ดหนึ่ง ก็แน่ใจว่าไม่ผิด เป็นยาแก่นเซียนจริงๆ ชั่วพริบตาเดียว ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเหมียวอี้ถึงเพิ่มวรยุทธ์ได้รวดเร็วขนาดนั้น ขนาดอนุภรรยาคนเดียวยังมียาแก่นเซียนในมือมากขนาดนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าในมือเหมียวอี้จะมีมากขนาดไหน
ตอนนี้เฟิงเป่ยเฉินตกตะลึงพรึงเพริดแล้ว เขาเดินมาข้างกายฉินเวยเวยที่ลุกขึ้นมา แกว่งไกวแหวนเก็บสมบัติในมือ แล้วถามอย่างเย็นเยียบว่า “ยาแก่นเซียนในนี้เอามาจากไหน?”
ฉินเวยเวยรู้ว่าทำเสียเรื่องแล้ว จึงยกมือขึ้นถอดแกราะหัวอย่างช้าๆ แล้วจู่ๆ ก็หันศีรษะไปโขกแท่นหินที่อยู่ข้างๆ นางอยากจะฆ่าตัวตาย
แต่เฟิงเป่ยเฉินจะปล่อยให้นางทำสำเร็จได้อย่างไร โดนผนึกพลังอิทธิฤทธิ์อีกแล้ว ในสายตาเฟิงเป่ยเฉิน การกระทำแบบนั้นเชื่องช้าเหมือนกับมดตัวหนึ่ง เห็นเพียงเฟิงเป่ยเฉินกางนิ้วทั้งห้า ทำให้ฉินเวยเวยลอยถอยหลังออกมาทันที โดนกักคอไว้แล้ว
“อยากตายเหรอ?” เฟิงเป่ยเฉินยิ้มชั่วร้าย “ไม่บอกเหรอ? ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้าทรมานจนอยากตายแต่ตายไม่ได้”
“อย่าทำร้ายผู้หญิงต่อหน้าข้า” ฉินซีพลันเอ่ยปาก
เฟิงเป่ยเฉินหันขวับมาตะคอกทันที “ไสหัวกลับไปที่ห้อง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า!”
ถ้าจะยอมถอยให้ฉินซีก็ต้องดูว่าเรื่องอะไร เมื่อเทียบกับยาแก่นเซียนมากมายขนาดนี้ ฉินซีนับว่าสำคัญอะไรล่ะ? อาศัยฐานะอย่างเขายังกลัวว่าจะขาดผู้หญิงอีกเหรอ?
ฉินซีกล่าวเสียงเรียบว่า “ต่อให้ทำร้ายนางจนตายนางก็ไม่บอกอยู่ดี ถ้าเสียเวลาจนเหมียวอี้มาถึง ท่านจะช่วยลูกศิษย์ท่านกลับมาได้เหรอ? ส่งนางให้ข้าจัดการเถอะ ให้เวลาข้าครึ่งชั่วยาม!”
“ครึ่งชั่วยาม?” เฟิงเป่ยเฉินเหมือนจะไม่เชื่อ
“พวกเราเป็นผู้หญิงเหมือนกัน ให้ข้ากับนางคุยกันเถอะ” ฉินซีเดินตรงเข้ามา จับมือฉินเวยเวยที่อยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉินเดินออกไปทันที
เฟิงเป่ยเฉินคลายนิ้วทั้งห้า ไม่ได้ขัดขวางอะไร เพียงเตือนไปว่า “งั้นก็ให้เวลาเจ้าครึ่งชั่วยาม!”
จากนั้นก็หันกลับมามองแหวนเก็บสมบัติในมือ แล้วตรวจดูยาแก่นเซียนในแหวนเก็บสมบัติอีกครั้ง ในดวงตาราวกับจะลุกเป็นไฟ
เหมียวอี้ชักช้าไม่โผล่หน้ามาสักที เขายังกังวลว่าเหมียวอี้จะไปขอให้มู่ฝานจวินมาเป็นกำลังเสริมหรือเปล่า ในใจกำลังครุ่นคิดว่าจะให้แดนอื่นมาช่วยดีหรือไม่ แต่พอดูสถานการณ์แบบนี้แล้ว ไอ้เหมียวจัญไรจะต้องไม่กล้าให้มู่ฝานจวินรู้เรื่องยาแก่นเซียนจำนวนมหาศาลนี้แน่ๆ ส่วนเขาเอง ก็ยิ่งไม่อยากบอกปราชญ์คนอื่นๆ ให้รู้ อยากจะฮุบไว้คนเดียวมากกว่า!
ฉินซีพูดคำไหนคำนั้น บอกว่าใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็ใช้เวลาครึ่งชั่วยามจริงๆ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็พาฉินเวยเวยมาส่งตรงหน้าเฟิงเป่ยเฉินที่กำลังยืนเอามือไขว้หลังรออยู่ในลานบ้าน “ข้าคุยกับนางเรียบร้อยแล้ว ท่านอยากจะถามอะไรก็ถามเถอะ”
เฟิงเป่ยเฉินขานรับ “อ้อ” สงสัยจะทำให้ฉินเวยเวยสงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงแกว่งแหวนเก็บสมบัติพร้อมถามอีกครั้ง “นำยาแก่นเซียนพวกนี้มาจากไหน?”
“เหมียวอี้ให้” ฉินเวยเวยตอบ
เป็นอย่างนี้จริงๆ ด้วย! เฟิงเป่ยเฉินรีบถามอีก “เหมียวอี้เอามาจากไหน?”
ฉินเวยเวยตอบว่า “เหมียวอี้บอกว่าเป็นของที่อยู่บนเรือมังกรอเวจี”
“เรือมังกรอเวจี?” เฟิงเป่ยเฉินตกใจทันที ถามว่า “เหมียวอี้ขึ้นเรือมังกรอเวจีได้เหรอ?”
ฉินเวยเวยส่ายหน้า “เหมียวอี้บอกว่าเทพพยากรณ์เอามาจากบนเรือมังกรอเวจี เขากับเทพพยากรณ์สนิทกันมาก เลยขอมาจากเทพพยากรณ์”
เฟิงเป่ยเฉินนำระฆังดารามาไว้ในมืออีก “แล้วระฆังนี้ล่ะ?”
“เอามาจากเรือมังกรอเวจีเหมือนกัน” ฉินเวยเวยตอบ
เฟิงเป่ยเฉินเดินไปเดินมาทันที เขาเชื่อคำตอบนี้ ในมือเขาก็มีระฆังดาราเหมือนกัน เทพพยากรณ์เป็นผู้ให้เหมือนกัน ยาแก่นเซียนโผล่มามากมายขนาดนี้ ความเป็นไปได้ก็มีแค่เรือมังกรอเวจีแล้ว เขาหยุดฝีเท้าแล้วโบกมือ ระฆังดาราหนึ่งแถวที่เป็นของฉินเวยเวยลอยอยู่ตรงหน้าฉินเวยเวยแล้ว “หาระฆังดาราที่ใช้ติดต่อกับเหมียวอี้ออกมา ติดต่อเขาเดี๋ยวนี้ ให้เขาเอาตัวประกันมาแลกเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นข้าจะฆ่าเจ้าซะ!”
พูดจบก็คลายผนึกบนตัวฉินเวยเวย
ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะมีเพียงการลงตราอิทธิฤทธิ์ไว้บนระฆังดารานี้เท่านั้น ถึงจะใช้ติดต่อระหว่างกันได้ อาสัยวรยุทธ์แค่นั้นของฉินเวยเวย เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่กลัวนางจะหนีเช่นกัน
ฉินเวยเวยมองฉินซีแวบหนึ่งโดยจิตใต้สำนึก ฉินซีพยักหน้าเบาๆ เฟิงเป่ยเฉินในตอนนี้ค่อนข้างร้อนรน ถ้าไม่ตอบตกลงเกรงว่าฉินเวยเวยจะได้รับความลำบาก
ที่จริงจุดที่เหมียวอี้อยู่ก็ห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไม่ไกลมาก เพราะจะได้มาทันหากได้รับแจ้งจากฉินซีว่าเกิดเรื่องขึ้น
ระหว่างแนวภูเขา ใต้ต้นไม้เก่าแก่ เหมียวอี้เก็บระฆังดาราเงียบๆ ได้รับข้อความจากฉินเวยเวยแล้ว
ถ้าจะทำตามแผนการ ไม่สู้เปลี่ยนแปลงดีกว่า รอฝั่งอวิ๋นจือชิวระดมพลมาโจมตีไม่ไหวแล้ว
เสียงดังเปาะแปะ เกราะรบที่สีเหมือนหยกแดงกลิ้งขึ้นมาบนตัว ทวนเกล็ดย้อนอยู่ในมือ เหมียวอี้หันกลับมาบอกว่า “หลิงเทียน! ลำบากต้องให้เจ้าเข้ามาซ่อนตัวในกระเป๋าสัตว์ของข้าชั่วคราวแล้ว รอให้ข้าเรียก เจ้าค่อยปรากฏตัวในร่างเดิมทันที ร่วมมือกับข้าสังหารเฟิงเป่ยเฉิน!”
…………………………
บทที่ 1104 ขวางเขาไว้!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในเมื่อหลิงเทียนมาแล้ว เช่นนั้นก็มาช่วยเขาอีกแรงแล้วกัน ย่อมไม่มีอะไรต้องปฏิเสธ เพียงแต่อดไม่ได้ที่จะถามว่า “คุณชายห้าไม่รอข่าวจากทางฮูหยินก่อนหรือขอรับ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ข้าก็อยากรอนะ แต่เฟิงเป่ยเฉินรอไม่ไหวแล้ว เอาฉินเวยเวยมากดดันข้าให้เอาตัวประกันไปแลก”
หลิงเทียนกล่าวพร้อมยิ้มเจื่อน “ไม่รอคุณชายใหญ่มา พวกเราสองคนจะไหวเหรอ? มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเฟิงเป่ยเฉินมีจุดที่พิเศษจริงๆ ถ้าใช้พลังปะทะตรงๆ มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเขาเรียกได้ว่าไม่เป็นรองใครในใต้หล้า แม้แต่อวิ๋นอ้าวเทียนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
“ข้าเคยได้รับบทเรียนมาแล้ มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงเชี่ยวชาญในความสามารถของคนอื่น สามารถใช้พลังโจมตีของฝ่ายตรงข้ามย้อนโต้ตอบฝ่ายตรงข้าม แต่เขาไม่กล้าใช้กำลังปะทะกับข้าตรงๆ หรอก ไม่ว่าจะปะทะยังไงเขาก็เสียเปรียบ!” เหมียวอี้ชูทวนเกล็ดย้อนในมือ จากนั้นก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้ากังวลเหรอ? ไม่ต้องกังวล ถ้ามีความเร็วของเจ้าคอยช่วย เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าหรอก”
หลิงเทียนพยักหน้า ผ่อนคลายตัวเองแล้ว เตรียมตัวถูกเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์แล้ว
เหมียวอี้เองก็ไม่เกรงใจ บอกโบกมือหนึ่งครั้ง ก็ทำให้เขาเข้ามาอยู่ในกระเป๋าสัตว์ทันที แล้วแฉลบขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
จุดที่เขาซ่อนตัวห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไม่ไกล ตอนที่เข้าใกล้นภาอู๋เลี่ยง ก็ดิ่งลงอย่างกะทันหันอีกครั้ง ลดระดับความสูงในการเหาะ เหาะขนาบไปกับแนวภูเขาด้านล่าง ถือโอกาสตอนที่หลบเลี่ยงสายตาที่อยู่รอบข้าง โบกมือเรียกตั๊กแตนห้าตัวให้ลงไปหลบอยู่ในป่าภูเขาด้านล่าง ตอนนี้ถึงได้พุ่งขึ้นฟ้าอีกครั้ง
สถานที่แลกตัวประกันไม่ได้อยู่ที่นภาอู๋เลี่ยง แต่เป็นตีนเขาที่อยู่ไม่ไกลจากนภาอู๋เลี่ยง
เฟิงเป่ยเฉินกลัวว่าถ้าสู้กันขึ้นมาแล้วรังตัวเองจะเสียหาย เมื่อนักพรตบงกชทองสู้กัน ถ้าไม่ระวังก็ทำให้ภูเขาถล่มแผ่นดินทลายได้
สำหรับเหมียวอี้ที่มาที่นี่เป็นครั้งแรก สถานที่ที่เฟิงเป่ยเฉินระบุไว้กลับหาพบได้ง่ายเช่นกัน
จุดที่ห่างไปทางเหนือของนภาอู๋เลี่ยง บนเนินเขาลูกหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีใบสีแดง ศาลาหลังหนึ่งที่มีชายคาโค้งสี่มุม ห่างไปสิบกว่าจั้งเป็นลำธารเล็กๆ มีทั้งนกทั้งดอกไม้ ทัศนียภาพยอดเยี่ยม
เฟิงเป่ยเฉินนั่งจิบน้ำชาอย่างช้าๆ ก็อยู่ในศาลาคนเดียว ข้างหลังมีคนยืนเรียงอยู่หนึ่งแถว
หลี่โม่จินลูกศิษย์คนโตยืนอยู่ตรงกลาง กำลังใช้กระบี่ใบมีดกว้างด้ามหนึ่งจ่อบนคอของฉินเวยเวย ควบคุมฉินเวยเวยที่เป็นตัวประกันเอาไว้ ส่วนเกราะรบบนตัวฉินเวยเวยก็ถูกถอดทิ้งไปแล้ว ของที่มีค่าก็ถูกรีดไถเอาไปหมด
ทางซ้ายและขวาของหลี่โม่จินมีศิษย์ยืนอยู่ ฟู่หยวนคัง กัวเหรินกวง หัวอวี้ เดิมทียังมีศิษย์หญิงอีกสองคน แต่น่าเสียดายที่ชุยหย่งเจินตายด้วยน้ำมือเหมียวอี้ ส่วนเหมียวจวินอี๋ก็ตกอยู่ในมือเหมียวอี้แล้ว
ในป่าที่อยู่ไม่ไกลจากศาลาหลังนั้น โม่หมิงเจ้าสำนักงามวิจิตรกำลังรอคอยอย่างเงียบๆ รอบข้างมีนักพรตบงกชม่วงและบงกชแดงนับร้อยกำลังลาดตระเวนไปทั่ว เมื่อพบความผิดปกติใดๆ จะได้แจ้งได้ตลอดเวลา
ฉินซีไม่อยู่ เฟิงเป่ยเฉินให้นางไปซ่อนตัว หลัวว่านางจะมาเกะกะเป็นอุปสรรค
แต่ถ้าฉินซีไม่ได้เห็นว่าลูกสาวตัวเองปลอดภัยแล้ว นางจะสงบใจได้อย่างไร กำลังหลบอยู่บนยอดเขาของนภาอู๋เลี่ยงไกลๆ และเฝ้าสังเกตการณ์ที่นี่
“คนเดียว ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ!” บนยอดเขาไกลๆ มีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนมาทางนี้
เพิ่งจะสิ้นเสียง เหมียวอี้ก็ถลันวูบเข้ามาแล้ว มาเหยียบลงบสทางหินเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากศาลาสิบจั้ง ทั้งตัวสวมเกราะรบสีแดง ถือทวนเกล็ดย้อนไว้ในแนวขวาง สายตาจ้องตรงไปบนตัวฉินเวยเวยที่อยู่ในศาลา เมื่อเห็นรอยเลือดที่มุมปากฉินเวยเวย เขาก็อดไม่ได้ที่จะแยกเขี้ยวยิงฟัน ใบหน้าฉายแววดุร้ายในชั่วพริบตาเดียว
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ลูกผู้ชายคนหนึ่งเจ็บปวดที่สุด ก็คือยามประสบปัญหาแล้วปกป้องผู้หญิงของตัวเองไว้ไม่ได้
เหมียวอี้ไม่โทษฉินเวยเวยที่ตอนนั้นไม่เชื่อฟังเขา ให้นางหนีไปแต่นางไม่ไป เขาเข้าใจความรู้สึกของฉินเวยเวยในตอนนั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาก็เกรงว่าจะไม่ไปเหมือนกัน เพียงแค้นที่ตอนนั้นตัวเองไปเก็บฉินเวยเวยเข้าในกระเป๋าสัตว์
แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้น ก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกันที่เขาจะเก็บฉินเวยเวยเข้าในกระเป๋าสัตว์ ก่อนที่เขาจะได้ประมือกับเฟิงเป่ยเฉินอย่างเป็นทางการ ตอนที่ยังไม่รู้ระดับความสามารถของเฟิงเป่ยเฉิน มีหรือที่จะกล้าพาฉินเวยเวยมาเสี่ยงอันตรายอยู่ข้างกาย ถ้าตัวเองพลั้งมือขึ้นมา นั่นก็จะเท่ากับทำให้ฉินเวยเวยลำบากไปด้วยแล้ว เขาย่อมต้องดักหลังให้ เพื่อให้ฉินเวยเวยหนีไปก่อน แต่ใครจะคิดว่าฉินเวยเวยเลิกเป็นห่วงเขาไม่ลง ไม่ยอมทิ้งเขาแล้วหนีไป จึงทำให้ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่แบบนี้
เมื่อเห็นเขาปรากฏตัว ฉินเวยเวยก็ตำหนิตัวเองในใจไม่หยุด ต้องโทษที่ตอนนั้นตัวเองไม่เชื่อฟัง ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้
ในศาลา เฟิงเป่ยเฉินที่ลักษณะท่าทางสูงส่งกำลังวางมากสง่าภูมิฐาน ในมือกำลังถือถ้วยน้ำชา แม้แต่หน้าก็ไม่เงยขึ้นมา ร่ายอิทธิฤทธิ์ถามอย่างเนิบนาบว่า “คนของข้าล่ะ?”
เสียงดังก้องน่าเกรงขามอยู่ระหว่างแนวภูเขา
พอเหมียวอี้โบกมือ เหมียวจวินอี๋และลูกสาวที่ผมงามยุ่งสยายก็เผยโฉมออกมาพร้อมกัน เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้ามองทันที
โม่หมิงที่อยู่ไม่ไกล ถ้าไม่ใช่เพราะไม่มีสิทธิ์พูดอะไรตรงนี้ ก็คงจะวิ่งออกมาด้วยความร้อนใจแล้ว
พอเห็นเฟิงเป่ยเฉิน เหมียวจวินอี๋ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าอย่างร้อนใจทันที “ท่านอาจารย์…”
“หืม?” เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกด้วยความสงสัย แล้วเลิกทวนออกมาจ่อที่บ่านาง “ข้าไม่ได้ให้เจ้าวิ่ง เจ้าจะวิ่งไปไหน? เบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วรึไง?”
กลับเป็นโม่จวินหลันที่หันขวับมามองเหมียวอี้ ถามประโยคที่ทำให้เหมียวอี้ปวดหัวอีกครั้ง “เจ้ารู้รึเปล่าว่าศิษย์พี่รองของข้าอยู่ที่ไหน?”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเอ่ยปากถาม แต่เหมียวอี้ปฏิเสธที่จะตอบ สรุปก็คือค่อนข้างปวดหัว ผู้หญิงคนนี้คือคนรักในฝันของเยารั่วเซียนในตอนแรก เขาไม่รู้ด้วยว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเป็นอย่างไร เมื่อได้ยินผู้หญิงคนนี้ถามถึงเยารั่วเซียน เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับนางดี ถ้าเกิดการปะทะขึ้นมาตนจะฆ่าทิ้งหรือจะไม่ฆ่าทิ้งดี?
ถ้าฆ่าทิ้งก็ยากที่จะรับประกันว่าสักวันข่าวจะไม่หลุดไปถึงหูเยารั่วเซียน ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเยารั่วเซียนจะรู้สึกอย่างไร คงจะไม่ปัดความรับผิดชอบไม่ทำงานหรอกใช่มั้ย?
แล้วก็เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเยารั่วเซียน เหมียวอี้ค่อนข้างคิดวนเวียนว่าจะเปิดโปงดีมั้ยว่าโม่จวินหลันคือลูกสาวลับๆ ของเฟิงเป่ยเฉินกับเหมียวจวินอี๋
เมื่อเห็นว่าเหมียวอี้ยังตอบไม่ได้ โม่จวินหลันก็ถามพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เจ้ารู้ใช่มั้ยว่าศิษย์พี่รองของข้าอยู่ที่ไหน?”
มารดาเจ้าเถอะ! เจ้าแต่งงานแล้ว ยังจะพูดเหลวไหลอะไรอีก! เหมียวอี้ขี้คร้านจะสนใจนาง แต่จ้องฉินเวยเวยพร้อมถามว่า “เวยเวย พวกเขาไม่ได้ทำอะไรเจ้าใช่มั้ย?”
ฉินเวยเวยส่ายหน้า “ท่านสามี ข้าไม่เป็นอะไร รอบข้างมีคนดักซุ่มมากมาย ท่านไม่ต้องสนใจข้า…” หลี่โม่จินร่ายอิทธิฤทธิ์ใส่กระบี่ที่จ่อบนคอนาง ทำให้นางพูดไม่ได้ทันที
ในบรรดาศิษย์เหล่านั้นของเฟิงเป่ยเฉิน โดยเฉพาะหัวอวี้ ในใจเรียกได้ว่ารู้สึกสะท้อนใจมาก ในปีนั้นเขาก็เป็นหนึ่งในผู้คุมของการปราบจลาจลทะเลดาวนักษัตร เหมียวอี้ในตอนนั้นไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย นี่เพิ่งจะผ่านไปกี่ปีเอง ถึงขั้นต้องให้ท่านอาจารย์ออกโรงด้วยตัวเองแล้ว
ส่วนเฟิงเป่ยเฉินก็แอบถ่ายทอดเสียงถามเหมียวจวินอี๋ “จวินอี๋ เจ้าไม่ได้พูดอะไรซี้ซั้วใช่มั้ย?”
เหมียวจวินอี๋รู้อยู่แก่ใจว่าเขาหมายถึงเรื่องอะไร นางถ่ายทอดเสียงไม่ได้ ทำได้เพียงส่ายหน้า บอกใบ้ว่าไม่ได้พูดอะไร
เฟิงเป่ยเฉินโล่งอก “ไอ้จัญไร ปล่อยคนเถอะ” พอเขาเอียงหน้าไปข้างหลัง
หลี่โม่จินก็ย้ายกระบี่วิเศษออกจากคอฉินเวยเวย แล้วผลักหลังฉินเวยเวยหนึ่งที “ไป!”
ฉินเวยเวยก้าวเท้าอย่างโซเซ เดินอออกจากศาลาอย่างช้าๆ
เหมียวอี้กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาเหาะได้ไม่เร็วเท่าเฟิงเป่ยเฉิน ถ้าไม่รอให้ฉินเวยเวยเดินมาถึงระยะที่ใกล้พอให้เขาตอบโต้ เขาก็จะไม่ปล่อยคน ในจุดนี้เฟิงเป่ยเฉินเองก็รู้ จึงวางมาดสูงสง่าต่อไป หยิบน้ำชาขึ้นมาจิงอย่างช้าๆ
รอจนฉินเวยเวยเดินมาจนเหลืออีกครึ่งก้าว เหมียวอี้ถึงได้ยกทวนในมือขึ้น “ไปซะ!”
เหมียวจวินอี๋รีบหันกลับมาแวบหนึ่ง แล้วรีบจูงมือโม่จวินหลันผู้เป็นลูกสาว เร่งฝีเท้าเดินไปทางศาลา
ตอนที่ตัวประกันเดินเฉียดผ่านกัน ก็มองตากันวแวบหนึ่ง ของมีค่าบนตัวทั้งสองถูกรีดไถไปหมดแล้ว แต่สมบัติของเหมียวจวินอี๋และลูกสาวไม่ได้เสียหายเท่าฉินเวยเวยแน่นอน
การแลกตัวประกันราบรื่นมาก ไม่มีการเล่นไม่ซื่ออะไรทั้งนั้น เหมียวอี้เองก็ไม่ได้พูดเปิดโปงเรื่องเน่าเหม็นของเฟิงเป่ยเฉิน ถ้าพูดออกมาตอนที่แลกตัวประกัน แบบนั้นก็โง่แล้ว ถ้าทำให้เฟิงเป่ยเฉินอับอายจนโมโห นอกจากการขู่จะไม่ได้ผล ดีไม่ดีอาจจะส่งผลถึงความปลอดภัยของฉินเวยเวย
“ไม่เป็นไรใช่มั้ย?” พอกลับมาฉินเวยเวยก็โผเข้าอ้อมกอดเหมียวอี้ เหมียวอี้ผลักนางออกแล้วเอ่ยถาม
ฉินเวยเวยน้ำตาคลแล้ว ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่เป็นไร…ข้าขอโทษ!”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว!” เหมียวอี้ลงมือคลายพลังอิทธิฤทธิ์บนตัวนางที่โดนผลึกไว้
ส่วนอีกด้านหนึ่ง หลังจากหลี่โม่จินร่ายอิทธิฤทธิ์คลายผนึกบนตัวเหมียวจวินอี๋และลูกสาว เฟิงเป่ยเฉินก็วางถ้วยน้ำชาแล้วถามว่า “พวกเจ้าสองแม่ลูกไม่เป็นไรใช่มั้ย?”
“ไม่เป็นไรค่ะ!” เหมียวจวินอี๋ที่ฟื้นพลังอิทธิฤทธิ์กลับมาเหลือบตามองเหมียวอี้ แล้วกล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “ท่านอาจารย์ ไอ้โจรสุนัขนี่มันวรยุทธ์สูงขึ้นเยอะ ศิษย์ไม่ได้สังเกตจึงพลั้งมือไป…”
เฟิงเป่ยเฉินยกมือห้าม บอกใบ้ให้นางไปยืนข้างหลัง ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ตอนนี้เขาไม่สนใจจะคุยเรื่องนี้ เขาลุกขึ้นยืนแล้วเช่นกัน เอามือไขว้หลังเดินไปข้างศาลา แล้วกล่าวพร้อมแสยะยิ้ม “ใจกล้าไม่เบา กล้ามาคนเดียว”
เหมียวอี้ตบบ่าฉินเวยเวย ครั้งนี้เก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์ไปก่อน จากนั้นถือทวนในแนวเฉียง พร้อมกล่าวเหน็บแนม “ไอ้ขี้แพ้ที่หนีหัวซุกหัวซุน ดีแต่เอาผู้หญิงมาขู่ ไม่พอให้ข้ากลัวหรอก!”
เฟิงเป่ยเฉินหน้าบึ้งลงเล็กน้อย “ไอ้จัญไร เอาของในมือมาเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะให้โอกาสเจ้ารอดชีวิตไปสักครั้ง!”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ส่งมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงมา ข้าก็สามารถฆ่าเข้าได้เหมือนกัน!”
ในมือเขามีมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดิน เคล็ดวิชาที่ขาดหัวขาดหางแบบนี้ไม่มีทางฝึกได้ ต้องนำเคล็ดวิชาภาคคนในมืออีกฝ่ายมาก่อนถึงจะใช้ได้
ไม่น่าเชื่อว่าจะอยากได้เคล็ดวิชาฝึกตนของตน เฟิงเป่ยเฉินทั้งโมโหทั้งอยากขำ พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราลงทัณฑ์จริงๆ!”
พอพูดจบ สองมือที่ไขว้หลังก็พลันปล่อยออกมา กระบองไม้ขนาดใหญ่สองด้ามอยู่ในมือ แล้วพุ่งเข้าไปหาเหมียวอี้
ป้องกันเขาไว้ตั้งนานแล้ว! พอเหมียวอี้โบกมือ กระบี่เล็กเพลิงจิตร้อยเล่มก็ยิงซวบๆ ออกมา
เฟิงเป่ยเฉินตกใจทันที สิ่งนี้คืออะไรกัน? ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็น ไม่รู้ลึกตื้น จึงไม่กล้าประมาท จึงรีบหยุดอยู่กับที่แล้วโบกกระบองป้องกันกระบอง!
เสียงดังฉึกๆ พักหนึ่ง กระบี่เล็กเพลิงจิตที่โจมตีบนกระบองไม้ ‘รอยจุดเลือด’ ระเบิดออก
ยังนึกว่าเป็นอาวุธที่ร้ายกาจอะไรเสียอีก อานุภาพการโจมตีมันก็เท่านี้นเอง! เฟิงเป่ยเฉินเพิ่งจะแอบโล่งใจ ลูกตาสองข้างแทบจะถลนออกมา เขาเบิกตากว้าง มองดูกระบองไม้ที่อยู่ในมือด้วยความเหลือเชื่อ
เห็นเพียงเปลวเพลิงล่องหนที่สีเหมือนน้ำกำลังครอบและเผาไหม้บนกระบองไม้ใหญ่ทั้งคู่ เผาจนกระบองไม้บิดเบี้ยวและหดลงอย่างรวดเร็ว เฟิงเป่ยเฉินที่ค่อนข้างทำอะไรไม่ถูกรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ดับไฟ แต่ใครจะคิดว่าเปลวเพลิงล่องหนนี้จะประหลาดมาก ไล่ไฟได้แค่พื้นผิวภายนอก แต่ไฟที่เผาเข้าไปในกระบองไม้กลับไม่มีทางดับได้
ส่วนเปลวเพลิงล่องหนที่ถูกไล่ไปแล้วก็ยังถูกเหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมอยู่ มันก่อตัวกันอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แล้วระเบิดยิงไปที่เขา
ในขณะเดียวกันนี้เอง เหมียวอี้โบกทวนโจมตีเข้ามา “เฒ่าจัญไร! รับความตายซะ!”
เฟิงเป่ยเฉินตกใจจนหน้าถอดสี ยกกระบองใหญ่สองด้ามที่กำลังเผาไหม้ขึ้นมาป้องกันกระบี่เล็กเพลิงจิตอีกครั้ง แต่กลัวว่าไฟจะมาถึงตัวเอง จึงโยนทิ้งไปเสียเลย
อาวุธเหมาะมือที่ต้องใช้ความพยายามกว่าจะทำออกมาได้ ตอนนี้ทำได้เพียงโยนทิ้งไปแบบนี้แล้ว จึงรีบเหาะขึ้นฟ้าหลบหนีทันที พร้อมตะโกนว่า “ขวางเขาไว้!”
เมื่อเห็นท่านอาจารย์หลบหนี หลี่โม่จินและคนอื่นๆ ก็ตกใจจนเหม่อค้าง ราวกับกำลังถามว่า ต่อให้สู้กับปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนก็ยังไม่เล่นใหญ่ขนาดนี้เลยมั้ง?
…………………………
บทที่ 1105 หกปราชญ์ออกมาพร้อมกัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่ผิดหรอก! ตอนสู้กับปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่จำเป็นต้องหนีไปตั้งแต่ก่อนจะเจอหน้า อย่างน้อยก็ได้สู้กันนิดหน่อย มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงก็ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกัน
แต่ลูกศิษย์พวกนี้ไม่รู้ว่าทวนวิเศษในมือเหมียวอี้แหลมคมขนาดไหน เหมียวอี้ไม่ปะทะกับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเขาเลย แค่แทงทวนออกมาตรงๆ ก็พอ เฟิงเป่ยเฉินหาอะไรมาป้องกันไม่ได้แล้วจริงๆ ขนาดงานช่างไม้ก็ทำมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังต้านทานไม่ไหว ถ้าไม่หนีแล้ววจะยังทำอะไรได้อีก
ท่านอาจารย์ที่เมื่อครู่นี้ยังเป็นผู้สูงส่งเยือกเย็นราวกับอยู่เหนือโลก ชั่วพริบตาเดียวก็ฉุกละหุกหนีไปแล้ว กลุ่มลูกศิษย์รับความจริงข้อนี้ได้ยากจริงๆ โดยเฉพาะเหมียวจวินอี๋ที่อยู่ในฐานะตัวประกันที่หลุดออกมาได้ มาถึงข้างกายอาจารย์แล้วนึกว่าจะมีที่ให้พึ่งพิง ตอนนี้กลับตกตะลึงอ้าปากค้าง เหม่อค้างแล้ว!
กำลังพลของนภาอู๋เลี่ยงที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ ก็งงเหมือนกัน ท่านปราชญ์หนีไปจริงๆ เหรอ? ทั้งยังสั่งให้พวกลูกน้องขวางไว้ให้อย่างโจ่งแจ้งอีกเหรอ?
รอจนพวกเขาได้สติกลับมา เหมียวอี้ก็โบกมือเก็บเพลิงจิตแล้ว ไม่สนใจทหารเล็กๆ พวกนี้เลย เขาพุ่งตัวขึ้นฟ้าไปโดยตรง การไล่สังหารเฟิงเป่ยเฉินต่างหากที่สำคัญที่สุด
ที่จริงในใจเหมียวอี้ก็กำลังด่าเหมือนกัน มากดาเจ้าเถอะ หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าน่าเกรงขาม ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่มีท่วงท่าที่สง่างามเลยสักนิด อย่างน้อยเจ้าก็ต้องแข่งกับข้าสักสองสามท่าสิ พอเห็นหน้าแล้วหนีมันใช่เรื่องเหรอ?
ถ้าเฟิงเป่ยเฉินรู้ว่าเขาคิดแบบนี้จะต้องโมโหจนกระอักเลือดแน่ จะให้ข้าเอาอะไรมาแข่งกับเจ้าล่ะ? จะให้เอาชีวิตมาแข่งเหรอ?
“หลิงเทียน!” เหมียวอี้ที่พุ่งพรวดขึ้นข้างบนตะโกนเรียก โบกมือเรียกหลิงเทียนออกมาจากกระเป๋าสัตว์
พอหลิงเทียนที่สวมชุดผ้าแพรสีม่วงปรากฏตัว ก็โบกแขนสองข้าง ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม ถึงแม้ตัวจะอยู่ที่พิภพเล็ก แต่พวกพี่น้องที่ไปพิภพใหญ่ก็ไม่ได้ลืมเขา กอปรกับอวิ๋นจือชิวนำของขวัญมามอบให้ทุกปี วรยุทธ์เลื่อนจากบงกชทองขั้นสองเป็นขั้นสามแล้ว
ตอนนี้พอออกมาจากกระเป๋าสัตว์ ก็กางแขนสองข้างหมุนวนขึ้นบนฟ้าอย่างรวดเร็ว ปราณปีศาจลอยออกมาจากตัว ระเบิดแสงสีทองออกมา ร่างกายระเบิดเป็นเงามายา ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเหยี่ยวม่วงรูปร่างใหญ่หลายจั้งตัวหนึ่ง มีขนสีม่วง มีเท้าและปากสีทอง สายตาคมกริบมีแวว ส่งเสียงร้องของเหยี่ยวดังก้องสะท้านฟ้า
การกลับคืนร่างเดิมและร่ายอิทธิฤทธิ์บิน เขาถึงจะสามารถแสดงความสามารถในการบินได้เร็วที่สุด เพียงแต่พลังโจมตีกลับอ่อนแอแล้ว สาเหตุเป็นเพราะรูปร่าง บอกได้เพียงว่ามีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันไป พรตปีศาจบางคนก็มีพลังโจมตีร้ายกาจยิ่งขึ้นเมื่อกลับร่างเดิม
หัวเหยี่ยวขนาดมหึมาเงยขึ้นฟ้า ขนนกสีม่วงกะพริบรัศมีสีโลหะ พอตาเหยี่ยวที่เป็นประกายเห็นเหมียวอี้พุ่งขึ้นฟ้า เขาก็กระพือปีก ทำให้เกิดลมคลั่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพุ่งขึ้นฟ้าด้วยความเร็วสูง สมกับชื่อ[1]ของเขา ช่างมีพลังอำนาจยามทะยานขึ้นฟ้าจริงๆ
พอพุ่งขึ้นฟ้าและใช้แผ่นหลังยันสองเท้าของเหมียวอี้ ก็ตีปีกติดต่อกันหลายครั้ง บนฟ้าเกิดเงามายาสีม่วงสายหนึ่ง ไล่ตามเฟิงเป่ยเฉินที่กำลังหลบหนี
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะไม่ได้เห็นว่าเหมียวอี้โจมตีเฟิงเป่ยเฉินให้หลบหนีได้อย่างไร แต่เมื่อได้เห็นเฟิงเป่ยเฉินลนลานหลบหนีกับตา ก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมแล้ว อยู่ภายใต้การข่มของหกปราชญ์ รู้สึกเคียดแค้นเต็มที่แล้วจริงๆ
พวกหลี่โม่จินที่อยู่ข้างล่างรีบเหาะขึ้นฟ้าไล่ตามไป นักพรตระดับต้านทอากาศนับร้อยที่วางกำลังอยู่รอบๆ ก็เหาะขึ้นฟ้าตามไปเช่นกัน
ท่านปราชญ์ถูกคนไล่สังหาร ไม่สนว่าจะช่วยได้หรือช่วยไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำพอเป็นพิธี หากท่านปราชญ์ไม่เป็นอะไรขึ้นมา แบบนั้นก็จะแย่แล้ว
แม้แต่โม่หมิงก็ยังดึงโม่จวินหลันให้ตามไปประสมโรงด้วย ฉินซีที่ค่อนข้างเป็นห่วงผลลัพธ์ก็เหาะออกมาจากที่ซ่อนตัวเช่นกัน
แม้แต่กระบองไม้ใหญ่คู่เดียวยังเอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ เฟิงเป่ยเฉินนับว่าเข้าใจแล้วว่าตัวเองทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้เลย ความคิดที่จะฮุบผลประโยชน์ไว้คนเดียวดับสูญไปแล้ว กำลังเตรียมจะหนีตายไปหาเพื่อนบ้าน หนีไปหาปราชญ์พุทธะฉางเหลย
ทว่ายังไม่ทันได้หนีไปไกล ก็เห็นเหมียวอี้ขี่สัตว์เทพที่เชี่ยวชาญเรื่องการบินไล่ตามมา ด้วยความเร็วแบบนั้น แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าหนีไม่พ้น ได้แต่มองดูทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็ว เขาค่อนข้างงงเหมือนกัน ประเด็นสำคัญคือเขาสามารถนำสมบัติทั้งหมดของตัวเองออกมาได้ แต่ไม่มีสมบัติชิ้นไหนที่สามารถต้านทานอาวุธในมือเหมียวอี้ได้เลย ศึกนี้ไม่มีทางสู้ได้เลย!
เขาพลิกตัว พลันดิ่งลงด้านล่างโดยใช้หัวลง ตอนที่ใกล้จะถึงพื้น ก็พลันชกหมัดออกมาหนึ่งที
บึ้ม เรียกได้ว่าภูเขาทลายแผ่นดินแยก ต้นไม้ใบหญ้าปลิววุ่นวาย หินดินพุ่งขึ้นฟ้าอย่างมโหฬารพันลึก เขากางแขนสองข้างพุ่งเข้าไป หินดินที่พุ่งขึ้นฟ้าชนเหมียวอี้ที่ไล่ตามมา
ใช้มุกนี้อีกแล้ว! เหมียวอี้ปวดหัวนิดหน่อย โบกทวนฟันหนึ่งที ทำให้หินดินก้อนใหญ่ที่พุ่งเข้ามาชนหมุนวนเป็นระลอกคลื่น แต่ชั่วพริบตาเดียวรอบข้างก็มืดลง หินดินที่อยู่ทั่วสารทิศปกคลุมเขาเอาไว้ในชั่วพริบตาเดียว ท้องฟ้าราวกับมืดลงในฉับพลัน
สู้ตอนแรกที่อยู่ชายฝั่งทะเลไม่ได้ ในแนวก้อนน้ำยังมีแสงสว่าง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นมืดจนกางมือไม่เห็นนิ้วทั้งห้าแล้ว
พรึ่บ! เพลิงเดือดระเบิดขึ้นมาบนตัวเหมียวอี้ ส่องแสงสว่างรอบข้างแล้ว บินร่อนชนดินหินไปทั่วทุกที่ เหยี่ยวม่วงที่อยู่ใต้เท้ากำลังพยายามร่ายอิทธิฤทธิ์กระพือปีก โบกพัดหินดินให้ปลิวไป แบกเหมียวอี้บุกชนไปทางนั้นทีทางนี้ที แต่เหมือนจะไม่มีวันหาปลายทางพบเลย
หลิงเทียนที่อยู่ใต้เท้าเอ่ยว่า “คุณชายห้า! แย่แล้ว พวกเราติดอยู่ในโลกไร้ขอบเขต!”
“ข้ารู้แล้ว! รอให้ข้าฝ่าไปได้ก่อน!” เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งถือทวนระแวดระวังรอบด้าน แล้วใช้สองนิ้วของมืออีกข้างแตะตรงหว่างคิ้วตัวเอง
ในปีนั้นตอนที่เขาประมือกับเฟิงเสวียน ของเฟิงเสวียนนั้นฝ่าได้ง่าย สาเหตุหลักเป็นเพราะเฟิงเสวียนไม่ได้รับสิ่งที่ล้ำค่าจริงๆ ของเฟิงเป่ยเฉิน อีกทั้งพลังอิทธิฤทธิ์ยังไม่แข็งแกร่งพอ แต่วรยุทธ์ของเฟิงเป่ยเฉินนั้นไม่เหมือนกัน
ส่วนเฟิงเป่ยเฉินในตอนนี้ ในที่สุดก็ได้โล่งใจแล้ว กำลังยืนอยู่บนพื้นที่ถูกเขาร่ายอิทธิฤทธิ์ขูดผิวดินไปหลายชั้น ขณะที่กำลังควบคุมพายุหมุนที่ปนด้วยหินดิน มืออีกข้างก็หยิบระฆังดาราออกมาร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่า
พอเขน่าเสร็จหนึ่งอัน ก็หยิบอีกอันมาเขย่าต่อ
ในเมื่อเหมียวอี้ต้องการจะไล่ตามเขาไม่ยอมปล่อย เช่นนั้นเขาก็ยอมแลกทุกอย่างแล้ว ไม่ฮุบของเอาไว้คนเดียวแล้ว ให้ทุกคนมาแบ่งกันก็ได้ ไม่สนใจด้วยว่าจะเสียหน้าหรือไม่เสียหน้า ยังดีกว่ารักษาชีวิตไว้ไม่ได้เป็นไหนๆ
ณ นภาจอมมาร เมฆมารที่พัดม้วนปกคลุมอยู่เหนือหลังคาของตำหนักจอมมารราวกับร่มฉัตรถูกเก็บกลับไปแล้ว ประตูตำหนักพลันเปิดออก เงาคนคนหนึ่งถลันออกมายืนเงียบๆ อยู่บนบันไดนอกประตู
ผมดำขลับดุจน้ำหมึกของเขาปกคลุมสยายไปด้านหลัง ยาวลงไปถึงเอว มีคิ้วกระบี่ดกดำและมีจอนยาวสองข้าง แววตาเป็นประกายดุร้ายน่าตกใจ จมูกเหมือนถุงน้ำดี ริมฝีปากหนาไร้หนวดเครา หน้าตาดูทรงพลัง แขนสองข้างเผยกล้ามเนื้อราวกับเป็นตะปุ่มตะป่ำ สวมเสื้อเกราะแขนกุดสีดำ ขากางเกงยาวแค่เข่า กำลังยืนเปลือยเท้า
ลักษณะทรงพลัง มีความน่าเกรงขามในตัวเอง ปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน!
เงาสีขาวถลันเข้ามา ตาเฒ่าเฉียวที่แต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อย ผมขาวชุดขาว บนใบหน้ามีรอยยิ้มลึกลับอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขา โค้งกายเล็กน้อยพร้อมถามว่า “นายท่าน เป้นอะไรไปขอรับ?”
“เหมียวอี้กับเฟิงเป่ยเฉินสู้กันแล้ว เฟิงเป่ยเฉินสู้ไม่ไหว ขอกำลังเสริมจากข้า!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงเรียบ
ในที่สุดตาเฒ่าเฉียวก็ยิ้มไม่ออกแล้ว ถามอย่างตกใจว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร?”
“เจ้าเฝ้าบ้าน ข้าจะออกไปดูสักหน่อย!” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าวเสียงเรียบ ผมยาวที่คลุมหลังพลันปลิวสะบัดโดยไร้ลม ทั้งตัวหายไปจากที่เดิมในฉับพลัน
ตาเฒ่าเฉียวเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่เห็นเงาร่างของอวิ๋นอ้าวเทียน เห็นเพียงเมฆมารที่พัดม้วนกลุ่มหนึ่งลอยไปทางเส้นขอบฟ้าด้วยความเร็วสูง
เนื่องจากปัญหาด้านระยะทาง อวิ๋นจือชิวในตอนนี้ยังอยู่ระหว่างทาง ยังไม่ถึงนภาจอมมาร
สำหรับอวิ๋นจือชิว เรื่องที่เดิมทีกำชับกับเหมียวอี้ไว้อย่างดีแล้ว ถ้ารอให้กำลังคนมากันครบก่อน ต่อให้รอประมุขถิ่นสี่ทิศของทะเลดาวนักษัตรมาครบแล้วค่อยลงมือ เฟิงเป่ยเฉินก็ไม่มีโอกาสส่งข่าวขอความช่วยเหลืออยู่ดี
ต่อให้เหมียวอี้จะบอกว่าตัวเองอยู่ห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไกลมาก ถ่วงเวลาเฟิงเป่ยเฉินได้นิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำแบบนี้ ทว่าเหมียวอี้ดันบุ่มบ่ามลงมือไปแล้ว ทำแผนพังในรวดเดียว ทำเอาอวิ๋นจือชิวมาห้ามอวิ๋นอ้าวเทียนที่นภาจอมมารไม่ทัน
แต่สำหรับเหมียวอี้ ถ้าเป็นเรื่องที่มีความมั่นใจสักส่วนเดียว เขาก็สามารถลองทำได้เสมอ มิหนำซ้ำยังมั่นใจด้วยว่าสามารถสู้กับเฟิงเป่ยเฉินได้ ผู้หญิงของตัวเองตกอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการช่วยชีวิตฉินเวยเวยออกมาก่อน ถ่วงเวลานิดหน่อยก็พอไหว แต่คงไม่ดีที่จะปล่อยให้ฉินเวยเวยได้รับความทรมานทางร่างกาย
กอปรกับพวกอวิ๋นจือชิวปิดบังแผนการนี้กับเหมียวอี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่รู้ถึงความหนักเบาของเรื่องราว เหมียวอี้จะถ่วงเวลาต่อไปได้อย่างไร นิสัยเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ช่วยชีวิตฉินเวยเวยก่อนแล้วค่อยว่ากัน…
แดนโพ้นสวรรค์ มู่ฝานจวินกำลังนั่งฝึกตนอยู่ที่ห้องสมาธิของตำหนักเก้าชั้นฟ้า นางคว้าระฆังดาราเอาไว้ แล้วขมวดคิ้วพึมพำว่า “หยางชิ่งเพิ่งจะออกไป ทำไมเฟิงเป่ยเฉินมาขอกำลังเสริมแล้ว? ลงมือเร็วขนาดนี้เลยเหรอ แผนการของคนพวกนี้มีปัญหาอะไรรึเปล่า?”
นางถลันตัวออกจากเตียงหยก นางถลันตัววกวนอยู่ในตำหนักเก้าชั้นฟ้าพักหนึ่ง แล้วพุ่งขึ้นฟ้าไฟ อยากจะไปดูสถานการณ์สักหน่อย
นภาหมื่นปีศาจ ประตูใหญ่ของตำหนักเก่าแก่โบราณที่กว้างใหญ่ไพศาลเปิดออก ขณะที่ปราณปีศาจพรั่งพรูออกมา ก็ได้พ่นชายชราใบหน้าตึงเหมือนแม่พิมพ์และไว้หนวดยาวทรงเลขแปดจีน[2]ออกมาคนหนึ่ง บนศีรษะสวมมงกุฎสีทอง ทั้งตัวสวมชุดผ้าแพรสีเงิน เขาคือปราชญ์ปีศาจจีฮวน
ทันใดนั้น ปราณปีศาจก็หดกดลับเข้าไปในแขนเสื้อของเขาอย่างรวดเร็ว หายหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตาเดียว จีฮวนสะบัดแขนเสื้อสองข้าง แล้วกลายเป็นภาพมายาหายไปที่เส้นขอบฟ้า
แดนสุขาวดี เงาคนคนหนึ่งแฉลบขึ้นมาจากด้านล่าง ตอนนี้กำลังลอยอยู่บนฟ้า คนผู้นี้สวมจีวรสีทองระยิบระยับทั้งตัว อ้วนเตี้ยผิวขาว หน้าอ้วนหูใหญ่ ใบหน้าเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด บนใบหน้าอมยิ้มอย่างมีเมตตากรุณาอยู่เสมอ ปราชญ์พุทธะฉางเหลย
หลังจากก้มมองดินแดนที่ปราศจากโลกีย์เบื้องล่าง ฉางเหลยก็ประนมมือกล่าวว่า “อามิตาพุทธ” แล้วสะบัดแขนเสื้อต้านอากาศเหาะออกไป
นภาหยินหยาง ในแอ่งกระทะขนาดใหญ่ที่มีหมู่ขุนเขาล้อมรอบ ทุกที่มีแต่ภูเขาหินสูงตระหง่านที่วังเวงหนาวเหน็บ ในภูเขาเตี้ยลูกหนึ่งที่มีโพรงเล็กๆ อยู่มากมายราวกับเป็นปูยักษ์ จู่ๆ ก็มีปราณหยินพ่นออกมาจากโพรงนับไม่ถ้วน
ราวกับสัตว์ร้ายอ้าปาก ตรงปากถ้ำหลักที่สลักรูปกลุ่มผีเอาไว้ รูปร่างสูงผอมของปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวถูกหุ้มไว้ด้วยชุดคลุมสีดำ บนใบหน้าสวมหน้ากากผีสีขาว มองไม่เห็นหน้าตาที่ชัดเจน ตอนนี้เขากำลังก้าวเดินช้าๆ เคลื่อนย้ายรองเท้ายาวทรงกระบอกสีดำพื้นขาวออกมาเงียบๆ ท่ามกลางปราณหยินที่เย็นเยียบ พอออกจากปากถ้ำ เขาก็สะบัดชุดคลุมยาว ปราณหยินกระเพื่อมไปสี่ทิศ ร่างพุ่งขึ้นฟ้าออกไปแล้ว…
หลังจากติดต่อกับห้าปราชญ์เรียบร้อยแล้ว เฟิงเป่ยเฉินที่เก็บระฆังดาราก็เหยียบบนดินก้อนใหม่ที่ถูกขูดหน้าดินออกไปหลายชั้น โบกมือชี้ไปบนฟ้าไกลๆ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์หัวเราะอย่างชั่วร้าย “ไอ้เหมียวจัญไร! วันนี้คือวันตายของเจ้า!”
บนท้องฟ้า ท่ามกลางหินดินที่ม้วนกลิ้งปิดบังฟ้าบังตะวัน เหมียวอี้แสยะยิ้มถามมาว่า “เฒ่าจัญไร อาศัยแค่เจ้าน่ะเหรอ?”
เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ไอ้จัญไร อย่าลืมนะว่าใต้หล้านี้เป็นของใคร! นี่คือใต้หล้าของหกปราชญ์! ทวนวิเศษของเจ้าคมใช้ได้เลย แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้ผลกับทุกคน ต่อให้เป็นอาวุธที่คมกว่านี้ แต่ถ้าสู้กับอวิ๋นอ้าวเทียน ซือถูเซี่ยว จีฮวนไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกประเดี๋ยวข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะร้องไห้อย่างไร!”
พวกหลี่โม่จินที่อยู่รอบๆ เห็นท่านอาจารย์คุมสถานการณ์ได้แล้ว ก็โล่งใจในใจทันที ฉินซีที่อยู่ไกลๆ เพียงลำพังแอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว ร้อนใจราวกับมีไฟเผา แต่อาศัยวรยุทธ์อย่างนาง ต่อให้พุ่งเข้าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ นางเข้าใจเฟิงเป่ยเฉินดีเกินไป ตอนนี้ต่อให้นางคุกเข่าจอร้องก็ไม่มีปะรโยชน์
หลิงเทียนกำลังตีปีกอย่างบ้าคลั่งเพื่อโจมตีหินดินที่พุ่งเข้ามามาในโลกไร้ขอบเขต เมื่อได้ยินดังนั้นก็ตกใจทันที ถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “แย่แล้ว! เฟิงเป่ยเฉินต้องติดต่อพวกอวิ๋นอ้าวเทียนแล้วแน่ๆ พวกเราต้องคิดหาทางออกไป ไม่อย่างนั้นจะยุ่งยากมาก”
“ยุ่งยากเหรอ?” เหมียวอี้ทำสีหน้าเย้ยหยัน “ข้าจะทำให้ไอ้เฒ่าเฟิงมันร้องไห้สักรอบก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
…………………………
[1] หลิงเทียน 凌天 แปลว่าทะยานขึ้ฟ้า
[2] หนวดเลขแปดจีน 八 หรือทรงหนวดคอนนาเซอร์
บทที่ 1106 เอาชีวิตมา!
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิงเทียนไม่รู้ว่าเขาจะทำให้เฟิงเป่ยเฉินร้องไห้ได้อย่างไร
เหมียวอี้ถามเสียงดังว่า “เฒ่าจัญไร! เจ้าอยากได้ของบนตัวข้า แต่ไม่เสียดายที่จะแบ่งกับคนอื่นงั้นเหรอ?”
คำถามนี้ทำให้เฟิงเป่ยเฉินกลุ่มใจแล้ว เขาอยากทำแบบนั้นรึไง? เขาก็ไม่อยากทำเหมือนกัน! ในใจเรียกได้ว่าคับแค้น แต่ปากก็ยังบอกว่า “งั้นตอนนี้เจ้าก็ส่งของมาเสียดีๆ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป!”
เหมียวอี้หัวเราะลั่นแล้วบอกว่า “ในเมื่อเจ้าไม่อยากเก็บไว้คนเดียว งั้นเหมียวคนนี้ก็จะไม่เก็บไว้คนเดียวเหมือนกัน จะแบ่งปันเรื่องที่น่าสนใจให้ทุกคนรู้สักหน่อย เฒ่าจัญไรอยากฟังมั้ยล่ะ?”
เฟิงเป่ยเฉินแอบเกิดความระแวดระวังในใจ “เรื่องอะไร?”
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ได้ยินว่าเหมียวจวินอี๋ลูกศิษย์เจ้า เวลาจะปรนนิบัติอาจารย์ก็ถึงขั้นต้องเปลื้องผ้ากันเลยเหรอ เฒ่าจัญไร รสชาติเวลาได้นอนกับลูกศิษย์ตัวเองเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
เมื่อพูดมาแบบนี้ ทุกคนก็ตกตะลึงมาก
โม่หมิงที่อยู่ไกลๆ ก็ตกใจเช่นกัน มองไปที่เหมียวจวินอี๋โดยจิตใต้สำนึก พบว่าเหมียวจวินอี๋หน้าซีดลงในชั่วพริบตาเดียว
คนที่มองเหมียวจวินอี๋เช่นเดียวกันก็คือโม่จวินหลันลูกสาวของตน สายตาของโม่จวินหลันฉายแววหวาดกลัว เพราะนางพบว่าผู้เป็นพ่อกำลังมองนางด้วยสายตาสงสัย!
เฟิงเป่ยเฉินตะลึงค้างนิดหน่อย โมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา คำรามอย่างบ้าคลั่งว่า “ไอ้จัญไร อย่ามาพูดจาเหลวไหลไร้สาระ!”
“พูดจาเหลวไหลเหรอ? นี่ลูกศิษย์เจ้าพูดเองนะ เฒ่าจัญไรไร้ยางอายอย่างเจ้าน่ะ ก็พอใช้ได้จริงๆ นั่นแหละ มีลูกศิษย์หญิงสองคน ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ปล่อยไปเลยสักคน ช่างเป็นเรื่องประหลาดที่หาพบได้ยากในสังคมจริงๆ!” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ
หลิงเทียนก็ตกตะลึงแล้วเช่นกัน ถ่ายทอดเสียงถามว่า “คุณชายห้า จริงหรือหลอกเนี่ย?”
“จริงจนไม่รู้จะจริงยังไงแล้ว” เหมียวอี้ตอบ
เฟิงเป่ยเฉินหันขวับไปมองเหมียวจวินอี๋ แววตานั้นดุดันไร้ที่สิ้นสุด ทำท่าทางเหมือนอยากจะกินเหมียวจวินอี๋ให้ได้
เหมียวจวินอี๋หวาดกลัวแล้ว ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ไปรู้ความลับสุดยอดนี้มาจากไหน ดูจากท่าทางของอาจารย์ก็เหมือนจะเข้าใจตนผิดแล้วจริงๆ จึงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอกว่า “ไอ้เหมียวจัญไร อย่ามาพูดจาเหลวไหล! ท่านอาจารย์ ไอ้จัญไรนี่มีเจตนาร้าย กำลังยั่วยุให้ท่านโมโห จะได้ถือโอกาสหนีไปง่ายๆ!”
“ข้าจะไม่รู้ถึงเจตนาของเขาได้ยังไง! “เฟิงเป่ยเฉินรีบจบสถานการณ์ลงด้วยดี หัวเราะเจ้าเล่ห์แล้วบอกว่า “เฟิงคนนี้ก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษคนดีอะไร ไอ้เหมียวจัญไร อนุภรรยาของเจ้าน่ะ เวลาถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้วรูปร่างก็ไม่เลวเลยจริงๆ ผิวเนื้อขาวละเอียดอ่อน มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ข้างหน้านูนข้างหลังงอน เสียงครางออดอ้อนตอนปรนนิบัติอยู่ใต้หว่างขาข้า มันทำให้ตาแก่คนนี้ยังจำรสชาติได้ไม่รู้ลืม หลังจากเจ้าตายแล้ว ข้าจะไม่ฆ่านางหรอก! แต่จะว่าไปแล้ว คนอย่างเจ้าก็ไม่ถือสาอยู่แล้วนี่ ถึงอย่างไรไอ้จัญไรอย่างเจ้าก็มีนิสัยชอบเก็บรองเท้าขาด[1]ของคนอื่นอยู่แล้ว รองเท้าขาดบ้านข้า ใช่ว่าเจ้าจะเก็บเป็นครั้งแรกเสียเมื่อไร คนในใต้หล้าเขารู้กันหมด คู่เดียวก็ใส่ได้ สองคู่ก็ใส่ได้อยู่ดี ไอ้จัญไรมันรสนิยมมีระดับ ไม่ถือสาอยู่แล้ว!”
อะไรที่เรียกว่า ฆ่าศัตรูไปหนึ่งพันแต่ตัวเองเสียหายแปดร้อย? แบบนี้ไงล่ะ!
พอเฟิงเป่ยเฉินพูดโต้กลับ ก็ทำให้เหมียวอี้โมโหจนแทบกระอักเลือด เขาอยากจะเปิดโปงเรื่องที่โม่จวินหลันเป็นลูกสาวของเฟิงเป่ยเฉินจริงๆ แต่สุดท้ายก็ยังข่มกลั้นเอาไว้ เห็นแก่หน้าเยารั่วเซียน เป็นความแค้นระหว่างตนกับเฟิงเป่ยเฉิน จึงไม่ผลักโม่จวินหลันลงหลุมแห่งความตาย!
พวกหลี่โม่จินที่อยู่รอบข้าง เมื่อได้ยินแบบนั้นก็จงใจหัวเราะลั่นเสียงดัง เสริมอำนาจให้อาจารย์ตัวเอง!
แต่ฉินซีที่ดูอยู่ไกลๆ กลับสีหน้าเปลี่ยนทันที มองเฟิงเป่ยเฉินด้วยแววตาดุร้ายมาก วันนี้ทุกคนที่นี่ต้องตายกันให้หมดเท่านั้น ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของฉินเวยเวยก็นับว่าป่นปี้ย่อยยับแล้ว คนในโลกนี้มักจะไม่เชื่อความจริง แต่กลับสนใจข่าวลือที่พูดกันตามอำเภอใจ โดยเฉพาะข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง เพราะความสัมพันธ์แบบนี้วุ่นวายที่สุด ทำให้คนเชื่อได้ง่ายที่สุดว่าเป็นความจริงๆ ด้วยเหตุนี้ ‘มาร’ ประเภทนี้จึงมีอยู่ในใจคนทุกคน!
ต่อให้วันนี้เหมียวอี้ผ่านด่านนี้ไปได้ แต่ฉินซีก็กังวลว่าลูกสาวตัวเองจะยืนอยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ได้อย่างไร ในภายหลังจะเผชิญหน้ากับคำตำหนิของคนในสังคมได้อย่างไร
“เฒ่าจัญไร ไม่ต้องเบี่ยงเบนความสนใจโดยการสาดโคลนใส่ผู้หญิงของข้าหรอก เรื่องเน่าเหม็นระหว่างเจ้ากับลูกศิษย์ ข้ายังพูดไม่หมดเลยนะ หมายความว่าอะไรเจ้าเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ข้าขี้เกียจจะเปลืองน้ำลายกับเจ้า เอาชีวิตมาก็พอ!” เหมียวอี้หัวเราะเย้ย
“ยังกล้าปากแข็ง…” เฟิงเป่ยเฉินยังพูดไม่ทันจบ จู่ๆ ก็หันหลังไป
ซวบๆ! ตั๊กแตนห้าตัวโผล่มากะหันทัน บินเรียงเป็นหน้ากระดานเข้ามาด้วยความเร็วสูง พวกหลี่โม่จินตกใจทันที นี่มันตัวอะไรกัน?
“สกัดไว้!” เฟิงเป่ยเฉินตวาดสั่ง
กลุ่มนักพรตที่ตามมารีบดักไว้ แต่กลับมีเสียงกรีดร้องดังเป็นแถบ แขนขาฉีกขาดปลิวว่อน กรงเล็บแหลมคมของตั๊กแตนห้าตัวพุ่งสังหารจนเกิดเป็นทางเลือด ไม่แยแสอาวุธของกลุ่มนักพรตที่ฟันโจมตีบนกระดองเกราะอันแข็งแกร่งเลย พวกมันจู่โจมอย่างรวดเร็วมาก ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตบงกชม่วงและบงกชแดงพวกนั้นจะต้านทานไหว
หลี่โม่จิน ฟู่หยวนคังและเหมียวจวินอี๋ ถึงแม้พวกเขาระหวาดระแวงกลัว แต่ก็ยังรีบพุ่งเข้ามาดัก กัวเหรินกวงและหัวอวี้มีเพียงวรยุทธ์บงกชม่วง ยังไม่ถึงระดับบงกชม่วง ได้เห็นอานุภาพการบุกสังหารของตั๊กแตนกับตาตัวเอง จึงไม่กล้าเข้าใกล้
รอจนตั๊กแตนโผล่มาแล้วค่อยไปดัก ก็ค่อนข้างสายไปเสียแล้ว กอปรกับความเร็วของตั๊กแตน ชั่วพริบตาเดียวมาถึงข้างกายเฟิงเป่ยเฉินแล้ว
หลี่โม่จินเป็นลูกศิษย์ที่วรยุทธ์สูงที่สุด วรยุทธ์บงกชทองขั้นสาม เขาบุกนำมาก่อนแล้ว แต่กลับขัดขวางได้ตัวเดียว
ปั้ง! ตั๊กแตนตัวหนึ่งถูกเขาใช้กระบี่ฟันจนกระเด็นออกไป แต่บนร่างกายตั๊กแตนทิ้งรอยกระบี่ไว้แค่รอยเดียว พอพลิกตัวได้มันก็พุ่งเข้าหาเฟิงเป่ยเฉินต่อไป
หนึ่งตัว สองตัว สามตัว…
ตั๊กแตนเขี้ยวคมห้าตัวโจมตีสังหารเข้ามา มันเข้ามาอย่างรวดเร็ว เฟิงเป่ยเฉินตระหนกมาก เรียกกระบี่ด้ามหนึ่งออกมาฟันซ้ายฟันขวาด้วยความว่องไว
ตั๊กแตนที่พุ่งเข้ามาถูกฟันกระเด็นไปตัวแล้วตัวเล่า แต่บนตัวพวกมันทิ้งรอยกระบี่ตื้นๆ ไว้เพียงไม่กี่รอยเท่านั้น ไม่มีทางโจมตีทะลุกระดองเกราะที่แข็งแกร่งโดยธรรมชาติของพวกมันได้เลย กลับทำให้กระบี่วิเศษในมือเฟิงเป่ยเฉินถูกเขี้ยวและกรงเล็บแหลมคมของมันกระทบจนแหว่งหลายรู
เฟิงเป่ยเฉินยิ่งตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ สัตว์ประหลาดที่เขี้ยวเล็บแหลมคมขนาดนี้ ถ้าไปโดนเข้าสักครั้งคงแย่แน่
ขณะที่หมุนตัวฟันกระบี่อย่างบ้าคลั่ง ในกำไลเก็บสมบัติก็มีหมอกสีทองปรากฏออกมา เกราะรบผลึกทองบริสุทธิ์ชุดหนึ่งสวมใส่บนร่างกายเพื่อป้องกัน เขาหมุนร่างกายด้วยความเร็วสูง ทำให้เกิดพลังประหลาดที่คล้ายกับน้ำวน พลังแต่ละกลุ่มหมุนวนไปทางตั๊กแตนที่กำลังเจาะโจมตีเข้ามาด้วยความเร็ว แบบนี้ถึงจะป้องกันตัวได้
มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเขาก็ไม่ใช่เล่นๆ ด้วยพลังแบบนี้ ตั๊กแตนก็ยังทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ประเด็นสำคัญคือเขายังต้องใช้สมาธิและพลังอิทธิฤทธิ์จำนวนมาก ทั้งยังต้องควบคุมโลกไร้ขอบเขตบนฟ้าที่กำลังขังพวกเหมียวอี้ด้วย
หลี่โม่จินและคนอื่นๆ สวมเกราะรบพุ่งเข้ามาล้อมโจมตีแล้วเช่นกัน แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของพวกเขาไม่ได้เร็วเท่าเฟิงเป่ยเฉิน ถ้าโดนตั๊กแตนโจมตีกลับขึ้นมา พวกเขาก็จะต้องลุกลี้ลุกลนอยู่พักหนึ่ง เรื่องนี้ต้องโทษเฟิงเป่ยเฉินที่ไม่สอนส่วนสำคัญของเคล็ดวิชาให้พวกเขา
โชคดีที่ตั๊กแตนห้าตัวห้าวหาญไม่กลัวตาย เป้าหมายหลักคือจับตัวเฟิงเป่ยเฉินและไม่ยอมจากไปไหน คลุ้มคลั่งโจมตีอย่างรวดเร็ว ไม่อย่างนั้นพวกหลี่โม่จินจะต้องตกอยู่ในอันตรายแล้ว
ตั๊กแตนห้าตัวนี้เหนือกว่าพวกตั๊กแตนที่เหมียวอี้นำติดตัวไปเข้าร่วมการทดสอบ แต่เป็นสัตว์ประหลาดที่อวิ๋นจือชิวใช้ยาเจี๋ยตันเลี้ยงในระหว่างร้อยปีที่เหมียวอี้ไปทดสอบ แต่ละตัวร่างใหญ่แข็งแรงเหมือนวัว
รอบข้างมีคนกลุ่มใหญ่มารวมตัวกัน แต่ไม่มีที่เหลือให้พวกเขาแทรกเข้าไปได้เลย
เหมียวอี้ที่โดนขังอยู่ในค่ายกลรู้สึกได้ว่าคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ของโลกไร้ขอบเขตค่อนข้างสับสนวุ่นวาย จึงเรียกทันที “หลิงเทียน เข้ามาในกระเป๋าสัตว์ของข้า!”
หลังจากโบกมือเก็บหลิงเทียนเข้าในกระเป๋าสัตว์แล้ว เหมียวอี้ก็โบกทวนเกล็ดย้อนในมืออย่างบ้าคลั่ง กระบี่เพลิงสายแล้วสายเล่าระเบิดยิงไปทั่วสารทิศราวกับห่าฝน
เขาสังเกตได้ว่าเฟิงเป่ยเฉินแบ่งสมาธิคุมพลังอิทธิฤทธิ์ได้ลำบาก จึงเพิ่มแรงกดดันมหาศาลจากภายในให้เฟิงเป่ยเฉินอีกครั้ง ต้องการทำให้โลกไร้ขอบเขตพังทลาย
เป็นอย่างที่คาดไว้ ภายใต้แรงกดดันทั้งภายในและภายนอก เฟิงเป่ยเฉินแทบจะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว
วูบๆ! กระบี่เพลิงสีแดงสิบกว่าสายทะลุผ่านหินดินที่กำลังหมุนวนออกมา ไปกระแทกอยู่บนพื้นที่อยู่ไม่ไกล แสงเพลิงระเบิดออก เผาดินไหม้เกรียมเป็นแถบ แผ่นดินไหวสะเทือน คนที่อยู่ใกล้ๆ ตกใจจนรีบเหาะหนี
บวกกับการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของตั๊กแตนห้าตัว ทำให้ด้านบนมีหินดินตกลงมาผืนใหญ่ราวกับเม็ดฝนทันที
เงาคนคนหนึ่งที่ถูกครอบด้วยเปลวเพลิงราวกับเทพอัคคีพุ่งออกมา โบกทวนโจมตีออกมา แล้วตะโกนเสียงดังว่า “เฒ่าจัญไร! เอาชีวิตมา!”
เฟิงเป่ยเฉินตกใจมาก หมุนตัวด้วยความเร็วสูงพุ่งออกไปในแนวเฉียง พร้อมร้องว่า “วางค่ายกล! สกัดเขาไว้!”
บนกระดองเกราะของต๊กแตนห้าตัวเต็มไปด้วยรอยกระบี่ พวกมันบินพุ่งออกมา ตามกัดเฟิงเป่ยเฉินไม่ยอมปล่อย ไล่โจมตีไปตลอดทาง
หลี่โม่จิน ฟู่หยวนคังและเหมียวจวินอี๋โบกแขนร่ายอิทธิฤทธิ์ทันที หินดินสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง หินดินปลิวขึ้นมา โลกไร้ขอบเขตโผล่ออกมาอีกครั้ง หมายจะขังเหมียวอี้เอาไว้
“ฟัน!” เหมียวอี้ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด เขาเพิ่งจะออกจากค่ายกลใหญ่มา ตอนนี้กำลังถูกครอบอยู่ในเปลวเพลิง โบกทวนยาวเพลิงเดือดกระแทกไปที่พื้นอย่างดุดัน
บึ้ม! ทวนเกล็ดย้อนปูมังกรเพลิงออกมาตัวหนึ่ง กระทุ้งอยู่ที่พื้นดินอย่างบ้าคลั่ง
หินดินที่เพิ่งถูกทั้งสามร่ายอิทธิฤทธิ์พลิกขึ้นมาสั่นสะเทือนจนเสียการควบคุม ผิวดินที่ถูกทวนทวนก็เรียกได้ว่าถล่มทลาย ร่องน้ำหลายสายแผ่ขยายเป็นวงกว้างอย่างรวดเร็วราวกับใยแมงมุม
เหมียวอี้ที่พลิกตัวถือทวนรีบหมุนตัวพุ่งไปยังทิศทางที่เฟิงเป่ยเฉินหลบหนีราวกับลูกธนูคม ท่ามกลางเสียงมังกรคำรามที่กวาดยิงไปสี่ทิศ กระบี่เพลิงอันถี่กระชั้นฟันไปที่พวกหลี่โม่จินราวกับพายุฝนคลั่ง
ทั้งสามตกใจมาก รีบโบกกระบี่ฟันต้านทานเอาไว้ จะมีเวลาจากไหนมาวางค่ายกล
คนที่ดูการต่อสู้ตกใจจนรีบถอยหลัง เห็นเพียงหินดินปลิวว่อน แสงเพลิงยิงไปทั่วสารทิศ แผ่นดินไหววุ่นวาย รอยดินแตกขยายยาวเหยียดไปทั่วทุกที่ พลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดพัดม้วนไปทุกแห่งหน ยอดเขาที่อยู่ใกล้หน่อยก็ถล่มดังโครมคราม ภาพเหตุการณ์นี้คล้ายกับโลกกำลังพังทลาย
“วี้ด!” เสียงเหยี่ยวร้องดังก้องสะท้านฟ้า
ท่ามกลางหินดินที่ปลิวว่อนให้ดวงตาสับสน เหยี่ยวม่วงปรากฏตัวอีกครั้ง กระพือปีกบินย้อนโดยหันหลังให้พื้นดิน เหมียวอี้ก็ยืนกลับหัวอยู่บนหลังของเขาเช่นกัน ออกทวนราวกับมังกรโจมตีไปยังฟู่หยวนคังที่อยู่ข้างหน้า
ตอนนี้ทั้งสี่ทิศมองไม่เห็นอะไรเลย ฟู่หยวนคังที่รู้สึกได้ถึงพลังอิทธิฤทธิ์ตกใจมาก โบกกระบี่ฟันมั่วๆ อย่างบ้าคลั่ง
แกร๊ง! เกิดเสียงดังชัดเจน หัวทวนเกล็ดย้อนที่แหลมคมพลันปรากฏอยู่ตรงหน้าฟู่หยวนคัง กระบี่วิเศษในมือถูกฟันหักอย่างเหี้ยมหาญ
ฉึก! ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย ทวนเกล็ดย้อนราวกับมีดวงตาที่ทั้งมั่นคง เด็ดเดี่ยวและแม่นยำ พอฟันกระบี่วิเศษหัก หัวทวนก็กระดกขึ้นเล็กน้อย แหย่ผ่านไปหนึ่งครั้งราวกับฟ้าแลบ ปาดศีรษะของฟู่หยวนคังจนระเบิดกระจายเหมือนลูกแตงโม
ท่ามกลางหินดินที่ปลิวว่อน เงาดำสายหนึ่งแฉลบผ่านด้านบนของเขาไป ไม่เห็นฟู่หยวนคังที่ไร้ศีรษะแล้ว บนคอที่ขาดมีเลือดสดพุ่งอย่างบ้าคลั่ง ยังคงฟันกระบี่ที่หักมั่วๆ ต่อไปสองสามครั้ง แล้วสุดท้ายก็ล้มลงพื้นอย่างสิ้นหวัง
วูบ! ท่ามกลางหินดินที่ระเบิดอย่างบ้าคลั่ง เหยี่ยวม่วงตัวหนึ่งพลันพุ่งขึ้นมาจากหมอกฝุ่นดิน แฉลบขึ้นฟ้าไล่ตามเฟิงเป่ยเฉินที่หนีไปยังเส้นขอบฟ้า
ผ่านไปครู่เดียว หลี่โม่จินกับเหมียวจวินอี๋ก็เหาะออกจากฝุ่นดินที่ระเบิดอย่างบ้าคลั่ง ข้างล่างไม่มีเสียงต่อสู้แล้วไม่เห็นปฏิกิริยาของฟู่หยวนคังเช่นกัน เดาว่าคงท่าไม่ดีแล้ว
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่งขณะที่อยู่บนฟ้า ในใจเกิดหวาดผวา นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะห้าวหาญรบเก่งขนาดนี้!
ไม่ว่าจะอย่างไร แนวคิดที่ว่าเป็นอาจารย์หนึ่งวัน เปรียบดั่งเป็นพ่อชั่วชีวิตก็คือแนวคิดที่ยากจะลบล้างได้ ต่อให้เหมียวอี้จะร้ายกาจกว่านี้…แต่อย่างน้อยถ้ายังไม่ถึงก้าวสุดท้าย ทั้งสองก็ไม่อาจทิ้งเฟิงเป่ยเฉินแล้วหนีไปได้
ทั้งสองโบกกระบี่ในมือ แล้วไล่ตามไปทางเหมียวอี้พร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
คนที่หลบไปอยู่รอบๆ มองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วทยอยกันพุ่งขึ้นฟ้าไล่ตามไปเช่นกัน
…………………………
[1] ร้องเท้าขาด อุปมาถึงผู้หญิงที่ผ่านการมีสามีมาแล้ว
บทที่ 1107 ยุคสมัยของเจ้าจบลงแล้ว!
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อเห็นเหมียวอี้ขับเหยี่ยวม่วงไล่ตามมาข้างหลัง เฟิงเป่ยเฉินก็เรียกได้ว่าร้อนใจดั่งไฟเผา แต่กลับโดนตั๊กแตนห้าตัวนั้นตามติดเกาะแกะพัวพัน
ตั๊กแตนห้าตัวถึงแม้จะถ่วงให้เฟิงเป่ยเฉินเหาะช้าลงได้ แต่หนึ่งในหกเคล็ดวิชาพิเศษก็ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเหมือนกัน พัวพันก็ส่วนพัวพัน แต่กลับไม่มีทางเข้าใกล้ตัวเฟิงเป่ยเฉินได้เลย กระแสลมที่หมุนวนอยู่รอบกายเฟิงเป่ยเฉินส่งผลกระทบต่อการบินของตั๊กแตนเยอะมาก ทุกครั้งที่แทรกซึมเข้าไปโจมตีและเฉียดผ่านเฟิงเป่ยเฉิน กลับถูกเฟิงเป่ยเฉินใช้กระบี่ฟันอย่างบ้าคลั่งด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะกระดองเกราะแข็งแรงทนทาน เกรงว่าคงจะเสียหายด้วยน้ำมือเฟิงเป่ยเฉินทั้งหมดไปตั้งนานแล้ว
บนร่างกายของตั๊กแตนห้าตัวในตอนนี้โดนเฟิงเป่ยเฉินฟันจนเป็นรอยหลายรอย
เหยี่ยวม่วงพุ่งเข้ามา จู่ๆ เหมียวอี้ก็กระโจนออกจากหลังของเขา พุ่งเร็วราวกับฝนดาวตก ทะยานขึ้นท้องฟ้าพร้อมสะบัดทวนออกมาหนึ่งครั้ง สังหารเข้าไปในวงล้อมโจมตีของตั๊กแตนโดยตรง
เฟิงเป่ยเฉินที่ตกตะลึงพรึงเพริดลนลานโบกกระบี่ฟัน ขณะเดี๋ยวกันก็โบกมือไม่หยุด กระแสลมที่รุนแรงพัดม้วนออกมาดันตั๊กแตนที่แทรกโจมตีให้ออกไป
แกร๊ง! เหมียวอี้วาดทวนตัดสลับกัน เป็นเหมือนอย่างเคย กระบี่วิเศษในมือเฟิงเป่ยเฉินโดนฟันขาดครึ่งในชั่วริบตาเดียว
เฟิงเป่ยเฉินทะยานขึ้นฟ้าแล้วหมุนตัว ยิงกระบี่ที่หักไปทางเหมียวอี้ ใช้สองมือวาดเป็นวงกลมออกมาทั้งวงใหญ่ทั้งวงเล็ก กระแสอากาศที่อยู่รอบข้างแทบจะก่อตัวเป็นรูปร่าง ทำให้หัวทวนแหลมคมที่เหมียวอี้แทงโจมตีเข้ามาเบี่ยงเบนไป ตั๊กแตนห้าตัวก็ถูกกระแสอากาศที่รุนแรงโจมตีจนลอยมั่วเป็นวงกลมเช่นกัน
อาศัยโอกาสนี้ เฟิงเป่ยเฉินปลีกตัวหนีไปได้อย่างรวดเร็ว
ทว่าความเร็วในการบินของตั๊กแตนนั้นเร็วกว่าเขา พอเพิ่งจะฝ่าวงล้อมได้ ตั๊กแตนห้าตัวก็เข้ามาล้อมโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
เฟิงเป่ยเฉินสองตาแทบจะถลนออกมา ในขณะที่โดนพัวพัน ก็รู้สึกว่าใกล้จะประสาทเสียแล้ว
เหมียวอี้ที่โจมตีเข้ามาอีกครั้งแทงทวนออกมาอีก เฟิงเป่ยเฉินใช้ฝ่ามือฟาดรับทวน ฝ่ามือหมุนวนต่อเนื่องกันราวกับวงล้อไฟ กระแสอากาศที่รุนแรงกวนให้หัวทวนอันแหลมคมของเหมียวอี้ที่แทงเข้ามาสั่นไหวอยู่พักหนึ่ง
เหมียวอี้ไม่ใช้วิธีการเดิม เก็บทวนแล้วแทงอีกครั้ง เป็นตอนที่เฟิงเป่ยเฉินโบกแขนโน้มนำ บนหัวทวนแหลมคมพลันมีหมอกสีแดงพ่นออกมาราวกับผ้าไหม
ปราณปีศาจโลหิตที่เข้มข้นโจมตีเข้ามา ถึงแม้จะถูกเฟิงเป่ยเฉินใช้ฝ่ามือกวนให้กระจายไป แต่กลับพัดม้วนอยู่ทั่วทุกที่รอบกายเขาตามกระแสอากาศ
เฟิงเป่ยเฉินตกใจทันที ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่กลับรู้สึกได้ถึงปราณชั่วร้ายที่อยู่ในนั้น รีบร้อนร่ายอิทธิฤทธิ์โบกแขนเสื้อไล่ออกไป
ช่องโหว่เปิดเผยออกมาทันที เหมียวอี้มีหรือที่จะพลาดโอกาสนี้ เงาทวนที่รวดเร็วดุดันพลันรวมกันเข้ามา มีเพียงเงาทวนที่กะพริบแสงเย็นหนึ่งสาย พุ่งออกไปแล้วก็หยุด
แกร๊ง! เกิดเสียงดังฟังชัด
เฟิงเป่ยเฉินคว้าด้ามทวนเอาไว้ แล้วเบิกตากว้างก้มมองที่ท้องตัวเองด้วยความตกใจ
หัวทวนแหลมคมแทงทะลุเกราะรบผลึกทองบริสุทธิ์บนร่างกายเขาแล้ว ปราณปีศาจโลหิตที่ไหลออกมาจากบนด้ามทวนกรอกเข้าไปในร่างกายเขา เฟิงเป่ยเฉินกำลังสั่นเทิ้มไปทั้งตัว ชั่วพริบตาเดียวผิวกายก็เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ราวกับถูกไฟลวกมา
โช้งเช้ง โช้งเช้ง ตั๊กแตนที่แทรกเข้ามาโจมตีขูดรอยลึกหลายรอยไว้บนเกราะรบด้านหลังของฟิงเป่ยเฉินทันที
เหมียวอี้ใช้มือข้างหนึ่งถือทวน ส่วนมืออีกข้างชูขึ้นเล็กน้อย หยุดยั้งตั๊กแตนไม่ให้โจมตีต่อ ตอนนี้เขากับเฟิงเป่ยเฉินกำลังเผชิญหน้าและคุมเชิงกันอยู่!
พวกหลี่โม่จินที่ตามมาไกลๆ รีบหยุดอยู่กับที่ เมื่อได้เห็นฉากนี้ก็พากันตะลึงค้างแล้ว!
ทันใดนั้น เหมียวอี้ก็พบความผิดปกติ พบว่าเฟิงเป่ยเฉินยกมุมปากยิ้มชั่วร้ายมาก เขาลองชักทวนในมือกลับมา แต่กลับพบว่าถูกเฟิงเป่ยเฉินกำไว้แน่นมาก อยากจะดึงกลับมาก็ดึงไม่ได้
เมื่อมองไปที่สีหน้าของเฟิงเป่ยเฉินอีกครั้ง ก็เห็นใบหน้าสีแดงฉานที่โดนปราณปีศาจโลหิตกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เหมียวอี้แอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว เพลิงจิตพลันออกไปอย่างรวดเร็วตามช่องทางที่อยู่ภายในด้ามทวน
เป็นอย่างที่คาดไว้ ฝ่ามือข้างที่ว่างเปล่าของเฟิงเป่ยเฉินตบเข้ามาหนึ่งครั้งอย่างกะทันหัน ฝ่ามือสีแดงปล่อยปราณปีศาจโลหิตที่รุนแรงออกมาหนึ่งกลุ่ม เงาฝ่ามือสีแดงที่ขยายใหญ่ขึ้นหลายสิบเท่าตบไปทางเหมียวอี้ด้วยความบ้าคลั่ง
เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จะหลบก็หลบไม่ทันแล้ว เหมียวอี้ที่ชักทวนกลับมาไม่ได้พลันตบฝ่ามือออกไปรับอย่างดุร้าย
บึ้ม! พลังฝ่ามือของทั้งสองชนกันและทลายลงกลางอากาศ เหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูงเท่า พลังฝ่ามือของเฟิงเป่ยเฉินโผกลับ อานุภาพของฝ่ามือโลหิตตีฝ่าเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ของเหมียวอี้แล้ว โจมตีโดนร่างกายเหมียวอี้เข่าอย่างจัง ทำให้ร่างของเหมียวอี้โอนเอน
เหมียวอี้ที่โดนฝ่ามือโลหิตหน้าแดงฉานในชั่วพริบตาเดียว ราวกับโดนจิตมารเข้าแทรก เฟิงเป่ยเฉินเห็นภาพนี้แล้วหัวเราะเยาะ “หึหึ” เหยี่ยวม่วงที่บินร่อนอยู่บนท้องฟ้าตกใจทันที
แต่เสียงหัวเราะของเฟิงเป่ยเฉินพลันหยุดชะงัก เขาก้มมองหัวทวนที่เสียบอยู่ที่ท้องตัวเอง พอเงยหน้ามองเหมียวอี้อีกครั้ง ก็เรียกได้ว่าทำสีหน้าหวาดผวาแล้ว เขาออกแรงโบกฝ่ามือติดต่อกันหลายครั้ง เหมือนอยากจะไล่ของที่อยู่ในร่างกายให้ออกมา
ส่วนเหมียวอี้ที่หน้าแดงฉานก็ใช้ฝ่ามือข้างเดียวตบลงไปหนึ่งที สีของเลือดชั่วร้ายบนใบหน้าหายไปในชั่วพริบตาเดียว สีหน้ากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาแสยะหัวเราะพร้อมบอกว่า “ของที่ข้าควบคุมได้ จะทำให้ข้าบาดเจ็บได้อย่างไร! เฒ่าจัญไร หลานชายเจ้าก็ตายด้วยท่านี้แหละ ถ้าเก่งนักก็ขับสิ่งที่อยู่ในร่างกายอกมาสิ!”
พอพูดจบ มือก็ไหลไปข้างหน้าตามด้ามทวน พอคว้าเอาไว้ได้ ก็สะบัดร่างกายขึ้นมา เหาะขึ้นมาด้วยสองขาที่เหมือนไม้กลอง แล้วใช้ขารัวถีบติดต่อกันหลายครั้ง “แกร๊งๆ” ชั่วพริบตาเดียวก็ถีบบนเกราะรบที่หน้าอกของเฟิงเป่ยเฉินไปสิบกว่าครั้งติดต่อกัน
“อั้ก…” เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ในที่สุดก็ปล่อยมือแล้ว ตอนที่หัวทวนชักออกมาจากท้อง ก็มีเลือดกระจายออกมาด้วย ทั้งตัวกระเด็นถอยหลังออกไป แล้วก็ดันทุรังโบกแขนสองข้างพยุงร่างให้นิ่งอยู่บนฟ้าที่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง ร่างที่ลอยอยู่บนฟ้าค่อนข้างโอนเอน เอามือกุมท้องพลางถลึงตามองเหมียวอี้ ในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เสียงมังกรคำรามดังขึ้น เหมียวอี้ที่ลอยอยู่บนฟ้าโบกทวนชี้ไปทางเฟิงเป่ยเฉิน ใช้ทวนถามว่า ยังกล้าสู้อีกมั้ย!
เฟิงเป่ยเฉินยังจะมีแรงเหลือให้ต่อสู้เสียที่ไหนกัน ความทรมานที่อยู่ในท้องตอนนี้ คนนอกไม่มีทางจินตนาการได้ ร่างกายยิ่งโอนเอนสั่นไหวหนักขึ้นเรื่อยๆ!
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ในใจเหมียวอี้ก็ยังแอบทึ่ง
วันนี้นับว่าเขาได้ทำความรู้จักกับมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงของเฟิงเป่ยเฉินใหม่อีกครั้งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตาแก่เวรนี่จะไม่กลัวปราณปีศาจโลหิต ปราณปีศาจโลหิตที่ตนกรอกเข้าไปในร่างกายเขา คาดไม่ถึงว่าว่าจะถูกเขาแปลงให้กลายเป็นฝ่ามือโลหิตแล้วตบออกมา
“ไว้ชีวิตข้า…ไว้ชีวิตข้าสักครั้ง…ข้าจะให้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงกับเจ้า…” เฟิงเป่ยเฉินส่งเสียงร้องขณะหายใจถี่กระชั้น ไม่ได้ชอบหนีอย่างเดียว เห็นได้ชัดว่ากระดูกไม่แข็งด้วย
“เฒ่าจัญไร เจ้าครอบครองแดนอู๋เลี่ยงมาแสนกว่าปี นับว่าเสพสุขกับเกียรติยศความร่ำรวยมาเต็มที่แล้ว วันนี้…ยุคสมัยของเจ้าจบลงแล้ว! “เหมียวอี้กล่าวอย่างทะนงองอาจ แล้วถลันตัวเข้าไป ใช้ทวนเกล็ดย้อนในมือฟันตรงเข้าไป ปั้ง! ทวนกระแทกที่บ่าของเฟิงเป่ยเฉินพอดี
“พลั่ก!” เฟิงเป่ยเฉินกระอักเลือดสดอีกคำท่ามกลางเสียงกระดูกแตก ร่างดิ่งตกลงมาจากฟ้าสูง กระแทกพื้นเสียงดังโครม เกิดเป็นหลุมลึกที่มีฝุ่นควันปลิวขึ้นมา
ตรงที่ไกลๆ ฉินซีที่ได้เห็นฉากนี้ทำสีหน้าสับสน ถึงอย่างไรก็เป็นสามีภรรยากับเฟิงเป่ยเฉินมาหลายปี
บนใบหน้าของหลี่โม่จินและคนอื่นๆ เต็มไปด้วยความหวาดผวา!
ขนาดปราชญ์เต๋ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของไอ้เหมียวจัญไร แล้วพวเรายังจะสู้ทำบ้าอะไรอีกล่ะ!
เมื่อคนกลุ่มหนึ่งที่เหาะมาจากนภาอู๋เลี่ยงได้เห็นสถานการณ์นี้ ก็หนีกระเจิดกระเจิงไปทั่วสารทิศทันที หลี่โม่จินกับเหมียวจวินอี๋สบตากันแวบหนึ่งก่อนจะเลี้ยวหนี ตอนที่เหมียวจวินอี๋หนีก็ไม่ลืมที่จะจูงมือลูกสาวตัวเอง ส่วนโม่หมิงก็แค่เอ่ยปากเรียกส่งเดชคำเดียว
กัวเหรินกวงกับหัวอวี้ที่อยู่ข้างหลังก็เลี้ยวหนีทันทีเช่นกัน ที่ว่ากันว่า ‘ต้นไม้ล้มลิงหนีกระเจิง’ ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!
เหมียวอี้หันกลับมามองด้วยสายตาเย็นเยียบแวบหนึ่ง กวาดสายตามองกลุ่มคนที่แตกซ่าน คนมากมายขนาดนี้หนีไปทั่วสารทิศ เขาเองก็จับไม่ไหวเหมือนกัน เพียงแต่พวกลูกศิษย์ของเฟิงเป่ยเฉิน มีหรือที่จะเขาจะปล่อยไป!
ตั๊กแตนห้าตัวไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว มีสองตัวไล่ตามหลี่โม่จิน ส่วนอีกสามตัวก็แบ่งกันไล่ตามเหมียวจวินอี๋และลูกสาว กัวเหรินกวงและหัวอวี้
เหยี่ยวม่วงที่บินร่อนอยู่บนท้องฟ้ากลายร่างเป็นคนแล้ว ลิงเทียนเรียกได้ว่าเงยหน้าขึ้นฟ้าแผดเสียงร้อง ระบายอารมณ์สะใจออกมา โดนหกปราชญ์ข่มมานานขนาดนี้ เมื่อได้เห็นจุดจบในวันนี้ของเฟิงเป่ยเฉินด้วยตัวเอง ในใจก็เรียกได้ว่าสะใจมาก
เหมียวอี้ถลันตัวลงมาที่พื้น โบกมือไล่ฝุ่นควันที่ตลบอบอวล หัวทวนแหลมคมยื่นออกมา เขี่ยใบหน้าเปื้อนเลือดของเฟิงเป่ยเฉินที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง
เหมียวอี้ลงมือผนึกวรยุทธ์ของเฟิงเป่ยเฉินก่อน กลัวว่าตาแก่เวรนี่จะเล่นไม่ซื่อ จากนั้นโยนเชือกมัดเซียนออกมามัด พอโบกนิ้วกระตุ้นหนึ่งที กระบี่เล็กเพลิงจิตเล่มหนึ่งถึงได้ลอยออกมาจากบาดแผลของเฟิงเป่ยเฉิน
ไม่ได้ฆ่าเขา มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงที่เป็นภาคคนยังอยู่ในมือเขา
หลังจากรูดของมีค่าบนตัวเฟิงเป่ยไปหมดแล้ว ถึงได้เก็บคนเอาไว้ จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้าไปรวมตัวกับหลิงเทียน และไม่นานก็ตามทันหลี่โม่จินที่ถูกตั๊กแตนสองตัวตามพัวพัน
เหมียวอี้โบกทวนชี้ “จะสู้หรือจะยอม!”
เมื่อเผชิญกับพลังอำนาจที่เหมียวอี้โจมตีชนะเฟิงเป่ยเฉิน หลี่โม่จินก็ทำได้เพียงพ่นคำพูดออกมาอย่างลังเลว่า “ยอมแพ้!”
พอเหมียวอี้โบกมือ ตั๊กแตนสองตัวก็บินกลับเข้ามาทันที หลี่โม่จินวางอาวุธแล้ว หลิงเทียนถลันตัวเข้าไปผนึกวรยุทธ์ของเขา รูดของบนตัวเขาจนหมดสิ้น แล้วเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์
ทั้งสองเปลี่ยนไปสู้กับคนต่อไป หลังจากตามทันแล้ว เหมียวอี้ก็ดบกทวนตะคอกถาม “จะสู้หรือจะยอม!”
“ยอม! ยอม! ยอม!” เหมียวจวินอี๋ตะโกนเสียงดังสามครั้ง แต่กลับกางแขนสองข้างบังป้องโม่จวินหลัน “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูกสาวข้า ปล่อยนางไป!”
ตอนนี้โม่หมิงก็เหาะเข้ามาแล้วเช่นกัน มาถามว่า “เหมียวอี้ ที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้เรื่องจริงรึเปล่า?”
เหมียวจวินอี๋ได้ยินแล้วหวาดระแวงกลัว รู้ว่าโม่หมิงกำลังถามอะไร โม่จวินหลันก็มองเหมียวอี้อย่างค่อนข้างหวาดกลัวเช่นกัน
เหมียวอี้เอียงหน้ามอง จ้องโม่หมิงที่เป็นชายชราผมหงอกขาวเงียบๆ ครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “โกหก ข้าจงใจทำให้เฟิงเป่ยเฉินโมโห!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เหมียวจวินอี๋ก็มองไปทางเหมียวอี้ด้วยแววตาซาบซึ้ง
โม่หมิงกลับมีอารมณ์ฮึกเหิม กางแขนสองข้างขวางตรงหน้าสองแม่ลูก แล้วถามเสียงกังว่า “เหมียวอี้ เฟิงเป่ยเฉินแพ้ให้เจ้าแล้ว ทำไมต้องฆ่าทิ้งให้หมด?”
หลิงเทียนได้ยินแล้วกวาดสายตาเย็นเยียบมองมา ขณะกำลังจะลงมือ ก็คาดไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะยื่นทวนมาขวางเขาไว้ ย้ายสายตาจากใบหน้าโม่หมิงไปที่ใบหน้าโม่จวินหลัน แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “พวกเจ้าสามคนไปเถอะ!”
“พวกเขาเป็นสุนัขรับใช้ของเฟิงเป่ยเฉินนะ ถ้าปล่อยพวกเขาไป แล้ววันไหนถ้าถูกแว้งกัดขึ้นมาล่ะ?” หลิงเทียนตกใจมาก
เหมียวอี้ไม่สนใจ โบกมือตะคอกว่า “ถือโอกาสตอนที่ข้ายังไม่เปลี่ยนไป รีบไสหัวไป!”
โม่หมิงกุมหมัดคารวะ เหมียวจวินอี๋กลับโค้งเอวค้างไว้ แววตาที่มองเหมียวอี้ได้อธิบายทุกอย่างไว้หมดแล้ว
สามคนพ่อแม่ลูกรีบจากไปอย่างรวดเร็ว…
กัวเหรินกวงกับหัวอวี้น่าอนาถมาก รอจนกระทั่งเหมียวอี้กับหลิงเทียนตามมาถึง ตั๊กแตนก็กำลังไต่กัดกินศพของทั้งสองแล้ว
ส่วนคนอื่นๆ ของนภาอู๋เลี่ยงก็หนีไปหมดแล้ว เหมียวอี้กับหลิงเทียนลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือนภาอู๋เลี่ยง ในทิวทัศน์อุทยานด้านล่างที่ราวกับแดนเซียนไม่เห็นมีเงาใครสักคน
แต่ก็ไม่ได้หนีไปหมดหรอก ยังเหลืออยู่อีกคน ฉินซีเหาะเข้ามาเพียงลำพัง มายืนอยู่ตรงข้ามเหมียวอี้
หลิงเทียนกล่าวกลั้วหัวเราะเบาๆ ข้างหูเหมียวอี้ “คุณชายห้า ท่านมีวาสนานะ เมียของเฟิงเป่ยเฉินงามเลิศล้ำแบบหาพบได้ยากในโลกมนุษย์จริงๆ นางเป็นฝ่ายมาหาถึงที่แล้ว!”
เหมียวอี้กลอกตามองเขา
ฉินซีทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดดูหมิ่นของหลิงเทียน นางกล่าวอย่างสุขุมใจเย็นว่า “เฟิงเป่ยเฉินพูดจาเหลวไหลทัง้นั้น นอกจากตบหน้านางหนึ่งฉาด เขาก็ไม่ได้แตะต้องนางเลย เจ้าอย่าเก็บมาใส่ใจ”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “ข้าไม่มีทางปล่อยให้เฟิงเป่ยเฉินรอดชีวิต ท่านจะทำอย่างไร?”
พอได้ยินบทสนทนานี้ หลิงเทียนที่กำลังประหลาดใจก็พบว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว
…………………………
บทที่ 1108 ในมือเจ้ามีแค่เคล็ดวิชาภาคคน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ฉินซีหันตัวเงียบๆ หันข้างให้เหมียวอี้ จ้องมองภูเขาแม่น้ำที่พังถล่มอยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
ท่าทางเวลานางหันข้าง เรียกได้ว่าเหมือนความเขียวชอุ่มของภูเขาที่อยู่ไกลๆ สงบนิ่งดุจสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วง ราวกับคนในภาพวาดจริงๆ โดยเฉพาะคุณสมบัติประจำตัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใครแบบนั้น หลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะมองดูหลายครั้ง
เหมียวอี้เองก็ต้องแอบชื่นชมในใจเช่นกัน รูปโฉมที่งดงามของแม่ยายคนนี้ไม่มีอะไรต้องพูดแล้วจริงๆ จะบอกว่างามข่มผู้หญิงคนอื่นก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป และก็ไม่แปลกใจที่หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยเลือกมาเป็นฮูหยินคนใหม่ หยางชิ่งช่างกล้านัก!
เหมียวอี้เอียงศีรษะเบาๆ มองหลิงเทียน “ไปดูข้างล่างหน่อยว่ามีคนหรือเปล่า”
หลิงเทียนรู้ว่าพวกเขามีเรื่องจะคุยกันตามลำพัง จึงพยักหน้าเอ่ยรับ แล้วถลันตัวลงไป ไปตรวจดูตามอาคารบ้านเรือนในภาอู๋เลี่ยง
ผ่านไปครู่ใหญ่ ฉินซีถึงได้ถอนหายใจเบาๆ “เฟิงเป่ยเฉินล้มแล้ว นอกจากหาที่หลบซ่อน ข้ายังจะไปไหนได้อีก? อาศัยแค่ที่ข้าเป็นฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉิน เจ้าคิดว่าอีกห้าปราชญ์จะปล่อยข้าไปได้เหรอ?”
เหมียวอี้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ยอมแพ้เถอะ! เมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกไม่สู้บอกว่ายอมแพ้ข้า ข้างกายข้าขาดกำลังคนพอดี มาทำงานเป็นลูกน้องข้าแล้วกัน!”
ฉินซีเอียงศีรษะมองมา “ต่อไปเกรงว่าเจ้าเองก็คงไม่ได้อยู่อย่างสงบเท่าไรหรอก อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่าอีกห้าปราชญ์จะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ?”
เหมียวอี้บอกว่า “ไม่ใช่พวกเขาไม่ปล่อยข้าหรอก แต่ข้าต่างหากที่จะไม่ปล่อยพวกเขา ครั้งนี้ในมือฉีกหน้ากันแล้ว ต่อให้พวกเขาไม่มาหาข้า ข้าก็จะไปหาพวกเขาเช่นกัน ข้าจะแก้ไขเรื่องนี้ให้จบในครั้งเดียว ท่านไม่ต้องกังวล”
ฉินซีขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ถามนอกเรื่อง “ในสถานการณ์ก่อนหน้านี้ ทำไมเจ้าไม่เปิดโปงภูมิหลังของโม่จวินหลัน?”
เหมียวอี้ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ที่จริงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับโม่จวินหลัน จากที่ข้ารู้มา โม่จวินหลันเองก็ไม่ค่อยได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งอะไร เหตุใดต้องใช้ความสัมพันธ์ที่ไร้ระเบียบของคนรุ่นก่อนทำร้ายนาง นางไม่ได้ทำอะไรผิด อย่างไรเสีย สำหรับข้าแล้ว โม่จวินหลันคนเดียวไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อข้าหรอก”
ฉินซีพยักหน้า ตอบอย่างตรงไปตรงมามากว่า “ดี! ข้ายอมแพ้เจ้า”
เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย นิสัยคิดอะไรกระโดดไปกระโดดมาของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาไม่เข้าใจ อดไม่ได้ที่จะถามว่า “อย่าบอกนะว่าที่ยอมจำนนข้าเพราะเกี่ยวข้องกับโม่จวินหลัน?”
ฉินซีตอบว่า “ข้ากังวล คิดว่าที่เจ้าโน้มน้าวให้ข้ายอมจำนนเพราะเจ้าอยากได้รูปโฉมที่งดงามของข้า จากเรื่องของโม่จวินหลันทำให้ข้าดูออกแล้วว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร ข้าวางใจแล้ว”
ปาดเหงื่อ! เหมียวอี้ค่อนข้างเหม่องง นี่นับว่าเป็นเหตุผลอะไรกัน ผู้หญิงคนนี้หลงตัวเองเกินไปรึเปล่า? คิดว่าข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงสวยมาก่อนรึไง? ด้วยความสัมพันธ์ของเจ้ากับฉินเวยเวย ข้าจะกล้าทำเรื่องเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานแบบนั้นได้เหรอ? เขากล่าวอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ผู้อาวุโส ข้าไม่ขาดผู้หญิงหรอก ไม่ขาดผู้หญิงสวยด้วย ที่ขอให้ท่านยอมจำนนเป็นเพราะฉินเวยเวย ข้าไม่ใช่เฟิงเป่ยเฉินนะ ท่านก็พูดเกินไปแล้ว!”
“ข้าหน้าตาเป็นอย่างไรข้ารู้ดี ส่วนผู้ชายอย่างพวกเจ้าเป็นอย่างไร พวกเจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ ข้าไม่อยากเถียงเรื่องนี้กับเจ้า!” ฉินซีส่ายหน้า
ช่างเถอะ! เหมียวอี้ก็ขี้คร้านจะเถียงอีก หวังดีแต่กลายเป็นถูกเข้าใจผิด เขาโบกมือเรียกฉินเวยเวยออกมาแล้ว
พอฉินเวยเวยโผล่หน้ามาก็มองไปรอบๆ นางดึงแขนเหมียวอี้อย่างขวัญเสีย “ท่านสามี เป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“เรื่องเฟิงเป่ยเฉินผ่านไปแล้ว ที่เจ้ารอดตัวมาได้ครั้งนี้ก็เพราะโชคดีที่มีผู้อาวุโสฉิน อยู่เป็นเพื่อนผู้อาวุโสฉินแทนข้าหน่อย” เหมียวอี้เองก็นับว่าจงใจจะสร้างโอกาสให้แม่ลูกอยู่ด้วยกัน
ฉินซีมองฉินเวยเวยด้วยแววตาที่ต่างออกไป เป็นฝ่ายจูงมือฉินเวยเวยก่อน พาไปเดินดูนภาอู๋เลี่ยงที่อยู่ข้างๆ สาเหตุหลักเป็นเพราะอยากคุยกับฉินเวยเวย
จากนั้นเหมียวอี้ก็ถลันตัวไปเหยียบบนหลังคาตำหนักหลักของตำหนักอู๋เลี่ยง แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว : ช่วยเวยเวยออกมาได้แล้ว เฟิงเป่ยเฉินถูกข้าจับไว้แล้ว!
อวิ๋นจือชิวกำลังเร่งเหาะอยู่เหนือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เมื่อได้รับข้อความจากเหมียวอี้ ก็ตกใจจนหยุดลอยอยู่บนฟ้า เขย่าระฆังดาราถามอย่างร้อนใจว่า : เจ้าลงมือก่อนแล้วเหรอ?
เหมียวอี้ : ใช่!
อวิ๋นจือชิวเริ่มกังวลแล้ว : พวกสงเวยไปถึงหรือยัง? นภาอู๋เลี่ยงปล่อยข่าวรึเปล่า?
เหมียวอี้ : พวกสงเวยยังมาไม่ถึง คนของนภาอู๋เลี่ยงหนีไปไม่น้อย แถมเฟิงเป่ยเฉินก็ขอกำลังหนุนจากปู่เจ้าด้วย ข่าวนี้ปิดบังไม่ไหวแน่นอน
อวิ๋นจือชิว : ข้าให้เจ้ารอก่อนแล้วค่อยลงมือไม่ใช่เหรอ? เจ้าจะใจร้อนขนาดนี้ไปทำไมกัน? กำลังพลส่วนใหญ่ของสายมะโรงยังไม่ได้รับข่าวเรื่องเรียกระดมพลเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้เจ้าลงมือแล้วงั้นเหรอ ทำให้ทูตสายต่างๆ ของแดนอู๋เลี่ยงตกใจไปแล้ว ไม่สู้จัดการพวกเขาให้หมดทีเดียวเลยดีมั้ย? มียอดฝีมือนั่งรักษาการณ์ เดี๋ยวตอนที่กำลังพลสายมะโรงของข้าบุกโจมตี ฝ่ายเราจะต้องได้รับความเสียหายใหญ่หลวงแน่ มิหนำซ้ำ…
ยังพูดไม่ทันจบ เหมียวอี้ก็ถามตัดบทว่า : เจ้าน่าจะยังไปไม่ถึงนภาจอมมารสินะ?
อวิ๋นจือชิว : ยังไม่ถึง! ในเมื่อเฟิงเป่ยเฉินล้มเลิกิแผนที่จะฮุบสมบัติบนตัวเจ้าไว้เพียงลำพังแล้ว ก็คงจะบอกเรื่องนี้ให้ปราชญ์คนอื่นๆ รู้แล้วเหมือนกัน หนิวเอ้อร์ ข้าจะคอยดูว่าตอนนี้เจ้าจะยุติเรื่องราวยังไง!
เหมียวอี้ : เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการเอง จะให้คำตอบกับเจ้าเอง ส่วนทางนภาจอมมารเจ้าไม่ต้องไปแล้ว บอกหยางชิ่งว่าไม่ต้องระดมกำลังพลของสายมะโรงแล้ว ไม่ต้องใช้คนมากมาย ข้าคนเดียวก็ครอบครองอาณาเขตของแดนอู๋เลี่ยงได้อยู่ดี!
อวิ๋นจือชิวจนใจ : หนิวเอ้อร์ เจ้าจะอาศัยอะไรครอบครอง?
เหมียวอี้ : ก็อาศัยที่เฟิงเป่ยเฉินแพ้ให้กับข้าไง อาศัยที่ข้าหยั่งเชิงฝีมือของหกปราชญ์แล้ว ข้ามีแผนในใจแล้ว เรื่องที่พิภพเล็กจะถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว ครั้งนี้ข้าต้องแก้ไขให้เสร็จในรวดเดียว!
อวิ๋นจือชิวร้อนใจแล้วจริงๆ : หนิวเอ้อร์ เจ้าบ้าไปแล้วรึเปล่า? หกปราชญ์เป็นใครเจ้าไม่รู้เหรอ ลำพังแค่เจ้าสู้กับเฟิงเป่ยเฉินยังเปลืองแรงเลย ข้าแน่ใจได้เลยว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ข้าจะพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังเอาไว้ก่อนนะ นักพรตบงกชทองที่พิภพใหญ่ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ท่านปู่ข้า เคล็ดวิชาพิเศษของหกปราชญ์ไม่ใช่ของเด็กเล่น ท่านปู่ข้าไม่ออมมือเพราะเห็นแก่ข้าแน่!
เหมียวอี้ : ข้ามีวิธีการทำงานของข้า คุยกับเจ้าในระฆังดาราไม่เข้าใจหรอก ข้าจะรอปู่เจ้าและคนอื่นๆ อยู่ที่นภาอู๋เลี่ยง พอแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน!
อวิ๋นจือชิวเก็บระฆังดาราอย่างหมั่นไส้ ทำได้เพียงติดต่อหยางชิ่งเพื่อบอกให้วางมือ
หยางชิ่งยังคงอยู่ระหว่างทางที่ออกจากแดนโพ้นสวรรค์ ถึงขนาดยังไม่เข้าเขตสายมะโรงด้วยซ้ำ ระหว่างทางเมื่อได้รับข้อความปลอบใจจากอวิ๋นจือชิวว่าฉินเวยเวยปลอดภัยแล้ว เขาก็รู้สึกประสาทเสียนิดหน่อยเช่นกัน เมื่อเจอกับคนที่ไม่ลงไพ่ตามกติกาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเหมียวอี้ เขาก็อยากจะกระอักเลือดจริงๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วที่เขาอยากจะกระอักเลือด
ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ในภายหลังถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็ต้องถามแนวคิดของนายท่านก่อน ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากนายท่าน ไม่ว่าเจ้าจะวางแผนอะไรไว้ก็จะกลายเป็นเรื่องเหลวไหลเหมือนตดหมาได้ทั้งนั้น อีกฝ่ายไม่ทำตามแผนเลย เวลาเจอเรื่องเสี่ยงอันตรายก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน อย่างไรเสีย แต่ไหนแต่ไรมานายท่านเหมียวสะดวกแบบไหนก็ทำแบบนั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ลงมือทำก่อนแล้วค่อยพิจารณาปัญหาทีหลัง อย่างมากถ้าเสียเปรียบก็ค่อยหวนกลับมาเอาคืนใหม่ ตอนแรกที่อยู่ทะเลทรายม่านเมฆาก็ทำแบบนี้ แทบจะโดนคนเล่นงานจนตายแล้ว
เหมียวอี้จะตายก็ตายไปเถอะ แต่ประเด็นสำคัญคือตอนนี้อีกฝ่ายเป็นสามีของลูกสาวตน ถ้าเขาตายลูกสาวสุดที่รักของตนก็จะกลายเป็นม่าย นี่คือเรื่องที่ทำให้หยางชิ่งประสาทเสีย ทุกครั้งที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เหมียวอี้เข้ามาแทรก ก็ทำเอาเขาคิดอะไรวุ่นวายไร้ระเบียบ รับไม่ไหวแล้ว…
ณ ตำหนักอู๋เลี่ยง ในห้องหนังสือของเฟิงเป่ยเฉิน
สำหรับเฟิงเป่ยเฉินในตอนนี้ที่สภาพจนตรอก เครื่องเรือนของที่นี่เป็นสิ่งที่คุ้นเคยมาก แต่เขาก็รู้ดี ว่าตอนนี้มันไม่ใช่ของตัวเองอีกต่อไปแล้ว
ลักษณะสูงส่งดูแพงโดนตีกระหน่ำตกเมฆแล้ว ไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดาทั่วไป ถึงขั้นเทียบคนทั่วไปไม่ติดด้วยซ้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ทั้งตัวเปื้อนฝุ่นดิน ทั้งหน้าเต็มไปด้วยรอยเลือด ไหล่ข้างหนึ่งก็ยิ่งหักครึ่ง ถูกเลือดฉาบจนเกือบมิดแล้ว ใครจะยังจำได้ว่าเขาคือปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน
ขณะกำลังตัวสั่นงันงก เฟิงเป่ยเฉินถูกเหมียวอี้กดให้นั่งลงบนที่นั่งเดิมของตัวเอง ย่อมต้องบังคับให้เขียนมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงอยู่แล้ว ในของใช้ของเฟิงเป่ยเฉินหาไม่พบมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ต้นฉบับจะต้องถูกตาแก่นี่ทำลายทิ้งเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดแน่ ของอยู่ในหัวสมองของตาแก่นี่เท่านั้น เฟิงเป่ยเฉินเองก็ยอมรับแล้วเช่นกัน
เหมียวอี้ไม่ได้คลายผนึกวรยุทธ์เพื่อให้เขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์เขียนบนแผ่นหยก แต่ฝนหมึกโยนให้เขาเขียนเองตามสะดวก “มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง เขียนสิ!”
“ถ้าข้าเขียนแล้วเจ้าจะปล่อยข้าไปเหรอ?” เฟิงเป่ยเฉินถามด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก
“ตราบใดที่เจ้ากลับตัวอย่างจริงใจ ข้าก็ไม่ถือสาที่จะให้เจ้าเป็นผู้ช่วยเอาไว้ต้านทานคนอื่นๆ จะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า เหมียวไม่จำเป็นต้องอธิบายเยอะ” เหมียวอี้พูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินออกไป แต่พอเดินไปถึงประตูแล้วก็หยุดฝีเท้า หันกลับมาถามว่า “มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงแบ่งเป็นสามภาค มีภาคฟ้า ภาคดิน ภาคคน ในมือเจ้ามีแค่ภาคคน ข้าพูดไม่ผิดใช่มั้ย?”
เฟิงเป่ยเฉินตกตะลึงพรึงเพริด เบิกตากว้างมองเขา ไม่รู้ว่าเขาไปได้ข่าวนี้มาจากไหน ความลับนี้มีเพียงหกปราชญ์เท่านั้นที่รู้ชัด พวกเขาไม่มีทางเปิดเผยต่อคนนอกเด็ดขาด นี่ก็เป็นสาเหตุที่พวกเขาพยายามหาทางจะขึ้นเรือมังกรอเวจีครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่อย่างนั้นถ้าข่าวหลุดออกไป ก็เกรงว่าจะดึงดูดให้คนอื่นๆ คิดหาทางขึ้นเรือมังกรอเวจีเหมือนกัน ทำให้การปกครองพิภพเล็กของพวกเขาสั่นคลอน ดังนั้นต่อให้เป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุด พวกเขาก็ไม่มีทางบอกเหมือนกัน
ในขณะที่ตกใจ เฟิงเป่ยเฉินก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้มาจากไหน?”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ฉบับสมบูรณ์ของมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง ถึงแม้ข้าจะจำไม่ได้ แต่กลับเคยเห็นจากมือของเทพพยากรณ์ ข้าขอจากเทพพยากรณ์แต่เขาไม่ยอมให้ แต่ถ้านำฉบับที่เจ้าเขียนให้ไปขอให้เขาช่วยเทียบสักหน่อยก็ไม่มีปัญหา ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าคิดไม่ซื่อ ถ้าเขียนผิดไปสักตัวอักษรเดียว ก็อย่าโทษว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าแล้วกัน และข้าก็ไม่ให้โอกาสครั้งที่สองกับเจ้าด้วย เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน”
ไม่ได้ใช้วิธีการสุดโต่งอะไรมาบีบบังคับ พูดจบก็เดินก้าวยาวออกไป
ผ่านไปครู่เดียว หลิงเทียนก็เดินเข้ามาอีก มายืนกอดอกเฝ้าเขาในห้องหนังสือ
เฟิงเป่ยเฉินยังคงจมอยู่ในคำพูดเหมียวอี้ ไม่น่าเชื่อว่าในมือเทพพยากรณ์จะมีฉบับสมบูรณ์ของมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงด้วย? ตกลงว่าเป็นไปได้หรือเปล่า? คิดไปคิดมาก็พบว่าบนตัวเหมียวอี้มีของที่มาจากเรือมังกรอเวจี ก่อนหน้านี้ก็ถามได้ความจากปากฉินเวยเวยว่าของมาจากเทพพยากรณ์จริงๆ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเทพพยากรณ์อาจจะเคยขึ้นเรือมังกรอเวจีจริงๆ หรือแปลว่าอาจจะได้ฉบับสมบูรณ์ของมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงมาแล้วจริงๆ
และสิ่งที่เขากังวลที่สุดในตอนนี้ก็คือ หลังจากเหมียวอี้ได้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงจากมือตนไปแล้ว จะฆ่าคนทิ้งหรือเปล่า ตอนนี้การรักษาชีวิตต่างหากที่สำคัญที่สุด
เมื่อลองคิดดูให้ละเอียด ก็พบว่าศักยภาพของตนมีคุณค่ามหาศาลสำหรับให้เหมียวอี้ใช้ประโยชน์จริงๆ ถ้าอยากจะจะต้านทานอีกห้าปราชญ์ ตนก็ยังสามารถแสดงประโยชน์ได้ ถ้าเปลี่ยนให้ตนเป็นเหมียวอี้ ก็จะต้องใช้ตนเป็นไพ่ลับแน่นอน อาศัยทรัพยากรฝึกตนมหาศาล รอให้พลังของเขาเหนือกว่าที่ตนจะควบคุมเขาได้ เขาจะต้องเอาตนมาใช้ประโยชน์แน่นอน ก่อนเขาจะได้ครอบครองใต้หล้า การฆ่าตนก็มีความเป็นไปได้ไม่ค่อยสูง
อันที่จริง ก่อนหน้านี้เขาไม่ใช่แค่อยากได้ของบนตัวเหมียวอี้เท่านั้น อยากจะจับเป็นเหมียวอี้มาควบคุมแล้วใช้เป็นไพ่ใบสุดท้ายเช่นกัน เมื่อลองคิดในมุมของอีกฝ่าย ก็รู้สึกว่าตัวเองยังมีโอกาสรอดชีวิต
ขอเพียงผ่านด่านตรงหน้านี้ไปได้ รักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้ ตราบใดที่ภูเขายังเขียวขจี ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไร้ไม้ฟืน[1] ในภายหลังอาจจะมีโอกาสเงยหน้าอ้าปากก็ได้
หลังจากคิดได้แบบนี้แล้ว เฟิงเป่ยเฉินที่ไหล่หักหนึ่งข้างก็หยิบพู่กันขึ้นมา แล้วเริ่มปูกระดาษเขียนหนังสือ
ความคิดแบบนี้ของเขา อันที่จริงก็มีส่วนในการปลอบใจตัวเองอยู่บ้าง
คนบางคนก็รู้อยู่แล้ว ว่าไม่ว่าจะเลือกซ้ายหรือขวาตัวเองก็ตายอยู่ดี บางคนก็จะมีความคิดว่า ต่อให้ข้าตายแต่ก็จะไม่ให้เจ้าสมหวัง แต่คนบางคนกระดูกไม่ได้แข็งขนาดนั้น ต่อให้มีโอกาสรอดชีวิตแม้เพียงหนึ่งในหมื่น ก็จะลองพยายามดูสักหน่อยอยู่ดี ถ้าจะให้เอะอะก็ทุ่มสุดชีวิต พวกเขาทำเรื่องแบบนั้นไม่ลง
…………………………
[1] ตราบใดที่ภูเขายังเขียวขจี ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะไร้ไม้ฟืน 留得青山在 不愁没柴烧 หมายถึงตราบใดที่มีชีวิตก็ย่อมมีหวัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น