ลำนำบุปผาพิษ 1097-1108
บทที่ 1097 เจ้าจะบังคับนาง?
เย่หงเฟิงในคราวนี้ก็เป็นนางที่แฝงร่างปลอมตัวไป นางคือผู้สืบทอดของตระกูลเคล็ดคาถา เชี่ยวชาญการใช้อาคม ดังนั้นเมื่อติดตามอยู่ข้างกายหลงซือเย่ นางจึงใช้วิชานี้กับโอสถพิศวงของหลงฟั่นควบคุมหลงซือเย่ได้…
โม่เจ้าหัวเราะเบาๆ “อู๋เหยียน นี่เจ้าจะบีบบังคับข้าหรือ?”
ฝ่ายอู๋เหยียนชะงักไปเล็กน้อย “อู๋เหยียนได้ข่าวใหญ่ยิ่งมา สามารถทำให้ท่านเจ้าสมปรารถนาได้ แต่อู๋เหยียนอยากทราบข่าวคราวของหลงซือเย่ หวังว่าท่านเจ้าจะบอกกล่าวเจ้าค่ะ”
“อู๋เหยียน เจ้าช่างบังอาจนัก!” น้ำเสียงโม่เจ้าเย็นชาลง
“ท่านเจ้า ครานี้อู๋เหยียนแฝงตัวอยู่ในหมู่ศัตรู ไม่ว่าท่านเจ้าจะทำสำเร็จหรือไม่ อู๋เหยียนก็คงไม่อาจกลับไปเกิดใหม่ได้อีก อีกทั้งหลงซือเย่เป็นสิ่งยึดมั่นของอู๋เหยียน…”
“เขาสบายดี! ในเมื่อข้ารับปากเจ้าแล้ว ย่อมรักษาสัญญาไว้ชีวิตเขา”
“อู๋เหยียนอยากได้ยินเสียงของเขาสักเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“บังอาจ! นี่เจ้าไม่ไว้วางใจข้าหรือ!?”
“มิกล้า นี่คือความปรารถนาสุดท้ายของอู๋เหยียน” อูอู๋เหยียนไม่ยอมลดละ
โม่เจ้านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ช่างเถิด เห็นแก่ที่เจ้าซื่อสัตย์จงรักภักดีทำงานให้ข้า ข้าจะให้เจ้าฟังเสียงเขาสักหน่อยก็แล้วกัน” ร่างเขาวูบไหว หายตัววับไปจากห้อง และพลันปรากฏกายอีกครั้งที่ห้องคุมขัง หลงซือเย่ภายในห้องคุมขังนั่งซึมเซื่องอยู่ตรงนั้น บนตัวมีกุญแจขังวิญญาณอันหนักอึ้ง ต่อให้มีพลังวิญญาณล้ำลึกกว่านี้ก็ไม่สามารถออกมาได้
เขาเงยหน้าเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ดวงตาคมกริบมองโม่เจ้าแวบหนึ่ง ก่อนก้มหน้าดังเดิม
“เจ้าสำนักหลง คงทราบว่าข้าเป็นใคร?”
หลงซือเย่หลุบตาลงคล้ายภิกษุชราเข้าฌาน ไม่สนใจเขาสักนิด
โม่เจ้ายิ้มพลางกางพัดจีบ โบกไปมาอย่างเอ้อระเหย “เจ้าสำนักหลงคงไม่มีทางจำข้าไม่ได้จริงๆ หรอกกระมัง ท่านยังเคยไปตรวจรักษาให้ข้าเลย”
รอยยิ้มดุจบุปผาบานยามวสันต์ของเขา ใครเห็นเป็นต้องใหลหลง แต่หลงซือเย่ทำเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงไม่สนใจ
โม่เจ้าทอดถอนใจ ในที่สุดก็ต้องงัดไม้ตายออกมา “อีกไม่กี่วันข้าจะได้ร่วมหอลงโรงกับซีจิ่วแล้ว เจ้าไม่ยินดีกับข้าหน่อยหรือ?”
หลงซือเย่ลืมตาขึ้นฉับพลัน แววตาเสมือนอัสนี “เจ้าจะบังคับนาง?!” เนื่องจากทนทุกข์ทรมานมาหลายวัน เสียงของเขาจึงแหบแห้ง แต่ยังคงไพเราะน่าฟัง
รอยยิ้มของโม่เจ้าอ่อนโยนยิ่งขึ้น “ได้อย่างไรกัน? เรื่องนี้ข้าไม่มีทางบังคับขืนใจใคร เช่นนั้นน่าเบื่อจะตาย? ข้าจะทำให้นางยินยอมแต่งกับข้าเอง”
“ฝันไปเถิด!” หลงซือเย่หลับตาลงอีกครั้ง ด้วยความเข้าใจที่เขามีต่อกู้ซีจิ่ว เธอสูญเสียความทรงจำในชาตินี้ไปแล้วและไม่อาจพึงใจใครอีกง่ายๆ เรื่องจะชอบพอคนที่อยู่ตรงหน้านี้ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ยามนี้อยากให้เธอยินยอมแต่งงานด้วยยิ่งเป็นเรื่องเพ้อฝันของคนสติฟั่นเฟือน
น้ำเสียงของโม่เจ้านุ่มนวล “ฝันไปงั้นรึ? ยังไม่เคยมีสิ่งใดที่ข้าปรารถนาแล้วไม่ได้มา อย่างช้าครึ่งเดือน ข้าต้องได้ล่มหัวจมท้ายกับนาง เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้เจ้า เมื่อถึงเวลาข้าจะเชิญเจ้ามาดื่มเหล้ามงคลสักแก้ว”
“เจ้าจะใช้ยากับนาง?!”
โม่เจ้าเงยหน้าพลางยิ้ม “เรื่องนั้น…วิธีของข้าไม่เพียงแต่ใช้ยาอย่างเดียว”
หลงซือเย่กระชับกำปั้นแน่น “หากเจ้ารักนางด้วยใจจริง ก็หาหนทางทำให้นางรักเจ้า ไม่ใช่ใช้วิธีเลวทรามต่ำช้าเช่นนี้ เจ้าเป็นถึงท่านเจ้าผู้ทรงเกียรติ เหตุใดจึงป่าเถื่อนเช่นนี้ได้?”
โม่เจ้าหรี่ตามองเขา “หลงซือเย่ ดูเหมือนในใจเจ้าจะมีแต่กู้ซีจิ่ว เจ้าไม่สนใจเย่หงเฟิงแล้วหรือ?”
หลงซือเย่ชะงักงัน ก่อนยิ้มเยาะ “สนใจ? ข้าไม่เคยสนใจนาง! นางทำให้ข้าทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้สังหารนางด้วยตัวเอง…”
โม่เจ้าถอนใจ “นางใช้วิชากับตัวยาเพื่อควบคุมเจ้าก็จริง แต่ยานั้นเพียงขยายจิตมารของเจ้าอย่างไร้ขีดจำกัดเท่านั้น เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้าไม่มีความคิดจะสังหารกู้ซีจิ่ว แล้วให้นางฟื้นคืนชีพอีกครั้งในร่างที่เจ้าสร้างขึ้น?”
————————————————-
บทที่ 1098 เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?
หลงซือเย่หน้าซีดเผือด ไม่พูดอะไร บางทีเขาอาจเคยมีความคิดเช่นนี้ในก้นบึ้งหัวใจของตนก็เป็นได้?
โม่เจ้าถอนใจเบาๆ “แม้ว่าอูอู๋เหยียนจะมุ่งร้ายต่อเจ้า แต่เป็นสามีภรรยากันวันเดียว ความสัมพันธ์ลึกซึ้งไปแสนนาน จะดีร้ายอย่างไรเจ้ากับนางก็เคยมีสัมพันธ์กัน อีกทั้งนางรักเจ้าด้วยความจริงใจ…”
หลงซือเย่ตัดบทเขา “ความรักของนางทำให้ข้าขยะแขยงนัก! หากวันนี้เจ้ามาเพื่อพูดเรื่องนี้โดยเฉพาะ ก็รีบออกไปซะ!”
โม่เจ้ายืนกอดอก มุมปากโค้งยิ้มเกินหยั่ง สายสัมพันธ์ของเขากับอู๋เหยียนใช้วิชามันตราชนิดหนึ่ง วิชานี้อยู่ในวิญญาณ หากต้องการติดต่อกันก็เพียงแค่ร่ายคาถา แน่นอน สำหรับอูอู๋เหยียนแล้ว วิชานี้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณยิ่งนัก หากไม่มีเรื่องด่วน นางจะไม่ติดต่อโม่เจ้า ต่อให้ติดต่อมาก็คงพูดรวบรัดคำสองคำ ทุกครั้งไม่เกินหนึ่งนาที
เมื่อใช้เคล็ดวิชานี้ หากทั้งสองฝ่ายต้องการ จะทำให้อีกฝั่งได้ยินการเคลื่อนไหวรอบตัวได้
อูอู๋เหยียนจึงได้ยินบทสนาของโม่เจ้ากับหลงซือเย่ชัดเจนแจ่มแจ้ง
“อู๋เหยียน คราวนี้เจ้าได้ยินเสียงเขาแล้วใช่ไหม? รู้สึกอย่างไรบ้าง?” สุ้มเสียงของโม่เจ้าฟังดูยินดีในทุกข์ของผู้อื่น
อีกฝั่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เป็นไปตามคาด อู๋เหยียนไม่มีอะไรจะพูดอีก! หวังเพียงท่านเจ้าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับอู๋เหยียน จะละเว้นชีวิตเขาไปตลอด ให้เขาได้มีชีวิตต่อไป”
เสียงของโม่เจ้าเย็นชา “ลุ่มหลงงมงาย! วางใจเถอะ เรื่องที่ข้ารับปากเจ้าไม่มีทางคืนคำ! ตอนนี้เจ้าแจ้งข่าวใหญ่ที่เจ้าบอกได้แล้วกระมัง?!”
“เหยียนนั่วคือตี้ฝูอี” อูอู๋เหยียนเผยข่าวใหญ่น่าตะลึงออกมาอย่างราบเรียบ
โม่เจ้ากล่าว “…เจ้าพูดอีกรอบ!”
“เหยียนนั่วคือตี้ฝูอี ข้าน้อยเห็นมากับตา ได้ยินมากับหู เขาไม่ได้ระแวดระวังข้าน้อย บอกฐานะของเขาออกมาตรงๆ แจ้งว่าเขาธาตุไฟเข้าแทรกจึงกลายเป็นเด็ก แต่ไม่อยากผิดนัดกับกู้ซีจิ่วอีก จึงปลอมตัวเป็นอิงเหยียนนั่วมาอยู่ข้างกายนาง เพียงแต่ไม่อยากให้นางรู้เท่านั้น คราวนี้หากไม่ใช่เพราะข้าน้อยคอยเร่งให้เขาไปหาตี้ฝูอี เขาคงยังไม่ยอมบอกความจริงเป็นแน่ นอกจากนี้เขายังคืนร่างเดิมให้ข้าน้อยได้ยลโฉมด้วยเจ้าค่ะ”
โม่เจ้านิ่งอึ้ง
เขาใช้เวลาครึ่งนาทีเต็มวิเคราะห์ข่าวนี้ จิตใจพลันหมองเศร้า
เคยมีศัตรูที่เขาปรารถนาจะปลิดชีวิตมาโดยตลอดผู้หนึ่งสูญเสียวรยุทธ์แล้วปลอมตัวเป็นเด็กน้อยวนเวียนไปมาต่อหน้า แต่เขากลับมีตาหามีแววไม่ เพิกเฉยต่อเด็กคนนั้นไปเสีย
หากเขาลงมือเสียตั้งแต่ตอนนั้น ตี้ฝูอีได้แตกดับคามือของเขาแน่!
โอกาสที่สุดแสนวิเศษขนาดนั้น เขากลับปล่อยหลุดลอยไปได้! มันช่างเหลือทนนัก…
โม่เจ้ากดเลือดที่จะกระอักไว้ในลำคอ เขาชะงักงันครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเรื่องน่ารำคาญแบบนี้ไม่อาจกวนใจเขาคนเดียวได้ เขาจึงมองไปทางหลงซือเย่ “หลงซือเย่ เจ้าเกลียดชังตี้ฝูอีหรือไม่?”
หลงซือเย่แน่นิ่ง หลุบตาไม่ตอบ
เกลียดหรือไม่? ก็ต้องเกลียดเป็นแน่ หากไม่ใช่ตี้ฝูอี หญิงอันเป็นที่รักคงไม่เปลี่ยนท่าทีไป
หากไม่ใช่เพราะตี้ฝูอี กู้ซีจิ่วอาจอยู่ครองคู่ชู้ชื่นกับเขาแล้ว…
หลงซือเย่เอ่ยเบาๆ “เกลียดแล้วอย่างไร? ต่อให้ข้าเกลียดเขาก็ไม่มีทางร่วมมือกับเจ้า! เส้นทางแตกต่าง ไม่อาจร่วมทางกัน!”
โม่เจ้ายิ้มบางๆ “หากเจ้ามีโอกาสจัดการเขาได้อย่างง่ายดาย เจ้าจะลงมือหรือไม่?”
หลงซือเย่กล่าวตอบ “…เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่?”
โม่เจ้าถอนใจ “เจ้าเคยมีโอกาสอยู่ตรงหน้า ลงมือส่งเดชก็ปลิดชีพเขาได้ น่าเสียดายก็แต่เจ้ามีตาไม่มีแววปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป”
——————————————————–
บทที่ 1099 ไม่คิดจะปล่อยให้หลุดมือเป็นครั้งที่สองอีก!
หลงซือเย่เงียบไปทันที มองเขาเสมือนมองคนไข้โรคประสาท
ในที่สุดโม้เจ้าก็โยนระเบิดลูกนั้นออกมา “เหยียนนั่วผู้นั้นก็คือตี้ฝูอี เขาถูกธาตุไฟเข้าแทรกถึงได้กลายเป็นเด็กน้อยเช่นนี้”
หลงซือเย่ตกตะลึง
โม่เจ้าพอใจที่ได้เห็นสีหน้าหลงซือเย่ซีดเผือดในชั่วพริบตา รู้สึกว่าความอึดอัดคับข้องในใจตนในที่สุดก็แงปันให้ผู้อื่นได้บ้างแล้ว หยักยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง “ข้าก็เพิ่งรู้ข่าวนี้เมื่อครู่นี้เหมือนกัน เพียงแต่ยังไม่นับว่าสายเกินไป ตอนนี้ข้าส่งคนไปตามหาสถานที่แห่งนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาจะหิ้วศีรษะของตี้ฝูอีมาให้เจ้าได้ยล” พลางหันหลังจากไป
เขาต้องรีบฉวยโอกาสก่อนที่ตี้ฝูอีจะฟื้นฟูเป็นปกติส่งคนมีฝีมือไปลอบโจมตี!
โอกาสเช่นนี้เขาเคยปล่อยให้หลุดมือไปแล้วครั้งหนึ่ง จึงไม่คิดจะปล่อยให้หลุดมือเป็นครั้งที่สองอีก!
เขาหันหลังจากไปแล้ว ไม่รู้สึกถึงเงาร่างของคนผู้หนึ่งเพิ่งผลุบหายไปตรงประตูคุกแห่งนี้
หลงซือเย่นั่งอยู่ตรงนั้น ตะลึงงันอยู่พักหนึ่ง เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
มิน่าล่ะท่าทีของกู้ซีจิ่วถึงค่อนข้างสนิทชิดเชื้อกับเหยีนนั่วคนนั้นที่แท้เหยียนนั่วก็คือตี้ฝูอี!
มิน่าล่ะ!
กู้ซีจิ่วก็ปิดปากสนิทจริง ปิดบังเขาได้มิดชิดถึงเพียงนี้
เพียงแต่ ถ้าหากเธอไม่ปิดบังเขา ถ้าตนทราบว่าเหยียนนั่วก็คือตี้ฝูอีแล้วจะทำอย่างไร? จะฉวยโอกาสยามรักษาสังหารเขาหรือไม่?
สำหรับข้อนี้หลงซือเย่ก็ไม่กล้ารับประกันกับตัวเองเหมือนกัน
ตอนนั้นบนร่างเขามีฤทธิ์ยาที่ขยายด้านมืดในจิตใจอยู่ ซ้ำยังถูก ‘เย่หงเฟิง’ ควบคุมโดยไม่รู้ตัวด้วย ถึงแม้การควบคุมนี้จะทำให้เขากลายเป็นคนเช่นนี้และไม่รู้สึกตัว แต่ก็ยากจะรับประกันได้ว่าเมื่อทราบความจริงแล้วจะไม่บอกแก่เย่หงเฟิง และเมื่อเย่หงเฟิงทราบ ท่านเจ้าผู้นี้ก็จะทราบด้วยเช่นกัน
ต้องบอกเลยว่าเย่หงเฟิงผู้นี้เป็นคนมีความสามารถคนหนึ่งโดยแท้ ยามปกตินางแค่ใช้ยาประหลาดปริมาณน้อยนิดกับเขา เร่งเร้าจิตมารของเขา ทำให้เขานึกว่าตนโกรธเคืองทุกข์ทนเพราะถูกหักหลัง ไม่คิดเลยว่าเขาจะโดนพิษชนิดหนึ่งที่ไม่สามารถตรวจสอบพบได้เข้าแล้ว มีเพียงยามที่ต้องการให้เขากระทำการอันใดเท่านั้น ถึงจะใช้วิชามันตราควบคุมเขาบ้างเป็นบางครั้ง แถมนางยังใช้ได้ล้ำเลิศนัก ทำให้เขาไม่สังเกตพบในภายหลัง
การลอบทำร้ายกู้ซีจิ่วหนนี้ ถึงแม้ตอนนั้นเขาจะถูกควบคุมแล้ว แต่เรื่องราวในตอท้ายกลับประทับอยู่ในความทรงจำอย่างล้ำลึก เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง เมื่อสำนึกได้ก็สายไปแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าพอโม่ผู้นี้บรรลุเป้าหมายของตนแล้วจะไม่ได้ฆ่าเขาปิดปาก กลับนำมาคุมขังไว้ที่นี่ ไม่ทราบเช่นกันว่ามีจุดประสงค์ใดกันแน่
เขาขยับคราหนึ่ง ตรวนเหล็กบนร่างส่งเสียงดังกราว
ถึงแม้เขาจะถูกปล่อยลงมาจากผนังแล้ว แต่โซ่สะกดวิญญาณบนร่างเส้นนี้กลับมัดเขาไว้อย่างหนาแน่น เขานั่งอยู่บนพื้นลุกขึ้นไม่ได้เลย มือเท้าก็ไม่อาจขยับเขยื้อนได้เช่นกัน ถูกล่ามไว้เสมือนบ๊ะจ่างลูกหนึ่ง ต่อให้คิดจะทำอะไรก็ทำไม่ได้ชั่วขณะหนึ่ง
เนื่องจากเขาถูกล่ามไว้บนพื้นไม่มีทางเคลื่อนไหวได้ ดังนั้นประตูห้องขังแห่งนี้จึงไม่ได้ปิดไว้ เปิดอ้าไว้ครึ่งหนึ่งตลอด เห็นได้ชัดว่าโม่เจ้าต้องการให้เขาได้รับความอัปยศอดสูอย่างสุดซึ้ง ทำให้คนที่ผ่านไปผ่านมามองเห็นสภาพจนตรอกของเขา…
ขณะที่เขานั่งก้มหน้าอยู่ จู่ๆ แสงสว่างเบื้องหน้าก็มืดสลัวลง ในห้องมีคนผู้หนึ่งเพิ่มขึ้นมา
หลงซือเย่เงยหน้าขึ้น หัวใจเต้นแรงจนแทบกระเด้งออกมา
ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขาก็คือกู้ซีจิ่ว!
เธอเอียงคอมองเขาครู่หนึ่ง สภาพของหลงซือเย่ในยามนี้ย่อมจนตรอกเหลือคณา เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นเขาไม่แย่แสสภาพจนตรอกนี้เลย เมื่ออยู่ต่อเธอกลับแยแส…
เขาลอบสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ทำให้น้ำเสียงของตนสงบราบเรียบ “เธอมาฆ่าฉันเหรอ?”
กู้ซีจิ่วไม่สนใจเขา สายตาร่อนลงบนโซ่สะกดวิญญาณตรงข้อมือข้อเท้าของเขา โซ่สะกดวิญญาณเป็นของชั้นเลิศอย่างหนึ่ง รุนแรงยิ่งกว่ากุญแจมือเสียอีก ไม่เพียงแต่ยิ่งดิ้นยิ่งรัดแน่นเท่านั้น บนห่วงด้านที่แนบติดกับเนื้อยังมีเข็มแหลมยื่นออกมาด้วย
————————————————–
บทที่ 1100 เธออยากหนีออกไปหรือเปล่า?
ส่วนที่ยื่นออกมาเหล่านี้ทิ่มเข้าไปในเนื้อหนัง ยึดไว้ตรงจุดชีพจรพลังวิญญาณ ต่อให้เป็นคนที่มีฝีมือยิ่งใหญ่เทียมฟ้าก็ใช้พังไม่ได้เลย
เธอตวัดข้อมือคราหนึ่ง ฝ่ามือมีแหนบอันหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ทรุดตัวลงนั่งยองๆ เริ่มบิดหมุนโซ่สะกดวิญญาณบนร่างเขา
บนร่างเธอมีกลิ่นหอมพิสุทธิ์อย่างหนึ่ง บริสุทธิ์อ่อนจางยิ่งนัก ทำให้คนสดชื่นผ่อนคลาย หลงซือเย่มองเธอที่อยู่เบื้องหน้า เธอในตอนนี้เหมือนในชาติก่อนที่สุด และสามารถกล่าวได้ว่าเป็นตัวเธอในชาติก่อนไม่มีผิด บัดนี้แพขนตาหลุบต่ำ เป็นความงดงามที่อ่อนละมุนเรียบง่ายชนิดหนึ่ง
ในใจความมีความรู้สึกที่ไม่ทราบว่าคืออะไรอยู่ เอ่ยเสียงพร่า “ซีจิ่ว เธอจะช่วยฉันเหรอ? เธอไม่เกลียดฉันเหรอ?” เขานึกว่าเธอปรารถนาให้เขาตายยิ่งนักเสียอีก
“เกลียดคุณทำไม?” น้ำเสียงกู้ซีจิ่วเรียบเฉย “คุณเป็นแค่ร่างโคลนที่ล้มเหลวร่างหนึ่งท่านั้น”
หลงซือเย่ตัวแข็งทื่อ ที่แท้เธอก็ยังจำเขาไม่ได้ เพียงแต่เห็นว่าเขาน่าเวทนา ยื่นมือเข้าช่วยเหลือเขาสักครั้งด้วยความเวทนาเท่านั้น…
“ซีจิ่ว ฉันคือหลงซีจริงๆ มาเกิดใหม่เป็นหลงซือเย่ เธอฆ่าฉันเลยก็ได้…” ไม่ทราบว่าเป็นเพราะจิตใจอันใด ทราบชัดเจนว่าเป็นเรื่องโง่ๆ แต่หลงซือเย่ก็ต้องการพูดความจริง
กู้ซีจิ่วช้อนตามองเขาแวบหนึ่ง หัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก แก้โซ่สะกดวิญญาณเส้นนั้นต่อไป
เธอเชี่ยวชาญด้านการแก้กลไก กลไกจะซับซ้อนสักแค่ไหนก็ไม่คณามือเธอ เธอขยับโซ่สะกดวิญญาณเส้นนั้นอยู่ครู่หนึ่งจับจุดหลักในการแก้ออกได้แล้ว เพียงแต่อุปกรณ์ไม่อำนวยจึงเปิดไม่ออกชั่วขณะ
วิญญาณเธอเข้ามาอยู่ในร่างนี้ ในถุงเก็บของจึงว่างเปล่าด้วย แม้แต่ฟางแห้งสักเส้นก็หาไม่พบ แหนบนี้เป็นเธอไปฉกมาจากห้องนั้นของหลงฟั่น…
หลงซือเย่สูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ในมิติเก็บของฉันมีอุปกรณ์อยู่ เธอหยิบออกมาใช้สิ
กู้ซีจิ่วก็ตรงไปตรงมายิ่งนัก “ได้ คุณเปิดสิ”
“ฉันเปิดเองไม่ได้…เธอตรงตำแห่งหัวใจฉัน”
กู้ซีจิ่วก็ไม่โอ้เอ้ กดตรงตำแหน่งที่เขาบอกทันที ช่องมิติเล็กๆ ช่องหนึ่ง โผล่ออกมา ด้านในบรรจุยาและอุปกรณ์ต่างๆไว้
กู้ซีจิ่วเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ตอนโม่เจ้าขังคุณไม่ได้ค้นร่างกายคุณเหรอ…”
“ค้นแล้ว ฉันมีมิติเก็บของสองช่อง ช่องเล็กนี่ไม่มีใครรู้” หลงซือเย่อธิบายเสียงเบา คุณสมบัติร่างกายเขามีความพิเศษ ฝึกฝนมิติเก็บของออกมาได้สองช่อง ช่องหนึ่งเห็นได้ทั่วไป ช่องหนึ่งเป็นความลับส่วนตัว
มิติเก็บของที่พบเห็นได้ทั่วนั้นถูกตรวจริบข้าวของจนไม่เหลือสิ่งใดไว้เลย แต่มิติเก็บของส่วนตัวช่องนี้คนอื่นไม่มีทางคาดไม่ถึงจึงหาไม่พบเป็นธรรมดา ข้าวของที่เก็บไว้ในนี้ล้วนเป็นของสำคัญทั้งสิ้น เป็นสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตเขาด้เมื่อตกอยู่ในยามคับขัน
กู้ซีจิ่วมองภายในช่องมิติของเขาครู่หนึ่ง มีอุปกรณ์แปลงโฉมอยู่ข้างในด้วย…
มีอุปกรณ์ที่เอื้ออำนวยแล้วการไขโซ่สะกดวิญญาณเส้นนี้จึงง่ายดายมากขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งห่วงเหล็กสี่เส้นที่ทำให้หลงซือเย่ตายทั้งเป็นก้ดีดตัวออกมา เขาได้รับอิสระอีกครั้งแล้ว
แน่นอนว่าขณะที่ดีดตัวออก เข็มแหลมที่ยื่นออกมาจากห่วงเหล็กทิ่มแทงเข้าไปในกระกระดูกเขาก็ผุดออกมาด้วย เลือดสดๆ ทะลักออกมาอีกครั้ง
กู้ซีจิ่วไม่สนใจเขาอีกต่อไป หมุนกกายหมายจะจากไป
หลงซือเย่เอ่ยประโยคหนึ่งที่ตรึงฝีเท้าของเธอไว้ได้ “ซีจิ่ว เธออยากหนีออกไปหรือเปล่า?”
“แน่นอนว่าอยาก” กู้ซีจิ่วก้ไม่ปกปิดจุดประสงค์ของตน “ผีน่ะสิถึงจะเต็มใจถูกขังไว้ในสถานที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแบบนี้!”
“ฉันอาจจะมีวิธี” หลงซือเย่เอ่ยเสียงแผ่ว มองตาเธอ “อยากฟังไหม?”
เขานึกว่ากู้ซีจิ่วจะซักถามอย่างอยากรู้อยากเห็นเสียอีก นึกไม่ถึงว่าเธอจะไม่สนใจเลย “ไม่สนใจ”
“เธอไม่เชื่อฉันเหรอ?” หลงซือเย่อดถามไม่ได้
แววตากู้ซีจิ่วเยียบเย็นเล็กน้อย ตอบอย่างเฉยชา “ไม่เชื่อ!”
————————————————————-
บทที่ 1101 เธอจึงลงเดิมพันกับตานี้!
หัวใจหลงซือเย่บีบรัดคราหนึ่ง ไม่ว่าเธอจะสูญเสียความทรงจำหรือไม่ ก็ไม่เชื่อใจเขาอีกต่อไปแล้ว และเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำให้เธอเชื่อใจเขาได้อีกแล้วจริงๆ…
หลงซือเย่พันแผลบนข้อมือข้อเท้าของตนไปพลาง เอ่ยไปพลาง “ไม่เชื่อฉันก็ไม่เป็นไร อันที่จริงฉันก็อยากหนีออกไปเหมือนกัน ไม่สู้พวกเรามารวมมือกันดีกว่า”
กู้ซีจิ่วไม่ได้ตอบรับหรือบอกปัด เพียงเลิกคิ้วมองเขา
เธอไม่เชื่อใจเขาจริงๆ แต่หลังจากเธอได้ยินบทสนทนาของหลงซือเย่กับโม่เจ้าเมื่อครู่นี้ ในใจก็ระจางขึ้นมารางๆ แล้วว่าหลงซือเย่ถูกควบคุมถึงได้ทำแบบนี้
แน่นอนว่านี่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานที่เขาทั้งสองไม่ได้เล่นละครให้เธอดู
ความเป็นไปที่จะเป็นการเล่นละครมีไม่มาก ต่อให้สิ่งที่พวกเขาพูดมาทั้งหมดจะเป็นการแสดง แต่กลับมีประโยคหนึ่งในนั้นที่เป็นความจริง โม่เจ้ารู้แล้วว่าเหยียนนั่วก็คือตี้ฝูอี!
ส่วนตี้ฝูอีก็ยังไม่ฟื้นฟูสู่สภาพเดิมอย่างสมบูรณ์ ซ้ำยังมีไส้ศึกคนหนึ่งของศัตรูอยู่ข้างกายด้วย…
ข้อนี้ทำให้กู้ซีจิ่วร้อนใจดั่งไฟผลาญ เดิมทีเธอคิดว่าหลังจากทำความเข้าใจที่นี่อย่างสมบูรณ์แล้ว ค่อยหาทางหนีออกไป แต่ยามนี้กลับไม่อาจสุขุมเยือกเย็นได้แล้ว เธอจะต้องออกไปทันที!
ก่อนหน้านี้เธอเห็นโม่เจ้าระดมพลยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งนั่งเรือพิสดารลำนั้นออกไปแล้ว
ครั้งนี้โม่เจ้าคงคิดจะสังหารตี้ฝูอีให้ได้ในคราวเดียว ดังนั้นผู้คนที่พาไปจึงไม่น้อยเลย ยอดฝีมือของที่นี่ลดลงไปถึงสองในสามส่วน เหลือยอดฝีมือไว้เพียงหนึ่งสามและหลงฟั่นที่ประจำการอยู่ที่นี่
นี่เป็นโอกาสหลบหนีเพียงหนึ่งเดียวของเธอ
แต่ลำพังตัวเธอถึงอย่างไรก็หัวเดียวกะเทียมลีบ อาศัยกำลังของเธอคนเดียวไม่อาจหนีออกไปได้ ดังนั้นเธอจึงนึกถึงหลงซือเย่…
หลงซือเย่ไว้ใจไม่ได้ แต่เธอก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว อีกอย่างในจิตใต้สำนึกของเธอก็ไม่อยากเห็นหลงซือเย่ถูกผู้อื่นทารุณเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้จึงช่วยเขา…
เธอไม่ได้เผยเรืองที่ตนยังมีความทรงจำอยู่ เช่นนี้ต่อให้เรื่องของหลงซือเย่จะเป็นการหยั่งเชิงเธอ ก็ขวางอะไรเธอไม่ได้
เธถ้าเธอร่วมมือกับหลงซือเย่โอกาสที่จะหนีออกไปได้ก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งส่วน ในเมื่อเป็นผลร้ายทั้งสองทางเช่นนั้นก็เลือกทางที่มีผลเสียน้อยที่สุดก็แล้วกัน ดังนั้นเธอจึงลงเดิมพันกับตานี้!
ในช่องมิติลับของหลงซือเย่มียาสมานแผลที่ดีที่สุดอยู่ หลังจากเขาทาเสร็จพันแผลสองสามรอบก็เรียบร้อยแล้ว “ถึงแม้ฉันจะไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศของที่นี่ แต่สถานที่แห่งนี้หลงฟั่นเป็นผู้จัดแจง เมื่อก่อนฉันเคยเป็นลูกมือให้เขา ดังนั้นจึงทราบลู่ทางบางส่วน ที่นี่มีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกที่ ต้องทำลายกล้องวงจรปิดพวกนี้ทิ้งก่อน…” หลงซือเย่เริ่มพูดคุยถึงแผนการหลบหนี อันที่จริงแผนนี้ก็ไม่ต่างจากที่กู้ซีจิ่วคิดไว้เลย…
ดังนั้นทั้งสองคนจึงแยกกันออกปฏิบัติการ
เมื่อก่อนทั้งสองก็ร่วมมือกันอยู่บ่อยๆ แทบจะเรียกได้ว่าอีกฝ่ายส่งสัญญาณส่งสายตาคราหนึ่งก็ทราบแล้วว่าขั้นต่อไปควรทำอะไร
วิชาเคลื่อนย้ายของกู้ซีจิ่วฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้ว ก่อนจะไปหาหลงซือเธอตระเวนดูที่นั่นรอบหนึ่งแล้ว
ช่วงนี้หลงฟั่นกำลังทำการวิจัยร่างโคลนของโม่เจ้าในขั้นสุดท้ายอยู่ ซ้ำยังต้องคำนวณข้อมูลบางอย่าง จึงไม่มีเวลามาสนใจเธอ
หลังจากกู้ซีจิ่วพูดคุยกับเขาสองสามประโยค ก็ขโมยป้ายคำสั่งชินหนึ่งที่เขาซ่อนไว้ในแขนเสื้อออกมา
ป้ายคำสั่งนี้เป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับโดยสารเรือประหลาดลำนั้น มิเช่นนั้นไม่มีทางเปิดใช้ได้
หลังจากออกมาก็ไปที่ห้องสังเกตการณ์ ในห้องสังเกตการณ์มีผู้คุ้มกันคอยจับตามองอยู่สองคน
เนื่องจากตำหนักใต้ดินใหญ่โต จอรับภาพก็มีมากมาย ผู้คุ้มกันทั้งสองที่คอยจับตามองจอแก้วค่อนข้างเหนื่อยล้า ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้จับตามองอย่างถี่ถ้วนขนาดนั้น เพียงกวาดตามองผ่านๆ สักพักหนึ่งเท่านั้น ทั้งสองถึงขั้นที่สนทนาสัพเพเหระกันอย่างสนุกสนานยิ่งนักอยู่ที่นั่น
ตอนที่กู้ซีจิ่วเข้าไปพวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย ถึงอย่างไรระยะนี้เธอก็มาเดินเตร็ดเตร่อยู่บ่อยๆ แถมยังใกล้ชิดสนิทสนมกับท่านเจ้าและผู้อาวุโสหลงด้วย ผู้คุ้มกันของเขาจึงไม่กล้ายุแหย่หาเรื่องเธอ ถึงขั้นที่ค่อนข้างประจบเอาใจเธอด้วยซ้ำ
ดังนั้นหลังจากพูดคุยกับเธอไม่กี่ประโยค ก็กลับไปคุยโม้กันอีกครั้ง
กู้ซีจิ่วเดินเล่นคล้ายเดินเตร่ไปเรื่อยอยู่ในห้องรอบหนึ่ง จากนั้นก็สลับจอภาพในจุดสำคัญหลายแห่งให้อยู่ในโหมดกรอซ้ำ…
——————————————————————-
บทที่ 1102 จากนั้นก็เปลื้องผ้าพวกเขา…
เธอทำเรื่องนี้ด้วยฝีมือที่ว่องไวยิ่ง สงคนนั้นไม่มีทางสังเกตเห็นได้
สายตาของเธอร่อนลงมุมอับจุดหนึ่งของห้องสังเกตการณ์ เธออยู่ในตำหนักใต้ดินมาสี่วันแล้ว คุ้นเคยกับภูมิประเทศทั้งหมดตั้งนานแล้ว ในห้องสังเกตการณ์แห่งนี้แทบจะจะอำนวยในสังเกตเห็นทั่วทั้งตำหนักใต้ดินแล้ว มีเพียงจุดเดียวที่ไม่มี
ตอนที่เธอเดินเตร่อยู่ในตำหนักใต้ดินได้เห็นกับตาว่ามีสิ่งปลูกสร้างรูปทรงประหลาดหลังหนึ่งอยู่ในละแวกชีพจรดิน รูปร่างค่อนข้างคล้ายกับปิรามิด สุดปลายยอดฝังผลึกสีม่วงเม็ดหนึ่งไว้ ทั้งหกด้านลาดเอียงเกี่ยวล้อมเข้าหากัน กลายเป็นผลึกทรงเว้าอันหนึ่ง ดูราวกับบุปผาแย้มบาน ทว่าเผยให้เห็นความประหลาดเล็กน้อย
กู้ซีจิ่วศึกษาศาสตร์ด้านพลังงานมาบ้าง สิ่งลูกสร้างทรงปิรามิดเดิมทีก็มีความสามารถในการรวบรวมพลังงานอยู่แล้ว ส่วนผลึกก็เป็นบ่อพลังงาน อีกทั้งสิ่งปลูกสร้างนี้อยู่ตรงใจกลางของตำหนักใต้ดินแห่งนี้ เป็นจุดที่พลังงานจากชีพจรดินทั้งเส้นมารวมตัวกัน…
ปิรามิเป็นสุสานฝังศพของฟาโรห์ เช่นนั้นภายในสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับปิรามิดฝังผลึกที่อยู่เบื้องหน้าหลังนี้ ซ่อนสิ่งใดไว้กันแน่?
เป็นจุดเดียวในห้องสังเกตการณ์แห่งนี้ที่ไม่มีการจับตามองตรงจุดนั้นเลย เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่อยู่ด้านในเป็นความลับสำหรับลูกน้องเหล่านี้เช่นกัน คืออะไรกันนะ?
กู้ซีจิ่วนึกโยงไปถึงตอนที่ตนเคยทะลุผ่านร่างของโม่เจ้า เห็นได้ชัดเจนยิ่งนักว่าถึงแม้ยามปกติเขาจะดูเหมือนมนุษย์คนหนึ่ง แต่กลับเป็นร่างจิตร่างหนึ่ง…
ร่างของหรงเช่อที่เขาพักพิงอยู่ระเบิดไปแล้ว…
เธอนึกถึงบทสนทนาของโม่เจ้ากับหลงซือเย่ที่ได้ยินมา เขาบอกว่าอีกสิบวันข้างหน้าจะครองคู่กับตนได้ ด้วยสภาพของร่างจิตย่อมไม่สามารถครองคู่ได้ มีเพียงต้องใช้ร่างกายจริงๆ เท่านั้นถึงจะทำได้…
ข้ออนุมานที่อาจหาญอย่างหนึ่งเริ่มก่อตัวขึ้นในสมองของกู้ซีจิ่ว…หรือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในปิรามิดจะเป็นร่างเดิมของโม่เจ้า?! เป็นประเภทที่สามารถฟื้นคืนชีพได้อย่างนั้นหรือ?
นัยน์ตาเธอวูบไหวเล็กน้อย โม่เจ้าผู้นี้จิตใจทะเยอทะยาน ไม่มีร่างกายพลังวิญญาณยังสูงส่งไถึงระดับนี้ หากปล่อยให้เขามีร่างกายที่เหมาะสมกับพลังวิญญาณของเขาได้ เช่นนั้นมิใช่ว่าจะยิ่งกำเริบเสิบสานไปกันใหญ่หรอกหรือ?
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เธอจะต้องหาทางทำลายมันซะ!
เธอเคลื่อนย้ายไปยังจุดที่นัดหมายกับหลงซือเย่ไว้ พบว่าหลงซือเย่ตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว
เขาสังหารคนในตำหนักใต้ดินสองคน จากนั้นก็เปลื้องผ้าพวกเขา…
ตอนที่กู้ซีจิ่วตามไปสมทบก็เห็นสองคนนั้นนอนไร้ลมหายใจอยู่ตรงนั้นแล้ว
กู้ซีจิ่วรู้จักสองคนนี้ แถมยังเคยคุยกับสองคนนี้สองสามประโยคด้วย นับว่าเป็นยิดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือภายในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ ฝึกฝนพลังวิญาณจนบรรลุขั้นเจ็ดแล้ว เป็นลูกน้องของโม่เจ้า จงรักภักดีต่อโม่เจ้ายิ่งนัก
โม่เจ้านำผู้คนออกไปครานี้ ได้ทิ้งสองคนนี้ไว้รักษาการณ์ พวกเขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มคนที่รักษาการณ์อยู่ที่นี่
กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงว่าหลงซือเย่จะจับกุมสองคนนี้ได้ในคราวเดียว ความแคลงใจตัวเขาจึงลดลงเล็กน้อย
เอ่ยถามอย่างอดไม่อยู่ประโยคหนึ่ง “ทำไมถึงเป็นพวกเขา? ฉันนึกว่าคุณจะหาผู้คุ้มกันธรรมดาๆ มาสองคน…”
“สองคนนี้ควบคุมการโยกย้ายระดมผลผู้คุ้มกันทั้งหมดในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ ฆ่าพวกเขาเสียก่อนก็เป็นการเผื่อไว้หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อพวกมารไม่มีผู้นำ พวกเราจะหนีออกไปได้ง่ายยิ่งขึ้น ที่สำคัญคือเธอไม่รู้สึกเหรอว่าคนหนึ่งในพวกเขาขนาดตัวไม่ต่างกับเธอเท่าไหร่?”
กู้ซีจิ่วโล่งอก หลงซือเย่คนนี้ไม่เสียทีที่เคยเป็นครูฝึกในค่ายนักฆ่า ความคิดในด้านนี้ละเอียดรอบคอบยิ่งนัก พิจารณาถึงทุกด้าน
มีคนผู้นี้เป็นเพื่อนร่วมงานช่างทำให้คนวางใจได้อย่างไร้ข้อกังขา เงื่อนไขแรกคือเขาต้องไม่วางแผนหักหลังคุณ…
กู้ซีจิ่วระงับความคิดที่สับสนวุ่นวายของตน เธอเชี่ยวชาญวิชาแปลงโฉม อีกทั้งอุปกรณ์แปลงโฉมของหลงซือเย่ก็ครบครัน ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองก็แปลงโฉมจนเหมือนหัวหน้าสองคนนี้แล้ว
——————————————————————-
บทที่ 1103 หลบหนี
หลงซือเย่เป็นวิชาหดกระดูก การปลอมแปลงเช่นนี้ของทั้งสองจึงดูแนบเนียนสมจริง ต่อให้เป็นพี่น้องของสองคนนั้นมาอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่แน่ว่าจะมองออก
หลงซือเย่กระทำการได้รอบคอบนัก เขายังหาตัวหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่รูปร่างไม่ต่างจากพวกเขาทั้งสองมากนักมาด้วย ทำให้พวกเขาสลบก็แยกไปวางไว้ในห้องขังและห้องส่วนตัวของกู้ซีจิ่ว ให้กู้ซีจิ่วแปลงโฉมพวกเขาด้วยเช่นกัน…
คนที่อยู่ในห้องขังถูกแปลงโฉมให้กลายเป็นหลงซือเย่ หลังจากล่ามโซ่ตรึงวิญญาณชุดนั้นก็จัดให้นั่งพิงผนัง คล้ายว่ากำลังใคร่ครวญหรือเข้าฌานอยู่
ปกติแล้วยามที่หลงซือเย่ถูกขังไว้ที่นี่ แทบจะไม่มีใครมาเยี่ยมเขาเลย และไม่ได้พบเห็นผู้ใดเลยตลอดทั้งวัน ดังนั้นขอเพียงปล่อยตัวปลอมไว้ที่นั่น ก็ไม่มีผู้ใดเข้าไปเยี่ยมเยือนเขาอยู่ดี
มีเพียงคนที่อยู่ในห้องของกู้ซีจิ่วผู้นั้น ที่ถูกจัดวางไว้บนเตียง ท่าทางเหมือนคนหลับสนิทที่ติดป้ายห้ามรบกวนไว้ น่าจะไม่มีผู้ใดพบเห็นความผิดปกติได้ในระยะเวลาสั้นๆ
….
ทุกอย่างล้วนจัดการเรียบร้อยหมดแล้ ไม่มีจุดบกพร่องตรงไหนอีก ทั้งสองคนถึงได้เดินวางมาดออกมาจากในห้อง ระหว่างทางพบกับผู้คุ้มกันบางส่วน ล้วนทำความเคารพต่อพวกเขาอย่างนอบน้อมยิ่ง ทั้งสองก็ไม่ได้เผยพิรุธอันใดออกไป
เมื่อเดินผ่าอาคารทรงปิรามิดหลังนั้น กู้ซีจิ่วตั้งใจมองเป็นพิเศษ เนื่องจากที่นี่คือเขตหวงห้าม ตรงประตูมีผู้คุ้มอยู่สี่คนเท่านั้น ไม่มีเงาของผู้อื่นอยู่เลย
เดิมทีทั้งสองต้องเดินตรงไป ทว่าจู่ๆ กู้ซีจิ่วก็เดินเลี้ยวไปทางประตูของปิรามิดหลังนั้น หลงซือเย่ตะลึงเล็กน้อย ส่งกระแสเสียงหาเธอ ‘เธอจะทำอะไร?’
กู้ซีจิ่วตอบอย่างตรงไปตรงมา ‘อยากรู้ จะไปดูสักหน่อย’
เธอคำนวณเวลาดูแล้ว โม่เจ้าเพิ่งจากไปยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เธอได้ยินเขาสั่งการลูกน้องเหล่านั้น บอกว่าออกไปหนนี้อย่างเร็วคือสองวัน ช้าหน่อยก็สามวันถึงจะกลับมา ดังนั้นไม่ต้องเกรงว่าเขาจะกลับมาจู่โจมสังหารอย่างกะทันหัน
ส่วนหลงฟั่นก็กำลังทำการวิจัยอย่างลืมกินลืมนอนอยู่ คนผู้นี้เมื่อทุ่มเทให้กับสิ่งใดแล้วจะหามรุ่งหามค่ำอยู่เสมอ ไม่น่าจะมีเวลาว่างออกมาเดินเตร็ดเตร่ ดังนั้นนอกจากพวกเขาจะหลบหนีได้แล้ว ยังสามารถทำอย่างอื่นได้ด้วย…
ถึงแม้หลงซือเย่จะมึนงงอยู่บ้าง แต่เขายังคงตามมาอย่างเงียบๆ
“หัวหน้าซย่า หัวหน้าจาง ลมอะไรหอบพวกท่านให้ดินมาถึงที่นี่ได้ขอรับ?” ผู้คุ้มกันทั้งสี่ค่อนข้างฉงน
กู้ซีจิ่วยิ้มแวบหนึ่ง “ท่านเจ้าออกไปข้างนอก อีกทั้งที่นี่ก็แข็งแกร่งยากจะถูกตีแตกได้ พี่น้องทั้งหลายกังวลกันมานานถึงเพียงนี้ ควรได้ผ่อนคลายกันบ้าง ข้าเรียนรู้การละเล่นอย่างหนึ่งมากจากภายนอก จะสอนให้พวกพี่ชายเล่นดู สละเวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น”
สี่คนนั้นคอยเฝ้าสถานที่แห่งหนึ่งอย่างขันแข็งอยู่ทุกวัน แต่ละวันยืนนิ่งเหมือนต้นไป๋หยาง ค่อนข้างเบื่อหน่ายยิ่งนักจริงๆ ยามที่ท่านเจ้าอยู่พวกเขาไม่กล้าเกียจคร้าน ยามนี้เมื่อหัวหน้ากล่าวเช่นนี้แล้ว พวกเขาไหนเลยจะไม่ตอบรับเล่า?
ปากบอกว่ามิกล้าๆ ทว่าสายตากลับมองดูกู้ซีจิ่วแล้ว รอให้เธอสอน
กู้ซีจิ่วหยิบไพ่สำรับหนึ่งออกมา สอนการละเล่นสมัยใหม่อย่างหนึ่งให้พวกเขา อย่างเช่นการทายหน้าไพ่
ระหว่างที่เล่นอยู่ กู้ซีจิ่วก็หลอกถามพวกเขาดูว่าที่แท้ในอาคารหลังนี้มีสิ่งใดอยู่กันแน่ ผลคือสี่คนนี้ก็ไม่ทราบเลยเช่นกัน ทราบเพียงว่าหลงฟั่นกับท่านเจ้าล้วนให้ความสำคัญกับสถานที่แห่งนี้ยิ่งนัก และมีเพียงพวกเขาที่สามารถเข้าไปได้ คนอื่นแม้แต่คิดอย่าหวัง
กู้ซีจิ่วยิ่งรู้สึกว่าข้อวินิจฉัยของตนถูกต้องแล้ว ด้วยเหตุนี้ระหว่างที่เล่นไพ่เธอจึงวางยาสี่คนนี้ ทำให้สี่คนนี้สติเลอะเลือนไม่รู้เนื้อรู้ตัว ให้พวกเขาทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเสมือนตอไม้เช่นเดิม
ประตูของ ‘ปิรามิด’ หลังนี้ย่อมเป็นตัวล็อคที่ต้องเข้ารหัสแบบพิเศษ แต่ในสายตากู้ซีจิ่วที่เป็นนักฆ่ามือฉมังแล้ว นี่ไม่คณามือเลย ยิ่งไปกว่านั้นคือข้างกายเธอยังมีหลงซือเย่รู้ปูมหลังของหลงฟั่นดีอยู่ด้วย การเปิดที่นี่ก็เหมือนการล้วงหาของในกระเป๋าเท่านั้น…
ถึงแม้หลงซือเย่จะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ถามให้มากความ
เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนพูดมากอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งเงียบงันปานกลัวทองจะร่วงเข้าไปใหญ่ แต่ก็ให้ความร่วมมือกับเธอตลอด
เห็นทีว่าสิ่งที่ซ่อนไว้ที่นี่จะสำคัญมากจริงๆ ด้านในปิรามิดแห่งนี้จึงติดตั้งกลไกไว้ไม่น้อยเลย ประหนึ่งเขาวงกตก็มิปาน หากเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้ด้านค่ายกลหลงเข้ามาในนี้ เดินดุ่มๆ ไปได้ไม่กี่ก้าวก็จะถูกลูกศรยิงใส่จนกลายเป็นเม่น หรือก็กลายเป็นแอ่งโลหิต…
ทั้งสองเดินลัดเลาะกลไกหลายจุดไปอย่างปลอดภัย ในที่สุดก็มาถึงส่วนใจกลางแล้ว มองเห็นโลงแก้วผลึกใบมหึมา แน่นอนว่ามองเห็นคนที่นอนอยู่ด้านในด้วย
อย่างไรเสียหลงซือเย่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ เขาวนรอบโลงแก้วผลึกใบนั้นมองอยู่ครู่หนึ่งสีหน้าก็แปรเปลี่ยนไป “ร่างโคลนนิ่งที่มีพลังวิญญาณขั้นเก้าโดยกำเนิด!”
กู้ซีจิ่วกำหมัด เธอเดาไม่ผิดจริงๆ!
เธอเดินวอบรอบโลงแก้วผลึกใบนั้นเงียบๆ ในไม่ช้าก็ขมวดคิ้ว
ด้านในและด้านนอกของโลงแก้วผลึกใบนี้มีกลไกอยู่มากมาย อย่าว่าแต่ทำลายร่างโคลนนิ่งที่อยู่ในด้านในทิ้งเลย ต่อให้แตะถูกเพียงนิดก็เกรงว่าจะกระตุ้นให้กลไกส่งสัญญาณเตือนแล้ว ทำให้ร่องรอยของทั้งสองคนถูกเผย หนีไปไม่รอดแล้ว!
นี่เป็นโอกาสที่จะได้ผนึกมารร้าย หากว่าพลาดหนนี้ไปเกรงว่าจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
แต่ถ้าหากลงมือทำลาย ห้องวิจัยแห่งนี้ก็จะปิดล็อคอย่างสมบูรณ์ เกรงว่าจะมีสิ่งของจำพวกที่พ่นควันพิษสังหารผู้บุกรุกทุกคนอยู่ด้วย หลงฟั่นและผู้คุ้มจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกย่อมตื่นตระหนก ด้วยสภาพของเธอกับหลงซือเย่ในตอนนี้ ความเป็นไปได้ที่หลบหนีออกไปอีกครั้งเท่ากับศูนย์…
ขณะที่กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หลงซือเย่ที่อยู่ด้านข้างพลันสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ถึงแม้จะทำลายร่างโคลนนิ่งร่างนี้ไม่ได้ แต่ฉันสามารถเติมส่วนผสมให้มันได้”
กู้ซีจิ่วมองเขา “ส่วนผสมอะไร?”
หลงซือเย่ไม่ตอบ เดินตรงไปที่ปลายอีกด้านของท่อเหล่านั้นที่เชื่อมต่อกับโลงแก้วผลึก ตรงนั้นมีบ่อยาปฏิชีวนะอยู่หลายบ่อ และยาที่อยู่ตรงนี้ก็ลำเลียงเข้าไปในท่อนั้นเป็นครั้งคราว ทั้งหมดล้วนหล่อเลี้ยงร่างโคลนนิ่งที่อยู่ด้านในโลงแก้วผลึก
หลงซืเย่นำตัวยาเหล่านั้นมาพินิจดูอย่างละเอียด คล้ายจะแยกแยะส่วนผสมด้านในอยู่ จากนั้นก็หยิบผงสีแดงอย่างหนึ่งอกมาจากร่างแล้วเติมเข้าไป
หลังจากผสมผงนั้นเข้าไปก็ไม่เห็นความผิดปกติอื่นใดเลย ย่อมไม่เป็นกรกระตุ้นกลไกด้านนอกและด้านในของโลงแก้วผลึก
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะร่ำเรียนวิชาแพทย์มา แต่เธอก็ไม่เข้าใจเทคโนโลยีโคลนนิ่งเลยจริงๆ ย่อมมองไม่ออกเช่นกันว่าส่วนผสมที่หลงซือเย่เติมเข้าไปคืออะไร
คงจะมองเห็นความสงสัยในแววตาของเธอ หลงซือเย่จึงกล่าวอธิบาย “ผงนี้คือ…” เขาค่อยๆ อธิบายหบักการให้เธอฟัง ด้วยเหตุนี้ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เข้าใจสรรพคุณของผงนี้แล้ว
ผงนี้จะเข้าไปในระบบประสาทของร่างโคลนนิ่ง ค่อยๆ ทำลายเซลล์ประสาทช้าๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ไประยะหนึ่ง ต่อร่างโคลนนิ่งร่างนี้ฟื้นคืนชีพได้ก็จะเป็นสวะไร้พลังที่ตรงตามมาตรฐานชิ้นหนึ่ง ต่อให้เป็นร่างกายที่มีพลังวิญญาณขั้นเก่าแต่กำเนิด ก็ไม่สามารถควบคุมและใช้ออกมาได้ ถึงขั้นกลายเป็นอัมพาฒไปเลยด้วยซ้ำ…
กู้ซีจิ่วค่อนข้างฉงนอยู่บ้าง “ทำไมคุณถึงพกของแบบนี้ติดตัว?”
หลงซือเย่เม้ริมฝีปากบางนิดๆ “ถ้าหาฉันบอกว่า ตัวยาพวกนี้ล้วนสร้างขึ้นเพื่อมอบให้เธอ เธอจะเชื่อไม่?”
กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “ไม่เชื่อ!”
หลงซือเย่หลุบตาลง “ถ้างั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
เขาพกยาติดตัวไว้ไม่น้อย ล้วนเป็นตัวยาที่เขาคิดค้นขึ้นมาในระยะเวลาสองปีนี้ ไม่อาจตรวจจับความเป็นพิษได้ แต่เป็นพิษต่อคน ทำให้คนที่โดนยากจะป้องกันตัวเองนยามวิกฤตได้
กู้ซีจิ่วมองโลงแก้วผลึกใบนั้นอีกครา ปรารถนาจะเทน้ำกรดลงไปในนั้นยิ่งนัก!
แต่เธอก็มองเห็นอุปกรณ์วัดค่าปริมาณตัวยาต่างๆ ที่อยู่ด้านในโดยเฉพาะ หากเทสิ่งที่มีฤทธิ์กระตุ้นยิ่งนักลงไปเกรงว่าจะทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น…
ช่างเถอะ! หากว่าสิ่งที่หลงซือเย่พูดเป็นความจริง เช่นนั้นร่างโคลนนิ่งร่างนี้ก็นับว่าเป็นพิการทั้งเป็นครึ่งตัวแล้ว!
————————————————————-
บทที่ 1104 หนีไป
ช่างเถอะ! หากว่าสิ่งที่หลงซือเย่พูดเป็นความจริง เช่นนั้นร่างโคลนนิ่งร่างนี้ก็นับว่าเป็นพิการทั้งเป็นครึ่งตัวแล้ว! ทำให้เขาพิการอย่างเงียบๆ ได้ คาดว่าคงทำให้โม่เจ้าโกรธจนแทบกระอักเลือด
ต่อให้สิ่งที่หลงซือเย่พูดไม่เป็นความจริง ตอนนี้เธอก็ไม่มีวิธีอะไรอยู่ดี
เธอไม่ใช่แม่พระ และไม่ใช่คนบุ่มบ่าม เธอไม่อาจเอาชีวิตของเธอเข้าแลกเพื่อทำลายร่างโคลนนิ่งร่างเดียวทิ้งได้ ไม่คุ้มค่า!
อีกอย่างต่อให้ร่างโคลนนิ่งถูกทำลายทิ้งหลงฟั่นก็สร้างขึ้นใหม่ได้ เว้นแต่จะสังหารหลงฟั่นด้วย!
แต่ตอนนี้พลังวิญญาณของหลงฟั่นบรรลุขั้นสิบแล้ว หากปะทะกันซึ่งๆ หน้าเธอกับหลงซือเย่ร่วมมือกันก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ประกอบกับที่นี่เป็นถิ่นของหลงฟั่น หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ไม่เป็นผลดีแน่นอน!
เธอไม่คิดจะโอ้เอ้ต่อไปแล้ว “ไปเถอะ พวกเราออกไปเร็วหน่อยดีกว่า!”
ตอนที่ทั้งสองคนออกมา สี่คนนั้นที่อยู่ตรงประตูยังยืนทื่อปานท่อนไม้อยู่ เมื่อพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองออกมาพวกเขาก็ราวกับมองไม่เห็น หลงซือเย่ดีดผงยาไปทางพวกเขาเล็กน้อย หนึ่งเค่อให้หลังพวกเขาก็ได้สติกลับมาอย่างแท้จริง แต่จำไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น…
ระยะเวลาที่คนทั้งสองอยู่ในห้องวิจัยแห่งนี้ไม่นานนัก ประมาณสิบนาทีเท่านั้น เทพไม่รู้ผีไม่เห็นโดยแท้
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็มุ่งหน้าไปยังบ่อลาวาที่เป็นทางออก…
….
หลงฟั่นวางใจยิ่งนักจริงๆ สถานที่แห่งนี้คือฐานลับของเขา หากไม่มีพาหนะโดยสารพิเศษก็ไม่อาจเข้าออกได้ และคนที่สามารถมาที่นี่ได้ล้วนเป็นอัจฉริยะที่เขารวบรวมมาจากี่ต่างๆ ในหลายปีมานี้ ทุกคนต่างจงรักภักดีต่อเขา และถึงแม้กู้ซีจิ่วจะเป็นตัวแปร แต่ถึงอย่างไรเธอก็สูญเสียความทรงจำไปแล้ว อย่างมากก็แค่รบเร้าอยากไปเล่นข้างนอก ไม่อาจเล่นลูกไม้อื่นได้
อีกอย่างที่นี่ก็มีหูตาอยู่มากมาย นางเองก็ไม่มีพิรุธอะไร
ดังนั้นหลังจากโม่จ้าวออกไป เขาก็แค่สังการให้คนสองสามคนที่จับตาดูอยู่ตื่นตัวให้มากหน่อย แล้วให้หัวหน้าผู้คุ้มกันกวดขันสักหน่อย เขาก็ไปทำวิจัยอย่างสบายใจเฉิบแล้ว
วันนี้ต้องทลายอุปสรรคด้านเทคนิคข้อหนึ่ง ขอเพียงเขาทลายอุปสรรคข้อนี้ได้ เขาก็สามารถยกระดับคุณสมบัติร่างโคลนนิ่งของท่านเจ้าได้อีกขั้นหนึ่ง ไม่ว่าอาจทำให้บรรลุระดับสิบได้!
ท่านเจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ ถึงสามารถเป็นร่มเงาให้เขาได้ ทำให้เขาได้ทำเรื่องที่ตนอยากทำต่อไปได้
วันนี้เขาทำงานอย่างลืมกินลืมนอนอยู่บ้าง ทุ่มเทจดจ่อกับการวิจัย แม้แต่ตอนที่กู้ซีจิ่วมาหาเขาก็ไม่มีเวลามาสนใจ
โชคดีที่เด็กสาวคนนี้ยังนับว่าเป็นเด็กดีอยู่ หลังป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวเขารอบหนึ่งก็ไม่รบกวนเขาอีก ออกไปเล่นด้วยตัวเอง
เขาทำวิจัยต่อไป เป็นเช่นนี้จนผ่านไปประมาณหนึ่งยาม เขาพบอุปสรรคเล็กน้อย จำเป็นต้องไปดูข้อมูลของร่างโคลนนิ่งในโลงแก้วผลึกใบนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าไปในห้องสังเกตการณ์…
ที่นี่มีห้องลับห้องหนึ่งอยู่ มีเพียงเขากับท่านเจ้าที่รู้ ภายในห้องลับสังเกตการ์สถานที่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือห้องวิจัยที่จัดวางร่างโคลนนิ่งของท่านเจ้าไว้
เรื่องการสร้างร่างโคลนนิ่งของท่านเจ้าเป็นความลับยิ่งนัก ต่อให้เป็นลูกน้องที่มีความสามารถที่สุดก็ยังไม่รู้ ดังนั้นห้องสังเกตการณ์นี้จึงเป็นห้องลับด้วย
เขามองที่นั่นอยู่ในห้องสังเกตการณ์นั้น ไม่พบเห็นสิ่งปกติใดๆ (ตอนนั้นพวกกู้ซีจิ่วออกไปแล้ว และไม่ได้ทำให้ข้าวของในห้องเสียหาย) เขาจึงดูข้อมูลที่ต้องการก่อน จากนั้นก็สัมผัสได้ว่าร่างโคลนนิ่งร่างนั้นดูเหมือนจะผิดปกติเล็กน้อย…
สีหน้าดูไม่ค่อยถูกต้องนัก แต่ก็แค่ไม่น่ามองเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรเสียอุปกรณ์ของยุคนี้ก็ยังไม่สมบูรณ์ครบครันถึงเพียงนั้น ดังนั้นภาพที่แสดงบนจอภาพในห้องสังเกตการณ์จึงพอเห็นเป็นรุปเป็นร่างเท่านั้น ไม่ได้ละเอียดมากนัก
เขาก็ไม่ใคร่แน่ใจอยู่ชั่วขณะ ครุ่นคิดเล็กน้อย ยังคงตัดสินใจไปดูให้เห็นกับตาสักหน่อย
แต่เพิ่งเดินเข้าไปใกล้ ‘ปิรามิด’ แห่งนั้นเขาก็สัมผัสถึงความผิดปกติได้แล้ว
——————————————————-
บทที่ 1105 หนีไป 2
ผู้คุ้มกันทั้งสี่ที่เฝ้าอยู่ตรงนั้นดูทึ่มทื่องุ่นง่านอยู่บ้าง เมื่อถามพวกเขาก็พูดจาสับสนวกวน
ถึงอย่างไรหลงฟั่นก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ มองออกทันทีว่าสี่คนนี้ถูกพิษชนิดหนึ่งแล้ว!
เขาใจหายวาบ ไม่สนใจผู้คุ้มกันสี่คนนั้นอีก พุ่งตรงเข้าไปในประตู…
ห้องวิจัยที่จัดวางโลงแก้วผลึกไว้มองอะไรไม่ออก กลไกทั้งหมดที่อยู่ด้านในล้วนไม่ถูกกระตุ้นเลย ร่างโคลนนิ่งในโลงแก้วผลึกใบนั้นก็ยังอยู่ดีเช่นกัน
เขาไม่ใคร่วางใจ เปิดโลงแก้วผลึกใบนั้นออกโดยตรงแล้มองดู จากนั้นก็เสมือนถูกคนใช้ท่อนไม้ฟาดหัวอย่างจัง ในสมองเกิดเสียงดังตูม…
ร่างโคลนถูกพิษแล้ว!
เขาฝืนข่มโลหิตร้อนๆ ที่พุ่งขึ้นมาถึงลำคอลงไป มือไม้ยุ่งเหยิงรีบตรวจสอบดูทันที พิษที่อยู่ในร่างโคลนบุกเข้าไปครึ่งทางแล้ว กำลังจะเข้าสู่หัวใจของร่างโคลน ถ้าหากเขามาช้ากว่านี้อีกครึ่งเค่อ ร่างโคลนนิ่งร่างนี้ก็จะกลายเป็นสวะไร้ค่าอย่างสมบูรณ์แล้ว!
ร่างโคลนนิ่งเช่นนี้ยากนักกว่าจะสร้างขึ้นมาได้ โดยเฉพาะร่างโคลนของท่านเจ้า เขาทำการทดสอบซ้ำไปซ้ำมาเกือบห้าสิบปีถึงจะสร้างมันออกมาได้ หากว่าถูกทำลายไปเช่นนี้ เขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามสิบปีถึงจะสร้างร่างที่เหมือนกันออกมาได้…
เวลานี้เขาย่อมไม่สนใจจะตามตัวคนร้าย รีบร้อนตรวจสอบที่มาของพิษ พลางขจัดพิษอย่างรวดเร็ว…
ผ่านไปห้านาที ในที่สุดเขาก็แก้พิษนั้นได้แล้ว ร่างโคลนนิ่งฟื้นฟูกลับเป็นปกติ
เขามองร่างโคลนนิ่งร่างนั้นในใจค่อนข้างเป็นกังวล พิษนั้นพิสดารอย่างยิ่ง สิ่งที่ทำลายคือเซลล์ประสาท ตอนนี้ถึงแม้จะขจัดพิษได้แล้ว แต่เซลล์ประสาทในร่างน่าจะได้รับความเสียหายไปส่วนหนึ่งแล้ว เนื่องจากตอนนี้มันยังไม่มีชีวิต เขาถึงขั้นที่ไม่อาจทราบได้ว่าจะเกิดผลกระทบอะไรหรือไม่ มีแต่ต้องรอหลังจากท่านเข้าฟื้นคืนชีพถึงจะมองออก…
โชคดีที่คุณสมบัติด้านพลังวิญญาณของร่างนี้ไม่ได้ถูกทำลาย นับว่าเป็นโชคดีในโชคร้าย
จนยามนี้เขาถึงได้มีเวลามาตรวจสอบหาตัวคนวางยาพิษ เขาก็เป็นบุคคลที่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่องผู้หนึ่ง ใคร่ครวญเพียงน้อยก็คาดเดาถึงหลงซือเย่แล้ว…
เขากลับไปอย่างรวดเร็ว ไปตรวจสอบห้องขังนั้นดูก่อน พบหลงซือเย่ตัวปลอมคนนั้นถูกขังไม่ที่นั่น มองออกว่าวิชาแปลงโฉมบนใบหน้าของคนผู้นี้เป็นฝีมือของกู้ซีจิ่ว!
เขากัดฟันกรอด มุ่งไปที่ห้องส่วนตัวของกู้ซีจิ่วต่อ พบกู้ซีจิ่วตัวปลอม…
เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เรียกระดมพลผู้สังเกตการณ์ทั้งหลาย..
จากนั้นก็พบว่ากู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่แปลงโฉมเป็นลูกน้องของเขาสองคน นั่ง ‘เรือเหินอัคคี’ จากไปเมื่อห้านาทีก่อนแล้ว!
เวลาห้านาทีไม่นับว่านาน ถึงขั้นที่ไม่เพียงพอให้เรือเหินอัคคีมุดผ่านลาวาภูเขาไฟไปอย่างสมบูรณ์ด้วยซ้ำ
เสียงสัญญาณเตือนภัยที่เสียดหูดังขึ้นในตำหนักใต้ดิน หลงฟั่นเริ่มเรียกระดมพลอย่างรวดเร็ว…
เขาต้องการจับสองคนนั้นกลับมาด้วยมือตน! สองคนนั้นหนีไม่พ้นเงื้อมมือของเขาหรอก!
….
เดิมทีพวกกู้ซีจิ่วสามารถขึ้นเรือได้ตั้งแต่หลายนาทีก่อนแล้ว แต่หัวหน้าฝ่ายดูแลเรือผู้นั้นเป็นคนที่ค่อนข้างหัวรั้น กู้ซีจิ่วนำป้ายคำสั่งที่สามารถโดยสารเรือออกไปด้านนอกได้ให้เขาดูแล้ว ผลคือเขายังคงไม่ยอมปล่อยไป เนื่องจากผู้อาวุโสหลงเคยกำชับเอาไว้ หลังจากท่านเจ้าจากไปแล้ว ผู้ใดจะออกไปอีกล้วนต้องขอความเห็นจากเขาก่อน ให้เขาออกปากว่าอนุญาตให้ไปถึงจะไปได้
คนผู้นี้ยังให้พวกกู้ซีจิ่วรอสักครู่ด้วย เขาจะไปขอความเห็นดูก่อน
เมื่อกู้ซีจิ่วเห็นว่าใช้ไม้อ่อนไม่ได้จึงใช้ไม้แข็งแทน เธอใช้วิชาสะกดจิตควบคุมเขา ทำให้เขายอมปล่อย
เนื่องจากเธอยังใช้ร่างนี้ได้ไม่คุ้นเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้วิชาสะกดจิตที่ใช้จึงไม่ได้ล้ำลึกมากนัก จ้องหัวหน้าคนนั้นอยู่สามถึงสี่นาทีเต็มๆ ถึงควบคุมอีกฝ่ายอย่างสมบูรณ์ได้ ทำให้เขาเอ่ยวาจาที่มีค่าดั่งทองว่าอนุญาตให้ไป…
เสียเวลาอยู่เช่นนี้ เวลาก็ผ่านไปเจ็ดแปดนาทีแล้ว
เรือประเภทนี้ต้องการผู้เชี่ยวชาญมาขับเคลื่อนด้วยเฉพาะ หลังจากหัวหน้าคนนั้นถูกควบคุมก็ส่งคนที่มีฝีมือดีที่สุดมาขับเคลื่อนเรือลำนี้
———————————————————-
บทที่ 1106 หนีไป 3
เมื่อทั้งสองเข้าไปในห้องโดยสาร ด้านบนปิดสนิทอย่างสมบูรณ์ วินาทีที่เรือซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของกะลาสีมุดเข้าสู่ลาวา ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็โล่งอกแล้ว
วิชาสะกดจิตของเธอสามารถทำให้สมองหัวหน้าฝ่ายดูแลเรือคนนั้นมึนงงได้ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น เมื่อปฏิกิริยาตอบสนองของหัวหน้าคนนั้นกลับมา เธอกับหลังซือเย่ก็หนีไปนานแล้ว!
พอออกจากสถานที่ผีสางแห่งนี้ได้ เธอจะใช้วิชาเคลื่อนย้ายหนีไปทันที หนีไปให้ไกลก่อนแล้วค่อยหาทางติดต่อกับตี้ฝูอีอีกที เธอต้องกลับไปอยู่ร่างเดิมของตัวเอง ถึงแม้ร่างโคลนนิ่งร่างนี้จะสมบูรณ์แบบมาก แต่เธอมีเงามืดต่อสิ่งที่โคลนนิ่งขึ้น ยังคงรู้สึกว่าร่างกายที่เติบโตขึ้นตามธรรมชาติสิถึงจะทำให้ตนรู้สึกเหมือนสนุษย์คนหนึ่ง
อีกอย่างพลังวิญญาณของร่างเดิมก็ฝึกฝนจนบรรลุขั้นแปดแล้ว ร่างโคลนนิ่งร่างนี้เพิ่งจะขั้นหก เธอไม่เอาหรอก!
เรือแล่นไปอย่างรวดเร็ว กู้ซีจิ่วนั่งตะแคงมองกะลาสีคนนั้นขับเรือ พบว่าแผงควบคุมบนเรือลำนี้มีปุ่มเยอะกว่าเครื่องบินเสียอีก เชื่อได้ว่าจะต้องขับยากกว่าเครื่องบินเป็นแน่
เห็นได้ชัดว่ากะลาสีคนนั้นได้รับการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญแล้ว สองมือควบคุมปุ่มบังคับเหล่านั้นอย่างว่องไว ทำให้กู้ซีจิ่วเห็นแล้วตาลาย
เธอลอบจดจำขั้นตอนไว้ในใจ วันหน้าเธอจะกลับมากวาดล้างที่นี่ ต้องศึกษาทักษะการขับเคลื่อนเรือนี้เอาไว้
หลงซือเย่นั่งตรงข้ามเธอ เขาไม่ได้พูดอะไร หลุบตาลงเล็กน้อยเสมือนภิกษุเฒ่าผู้เข้าสู่ห้วงสมาธิ
เรือลำนี้เป็นกึ่งโปร่งแสง ยามที่เรือแล่นอยู่ท่ามกลางลาวา เมื่อผู้ที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารมองออกไปด้านนอก จะเห็นเพลิงแดงฉานทั่วสารทิศ ลาวาเดือดปุดๆ ไหลอยู่รอบด้าน ทิวทัศน์เช่นนี้ก็งดงามไปอีกแบบ
ถึงแม้หัวใจของกู้ซีจิ่วจะแล่นฉิวออกไปปานลูกธนูแล้ว แต่ความเร็วของเรือลำนี้ก็ไม่ได้เร็วนัก ยังคงช้ากว่าเรือที่ที่ล่องอยู่มหาสมุทรตามปกติอยู่บ้าง และไม่ทราบว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะออกไปได้
กู้ซีจิ่วลองถามกะลาสีที่ขับเรือคนนั้นอย่างอ้อมๆ ดู กลับนึกไม่ถึงว่ากะลาสีคนนั้นจะไม่สนใจเธอเลย
เธอพูดไปอีกสองสามประโยค ในที่สุดกะลาสีคนนั้นก็เปิดปากเอ่ย “หุบปาก ยามขับเรือไม่อนุญาตให้พูดคุย หรือเจ้าลืมคำสั่งสอนของผู้อาวุโสหลงไปแล้ว?”
กู้ซีจิ่วหุบปากแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะมีคำสั่งสอนข้อนี้ด้วย
และในช่วงที่กะลาสีคนนั้นกล่าวสองประโยคนี้ออกมา เรือที่เดิมทีแล่นอย่างสงบมั่นคงยิ่งก็โคลงเคลงต่อเนื่องกันหลายครา ดูเหือนเรือนี้จะขับได้ยากเหลือเกิน จึงไม่อนุญาตให้ผู้ขับเสียสมาธิ ดังนั้นไม่สามารถชวนผู้ขับพูดคุยได้
ความคิดเธอเพิ่งจะแล่นมาถึงตรงนี้ จู่ๆ สิ่งที่ดูคล้ายกับทรัมเป็ตเล็กๆ อันหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าของกะลาสีคนนั้นก็ส่งเสียงดังปี๊ปๆ ขึ้นมา!
สีหน้ากะลาสีคนนั้นแปรเปลี่ยนเล็กน้อย นี่เป็นสัญญาณฉุกเฉินกะลาสีที่ได้ยินสัญญาณนี้ไม่ว่าจะขับเรือไปถึงที่ใดแล้ว ล้วนต้องกลับไปโดยเร็ว ไม่อาจโอ้เอ้ได้แม้เพียงนิด!
“เกิดอะไรขึ้น?” กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจสัญญาณนั้น จึงถามขึ้น
“พวกเราต้องกลับไป!” กะลาสีคนนั้นเริ่มเบี่ยงหัวเรือกลับแล้ว…
เพียงแต่เขาเพิ่งจะเริ่มควบคุม ปลายมีดเล่มหนึ่งก็จ่อลงบนเขาแล้ว กู้ซีจิ่วพูดอย่างไม่เกรงใจสักนิด “เดินหน้าต่อ! อย่าได้หันกลับไป!”
สีหน้าของกะลาสีคนนั้นแปรเปลี่ยนทันที “เพราะ…เพราะอะไร?”
“ไม่เพราะอะไร พวกเรามีภารกิจลับสุดยอด จะต้องรีบออกไปโดยเร็ว ไม่อาจล่าช้าได้ รีบขับไป!”
กะลาสีคนนั้นกลับไม่ยอมศิโรราบต่ออำนาจคุกคาม “ไม่ได้ ผู้อาวุโสหลงเคยบอกไว้ เมื่อสัญญาณนี้ดังขึ้น ต่อให้ท่านเจ้าอู่บนเรือก็ต้องกลับไปอย่างไร้เงื่อนไข! ขออภัยที่ข้าไม่อาจปฏิบัติตามได้”
เขาไม่สนใจปลายมีดที่คอ ยังคิดจะหักเลี้ยวกลับ
กู้ซีจิ่วยกมือลงบนจุดหนึ่งตรงแผ่นหลังเขา นี่คือบทลงโทษประเภทหนึ่ง เมื่อถูกเคาะที่จุดนี้ ทั้งร่างจะเจ็บปวดเหมือนโดนมีดฟัน ทำให้คนต้องยอทมแพ้ “ถ้าเจ้าพล่ามอีกประโยคหนึ่งข้าจะฆ่าเจ้าซะ! ขับตามเส้นทางเดิมต่อไป!”
—————————————————-
บทที่ 1107 หนีไป 4
กะลาสีนิ่งอึ้ง ร้องเสียงหลง “ท่านไม่ใช่ซย่าปู้อี้! ท่านเป็นใคร?”
ที่แท้หัวหน้าที่กู้ซีจิ่วแปลงโฉมผู้นี้ชื่อซย่าปู้อี้ ตอนนี้เธอคร้านที่จะแสดงอีกต่อไปแล้ว “ไม่ต้องสนว่าข้าเป็นใคร ขับเรือของเจ้าต่อไป! มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเจ้าเสีย!”
คนผู้นั้นหน้าขาวซีด เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวมาก แต่เขาไตร่ตรองได้ว่าพวกกู้ซีจิ่วไม่รู้ทักษะการเดินเรือ ดังนั้นจึงหักใจข่มขู่ออกไป “ท่านฆ่าข้าเสียเถิด! ข้าตายไปพวกท่านก็ไปไหนไม่รอด! เรือนี้มีเพียงข้าที่ขับได้ อีกทั้งอากาศภายในเรือลำนี้ก็มีจำกัด หากเกินหนึ่งชั่วยาม มันจะหมดสิ้นไปโดยสมบูรณ์…”
กู้ซีจิ่วทอดถอนใจ “ขอบคุณที่เจ้าบอกข้ามากมายถึงเพียงนี้ ข้าเลื่อมใสคนที่ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจมาแต่ไหนแต่ไร ในเมื่อเจ้ามุ่งมั่นขอรับความตาย เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงช่วยให้เจ้าสมหวัง” เธอพลันส่งมือไปด้านหน้า
เลือดกระฉูดจากคอคนผู้นั้น ดวงตาเบิกโตที่จ้องมองกู้ซีจิ่วค่อยๆ ปิดลง สิ้นใจแล้วยังไม่รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเหตุใดจึงใจกล้าเยี่ยงนี้
เดิมทีหลงซือเย่กำลังคิดการบางสิ่งอยู่ แต่การกระทำของกู้ซีจิ่วรวดเร็วเกินไป เขาไม่ทันได้ห้ามปราม “เธอฆ่าเขา พวกเราก็หมดหนทางเดินเรือแล้ว…”
กู้ซีจิ่วก้าวไปยืนตรงหน้าแผงควบคุมแล้ว “วางใจเถอะ ฉันขับเป็นแล้ว ไม่ต้องใช้เขาอีก”
เพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้ เดิมทีเรือโคลงเคลงอย่างรุนแรง เคราะห์ดีที่กู้ซีจิ่วกดปุ่มแต่ละปุ่มด้วยความรวดเร็ว ผ่านไปครู่หนึ่ง เรือนั้นก็แล่นไปด้านหน้า
หลงซือเย่นิ่งอึ้ง อัจฉริยะ! ตัวเขาเองก็นับว่าปราดเปรื่องยิ่งแล้ว แต่กู้ซีจิ่วปราดเปรื่องยิ่งกว่า ฉลาดหลักแหลมจนเข้าขั้นพิสดาร ทักษะการเดินเรือที่สลับซับซ้อนเธอยังเรียนรู้ได้รวดเร็วปานนี้!
เครื่องส่งสัญญาณเตือนบนเรือดังปี๊บๆ ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าหากไม่ย้อนกลับไป เสียงสัญญาณเตือนนี้จะดังต่อไปไม่หยุด
กู้ซีจิ่วระคายหูยิ่งนัก จึงทุบกำปั้นไปทีหนึ่ง ในที่สุดก็ได้โล่งหูเสียที
เคราะห์ดีที่เส้นทางออกจากที่นี่มีเพียงเส้นทางเดียว แค่กู้ซีจิ่วบังคับเรือให้แล่นไปตามทางลาวานี้ก็เรียบร้อยแล้ว
แรกเริ่มเธอยังบังคับเรือไม่ค่อยชำนาญนัก ขับเรือคดไปเคี้ยวมาเล็กน้อย แต่หลังจากขับไปได้ครึ่งนาที เธอก็เทียบชั้นกับกะลาสีมือดีคนนั้นได้แล้ว ขับได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง
สิบนาทีต่อมา ในที่สุดเรือลำนั้นทะลวงออกมาจากก้นบึ้งลาวา พวกกู้ซีจิ่วได้ยลท้องฟ้าที่ไม่ได้พบเจอมานาน!
เรือจอดเทียบท่าอย่างรวดเร็ว กู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่ไม่รอช้า เปิดห้องโดยสารเรือออกแล้วกระโจนขึ้นฝั่งทันที…
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าร่างกายตัวเองไม่สู้ดีตั้งแต่ออกมา!
สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงร้อนดังเพลิงเผาไหม้ ยังมีกลุ่มเมฆหนาแน่นจากเถ้าธุลีภูเขาไฟ ยามเธอออกมาก็ร้อนจนเหงื่อโซมกาย ไอติดต่อกันอยู่หลายครา
เนื่องจากเขม่าที่นี่หนาแน่นเกิน ทัศนวิสัยก็พร่ามัวยิ่งนัก กู้ซีจิ่วไม่กล้าเคลื่อนย้ายในพริบตาสุ่มสี่สุ่มห้า เพื่อป้องกันไม่ให้เคลื่อนย้ายเข้าไปในลาวา ในขณะที่กำลังคิดหาทางหนี หลงซือเย่ฉุดมือเธอไว้ “ฉันจำทางได้ ตามฉันมา!”
ตอนแรกที่ถูกควบคุมตัวมาที่นี่ เขายังคงมีภาพจำอยู่รางๆ
เขาจับมือกู้ซีจิ่วเตรียมจะใช้วิชาตัวเบาโผนทะยานไป กู้ซีจิ่วกลับพลิกมือจับเขาไว้
สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย สายตาจ้องมองเธอ “เธอ…ยังไม่เชื่อใจฉัน?”
กู้ซีจิ่วขัดจังหวะเขา “คุณบอกทางมา ฉันจะพาคุณเคลื่อนย้ายในพริบตา แบบนี้รวดเร็วกว่า!”
หลงซือเย่โล่งใจ ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก “ตกลง!” ทั้งสองร่วมมือกัน พริบตาเดียวก็พลันหายวับไปจากที่เดิม
รอจนหลงฟั่นระดมคนโดยสารเรือลำอื่นมา ก็พบเพียงเรือเล็กลอยละล่องอยู่กลางลาวาพร้อมกับศพกะลาสีคนนั้น ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนทั้งสองบนเรือ
หลงฟั่นกำหมัด วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาของกู้ซีจิ่วช่างเป็นสิ่งที่สวรรค์ประทานให้ใช้หลบหนีโดยแท้ รวดเร็วเสียยิ่งกว่าโบยบิน อีกทั้งขอแค่นางขึ้นจากฝั่งได้ วิชาเคลื่อนย้ายของนางก็จะไม่ถูกควบคุมอีกต่อไป สามารถใช้งานได้สมดังใจ หากคิดจะไล่ล่าอีกครั้งคงยากยิ่งแล้ว…
———————————————————-
บทที่ 1108 เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเช่นจิ้งจอก
เขาเดินดูโดยรอบเรือลำนั้น พร้อมทิ้งซากศพกะลาสีลงในลาวา จากนั้นเขาเห็นเครื่องส่งสัญญาณเตือนที่ถูกทุบจนบุบ จากคราบเลือดบนเรือสันนิษฐานได้ว่ากู้ซีจิ่วยึดครองเรือได้เมื่อใด…
เขายังพบกระดาษหนึ่งแผ่นที่มุมหนึ่งของห้องโดยสารเรือ ด้านบนใช้เลือดของกะลาสีเขียนประโยคที่เปี่ยมด้วยพลังหนึ่งบรรทัดว่า ‘ข้าจะกลับมาแน่!’
หลงฟั่นจ้องกระดาษแผ่นนั้นที่ไม่รู้ว่าเป็นการแสดงอำนาจหรือแจ้งเตือน ขณะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ก็รู้สึกเลื่อมใสสาวน้อยคนนี้อยู่บ้าง ถึงขั้นภาคภูมิใจในตัวเองด้วยซ้ำ
สมกับเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบที่สุดของเขา ไม่เพียงเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเช่นสุนัขจิ้งจอก ยังปราดเปรื่องจนน่ากลัว…
ดูเหมือนว่าหนีไปแล้วแม่นางน้อยจะเบิกบานใจเสียเหลือเกิน จึงทิ้งข้อความไว้ให้เขาบรรทัดหนึ่ง…
หากแต่ฟ้าลิขิตให้แม่นางน้อยหนีไม่พ้น เพราะเขาติดตั้งจีพีเอสไว้ภายในร่างกายของเธอแล้ว เขาสามารถหาตำแหน่ง และจับตัวเธอกลับมาได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรเสียท่านเจ้าเพิ่งออกไปไม่นาน ปล่อยให้แม่นางน้อยได้ใจอีกสักหนึ่งถึงสองชั่วยาม ไม่ต้องรีบร้อน
หลงฟั่นยกมุมปากยิ้มบางๆ ‘เสี่ยวซีจิ่ว เธอหนีไม่พ้นเงื้อมมือของพ่อหรอก!’
เขาพลันตั้งตารอคอย รอคอยว่าสาวน้อยจะมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อเห็นเขาโบยบินลงมาจากฟากฟ้า…
หากให้ใครคนหนึ่งซึ่งเดิมทีกำลังผิดหวังถูกจับได้ เธอคงมึนงง หรืออาจจะรู้สึกโล่งใจด้วยซ้ำ
แบบนั้นคงจะไม่สาแก่ใจ ต้องปล่อยให้เธอเข้าใกล้ความสำเร็จมากที่สุดแล้วจัดการในคราวเดียว ถึงจะโจมตีเธอได้หนักหน่วงที่สุดและจำฝังใจ
แม่นางน้อยผู้นี้ทำลายเรื่องดีๆ ของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เขาเสียเปรียบอยู่หลายครา ถึงแม้เขาเอ็นดูเธอ ทว่าก็ควรให้บทเรียนที่โหดร้ายกับเธอเสียบ้าง จะได้รู้จักลดวาราศอก!
เขาไม่คิดจะแจ้งท่านเจ้า เพื่อไม่ให้ท่านเจ้าจิตใจวอกแวก ตอนนี้ท่านเจ้ากำลังทำการใหญ่ซึ่งเกี่ยวพันกับว่าเหล่ามารจะปกครองใต้หล้าได้หรือไม่ ไม่อาจทำให้ใจไม่สงบเพราะผู้หญิงคนเดียว อีกอย่างเขาก็เชื่อมั่นว่าเขาจะจับสาวน้อยกลับมาได้
เขาหลุบตาลงเล็กน้อย หยิบสิ่งของที่คล้ายกับเข็มทิศขึ้นมา ก่อนเริ่มการเหนี่ยวนำค้นหาตำแหน่งของกู้ซีจิ่ว เห็นด้านบนปรากฏจุดสีแดงของเธอซึ่งกำลังเคลื่อนที่อย่างบ้าระห่ำ เห็นได้ชัดว่าเธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาอยู่บ่อยครั้ง ยามนี้ เคลื่อนย้ายออกจากเขาลูกนี้ไปแล้ว…
เขาแน่นิ่ง เพียงคอยท่าอยู่เงียบๆ ไปไล่ล่าขณะเธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายอยู่บ่อยครั้ง เห็นทีจะไม่ฉลาด รอจนเธอคิดว่าปลอดภัย หยุดการเคลื่อนย้ายในพริบตาแล้วค่อยไล่ล่าก็ยังไม่สาย วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตาสิ้นเปลืองพลังวิญญาณยิ่งนัก เธอต้องตอนที่เหนื่อยจนไม่อาจเคลื่อนย้ายได้!
เขาเหมือนแมวที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด รอให้เหยื่อหลบหนี เมื่อใดที่เหยื่อจะหนีไปได้ก็ค่อยตะครุบ…
ที่นี่คือภูเขาไฟซึ่งยังปะทุอยู่ ไร้ซึ่งผู้คนโดยรอบในระยะร้อยลี้ เขาจึงไม่กลัวว่าหลังจากกู้ซีจิ่วออกไปแล้วจะติดต่อขอความช่วยเหลือ หนึ่งคือเธอไม่มีเครื่องมือติดต่อสื่อสารใดติดตัว ต่อให้อยากติดต่อใครก็ไม่มีทางเป็นไปได้ สองคือเธอสูญเสียความทรงจำในชาตินี้ไปแล้ว น่าจะจำตี้ฝูอีไม่ได้อีก อีกทั้งยังจำสหายเหล่านั้นไม่ได้ เธอคงไม่รู้ว่าจะไปหาใครดี นอกเสียจากว่าเธอจะแสร้งทำเป็นสูญเสียความทรงจำ…
คนที่น่าจะเปิดเผยความลับได้ก็มีแต่หลงซือเย่ เขาเป็นถึงเจ้าสำนักถามสวรรค์ เมื่อออกไปได้แล้วต้องส่งข่าวให้กับบริวารเป็นอย่างแรก ไม่แน่ยังอาจหาหนทางแจ้งเตือนตี้ฝูอีด้วย
แต่เขาเพิ่งทำร้ายกู้ซีจิ่ว เล่นงานจนเธอบาดเจ็บสาหัสเกือบถึงแก่ชีวิต เกรงว่าตี้ฝูอีคงอยากฆ่าเขาให้ตาย ไยจะมาเชื่อคำพูดของเขา?
จากข่าวที่ท่านเจ้าได้รับมา ยามนี้ตี้ฝูอีหยุดพักอยู่ในเมืองใหญ่รุ่งเรืองห่างไกลออกไปเป็นพันลี้ มีผู้ทรงศีลสองคนที่เขาส่งออกมาสืบเสาะหาร่องรอยมาร
—————————————————-
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น