พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1097-1098
บทที่ 1097 ไฟโกรธของหยางชิ่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
พูดจาชัดเจนขนาดนี้ มีหรือที่จะยังไม่เข้าใจ
แต่มีอยู่บางจุดที่ยังไม่เข้าใจ เหมียวอี้ถามอย่างสงสัยว่า “คนที่อยู่ในระดับอย่างเฟิงเป่ยเฉิน อย่าบอกนะว่ายังขาดผู้หญิง ทำไมต้องเอาลูกศิษย์ของตัวเองมาเป็นเมีย?”
ฉินซีกล่าวช้าๆ ว่า “เจ้าไม่ได้มีความคิดสกปรกโสมมแบบนั้น ก็ย่อมไม่เข้าใจเขาอยู่แล้ว ข้าร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขามาหลายปี ย่อมรู้ดีกว่าเจ้าว่าเขาเป็นคนอย่างไร ภายนอกแต่งตัวดูดี วางมาดสง่าภูมิฐาน แต่รสนิยมพิเศษบางอย่างที่เขาทำลับหลัง เจ้าไม่มีทางจินตนาการได้หรอก ยกตัวอย่างเช่นฮูหยินภรรยาเอกของเจ้าคนนั้น ในปีนั้นตอนที่ยังอยู่ในฐานะหลานสะใภ้ของเฟิงเป่ยเฉิน อย่าไปมองว่าเฟิงเป่ยเฉินมักตำหนินางที่แต่งตัวเปิดเผยไม่เรียบร้อย แต่สิ่งที่เผยออกมาจากแววตาที่เฟิงเป่ยเฉินมองนาง คนอื่นไม่รู้ แต่ข้ากลับรู้ว่าเขาคิดอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะเกรงกลัวปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนที่หนุนหลังอวิ๋นจือชิวอยู่ เกรงว่าเขาคงยื่นมือมารไปที่อวิ๋นจือชิวนานแล้ว และแน่นอน สาเหตุที่เอาลูกศิษย์ของตัวเองมาเป็นผู้หญิงของตัวเอง ก็ไม่ใช่เพราะเป็นรสนิยมพิเศษของเขาอย่างเดียว ที่สำคัญกว่านั้นเป็นเพราะลูกหลานของเขาโดนฆ่าตายไปเกือบหมด ไม่เหมือนอวิ๋นอ้าวเทียนกับจีฮวนที่ยังมีลูกหลานมากมาย เขาไม่มีคนที่เชื่อใจได้มากพอที่จะทำงานให้เขา เขาเอาใจตัวเองไปวัดใจคนอื่น จึงมักจะกลัวว่าลูกศิษย์ของตัวเองจะพึ่งพาไม่ได้ เลยใช้ความสำพันธ์อีกอย่างมาผูกมัดลูกศิษย์ตัวเองไว้ สาเหตุที่ทำให้ลูกหลานเกิดมา ก็เพราะอยากจะผูกมัดให้แน่นหนาขึ้นสักหน่อย ที่เหมียวจวินอี๋แต่งงานกับโม่หมิง ก็เพื่อที่จะช่วยเขาควบคุมสำนักงามวิจิตร ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ นางเป็นเครื่องมือที่มีไว้ให้เขาใช้งานเท่านั้น”
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอวิ๋นจือชิว แต่นางจงใจจะเอ่ยถึงอวิ๋นจือชิว จะเตือนเหมียวอี้ว่าอวิ๋นจือชิวในปีนั้นไม่เรียบร้อย ผู้หญิงปกติจะแต่งตัวยั่วยวนผู้ชายแบบนั้นได้อย่างไรกัน อยากจะสร้างหนามเอาไว้ในใจเหมียวอี้ สรุปก็คือนางไม่พอใจที่ลูกสาวตัวเองได้เป็นอนุภรรยา นางหวังนิดหน่อยว่าเหมียวอี้จะถอดอวิ๋นจือชิวและยกลูกสาวนางขึ้นมาเป็นภรรยาเอก ตราบใดที่เป็นแม่คน ความคิดแบบนี้ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะนางไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไร นางคงไม่มีทางยอมให้ฉินเวยเวยเป็นอนุภรรยาของเหมียวอี้
เหมียวอี้ใจกว้างกับอวิ๋นจือชิว ตอนที่ได้ครอบครองมา ร่างกายอวิ๋นจือชิวก็ยังไม่มีอะไรเสียหาย ในใจไม่รู้สึกเสียใจทีหลัง ดังนั้นจึงไม่คิดอะไรตามคำเตือนของนางเลย แต่กลับตกใจในความวิปริตของเฟิงเป่ยเฉิน พอนึกว่าฉินเวยเวยตกอยู่ในน้ำมือเฟิงเป่ยเฉิน เขาก็เริ่มกลัวขึ้นมาแล้ว รีบถามว่า “เวยเวยตกอยู่ในมือเขาแบบนั้น นางจะเป็นอะไรรึเปล่า? เวยเวยเป็นคนหัวโบราณ ถ้าประสบกับเรื่องแย่ๆ แบบนั้น เกรงว่านางอาจจะอยากตายได้”
ฉินซีตอบว่า “ก่อนที่จะตกลงเงื่อนไขกับเจ้าสำเร็จ เขาคงจะยังไม่ทำอะไรซี้ซั้ว เขาไม่ยอมให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาทำให้เขาแผนพังหรอก สำหรับเขาแล้ว ความสำเร็จสำคัญกว่าผู้หญิง แต่ถ้าข้อตกลงนี้ไม่มีทางสำเร็จได้ สัตว์ร้ายที่สวมอาภรณ์หรูหราอย่างเฟิงเป่ยเฉินก็ไม่เกรงใจแน่ ประการแรกคือบอกให้เจ้ารู้ถึงวิธีการช่วยชีวิตเวยเวย ประการต่อมาคือวรยุทธ์ข้าต่ำ ถ้ารอจนกว่าข้าจะตามกลับไปถึง ก็ยังไม่รู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินจะทำอะไรกับเวยเวยบ้าง ข้าต้องการให้เจ้ารีบพาข้ากลับไปส่งที่นภาอู๋เลี่ยง จากนั้นเจ้าค่อยไปที่สำนักงามวิจิตร ขอเพียงข้าได้ไปดูอยู่ข้างกายเฟิงเป่ยเฉิน คอยเฝ้าจับตาดูไว้ ต่อให้เฟิงเป่ยเฉินจะหน้าด้านกว่านี้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำอะไรซี้ซั้วเหมือนกัน”
“ไป!” เหมียวอี้รอไม่ไหวแม้แต่นิดเดียว ฉินเวยเวยตกอยู่ในมือคนวิปริตประเภทนั้น เขานึกแล้วรู้สึกกลัว ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าเฟิงเป่ยเฉิน หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยจะเป็นคนที่น่ารังเกียจแบบนั้น ลงมือผนึกพลังอิทธิฤทธิ์ของฉินซีทันที แล้วดึงแขนนางแฉลบขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้นแล้ว
การดึงคนให้เหาะไปด้วยกันทำให้ความเร็วลดลง ฉินซีไม่อยากให้คนเห็นว่าเหมียวอี้กับเขาอยู่ด้วยกัน โดนเหมียวอี้ดึงไว้ในมือแบบนี้ทำให้รู้สึกอึดอัดเช่นกัน จึงเป็นฝ่ายขอเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสัตว์ของเหมียวอี้
ระหว่างทางกลับที่รีบเร่ง เหมียวอี้ก็รีบนำระฆังดาราออกมาติดต่อกับสงเวยและหงเทียนแห่งทะเลดาวนักษัตร ให้ทั้งสองรีบระดมยอดฝีมือของทะเลดาวนักษัตรไปที่นภาอู๋เลี่ยง…
ยอดเขาหยกนครหลวง หยางชิ่งเงียบงันอยู่ในห้องศิลาเรียกได้ว่าทำสีหน้าคับแค้น สองมือกำหมัดแน่น
ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่ตนรักษาไว้ในฝ่ามือ สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของเขา ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยทำให้นางได้รับความลำบากอะไร แต่วันนี้กลับตกอยู่ในมือของเฟิงเป่ยเฉิน ไม่รู้ว่าจะได้รับความลำบากอะไรบ้าง ไฟโกรธที่เดือดดาลในใจยากที่จะสงบลงได้
หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่ออวิ๋นจือชิว
ใช้เวลาเพียงชั่วประเดี๋ยวเดียว เขาก็ตัดสินใจได้แล้ว เขาเตรียมตัวล้างแค้นแล้วหากฉินเวยเวยไม่สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะช่วยฉินเวยเวยให้รอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่ เขาก็จะไม่ปล่อยเฟิงเป่ยเฉินไป ตัดสินใจแล้วว่าจะกำจัดเฟิงเป่ยเฉิน!
ที่จริงอวิ๋นจือชิวกำลังอยู่ระหว่างทางกลับพิภพเล็ก ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังเหาะเพียงลำพังอยู่บนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ใกล้จะถึงพิภพเล็กแล้ว
จู่ๆ ก็ได้รับข้อความจากหยางชิ่ง จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า : เกิดอะไรขึ้น?
หยางชิ่ง : นายท่านกับเฟิงเป่ยเฉินประมือกัน เวยเวยถูกเฟิงเป่ยเฉินจับตัวไปแล้ว
อวิ๋นจือชิวตกใจมาก : เรื่องเป็นอย่างไรบ้าง?
หยางชิ่งเล่าสิ่งที่ได้รู้จากเหมียวอี้ให้นางฟังคร่าวๆ ทันที
เมื่อได้ทราบว่าเฟิงเป่ยเฉินสู้กับเหมียวอี้ไม่ไหว อวิ๋นจือชิวก็ทั้งดีใจทั้งตกใจ ดีใจเพราะศักยภาพของเหมียวอี้ ตกใจเพราะถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป คนที่เหมียวอี้ต้องเผชิญหน้าด้วยคงไม่ได้มีแค่เฟิงเป่ยเฉินคนเดียวแน่ เหมียวอี้ผงาดขึ้นมารวดเร็วขนาดนี้ ถ้าอีกห้าปราชญ์ไม่กังวลก็แปลกแล้ว
หลังจากใช้ความคิดแล้ว อวิ๋นจือชิวก็รีบปลอบโยน : ผู้การหยางไม่ต้องกังวล ต้องเชื่อในความสามารถของนายท่าน นายท่านจะต้องหาทางช่วยน้องเวยเวยกลับมาได้แน่
หยางชิ่ง : ข้าน้อยจะต้องแจ้งเรื่องนี้ต่อท่านทูต โอกาสที่นายท่านจะแทนที่ปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินมาถึงแล้ว ข้าน้อยคิดว่าจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด
อวิ๋นจือชิว : หมายความว่าอย่างไร?
หยางชิ่ง : เฟิงเป่ยเฉินแพ้ถอยกลับไป จะต้องเรียกรวมยอดฝีมือบงกชทองที่นภาอู๋เลี่ยงเอเตรียมทำศึกแน่ แต่ละสายของแดนอู๋เลี่ยงไม่มีนักพรตบงกชทองนั่งรักษาการณ์แล้ว สายมะโรงของเราอยู่ใกล้กับแดนอู๋เลี่ยง ภายใต้ความได้เปรียบในการระดมพลและบัญชาการกองทัพไปทางใต้ แดนอู๋เลี่ยงก็ต้องนึกไม่ถึงแน่ๆ ว่ากำลังพลฝั่งแดนเซียนจะรุกโจมตีในขอบเขตที่ใหญ่ขนาดนี้ ก่อนที่แดนอู๋เลี่ยงจะระดมกำลังพลทันเวลา ก็ไม่มีทางต้านทานกองทัพใหญ่นับล้านของข้าได้เลย ลั่นกลองรบปลุกใจให้ตีชนะไปทีละอาณาเขต ทำลายรากฐานนับหมื่นปีของเฟิงเป่ยเฉินให้สิ้นซาก ถึงตอนนั้นต่อให้เฟิงเป่ยเฉินจะหลบภัยครั้งนี้ไปได้ แต่เบื้องล่างไม่กำลังทหารให้ควบคุมแล้ว เขาคนเดียวต่อให้จะมีวรยุทธ์สูงแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ แดนอู๋เลี่ยงย่อมต้องเปลี่ยนยุคสมัยใหม่ ถึงตอนนั้นก็เป็นไปไม่ได้แล้วที่เฟิงเป่ยเฉินจะเงยหน้าอ้าปาก
อวิ๋นจือชิวได้ยินแล้วทั้งตกใจทั้งโมโห ตำหนิว่า : หยางชิ่ง! ขนาดเฟิงเป่ยเฉินสู้กับนายท่านตัวต่อตัว นายท่านยังทำอะไรเขาไมได้เลย ถ้าเขาเรียกรวมยอดฝีมือจากสายต่างๆ มาช่วย นายท่านจะไม่เป็นอันตรายเหรอ!
หยางชิ่ง : นายท่านติดต่อกับคนของทะเลดาวนักษัตรแล้ว มียอดฝีมือของทะเลดาวนักษัตรมาช่วย ตราบใดที่นายท่านสามารถรับมือกับเฟิงเป่ยเฉินได้ ก็จะไม่เป็นอะไรแน่นอน
อวิ๋นจือชิว : สายมะโรงมีการระดมกำลังพลใหญ่โตขนาดนี้ มีหรือที่แดนโพ้นสวรรค์จะไม่รู้ ถ้าแดนโพ้นสวรรค์ส่งคนมายับยั้งในทันที ถอดอำนาจของท่านทูตทิ้ง แล้วกำลังพลสายมะโรงจะรุกโจมตีไปทางใต้ได้ยังไง?
หยางชิ่ง : ขอเพียงท่านทูตยินยอม หยางชิ่งยินดีจะไปคุยต่อหน้าท่านปราชญ์ที่แดนโพ้นสวรรค์ทันที จะต้องโน้มน้าวให้ปราชญ์เซียนปิดตาข้างเดียวได้อย่างแน่นอน
อวิ๋นจือชิว : เจ้าจะโน้มน้ามอย่างไร?
หยางชิ่งย่อมมีข้ออ้างมาชี้แจงอยู่แล้ว สรุปก็คือเป้าหมายของเขาใหญ่มาก อาจจะใช้ผลประโยชน์มาทำให้มู่ฝานจวินสงบลง ใช้กำลังพลของสายมะโรงแดนเซียนโจมตีแดนอู๋เลี่ยง ดึงกำลังพลของทะเลดาวนักษัตรมาเสริมเพื่อแก้ไขจุดด้อยให้สายมะโรง อาศัยโอกาสนี้กดดันให้กลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรแตกหักกับปราชญ์ปีศาจจีฮวน ทำให้กลุ่มปีศาจของทะเลดาวนักษัตรหมดทางหนีทีไล่ จนจำเป็นต้องสนับสนุนเหมียวอี้ให้ครอบครองอาณาเขตแดนอู๋เลี่ยงมาเป็นของตัวเองคนเดียว
สิ่งเดียวที่หยางชิ่งกังวลก็คือฝ่ายปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน ถ้าอวิ๋นจือชิวมีวิธีการทำให้อวิ๋นอ้าวเทียนสงบลงได้ ขอเพียงอวิ๋นอ้าวเทียนกับมู่ฝานจวินยืนอยู่ฝ่ายเหมียวอี้ เหมียวอี้มีศักยภาพเทียบเท่าเฟิงเป่ยเฉิน ปราชญ์พุทธฉางเหลย ปราชญ์ผีซือถูเซี่ยวและปราชญ์ปีศาจจีฮวนก็จะไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแล้ว ส่วนแนวโน้มที่เหมียวอี้จะมาแทนที่เฟิงเป่ยเฉินก็ถูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว กลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์คนใหม่
ดังนั้นหยางชิ่งจึงถามอวิ๋นจือชิวแค่คำเดียว ว่ามีความมั่นใจขนาดไหนที่จะจัดการกับปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน!
จากที่เขารู้จักอวิ๋นจือชิวมาหลายปี เขารู้สึกว่าสามารถทำให้อวิ๋นจือชิวหวั่นไหวได้แน่นอน ทำให้อวิ๋นจือชิวคิดหาทางจัดการปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนได้แน่นอน
ทำให้เหมียวอี้กลายเป็นหนึ่งในหกปราชญ์! อวิ๋นจือชิวหวั่นไหวแล้วจริงๆ ใจเต้นโครมๆ แล้ว
มีอยู่จุดหนึ่งที่หยางชิ่งไม่รู้ แต่อวิ๋นจือชิวกลับรู้ ว่าการดึงกำลังพลของทะเลดาวนักษัตรมาสนับสนุนเหมียวอี้ไม่ใช้ปัญหาอะไรเลย ประมุขถิ่นสี่ทิศกับเหมียวอี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ธรรมดาอย่างที่คนนอกเห็น พวกเขาถูกผูกมัดไว้แล้วจริงๆ ส่วนในมือนางก็มีไพ่ใบสุดท้ายที่จะควบคุมปู่ของนางเหมือนกัน จะไม่ให้นางใจสั่นหวั่นไหวได้อย่างไร
เพียงแต่ว่า…อวิ๋นจือชิวถาม : เรื่องนี้เจ้าปรึกษากับนายท่านหรือยัง? นายท่านมีความเห็นอย่างไร?
หยางชิ่ง : เปล่าขอรับ! ท่านทูตต่างหากที่กุมอำนาจของกำลังพลสายมะโรง การจะระดมกำลังพลของสายมะโรง ย่อมต้องให้ท่านทูตยินยอม แล้วอีกอย่าง อันหรูอวี้กับสามีก็อยู่ในมือมู่ฝานจวิน นิสัยอีกด้านของนายท่านคือเด็ดเดี่ยวที่จะเสี่ยงอันตราย แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นคนที่ลังเลเพราะเห็นแก่ความรัก ให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากเกินไป เกรงว่าคงไม่ให้พวกเขาสามีภรรยาได้รับความเสี่ยง เกรงว่าจะไม่ตอบตกลง ดังนั้นถึงได้มาปรึกษากับท่านทูต
อวิ๋นจือชิวคิดในใจว่า คนที่ถูกบีบอยู่ในมือมู่ฝานจวินมีแค่อันหรูอวี้กับสามีเสียที่ไหนกัน น้องสาวของเหมียวอี้ก็อยู่ในมือมู่ฝานจวินด้วย ถ้าเกิดเรื่องที่เหนือขอบเขตการควบคุมขึ้นมา ก็เป็นไปได้สูงว่าจะส่งผลต่อความปลอดภัยของเยว่เหยา
เพียงแต่นางไม่อยากเปิดเผยให้หยางชิ่งรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเหมียวอี้กับเยว่เหยา จึงถอนหายใจ แล้วตอบว่า : เรื่องนีเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอันหรูอวี้และสามี เกรงว่านายท่านจะไม่ตอบตกลงเรื่องนี้ ข้าว่าช่างมันเถอะ!
หยางชิ่งจึงบอกว่า : ท่านทูต เรื่องที่นายท่านเอาชนะเฟิงเป่ยเฉินได้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องแพร่ออกไป ถึงอย่างไรนายท่านกับเฟิงเป่ยเฉินก็ยังต้องสู้กันอีกครั้ง ศักยภาพของนายท่านตอนนี้ ถ้าอยากจะปิดบังก็คงทำไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ถ้าไม่อยู่ในสภาวะที่สมดุลกับหกปราชญ์ หกปราชญ์ก็ยิ่งปล่อยเหมียวอี้ไปไม่ได้ ยังไม่ต้องพูดถึงพวกนี้หรอก ต่อให้นายท่านไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง อันหรูอวี้กับสามีก็ยังถูกควบคุมอยู่ในมือของมู่ฝานจวินอยู่ดี ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็เป็นแบบนี้เหมือนเดิม ทำไมไม่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดในยามวิกฤตไปเสียเลยล่ะ? ไม่สู้ปิดบังนายท่านไว้ก่อน ให้นายท่านได้สู้กับเฟิงเป่ยเฉินอย่างไร้กังวล ถ้าเรื่องราวลุกลามขยายใหญ่ขึ้น นายท่านก็ไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว หลังจากจบเรื่องแล้วนายท่านได้สวมเสื้อเหลืองคลุมกาย[1] ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งปราชญ์ ได้รับการเคารพบูชาจากคนนับหมื่น นายท่านก็จะเข้าใจความเพียรพยายามของพวกเรา
อวิ๋นจือชิวพูดไม่ออกแล้ว สิ่งที่หยางชิ่งพูดคือเรื่องที่นางกังวลที่สุดจริงๆ เหมียวอี้ผงาดขึ้นเร็วเกินไป ตอนนี้เปิดเผยเบาะแสแล้ว ถ้าไม่ฉวยโอกาสหาทางเลื่อนขั้น หลังจากจบเรื่องจะต้องกลายเป็นภรรยาตัวเล็กๆ ที่ได้รับความลำบากไปทั่วอีกแน่ๆ
หลังจากครุ่นคิดซ้ำๆ อวิ๋นจือชิวก็กัดฟันตอบว่า : จัดการตามที่เจ้าบอกแล้วกัน
หยางชิ่งถามอีกว่า : ท่านทูตจะกลับมาเมื่อไร?
เขาไม่รู้เรื่องที่พิภพใหญ่ นึกว่าอวิ๋นจือชิวอยู่ที่พิภพเล็ก
อวิ๋นจือชิว : อีกครึ่งวันก็ถึงแล้ว
ดังนั้นทั้งสองจึงตัดสินใจว่าจะคุยรายละเอียดอีกทีหลังจากพบหน้ากัน
จากนั้นอวิ๋นจือชิวก็ติดต่อเหมียวอี้เพื่อถามสถานการณ์จากเขาอีก หลังจากถามเหมียวอี้ว่าจะช่วยฉินเวยเวยอย่างไรแล้ว นางเองก็ตกใจเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าเฟิงเป่ยเฉินจะเป็นคนประเภทนั้น ถึงขนาดเคยคิดไม่ซื่อกับนางด้วย คิดๆ แล้วยังขนลุก
…………………………
[1] สวมเสื้อเหลืองคลุมกาย 黄袍加身 อุปมาว่าได้เป็นใหญ่ เป็นกษัตริ
บทที่ 1098 เฟิงเป่ยเฉินที่ตัดต้นไม้
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในเมื่อต้องการจะทำ อวิ๋นจือชิวก็มีแผนการของตัวเองเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องจะให้บอกหยางชิ่งเสียทั้งหมดไม่ได้
หลังจากมาถึงพิภพเล็ก อวิ๋นจือชิวก็เรียกฝูชิงและอิงอู๋ตี๋ออกมาจากกระเป๋าสัตว์ และยังไม่ได้แยกทางกับทั้งสอง แต่พาทั้งสองเหาะตรงกลับมาที่ยอดเขาหยกนครหลวง
หลังจากวางแผนลับกับหยางชิ่งแล้ว หยางชิ่งก็กล่าวขอตัวออกจากยอดเขาหยกนครหลวง ไปทำหน้าที่นักวิ่งเต้นที่แดนโพ้นสวรรค์เพียงลำพัง
“ไม่น่าเชื่อว่าจะไปขอพบมู่ฝานจวินที่แดนโพ้นสวรรค์คนเดียว สงสัยเฟิงเป่ยเฉินจะยั่วให้หยางชิ่งโมโหแล้วจริงๆ หัวใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่ในโลกนี้ช่างน่าสงสาร”
ใต้ตึกปราสาททอง ขณะที่อวิ๋นจือชิวมองส่งจนหยางชิ่งหายลับไปกับเส้นขอบฟ้า ตอนนี้นึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เหมียวอี้บอก ว่าฉินเวยเวยเป็นลูกสาวแท้ๆ ของหยางชิ่งและฉินซี นางก็ยังรู้สึกคาดคิดไม่ถึงอยู่บ้าง นางถอนหายใจเบาๆ แล้วเหาะไปยังเรือนเดี่ยวสำหรับรับรองแขกทันที
เมื่อเห็นฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋กำลังพักผ่อน อวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้ปิดบัง บอกไป “นายท่านกับเฟิงเป่ยเฉินประมือกัน เฟิงเป่ยเฉินแพ้ถอยไป แต่จับตัวฉินเวยเวยไปด้วย”
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด ฝูชิงพยักหน้าบอกว่า “พี่ใหญ่กับเจ้าสี่กำลังระดมนักพรตระดับบงกชทองทั้งหมดของทะเลดาวนักษัตร เจ้าห้าโมโหมาก ต้องการจะโจมตีนภาอู๋เลี่ยงให้ราบ พี่ใหญ่กับเจ้าสี่บอกเรื่องนี้กับพวกเราแล้ว”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “โจมตีนภาอู๋เลี่ยงให้ราบแล้วยังไงล่ะ? ตีงูไม่ตายก็จะมีปัญหาตามมาไม่จบสิ้น ไม่ว่านายท่านจะจัดการเฟิงเป่ยเฉินได้หรือไม่ ข้าก็ไม่อยากให้เฟิงเป่ยเฉินมีโอกาสฟื้นคืนกลับมา ถ้าจะทำก็ต้องถอนรากถอนโคนของเฟิงเป่ยเฉินให้หมด ข้าจะบอกพี่ชายทั้งสองให้รู้ ว่าข้ากำลังจะออกคำสั่งระดมทัพใหญ่หนึ่งล้านของสายมะโรง บัญชาการกองทัพให้บุกโจมตีแดนอู๋เลี่ยง แต่จนใจที่กำลังพลสายมะโรงของข้าอ่อนด้อยกว่ากำลังพลสิบสองสายของแดนอู๋เลี่ยง ดังนั้นจึงอยากขอให้พี่ชายทั้งสองติดต่อกับทางทะเลดาวนักษัตรเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แค่นักพรตบงกชทองเท่านั้น แต่ให้ระดมกำลังพลทั้งหมดของทะเลดาวนักษัตรไปสนับสนุน ตีขนายไปสองข้าง ขุดรากถอนโคนอำนาจของเฟิงเป่ยเฉินให้หมด”
ทั้งสองได้ยินแล้วตกใจ ฝูชิงขมวดคิ้วตอบว่า “น้องสะใภ้ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากช่วยเจ้านะ ถ้าทะเลดาวนักษัตรมีการเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ไม่ใช่แค่สะเทือนถึงจีฮวนคนเดียว แต่เกรงว่าจะสะเทือนถึงอีกห้าปราชญ์ด้ววยเหมือนกัน ถ้าพวกเขาร่วมมือกันขึ้นมา ก็ไม่อยากจะจินตนาการถึงผลที่ตามมาเลย พวกลูกน้องติดตามพวกเรามาหลายปี พวกเราไม่อาจมองข้ามความเป็นความตายของพวกเขาได้”
อวิ๋นจือชิวโบกมือ “น้องสาวไม่ใช่คนประมาทขนาดนั้น น้องสาวไม่ทำเรื่องที่ตัวเองไม่มั่นใจหรอก เดี๋ยวข้าจะไปโน้มน้าวท่านปู่ข้าที่นภาจอมมาร มู่ฝานจวินก็จะยืนอยู่ฝ่ายนี้เหมือนกัน บวกกับที่นายท่านมีพลังมากพอที่จะต่อต้านเฟิงเป่ยเฉิน จีฮวน ฉางเหลย ซือถูเซี่ยวจะต้องไม่กล้าเคลื่อนไหวส่งเดชแน่”
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋เงียบงัน…
“หลันโฮ่ว รวบรวมกำลังพลของเมืองหลวงและกำลังพลใต้สังกัดทั้งหมด เหลือส่วนน้อยไว้เฝ้าที่นี่ก็พอ ส่วนที่เหลือเจ้าเป็นคนบัญชาการทั้งหมด ไปปรับปรุงกำลังที่ตำหนักเจิ้นกุ่ย ปราสาทดำเนินธารา”
“เหยียนซิว ถือคำสั่งของข้าไป ไปที่ปราสาทดำเนินเซียนเดี๋ยวนี้ สั่งให้ประมุขปราสาทดำเนินเซียนรวบรวมกำลังพลทั้งหมดของปราสาทดำเนินเซียน และเรียกรวมนักพรตทุกสำนักในอาณาเขตด้วย ไปปรับปรุงกำลังที่ตำหนักเจิ้นกุ่ยปราสาทดำเนินธาราเดี๋ยวนี้ เจ้าเฝ้าติดตามดูกองทัพ”
“หยางเจาชิง ถือคำสั่งของข้าไป ไปที่ปราสาทดำเนินนภาเดี๋ยวนี้ สั่งให้ประมุขปราสาทดำเนินนภารวบรวมกำลังพลทั้งหมดของปราสาทดำเนินนภา เรียกรวมนักพรตทุกสำนักในอาณาเขตด้วย ไปปรับปรุงกำลังที่ตำหนักเจิ้นกุ่ยปราสาทดำเนินธาราเดี๋ยวนี้ เจ้าเฝ้าติดตามดูกองทัพ”
“เฉิงเย่าเวย ถือคำสั่งของข้าไปที่ปราสาทดำเนินปฐพีเดี๋ยวนี้…”
ในปราสาททอง อวิ๋นจือชิวเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย กำลังนั่งสง่าอยู่บนบัลลังก์ คำสั่งทั้งหมดสิบสามฉบับ ลอยไปถึงมือคนที่ยืนอยู่เบื้องล่างทีละฉบับ
หลันโฮ่วและคนอื่นๆ ที่ได้รับคำสั่งประหลาดใจไม่หยุด แบบนี้ก็เท่ากับจะเคลื่อนทัพใหญ่หนึ่งล้านทั้งหมดของสายมะโรงไปยังอาณาเขตตำหนักเจิ้นกุ่ยของปราสาทดำเนินธาราน่ะสิ คิดจะทำอะไรกันแน่? สถานที่นั้นอยู่ใกล้แดนอู๋เลี่ยง จะให้โจมตีแดนอู๋เลี่ยงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ อย่าบอกนะว่าจะฮุบอาณาเขตใกล้เคียงอีกสายหนึ่ง?
อวิ๋นจือชิวไม่ได้อธิบายเจตนาของตัวเอง ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูด หลังจากรอให้ทั้งสิบสามคนรับคำสั่งและออกไปปฏิบัติตามแล้ว นางก็ออกมาจากปราสาททองเช่นกัน ร่ายอิทธิฤทธิ์เก็บค่ายกลแปดทิศที่วางไว้ ก่อนจะนำเก็บติดตัวแล้วเหาะขึ้นฟ้าไปเพียงลำพัง…
ส่วนเหมียวอี้ในเวลานี้ก็ไม่ได้รับข่าวจากทางทะเลดาวนักษัตรอย่างเดียว แต่ได้รับรายงานลับจากเหยียนซิวกับหยางเจาชิงด้วย รายงานเกี่ยวกับสิ่งที่อวิ๋นจือชิวเตรียมการ
เหมียวอี้ติดต่ออวิ๋นจือชิวทันที : เจ้าเรียกรวมกำลังพลของทะเลดาวนักษัตรกับสายมะโรงเพราะเตรียมจะโจมตีแดนอู๋เลี่ยงเหรอ?
ตอนนี้อวิ๋นจือชิวกำลังอยู่ระหว่างทางไปนภาจอมมาร ตอบกลับมาว่า : ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว งั้นก็ขุดรากถอนโคนเฟิงเป่ยเฉินไปเสียเลยสิ
เหมียวอี้ : ทำแบบนี้ได้ก็ย่อมดีอยู่แล้ว แต่มู่ฝานจวินจะตอบตกลงได้ยังไง? เกรงว่ายังไม่ทันจะรวบรวมกำลังพลได้เต็มที่ นางก็จะส่งคนมาแทรกแซงแล้วน่ะสิ แล้วอีกสี่ปราชญ์ก็คงไม่นั่งดูเฉยๆ เหมือนกัน
อวิ๋นจือชิว : เจ้าไม่ต้องห่วง หยางชิ่งไปโน้มน้าวมู่ฝานจวินที่แดนโพ้นสวรรค์แล้ว เจ้าก็รู้จักคนอย่างหยางชิ่ง ถ้าไม่มั่นใจก็คงไม่ทำ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตไปส่งให้ถึงมือมู่ฝานจวิน แล้วข้าก็กำลังไปที่นภาจอมมาร จะไปโน้มน้าวให้ท่านปู่อยู่ฝ่ายพวกเรา ขอเพียงมีสองแดนไม่เคลื่อนไหว อีกสามแดนก็จะไม่บุ่มบ่ามทำอะไรเหมือนกัน
เหมียวอี้แสดงความสงสัย : ยังไม่ต้องพูดถึงหยางชิ่ง ปู่ของเจ้าเป็นคนที่จะทิ้งผลประโยชน์ของตระกูลอวิ๋นเพราะความรู้สึกที่มีต่อหลานสาวคนเดียวเหรอ?
อวิ๋นจือชิว : เจ้าก็ระวังตัวเองไว้เถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงฝั่งข้าหรอก ข้าจะทำเรื่องที่ส่งผลเสียกับเจ้าเชียวเหรอ? รักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ให้ความร่วมมือกับการปฏิบัติการ!
ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้เอ่ยเรื่องที่จะให้เหมียวอี้มาแทนที่เฟิงเป่ยเฉินเลย เยว่เหยาน้องสาวคนนั้นก็นับว่าเป็นจุดอ่อนของเขาเหมือนกัน เขาไม่มีทางให้เยว่เหยาเสี่ยงอันตรายใดๆ ไม่อย่างนั้นอาศัยศักยภาพของเขาในตอนนี้ มู่ฝานจวินก็ควบคุมเขาไม่ได้ตั้งนานแล้ว ถ้าบอกความจริงขึ้นมา ท่านสามีคนนี้ของนางจะต้องไม่ตอบตกลงแน่นอน
สิ่งที่นางกังวลตอนนี้ก็คือ หลังจากจบเรื่องแล้วควรจะอธิบายกับเขาอย่างไรดี
เหมียวอี้พูดไม่ออก เขาสามารถหยุดยั้งไม่ให้อวิ๋นจือชิวระดมกำลังพลของทะเลดาวนักษัตร แต่หยุดยั้งไม่ให้อวิ๋นจือชิวกะดมกำลังพลของสายมะโรงไม่ได้ ถึงอย่างไรอวิ๋นจือชิวก็เป้นท่านทูตของสายมะโรง
มาคิดมากตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือจะไปจับตัวโม่จวินหลันมาแลกกับฉินเวยเวยอย่างไร ตอนนี้ยังไม่มีเวลามาคิดอย่างอื่น ก็อย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก เขาเองก็ไม่คิดว่าอวิ๋นจือชิวจะทำอะไรที่ส่งผลเสียกับเขา
ขณะที่ครุ่นคิด เหมียวอี้ก็เหาะไปเหยียบบนยอดเขาแห่งหนึ่ง โบกมือเรียกฉินซีออกมา แล้วถามว่า “ผู้อาวุโส ตรงนี้ห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไม่ไกลแล้ว ผู้น้อยขอส่งตรงนี้”
ฉินซีที่ถอนหายใจเบาๆ ทอดสายตาไปรอบๆ สุดท้ายสายตาก็มาหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ แล้วพยักหน้าเบาๆ “เจ้าเองก็รักษาตัวด้วย!”
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ แล้วถามอีกว่า “ผู้อาวุโสจดจำวิธีการติดต่อได้หรือยัง?”
เขามอบระฆังดาราอันหนึ่งให้ฉินซี แล้วสร้างวิธีการติดต่อระหว่างกันขึ้นมา จะได้รู้สถานการณ์ของฉินเวยเวยได้สะดวก
“ระหว่างทางข้าได้จดจำไว้แล้ว!” ฉินซีกล่าวยืนยัน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
ขณะมองดูอีกฝ่ายหายลับไปในท้องฟ้า เหมียวอี้ก็ลูบหน้ากากบนใบหน้าตัวเอง ก่อนจะหลบเข้าไปในป่าภูเขา รีบมุ่งหน้าไปทางสำนักงามวิจิตร…
ตำหนักอู๋เลี่ยง หลังจากฉินซีลอยเข้าตำหนักหลังอย่างไม่รีบร้อน พอเหยียบลงพื้นก็มีหญิงรับใช้ที่สวมชุดสีฟ้าคู่หนึ่งเข้ามาคำนับ “ฮูหยิน!”
ฉินซีมองซ้ายมองขวา แล้วถามเสียงเรียบว่า “ท่านปราชญ์กลับมารึยัง?”
หญิงรับใช้หันตัวชี้ไปยังยอดเขาไกลๆ ของนภาอู๋เลี่ยง “กลับมาแล้วเจ้าค่ะ ท่านปราชญ์ไปที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่นแล้ว”
ฉินซีหันกลับมามองยอดเขาสูงตระหง่านที่มีหิมะทับถมหลายชั้น แล้วถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย “ท่านปราชญ์ไปทำอะไรที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น?”
หญิงรับใช้ส่ายหน้า “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ท่านปราชญ์สั่งไว้ก่อนจะไปที่นั่น ว่าถ้าฮูหยินมาแล้ว ก็ให้บ่าวไปแจ้งให้ทันเวลา บ่าวจะไปแจ้งเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องแล้ว ข้าจะไปหาเขาอยู่พอดี” ฉินซีหันตัวกำลังจะเหาะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอก้าวขาแล้ว นางก็ชะงักเล็กน้อย หันกลับมาถามว่า “นอกจากไปที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น หลังจากกลับมาแล้วท่านปราชญ์ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่า?”
หญิงรับใช้ส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่ได้ทำอะไรเลยเจ้าค่ะ เพียงปล่อยอินทรีเทพจำนวนหนึ่งออกไป จากนั้นก็ไปที่ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น”
ฉินซีครุ่นคิดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ถลันตัวจากไปทันที
ณ ยอดเขาเมฆาร่วงหล่น ที่จริงก็เป็นแค่ภูเขาน้ำแข็งลูกหนึ่ง บนยอดเขาไม่ได้มีของอะไร ลมหนาวพัดหวีดหวิว
ฉินซีที่เหาะมาถึงยอดเขากำลังครุ่นคิดว่าเฟิงเป่ยเฉินมาทำอะไรที่นี่ ปรากฏว่าเหลือบไปเห็นต้นไม้โบราณต้นเดียวที่อยู่บนยอดเขาถูกตัดล้มลงมาแล้ว และเฟิงเป่ยเฉินก็ทำท่าเหมือนช่างไม้ กำลังถือกระบี่ตัดเล็มต้นไม้โบราณที่ล้มลงมา เหมือนจะเปลืองแรงนิดหน่อย
นี่ไม่เหมือนงานที่ปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยจะทำเลยจริงๆ
พอนางปรากฏตัว เฟิงเป่ยเฉินก็หันขวับ เมื่อเห็นนางเหาะมา เขาก็อึ้งอยู่บ้าง ถามอย่างแปลกใจว่า “ทำไมเจ้ากลับมาถึงเร็วขนาดนี้?”
ฉินซีเพิ่งวรยุทธ์ระดับบงกชม่วง แต่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็กลับถึงนภาอู๋เลี่ยงแล้ว เขาย่อมแปลกใจ
ฉินซีเตรียมคำตอบไว้นานแล้ว “ระหว่างทางได้พบกับคนคนหนึ่ง จึงได้อาศัยบารมีท่าน ข้าบอกว่าไม่รู้จักเขา แต่เขารู้จักข้า ก่อนหน้านี้ข้าเคยเห็นท่านคุยกับเขา ท่าทางสุภาพเกรงใจ ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าท่านออกไปครั้งนี้เพื่อเข่นฆ่า กลัวว่าจะมีอันตราย จึงถือโอกาสให้เขามาส่งข้าสักครั้ง”
เฟิงเป่ยเฉินตอบ “อ้อ” แล้วถามอีกว่า “คนคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร?”
ฉินซีตอบอย่างเยือกเย็นว่า “สหายของท่านข้าจำได้ไม่หมดหรอก และไม่สนใจจะจำด้วย ถ้าครั้งหน้าเจอข้าจะชี้บอกท่าน”
เฟิงเป่ยเฉินส่ายหน้าพลางยิ้มเจื่อน ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปพูดแบบนี้เขาก็คงไม่เชื่อ แต่ด้วยนิสัยของผู้หญิงคนนี้ ไม่อยากจะสนใจใคร ถ้านางจำทุกคนได้ชัดเจน ก็เกรงว่าจะทำให้เขาสงสัยด้วยซ้ำ
สายตาของฉินซีกลับไปอยู่บนต้นไม้โบราณที่เขากำลังตัดเล็ม
ต้นไม้ต้นนี้ไม่รู้ว่าชื่ออะไร ไม่รู้ว่าเติบโตมาแล้วกี่ปี ว่ากันว่ามันอยู่ตรงนี้มาตลอดก่อนที่เฟิงเป่ยเฉินจะครอบครองที่นี่ เพียงแต่มีขนาดเท่าต้นไม้ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ไม่รู้ว่าใช้เวลากี่ปีถึงจะสูงขึ้นสักนิดนึ่ง เหมือนจะไม่มีวันเติบโตเลยตลอดไป ทั้งลำต้นเป็นสีขาว แม้แต่ใบก็เป็นสีขาวเหมือนกัน เติบโตอยู่ท่ามกลางทุ่งหิมะ
แต่ตอนนี้ถูกเฟิงเป่ยเฉินกำลังตัดโค่นมัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมีรอยเลือดซึมออกมาเป็นเส้นๆ ต้นไม้สีขาวที่ปนกับของเหลวสีแดงให้ความรู้สึกน่าสยดสยองนิดหน่อย เพียงแต่มีกลิ่นหอมจางๆ ที่ทำให้คนรู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย
หลังจากฉินซีมองมันสองครั้ง ก็แอบแปลกใจในการกระทำของเฟิงเป่ยเฉิน ภายนอกยังคงถามอย่างสงบเยือกเย็น “บนภูเขานี้มีต้นไม้ต้นนี้แค่ต้นเดียว เริ่มมีสติปัญญาแล้ว เกรงว่าใกล้จะกลายเป็นปีศาจแล้ว อยู่ดีๆ ท่านไปตัดมันทิ้งทำไม”
เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะเบาๆ ยื่นกระบี่ให้นาง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าลองร่ายอิทธิฤทธิ์ตัดมันสักครั้งสิ”
ฉินซีขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ยังคงรับกระบี่มาไว้ในมือ แล้วตัดลงไปหนึ่งที่ “ตุ้บ” มีเสียงดังทึบหนึ่งครั้ง ส่วนที่โดนคมกระบี่ฟันยุบลงไปครึ่งหนึ่ง แต่กลับฟันเข้าไปได้ยาก
เฟิงเป่ยเฉินเอามือไขว้หลังยืนอยู่ข้างๆ แล้วหรี่ตายิ้มพร้อมถามว่า “เข้าใจรึยัง?”
ฉินซียังคงไม่เข้าใจ ถามว่า “ไม่เข้าใจ”
เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้าหัวเราะลั่นทันที จากนั้นก็หยิบกระบี่กลับมาจากมือนาง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ฟันลงไปเช่นกัน เหตุการณ์คล้ายๆ กับฉินซี เพียงแต่จมลึกกว่าฉินซีเล็กน้อย เขายิ้มพร้อมกล่าวว่า “ต้นไม้นี้ไม่รู้ว่าเป็นต้นไม้ประเภทไหน อย่าว่าแต่เจ้าที่ฟันไม่ขาด ต่อให้ข้าร่ายอิทธิฤทธิ์ใช้กำลังทั้งหมดก็ฟันมันไม่ขาดเช่นกัน นี่ก็คือจุดที่แปลกประหลาดของต้นไม้ต้นนี้ เจ้าว่ามันทนทานหรือไม่ ขนาดมนุษย์ธรรมดายังสามารถใช้มีดหั่นมันอย่างช้าๆ แต่กลับเหนียวทนที่สุด ลักษณะพิเศษที่เฉื่อยชาตายด้านของมัน ก็เหมือนกับการใช้ดาบฟันหินสักก้อนให้ขาดได้ง่ายๆ แต่ถ้าอยากจะใช้ดาบฟันเตียงนวมให้ขาดกลับเป็นเรื่องยาก ตอนนี้เจ้าเข้าใจข้อดีของมันหรือยัง?”
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น