พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1093-1096
บทที่ 1093 เฒ่าจัญไร รับความตายซะเถอะ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
อาชามังกรที่อ้วนจนไม่เข้าท่า ฉินเวยเวยแน่ใจมากว่าตัวเองรู้จัก เดาว่าคงยากมากที่จะมีตัวที่สองในโลกนี้ ส่วนอาชามังกรที่ตัวเองรู้จักจะฉวยโอกาสขโมยเสื้อผ้าตอนคนอื่นอาบน้ำหรือไม่ นางก็ไม่มีทางรู้ได้แล้ว แต่นางรู้ว่าอาชามังกรอ้วนตัวนั้นเจ้าเล่ห์หน้าเนื้อใจเสือและขโมยของคนอื่นได้คือเรื่องจริง สัตว์พาหนะของนางก็โดนมันชนตายไปตัวหนึ่งเหมือนกัน
ดังนั้นฉินเวยเวยจึงมองประเมินเหมียวอี้ด้วยแววตาสงสัยอีกครั้ง ผู้ชายของตัวเองถึงแม้จะมีอนุภรรยาไม่น้อย แต่เหมือนจะไม่ใช่คนที่จะไปดูแอบดูผู้หญิงคนอื่นอาบน้ำได้นะ
“…” เหมียวอี้ทำสีหน้าประหลาดใจมาก เหมือนกับได้รับลูกกลมแพรปัก เรื่องที่เจ้าโจรอ้วนขโมยเสื้อผ้าพวกผู้หญิง เขาเองก็จดจำได้ตราตรึงใจเช่นกัน เขาเคอะเขินจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เขาเพรยงจำได้ว่ามีเรื่องแบบนั้น แต่รายละเอียดในตอนนั้นเขาจำไม่ได้แล้ว เพราะเขาไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลย
เขาถามเสียงอ่อนว่า “เจ้าเองก็อยู่ในกลุ่มผู้หญิงพวกนั้นเหรอ? ทำไมข้าจำไม่ได้ล่ะ?”
คำพูดนี้ไม่ต่างอะไรกับการยอมรับ ฉินเวยเวยรู้สึกตกตะลึง ในประเพณีนิยมของสังคมนี้ ถ้าร่างกายอันบริสุทธิ์ถูกมองเห็นโดยผู้ชายคนอื่น ถ้าเป็นที่โลกมนุษย์ก็เกรงว่าจะเป็นการทำลายทั้งชีวิตของอีกฝ่ายแล้ว ยกตัวอย่างเช่นนาง แม้แต่เท้ายังไม่กล้าเผยให้ผู้ชายคนอื่นเห็น การแต่งตัวแบบเปิดเผยเหมือนอวิ๋นจือชิวในปีที่เป็นเถ้าแก่เนี้ยโรงเตี๊ยมเมฆาวายุ นาเงองก็ทำไม่ได้เช่นกัน
“ผู้ที่สูงส่งอย่างท่านมักลืมง่าย จะมาจดจำตัวละครเล็กๆ อย่างข้าได้อย่างไร” ฟางซู่ซู่กล่าว
ทั้งได้รับลูกกลมแพรปัก ทั้งได้เห็นอีกฝ่ายอาบน้ำ เรื่องนี้ไม่มีทางแก้ตัวได้แล้ว เหมียวอี้ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้ามาแจ้งเตือนข่าวถึงที่นี่ อย่าบอกนะว่า…อยากจะให้ข้ารับผิดชอบเจ้า?”
“ข้าก็อยากจะให้เจ้าผิดชอบอยู่หรอกนะ แต่ข้าไม่ยอมเป็นอนุภรรยาหรอก เจ้าจัดการได้มั้ยล่ะ?” ฟางซู่ซู่ถาม
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ฉินเวยเวยก็เงียบเช่นกัน
ฟางซู่ซู่บอกอีกว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้าไม่มีเจตนาอื่น ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าตายเร็วเกินไป ข้าแค่อยากรอให้ถึงวันที่ข้าแข็แกร่งกว่าเจ้า แล้วค่อยถามเจ้าต่อหน้า เจ้าเองก็ไต่เต้าจากทหารเล็กๆ ขึ้นมาเหมือนกัน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาดูถูกข้าล่ะ!”
เหมียวอี้รีบร้อนโบกมือ “แม่นางฟาง อย่าเข้าใจผิดนะ ข้าไม่ได้มีเจตนาจะดูถูกอะไรเจ้าเลยจริงๆ…”
เรือแล่นออกทะเลแล้ว เหมือนกับตอนที่มา แล่นกลับไปตามเส้นชายฝั่งทะเลอีกรอบ กานเจ๋อกวงที่ตามหลังอยู่บนฝั่ง เดิมทีเตรียมจะดำน้ำตามลงไป แต่ตอนนี้อยู่บนฝั่งทะเลแล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองก็สามารถเห็นเรือลำนั้นได้ ไม่ต้องทำอะไรยุ่งยากแบบนั้นแล้ว
เขาใช้สภาพทางภูมิศาสตร์อำพรางตัวตลอดทาง บางครั้งก็โผล่ศีรษะออกมาดูเงียบๆ แล้วก็สะกดรอยตามต่อไปเงียบๆ ในใจกำลังคิดว่าท่านอาจารย์จะส่งคนมาได้เมื่อไร แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประหลาด พอหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ก็เห็นอินทรีเทพของตัวเองลงมาจากฟ้า ที่มาด้วยกันยังมีชายหญิงคู่หนึ่งด้วย
หลังจากได้เห็นโฉมหน้าที่มีสง่าราศีไม่ธรรมดาของชายหญิงคู่นี้ชัดแล้ว กานเจ๋อกวงก็ตกใจมาก เขาอยู่ที่สำนักงามวิจิตรใช่ว่าจะไม่เคยเห็นทั้งสองมาก่อน ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าปราชญ์เต๋ากับฮูหยินจะมาด้วยตัวเอง จึงรีบเข้าไปกุมหมัดคารวะ “กานเจ๋อกวงศิษย์สำนักงามวิจิตรคำนับท่านปราชญ์ คำนับฮูหยิน!”
เฟิงเป่ยเฉินจ้องเขาแวบหนึ่ง เหมือนเคยเห็นเขาที่สำนักงามวิจิตรจริงๆ จึงโบกมือแล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “คนที่เจ้าสะกดรอยตามอยู่ที่ไหนแล้ว?”
กานเจ๋อกวงรีบร้อนวิ่งไปบนเนินไหล่เขาลูกเล็กอีกด้านหนึ่ง เผยร่างกายออกมาครึ่งเดียว แล้วก็ชี้ไปที่ผิวทะเล “อยู่บนเรือลำนั้นขอรับ”
เฟิงเป่ยเฉินไม่ได้มีท่าทีระมัดระวังตัวเหมือนโจร เขาถลันตัวไปยืนบนไหล่เขาโดยตรง แล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไปทางนั้น
ฉินซีเองก็ขึ้นไปและทอดสายตามองตามเขาโดยตรง
บนเรือใช่ว่าจะไม่มีการเตรียมป้องกันอะไรเลย หงเหมียน ลู่หลิ่วสลับกันควบคุมเรือและเฝ้าระแวดระวังตลอด ป้องกันไม่ให้มีคนเข้าใกล้เรือโดยพลการ เมื่ออินทรีเทพตัวหนึ่งนำคนสองคนบินลงจากฟ้าไปเหยียบลงหลังเนินเขาชายลทะเลโดยไม่มีสิ่งใดกีดขวาง ก็ทำให้หงเหมียนเกิดความรู้สึกตื่นตัวทันที ถ้าทำขนาดนี้แล้วนางยังไม่สังเกตเห็น ก็คงไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดแล้ว
นางจึงรีบเข้ามาในห้องโดยสารเรือ แล้วรายงานว่า “นายท่าน ตรงชายทะเลมีความผิดปกติเจ้าค่ะ อินทรีเทพตัวหนึ่งนำผู้หญิงกับผู้ชายคู่หนึ่งมาแล้ว” นางไม่รู้จักเฟิงเป่ยเฉิน
“ท่าไม่ดีแล้ว!” ฟางซู่ซู่ร้องตกใจ “คนของแดนอู๋เลี่ยงคงจะมาถึงแล้ว สามารถตามทันภายในเวลาสั้นๆ แบบนี้ได้ วรยุทธ์ต้องไม่ต่ำแน่ ต้องโทษที่ข้าพูดมากไป เจ้ารีบไปเถอะ พวกเจ้ารีบดำลงไปในทะเล ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันแล้ว”
ที่นางพูดถึงมูลเหตุและผลระหว่างตัวเองกับเหมียวอี้ที่นี่ ก็เป็นเพราะนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าคนของแดนอู๋เลี่ยงบทจะมาก็มาเลย ไม่คิดว่าตัวเองจะมีเวลาไม่พอ ใครจะคิดว่าเสียเวลาไปเล็กน้อยแค่นี้แล้วจะทำให้เกิดปัญหา
“ข้ากลับอยากจะเห็นว่าเป็นใคร!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม แล้วถลันตัวออกจากห้องโดยสารเรือ ยืนบนดาดฟ้าเรือแล้วใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองไปยังเส้นชายทะเล
นอกจากฟางซู่ซู่ที่ไม่โผล่หน้าออกมา ฉินเวยเวยและคนอื่นๆ ก็ถลันตัวออกมาแล้วเช่นกัน
เฟิงเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนไหล่เขาชายทะเลสบตากับเหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือแล้ว เฟิงเป่ยเฉินโค้งมุมปากยิ้มเย้ย
“เฟิงเป่ยเฉินกับฮูหยินมาด้วยตัวเองแล้ว!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ พวกฉินเวยเวยรวมทั้งฟางซู่ซู่ที่แอบอยู่ตรงประตูห้องโดยสารเรือตกใจมาก ฉินเวยเวยเคยเห็นฉินซีที่อยู่ข้างกายเฟิงเป่ยเฉินมาก่อน ฟางซู่ซู่รีบมองสำรวจด้านนอกผ่านรอยแง้มหน้าต่าง นางอยากจะเห็นสักหน่อยว่าเฟิงเป่ยเฉินกับฮูหยินหน้าตาเป็นอย่างไร
หลังจากฉินซีเห็นฉินเวยเวยอยู่ข้างกายเหมียวอี้ด้วยเหมือนกัน ดวงตางามก็เบิกกว้างขึ้นหลายเท่า ในดวงตาถึงขั้นฉายแววลุกลี้ลุกลุน ในที่สุดก็เข้าใจถึงจุดประสงค์ที่เฟิงเป่ยเฉินมาที่นี่แล้ว
“เวยเวย พวกเจ้าดำทะเลหนีไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะประลองกับไอ้แก่เฟิงนี่สักหน่อย!” บนดาดฟ้าเรือ เหมียวอี้เอียงศีรษะกำชับ
ตอนนี้เขาไม่ค่อยจะกลัวเฟิงเป่ยเฉินเลยจริงๆ นักพรตบงกชทองขั้นห้าเขาก็ฆ่ามาแล้วไม่น้อย ประเด็นสำคัญคือวรยุทธ์ของเฟิงเป่ยเฉินก็เห็นๆ กันอยู่ ความเร็วสู้อีกฝ่ายไม่ได้ ถ้าจะหนีตอนนี้ก็สายไปแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงหนีไม่พ้น ไม่สู้ให้ฉินเวยเวยหนีไปก่อนดีกว่า
ฟางซู่ซู่ที่หลบอยู่หลังประตูห้องโดยสารเรือสูดหายใจอย่างตกตะลึง จากคำพูดของเหมียวอี้ นางฟังออกถึงความมั่นใจ นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะกล้าเผชิญหน้ารับการต่อสู้กับหนึ่งในหกปราชญ์ แบบนี้ต้องใช้ความมั่นใจมากขนาดไหนกัน นั่นหกปราชญ์เชียวนะ!
พวกฉินเวยเวยกลับเป็นกังวล “ท่านสามี นั่นคือเฟิงเป่ยเฉินนะ! พวกเราไปด้วยกันเถอะ!”
เหมียวอี้พลิกมือ เกราะรบปรากฏในมือ แล้วหมุนวนขึ้นมาครอบตัวในชั่วพริบตาเดียว เขาโบกมือเรียกทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือแล้ว “ตึง” กระทุ้งมวนลงบนดาดฟ้าเรือ “รีบไป! เจ้าพวกเจ้าไม่ไป ข้าลงมือได้ไม่เต็มที่!”
ฉินเวยเวยดึงแขนเขา ยังอยากจะโน้มน้าวเขา เขาหันขวับมพร้อมกับสายตาเย็นเยียบ “เวยเวย! เจ้าไม่เชื่อฟังแม้กระทั่งคำพูดของข้าเหรอ? รีบไป!”
ฉินเวยเวยอ้าปากค้าง ในแนวคิดทางศีลธรรมของนางมีข้อที่บอกว่า ‘สามีเป็นผู้นำ ภรรยาเป็นผู้ตาม’ เรื่องคัดค้านนางทำไม่ได้ ทำได้เพียงกัดริมฝีปากพาหงเหมียน ลู่หลิ่วที่กำลังกังวลไปที่ดาดฟ้าเรืออีกด้าน แล้วกระโดลงน้ำทะเลไป ส่วนฟางซู่ซู่ก็ถลันตัวไปโผล่ที่หน้าต่างของห้องอีกฝั่งแล้วกระโดลงทะเล ผู้หญิงทั้งสี่คนหายไปในทะเลแล้ว
เมื่อฉินซีที่อยู่บนไหล่เขาเห็นเหตุการณ์นี้ นางก็โล่งใจขึ้นบ้างเล็กน้อย ในดวงตาฉายแววชื่นชม ในสายตานาง ภาพเหตุการณ์ที่เห็นก็คือเหมียวอี้ยอมเอาตัวเข้ามาเสี่ยงอันตรายเพื่อดักหลังเพราะจะปกป้องฉินเวยเวย ทำตัวสมกับเป็นลูกผู้ชาย พอเป็นแบบนี้นางกลับรู้สึกว่าการที่ฉินเวยเวยเป็นอนุภรรยาไม่ใช่เรื่องที่ไร้ความยุติธรรม
ส่วนเฟิงเป่ยเฉินก็จ้องเกราะรบผลึกแดงที่เหมือนหยกแดงบนตัวเหมียวอี้ด้วยดวงตาลุกวาว ส่วนความเป็นความตายของฉินเวยเวยไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจ แต่อย่างมากก็มองออกว่าเหมียวอี้ค่อนข้างเป็นห่วงฉินเวยเวย ยอมทุ่มเทชีวิตเพื่อดักหลังให้
เดิมทีเขาก็เห็นว่าเหมียวอี้กล้าหาญแบบนี้อยู่แล้ว ยังกังวลอยู่เลยว่าในเรือจะมีลับลมคมในอย่างอื่น ตอนนี้พอเห็นพวกฉินเวยเวยหนีไปก่อนกลับทำให้สบายใจขึ้นไม่น้อย หันกลับมาบอกว่า “ฮูหยินรอสักครู่ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวแล้วจะกลับมา!”
สำหรับเขา การเอาชีวิตเหมียวอี้เป็นเรื่องที่ง่ายเหมือนกับข้าวจานเล็ก
ซวบ! ชั่วพริบตาเดียวเฟิงเป่ยเฉินก็เหาะไปอยู่บนฟ้าเหนือเรือโหลวฉวน พอสะบัดแขนเสื้อคลุมฝ่ามือลงข้างล่าง พลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งก็ระเบิดฝ่าอากาศมาทันที
บึ้ม! เรือโหลวฉวนระเบิดพังกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยปลิวว่อนทันที ผิวทะเลโดนกระแทกจนจมลงกลายเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่ คลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่งกลายเป็นระลอกคลื่นยักษ์กลิ้งไปรอบๆ
เหมียวอี้เท้าเหยียบกับความว่างเปล่า ตัวอยู่ท่ามกลางซากระเบิด ไม่ตื่นตระหนกตกใจ สีหน้าเรียบเฉย ถือทวนลอยอยู่กลางอากาศที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหน เรือลำนั้นที่ระเบิดจนแหลกเหลวเหมือนยังอยู่ใต้เท้าเขาเหมือนเดิม
วรยุทธ์บงกชทองขั้นห้าถึงแม้จะสูงกว่าเขา แต่ถ้าคิดว่าอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ในระยะห่างเท่านี้ แล้วจะทำอะไรนักพรตวรยุทธ์บงกชทองขั้นสามอย่างเขาได้ นั่นก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
เฟิงเป่ยเฉินที่อยู่บนฟ้าและกำลังมองต่ำลงมาเผยสีหน้าประหลาดใจสงสัยทันที วรยุทธ์ของเจ้าเด็กนี่แข็งแกร่งขึ้นตั้งแต่เมื่อไร อย่าบอกนะว่าวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองแล้ว? หรือจะเป็นเกราะรบชุดนั้น แต่ก็ไม่เห็นว่าเกราะรบชุดนั้นจะเปล่งแสงแสดงอานุภาพการป้องกัน
วรยุทธ์ของใครบางคนมักจะอยู่ในสถานการณ์ที่ให้ใครเห็นไม่ได้ ส่วนใหญ่จะใช้โคลนซ่อนจิตปิดบังตลอด
ท่อนไม้ปลิวว่อนตกลงในหัวคลื่น เหมียวอี้พลันเงยหน้า แล้วตะโกนเสียงดังก้องว่า “เฒ่าจัญไร รับความตายซะเถอะ!”
เหมียวอี้โบกทวนชี้เฟิงเป่ยเฉิน แล้วพุ่งขึ้นบนฟ้าอย่างดุดัน
ผิวทะเลที่จมลงอย่างกะทันหันพุ่งขึ้นฟ้าอีกครั้ง เสาคลื่นพุ่งขึ้นฟ้าภายใต้พลังจิต ดันเหมียวอี้ขึ้นฟ้าราวกับเป็นมังกรขาวตัวหนึ่ง
สายตาเฟิงเป่ยเฉินกวาดมองเศษซากที่ระเบิดปลิวว่อนแวบหนึ่ง เมือ่ไม่เห็นยอดฝีมือคนอื่นซ่อนตัวอยู่ สายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวเหมียวอี้ที่ถือทวนบุกเดี่ยวเข้ามา แล้วแสยะยิ้มกล่าวว่า “ช่างไม่รู้จักความเป็นความตายจริงๆ!”
เฟิงเป่ยเฉินสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที แสดงท่าทางรับมือด้วยมือเปล่า
ชั่วพริบตาเดียวทั้งสองก็ชนปะทะกัน ภายใต้การกระทบกันของพลังอิทธิฤทธิ์สองฝ่าย เสาน้ำที่พุ่งขึ้นมาก็ระเบิดเป็นละอองน้ำทั่วท้องฟ้า
ท่ามกลางละอองน้ำที่ปลิวว่อนวุ่นวาย เหมียวอี้ตะโกนอย่างดุดันอีกครั้ง “ฆ่า!”
เฟิงเป่ยเฉินที่อยู่ท่ามกลางละอองน้ำที่น่าสับสนมึนงงไม่รู้สึกตระหนกตกใจ พอสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที ก็กวาดละอองน้ำที่เป็นอุปสรรคออกไป แล้วยื่นมือไปคว้าทวนในมือเหมียวอี้โดยตรง
เหมียวอี้สะบัดทวนตามใจอีกฝ่าย ปล่อยให้อีกฝ่ายคว้าไป แสงเย็นหลายดอกยิงระเบิดออกมา ตรงไปที่จุดสำคัญของเฟิงเป่ยเฉิน
ความเร็วในการออกทวนเหนือกว่าที่เฟิงเป่ยเฉินจินตนาการไว้ สำหรับเขาที่เคยประมือกับอวิ๋นอ้าวเทียนมาก่อน สิ่งนี้ค่อนข้างน่าขนลุก เขาค้นพบอย่างตกตะลึงว่าความเร็วทวนของเหมียวอี้เหนือกว่าอวิ๋นอ้าวเทียน เหนือความคาดหมายของเขาไปมากจริงๆ
ประมาทไปชั่วขณะ ภายใต้ความลำพองใจ เกือบจะตกหลุมพรางแล้ว
เขาม้วนแขนเสื้อติดต่อกันหลายครั้งด้วยความวิตกกังวล วาดออกเป็นวงเล็กวงใหญ่หลายวงและหดมือกลับมาป้องกัน
ท่าทวนที่พลิกฟ้าคว่ำฝนราวกับมังกรคว้าน้ำเหลวทันที เหมียวอี้ที่ออกทวนด้วยความเร็วรู้สึกทึ่ง พบว่าท่าที่เกิดจากการต่อสู้ด้วยมือเปล่าของเฟิงเป่ยเฉินเหมือนจะเกิดเป็นน้ำวนล่องหน พลังที่หมุนวนโจมตีให้ท่าทวนที่เขาแทงออกมาลื่นซ้ำแล้วซ้ำอีก แทงเบี่ยงออกจากจุดสำคัญของเฟิงเป่ยเฉินทุกครั้ง ช่วยให้เฟิงเป่ยเฉินหลบพ้นการโจมตีที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต
ในใจเหมียวอี้ทึ่งไม่หาย ใช่ว่าเขาจะไม่เคยประมือกับนักพรตบงกชทองขั้นห้า อีกฝ่ายลำพองใจหลงตัวเองขนาดนี้ เดิมทีเขาคิดว่าวันนี้เฟิงเป่ยเฉินจะต้องมาตายน้ำตื่นด้วยน้ำมือเขาแล้ว ตอนนี้ถึงได้พบว่าตัวเองประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไป พบว่าหกปราชญ์ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียง ไม่น่าเชื่อว่าขนาดใช้มือเปล่าก็ยังรับมือตนได้สิบกว่าทวน ไม่ใช่คนที่พวกนักพรตบงกชทองขั้นห้าที่พิภพใหญ่จะเทียบติดเลย
เช่นเดียวกัน เฟิงเป่ยเฉินที่ประเมินเหมียวอี้ต่ำไปก็ไม่ได้ดีกว่ากันสักเท่าไร ภายใต้การแทงสังหารที่รวดเร็วและดุดันของเหมียวอี้ เฟิงเป่ยเฉินสะบัดแขนเสื้อใหญ่โคร่งติดต่อกันจนมีเสียง “แคว่ก” ไม่หยุด โดนหัวทวนแหลมคมที่รุกเข้าถอยออกอยู่ตรงหน้ากรีดจนเศษผ้าปลิวว่อนราวกับผีเสื้อ เกือบจะโดนปาดจนแขนขาดสองข้างแล้ว
…………………………
บทที่ 1094 ปราชญ์เต๋ามันก็แค่นี้เอง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในทุ่งน้ำแข็งทะเลหิมะมีหนอนอยู่ชนิดหนึ่งหนอน ชอนไชน้ำแข็งให้เป็นโพรงเพื่อทำเป็นที่อยู่ สามารถคายไหมออกมาเป็นรัง ไหมของมันแข็งแรงทนทาน ไม่กลัวน้ำไม่กลัวไฟ หนอนชนิดนี้เรียกว่าไหมน้ำแข็ง พบเห็นได้น้อยที่สุด
เสื้อผ้าบนตัวเฟิงเป่ยเฉินถักทอมาจากเส้นไหมของไหมน้ำแข็ง การใช้เส้นไหมของไหมน้ำแข็งมาทอเป็นเสื้อผ้าได้สักตัวไม่ใช่เรื่องง่าย ข้อดีของมันก็เห็นได้ชัดเจนแล้วเช่นกัน ไม่กลัวหนาวไม่กลัวร้อน น้ำไฟไม่อาจรุกล้ำ ทนทานเป็นที่สุด กอปรกับมีพลังอิทธิฤทธิ์ของเขาคอยเสริมฤทธิ์ อาวุธผลึกทองธรรมดายากที่จะฟันแทงเข้าได้
ชุดไหมน้ำแข็งประเภทนี้ เฟิงเป่ยเฉินเองก็มีแค่ตัวเดียว ทั้งยังกดดันให้ปรมาจารย์ขั้วใต้และปรมาจารย์ขั้วเหนือหาทางทำออกมาด้วย ถ้าจะให้ทำตัวที่สองตอนนี้ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เดิมทีรู้สึกว่ายังพอป้องกันไหว แต่ใครจะคิดว่าระดับความแหลมคมของทวนเกล็ดย้อนจะเหนือกว่าที่เขาจินตาการไว้ โจมตีแค่ไม่กี่ครั้งก็ฟันให้แขนเสื้อของเขาขาดรุ่ยแล้ว
แค่เสื้อผ้าชุดเดียวก็พอทนแล้ว เพียงแต่เหตุการณ์นี้หวาดเสียวถึงขีดสุด ทำให้เฟิงเป่ยเฉินรู้สึกเก็บลัดจากกองไฟ เล่นกับไฟแล้วถูกไฟลวก ตกใจจนเหงื่อกาฬไหลท่วมตัว แม้แต่ชีวิตก็เกือบจะสิ้นแล้ว จะไม่นึกกลัวทีหลังได้อย่างไร
เขาถอยหลังหลบอย่างรวดเร็ว รีบปลีกตัวออกขอบเขตการใช้ทวนของเหมียวอี้ ไม่กล้าพัวพันสู้ต่อไป
พอปลีกตัวออกมาได้ ก็พบว่าเสื้อผ้าขาดไปแล้วครึ่งหนึ่ง ท้องแขนสองข้างเปลือยเปล่า สภาพดูไม่ได้สุดๆ ถ้าตัวเองตั้งใจแต่งตัวแบบนี้ก็ยังไม่เป็นไร แต่ดันโดนคนอื่นโจมตีจนกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว
ที่ผิวทะเลตรงจุดไกลๆ หลังจากผ่านคลื่นใหญ่มาแล้ว พวกฉินเวยเวยก็โผล่ศีรษะขึ้นมาดูการต่อสู้ทางนี้ บนตัวทุกคนสวมเกราะรบแล้ว
เดิมทีฟางซู่ซู่มีเจตนาจะแนะนำให้พวกฉินเวยเวยรีบหนีไป แต่ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา ผู้ชายของตัวเองกำลังเผชิญความตาย ต่อให้มีความรักความผูกพันเพียงเล็กน้อย ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งามีตัวเองแล้วหนีเอาชีวิตรอดโดยไม่สนใจอะไร
พวกนางที่เดิมทีเป็นกังวลถึงขีดสุด ในตอนนี้หลังจากได้เห็นเหตุการณ์การต่อสู้ฉากใหญ่ โดยเฉพาะเฟิงเป่ยเฉินที่โดนเหมียวอี้โจมตีจนฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก ปราชญ์เต๋าหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยโดนเหมียวอี้โจมตีจนแขนเสื้อขาดและต้องถอยเพื่อรักษาชีวิต ผู้หญิงทั้งสี่เรียกได้ว่าตกตะลึงอ้าปากค้าง
ทั้งสี่ไม่มีทางเชื่อได้ว่านี่คือความจริง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ แต่ความจริงก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
ฟางซู่ซู่ที่ตกตะลึงพรึงเพริดในใจก็ยิ่งทำใจให้เชื่อได้ยาก ไม่มีทางเชื่อได้ว่าเหมียวอี้จะมีพลังมากขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถเขย่าปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินได้ จู่ๆ นางก็พบว่าสิ่งที่ตัวเองพูดกับเหมียวอี้ก่อนหน้านี้ ช่างเหมือนกับคางคกหาวไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ จะมีสักวันที่นางจะแข็งแกร่งกว่าเขาได้จริงเหรอ?
กานเจ๋อกวงที่ยืนอยู่ข้างไหล่เขางุนงงเล็กน้อย นี่ยังเป็นปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินที่สูงส่งในสายตาเขาอยู่หรือเปล่า?
ฉินซีที่ยืนอยู่บนไหล่เขาก็ตกใจเช่นกัน ในใจพึมพำว่า จะเป็นไปได้อย่างไร?
ปราชญ์เต๋า หนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผยโดยโจมตีจนสะบักสะบอมขนาดนี้ เฟิงเป่ยเฉินไม่รู้จะเอาใบหน้าชราไปวางไว้ที่ไหนแล้วจริงๆ ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไปคนคงหัวเราะจนฟันร่วง ยังจะมีคุณสมบัติอะไรมาอยู่ในระดับเดียวกับหกปราชญ์!
เฟิงเป่ยเฉินเรียกได้ว่าอับอายจนโมโห พอะพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง กระบี่ด้ามหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในมือ
กระบี่กว้างประมาณสี่นิ้ว ยาวประมาณครึ่งจั้ง สูงประมาณคนหนึ่งคน ทั้งตัวกระบี่เป็นสีทองอร่าม เป็นประกายสีทองอยูท่ามกลางแสงแดด
เฟิงเป่ยเฉินโบกกระบี่ชี้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งโจมตีไปที่เหมียวอี้แล้ว อยากจะกำจัดทิ้งให้สำราญใจ
ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นตกใจ บนโลกนี้คนที่สามารถทำให้เฟิงเป่ยเฉินหยิบอาวุธออกมาต่อสู้มีน้อยมากจนนับนิ้วได้ คาดว่าคงมีแค่ปราชญ์อีกห้าคนเท่านั้น
ใครจะคิดว่าพลังอำนาจของเหมียวอี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลยสักนิด เฟิงเป่ยเฉินพุ่งเข้ามา เขาก็ปาดทวนพุ่งเข้าไปเช่นกัน ดันทุรังพุ่งชนโจมตีไปที่เฟิงเป่ยเฉิน
เฟิงเป่ยเฉินที่สีหน้าดุร้ายฟันกระบี่ออกมาในแนวเฉียง เข้มแข็งเกรียงไกร มีพลังราวกับสามารถเบิกฟ้าเบิดดิน พวกฉินเวยเวยมองดูจนขวัญหนีดีฝ่อ
ท่ามกลางเสียงมังกรคำราม ในมือเหมียวอี้ยิงกระจายแสงเย็นออกมา ตรงไปรับกับคมกระบี่ที่ฟันเข้ามา
แกร๊ง! เกิดเสียงดังสะเทือน
จู่ๆ เฟิงเป่ยเฉินก็พบว่ากระบี่ของตัวเองกึ่งๆ ปะทะกับความว่างเปล่า ที่จริงก็ไม่ใช่การปะทะกับความว่างเปล่าหรอก แต่เขาเห็นกระบี่วิเศษในมือตัวเองักครึ่งหลังจากชนกับปลายทวนของอีกฝ่าย
ล้อเล่นอะไร? กระบี่วิเศษผลึกทองบริสุทธิ์สูงของตัวเองจะทนการโจมตีแค่ครั้งเดียวไม่ไหวเชียวเหรอ? เฟิงเป่ยเฉินค่อนข้างงุนงง
เหมียวอี้ไม่มีทางเกรงใจเขา พอทวนทำลายกระบี่วิเศษของอีกฝ่ายจนหัก ก็ถือโอกาสขยับคมทวนโจมตีสังหารไปที่คอของอีกฝ่าย
เฟิงเป่ยเฉินเองก็ไม่ใช่ไก่อ่อน เขาขยับสองมือพร้อมกัน มือข้างที่ไม่ได้ถืออะไรร่ายพลังอิทธิฤทธิ์ประหลาดกลุ่มหนึ่งเบี่ยงเบนการแทงสังหารของเหมียวอี้ ทำเพื่อถ่วงความเร็วในการออกทวนด้วย เฟิงเป่ยเฉินโค้งมุมปากยิ้มเจ้าเล่ห์ ส่วนกระบี่หักครึ่งที่อยู่ในมืออีกข้างก็ฉวยโอกาสนี้ฟันลงไปอย่างแรง
แกร๊ง! เสียงสะเทือนดังก้องฟ้าดิน
ตรงกับสิ่งที่เฟิงเป่ยเฉินต้องการพอดี ฟันไปบนด้ามของทวนเกล็ดย้อนอย่างแรงแล้ว เขาไม่เชื่อหรอกว่าด้ามทวนจะแหลมคมเหมือนกับหัวทวน เขาหมายจะใช้วรยุทธ์ที่เหนือกว่าทำให้ทวนสะเทือนหลุดออกจากมือเหมียวอี้
เขานับว่ามองออก ว่าเจ้าเด็กนี่ใช้ทวนได้อย่างมั่นคงเด็ดเดี่ยวและแม่นยำ ทั้งยังรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ กอปรกับความแหลมคมไร้ที่เปรียบของทวนวิเศษด้ามนั้น เมื่อทวนอยู่ในมือเหมียวอี้ เขาก็ไม่สามารถเข้าใกล้เหมียวอี้ได้เลย
วรยุทธ์ระดับบงกชทอง ระยะห่างหนึ่งขั้นไม่ใช่ความต่างเพียงเล็กน้อย มิหนำซ้ำทั้งสองยังห่างกันถึงสองขั้น
เมื่อกระบี่ฟันโดน เหมียวอี้ก็ทรงตัวไม่ได้ตามที่เขาคาดไว้ โผล้มไปข้างหน้า เท่ากับเผยแผ่นหลังให้คู่ต่อสู้หมดแล้ว
อาศัยพลังของการโจมตีหนึ่งครั้งโจมตีอย่างดุดันจนเหมียวอี้ทรงตัวไม่ได้ ทั้งยังกำจัดอานุภาพความคมของทวนวิเศษไปแล้วด้วย เฟิงเป่ยเฉินเผยรอยยิ้มชั่วร้าย จากนั้นถลันตัวขึ้นมา แล้วฟันกระบี่ไปที่คอเหมียวอี้อย่างเกรี้ยวกราด
ถึงแม้กระบี่จะโดนเหมียวอี้ฟันหักไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ตัวกระบี่ก็ยังยาวมากพอ ส่วนที่เหลืออีกครึ่งมีความยาวเท่ากับกระบี่ธรรมดาทั่วไป เพียงพอที่จะใช้ฆ่าคน!
ฉากนี้ทำให้พวกฉินเวยเวยแทบจะกรีดร้องออกมา ฉินซีก็ประสานนิ้วมือทั้งสิบแล้วเช่นกัน
เฟิงเป่ยเฉินโผร่างเข้ามา ฟันกระบี่ออกมาพร้อมยิ้มชั่วร้าย ทว่ายังไม่ทันได้ยิ้มเต็มที่ มุมปากก็ชะงักค้างเสียแล้ว ดวงตาเบิกกว้างทั้งยังฉุกละหุกทำอะไรไม่ถูก
เหมียวอี้ที่ถูกเขาฟันกระบี่ใส่โผลงมาแล้วจริงๆ ทว่าไม่ใช่การโผลงโดยการถูกกระทำ แต่กลับเป็นฝ่ายฉวยโอกาสเอง อาศัยพลังมหาศาลที่เฟิงเป่ยเฉินปล่อยมาเพื่อโผลงและหมุนตัวอย่างรวดเร็ว เขาฉีกขาเป็นเส้นตรงกลางอากาศ แล้วตอบโต้กะทันหันผ่านใต้หว่างขา แสงสะท้อนคมทวนดอกแล้วดอกเล่าโจมตีกลับมาในชั่วพริบตาเดียว
ไม่เพียงแค่ได้คลายพลังโจมตีของเฟิงเป่ยเฉิน แต่กลับได้อาศัยพลังโจมตีของเฟิงเป่ยเฉินเพื่อทำให้ตัวเองพลิกตัวได้เร็วขึ้นด้วย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาประมือกับคนที่วรยุทธ์สูงกว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ใช้กำลังปะทะตรงๆ กับศัตรูที่แข็งแกร่ง เขาสามารถสรุปวิธีการในการรับมือเป็นของตัวเองแล้ว
เฟิงเป่ยเฉินที่ถือกระบี่ฟันเข้ามาตกใจมาก ความได้เปรียบเพียงชั่วพริบตาเดียวกลับกลายเป็นตัวเองพุ่งเข้าหาทวนของอีกฝ่าย
เฟิงเป่ยเฉินรีบพุ่งขึ้นฟ้าแล้วกลับตัวลงมา เท้าอยู่ข้างบนศีรษะอยู่ข้างล่าง ฟันกระบี่ในมือดักมั่วๆ อย่างรวดเร็วอยู่พักหนึ่ง ใช้งานทั้งสองมือพร้อมกัน ต้านทานการโจมตีกะทันหันของเหมียวอี้
ส่วนเหมียวอี้ที่พุ่งตัวขึ้นฟ้าก็เอาศีรษะขึ้นและเอาเท้าลง ออกทวนแทงอย่างเกรี้ยวกราดราวกับมังกร ไล่ตามขึ้นเป็นเส้นตรง ไล่สังหาร!
คนหนึ่งอยู่บนคนหนึ่งอยู่ล่าง คนหนึ่งขึ้นบน คนหนึ่งไล่ตาม สังหารขึ้นไปบนฟ้าตลอดทางในระดับที่สูงกว่าเดิม
เสียงสั่นสะเทือนดังแกร๊งๆ เสียงมังกรคำรามดังก้องอยู่บนฟ้าไม่ขาดสาย
เฟิงเป่ยเฉินเหาะถอยหลังพุ่งขึ้นฟ้า กระบี่วิเศษในมือยิ่งสั้นลงเรื่อยๆ ถูกทวนของเหมียวอี้ฟันจนหักครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายในมือก็เหลือไว้เพียงด้ามกระบี่ ไม่มีประโยชน์แล้ว จึงสะบัดมือทุ่มด้ามกระบี่ไปที่เหมียวอี้ แล้วอาศัยเหยียบทวนที่เหมียวอี้ยื่นออกมาเขี่ยวัตถุที่ทุ่มเข้าใส่ เหาะตัดผ่านออกแอย่างรวดเร็ว ปลีกตัวออกจากการแผ่คลุมโดยกระบวนท่าทวนของเหมียวอี้แล้ว
เหมียวอี้ไล่ตามออกมาเช่นกัน ไล่สังหารไม่ยอมปล่อย แต่จนใจที่เหาะได้ไม่เร็วเท่าเฟิงเป่ยเฉิน
เฟิงเป่ยเฉินหันกลับมามองแวบหนึ่ง ทั้งตกใจทั้งโมโห โมโหที่โดนเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกดดันให้จนตรอกขนาดนี้ ตกใจที่ได้รับรู้ถึงความคมของทวนวิเศษในมือเหมียวอี้อีกครั้ง ถ้าหากตนได้ทวนและเกราะวิเศษชุดนี้มา ถึงตอนนั้นปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียนอาจจะต้านทานตนไม่ไหวก็ได้!
พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา เฟิงเป่ยเฉินก็พลันโผลงข้างล่าง ตรงดิ่งลงผิวทะเลด้วยความเร็วสูง
ในมือเขายังมีของวิเศษอย่างอื่นอีก แต่เมื่อสู้กับทวนวิเศษที่แหลมคมมากในมือเหมียวอี้ก็ไม่มีประโยชน์เลย ถ้าโยนออกมาก็จะต้องถูกทำพังแน่
เหมียวอี้ไล่ตามลงมาทันที พร้อมตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “เฒ่าจัญไรอย่าหนีนะ!”
คนที่กำลังดูการต่อสู้ไม่มีทางเชื่อสายตาตัวเองได้ ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะไล่จนเฟิงเป่ยเฉินหนีหัวซุกหัวซุน!
ตอนที่เข้าใกล้ผิวทะเล เฟิงเป่ยเฉินพลันชกออกมาหมัดหนึ่ง
บึ้ม! เสาน้ำพุ่งขึ้นฟ้า
ขณะเผชิญหน้ากับเสาน้ำขนาดยักษ์ที่พุ่งขึ้นมา เฟิงเป่ยเฉินก็กางแขนสองข้างและจมเข้าไปในนั้น เสาน้ำระเบิดกลายเป็นละอองฝนนับไม่ถ้วนในชั่วพริบตาเดียว พุ่งขึ้นบนฟ้าต่อไป
เหมียวอี้ที่กัดฟันพุ่งตามเข้าไปท่ามกลางละอองฝนที่สาดกระเซ็นเต็มฟ้าพบความไม่ชอบมาพากลทันที จึงรีบทรงตัวให้มั่นคงพลางถือทวนมองไปรอบๆ
ก้อนน้ำทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่อยู่รอบข้างกำลังเลื้อยขยุกขยิกอย่างรวดเร็ว กลายเป็นก้อนน้ำขนาดเท่ากำปั้นหมัดแล้วหมัดเล่า ลอยนิ่งๆ โปร่งแสงอยู่ในอากาศ บดบังทุกสิ่งที่อยู่รอบข้าง
ในก้อนน้ำทุกลูกมีใบหน้าของเฟิงเป่ยเฉินกำลังมองเขาอยู่ เท่ากับมีเฟิงเป่ยเฉินจำนวนนับไม่ถ้วนมองเขาอยู่
เหมียวอี้เข้าใจแล้ว เห็นได้ชัดว่านี่คือภาพเหมือที่สะท้อนออกมา
ของประเภทนี้เหมียวอี้ได้พบเจอเป็นครั้งแรก ตอนที่ประมือกับเฟิงเสวียนก็เคยเห็นมาแล้ว รู้แล้วว่าไม่ต้องไปยุ่งให้เสียเวลาเปล่า นี่เป็นค่ายกลชนิดหนึ่ง เป็นโลกไร้ขอบเขตที่มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงสำแดงฤทธิ์ออกมา ต่อให้หลับหูหลับตาเหาะไปทั่วก็หนีออกไปไม่พ้น เจดีย์งามวิจิตรของนักงามวิจิตรก็สร้างมาจากหลักการนี้
พอลองโบกทวนกวาด ก้อนน้ำที่อยู่รอบข้างก็สั่นทลาย แต่ไม่นานก็กลับมารวมตัวกันใหม่อีก กลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง
พวกฉินเวยเวยที่โผล่หน้าขึ้นมาจากผิวน้ำเริ่มกังวลอีกครั้ง เห็นเพียงเฟิงเป่ยเฉินเหยียบคลื่นยืนอยู่บนผิวทะเล บนฟ้ามีก้อนน้ำนับไม่ถ้วนก่อตัวเป็นแนวที่มีลักษณะเป็นก้อนกลมขนาดใหญ่ มองไม่เห็นเหมียวอี้ที่อยู่ข้างในเลยว่ามีสถานการณ์เป็นอย่างไร
ทันใดนั้น ก้อนน้ำทั้งหมดก็กลายเป็นสีแดง ข้างในเหมือนมีเปลวเพลิงกำลังลุกโชน เริ่มมีไอน้ำที่เข้มข้นลอยขึ้นบนฟ้าเหนือแนวรูปก้อนกลมอย่างรุนแรง
เฟิงเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนผิวทะเลขยับสองมือทันที ภายใต้การควบคุมของพลังอิทธิฤทธิ์ เสาน้ำสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า พุ่งเข้าไปในแนวก้อนน้ำนั้นแล้ว
ในแนวก้อนน้ำนั้น เกราะรบบนตัวและทวนเกล็ดย้อนในมือเหมียวอี้พ่นเพลิงเดือดออกมามาอย่างรุนแรง แผ่กระจายไปทั่วสารทิศอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ก้อนน้ำที่อยู่รอบข้างกลายเป็นไอน้ำ
“ไอ้จัญไร ทะเลกว้างไร้ขอบเขต ถึงเจ้าจะทำซ้ำไปซ้ำไปซ้ำมา แต่น้ำทะเลก็มีเยอะ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเจ้าจะเผาทะเลหมดทั้งผืนนี้ได้มั้ย!”
เสียงที่มีท่วงทำนองของของเฟิงเป่ยเฉินก็ดังออกมา ดังก้องเข้ามาท่ามกลางก้อนน้ำที่กระจายอยู่ทั่วสารทิศ ราวกับก้อนน้ำทุกก้อนกำลังคุยกับเหมียวอี้
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่กลางอากาศราวกับเทพอัคคีหัวเราะลั่น แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังว่า “เฟิงเป่ยเฉิน เจ้ามันก็แค่ไอ้ขี้แพ้ภายใต้น้ำมือเหมียว การหลบซ่อนนับว่าเป็นความสามารถอะไร ที่แท้ปราชญ์เต๋ามันก็แค่นี้เอง! เฟิงเป่ยเฉิน ท่านเหมียวขอถามเจ้าสักคำ เจ้ากล้าสู้ตายกับข้าสักตั้งหรือเปล่า!”
เสียงนี้ดังก้องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอยู่ในแนวก้อนน้ำ ผู้ได้ยินต่างก็รู้สึกทึ่ง เป็นคำพูดที่โอ้อวดจริงๆ บังอาจด่าปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉิน หนึ่งในหกปราชญ์ที่สง่าผ่าเผยว่าเป็นไอ้ขี้แพ้ ในใต้หล้ามีตัวละครแบบนี้โผล่มาตั้งแต่เมื่อไร
แต่จะว่าไปแล้ว เมื่อครู่นี้เฟิงเป่ยเฉินเพิ่งโดนเขาไล่ฆ่าจนต้องหนีไม่ใช่เหรอ จะโดนว่าแบบนี้ก็เหมือนจะไม่ผิดนะ
เฟิงเป่ยเฉินได้ยินแล้วโมโหจนหน้าดำ โมโหจนแทบกระอักเลือด ถ้าวันนี้ไม่สามารถกำจัดเจ้าเด็กนี่ทิ้งได้ ชื่อเสียงวีรบุรุษของตนจะต้องถูกทำลายย่อยยับภายในครั้งเดียวแน่ จึงกล่าวพร้อมรอยยิ้มชั่วร้ายทันที “ไอ้จัญไร! เจ้าก็แค่อาศัยประโยชน์จากของวิเศษ ยังจะกล้าพูดอวดดี ข้าจะคอยดูว่าวันนี้เจ้าจะตายอย่างไร!”
…………………………
บทที่ 1095 ลูบหน้าปะจมูก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ข้าจะตายได้ยังไง?” เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางเพลิงเดือดเขย่าทวนพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “หลานชายเจ้าตายด้วยน้ำมือข้า ลูกศิษย์เจ้าตายด้วยน้ำมือข้า สะใภ้ที่หลานชายเจ้าแต่งงานด้วยก็ถูกข้าแย่งมาทำเมีย ข้าก็ยังอยู่สบายเหมือนเดิม เจ้าจะทำอะไรข้าได้ล่ะ?”
พูดจาโอหังอวดดีเพราะมีเจตนาแน่นอน เขาอยากยั่วยุให้เฟิงเป่ยเฉินออกมาสู้ตายกับเขา
ทว่าคำพูดประเภทนี้ เมื่อดังอยู่ในหูคนอื่นก็ไม่รู้ว่าจะรู้สึกอย่างไร ถึงอย่างไรหน้าของเฟิงเป่ยเฉินก็เหมือนโดนตบเสียงดังเพี้ยะๆ เจ้าตัวโมโหจนตคอกว่า “ข้าให้เจ้าปากดีเสียให้พอใจ!”
สองแขนที่อยู่ใต้แขนเสื้อที่ขาดชูขึ้นฟ้า นอกจากมังกรน้ำที่อยู่เหนือผิวทะเลจะพุ่งขึ้นฟ้าต่อไปแล้ว แนวก้อนน้ำที่อยู่บนฟ้าก็หมุนวนขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วย
ในแนวก้อนน้ำ เหมียวอี้ที่กำลังถือทวนมองไปรอบๆ พบความผิดปกติทันที พื้นที่ว่างที่เขาอยู่เกิดแรงกดดันจากพายุหมุนขนาดใหญ่ กดดันให้เพลิงเดือดที่โหมซัดสาดออกมาหดกลับเข้าไป ทำให้เพลิงเดือดที่เขาปล่อยออกมาลุกโชนอยู่ในพื้นที่ว่างส่วนหนึ่งเท่านั้น
เพียงแต่เมื่ออยู่ภายใต้เพลิงเดือดที่เหมียวอี้ปล่อยออกมา ก้อนน้ำที่อยู่รอบข้างก็ไม่มีทางเข้าใกล้เขาได้เช่นกัน แนวก้อนน้ำไม่มีทางสำแดงอานุภาพการสังหารออกมาได้
เฟิงเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนผิวทะเลพลันโบกมือ สัตว์เทพที่หน้าตาเหมือนสิงโตตัวหนึ่งกระโจนออกมาจากกระเป๋าสัตว์ ร่างกายของมันใหญ่กว่าสิงโตหลายเท่า ทั้งตัวมีขนสีทองระยิบระยับ มันต้านอากาศบินวนอยู่รอบกายเฟิงเป่ยเฉิน ลักษณะน่ายำเกรงดุจเสือ เขี้ยวยาวยื่นห้าวหาญ ดูมีพลังไม่ธรรมดา
คนที่เคยได้ยินมาบ้างต่างก็รู้ว่านี่คือสัตว์พาหนะของหกปราชญ์ สัตว์ตัวนี้ก็คือโห่วขนทอง เป็นสัตว์พาหนะของเฟิงเป่ยเฉิน ถึงแม้จุดเด่นจะไม่ได้อยู่ที่ความเร็วในการบิน และไม่ใช่ว่าสัตว์เทพทุกตัวจะมีจุดเด่นเรื่องความเร็วในการบินเหมือนกันหมด แต่ขนสีทองทั้งตัวนั้นฟันแทงไม่เข้า สามารถเพลิงเดือดที่มีควันพิษออกมา แรงเยอะไม่มีที่สิ้นสุดก็คือข้อได้เปรียบของมัน ตำนานบอกว่าถ้ามันวิวัฒนาการได้ถึงระดับหนึ่ง ก็จะมีพลังสู้กับมังกรได้!
พอเฟิงเป่ยเฉินสะบัดมืออย่างลวกๆ หนึ่งที โห่วขนทองที่บินวนอยู่รอบกายก็กระโจนขึ้นฟ้า แล้วบุกตรงเข้าไปในแนวก้อนน้ำ
“ระวังโห่วขนทอง สัตว์พาหนะของเฟิงเป่ยเฉิน!” ฉินเวยเวยร่ายอิทธิฤทธิ์ส่งเสียงตักเตือนที่เจือด้วยความกังวลมาแต่ไกลๆ
ฟางซู่ซู่ที่อยู่ในทะเลด้วยกันตกใจมาก นึกไม่ถึงว่าฉินเวยเวยจะเปล่งเสียงออกมาในเวลานี้ นางจึงรีบดึงแขนฉินเวยเวย เจตนาจะเตือนว่า นี่เจ้ากลัวคนอื่นหาพวกเราไม่เจอหรืออย่างไร?
เป็นอย่างที่คาดไว้ เฟิงเป่ยเฉินได้ยินแล้วรีบหันมามองแวบหนึ่ง แววตาไปหยุดอยู่บนศีรษะหลายใบที่โผล่อยู่ท่ามกลางคลื่นลูกใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเวยเวยส่งเสียงเตือน เขาก็ลืมสังเกตไปชั่วขณะว่าคนพวกนี้ยังไม่หนีไป แต่สำหรับเขาแล้ว ฉินเวยเวยไม่นับว่าสำคัญอะไรเลย ที่แดนเซียนจะมีคนเพิ่มขึ้นสักคนหรือลดไปสักคนก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขา
ฉินซีที่อยู่บนไหล่เขาจ้องตามทันที นางขมวดคิ้วมุ่น ท่ามกลางคลื่นลูกใหญ่ที่กระเพื่อมขึ้นลง ศีรษะหลายใบที่โผล่อยู่เหนือผิวน้ำไกลๆ ถ้าไม่เตือนจะมีใครสังเกตเห็น นางเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าฉินเวยเวยจะยังไม่หนีไป
กานเจ๋อกวงกลับตกตะลึงเล็กน้อย ในที่สุดครั้งนี้ก็เห็นฟางซู่ซู่ที่อยู่ข้างกายฉินเวยเวยแล้ว พวกนางไปอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?
หลังจากฟางซู่ซู่สบตากับเขาแล้ว ในใจก็แอบร้องเช่นกัน พบว่าฉินเวยเวยทำให้นางลำบากแล้ว ต้องโทษตัวเองด้วยเหมือนกัน จะตามพวกฉินเวยเวยมาทำไม?
เหมียวอี้ที่อยู่ท่ามกลางแนวก้อนน้ำได้ยินเสียงของฉินเวยเวยดังแว่วมา เขาตกใจทันที ทำไมยังไม่หนีไปอีก?
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ คำเตือนของฉินเวยเวยกลับทำให้เขาได้รับคำเตือนล่วงหน้า โห่วขนทองสัตว์พาหนะเฟิงเป่ยเฉิน เขาเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน สามารถพ่นเพลิงเดือดควันพิษ ก็แสดงว่ามันไม่กลัวไฟ เขาจึงโบกมือชี้ไปที่พื้น กระบี่เล็กเพลิงจิตหลายเล่มหลบเข้าในทะเลเพลิงอย่างรวดเร็วเพื่อวางกับดักซุ่มโจมตี เขาเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าโห่วขนทองจะกลัวเพลิงจิตของเขาหรือไม่
ตรงนี้เพิ่งจะเตรียมตัวเสร็จ ในทะเลเพลิงที่อยู่เหนือศีรษะจู่ๆ ก็มีหัวขนาดยักษ์ของสิงโตขนทองโผล่ออกมา “กรร!” เสาควันสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามาท่ามกลางเสียงคำรามที่ดังสะเทือนฟ้า ควันพิษที่มันพ่นออกมาไม่กลัวไฟ เมื่อเจอไฟกลับยิ่งลุกโชนด้วยซ้ำ
เสียงคำรามดังก้องอยู่ในพื้นที่ว่างที่แนวก้อนน้ำไม่หยุด
เหมียวอี้โบกทวนตีเสาควันที่พ่นเข้ามาให้กระจายออกไป แล้วก็ถือทวนไล่ตามสังหารเข้าไป
เห็นได้ชัดว่าโห่วขนทองก็รู้จักความคมของทวนวิเศษเหมือนกัน มันถลันตัวถอยหลังทันที ไม่ปะทะหน้ากับเขาตรงๆ หลบหายเข้าไปในแนวก้อนน้ำอีกครั้ง มีเฟิงเป่ยเฉินวางค่ายกลช่วย ถ้าเหมียวอี้คิดจะหามันให้พบในแนวก้อนน้ำก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
ต่อจากนั้น โห่วขนทองก็ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในแนวก้อนน้ำ พ่นควันพิษใส่เขาไปทั่วทุกที่ ภายใต้แรงดันอากาศที่หมุนวนของแนวก้อนน้ำ ใช้เวลาไม่นานรายกายเหมียวอี้ก็ถูกปกคลุมด้วยควันพิษสีดำ พอลองสัมผัสดูนิดหน่อย เหมียวอี้ก็รู้ทันทีว่าควันพิษสามารถกัดกร่อนเกราะพลังอิทธิฤทธิ์ได้ แต่การที่เฟิงเป่ยเฉินคิดจะใช้สิ่งนี้สู้กับเขา ก็เหมือนจะเป็นความคิดที่ผิดแล้ว
ท่ามกลางการบุกทางนั้นทีบุกทางนี้ที ในที่สุดโห่วขนทองก็อยู่ในขอบเขตกับดักที่วางเอาไว้แล้ว พอเหมียวอี้กำหมัด กระบี่เล็กเพลิงจิตนับร้อยเล่มก็ยิงโอบล้อมออกมาพร้อมกันทันที
“กรร!” โห่วขนทองคำรามอย่างดุดัน บนสีทองบนตัวราวกับเป็นเกราะอ่อนๆ หนึ่งชั้น กระบี่เล็กเพลิงจิตไม่มีทางโจมตีทะลุได้เลย แต่กลับสลายกลายเป็นเพลิงเดือดในชั่วพริบตาเดียว ส่วนกระบี่ที่แทรกซึมเข้าไปก็ลุกไหม้อยู่ในซอกขน
“อู…อู…” เสียงคำรามของโห่วขนทองเปลี่ยนเป็นเสียงร้องน่าเวทนาทันที แล้วก็พลิกตัวไปมาอยู่อย่างนั้น
เฟิงเป่ยเฉินกำลังยืนอยู่บนผิวทะเล กำลังขมวดคิ้วแปลกใจว่าทำไมควันพิษของโห่วขนทองถึงยังทำให้เหมียวอี้ตายไม่ได้ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องอันน่าเวทนาของโห่วขนทอง ทำให้เขาตกใจทันที รีบร่ายอิทธิฤทธิ์เรียกให้มันกลับมา
มีหรือที่เหมียวอี้จะปล่อยให้โห่วขนทองหนีไปง่ายๆ เขาฉวยโอกาสพุ่งตรงเข้าไปตอนที่โห่วขนทองกำลังหมุนตัวอย่างสับสนและไม่รู้จักหลบหนี แล้วใช้ทวนเกล็ดย้อนโจมตีอย่างแน่วแน่ ทวนแทงสอดเกี่ยวเข้าไปในศีรษะใบใหญ่ของสิงโตขนทองแล้ว พอโบกทวนปาดหนึ่งที ก็ทำให้ร่างกายขนาดยักษ์ของมันปลิวออกมา
“ไอ้จัญไร!” เมื่อสัมผัสได้ว่าโห่วขนทองเผชิญความลำบาก เฟิงเป่ยเฉินก็ตะโกนอุทานอย่างโมโห
เหมียวอี้โบกมือเรียกเพลิงจิตกลับมา แล้วหัวเราะเยาะพร้อมตอบว่า “ไอ้แก่เฟิง ยังมีวิธีการอะไรก็งัดออกมาใช้ให้หมด ท่านเหมียวจะรออยู่ตรงนี้!”
ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่การต่อสู้อยู่บนผิวทะเลหรือบนไหล่เขา เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็รู้ทันทีว่าเฟิงเป่ยเฉินเสียเปรียบให้เหมียวอี้อีกแล้ว ทุกคนตกตะลึงในใจ อย่าบอกนะว่าแม้แต่ปราชญ์เต๋าก็ทำอะไรเขาไม่ได้จริงๆ อย่าบอกนะว่าลำดับของพิภพเล็กจะต้องเขียนแก้ใหม่แล้ว?
เฟิงเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนผิวทะเลกล่าวเสียงดุดันว่า “ไอ้จัญไร ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะมีไฟให้เผาอีกสักเท่าไร!”
เหมียวอี้หัวเราะลั่น “เฒ่าจัญไรอย่ากลัวไปเลย ผลึกบรมอัคคีที่เจ้าใช้หลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรตอนแรกอยู่ในมือข้าหมดแล้ว เพียงพอให้ข้าเผาได้อีกหลายปี ว่าแต่เจ้าเถอะ รักษาค่ายกลขนาดใหญ่เท่านี้เอาไว้ ไม่รู้ว่าพลังอิทธิฤทธิ์ของเจ้าจะยืนหยัดได้นานแค่ไหนกัน หวังว่าจะทนได้จนกว่ามู่ฝานจวินจะตามมาถึงนะ”
ที่จริงเขาอยากจะบอกเฟิงเป่ยเฉินมาก ว่าเจ้าจัดการข้าแบบนี้ไม่ใช่วิธีการที่ดีเลย ถ้าไม่สู้ตายกับข้าให้จบๆ ไป ก็รีบวางมือเสียแต่เนิ่นๆ เถอะ
แต่ใครจะคิดว่านี่กลับเป็นคำเตือนให้เฟิงเป่ยเฉิน เสียเวลาแบบนี้ต่อไปก็ทำอะไรเหมียวอี้ไม่ได้จริงๆ ถ้ามู่ฝานจวินตามมาถึง แล้วมู่ฝานจวินกับไอ้เหมียวจัญไรร่วมมือกัน เกรงว่าคนที่ซวยก็จะเป็นเขา
เป็นอย่างที่เหมียวอี้ปรารถนา เฟิงเป่ยเฉินเด็ดขาดถึงขีดสุด พอกางแขนสองข้าง ก็เลิกใช้พลังอิทธิฤทธิ์ควบคุมแนวก้อนน้ำทันที เกิดเสียงดังซวบ เขาเหาะขนาบกับผิวทะเลไปอย่างรวดเร็ว
ทิศทางที่เขามุ่งไปกลับทำให้ฉินซีอกสั่นขวัญแขวน
เสียงดังโครมคราม ก้อนน้ำที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าตกลงบนผิวทะเล เหมียวอี้ที่รีบกวาดตามองหาเฟิงเป่ยเฉินพลันเบิกตากว้าง รู้สึกเป็นกังวลมากเช่นกัน โบกมือปล่อยตั๊กแตนห้าตัวออกมาทันที ปล่อยให้บินไล่ตามเฟิงเป่ยเฉินอย่างรวดเร็ว
ทิศทางที่เฟิงเป่ยเฉินไปก็คือจุดที่พวกฉินเวยเวยอยู่
พวกฉินเวยเวยตกใจมาก ภายใต้ความวิตกกังวล ฉินเวยเวยตะโกรอย่างร้อนใจว่า “ทุกคนแยกย้ายกันหนี!”
ผู้หญิงทั้งสี่คนแยกย้ายกันดำลงใต้ผิวทะเลทันที แยกย้ายกันหลบหนี
เฟิงเป่ยเฉินไม่ได้สนใจว่าทั้งสี่จะแยกย้ายกันหลบหนีหรือไม่ เพราะเขากำหนดไว้เป้าหมายเดียว นั่นก็คือฉินเวยเวย เขาขี้คร้านจะสนใจพวกที่เหลือ เขาฟาดฝ่ามือแยกผิวทะเลออก แล้วพุ่งตัวลงมา ผิวทะเลยังไม่ทันหุบเข้าหากัน เฟิงเป่ยเฉินก็ใช้ฝ่ามือข้างเดียวบีบคอฉินเวยเวยพุ่งขึ้นมาบนฟ้าแล้ว
เมื่ออยู่ในน้ำมือของเขา ฉินเวยเวยก็ไม่มีแรงที่จะตอบโต้ใดๆ เลย
เฟิงเป่ยเฉินเองก็ตกใจจนเหงื่อกาฬท่วมตัวเช่นกัน ตอนนี้เขาถูกตั๊กแตนห้าตัวล้อมไว้แล้ว เขานึกไม่ถึงว่าตั๊กแตนห้าตัวจะบินเร็วขนาดนี้ ถ้าเหมียวอี้ปล่อยตั๊กแตนห้าตัวออกมาก่อนหน้านี้ เกรงว่าตนคงจะมีโอกาสรอดน้อยมาก
เมื่อเห็นตั๊กแตนห้าตัวตรงหน้าเตรียมจะโจมตี เฟิงเป่ยเฉินก็รีบหิ้วคอฉินเวยเวยขึ้นมาคุมสถานการณ์ ชัดเจนว่ากำลังบอกเหมียวอี้ว่า ถ้ากล้าลงมือซี้ซั้ว ข้าก็จะบีบคอนางให้นาย
เหมียวอี้ถือทวนพุ่งตามมาทีหลัง เมื่อเห็นฉินเวยเวยทำสีหน้าทุกข์ทรมานและขยับตัวลำบาก ก็เรียกได้ว่าโมโหจนตาแทบถลนออกมา เขาแค้นจนอยากจะเอาทวนแทงตัวเองให้ตาย นึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก
เขาไม่โทษฉินเวยเวยที่ขัดคำสั่งเขาและไม่หนีไปให้ทันเวลา ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาก็คงไม่สามารถมองดูฉินเวยเวยประสบอันตรายแล้วทิ้งนางไว้เพื่อหนีไปเช่นกัน โทษแต่ตัวเองที่ไม่ใช้กำลังทั้งหมดที่มีฆ่าเฒ่าจัญไรอย่างเฟิงเป่ยเฉินทิ้งไปเสีย
ที่จริงตอนแรกเขาสามารปล่อยตั๊กแตนห้าตัวออกมาช่วยต่อสู้ได้ แต่เขาอยากจะทดสอบพลังของหกปราชญ์ว่าเป็นอย่างไรกันแน่ มีเจตนาอยากจะประมือกับเฟิงเป่ยเฉินเพื่อทดสอบฝีมือ เผื่อตอนหลังยามแปรพักตร์กับหกปราชญ์จะได้มีความมั่นใจ ผลปรากฏว่าทดสอบจนเกิดปัญหาใหญ่แล้ว
เมื่อเห็นเหมียวอี้ลูบหน้าปะจมูก เฟิงเป่ยเฉินก็หัวเราะหึหึ “ไอ้จัญไร! ส่งของที่อยู่บนตัวเจ้าออกมา แล้วข้าจะปล่อยนางไป แล้วจะไว้ชีวิตพวกเจ้า!” ขณะที่พูดก็ชี้เกราะรบและทวนวิเศษบนตัวเหมียวอี้ แล้วก็กำไรเก็บสมบัติด้วย
เหมียวอี้จะไปเชื่อคำพูดนี้ได้อย่างไร ถ้าส่งของออกไป เกรงว่าจะตายทั้งเขาทั้งฉินเวยเวย จึงกล่าวเสียงต่ำทันทีว่า “เวยเวย! ถ้าเจ้ามีอันเป็นไป ข้าจะล้างแค้นแทนเจ้าเอง!”
คำพูดนี้แสดงออกชัดเจนมากว่าปฏิเสธคำขอเสนอของเฟิงเป่ยเฉิน
เฟิงเป่ยเฉินมองไปรอบๆ ไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นานจริงๆ ตัวประหันในมือสามารถทำให้เหมียวอี้ลูบหน้าปะจมูกได้ แต่ถ้ามู่ฝานจวินมาถึง เขาก็บีบจุดอ่อนของมู่ฝานจวินไม่ได้ จึงเสยะยิ้มทันที “ไอ้จัญไร ใจแข็งใช้ได้เลย! ไม่เป็นไรหรอก ข้าให้เวลาเจ้าคิดสักหน่อยก็แล้วกัน ถ้าคิดได้แล้วก็มาหาข้าที่นภาอู๋เลี่ยง!”
ชัดเจนว่ากำลังใช้ฉินเวยเวยเป็นโล่กำบัง เขาพุ่งฝ่าวงล้อมของตั๊กแตนออกไปทันที
เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเหมียวอี้ค่อนข้างเป็นห่วงผู้หญิงคนนี้ ระหว่างนี้มีเวลาให้ทำอะไรมากมาย เขาหัวเราะลั่นพร้อมจากไปทันที
แต่ไม่นานก็หัวเราะไม่ออกแล้ว เขามาเหยียบบนไหล่เขา เห็นเพียงกานเจ๋อกวงแค่คนเดียว แต่กลับไม่เห็นฉินซี จึงถามอย่างตกใจ “ฮูหยินล่ะ?”
กานเจ๋อกวงตอบอย่างระมัดระวังปนหวาดกลัวว่า “ฮูหยินเห็นท่านปราชญ์จับตัวประกัน กลัวว่าฝ่ายศัตรูจะใช้วิธีการเดียวกันโต้ตอบ มาจับนางเป็นตัวประกัน จึงบอกว่าจะหนีไปก่อนขอรับ”
เหมียวอี้ที่ตามหลังมาได้ยินแล้วกระอักเลือด ทำไมลืมไปได้ว่าควรจับฉินซีเป็นตัวประกัน ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะพลาดโอกาสดีๆ แบบนี้ไปแล้ว!
เมื่อเห็นฉินเวยเวยประสบอันตราย เขาเองก็กังวลไปชั่วขณะเช่นกัน สนใจแต่จะช่วยชีวิตฉินเวยเวย ไม่ได้คิดถึงอย่างอื่น
“ฮ่าๆ!” เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะลั่น “สมกับเป็นฮูหยินของข้า!” จากนั้นก็หันขวับกลับมา ชูร่างของฉินเวยเวยพร้อมขู่ว่า “ถ้าไม่อยากให้นางได้รับความทรมานทางร่างกาย เจ้าก็ต้องซื่อสัตย์หน่อย ห้ามตามมา ถ้าคิดได้แล้วค่อยมาที่นภาอู๋เลี่ยง!”
พอพูดจบก็ลงมืออย่างกะทันหัน ประทับฝ่ามือลงบนหน้าอกของกานเจ๋อกวงอย่างแรงหนึ่งที
ปั้ง! กานเจ๋อกวงไม่ทันได้ร้องออกมาด้วยซ้ำ ร่างระเบิดแยกออกจากกันแล้ว เลือดเนื้อระเบิดกระจาย
เขาเองก็นับว่าตายอย่างไร้ความยุติธรรมเช่นกัน เหตุผลแค่เพราะเขาได้เห็นเฟิงเป่ยเฉินสะบักสะบอมจนตรอกอยู่ภายในน้ำมือของเหมียวอี้
จากนั้นเฟิงเป่ยเฉินก็ผนึกวรยุทธ์ของฉินเวยเวย เก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์ แล้วแฉลบไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง ทิ้งไว้เพียงเสียงหัวเราะเยาะ
ตึง! เหมียวอี้กระทุ้งทวนลงบนพื้น ผิวดินแยกออกจากกัน ได้แต่มองดูเฟิงเป่ยเฉินหนีไปไกลโดยทำอะไรไม่ได้
“เหมียวอี้!” จู่ๆ เสียงที่นุ่มนวลของผู้หญิงก็ดังมา
เหมียวอี้เหล่ตามองแวบหนึ่ง ทำให้รู้สึกอึ้งอยู่บ้าง พบว่าผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นฉินซีฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉิน ผู้หญิงคนนี้เป็นยอดหญิงงามท่างกลางโลกมนุษย์อย่างแท้จริง
พยายามหาแทบตายแต่ไม่เจอ พอเลิกหาเลิกสนใจ กลับได้มาง่ายๆ แบบคาดไม่ถึงเสียอย่างนั้น ฉินซีลอยมาเหยียบลงตรงหน้า เหมียวอี้ชี้ทวนออกมาแล้ว หัวทวนแหลมคมกำลังจ่ออยู่บนหน้าอกของนาง
ฉินซีไม่สะทกสะท้าน กล่าวเสียงเรียบว่า “เจ้าจับข้าไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ชีวิตเดียวของข้าขู่อะไรคนแบบเฟิงเป่ยเฉินไม่ได้ ถ้าอยากจะช่วยชีวิตฉินเวยเวยกลับมา เจ้าต้องไปจับลูกสาวของโม่หมิง เจ้าสำนักงามวิจิตรมาเดี๋ยวนี้ มีเพียงการจับโม่จวินหลันเท่านั้น ถึงจะสามารถตัวฉินเวยเวยกลับมาได้”
…………………………
บทที่ 1096 เฟิงเป่ยเฉินมั่วมาก
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับเหมียวอี้ คำพูดนี้ช่างเหลวไหลจริงๆ ต้องสมองมีปัญหาเท่านั้นแหละถึงจะปล่อยเมียเฟิงเป่ยเฉิน แล้วไปจับลูกสาวของโม่หมิงมาขู่เฟิงเป่ยเฉินแทน
เหมียวอี้ถลันตัวเข้ามาใกล้ รีบลงมือคลายผนึกวรยุทธ์นาง หลังจากควบคุมนางได้แล้วถึงได้มองสำรวจนางศีรษะจดเท้า ในใจย่อมรู้สึกฉงน ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แค่เป็นฝ่ายมาหาเอง แต่ถึงขั้นไม่ลงมือตอบโต้สักนิดเลยด้วย บีบกรามของนาง แล้วถามเสียงต่ำว่า “ทางที่ดีอย่ามาเล่นลูกไม้อะไรต่อหน้าข้า ตอบมาอย่างซื่อสัตย์ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ฉินซีเยือกเย็นใช้ได้เลย ถึงแม้เหมียวอี้จะบีบแรง บีบจนนางรู้สึกเจ็บคาง แต่ก็ยังตอบด้วยท่าทางเย็นชาสุขุม “ข้ารู้ว่าข้าพูดอะไรไปเจ้าก็คงไม่เชื่อ ตอนนี้เจ้าพาข้ากลับไปพบหยางชิ่งที่ยอดเขาหยกนครหลวงสิ เมื่อพบหยางชิ่งแล้ว เจ้าก็จะรู้เองว่าข้าไม่มีทางทำร้ายฉินเวยเวย”
พบหยางชิ่ง? เหมียวอี้ขมวดคิ้ว อย่าบอกนะว่าผู้หญิงคนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับหยางชิ่ง?
ถ้าอยากจะถามหยางชิ่งก็ไม่จำเป็นต้องไปยอดเขาหยกนครหลวง ฉินเวยเวยและหยางชิ่งล้วนมีระฆังดาราเอาไว้ติดต่อกับเขาและอวิ๋นจือชิวโดยตรง
เหมียวอี้หยิบระฆังดาราออกมาทันที เตรียมจะติดต่อหยางชิ่ง
ฉินซีที่โดนบีบคางราวกับถูกเกี้ยวพาราสีเงยหน้ามองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “นึกไม่ถึงว่าในมือเจ้าก็มีระฆังดาราเหมือนกัน หรือว่าหยางชิ่งก็มีด้วย? แบบนี้ก็ไม่ต้องสิ้นเปลืองเวลาแล้ว”
เหมียวอี้แปลกใจ ถามว่า “เจ้ารู้จักระฆังดาราเหรอ?”
ฉินซีตอบว่า “ในมือเฟิงเป่ยเฉินก็มีเหมือนกัน ข้าเคยเห็นมาก่อน ถ้าจะพูดให้ถูก ในมือหกปราชญ์ทุกคนล้วนมี ข้าเคยได้ยินเฟิงเป่ยเฉินพูดถึง ว่าระฆังดารานี้เทพพยากรณ์มอบให้พวกเขา เพียงแต่ในมือหกปราชญ์มีไม่เยอะ เอาไว้ใช้ติดต่อกันระหว่างพวกเขาพอดี และเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างหกปราชญ์ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา อีกฝ่ายก็จะใช้ระฆังดาราติดต่อกับอีกห้าปราชญ์ที่เหลือได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นกว่าอีกห้าปราชญ์จะรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นก็คงสายไปเสียแล้ว ใช้วิธีแบบนี้มาหลายปีก็เพื่อคานอำนาจปราชญ์มารอวิ๋นอ้าวเทียน”
“เหมียวอี้อึ้งชะงัก เทพพยากรณ์เคยมอบระฆังดาราให้เขา นึกไม่ถึงว่าจะมอบให้หกปราชญ์ด้วยเหมือนกัน เทพพยากรณ์ท่านนี้กำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่?”
เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเปลืองสมาธิกับปัญหานี้ การช่วยชีวิตฉินเวยเวยต่างหากที่สำคัญที่สุด ร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราในมือ
ณ ยอดเขาหยกนครหลวง หยางชิ่งกำลังฝึกตนอยู่ในห้องสมาธิ หลังจากได้รับข่าวจากเหมียวอี้แล้วก็ค่อนข้างแปลกใจ ตั้งแต่ยอดเขาหยกนครหลวงถูกควบคุมโดยอวิ๋นจือชิว เหมียวอี้ก็เขาก็ติดต่อกันน้อยมาก
หยางชิ่งหยิบระฆังดาราออกมาตอบ : นายท่าน มีอะไรจะกำชับ?
เหมียวอี้ : เวยเวยอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉิน!
หยางชิ่งที่กำลังนั่งขัดสมษธิอยู่บนเตียงเตี้ยเลือดเดือดพุ่งขึ้นหัวทันที กระโดดลงจากเตียงแล้วถามให้แน่ใจว่า : เวยเวยไปตกอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉินได้อย่างไร?
เหมียวอี้ตอบ : พวกเราประสาทไปชั่วขณะ ตอนที่แล่นเรือเที่ยวไปโดนคนของแดนอู๋เลี่ยงพบเข้า เฟิงเป่ยเฉินจึงมาด้วยตัวเอง จับตัวฉินเวยเวยไปแล้ว
หยางชิ่งเป็นใครล่ะ แค่ได้ฟังก็รับรู้ถึงความผิดปกติแล้ว ถามทันทีว่า : ระหว่างเวยเวยกับนายท่าน คนที่เฟิงเป่ยเฉินต้องการจะทำร้ายมากที่สุดก็คือนายท่าน ทำไมถึงจับตัวเวยเวยไปล่ะ?
เหมียวอี้ตอบไปตรงๆ ว่า : เฟิงเป่ยเฉินกับข้าเคยประมือกันแล้ว เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เลยจับตัวเวยเวยเพื่อบีบให้ข้าไปที่นภาอู๋เลี่ยง คาดว่าต้องวางแผนอะไรไว้ที่นภาอู๋เลี่ยงแน่ๆ
หยางชิ่งตกใจมาก สำหรับเขาแล้ว วันนี้เท่ากับบังเอิญได้ฟังข่าวที่น่าตกใจมากสองข่าว ข่าวแรกคือลูกสาวโดนจับตัวไป ข่าวที่สองคือเฟิงเป่ยเฉินไม่ใช่คู่ต่อสู้เหมียวอี้!
เรื่องนี้ทำให้เขาทำใจเชื่อลำบากจริงๆ แต่พอลองครุ่นคิดเล็กน้อย ก็รู้ว่าเหมียวอี้ไม่มีทางนำเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น หลายปีมานี้เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวทำตัวลับๆ ล่อๆ จะต้องเกี่ยวข้องกับพลังที่เพิ่มขึ้นมหาศาลของเหมียวอี้แน่นอน
หลังจากสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หยางชิ่งก็ถามว่า : นายท่านคิดจะช่วยเวยเวยอย่างไร?
เหมียวอี้ไม่ตอบแต่ถามกลับว่า : ท่านกับฉินซีฮูหยินของเฟิงเป่ยเฉินมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
หยางชิ่งชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วตอบว่า : เหตุใดนายท่านจึงถามเช่นนี้
เหมียวอี้ : ฉินซีตกอยู่ในมือข้าแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือนางเป็นฝ่ายมาหาข้าเอง นางบอกให้ข้าไปจับตัวลูกสาวของโม่หมิงเจ้าสำนักงามวิจิตรเพื่อไปแลกกับตัวเวยเวย ท่านคิดว่าข้าเชื่อคำพูดนางได้มั้ย? นางให้ข้าติดต่อกับท่าน เหมือนนางคิดว่าท่านจะเชื่อคำพูดนาง
หยางชิ่งทำสีหน้าห่อเหี่ยวในชั่วพริบตาเดียว เรื่องบางเรื่องเขาไม่อยากจะให้เหมียวอี้รู้เลยจริงๆ กลัวว่าเหมียวอี้จะดูถูกฉินเวยเวย
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เขาก็ยังเขย่าระฆังดาราตอบไปว่า : นางไม่มีทางทำร้ายเวยเวย นางคือมารดาแท้ๆ ของเวยเวย!
มารดาแท้ๆ? ตอนนี้ถึงคราวที่เหมียวอี้จะต้องตกตะลึงบ้างแล้ว ตกใจมากจริงๆ มือที่บีบคางฉินซีรีบหดกลับราวกับถูกงูกัด มองผู้หญิงที่งดงามเยือกเย็นตรงหน้าราวกับเห็นผี ล้อเล่นอะไรกัน คนที่ตัวเองจับมาคือแม่ยายของตัวเองงั้นเหรอ!
“ชั่วประเดี๋ยวเดียว เขาก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่างทันที เรื่องที่ผู้หญิงคนนี้มาปรากฏตัวตรงหน้าฉินเวยเวยอย่างกะทันหันในตอนแรกที่ไปสำนักงามวิจิตร พอมานึกๆ ดูตอนนี้ถึงได้เข้าใจ ว่าทำไมตอนแรกผู้หญิงคนนี้ถึงเตือนตนว่าอย่าเพ่นพ่านไปทั่วยามค่ำคืน ที่บอกให้ทิ้งฉินเวยเวยไว้ ที่จริงเพราะอยากจะปกป้องฉินเวยเวย กลับเป็นการลำบากใช้ความคิดไปมาก
ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูอีกที ฉินซีกับฉินเวยเวยก็หน้าตาคล้ายกันอยู่หลายส่วน และทั้งสองก็แซ่ฉินเหมือนกันด้วย สงสัยฉินเวยเวยจะไม่ได้ใช้แซ่ของบิดา แต่ใช้แซ่ตามมารดา
พอกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง เหมียวอี้ก็ลองถามฉินซีให้แน่ใจ : “ท่านคือแม่แท้ๆ ของเวยเวยเหรอ?”
ฉินซีพยักหน้าเบาๆ “เวยเวยคือลูกสาวของข้ากับหยางชิ่ง ข้าก็ยังนึกว่าหยางชิ่งจะไม่มีวันจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเสียอีก”
“…” เรื่องที่ฉินเวยเวยโดนจับถูกโยนไว้ทิ้งไปทันที เหมียวอี้อ้าปากค้างจนแทบจะยัดไข่ไก่เข้าไปได้ ต่อให้เป็นคนที่ฉลาดกว่านี้ก็เกรงว่าจะคิดตามไม่ทันเหมือนกัน เหมียวอี้แทบจะกลายเป็นคนโง่เขลาไปแล้ว
ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้สติกลับมา ในใจรู้สึกอับอาย ยังดีที่เมื่อครู่นี้ไม่ได้ทำอะไรเกินเลยกับผู้หญิงคนนี้
ทั้งยังบอกด้วยว่าเวยเวยคือลูกสาวแท้ๆ ของหยางชิ่ง? ความสวยของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าเยว่เหยากับเทพธิดาหงเฉินเลย เรียกได้ว่าท่ามกลางผู้หญิงที่เขาเคยเจอในพิภพเล็ก ความสวยของนางไม่เป็นรองใครเลย จะบอกว่าเป็นผู้หญิงที่สวยเป็นอันดับหนึ่งในพิภพเล็กก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป อย่าบอกนะว่าเฟิงเป่ยเฉินเห็นคนสวยแล้วเกิดความคิดไม่ดี ถือดาบไปแย่งคนรักของคนอื่น?
แต่ก็ไม่ถูกสิ! จากข่าวเรื่องที่เฟิงเป่ยเฉินแต่งงานใหม่กับท่านนี้ ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมากแล้ว ตอนนั้นหยางชิ่งคงยังไม่เกิดเลยด้วยซ้ำ เฟิงเป่ยเฉินจะไปแย่งชิงคนรักของหยางชิ่งได้อย่างไรกัน ไม่สอดคล้องกับเวลา
หยางชิ่งแย่งคนรักของคนอื่น? นั่นก็ยิ่งเหลวไหล ลองนับอายุฉินเวยเวยก็จะรู้ว่าในปีนั้นหยางชิ่งยังวรยุทธ์ต่ำมาก คาดว่าคงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะพบหน้ายอดหญิงงามท่านนี้ได้ แต่ต่อให้มีโอกาสพบกัน หยางชิ่งต้องใช้ความกล้าขนาดไหนถึงได้ไปนนกับเมียของเฟิงเป่ยเฉินได้
หยางชิ่งที่เขารู้จักทำเรื่องแบบนี้ไม่ลงแน่ นิสัยคิดอะไรรอบคอบอย่างหยางชิ่ง จะทำเรื่องกำเริบเสิบสานประเภทนี้ได้อย่างไรกัน
ถ้าฉินเวยเวยเป็นลูกสาวของท่านนี้จริงๆ นั่นก็แปลว่า ผู้หญิงคนนี้แต่งงานกับเฟิงเป่ยเฉินได้หลายปีแล้ว ตอนหลังถึงได้คลอดลูกสาวให้หยางชิ่ง? เมียของเฟิงเป่ยเฉินคลอดลูกสาวให้หยางชิ่งงั้นเหรอ? มีสิทธิ์อะไรล่ะ? เรื่องนี้มันเหลวไหลขนาดไหนกัน!
เหมียวอี้ยิ่งคิดก็ยิ่งเลอะเลือน เหม่องงจนแทบจะคิดอะไรไม่ออก จึงรีบเขย่าระฆังดาราติดต่อหยางชิ่งอีกที : ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าเวยเวยคือลูกสาวของท่านกับนาง มีเรื่องแบบนี้จริงหรือเปล่า?
หยางชิ่งกำลังเม้มริมฝีปากแน่นยืนเงียบๆ อยู่ในห้องศิลา หลังจากในหัวคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว ก็ถอนหายใจแล้วตอบว่า : ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ คิดหาทางช่วยเวยเวยก่อน เรื่องนี้ซับซ้อน วันหลังค่อยบอกนายท่านก็ยังไม่สาย…ถ้าช่วยเวยเวยมาได้แล้ว อย่าเพิ่งบอกเรื่องนี้กับเวยเวยนะ
เหมียวอี้ : เฟิงเป่ยเฉินรู้เรื่องนี้หรือเปล่า?
“หยางชิ่ง : นอกจากข้ากับฉินซี ตอนนี้ท่านก็เป็นคนที่สามที่ได้รู้เรื่องนี้ นายท่าน! ในเมื่อท่านประมือกับเฟิงเป่ยเฉินแล้ว ทั้งยังโจมตีจนเขาล่าถอย เรื่องราวลุกลามใหญ่โตแล้ว ถ้าอีกห้าปราชญ์ได้ยินข่าว สถานการณ์ของพวกเราก็จะลำบากมาก ดังนั้นได้โปรดติดต่อกับข้าตลอดเวลา หยางชิ่งจะพยายามรับมืออย่างเต็มที่ แล้วอีกอย่าง หยางชิ่งขอถามละลาบละล้วงสักคำ ท่านกับกลุ่มปีศาจทะเลดาวนักษัตรมีความสัมพันธ์เป็นอย่างไร?
เหมียวอี้ : ความสัมพันธ์ค่อนข้างดี
หยางชิ่ง : นายท่านมีฐานะเป็นประมุขถิ่นกลาง สามารถระดมกำลังให้พวกเขาร่วมบุกร่วมถอยไปกับท่านได้หรือเปล่า?
เหมียวอี้ : ได้!
หยางชิ่ง : ในเมื่อนายท่านสงสัยว่าเฟิงเป่ยเฉินจะวางกำลังไว้ที่นภาอู๋เลี่ยง เช่นนั้นก็จะไปเสี่ยงอันตรายลำพังไม่ได้เด็ดขาด ไม่สู้เรียกรวมนักพรตบงกชทองของทะเลดาวนักษัตรให้ไปช่วยด้วย
เหมียวอี้ : ข้าก็มีความคิดนี้พอดี
หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดารา แล้วมองดูแม่ยายที่ถูกเอาเปรียบข้างกายตัวเอง อยากจะพูดแต่กลับไม่รู้ว่าจะเรียกนางอย่างไรดี
ฉินซีมองออกว่าเขาก็อึดอัดเช่นกัน จึงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้ายังมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้อาวุโสของเจ้ารึเปล่า”
เหมียวอี้พยักหน้า “เหตุใดผู้อาวุโสจึงใช้ลูกสาวของโม่หมิงมาแลกกับเวยเวย?”
ฉินซีตอบเสียงเรียบว่า “เพราะพ่อที่แท้จริงของโม่จวินหลันก็คือเฟิงเป่ยเฉิน?”
เหมียวอี้ตะลึงค้างไปชั่วขณะ แล้วขมวดคิ้วถามว่า “อย่าบอกนะว่าโม่จวินหลันมีเฟิงเป่ยเฉินคอยปกป้อง ถึงได้ถูกฝากเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของโม่หมิง? เฟิงเป่ยเฉินไม่สนใจแม้แต่ความเป็นความตายของหลานชายตัวเอง ผู้อาวุโสก็บอกเช่นกัน ต่อให้ข้านำตัวผู้อาวุโสไปแลก เฟิงเป่ยเฉินก็จะไม่ตอบตกลงอยู่ดี คนที่ไม่สนใจแม้แต่เมียกับหลาน แล้วจะมาสนใจลูกสาวคนเดียวได้อย่างไร?”
ฉินซีที่สีหน้าเย็นชาและสูงสะโอดสะองเอียงหน้ามองเขา แล้วบอกว่า “สงสัยเจ้าจะยังฟังไม่เข้าใจความหมายของข้า พ่อที่แท้จริงของโม่จวินหลันคือเฟิงเป่ยเฉิน และก็เป็นลูกสาวของเหมียวจวินอี๋จริงๆ ไม่ใช่การฝากเลี้ยงภายใต้ชื่อของโม่หมิง”
ไม่ได้คิดเรื่องนี้ไปในทางไร้ระเบียบซี้ซั้วแบบนั้นเลย แต่หลังจากคิดได้แล้ว เหมียวอี้ก็ค่อยๆ เบิกตากว้าง แทบจะอดไม่ไหวที่จะอุทานออกมา “ผู้อาวุโสหมายความว่า เฟิงเป่ยเฉินมั่วกับเหมียวจวินอี๋ลูกศิษย์ของตัวเองมั่ว…” เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านนี้ เขาพูดคำว่า’มั่วกาม’ ไม่ออกจริงๆ กลัวว่าจะเป็นการเสียมารยาทเกินไป
ฉินซีพยักหน้า “ครั้งแรกที่ข้าจับได้ถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ปกติระหว่างเฟิงเป่ยเฉินกับเหมียวจวินอี๋ ก็เป็นหลังจากที่ข้าแต่งงานกับเฟิงเป่ยเฉินไปแล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแล้วกลับมาที่นภาอู๋เลี่ยงก่อนกำหนด ก็บังเอิญเห็นเหมียวจวินอี๋ออกมาจากห้องนอนของเฟิงเป่ยเฉินด้วยสีหน้าแปลกๆ เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เรื่องบางเรื่องแค่มองก็รู้แล้ว เพียงแต่ข้าไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าจะหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์จะทำเรื่องสกปรกโสมมแบบนั้นได้ แต่หลังจากนั้นมาข้าก็เริ่มสงสัยแล้ว ตอนหลังข้าคอยสังเกตเงียบๆ มาเป็นเวลานาน พบว่าเหมียวจวินอี๋มั่วกับเฟิงเป่ยเฉินจริงๆ ถ้าพวกเขาศิษย์อาจารย์รักกันด้วยใจจริงก็ยังพอว่า แต่เหมียวจวินอี๋ดังแต่งงานกับโม่หมิงไปแล้ว พอมองดูโม่จวินหลันอีกที ก็พบว่าหน้าตาไม่เหมือนโม่หมิงเลยสักนิด แต่กลับมีเงาของเฟิงเป่ยเฉินอยู่บ้าง ยังต้องคิดอะไรมากเรื่องภูมิหลังของโม่จวินหลันอีกเหรอ? ที่จริงลูกศิษย์ที่มั่วกับเฟิงเป่ยเฉินก็ไม่ได้มีแค่เหมียวจวินอี๋หรอกนะ ยังมีชุยหย่งเจินที่ถูกเจ้าฆ่าไปด้วย ชุยหย่งเจินถึงขั้นคลอดลูกชายหนึ่งคนกับลูกสาวหนึ่งคนให้เฟิงเป่ยเฉินด้วย เจ้าว่าน่าขำมั้ยล่ะ?”
เหมียวอี้ทำสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน พบว่าเฟิงเป่ยเฉินนี่มันพอได้จริงๆ มิน่าล่ะไอ้เฒ่าจัญไรถึงไม่แยแสความตายของหลานชาย คงจะเป็นการตายอย่างเปิดเผยทั้งนั้น ลับหลังยังมีสินค้าสำรองอยู่ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าถามว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ ถ้าข้าจับลูกสาวของชุยหย่งเจินมาด้วยกัน การแลกตัวเวยเวยกลับมาก็จะมีความมั่นใจมากขึ้นรึเปล่า?”
ฉินซีถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายของข้า ที่ข้าให้เจ้าจับตัวโม่จวินหลัน ไม่ใช่เพราะจะให้เจ้าเอาความตายของโม่จวินหลันมาบีบเฟิงเป่ยเฉิน เขาไม่ได้แยแสความเป็นความตายของลูกชายลูกสาวพวกนั้นเลย เจ้าจับมามากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ทำให้เฟิงเป่ยเฉินหวาดกลัวจริงๆ ก็คือการเปิดเผยเรื่องฉาวโฉ่ของเขา ผลที่ตามมาหลังจากนั้นไม่มีใครรับไหว เข้าใจหรือยัง?”
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น