องครักษ์เสื้อแพร 1093-1094

 ตอนที่ 1093 เหตุใดต้องเปิดศึก

Ink Stone_Fantasy

“หวังทง ความหมายเจ้าก็คือมีหลายแสน?”


“ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อมกำลังคิดเช่นนี้”


ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้น หวังทงตอบ ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่ง ตรัสอีกว่า


“ลุ่มน้ำกับนอกด่านแต่ละแห่งล้วนกำลังมีพื้นที่มากมายรอการบุกเบิกพื้นที่ ยังมีกิจการเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนและอื่นๆ ที่กำลังต้องการกำลังคน ความหมายเจ้าก็คือให้พวกเกาหลีไป?”


“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่เหมาะพะยะค่ะ!”


พูดถึงตรงนี้  หวังซีเจวี๋ยกลับร้อนใจทูลขึ้น  ขัดทุกคนแล้ว หวังซีเจวี๋ยก็รีบร้อนกล่าวว่า


“เมืองกุยฮว่าเฉิงกับลุ่มน้ำ ยังมีตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเหลียวโจว ล้วนห่างไกลเมืองหลวง แต่ละเผ่าอยู่กันวุ่นวาย ราชสำนักควบคุมไม่อาจเรียกได้ว่าดีนัก หากให้เป็นคนเกาหลีจำนวนมากเช่นนี้เข้ามา รุ่นสองรุ่นคุมได้ แต่หากยามแผ่นดินหมิงไม่สงบ เกรงว่าทุกคนจะลุกฮือขึ้นมาตั้งตน ถึงตอนนั้นไม่ใช่เราได้ประโยชน์ กลับกลายเป็นพวกเกาหลีได้บุกเบิกแผ่นดินตนไปแทน”


หลักการนี้ก็พอเข้าใจ อย่างไรก็พวกเกาหลีก็มีจำนวนมาก ไปยังที่เหล่านี้ กลับเป็นพวกเขาเป็นส่วนใหญ่ ยังเป็นชายแดน เกรงว่าถึงเวลาก็ยากจะควบคุม


ทุกคนไม่เร่งให้ข้อสรุป หากพากันมองไปยังหวังทง ดูว่าหวังทงจะอธิบายอย่างไร


“ใต้เท้าคิดได้รอบคอบ แต่ที่ข้าคิดก็คือ ให้คนเกาหลีอพยพเข้ามาในมณฑลต่างๆ ของเรา ให้กลายเป็นชาวฮั่น ให้เกาหลีเป็นแรงงานในนา เป็นทาส ให้ชาวฮั่นแต่ละแห่งได้นำไปบุกเบิกกิจการเพาะปลูก กลายเป็นพวกมีบ้านมีอาชีพ เป็นราษฎรที่เพิ่มภาษีให้ราชสำนัก ร่วมสร้างสรรสิ่งใหม่เพื่อแผ่นดินหมิง”


ทุกคนเงียบไป หากกล่าวเช่นนี้  ผลประโยชน์ย่อมมากยิ่งกว่ามาก คนในห้องทรงอักษรเหล่านี้ล้วนเป็นระดับหัวสมองแห่งแผ่นดิน เรื่องต่างๆ ใต้หล้ายามนี้ก็ล้วนเข้าใจยิ่ง


ตอนนี้หลายมณฑลทางเหนือล้วนขาดแคลนแรงงาน ชาวนามากมายล้วนออกไปทำนาเพาะปลูกนอกกำแพงเมือง อากาศทางนั้นอาจจะหนาวเหน็บกว่าทางนี้ แต่ทว่ามีดีที่ภาษีต่ำ มีกิจการของตนเอง อย่างไรก็ดีกว่าถูกขูดรีดที่บ้านเกิดมากนัก


 นานวันเข้า ทุกคนล้วนรู้ ข้างนอกแม้ว่าหนาวเย็นและลำบาก แต่พอไปแล้วได้ใช้ชีวิตที่ดีกว่ามาก  คนที่คุมพื้นที่อย่างไรก็มีธรรมเนียม ไม่รังแกผู้ใดกันง่ายๆ ตามอำเภอใจ หากเป็นในท้องที่เดิมตน ขุนนางท้องที่และคนใหญ่คนโตท้องที่ก็มักจะไม่เห็นชาวบ้านในสายตา


แน่นอน อาณานิคมเพาะปลูกแต่ละแห่งไม่ได้มีแต่คนดี ที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อดึงดูดให้คนไปกันยิ่งมาก อย่างไรตอนนี้ด้านนอกก็ขาดแคลนแรงงานที่สุด


แม้ชาวนาล้วนจากบ้านเกิดเมืองนอนไป แต่ชีวิตที่ยากลำบากจริงๆ การทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ไม่อาจทำได้ ตอนนี้ขุนนางมีเรื่องกันก็เรื่องการอพยพประชากร ขุนนางแต่ละมณฑลโจมตีขุนนางชายแดน ว่าพวกเขาปล่อยปละราษฎรให้ไหลออกไป ชายแดนก็บอกว่าในด่านขูดรีดมากไป ดังนั้นจึงบีบให้ราษฎรทนไม่ได้ต้องไป


แต่ละแห่งล้วนมีจุดยืน แต่ไรก็เป็นเช่นนี้  แต่ทว่าราชสำนักกลับเห็นเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องดี เพราะคนที่หนีออกไปเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นราษฎรยากจนไร้อาชีพไร้ที่ดิน คนพวกนี้ไปทำงานให้เจ้าของที่ดินมีเงิน ราชสำนักไม่ได้อะไรด้วยเท่าไร ถึงกับไม่ได้แม้แต่แดงเดียว เพราะเจ้าของที่ดินมีเงินพวกนั้นมักมีวิธีแอบซ่อนที่ดิน ไม่เสียภาษี และยังอาจมีสิทธิทางภาษีต่างๆ นานา


คนเหล่านี้ออกไปนอกด่าน ไปถึงนอกด่าน พวกเขาย่อมต้องคิดสร้างตัวเร่งเพาะปลูก สองปีนี้แม้ภาษีลดลง แต่ระยะยาวมองดูแล้ว ราชสำนักสามารถเก็บภาษีจากคนเหล่านี้ได้ เพิ่มภาษีให้ราชสำนักได้  ตั้งแต่เริ่มมีการจัดการเรื่องที่ดินมา ราชสำนักเก็บภาษีนับวันยิ่งมาก


หวังทงคิดจะนำราษฎรเกาหลีเข้ามาในเขตแดน แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานชาวฮั่น ให้พวกเขาไปตั้งรกรากยังชายแดน เพื่อเพิ่มภาษีให้ราชสำนัก เพิ่มจำนวนคนที่ขาด เช่นกัน ราษฎรเกาหลีเหล่านี้บนแผ่นดินหมิงต่อไปหลายรุ่น ถึงกับแค่สองรุ่นก็พอ ย่อมผสมกลืนหายไปแล้ว


เพราะราษฎรสองแผ่นดินหน้าตาไม่ต่างกันมาก ชีวิตความเป็นอยู่กับวัฒนธรรมก็มีหลายอย่างคล้ายกันมาก แน่นอนย่อมรวมกันได้ราบรื่น


เกาหลีแม้พื้นที่ยากจน แต่อย่างไรก็พื้นที่ดังมณฑลเล็กๆ   ยังมีประชาการหลายแสน  อย่างไรก็เป็นเรื่องดี  บุกเบิกที่ดิน เพิ่มประชากร สำหรับฮ่องเต้แล้ว เป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่ ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์เริ่มเปลี่ยนจากสงสัยเป็นพึงพอพระทัย ค่อยๆ พยักพระพักตร์ แต่ก็ยังตรัสถามต่อว่า


“หวังทง ที่เจ้ากล่าวมานี่ แน่นอนเป็นเรื่องดีมาก แต่การทำเช่นนี้ การจัดการคนหลายแสนคน เกาหลีทางนั้นยังต้องอพยพคนเข้ามา สิ้นเปลืองมาก เจ้ากล่าวถึงนี่ เกรงว่า ในห้าปีก็คงยังไม่เห็นผลอันใด!”


ถามรายละเอียดเหล่านี้ขึ้น ไม่ได้แปลว่าเอาเรื่อง แต่ความจริงนั้นคือ ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มไตร่ตรองเรื่องนี้ว่าเป็นไปได้ไหมแล้ว และจะจัดการอย่างไร ทำอย่างไร


หวังซีเจวี๋ยกับเถียนอี้สบตากัน ก่อนมองไปยังโจวอี้ พวกเขาสามคนมีสายตาเหมือนกัน หวังทงน่าจะมีคำตอบมาก่อนแล้ว ไม่เช่นนั้นไหนเลยจะมีความคิดเป็นฉากๆ ได้เช่นนี้


“ฝ่าบาท ยึดครองเกาหลี อพยพคนมา ในเวลาสั้นๆ ไม่อาจชดเชยคืนทัพใหญ่ได้ แต่ถึงขั้นท้องพระคลังยังต้องเติมเงินเข้ามาเพิ่มด้วย แต่ที่กระหม่อมทูลไม่ใช่แค่เกาหลี”


ในห้องทุกคนพากันสะดุ้ง  เรื่องให้ตกใจมีมากเกินไปแล้ว เพราะที่หวังทงว่ามานั้นช่างเหนือความคาดหมาย เมื่อก่อนทุกคนไม่กล้าคิด ถึงกับคิดไม่ถึง หวังทงล้วนกล้านำเสนออย่างไม่กลัว หรือว่า……


“หวังทง เจ้ากล่าวถึงที่ใด?”


“ฝ่าบาท โจรวัวโค่วรุกรานเกาหลี และยังจ้องเขมือบแผ่นดินหมิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนั้นที่มีภัยทางตะวันออกเฉียงใต้ ความชั่วเหล่านี้ใช่ว่าไม่ควรกำราบให้ราบคาบหรือ ขับไล่โจรวัวโค่วออกจากเกาหลีแล้ว ยังต้องยกทัพไปประเทศวัว”


“เหลียวกั๋วกง เจ้าก็ร่ำเรียนหนังสือ รู้ประวัติศาสตร์ หรือว่าไม่รู้ว่าราชวงศ์หยวนแห่งมองโกลข้ามทะเลไปตีวัวโค่ว ถูกลมพายพัดล่มทั้งกองทัพสูญสิ้น ประเทศวัวไม่มงคล ไม่ใช่ที่ออกศึก!”


พูดถึงตรงนี้  หวังซีเจวี๋ยน้ำเสียงหวาดกลัวจริงแล้ว ตอนราชวงศ์หยวนโจมตีประเทศวัว ทัพใหญ่นับแสนถูกพายุพัดเรือล่ม สูญสิ้นทั้งกองทัพ เรื่องนี้ใต้หล้าล้วนรู้  ยังมีสมัยฮ่องเต้เจียจิ้งเกิดภัยโจรวัวโค่ว แผ่นดินหมิงทุกคนก็ล้วนรับรู้ ประเทศวัวไม่มงคล ยกทัพไปมีแต่ภัยหายนะ


หวังทงนั่งตัวตรง ยิ้มกล่าวว่า


“ใต้เท้า พวกมองโกลก็แค่พวกนอกด่าน ไม่รู้เรื่องบนท้องทะเล ดังนั้นจึงถูกพายุกระหน่ำ เกี่ยวอันใดกับฟ้า พวกโจรวัวโค่วรุกรานแผ่นดินหมิงทางตะวันออกเฉียงใต้ ก็เป็นประเทศวัวยกพลข้ามทะเลมา พวกเขาเหตุใดไม่ถูกลมพายุกระหน่ำเล่า ตอนนี้ เมืองซงเจียงกับเทียนจินเปิดทะเล บนท้องทะเลการค้าเจริญรุ่งเรือง พ่อค้าทะเลก็มีมากมาย คนเก่งการเดินเรือเราก็มีมากขึ้น เหตุใดจึงไม่อาจไปโจมตีประเทศวัวเล่า”


“เหลียวกั๋วกง โจรวัวโค่วกำลังนับล้าน เทียบได้กับแผ่นดินหมิงเราหลายมณฑล หากยึดครองพื้นที่พวกเขามา เอาประชากรพวกเขามา ยังข้ามทะเลอีก คิดแล้วน่าจะสิ้นเปลืองกว่ายึดเกาหลีมาก ใช่ว่าขัดกับความตั้งใจแรกเดิมหรอกหรือ”


ครั้งนี้เอ่ยขึ้นกลับเป็นโจวอี้ กลืนแผ่นดินเกาหลีก็เป็นเพราะพื้นที่ทางบกติดกัน  มีความสะดวกหลายอย่าง  และเกาหลีราชสำนักเล็กๆ ถูกโจรวัวโค่วรุกรานอยู่แล้ว หลายครั้งก็มาขอเป็นเมืองขึ้น  นี่เป็นรูปแบบที่ยอมรับได้ แต่หากให้ข้ามทะเลไปโจมตีประเทศวัว เช่นนั้นย่อมมีเรื่องไม่สะดวกหลายอย่าง


หากโจมตีประเทศวัวพ่ายมา หวังทงต้องรับผิดชอบหนัก ถึงกับสูญสิ้นอำนาจและชื่อเสียง ในสถานการณ์นี้วาจากล่าวตรงไปตรงมาทำลายความคิดเขาสิ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ตอนเรียกเข้าเฝ้าตรัสว่า สถานการณ์วันนี้กล่าวได้ไร้ความผิด ทุกคนจึงได้ร่วมหารือ


ได้ยินโจวอี้ถามขึ้น หวังทงยิ้ม พยักหน้ากล่าวว่า


“โจวกงกงคิดได้รอบคอบ แต่ทว่าหลังรบประเทศวัวได้ ก็สามารถได้กำไรทันที ไม่เพียงเสบียงที่เสียไปได้คืน ถึงกับยังได้เติมเต็มท้องพระคลังได้อีก”


วาจานี้กล่าวจนทำให้ทุกคนล้วนตัวตรงยื่นหน้ามาตั้งใจจ้องมองรอฟังหวังทง ในใจคิดว่าทำกำไรได้อย่างไร กำไรใหญ่อันใดกัน ที่เจ้ากล่าวถึงนี่ล้วนเป็นรายจ่ายที่เรียกได้ว่าเยอะมากมหาศาล


“ฝ่าบาท ประเทศวัวผลิตแร่ทอง เงินและทองแดง ตามข่าวจากพ่อค้าทะเล ประเทศวัวแม้ว่ามีขนาดแค่สองสามมณฑลแผ่นดินหมิงเรา แต่แร่ทอง เงิน และทองแดงนั้นเรียกได้ว่ามากกว่าแผ่นดินหมิงเราหลายเท่า”


ในห้องหลายคนล้วนมีตำแหน่งสูงมานาน พอได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้อุทานตกใจ ผลิตได้เช่นนี้เอง ประเทศวัวจึงได้ร่ำรวยเช่นนั้น


“ความร่ำรวยนอกแผ่นดิน แต่ไรก็เป็นแค่เรื่องเล่า จะมาเอาเป็นเรื่องจริงได้อย่างไร เหลียวกั๋วกงต้องคิดให้รอบคอบ!”


โจวอี้กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบ หวังทงยิ้มพยักหน้า เอ่ยขึ้น


“ฝ่าบาท ใต้เท้าหวัง กงกงทั้งสอง เงินที่ผลิตในปีหย่งเล่อมีเท่าไร มีระบุชัดเจนในเอกสาร แต่ตอนนี้เงินเหรียญที่เทียนจินกับเมืองซงเจียงที่ใช้กันอยู่ก็ราวเหมือนว่าเป็นหนึ่งในสามของจำนวนที่ระบุไว้ หากนับรวมรอบๆ เทียนจินกับเมืองซงเจียง ถึงกับมากกว่าครึ่งหนึ่ง พื้นที่มากมายเพียงนี้มีเงินเหรียญไหลเวียนแค่นี้ และยังเป็นสีสด ใต้หล้าแต่ละแห่งเล่า หรือว่าพวกเขาไม่ใช้เงินเหรียญ? เงินเหรียญอาจจะผลิตใหม่ตลอดก็ได้ และประเทศวัวเกาหลีกับทะเลใต้ก็เป็นพื้นที่ที่ใช้เงินเหรียญหย่งเล่อ ใช้เงินกันมากมายเพียงนั้น ในรายงานองครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาล้วนชี้ชัดว่า พวกโจรสลัดประเทศวัวแอบผลิตเหรียญเอง  นี่เป็นเงินเหรียญเท่าไรกัน”


เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอันใด คนที่นั่งอยู่ล้วนได้รับฟัง แต่ทว่าพอฟังหวังทงพูดเช่นนี้ ก็เริ่มคิดต่อไปอีก


หวังทงยังคงกล่าวเนิบนาบต่อไปว่า


“ประเทศวัวทองคำหนึ่งตำลึงแลกได้เงินสี่ตำลึง และสีทองยังสุกอร่าม พ่อค้าทะเลแผ่นดินหมิงไปมาประเทศวัว มีคนทำกิจการแลกเงินและทองนี้ ร่ำรวยมหาศาลระดับชาติ”


แผ่นดินหมิงทางการกำหนดให้ทองหนึ่งตำลึงแลกเงินสิบตำลึง เทียนจินกับเมืองซงเจียงมีเงินไหลเข้ามากองโต ดังนั้นอัตราแลกเปลี่ยนเงินและทองจึงเป็นหนึ่งต่อแปด ไม่ก็หนึ่งต่อห้า แต่เทียบกับประเทศวัวแล้ว  แค่ลองคำคำนวณก็รู้ผลประโยชน์มหาศาลซ่อนอยู่


ในยุคนี้เป็นยุคแห่งการกล่าวถึงแต่ผลประโยชน์ ประเทศวัวร่ำรวยเช่นนั้น ช่างเป็นเนื้อก้อนโตเสียจริง แม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป๋ซานนอกกำแพงเมือง เมืองกุยฮว่าเฉิง พื้นที่แต่ละผืนทำให้ขุนนางแผ่นดินหมิงยิ่งต้องการก้อนยิ่งโตขึ้น การแสวงหาทรัพย์สินเงินทองนับวันยิ่งดุเดือด หวังทงพูดถึงตรงนี้ ทุกคนล้วนหวั่นไหว


ตอนที่ 1094 กำหนดนโยบาย เปิดศึก

Ink Stone_Fantasy

“ประเทศวัวใหญ่กว่าเกาหลี แต่ยึดไม่ยาก ประเทศวัวตอนนี้แม้ว่าอยู่ใต้การนำขุนศึกเข้มแข็ง แต่ก็ยังมีคลื่นใต้น้ำ ไดเมียวแต่ละแห่ง หากเป็นประเทศเราก็เรียกว่าบรรดาเจ้าผู้ครองรัฐ ล้วนไม่พอใจ ล้วนสะสมกำลังทหารเตรียมต่อต้าน ขอเพียงแผ่นดินหมิงยกทัพเข้าประเทศวัว ก็ย่อมแบ่งแยกทุกคนออกจากกันได้ ค่อยๆ โจมตีทีละพื้นที่ ค่อยๆ ยึดไปทีละก้าว แต่ทว่าเรื่องนี้เริ่มต้น หากราบรื่น ตัดดินแดนชดใช้ ยอมอยู่ใต้อาณัติเรา เช่นนี้ก็ทำได้”


วาจาสุดท้ายหวังทง เป็นข้อสรุป กล่าวจบ เสียงในห้องก็เงียบกริบ ผ่านไปครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่จึงได้แย้มสรวล หวังซีเจวี๋ยกับเถียนอี้ก็ยิ้มตาม มีสีหน้าแปลกๆ


“ตัดดินแดนชดใช้ ยอมอยู่ใต้อาณัติ เราอ่านหนังสือประวัติศาสตร์มา เรื่องเช่นนี้มามากในสมัยฮั่น คิดไม่ถึงจะนำมาใช้ในสมัยเราได้ด้วย หวังทงเจ้ากล่าวได้ดี แต่เราฟังแล้วกลับรู้สึกไม่มั่นใจ”


“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้อง กระหม่อมเองก็รู้สึกแปลกๆ”


หวังซีเจวี๋ยกล่าวตาม ทุกคนแม้ว่ากล่าวเช่นนี้  แต่เหมือนจะเห็นด้วยแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่เคาะที่ประทับไปเบาๆ ตรัสขึ้นอีกว่า


“โจวอี้ไปหาทางทางนั้น ข่าวประเทศวัว ไม่ว่าของทางการหรือชาวบ้าน ล้วนเร่งสืบมาให้มากที่สุด ขุนนางหวังกล่าวมาก็ต้องตรวจสอบก่อน อย่างไรก็เป็นเรื่องใหญ่ ระวังไว้ก่อนดีกว่า หวังทง เกาหลีครั้งนี้ จัดการเรื่องตอนนี้ให้เรียบร้อยก่อน เรื่องอื่นเราไว้ค่อยหารือกันต่อ วางแผนกันก่อน!”


ดำรัสฮ่องเต้ว่านลี่ความจริงนั้นได้เป็นการยอมรับข้อเสนอหวังทงแล้ว จากนี้ก็แค่งานในรายละเอียดแล้ว


**************


ทัพใหญ่เช่นนี้เคลื่อนกำลัง อย่างไรก็ต้องจัดพิธีส่งทัพออกศึก โอรสสวรรค์ประทับตราแต่งตั้งมอบตราแม่ทัพด้วยพระองค์เอง บวงสรวงบรรพชนและฟ้าดิน ทัพใหญ่ได้รับการคุ้มครองย่อมต้องได้ชัย


เมื่อก่อนราษฎรเมืองหลวงมักมาดูความคึกคัก แต่บรรดาชนชั้นสูงแม้แต่ความคึกคักก็ขี้เกียจจะดู เพราะลูกหลานชนชั้นสูงเมืองหลวงไม่น้อยล้วนอยู่ในกองทัพ หลายคนหาเส้นหาสายไม่ไป ให้ดึงชื่อตนออก จะได้ไม่ต้องไปตายบนสนามรบ


ตอนนี้กลับไม่เหมือนเดิม ขอเพียงตระกูลที่รักความก้าวหน้า ล้วนหาสายสัมพันธ์ฝากฝัง ให้ลูกหลานตนได้ติดตามออกศึกกับหวังทง หลายปีนี้ไม่เหมือนเดิม นั่งเสวยอำนาจวาสนาสงบเป็นเรื่องดี แต่หากคิดอยากจะมีหน้ามีตา แสวงหาวาสนามาให้ตระกูลตน เช่นนั้นย่อมต้องออกศึก


ปะทะได้เลือด สร้างความชอบมา เบื้องบนก็จะเชื่อใจมาก อย่างไรก็ย่อมได้เลื่อนสถานะ ไม่กล่าวถึงเรื่องอื่น ตระกูลเซียงเฉิงป๋อตอนนี้มีหน้ามีตาได้มาอย่างไร ตระกูลถังตอนนี้ล้วนโอ้อวดไปถึงขั้นไหนแล้ว


กับสายสัมพันธ์เช่นนี้ หวังทงเองก็ไม่คิดปัด ความจริงนั้นด้วยสถานะเขา  ก็ไม่อาจมีผู้ใดสามารถเรียกร้องน้ำใจจากเขา หากคิดออกศึก ก็ย่อมต้องส่งไปหาหม่าซานเปียวกับหลี่หู่โถว คิดจะต่อสู้เพื่อแผ่นดิน ก็ต้องดูก่อนว่าเจ้ามีความสามารถหรือไม่กัน


งานเลี้ยงอันใด หวังทงก็เปิดโอกาสให้แค่โจวอี้กับหลี่ว์วั่นไฉที่เป็นคนสนิทเดิมเท่านั้น ที่เหลือล้วนปฏิเสธ ต้นเดือนสิบสอง หวังทงก็เข้าพักที่ค่ายนอกเมืองหลวงแล้ว สำหรับเขาแล้ว นี่เข้าสู่ช่วงออกศึกแล้ว เครือข่ายสามธาราองครักษ์เสื้อแพรล้วนเคลื่อนไหวรวบรวมเสบียงหาซื้อของใช้เพื่อการทหาร


พิธีก่อนออกศึกยิ่งใหญ่  ออกศึกปราบโจรวัวโค่ว การต่อสู้นี่เพื่อปกป้องแผ่นดินหมิง ใช้กำลังทหารมาก  สิ้นเปลืองก็ยิ่งมาก เป็นเรื่องใหญ่ในการขนส่ง ทุกคนราชสำนักล้วนร่วมใจเป็นหนึ่ง แม้แต่ราษฎร พอมีฐานะก็จะจุดธูปเทียนอธิษฐาน ขอให้แผ่นดินหมิงมีชัยชนะใหญ่


พิธีการต่างๆ โอรสสวรรค์ตรวจทัพ พิธีแต่ละอย่างเสร็จสิ้น  ฮ่องเต้ว่านลี่บนพระแท่นสูงก็มอบดาบและธงแม่ทัพให้หวังทง


พิธีนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงประกอบพิธีด้วยพระองค์เอง หวังทงคุกเข่าเบื้องหน้าสองมือยกรับ บนพระแท่นนั้น ขุนนางนับร้อยมองมา หวังทงรับพระราชทานจากพระหัตถ์ฮ่องเต้ว่านลี่


“ครั้งนี้ต้องชนะ!”


ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสสุรเสียงก้อง ขุนนางพิธีการด้านหนึ่งก็เริ่มส่งสัญญาณ คนเบื้องหน้าล้วนพากันตะโกนดัง


“ครั้งนี้ต้องชนะ แผ่นดินหมิงเกรียงไกร”


มีคนตาดีเห็นว่า ตอนฮ่องเต้ว่านลี่พระราชทานดาบกับธงแม่ทัพให้นั้น ยังประคองหวังทงให้ลุกขึ้น ยังตรัสอีกสองสามวาจา สีหน้าทุกคนเคร่งขรึมภายนอก แต่ในใจได้แต่ทอดถอนใจถึงตนเอง นี่เป็นสายสัมพันธ์นายบ่าวที่ยิ่งใหญ่ พระเมตตาหาใดเทียม!


“ครั้งนี้ได้ชัยชนะใหญ่กลับมา ก็ไม่ต้องกลับเมืองซงเจียงแล้ว มาเมืองหลวง เราและเจ้าจะได้ร่วมรับผลประโยชน์กัน!”


ฮ่องเต้ว่านลี่แอบกำชับเช่นนี้ หากมีผู้ใดได้ยิน เกรงว่าคงได้แต่ทอดถอนใจไม่หยุด หวังทงคิดไม่ถึงฮ่องเต้ว่านลี่ฮ่องเต้ว่านลี่จะตรัสเช่นนี้ ลังเลครู่หนึ่ง ถวายคำนับคุกเข่าลงทูลว่า


“กระหม่อมขอบพระทัยที่ทรงเมตตา!”


วันที่ 11 เดือนสิบสองปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 20 ทัพใหญ่ออกศึกวันมงคล จัดพิธี ทัพใหญ่ออกศึกเหลียวหนิงอย่างเป็นทางการ


*****************


เมืองหลวงจัดพิธียิ่งใหญ่ ทัพใหญ่ออกเดินทัพ ทางเหลียวหนิงแถบอี้โจว การต่อสู้เริ่มแล้ว


เดือนสิบเอ็ด ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 20 แม่น้ำยาลูเริ่มแข็งเป็นน้ำแข็ง น้ำแข็งหนาสามฉื่อเป็นคำใช้บรรยายได้ในยามนี้กับทุกแห่งที่นี่ พื้นดินแข็งเช่นนี้ อย่าว่าแต่คนเดิน ม้าสี่ตัวลากรถใหญ่ล้วนผ่านไปได้อย่างราบรื่น


ผู้บัญชาการเมืองเซวียนฝู่หลี่หรูซงนำกำลังทหารม้าสามพัน ผู้บัญชาการเหลียวซีหลี่หรูป๋อเป็นรองแม่ทัพนำกำลังทหารม้าเหลียวแปดพัน ทหารราบหนึ่งหมื่น ทหารราบผู้บัญชาการเหลียวตงอีกสี่พัน


ออกศึกครั้งนี้ แม้ผู้บัญชาการเหลียวตงหม่าหลินกับผู้บัญชาการเหลียวหนานซุนโส่วเหลียนไม่ได้ให้หน้ากับตระกูลหลี่ นัก แต่อย่างไรคนของพวกเขาไม่น้อยก็เป็นคนเก่าแก่ใจตระกูลหลี่ ยากที่จะขัดขวาง สุดท้ายก็ยังคงเป็นผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วออกหน้าว่าอี้โจวแผ่นดินหมิงต้องการทหารป้องกัน จึงได้ทิ้งทหารม้าเหลียวหนานกับเหลียวตงไว้


สวีกว่างกั๋วเองก็คิดจากหลักความจริง เพราะตอนนี้เหลียวหนิงกับนอกกำแพงเมืองเหลียวหนิงแต่ละแห่ง  กำลังขนเสบียงไปอี้โจว เพื่อรอรับการมาของทัพใหญ่


ฤดูหนาวขนเสบียงแม้ว่าพื้นดินแข็ง รถใหญ่เคลื่อนสะดวก แต่อย่างไรก็ยุ่งยาก การขนเสบียงจำนวนมากจริงๆ ก็รอให้ขนมาทางน้ำปีหน้า  จากซานตงเข้ามายังแม่น้ำยาลูโดยตรง


สถานการณ์ตอนนี้ กำลังการขนเสบียงยังต้องเคร่งเครียด ต้องแบ่งส่วนออกมาให้กองหน้าใช้ แน่นอนไม่อาจดูแลได้ครบถ้วน ยุ่งยากมาก


ตามความต้องการหวังทง หลี่หรูซงนำกำลังไปไม่ใช่ว่าต้องสำแดงอานุภาพใดนัก แค่ให้ทัพใหญ่โจรวัวโค่วที่เปียงยางไม่อาจรวมกำลังได้ตั้งค่ายมั่นได้เท่านั้น การสร้างกำแพงเครื่องป้องกันไม่ต้องใช้กำลังทหารมาก  แต่หลี่หรูซงนำกำลังไปเห็นชัดว่าเกินกว่าที่คิดไว้มาก ทำให้เสบียงที่ต้องให้พวกเขามากเกินจำเป็น สวีกว่างกั๋วแน่นอนไม่อนุญาต


 ทัพใหญ่เกือบสามหมื่นเคลื่อนกำลัง  ก็นับเป็นทัพใหญ่แล้ว ข้ามแม่น้ำยาลูเข้าเกาหลี เดิมก็มีสายสืบให้ใช้การได้ เส้นทางไปมาบริเวณค่ายตั้งทัพก็ล้วนชำนาญดี ไม่ได้มีอุปสรรคใด


  หลี่หรูซงเคลื่อนกำลังมา โจรวัวโค่วก็ย่อมรู้ ที่เมืองเปียงยางเตรียมการป้องกัน


*******************


ตระกูลหลี่ใช้ทหาร เรียกได้ว่าง่ายดายมาก เรียกได้ว่ารวดเร็วมาก อาศัยความเร็วทหารม้าบุกเข้าไป โจมตีตอนไม่ทันระวัง นี่เป็นเอกลักษณ์ของทหารตระกูลหลี่


ครั้งนี้เกาหลีก็เป็นเช่นนี้ ทัพใหญ่เดินทัพมาได้ครึ่งวันก็พักตั้งค่าย แต่หลี่หรูป๋อนำกำลังทหารม้าสี่พัน นำเสบียงแห้งสำหรับสองวันไปด้วย ดูว่ามีความเป็นไปได้ที่ศัตรูจะบุกโจมตีหรือไม่


แต่ทว่าพอถึงฤดูหนาว เส้นทางเมืองหลวงกับทางเหนือเกาหลีที่เมืองพยองอันจังหวัดฮวังแฮ  หนาวยิ่งกว่าทางเหนือประเทศวัวหลายส่วน ทหารโจรวัวโค่วไม่กล้าออกมาเคลื่อนไหวด้านนอก ได้แต่มุดอยู่แต่ในป้อม


ตอนจู่เฉิงซวิ่นนำทหารบุกมา เคยตั้งพักระหว่างทางที่หมู่บ้านหนึ่ง ตอนนี้หมู่บ้านนี้ถูกโจรวัวโค่วยึดครองไปแล้ว และสร้างเป็นป้อมดินขึ้นมา จัดกำลังทหารสามพันเฝ้าไว้


ความจริงนั้นเรื่องนี้ได้แสดงให้เห็นว่าโจรวัวโค่วค่อยๆ คืบคลานเข้าควบคุมทางเหนือเกาหลีไว้ได้แล้ว ป้อมดินนี้ขวางเส้นทางทหารม้าไปยังเปียงยาง การต่อสู้ฉากแรกย่อมปะทะกันที่นี่


ป้อมดูสร้างหยาบๆ ตัดไม้ในละแวกนั้น แม้แต่เปลือกไม้ยังไม่ได้ลอกผิวไม้ออก ก็เหลาแหลมปักลงพื้น ปักลงไปในราวครึ่งฉื่อ จากนั้นยังขุดคูน้ำไว้รอบนอก


งานก่อสร้างแม้ว่าดูหยาบ แต่ในหน้าหนาวจัดนี้ ขอเพียงด้านนอกมีรั้วไม้และรดน้ำจากบนกำแพงรดน้ำลงไป ก็สามารถทำให้สิ่งก่อสร้างมั่นคงแข็งแรงได้


แม้ก่อนมา สายสืบล้วนกล่าวถึงสถานการณ์ในเกาหลีต่างๆ มาแล้ว แต่พอหลี่หรูป๋อได้มาเห็นป้อมดินก็ถึงกับหัวเราะดังลั่น


“แค่รังสุนัขแค่นี้คิดมาขวางทางพวกเรา จัดการพวกมันให้ราบ เอากลับไปรับความชอบกัน!”


ตอนตอนเริ่มปะทะจริง กลับไม่ง่ายดังว่า พื้นที่ก่อสร้างค่ายอยู่กลางเขา  มีแค่สองเส้นทางบุกเข้าไปได้  ที่เหลือล้วนมีแต่เศษก้อนหินและแอ่งน้ำระเกะระกะไปหมดทั่วพื้นที่


สี่พันทหารม้าบุกเข้าค่ายที่ตั้งทหารราบสามพัน รบกันบนทุ่งแน่นอนข้อได้เปรียบยิ่งใหญ่ แต่หากตั้งการรบพุ่งค่าย อย่างไรทหารม้าก็ต้องลงจากหลังม้า ต้องตัดไม้มาสร้างยุทโธปกรณ์บุก ค่อยๆ โจมตี เป็นเรื่องยุ่งยากยิ่ง


ความจริงนั้นหลี่หรูซงบอกกับหลี่หรูป๋อง่ายมากว่า ไม่ต้องสนใจสิ่งก่อสร้างพวกนี้ พวกเขาอยู่บนเขา เราไม่อาจขึ้นไปได้ง่าย แต่ทหารบนนั้นก็ลงมายากเช่นกัน หลี่หรูป๋อนำกำลังทหารม้าหลายพัน ภารกิจก็คือบุกไปข้างหน้า ดูเส้นทางให้ทัพใหญ่ที่จะตามมาว่ามีทัพใหญ่ศัตรู หรือมีอันใดผิดปกติหรือไม่ สำหรับการโจมตีป้อมนั้น ไม่ใช่หน้าที่ภารกิจทหารม้า


ทหารตระกูลหลี่ไร้ความสำนึกในระเบียบ นี่เป็นคำวิพากษ์ของหวังทง การแสดงออกถึงไร้ความสำนึกในระเบียบก็คือ ชอบอยากได้ความชอบใหญ่กัน เห็นป้อมดินนี่แล้ว หลี่หรูป๋อก็คิดไปเรื่องอื่น คิดแต่จะยึดที่นี่ให้ได้ นำหน้าแซงทัพใหญ่ไปก่อน ให้คนในตระกูลได้ดีใจกัน


การศึกไม่ใช่เรื่องของฝ่ายเดียวคิด ไม่ใช่ว่าขุนพลทหารคิดอย่างไรก็ได้ ตอนทหารม้าหลี่หรูป๋อเข้าใกล้ป้อม ปืนใหญ่วัวโค่วกับธนูก็ยิงมาพร้อมกัน มีคนบาดเจ็บล้มตายไปทันทีหลายสิบคน สภาพทุลักทุเลยิ่ง ขุนพลหลี่จะทนรับสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร ตอนนั้นจึงได้แต่คำรามด่าทอเสริมกำลังบุกยิ่งมาก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)