องครักษ์เสื้อแพร 1090-1092

 ตอนที่ 1090 ก่อนยกทัพยิ่งเหมือนปีก่อน

Ink Stone_Fantasy

เดิมตอนยังไม่มีหวังทง การยกทัพสามครั้งของสมัยฮ่องเต้ว่านลี่ทำให้สิ้นเปลืองเงินท้องพระคลังแผ่นดินหมิงไปหมดสิ้น กาวก่งกับจางจวีเจิ้งพยายามที่จะพลิกสถานการณ์การคลังแผ่นดินหมิง แต่ก็ยังคงเปลี่ยนได้แค่แทบล่มละลายกับใกล้ล้มละลาย แต่ครั้งก่อนไม่ว่าเมืองปัวโจวหรือหนิงเซี่ย ล้วนไม่เกิดจลาจลใหญ่ สองที่นี้ถึงกับสงบยิ่ง ยังเพิ่มภาษีให้แผ่นดินหมิงได้อีก


ค่าใช้จ่ายเมืองชายแดนทั้งเก้าที่เคยเป็นภาระหนักหน่วงแห่งท้องพระคลังเดิมของแผ่นดินหมิง เพราะเปลี่ยนทหารไปเป็นชาวบ้าน ส่งกองกำลังหลวงไปประจำหน่วยต่างๆ ก็สามารถลดค่าใช้จ่ายไปได้มาก


ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เทียนจินเปิดท่าการค้า เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า การค้ารุ่งเรืองที่ต่างๆ นำมาซึ่งรายได้ภาษี แม้ภาษีที่ดินยังคงลดลงต่อเนื่อง แต่การคลังแผ่นดินหมิงยามนี้กลับยังคงสถานะร่ำรวย


  หนึ่งขึ้นหนึ่งลง หลายแห่งคำนวนดูก็ย่อมพบว่า  ตอนนี้สถานการณ์การคลังแผ่นดินหมิงร่ำรวยมาก สามารถจ่ายค่าออกศึกรวมกำลังพลทัพใหญ่ครั้งนี้ได้


ความจริงนั้นปัญหาแท้จริงไม่ได้อยู่ที่รายจ่ายกองทัพกับการเกณฑ์กำลังพล แต่เพราะเดิมตั้งแต่ศูนย์กลางแผ่นดินหมิงไปยังท้องที่ ไม่มีคนชำนาญงานว่าจะจัดการเคลื่อนกำลังและจ่ายค่าใช้จ่ายกองทัพใหญ่อย่างไร ต้องให้หวังทงเสนอ ให้พ่อค้าเข้าร่วมในวงกว้าง ให้กลุ่มพ่อค้าที่หัวก้าวหน้าได้เข้าร่วม ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้


แน่นอน คนเกือบสองแสน เกือบเท่ากับกำลังพลตอนเหนือแผ่นดินหมิงทั้งหมด เสบียง คน ม้า อาวุธ ล้วนต้องการจำนวนมาก เสบียงอาหารและค่าใช้จ่ายต่างๆ เงินทองก็ไหลไปราวกับสายน้ำ ตามธรรมเนียมแผ่นดินหมิง คนรับผิดชอบทั้งหมดจากกรมอากรและกรมทหารแต่ไรมาไม่รู้รวยไปกันตั้งเท่าไร


ในใจหวังทงเข้าใจดี ดังนั้นในฎีกาเขาจึงกล่าวได้กระจ่าง ในเมื่อตนยังเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ก็ต้องใช้เครือข่ายองครักษ์เสื้อแพรมาจับตาดูระบบเสบียงกองหลังขนถ่ายต่างๆ  ในการออกศึกครั้งนี้  ในวังก็สนับสนุนการนี้ สำนักบูรพาเตรียมดำเนินการสนับสนุน


ไม่ให้คนได้เงินเข้ากระเป๋าเลยย่อมไม่ได้ แต่เรื่องใหญ่ในการนำทัพใหญ่นี้ ไม่อาจมีข้อผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย หวังทงเองก็เป็นห่วง หากหลายคนลงมือโกยหนักไป ผลจะทำให้เสียการใหญ่


ในวังเองก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ของเขา แม้หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถียนอี้ในวังยังเห็นด้วยเช่นกัน การส่งขันทีไปจับตาพวกขุนนางบุ๋นเรื่องเสบียง ล้วนมีแต่ผลดีต่อในวัง ไร้ผลเสีย


ฎีกาและจดหมายหวังทงถึงฮ่องเต้ว่านลี่  ในเส้นทางส่วนตัว ในราชสำนักและในวังหลายคนไม่อาจเข้าถึงได้


ไม่รู้พวกเขาสองคนได้หารือกันเรียบร้อยแล้วหรือยัง ครั้งนี้ยกทัพใหญ่ส่งขุนนางบุ๋นใดไป ถึงกับให้เป็นผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วรับหน้าที่


สวีกว่างกั๋วไม่ว่าตำแหน่งตอนนี้หรือประสบการณ์ล้วนไม่พอ ความจริงนั้นก่อนจะรู้ว่าหวังทงได้นำทัพใหญ่ ขุนนางบุ๋นราชสำนักที่มีคุณสมบัติล้วนออกแรงในทางลับและทางแจ้งกันหมด ในวงการขุนนาง ไม่ว่าเข้าใจการทหารหรือไม่ไม่รู้ แต่มีความเหมือนกันหนึ่งก็คือ ล้วนมั่นใจในหวังทงมาก หวังทงนำกำลังทัพใหญ่ออกศึก ย่อมมีชัยชนะใหญ่  ย่อมสร้างความชอบมาก


 ก็หมายความว่า ขอเพียงตามออกศึกด้วย ย่อมมีความดีความชอบตามด้วย  มีแต่ตนเองได้ตำแหน่งและผลประโยชน์ใหญ่ หวังซีเจวี๋ยนั่นก็ตามไปครั้งหนึ่ง ผลปรากฏตำแหน่งมหาอำมาตย์ก็ตกเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะความดีความชอบเพียงนี้ หากตนเองได้ไป อย่างน้อยก็ได้ต่ออำนาจวาสนาไปอีกสิบปี


แต่ทว่าราชสำนักจัดการครั้งนี้ทำให้หลายฝ่ายตกตะลึง มีข่าวว่าหวังซีเจวี๋ยเคยกราบทูลฮ่องเต้ว่านลี่ต่อหน้าพระพักตร์ ในเมื่อราชสำนักวางใจให้หวังทงยกทัพใหญ่ออกศึก ก็ย่อมควรให้ความไว้วางใจเต็มที่  เมื่อก่อนหวังทงข้างกายไร้ขุนนางบุ๋น ก็ยังมีชัยชนะใหญ่ ไม่ได้มีอันใดแปลก หวังซีเจวี๋ยตามไปออกทัพเจี้ยนโจว ก็ปล่อยอิสระเต็มที่ ไม่ได้แสดงบทบาทอันใด ครั้งนี้ไปเหลียวหนิง สำคัญที่สุดก็คือประสานงานกองหลังที่เหลียวหนิงเรื่องเสบียง ผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วตอนเกาหลีเกิดเรื่องมาถึงตอนนี้ ก็แสดงให้เห็นว่ารับมือได้ทันท่วงที ทำได้ตามหลักการไม่ผิดพลาด ให้ตำแหน่งนี้แก่เขา ประสานงานกับหวังทงก็เป็นเรื่องสมควร


หวังซีเจวี๋ยให้ข้อสรุปนี้ไม่ได้มีปัญหาอันใด แต่ทว่าราชสำนักขุนนางใหญ่ล้วนด่าทอ มหาอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่ปิดกั้นเส้นทางก้าวหน้าคนอื่นๆ!


ผู้ใดล้วนรู้ออกศึกนี้ย่อมได้ความดีความชอบติดตัวมาก ได้แบ่งความชอบไปมาก สะสมความชอบไปได้ระดับหนึ่ง ก็ย่อมได้ก้าวขึ้นไปอีก เสนาบดีหกกรมกองและขุนนางสำนักตรวจสอบล้วนเป็นราชบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่ การก้าวไปข้างหน้าอีกขั้นคืออันใด ก็ย่อมเป็นมหาอำมาตย์และรองอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่ ใช่ว่าเป็นการคุกคามต่อหวังซีเจวี๋ยหรือ ผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วนั้นไม่เหมือนกัน ประสบการณ์น้อย ตำแหน่งต่ำ แม้ได้แบ่งความชอบ ก็คงอยู่เหลียวหนิงอีกนาน ไม่ก็ไปประจำเมืองใหญ่อีกหลายปี ล้วนไม่อาจคุกคามเขาได้


ด่าก็ส่วนด่า ราชสำนักตัดสินใจแล้ว ทุกคนไม่อาจไม่รับ เรื่องนี้ไม่ใช่หวังทงออกความคิดเอง หากว่าหวังทงทำเอง ก็เท่ากับเป็นการล่วงเกินคนมากมาย


ส่วนเรื่องขันทีคุมกำลังในวังนั้น สถานะนี้ไม่มีการแย่งชิง มีคุณสมบัติไปกันได้หลายคน คนมีคุณสมบัติพวกนี้ใช่ว่ามีความชอบน้อยเสียเมื่อใด  แต่การมีเวลาได้อยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ไทเฮานับเป็นเรื่องที่ถูกต้องกว่า


ผลปรากฏอย่างไรก็ต้องเป็นคนคุ้นเคยดีกว่าไม่คุ้น ขันทีเฉินจวี่แห่งสำนักส่วนพระองค์ได้รับเลือกให้เป็นขันทีคุมกำลังในการนี้ แต่ทว่าครั้งนี้มีหน้าที่พิเศษ ไช่หนานกองกำลังหลวงได้รับหน้าที่มาเป็นรองด้วย คนผู้นี้มารับหน้าที่นี้ ทุกคนล้วนเข้าใจยิ่ง เฉินจวี่ครั้งนี้ไปเกาหลี เกรงว่าคงไปเป็นแค่ตัวประกอบ อย่างไรก็คงเป็นไช่หนานที่ทำหน้าที่ตัวจริง


เข้าสู่เดือนสิบเอ็ด ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 20  เหลียวกั๋วกงหวังทงนำทหารส่วนตัวขึ้นเหนือ  ทหารส่วนตัวแค่ห้าร้อย แต่พลม้าที่ติดตามมาเกือบพัน พลม้าเหล่านี้ไม่ใช่ตามออกรบ  หากเพื่อไว้ใช้ส่งข่าว ทุกวันมีข่าวส่งไปยังเมืองชายแดนแต่ละเมือง เมืองหลวง ยังมีเหลียวหนิง เมืองซงเจียงก็มีจดหมายไป


หลี่หู่โถวนำกองกำลังหู่เวยกองหนึ่ง กองห้า และกองเจ็ด กองทหารม้าหู่เวยและกองปืนใหญ่หู่เวย กองกำลังเหล่านี้ล้วนประจำการอยู่แถบเมืองหลวง  หวังทงต้องการรวมกำลังกองนี้ หลังพิธีการออกศึกในเมืองหลวงแล้ว ทหารทุกสายก็พากันตรงไปยังเหลียวหนิง


กองกำลังฝ่ายขวาติ้งเหลียวทางตะวันออกเฉียงใต้ เมืองจิ่วเหลียนเฉิงและเมืองอี้โจวแถบนี้เป็นที่ตั้งทัพใหญ่ในการออกศึกครานี้ ตอนนี้ผู้บัญชาการเมืองเซวียนฝู่หลี่หรูซงไปถึงไห่โจว เหลียวหนิง


กองกำลังหลายกองไม่ได้ใช้เส้นทางในเขตแดนแผ่นดินหมิง แต่ใช้เส้นทางทุ่งหญ้านอกด่าน เพราะกลุ่มพ่อค้าทุ่งหญ้า พวกเขาขอเพียงมีเงินทองให้เพียงพอ บนทุ่งหญ้าก็สามารถตั้งค่ายกำลังได้  และทหารม้าชนเผ่ารอบนอกเมืองที่ยังชำนาญเส้นทางมานำทาง ตลอดทางมุ่งยังเหลียวหนิง


มีแต่กองกำลังทางน้ำที่ค่อนข้างยุ่งยาก นายกองม่ายแห่งเทียนจิน [1]ต้องมารอรับประสานกำลังกับเฉินหลิน ร่วมเดินทางไปยังเกาหลี แต่ยังไม่กล่าวถึงว่าจากกวางตุ้งมาเทียนจินต้องใช้เวลานานเท่าไร ฤดูหนาวไม่ว่าเทียนจินหรือคาบสมุทรเหลียวตง ยังมีทะเลเหลืองของเกาหลีในแต่ละเมืองท่า ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นน้ำแข็งหมด การเดินเรือย่อมยุ่งยากใหญ่ ไม่อาจไม่ไตร่ตรอง ปูซานทางนั้นทะเลเป็นน้ำแข็งน้อย แต่เฉินหลินนำกำลังกองเรือมาแม้ร่วมกับกองหลายพันของนายกองม่าย กำลังโดยรวมของกองกำลังทางน้ำแผ่นดินหมิงก็ไม่เท่าไร ต้องรอบรรดา ‘กองเรือผู้กล้า’ ตามมาสมทบ


ดังนั้นกองกำลังทางน้ำแผ่นดินหมิงก็จะรอที่ท่าไหลโจวที่ซานตงถึงหลังฤดูใบไม้ผลิ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 21 จึงออกเดินทาง  กองกำลังนี้บนท้องทะเลจึงไม่เป็นที่คาดหวังของกองทัพในขณะนี้


จากเมืองซงเจียงตลอดทางไปยังเมืองหลวง ตำแหน่งสถานะหวังทง ทุกพื้นที่ที่ผ่านไป ขุนนางทุกระดับย่อมพากันมาคารวะ ตลอดเส้นทาง บรรดาขุนนางอย่างไรก็ต้องมีสายสัมพันธ์การค้ากับ ‘เทียนจิน เมืองซงเจียง’ จัดเลี้ยงขอคารวะ มอบของขวัญ ล้วนไม่อาจขาด หวังทงตอบรับไปตามมารยาท แต่ก็ล้วนปฏิเสธไป นับวันยิ่งการข่าวมายิ่งมาก ในการนี้ก็ยิ่งทำให้มั่นใจในแนวทาง ไม่สนใจเรื่องราวอันเป็นเท็จ


ข่าวเกาหลีไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมาย เกาหลีแปดจังหวัดย่อมถูกโจรวัวโค่วครอบครองไปอย่างไม่เต็มใจ ยังคงมีเจ้าของที่และขุนนางที่หนีมาได้รวมกำลังกันต่อต้าน แต่ก็ถูกปราบอย่างรวดเร็ว  และจากการข่าวยังทำให้รู้ว่า เวลาที่ล่วงเลยไป การเคลื่อนไหวรุนแรงก็ยิ่งน้อยลง การต้านทานไว้ได้ก็ยิ่งน้อยลง


แต่ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่หวังทงคิดไม่ถึง ทัพเรือเกาหลีกับทัพเรือประเทศวัวต่อสู้กัน ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ถึงกับเรียกได้ว่าได้เปรียบ  แต่อย่างไรในแผ่นดินก็ล้วนถึงประเทศวัวยึดไปหมดแล้ว ไม่มีเมืองท่าและเสบียงเสริมแล้ว ทัพเรือได้แต่รบกันไปวันๆ ไม่รู้ข้อได้เปรียบจะอยู่ได้อีกนานเท่าไร


****************


เกาหลีถูกโจรวัวโค่วรุกราน  เกี่ยวอันใดกับแผ่นดินหมิงเรา นี่เป็นท่าทีของทุกคนบนแผ่นดินหมิง เกาหลีส่งขุนนางมาร่ำไห้หน้าประตูวังแผ่นดินหมิงทุกวันเพื่อขอร้อง หลี่หรูซงนำกำลังทหารม้าหลายพันเข้าสู่เหลียวหนิง ตอนอยู่เมืองหย่งผิงก็มีขุนนางเกาหลีตามมาคารวะ สำนักในบุญคุณ จากนั้นทุกวันก็เร่งเร้าให้หลี่หรูซงรีบบุกเข้าเกาหลี


เกาหลีเจ้าเป็นหรือตาย เกี่ยวอันใดกับตระกูลหลี่เรา หลี่หรูซงมาถึงไห่ซีก็ไมได้ลงใต้ไปยังพื้นที่ค่ายทหารแม่น้ำยาลู เขานำกำลังทหารไปยังอี้โจว หลี่หรูซงนำกำลังทหารติดตามไปเหลียวหยาง สำหรับราชสำนักกล่าวว่าการบุกเข้าเกาหลี ไม่อาจปล่อยให้โจรวัวโค่วเหิมเกริมก็ถูกพวกขุนนางเกาหลีนำมากล่าวอ้าง หลี่หรูซงตอบกลับไปง่ายๆ ประโยคเดียวว่า ‘รอบคอบไว้ก่อน’ จากนั้นก็ไม่สนใจอันใดอีก


เหลียวหยางเป็นพื้นที่มั่นของทหารตระกูลหลี่  เป็นเมืองอุดมสมบูรณ์ที่สุดของทั้งเหลียวหนิง เมื่อก่อนตอนนี้ ทุกคนล้วนยุ่งกับการเตรียมฉลองปีใหม่กันแล้ว ทั้งในเมืองนอกเมืองล้วนบรรยากาศเฉลิมฉลอง แต่ครั้งนี้จู่เฉิงซวิ่นนำทหารม้าหลายพันสูญสิ้นที่เปียงยาง ทำให้ทั้งเหลียวหนิงต้องอยู่ภาวะสงคราม ทหารสายผู้บัญชาการเหลียวซีล้วนต้องนำกำลังไปอี้โจว ในเมืองเงียบเชียบไร้สีสัน บรรยากาศเห็นได้ชัดว่ากดดันมาก


หลี่หรูซงกำลังกลับเหลียวหยาง ไม่ใช่เพื่อฉลองปีใหม่ เขาเดิมทีคิดจะกลับไปดูที่เหลียวหยางหลังเสร็จศึกเสียหน่อย ผู้ใดจะคิดว่าพอพ้นด่านซานไห่กวน หลี่เฉิงเหลียงก็ส่งคนมารอรับ ว่านายท่านใหญ่มีคำสั่งต้องพาตัวนายน้อยกลับเสิ่นหยาง มีเรื่องสำคัญยิ่งหารือ


[1] นายกองม่ายก็คือนายกองเรือทัพเรือกวางตุ้ง ม่ายเต๋อเจิ้น ที่เดินทางมาประจำปกป้องเทียนจิน ปรากฏในตอนที่ 562


ตอนที่ 1091 ตระกูลใหญ่หรือแผ่นดินใหญ่

Ink Stone_Fantasy

เดิมจวนตระกูลหลี่ในเดือนสิบสองก็จะเริ่มคึกคักไม่ธรรมดา หลี่เฉิงเหลียงมีทั้งบุตรชายแท้ๆ และบุตรชายบุญธรรม และบรรดาทหารคนสนิท ทุกคนจะนำครอบครัวมารวมตัวกันที่นี่ ทุกวันเชิญคณะงิ้วมาแสดงเช้าจรดค่ำ ทุกคนร่วมดื่มสุราและเล่นพนัน สำราญหาใดเทียม


แต่ในจวนตอนนี้ ผู้บัญชาการเหลียวซีหลี่หรูป๋อได้นำกำลังทหารไปยังอี้โจว หลี่หรูเหมยและบรรดาลูกหลานคนอื่นๆ ก็ล้วนตามไปด้วย เหลือแต่หลี่เฉิงเหลียงเฝ้าจวนโดดเดี่ยวเดียวดาย เงียบเหงาอย่างมาก


หลี่หรูซงเป็นคนชอบความครึกครื้น ความเป็นพ่อลูกระหว่างเขากับหลี่เฉิงเหลียงเรียกได้ว่าก็แค่สายสัมพันธ์ ทว่าอุปนิสัยไม่เหมือนกัน จวนที่เงียบเหงาไร้ความบันเทิง หลี่หรูซงอึดอัดยิ่ง


ด้านนอกลมหนาวพัดเหน็บหนาว ในจวนตระกูลหลี่ยังคงอบอุ่นราวฤดูใบไม้ผลิ แต่เสื้อบางๆ ก็ยังคงเอาไม่อยู่ ในห้องโถงใหญ่อลังการ มีเพียงหลี่เฉิงเหลียงกับหลี่หรูซงสองคนนั่งประจันหน้ากัน ทำให้รู้สึกถึงความอึมครึม หลี่หรูซงมองไปรอบๆ อย่างเบื่อหน่าย ที่เห็นไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง แต่เล็กจนโต ห้องโถงกลางนี้ล้วนจัดวางของใหม่แทนของเก่าเสมอ  แต่ก็ไม่มีอันใดแปลกพิสดารน่าสนใจ


หลี่เฉิงเหลียงสวมชุดบุนวมหนานั่งอยู่ ที่หน้าขายังมีพรมผืนหนึ่งวางทับให้ความอุ่น  ข้างๆ มีพ่อบ้านอายุราว 40 ยืนอยู่ นี่คือพ่อบ้านในจวน


สถานการณ์เช่นนี้ ตามหลักควรไม่มีบุคคลที่สาม แต่หลี่เฉิงเหลียงต้องการคนคอยปรนนิบัติข้างกาย ก็ได้แต่เลือกคนในที่ไว้ใจที่สุด


หลี่เฉิงเหลียงผมขาวโพลนและมีริ้วรอยย่นบนใบหน้า ถึงกับยังหลังค่อม  แก่ชราเห็นได้ชัด  เทียบกับหลี่หรูซงเห็นครั้งก่อน  เรียกได้ว่าแก่ลงไปมาก แต่ทว่าหลี่หรูซงในใจก็ไม่ได้รู้สึกอันใด ถึงกับยังแอบโมโหในใจ หากไม่ใช่หลี่เฉิงเหลียงคิดต้องการเทียบกับหวังทง  จะไปพ่ายแพ้เผ่าหนี่ว์เจินยับเยินเช่นนั้นได้อย่างไร  สมบัติในตระกูลสูญสิ้นไปเท่าไร หม่าหลินกับซุนโส่วเหลียนก็ได้เป็นใหญ่อิสระ เดิมตระกูลหลี่คุมทั้งเมืองเหลียวโจว ตอนนี้เหลือเพียงแค่เหลียวซีตะวันตกนี่เท่านั้น


แย่งกับหวังทงแล้วได้อันใด หวังทงตีเมืองกุยฮว่าเฉิงได้แล้ว ในฐานะหัวหน้าตระกูลหลี่ หลี่เฉิงเหลียงควรเข้าใจได้ว่าเรื่องราวไม่อาจทำได้อีกแล้ว ควรจะไปหาทางสมานฉันท์ หากทำเช่นนี้ ทุกอย่างก็คงยังรักษาเอาไว้ได้  มาถึงตอนนี้ ไม่ว่ากองกำลังหลวงจะแข็งแกร่งเพียงใด ตระกูลหลี่ก็ได้แค่กำลังสามหมื่นเท่านั้น เดิมทหารนับแสนออกศึกเช่นนี้ หากตระกูลหลี่ได้รับหน้าที่ยกทัพออกศึก ความดีความชอบใหญ่ล้วนเป็นของตระกูลหลี่ ได้ความชอบนี้ไป  ก็สามารถเทียบกับหวังทงได้แล้ว


ตอนนั้นรอไม่ไหว มาถึงตอนนี้ โอกาสดีคว้าไม่ได้ แม้หลี่หรูซงไปถึงเหลียวหนิงก่อน แต่ก็ต้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหวังทง นี่มันจะมีความหมายอันใด


กล่าวคำว่า ‘หาก’ นั้นเป็นคำที่ไร้ความหมายที่สุด แต่ทว่าคิดได้เช่นนี้ ความคับแค้นในใจย่อมคงอยู่ แน่นอนอารมณ์ไม่ได้ดีนัก


“ทางนี้ที่ไปสานสัมพันธ์ได้ก็สานไว้หมดแล้ว เจ้าไปเกาหลี เพียงแค่บุกเข้าตีก็พอ ยึดพื้นที่ได้มากเท่าไรยิ่งดี ไล่พวกโจรวัวโค่วลงใต้ไปได้มากเท่าไรยิ่งดี หม่าหลินกับซุนโส่วเหลียน อาจช่วยเหลือเจ้า อย่างน้อยไม่ถ่วงเจ้า”


ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง หลี่เฉิงเหลียงเอ่ยขึ้น หลี่หรูซงข้างๆ เงียบไปครู่ก่อนจะเอ่ยตอบว่า


“ท่านพ่อเมืองหลวงทางนั้นคิดให้ลูกนำทัพบุกเข้าโจมตีเปียงยางก่อน ให้โจรวัวโค่วไม่อาจรวมตัวกันที่เปียงยางได้ รอเหลียวกั๋วกงนำกำลังทัพใหญ่มา ที่ท่านพ่อกล่าวมา หากเป็นคำสั่งทางนั้น ข้าก็จะรีบไปดำเนินการ แต่หากไม่ใช่ แล้วกลายเป็นความผิดฐานขัดวินัยทหารเล่า!”


กล่าวได้มีเหตุมีผล แต่พ่อลูกไม่ควรจะกล่าววาจาเล่นลิ้นกันเช่นนี้ หลี่เฉิงเหลียงขมวดคิ้ว ไอออกมาก่อนกล่าวว่า


“ขัดวินัยทหารอันใด ขอเพียงเจ้าตีมีชัยชนะใหญ่ ผู้ใดจะลงโทษเจ้า คนทางเมืองหลวงล้วนติดต่อไว้แล้ว ขอเพียงเจ้าทำศึกได้ดี  ก็จะให้เจ้าได้เป็นทัพใหญ่นำทัพก็ได้”


หลี่หรูซงราวกับไม่สังเกตสีหน้าโมโหของหลี่เฉิงเหลียง ถามขึ้นอีกว่า


“ท่านพ่อ โจรวัวโค่วกำลังไม่น้อย จู่เฉิงซวิ่นทหารม้าห้าพันไปปะทะสูญเสียมาแล้ว หากลูกนำนำกำลังทัพใหญ่นับหมื่นไปสูญเสียอีกจะทำอย่างไร?”


“บัดซบ! สูญเสียอีกนับหมื่นอันใด จู่เฉิงซวิ่นมันไอ้ตัวใช้การไม่ได้ รบไม่เป็น  ดันมุดเข้าไปในกระเป๋าโจรวัวโค่วเอง รายงานการข่าวทางนั้นใช่ว่าข้าไม่ได้อ่าน พวกโจรวัวโค่วทางนั้น เจ้าขอเพียงรบกับพวกมันจริงจังสักตั้ง พวกเราย่อมมีความมั่นใจว่าจะชนะได้ถึงเจ็ดส่วน”


หลี่เฉิงเหลียงอดตวาดเสียงดังไม่ได้ พูดถึงตรงนี้ก็เริ่มหอบเล็กน้อย พ่อบ้านด้านหลังรีบส่งน้ำชาให้ดื่ม หลี่หรูซงส่ายหน้าเบาๆ ยังกล่าวว่า


“เสี่ยงไปสักหน่อยๆ สถานการณ์เรา ข้ารู้ ทหารสามพันในมือข้าใช้การได้ พี่รองทางนั้นนำมาก็ราวสี่พันกว่ากระมัง หม่าหลินกับซุนโส่วเหลียนไม่ถ่วงเราไว้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว  หรือจะให้พวกเขาส่งทหารมาร่วมด้วย? จำนวนเจ็ดพันกว่านี้…”


นิ่งไปพักหนึ่ง หลี่หรูซงก็ลังเลกล่าวว่า


“เจ็ดพันกว่า เราตอนนั้นเก้าพันกว่า ศึกตัวหลุนที่เจี้ยนโจวล้วนเสียหายไม่น้อย เจ็ดพันกว่าเกรงว่ามีสองพันกว่าเป็นพวกที่มาเติมทีหลังกระมัง ท่านพ่อ ข้าแม้ว่าอยู่เมืองเซวียนฝู่ แต่การข่าวทุ่งหญ้าตอนนี้ก็ไวมาก ข้ารู้เรื่องราวมากมาย กาค้าเหลียวซีล้วนยาวไปถึงลุ่มน้ำทางนั้น คนเหล่านี้ทั้งวันทำแต่การค้าไหนเลยมีเวลาฝึกซ้อมกำลัง คนเช่นนี้ออกสนามรบจะไปสู้อันใดได้?”


หลี่เฉิงเหลียงสีหน้าดำคล้ำ ถามขึ้นด้วยเสียงเคร่งเครียดว่า


“เจ้าคิดกล่าวอันใด?”


“ท่านพ่อ ที่ข้าต้องการกล่าวก็คือกองกำลังเมืองชายแดนเราทั้งหมดสามหมื่นกว่า ที่รบได้จริงมีเท่าไร ข้ารู้ดี ที่ใช้การได้เกรงว่าราวหมื่น ทหารม้าใช้การได้ราวหกพัน คนเหล่านี้ไป…โจรวัวโค่วนั่นตั้งสองแสน ท่านพ่อมั่นใจว่าไม่เสี่ยงภัยหรือ?”


หลี่เฉิงเหลียงจ้องมองหลี่หรูซงไม่กล่าวอันใด หลี่หรูซงส่ายหน้า ยืนขึ้นกล่าวว่า


“ท่านพ่อ ตอนนี้สถานการณ์ใต้หล้าไม่ใช่ดังแต่ก่อนแล้ว ตระกูลหลี่เราไม่ใช่ตระกูลหลี่เมื่อก่อนอีกแล้ว ติดตามหลังเหลียวกั๋วกงค่อยๆ ก้าวไป แบ่งสรรกำไรและความชอบดีกว่า ไยต้องมาเสี่ยงแบกรับความผิดด้วยเล่า ไยต้องลำบากกันด้วย หากไม่ใช่ท่านคิดเช่นนี้ตอนรบศึกเจี้ยนโจวเราจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!?”


เพิ่งถามกลับขึ้น หลี่เฉิงเหลียงก็ตบพนักเก้าอี้ดัง ลุกขึ้นยืน พรมที่ปิดขาไว้ร่วงลงพื้น พ่อบ้านด้านหลังตกใจก้มตัวต่ำ หลี่เฉิงเหลียงตัวสั่นชี้หน้าหลี่หรูซงตวาดว่า


“เจ้าเดรัจฉาน ข้าตอนนั้นต่อสู้ด้วยชีวิตเพื่อใครกัน หากไม่ใช่เพื่อพวกเจ้าพี่น้อง ไม่ใช่เพื่อตระกูลหลี่เรา คนอื่นอายุเท่าข้า ก็ล้วนเสวยสุขกันแล้ว ข้ายังต้องนำทัพเสี่ยงภัย ข้าทำไปเพื่อผู้ใด เจ้าคิดว่าเจ้าได้ไปเมืองเซวียนฝู่เป็นผู้บัญชาการเป็นเจ้าต่อสู้ได้มาเองหรือไง? หากไม่ใช่ข้ารบนอกด่าน ค่อยๆ สะสมความขอบมาให้พวกเจ้า เจ้าจะได้เป็นผู้บัญชาการ…”


พูดถึงตรงนี้  หลี่เฉิงเหลียงถึงกับไอไม่หยุด พ่อบ้านด้านหลังรีบเข้ามาลูบหลังให้พัลวัน กระซิบบอกหลี่หรูซงว่า


“นายน้อย นายท่านสุขภาพไม่ดีนัก แต่วันๆ ก็ยังเอาแต่ห่วงทุกคนในตระกูลหลี่…”


“หุบปาก ที่นี่ไม่มีที่ให้เจ้ากล่าวแทรก!”


หลี่เฉิงเหลียงกว่าจะไอหยุดได้ ดื่มน้ำชาลงไปอึกหนึ่ง ก็ตำหนิพ่อบ้านไป ก่อนจะหอบลงนั่งเก้าอี้อย่างอ่อนแรงกล่าวว่า


“เหลียวซีพื้นที่เล็กๆ เราตระกูลหลี่คนมาก คนแซ่อื่นสามารถไปหาที่อื่นได้ แต่คนตระกูลหลี่จะไปไหนได้ นานวันเข้า ย่อมยุ่งยาก หากยังไม่สร้างความชอบใด ถึงรุ่นถัดต่อจากพวกเจ้า พวกเราแม้แต่ผู้บัญชาการเหลียวซีก็อาจไม่มีให้นั่งแล้วก็ได้ ตระกูลหลี่จบสิ้น ไร้รากฐาน เจ้าคิดว่าเจ้าจะอยู่เมืองเซวียนฝู่งั้นหรือ? ที่นั่นไม่ใช่ตระกูลลี่กับตระกูลหม่าดูแลอยู่หรือ…ตอนนี้ตระกูลหลี่เราต้องทำศึกชนะด้วยตนเองสักศึก ต้องแสดงความสามารถ หากได้แต่ตามคนอื่นออกศึก ราชสำนักต้องการตระกูลหลี่เราไว้ทำไมกัน…”


พูดไม่หยุด ยังต่ออีกว่า


“ตอนนี้คนหลายคนเบื้องหน้าเราเอาใจออกห่างแล้ว จู่เฉิงซวิ่นทหารม้าห้าพันสะสมมาได้อย่างไร หากไม่ใช่คิดจะไปหาที่ทางตนเอง หรูซงเอ๋ย ความชอบการทหารเป็นรากฐานตระกูลเรา ตอนนี้ไม่ว่าเจ้าหรือน้องชายเจ้า ล้วนต้องมีความดีความชอบที่โดดเด่นเพื่อทำให้สถานะตนมั่นคง ให้พวกเมืองหลวงรู้ความสามารถพวกเจ้า ข้าตอนนี้เป็นเช่นนี้แล้ว ทำไปทั้งหมดเพื่อผู้ใด หากไม่ใช่เพื่อพวกเจ้า?”


พูดถึงตรงนี้  หลี่เฉิงเหลียงก็เริ่มหลั่งน้ำตา เสียงสะอื้นกล่าวว่า


“ราชสำนักกำลังลงมือกับเมืองชายแดนแต่ละเมือง ตระกูลหลี่หากไม่สร้างความดีความชอบ วันหน้าพวกเจ้าคงได้แต่เป็นแค่เศรษฐี พวกเจ้าหากเป็นเศรษฐีที่ไร้อำนาจบารมี อาจต่อไปได้สองรุ่น จากนั้นเกรงว่าตระกูลหลี่เราคงหายไปราวกับอากาศแล้ว…”


หลี่หรูซงเอาแต่ส่ายหน้า รอหลี่เฉิงเหลียงกล่าวไม่จบ หลี่หรูซงก้มหน้าบลงมองพรมเปอร์เซียที่พื้น นี่คงซื้อมาจากเทียนจิน  ราคาก็น่าจะนับพันตำลึงทอง ราวกับว่ามองลวดลายพรมที่พื้น หลี่หรูซงเงยหน้าขึ้น ถอนหายใจยาวกล่าวว่า


“ในเมื่อท่านพ่อกล่าวเช่นนี้ ข้ารู้แล้วว่าควรทำเช่นไร ข้ารู้ว่าอำนาจวาสนามาจากที่ใด ข้าไม่ลืมบุญคุณบิดาเป็นแน่ การทหารกำลังสำคัญ ขอท่านพ่อรักษาสุขภาพ พรุ่งนี้ข้าจะไปเหลียวหนาน เข้าสู่สนามรบให้เร็วที่สุด”


**************


หวังทงเร่งเดินทางมาตลอดทาง  วันที่ 20 เดือนสิบเอ็ดมาถึงเมืองหลวง จากเมืองซงเจียงเร่งเดินทางขึ้นเหนือ  พื้นที่ที่ผ่านมาล้วนใช้เส้นทางคลองส่งน้ำหังโจว-เมืองหลวง นี่เป็นพื้นที่รุ่งเรืองยิ่งแห่งแผ่นดินหมิง


ตลอดทางแม้ส่วนใหญ่เร่งเดินทาง แต่ทว่าก็ได้ชมเมืองตลอดเส้นทางน้ำ หวังทงผ่านพื้นที่นี้หลายครั้ง เริ่มเปรียบเทียบก่อนหลัง แต่ละแห่งล้วนรุ่งเรืองกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย  ตลอดทางยังได้รับชาวบ้านมาร่วมทัพอีกไม่น้อย เมื่อก่อนง่ายมาก แต่พอการค้าเจริญรุ่งเรือง เทียนจินกับเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า ไม่เพียงแต่สองแห่งนี้ที่รุ่งเรือง พวกเขาหนึ่งอยู่เหนือ หนึ่งอยู่ใต้  ขับเคลื่อนพื้นที่ระหว่างเหนือใต้นี้ทั้งหมด และขับเคลื่อนไปทั้งแผ่นดินหมิง


แต่ทว่าพอเข้าเมืองหลวงมา หวังทงถึงกับไม่มีเวลาไปพบปะมิตรสหาย ก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่เรียกตัวเข้าเฝ้า


ณ ห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ว่านลี่ มหาอำมาตย์หวังซีเจวี๋ย หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถียนอี้ ผู้ช่วยสำนักโจวอี้ ยังมีเหลียวกั๋วกงหวังทง ห้าคนร่วมหารือ


ตอนที่ 1092 หารือออกศึก

Ink Stone_Fantasy

 ณ ห้องทรงอักษร ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับบนบังลังก์มังกร หวังซีเจวี๋ยกับหวังทงล้วนมีเก้าอี้นั่ง แต่ทว่าเถียนอี้กับโจวอี้สองคนได้แต่ยืนข้างๆ


หากเป็นเมื่อก่อน ไม่ว่าห้องทรงอักษรมีความลับเพียงใด เจ้าจินเลี่ยงก็มักอยู่ด้วย การหารือเรื่องการทหารเช่นนี้ ตามหลักก็ต้องมีเสนาบดีกรมทหารกับเสนาบดีกรมอากร


แต่ในวันนี้ พวกเขาล้วนไม่มีคุณสมบัติพอ ฮ่องเต้และมหาอำมาตย์ หัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์กับผู้ช่วยสำนัก และหวังทง คนเหล่านี้ล้วนเป็นระดับแนวหน้าสูงสุดในแผ่นดินหมิง เป็นบุคคลระดับแกนนำ ผู้อื่นล้วนมิอาจเทียบ


“แม่ทัพออกศึก ควรมีอำนาจสั่งการในมือ หลักการนี้เราเข้าใจ แต่มีบางเรื่องก็ยังคงอยากถามดู ที่นี่ก็มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น”


ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสสุรเสียงนุ่มนวล มองหวังทงกำลังจะลุกขึ้นทูล ฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ตรัสต่อว่า


“ถามอันใด ไม่ได้หมายความว่าเจ้าทำไม่ถูก เจ้าก็ทำไปตามที่เจ้าวางแผนไว้ เราแค่ไม่เข้าใจเท่านั้น?”


ตรัสเช่นนี้ แต่ในเมื่อแสดงท่าทีเช่นนี้ ก็ย่อมเพราะหวังทงจัดการวางแผนไม่เข้าใจหลายจุด จึงได้ตรัสถาม ฮ่องเต้ตรัสถามอย่างสงสัย หากอธิบายไม่กระจ่าง ใช่ว่าบอกให้แก้ไขแล้วไม่แก้ไขได้


ครั้งนี้แผ่นดินหมิงนำกำลังออกศึกแม้จำนวนไม่ได้มากไปกว่าตั้งแต่ตั้งราชวงศ์หมิงมา แต่ประสิทธิภาพไม่ได้ด้อย เกือบจะเรียกได้ว่าเจ็ดส่วนจากกำลังทหารเก่งกล้าทางเหนือแผ่นดินหมิง ยังมีกองกำลังทางน้ำที่เก่งกล้าที่สุด หากครั้งนี้ปฏิบัติการล้มเหลว ทางเหนือก็แทบไร้กำลังทหารจะต้านศึกอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโจรวัวโค่วสามารถบุกเข้าถึงศูนย์กลางแผ่นดินหมิงได้ทันที


การปฏิบัติการใหญ่เช่นนี้ อย่างไรฮ่องเต้ว่านลี่ก็ย่อมให้ความสำคัญ แม้รู้ว่าไม่ทรงชำนาญในการทหาร แต่ก็ยังอยากถามเพื่อให้เข้าพระทัย


เห็นสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ล้วนไม่เข้าใจการจัดกำลังพลของหวังทง ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่เข้าใจ มหาอำมาตย์หวังซีเจวี๋ย หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถียนอี้ก็ล้วนไม่เข้าใจ


โอรสสวรรค์ในเมื่อตรัสออกมาเช่นนี้ หวังทงแน่นอนย่อมไม่ปฏิเสธ ก้มตัวกล่าวว่า


“ฝ่าบาท ขอทรงถามมาได้ หากกระหม่อมรู้ย่อมไม่อาจไม่กราบทูล”


“เราเห็นเจ้ารวมกำลังทหาร เหตุใดทหารม้าน้อยเพียงนั้น หากดูจากจำนวนที่เจ้าเรียกกำลังพลชายแดนแล้ว แต่ละเมืองเมืองชายแดนทหารราบพันห้า ทหารราบไหนเลยดีเท่ากับทหารม้า แม้เมืองชายแดนเริ่มลดทหาร แต่เจ้าเรียกกำลังทหารม้ามาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ล้วนรับได้ หวังทง ครั้งนี้เป็นศึกระดับชาติ ไม่อาจประมาทศัตรู!”


เข้าทำศึกกับทัพใหญ่โจรวัวโค่วสองแสนในเกาหลี แผ่นดินหมิงเคลื่อนกำลังทหารแน่นอนยิ่งแข็งแกร่งยิ่งดี ทหารม้าย่อมเก่งกล้ากว่าทหารราบ โดยเฉพาะทหารเก่งกล้าเมืองชายแดนแล้ว หวังทงรวมกำลังพลเช่นนี้ ใช้แต่ทหารราบเมืองชายแดนแต่ละเมือง ไม่ได้ใช้กำลังทหารม้าส่วนตัวของบรรดาขุนพลชายแดน เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงเข้าพระทัย หากบอกว่าหวังทงรบไม่เป็น  ก็เห็นจะไม่ใช่ จึงได้แต่คาดเดาเอาว่าอาจประมาทหรือ  หลังรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งจึงประมาทหรือ


“ฝ่าบาท นอกกำแพงเมืองยังไม่สงบดี เมืองชายแดนแต่ละเมืองเพราะการปรับเปลี่ยนทำให้ยังมีความโกรธแค้น สถานการณ์ยังคงต้องระมัดระวังป้องกันไว้ก่อน ให้ทหารม้าเก่งกล้าเหล่านี้เฝ้าระวัง  ก็พอจะปราบได้ หากเอาไปหมด เกรงว่าอาจมีพวกคิดการใหญ่อาศัยจังหวะนี้ลงมือได้ สอง ข้อได้เปรียบทหารม้าในจังหวะนี้ ในการปะทะนี้ เกาหลีเล็กและแคบ ภูเขาก็มาก ข้อได้เปรียบทหารม้าไม่มากในพื้นที่ดังกล่าว ทหารราบค่อยๆ เดินเท้าเข้าไปกลับได้ผลดีที่มั่นคงยิ่งกว่า ทหารม้าเมืองชายแดนยังมีนายตน ล้วนเป็นดังชีวิตของบรรดาขุนพลชายแดน หากรบตามน้ำก็พอได้ แต่หากปะทะเหตุเจออุปสรรคใดก็ยากจะยืนหยัดต่อ ทหารราบไม่เหมือนกัน ทหารเก่งกล้าเมืองชายแดนหลายเมืองตอนนี้ไม่มีที่ไป มีโอกาสออกศึกเช่นนี้เพื่อพิสูจน์ตนเอง ย่อมตั้งใจเต็มที่ สาม หากใช้ทหารม้า กองเสบียงหนุนที่ตามมาส่งย่อมสิ้นเปลืองมากไป ทหารม้าพันนาย เปลืองเสบียงมากกว่ากองกำลังหลวงหนึ่งหน่วย ตอนนี้ฝ่าบาทรวมกำลังทหารใต้หล้า ท้องพระคลังก็เคร่งเครียด ประหยัดได้หน่อยก็ประหยัด  และขบวนทัพม้ากองกำลังหลวงรวมกับทัพม้าต้าถงก็เกือบห้าพันแล้ว ยังมีทหารม้าเก่งกล้าจากเหลียวหนิง สนามรบนี้เพียงพอแล้ว”


หวังทงอธิบายเรื่อยๆ พูดจนฮ่องเต้ว่านลี่กับคนรอบๆ ได้แต่พยักหน้าไม่หยุด พอหวังทงพูดจบ ฮ่องเต้ว่านลี่กับหวังซีเจวี๋ยและเถียนอี้ก็สบตากัน ยิ้มพอใจ


“ช่างเป็นเสาหลักแห่งแผ่นดินจริงๆ ทุกเรื่องคิดการเพื่อแผ่นดิน หวังทง เจ้าคิดว่าศึกนี้ใช้เวลานานเท่าไร?”


“ทูลฝ่าบาท ทัพใหญ่แต่ละหน่วยมารวมกันที่เหลียวตงอย่างไรก็ต้องรอถึงปีหน้าเดือนหนึ่ง สำหรับศึกนี้ต้องใช้เวลาเท่าไร การศึกเปลี่ยนแปลงตลอด ยังเป็นศึกระดับชาติ กระหม่อมไม่กล้าให้คำตอบ”


นี่เป็นคำตอบกลางๆ ตามระเบียบแบบแผน ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ หวังทงมองไปยังหลายคนในห้องทรงอักษร เงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยทูลถามขึ้น


“ฝ่าบาท ที่จริงศึกนี้ชนะหรือแพ้ กระหม่อมมั่นใจในชัยชนะใหญ่ แต่ทว่าจะใช้เวลานานเท่าไร ฝ่าบาท ก็อาจหกเดือน หรืออาจจะหนึ่งปี หรือนานกว่านั้น กระหม่อมคิดว่ารบยิ่งนานกว่า ผลประโยชน์ก็ยิ่งมากกว่าอีกหน่อยไม่ใช่หรือ?”


พูดถึงตรงนี้  หลายคนในห้องทรงอักษรสีหน้าล้วนแปลกใจ ทุกคนล้วนรู้หวังทงเป็นคนนิ่งรอบคอบ ไม่พูดจาเหลวไหล ยิ่งไม่น่าจะถามต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้ ยิ่งไม่กล่าววาจาล่องลอย แต่ ‘รบยิ่งนานกว่า ผลประโยชน์ก็ยิ่งมากกว่า’ ประโยคนี้เหนือความคาดหมายจริง


เพื่อการรวมกำลังทหารต่างๆ เหล่านี้ในตอนนี้ เมืองหลวงก็กังวลใจเร่งมือกันทำงานกันหนักแล้ว การรบต้องใช้เงินทอง นี่เป็นเรื่องจริงไม่เท็จ ยังไม่ได้ปะทะกับทัพใหญ่โจรวัวโค่ว  เงินก็ไหลไปราวกับสายน้ำ รอเปิดศึก ก็ยิ่งไหลไปขนาดราวภูเขาเงินทะเลทองคำ เงินงบประมาณกรมโยธาไว้ซ่อมแซมกำแพงและเส้นทางน้ำล้วนโยกไปปีหน้าแล้ว หากรบกันยิ่งนาน ใช่ว่าจะทำให้แผ่นดินหมิงกระเป๋าแห้งหรือ


“ครั้งนี้ออกศึก หากไม่ใช่เจ้าคิดเรื่องการเตรียมการ เกรงว่าคนกรมอากรก็คงหาเรื่องขึ้นภาษีอีกแล้ว ยิ่งรบกันยิ่งนานก็ใช้เงินยิ่งมาก คนตายยิ่งมาก ถึงตอนนั้นเกรงว่าท้องพระคลังคงแห้งขอด เกิดจลาจล เจ้าเหตุใดจึงบอกว่ายิ่งนานผลประโยชน์ยิ่งมาก?”


บรรยากาศในห้องไม่ได้เหมือนตอนถามคำถามแรกแล้ว เถียนอี้กับหวังซีเจวี๋ยสีหน้าล้วนเคร่งเครียด โจวอี้เองก็สีหน้าเป็นห่วง ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์อยากรู้ ในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ หวังทงคิดพิสดารแปลกๆ มากมาย แต่ใช่ว่าเป็นคนที่พูดจาเหลวไหลไร้หลักการ


สีหน้าหวังทงไม่เหมือนกล่าววาจาเหลวไหลไปอย่างงั้น เขาลุกขึ้นก้มตัวลงทูลจริงจังว่า


“ฝ่าบาท ตั้งแต่ตัดสินใจเปิดศึกมาถึงตอนนี้ ในและนอกวังล้วนใช้เงินไปเกือบแสนตำลึงแล้ว รอให้เปิดศึกก็ยิ่งต้องใช้จ่ายมากจนน่าตกใจ กระหม่อมทูลถามฝ่าบาท และขอถามใต้เท้าหวังกับกงกงทั้งสอง ชัยชนะใหญ่นี้ จะขับไล่ทัพใหญ่โจรวัวโค่วออกจากเกาหลีกลับประเทศวัว หลังจากนี้จะจัดมีบรรณาการหรือ? เกาหลีจะมีเงินมาชดเชยให้หรือ?”


ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ในเมื่อกล่าวกันถึงมหาอำมาตย์ มหาอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยส่ายหน้าขมวดคิ้วกล่าวว่า


“เหลียวกั๋วกงกล่าวเช่นนี้ไม่เหมาะนัก ตอนนี้โจรวัวโค่วใกล้เขตแดนแผ่นดินหมิง พวกเขาลำดับต่อไปย่อมเข้าสู่เหลียวหนิง ความคิดเป็นใหญ่เช่นนี้ แผ่นดินหมิงไหนเลยจะนั่งเฉยอยู่ได้ เพื่อความสงบสุขของเกาหลีในอาณัติเรา เพื่อแผ่นดินหมิงเรา ศึกนี้ต้องรบ ไยจึงกล่าวว่าสิ้นเปลืองเงินทอง?”


ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปไม่ตรัส หวังทงหันไปทางหวังซีเจวี๋ย ถามขึ้น


“ใต้เท้า เกาหลีในอาณัติเรา เคยทำผลประโยชน์อะไรให้แผ่นดินหมิงเราบ้างไหม? ยังจำที่ข้าไปเจี้ยนโจวกับใต้เท้าหวังได้ ยังมีขุนพลทหารเหลียวหนานบอกว่า แม่น้ำยาลูเกาหลีด้านหนึ่งเดิมทีเป็นพื้นที่แผ่นดินหมิง แต่ถูกเกาหลีทำไม่รู้ไม่ชี้ฮุบเอาไป นี่เป็นตำนานเล่ากันมา ไม่พูดถึงเรื่องนี้ก่อน หลายปีนี้เกาหลีส่งบรรณาการ ความจริงนั้นล้วนมาค้าขายของในประเทศ กำไรเงินทองแผ่นดินหมิงเราไป เราทุ่มเงินทองลงไปในเมืองในอาณัติเหล่านี้ มีประโยชน์อันใด เรารักษาดินแดนแผ่นดินหมิง ขับไล่ ปล่อยโจรวัวโค่วไปก็พอไม่ดีหรือ”


“เหลวไหล เกาหลีมีกองทัพพวกโจรวัวโค่วสองแสน หรือว่าจะพอใจแค่ในแผ่นดินเกาหลี? แผ่นดินหมิงนั่งเฉยมองดูก็ย่อมไม่อาจหลบภัยได้ ดังริมฝีปากและฟัน ย่อมพังทลายไปพร้อมกัน!”


หวังซีเจวี๋ยหงุดหงิดวาจาหวังทงอยู่บ้าง วาจาจึงหนักไปสักหน่อย แต่ทว่าหวังซีเจวี๋ยในใจกระจ่างดีว่า หวังทงย่อมไม่กล่าวอันใดไร้หลักการเหตุผล


“ใต้เท้ากล่าวไม่ผิด ดังริมฝีปากและฟัน เรื่องนี้กล่าวถึงร่างกายคนๆ หนึ่ง ริมฝีปากและฟันล้วนเป็นของคนๆ เดียว ยามนี้ออกรบ ก็เพื่อแผ่นดินหมิง ไม่ใช่เพื่อเกาหลีอันใด”


“หวังทง เจ้าหมายความว่าจะกินรวบเกาหลีไปด้วย?”


ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสขึ้นช้าๆ ตรัสจบ คนที่เหลือในห้องก็สะดุ้ง สะดุ้งเพราะตกใจ พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย มองเห็นหวังทงค่อยๆ พยักหน้า เถียนอี้อดไม่ได้กล่าวว่า


“ฝ่าบาท ขอพระราชอภัย กระหม่อมมีวาจาขอถามเหลียวกั๋วกง”


ขันทีในที่นี่เหมือนเป็นแค่ผู้ติดตาม ดังนั้นการเอ่ยถามความเห็นจึงเป็นเรื่องที่ไม่บังควร  ฮ่องเต้ว่านลี่แน่นอนย่อมอนุญาตเพราะพระองค์เองก็มีสีพระพักตร์ไม่เข้าใจเช่นกัน


“เหลียวกั๋วกง บรรพชนเราได้ตั้งกฎให้เกาหลีเป็นประเทศเราไม่รุกราน ตอบแทนที่ช่วยบรรพชนเราขับไล่พวกนอกด่าน หากฮุบกลืนเกาหลี ใช่ว่าเป็นแผ่นดินหมิงไร้คุณธรรมหรือ และเกาหลีหลายแสนคน พื้นที่ยากจน ไม่มีเสบียงแร่ธาตุอันใด ยึดมาแล้วได้อันใด ดีไม่ดียังต้องส่งเงินไปช่วยอีก เช่นนั้นก็ยิ่งเปลืองงบการทหารเข้าไปอีก ใช่ว่ายิ่งสิ้นเปลืองเพิ่มหรือ?”


มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณธรรมใหญ่อันใดล้วนไม่อาจนำมากล่าวเป็นเหตุผลตรงนี้ได้แล้ว มีแต่ผลประโยชน์แท้จริงเท่านั้นที่นำมาถกกัน เห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ หวังทงเข้าใจ ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทรงสงสัยเช่นกัน หวังทงกระแอมในลำคอ ก่อนจะทูลเสียงดังกังวานว่า


“เถียนกงกง บรรพชนเราตอนนั้นไม่รบเพราะกำลังไปไกลไม่พอ ไม่ใช่ไม่อยากรบ และไม่ใช่ว่ารบไม่ได้ ใต้หล้านี้ยังไม่สงบสุข เหลียวตงยังไม่อาจรวมเป็นหนึ่ง ได้แต่ยอมรับการคงอยู่ของเกาหลี หากบรรพชนเห็นเกาหลีดังลูกหลานจริง เช่นนี้เหตุใดจึงตั้งแนวป้องกันชายแดนเข้มงวดเช่นนี้กัน สำหรับผลประโยชน์ ข้าไม่ขอตอบตอนนี้ เถียนกงกงถามขึ้นเช่นนี้ ข้าขอถาม พวกเกาหลีเข้ามาในแผ่นดินเรา สามรุ่นอายุคนสามารถแยกเชื้อชาติออกไหม?”


แผ่นดินหมิงราชสำนักกับท้องที่ล้วนมีขุนนางชาติกำเนิดเกาหลี ถึงกับในวังยังมีขันทีเกาหลี แต่คนเหล่านี้แยกจากชาวฮั่นเราไม่ออก เถียนอี้รับรู้ส่ายหน้ากล่าวว่า


“ไม่อาจ…”


กล่าวจบ ทุกคนในห้องทรงอักษรล้วนเข้าใจ เข้าใจสิ่งที่หวังทงกล่าวมาแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)