ท่านเทพมาแล้ว 109-111
ตอนที่ 109
คนชราลับๆ ล่อๆ
โดย
Ink Stone_Romance
สัตว์เขาเดียวคิดดูแล้วรู้สึกว่าถูก มองดูแผลบนหน้าผากของจีหย่งฟางอีกคราแล้วจึงถามมู่จิ่ว “แท้จริงแล้วใครเตะ!”
มู่จิ่วชี้จีหย่งฟางพลางพูด “แน่นอนว่าเป็นนางที่มีใจคิดทำร้ายข้าก่อน นางเตะหินมา ข้าจึงอาศัยมันเตะโต้ตอบกลับไป! ท่านมหาเซียน หากท่านต้องการตามหาผู้รับผิดชอบต้องไปหานาง!”
สัตว์เขาเดียวจ้องจีหย่งฟาง ทิ้งมู่จิ่วลง เดินไปหานางก่อนยกขึ้นกลางอากาศ
เหลียงชิวฉานรีบเอ่ย “ขอบังอาจถาม ท่านนี้คือมหาเทพหลีเปิงแห่งสำนักของอู่เต๋อเจินจวินใช่หรือไม่?”
สัตว์เขาเดียวพูด “เจ้ารู้จักข้าได้อย่างไร?”
“อาจารย์ของข้าหัวชิงเจินเหรินแห่งสำนักแรกพยับพูดถึงอู่เต๋อเจินจวินอยู่บ่อยครั้ง!”
“พวกเจ้าเป็นศิษย์ของหัวชิงเต้าเหริน?” สัตว์เขาเดียวอึ้งไปเล็กน้อย
เหลียงชิวฉานรีบส่งป้ายข้างเอวไปให้เขาดู
สัตว์เขาเดียวดูแล้วจ้องจีหย่งฟางที่กลัวจนไร้เรี่ยวแรงพลางพูด “เห็นแก่อาจารย์ของพวกเจ้า ครั้งนี้ข้าจะละเว้นให้!”
จีหย่งฟางหล่นลงไปกับพื้น จะยืนก็ยืนไม่ไหว
ตอนมู่จิ่วได้ยินชื่ออู่เต๋อเจินจวินก็มองสัตว์เขาเดียวผู้นี้อย่างละเอียด
สัตว์เขาเดียวสวมเสื้อคลุมนักพรตริมผ้าปักลายดอกไม้มากมาย บนแผ่นหลังยังปักลายนกหลวน[1]ตัวหนึ่ง เสื้อคลุมของเหล่าเทพบนสวรรค์ล้วนพิถีพิถัน สัญลักษณ์ติดตัวมักจะเป็นสมญานามที่อวี้ตี้มอบให้ตอนสำเร็จเป็นเซียนหรือร่างเดิมก่อนขึ้นมาเป็นเซียน ตามที่นางรู้มีเพียงคนที่เป็นกษัตริย์ในโลกมนุษย์มาก่อนขึ้นเป็นเซียนจึงจะใช้นกหลวนเป็นสัญลักษณ์ได้ หรืออู่เต๋อเจินจวินเป็นกษัตริย์จากโลกมนุษย์เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นเซียน?
ยังมีสัตว์เขาเดียวตัวนี้ซึ่งถูกขนานนามเป็นมหาเทพหลีเปิงแห่งสำนักของอู่เต๋อเจินจวิน แสดงว่าเป็นพาหนะของอู่เต๋อเจินจวิน
มู่จิ่วประเมินเขาอย่างละเอียด สายตาไปหยุดอยู่ที่หัวรองเท้าหุ้มข้ออยู่ครู่หนึ่ง หากนางจำไม่ผิด อู่เต๋อเจินจวินผู้นี้เป็นผู้บัญชาการของทหารพู่เหลืองในฝ่ายทหาร หลีเปิงที่เป็นพาหนะกลับเดินอยู่บนถนนตัวคนเดียว และหัวรองเท้าหุ้มข้อยังมีเศษใบไม้ติดอยู่ ต้องไปทำธุระที่ไหนมาแล้วกลับมารายงาน เห็นพวกเขายังพูดคุยเรื่องเก่าก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดคลื่นลมอะไรอีก นางจึงเดินจากมาอย่างเงียบเชียบ
เพิ่งผ่านปากถนนไปก็ถึงเพิงหมี่เย็นของเถ้าแก่หมี นางนั่งลงชิมหมี่เย็นเย็นๆ หอมๆ ไปได้คำหนึ่ง ไหล่ก็ถูกคนใช้พัดตี ครั้นหันกลับไปมอง ซ่างกวนสุ่นที่เหงื่อเต็มศีรษะนั่งลงมาก่อนร้องสั่ง “เถ้าแก่! หมี่เย็นสองชาม! ใส่น้ำเชื่อมกุ้ยฮวาเยอะๆ!”
มู่จิ่วรีบพูด “เป็นอย่างไรบ้าง?”
เขามองซ้ายขวา หยิบกระดาษพับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้ออย่างเงียบๆ “ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว! ประตูสวรรค์ทั้งสามประตูข้าไปมาหมด ประตูสวรรค์ทางตะวันออกกับทางตะวันตกไม่มีเบาะแสอะไร ข้าเพิ่งแอบเข้าไปที่ประตูสวรรค์แดนเหนือกลับมีคนพบเห็นเข้า คนกว่าร้อยตามล่าสังหารข้า สุดท้ายกดดันจนข้าไปที่ยอดหอ หลบเลี่ยงหูตาพวกเขาถึงหลุดรอดมาได้!”
“จากนั้นล่ะ?” มู่จิ่วอึ้งถาม “ทำไมเจ้าไม่ซ่อนกาย?”
“ซ่อนแล้ว!” ซ่างกวนสุ่นพูด “มีประโยชน์อะไร? ข้างในมีค่ายกลกักขังวิญญาณ! ข้าเข้าไปแบบนี้สามารถเผยร่างออกมาได้ตลอดเวลา!”
มู่จิ่วอึ้งตะลึงไป บันทึกการเข้าออกไม่ใช่ของสำคัญอะไร ทำไมถึงได้เพิ่มค่ายกลที่สำคัญขนาดนี้ไว้?
“แบบนั้นแล้วนี่คืออะไร?” นางถาม
ซ่างกวนสุ่นพูดอย่างภาคภูมิ “ถึงแม้ขั้นตอนจะลำบาก แต่ใครใช้ให้ข้ามีความสามารถขนาดนี้? หลังจากข้าโดดลงจากประตูเมืองก็ย้อนกลับไปทันที เสียแรงเพียงแค่กินนมก็สร้างปราการเซียน ฉีกบันทึกเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องกับซิงจวินมาแล้ว!”
ตอนนี้เองแม่นางหมีน้อยนำหมี่เย็นมาวางลง ดวงตาเล็กหยีมองซ่างกวนสุ่นอย่างโง่งมพลางยิ้มไร้เดียงสา “ท่านชาย หมี่เย็นของท่าน” ทั้งยังกุมมือพูดอย่างเอียงอาย “ท่านชายยิ้มแล้วดูดียิ่งนัก!”
มู่จิ่วเกือบพ่นหมี่เย็นออกทางจมูก!
ซ่างกวนสุ่นสะบัดมืออย่างอารมณ์ไม่ดี “ดูน้ำลายเจ้า จะหยดลงชามข้าอยู่แล้ว! รีบออกห่างๆ ข้าหน่อย!”
แม่นางหมีน้อยท่าทางยังราวสิบสามสิบสี่ปี เห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็กัดนิ้วถอยไปอยู่หลังโต๊ะด้านนั้น
แต่ไปยืนแล้วก็ยังคงยื่นหน้ามามอง ซ่างกวนสุ่นไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงเปลี่ยนตำแหน่งหันหลังให้นาง
มู่จิ่วพลิกดูกระดาษพับนั้น เป็นบันทึกการเข้าออกของเหล่าซิงจวินและบริวารในที่พำนักจริงๆ นางรีบเก็บไว้ในอก พูดว่า “กลับไปค่อยว่ากัน!” กล่าวจบกินหมี่เย็นเข้าไปอีกสองสามคำ วางเหรียญหยกสองเหรียญไว้บนโต๊ะก่อนจากไป
ซ่างกวนสุ่นรีบจนยกชามขึ้นมา “รอข้าก่อน ข้าเพิ่งเริ่มกินนะ!…”
ทางลานจื่อหลิง เวลาช่วงเช้าสงบเงียบ เพราะตอนนี้คนในหอวิหคแดงหากไม่ใช่ว่าออกไปเข้ากะ คนที่เข้ากะกลางคืนก็นอนหลับอยู่
หลังมื้ออาหารเช้าเสี่ยวซิงนำกับข้าวที่เตรียมให้อิ่นเสวี่ยรั่วใส่ไว้ในหม้อ จากนั้นจึงเริ่มซักเสื้อ อาฝูไม่ใส่เสื้อผ้า ไม่จำเป็นต้องซัก ลู่ยาไม่รู้ว่าทำอย่างไร ไม่เคยเห็นเขาเปลี่ยนเสื้อผ้ามาก่อน แต่ทั้งร่างยังคงรักษากลิ่นหอมสะอาดไว้ได้ตลอด ซ่างกวนสุ่นจัดการตัวเอง นางเลยดีใจจนผ่อนคลาย
ซักผ้าเสร็จนางต้องไปจ่ายตลาดเตรียมอาหารกลางวัน จากนั้นหลังกลางวันก็พักผ่อนสักหน่อย อยู่ในห้องฝึกฝนวิชาได้ ต่อมาตอนบ่ายจะคึกคักขึ้น
ดูไปแล้วทุกวันวางแผนจัดการได้หมดจดเรียบร้อย นางกลับชอบนัก
แต่ก่อนตอนอยู่เขาหงชาง ทุกวันนางก็ทำคล้ายๆ กันแบบนี้ รดน้ำดอกไม้ ให้อาหารสัตว์ประหลาดน้อยที่อยู่ในถ้ำเมฆาคล้อย จากนั้นตามมู่จิ่วไปเดินเล่นที่เขาแต่ละลูก
นางชอบง่วนอยู่ในครัวและความยุ่งแบบนี้ เพราะสิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกว่าการมีอยู่ของนางมีค่า
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
กำลังร้องเพลงตากเสื้อผ้า ประตูลานบ้านพลันมีเสียงคนเคาะ ประตูที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งไม่รู้ตอนไหนมีร่างสง่างามผมเคราขาว แต่เป็นคนชราที่หน้าตาสดใสยืนอยู่ เขาเคาะประตูพลางแหงนหน้ามองไปรอบด้าน เหมือนกับกำลังดูว่าเดินมาถูกประตูหรือไม่
“ท่านมาหาใคร?” เสี่ยวซิงถาม
“ขอถาม มหาเทพลู่อยู่ที่นี่หรือไม่?” ราชาจิ้งจอกครุ่นคิดอยู่ครู่จึงพูดชื่อลู่ยาออกมา “ข้าคือมู่หรงเสี่ยน มีเรื่องขอพบ”
“เจ้ามาหาลู่หยา?” เสี่ยวซิงพูด ลู่หยามาก็หลายเดือนแล้ว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครมาหา ตอนนี้กลับมีคนมาหาเขาถึงประตูตรงๆ? ยังมีเรื่องขอพบอีก? “เจ้ารอก่อน!”
พูดจบก็หันหน้าวิ่งไปทางเหนือ พูดกับลู่ยาที่กำลังฝึกให้อาฝูเปลี่ยนร่างอยู่ “มีคนชราท่าทางลับๆ ล่อๆ ต้องการพบเจ้า ไม่รู้ว่าเป็นศิษย์พี่ที่ตามล่าสังหารเจ้าหรือไม่!”
ลู่ยาชะงักไปเล็กน้อย ยื่นหน้าออกไปมองๆ ดู เห็นเพียงราชาจิ้งจอกกำลังชะเง้อมองเข้ามาข้างในอยู่ใต้ต้นดอกท้อ ทันใดนั้นก็นึกถึงคำสั่งที่วันนั้นให้เขาไปจับกระดิ่งจากวังจิตกระจ่างมาให้ จึงรีบพูด “ให้เขาเข้ามา”
เสี่ยวซิงรีบออกไป
ลู่ยาตบๆ ศีรษะอาฝูให้เขายืนขึ้นมา ป้อนหยกโมราให้เขาสองชิ้นก่อนเอ่ย “เจ้ากลับเรือนไปก่อน”
อาฝูก้าวออกไปจากประตู ราชาจิ้งจอกเข้ามาพอดี เห็น ‘หมู’ อ้วนท้วนตัวขาวจนสว่างเดินมา มองอยู่นานถึงได้รู้ว่าเป็นเสือขาว เขาตกใจเล็กน้อย รีบก้าวท้าวเข้าเรือนไป เห็นลู่ยาก็ก้มตัวทำความเคารพ “สิบสามเข้าพบท่านผู้อาวุโส”
“นั่งเถอะ” ลู่ยาขัดสมาธิไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย มองประเมินเขา เห็นเพียงไม่ได้พบกันไม่กี่วัน ราชาจิ้งจอกยังคงแต่งตัวแบบนั้น แต่สีหน้าท่าทางกลับดูร้อนใจไม่น้อย เมื่อดูอย่างละเอียดแม้แต่ผมยังยุ่งเหยิงเล็กน้อย เส้นผมที่ครึ่งหนึ่งดำครึ่งหนึ่งขาวล้วนหลุดออกมาจากมงกุฎหิน จึงกล่าวว่า “เจ้าเป็นอะไร?”
ตอนที่ 110
คนรวยมาแล้ว
โดย
Ink Stone_Romance
“ท่านปู่!” ราชาจิ้งจอกพลันทิ้งตัวลงไปร้องไห้เสียงดังบนพื้น พูดว่า “สิบสามไปวังจิตกระจ่างครั้งนี้ นับว่าลำบากลำบนโดยแท้!”
“ข้าเพียงให้เจ้าไปนำกระดิ่งมาเท่านั้น ให้เจ้าไปลำบากลำบนอย่างไร?” สีหน้าลู่ยาไม่เปลี่ยนยามหยิบแก้วชา ไม่มีความรู้สึกผิดและความละอายแม้แต่น้อย
“หลายวันก่อนหลังท่านปู่ออกจากชิงชิว สิบสามก็ไปพบท่านเอ้อร์จู่ซือที่วังจิตกระจ่าง”
“พอดีท่านเอ้อร์จู่ซือกำลังซ่อมแซมกระดิ่งหุนหยวน สิบสามจึงตั้งใจรั้งอยู่ไม่ไป ภายหลังท่านเอ้อร์จู่ซือคิดว่าข้าวุ่นวาย จึงพาข้าไปหาซานเหนียงเหนียง (หนี่ว์วาเหนียงเหนียง) ข้าอาศัยช่วงที่พวกเขาพูดคุยกันกลับไปยังวังจิตกระจ่างเพื่อนำกระดิ่งมา ไหนเลยจะรู้ว่าเพิ่งเก็บเข้าไปในอก ก็ถูกธรณีประตูขวางกันไว้จนล้มไปทีหนึ่ง กระดิ่งร่วงจึงออกมา ทำให้เหล่าผู้อารักขาตกใจ…”
“ร่วงออกมา?” ลู่ยายืดตัวขึ้น ช่างน่าเสียดายนัก!
“ไม่ผิด!” ราชาจิ้งจอกพูดทั้งน้ำมูกน้ำตา “หลังจากเหล่าผู้อารักขามา ท่านเอ้อร์จู่ซือก็มาด้วย ครั้นได้ยินว่าข้านำกระดิ่งไป ก็หรี่ตาถามข้าทันทีว่าใช่ท่านส่งข้ามาหรือไม่? ข้าไม่กล้าโกหก ทำได้เพียงตอบว่าใช่ ไหนเลยจะรู้ว่าท่านเอ้อร์จู่ซือถอนหายใจ แล้วก็ไล่ข้าออกไปเลย”
“ข้าผ่อนคลายได้หน่อย ยังเข้าใจไปว่าเรื่องจบแล้ว ใครจะรู้ว่าตั้งแต่ออกจากวังจิตกระจ่างมา ตลอดทางหากไม่ล้มลงกับพื้นก็หกคะเมนหัวทิ่ม เมื่อวานเกือบล้มเข้าไปในหม้อน้ำแกงในงานเลี้ยงของราชามังกรแห่งทะเลทิศประจิม เสียหน้าแก่ๆ อย่างมาก ตลอดทางของข้าไม่ราบรื่นเลย ฮือฮือ!”
เขายกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างเจ็บปวด
“ลำบากขนาดนั้นเลย?” ลู่ยาพูดพลางหมุนแก้ว แต่ก็ดี ตอนนี้นับได้ว่ามีคนโชคร้ายเป็นเพื่อนเขาแล้ว
“สิบสามเกือบโดนราชามังกรตุ๋นแล้ว!”
ราชาจิ้งจอกพูดเน้นเสียง
เขาไม่เชื่อหรอกว่าลู่ยาไม่รู้?
ของอะไรไม่ให้ไปเอา คนผู้นี้กลับให้เขาไปเอากระดิ่งเวรนั่น เรื่องนี้จะไม่มีลับลมคมในหรือ? ต้องรู้ว่าหลังออกจากวังจิตกระจ่างแล้ว เขาก็มุ่งตรงไปยังวังจิ้งจอกเก้าหางเลย ได้ยินอีกฝ่ายพูดจึงรู้ว่าคนตรงหน้านี้ไปล่วงเกินกระดิ่งเข้าจึงต้องหนีออกมา ความรู้สึกเสียใจภายหลังนี้! คิดไม่ถึงว่าเขาหลักแหลมเป็นที่หนึ่ง กลับยังถูกคนชั่วช้าตรงหน้านี่ทำร้ายเอาได้!
“เอาละ รู้ว่าเจ้าลำบากแล้ว” ลู่ยาปลอบใจ จากนั้นยื่นมือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบร่มคันเล็กซึ่งส่องสว่างโปร่งใสราวกับน้ำแข็งออกมา เอ่ยว่า “นี่เป็นของเล่นที่ข้าทำขึ้นมาเอง ตบรางวัลให้เจ้า”
เทพบรรพกาลทั้งสี่ล้วนชำนาญในการทำของวิเศษ ราชาจิ้งจอกเพียงเห็นสี่ด้านของร่มคันนี้ปกคลุมไปด้วยตาข่ายบางราวปีกจักจั่น ก็รู้ว่าเป็นของไม่ธรรมดา จึงรีบรับมาทันที
ลู่ยากลับพูด “เช่นนั้นเจ้ามีวิธีนำเจ้ากระดิ่งมาได้หรือไม่?”
ราชาจิ้งจอกไม่อยากไปอีกแล้ว
แต่หากไม่ไปละก็ คนชั่วช้านี่ต้องไม่รับปากรับรุ่ยเจี๋ยเป็นศิษย์แน่ เส่าชิงก็ถูกทำลายพลังบำเพ็ญไปสามหมื่นปีแล้ว อย่างไรเขาก็ต้องกรุยหนทางดีๆ ให้แก่รุ่ยเจี๋ยอยู่แล้ว?
บนสวรรค์และพื้นพิภพมีใครฐานะสูงส่งเหนือเทพทั้งสี่แห่งชั้นสวรรค์สามสิบเก้าบ้าง? มาวันนี้หงจวินไม่รู้ไปแห่งหนไหน หุนคุนหลงใหลอยู่กับการปลูกผักทำนา หนี่ว์วาเป็นนายของจิ้งจอกเก้าหาง เขาคงไม่สามารถฝากฝังจิ้งจอกน้อยกับนางได้? แบบนั้นมิกลายเป็นว่าต่อไปพวกเขาเผ่าจิ้งจอกเก้าหางต้องเรียกจิ้งจอกน้อยว่านายน้อยหรือไร?
ดังนั้นคิดไปคิดมาแล้ว ลู่ยานั้นเหมาะสมที่สุด
คิดดังนี้แล้ว เขาจึงกัดฟันพูด “ข้าลองอีกรอบได้ แต่หลังจากนั้นหากท่านเอ้อร์จู่ซือด่าทอข้าขึ้นมา ท่านปู่ต้องรับผิดชอบแทนสิบสามด้วย”
“เอาละ เอาละ ดูสิเจ้าเครียดจนเป็นแบบนี้แล้ว ทำตัวให้มีประโยชน์เสียหน่อย!”
ลู่ยามองเขาพลางตำหนิ พูดจบก็หยิบกระดิ่งจากในแขนเสื้อออกมาวางบนโต๊ะ “เจ้าแอบเอาเจ้านี่ไปวางไว้แทนที่เดิม แล้วนำอันนั้นกลับมา ของเล่นนั่นศิษย์พี่ข้าไม่ได้ใช้บ่อย จะจับได้ได้อย่างไร? รอจนข้าควบคุมมันได้ ต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องลำบากกันแล้ว รู้ไหม?”
ตอนนี้ดวงตาทั้งสองของราชาจิ้งจอกถึงค่อยสว่างขึ้น รับกระดิ่งนี้มามองซ้ายทีขวาที ยิ่งดูก็ยิ่งประหลาดใจระคนยินดี ด้านบนไม่เพียงแต่มีสีสันฉูดฉาด แม้แต่รอยแตกรอยหนึ่งที่ด้ามจับยังถูกขัดจนสว่างเหมือนกับกระดิ่งนั้นมาก หากไม่ใช่ลู่ยาพูดว่าเป็นของปลอม ตนคงเข้าใจว่าเขาลอบไปนำมันมาแล้ว!
“ได้ สิบสามจะไปอีกครั้ง” เขาพูดพลางเก็บกระดิ่งเข้าแขนเสื้อไป
พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่ ประตูลานบ้านก็มีเสียงเปิดออก ลู่ยามองไป เห็นเพียงมู่จิ่วกับซ่างกวนสุ่นเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน มุ่งตรงไปเรือนทางตะวันตก
เขาจึงพูด “พวกเขาคงตรวจพบอะไร เจ้าอยากจะไปฟังหรือไม่?”
ราชาจิ้งจอกร่าเริงขึ้นมา “แน่นอนว่าอยาก!”
คดีสามารถคลี่คลายได้เร็ว จิตจิ้งจอกของรุ่ยเจี๋ยก็นำกลับมาได้เร็วเช่นกัน!
ดังนั้นจึงตามหลังลู่ยาไปเรือนทางตะวันตก
อิ่นเสวี่ยรั่วกินข้าวเสร็จเดินออกมาแล้ว เรือนด้านหน้าทางตะวันตกเปลี่ยนเป็นห้องอาหารไปแล้ว มีมากี่คนก็ไม่กลัว
มู่จิ่วกำลังฟังว่ามีคนชรามาหาลู่ยา เงยหน้าขึ้นมาเห็นราชาจิ้งจอกเดินตามหลังเขาเข้ามาก็อึ้งไป!
“แม่นางกัว ช่วงนี้สบายดีหรือ?” ราชาจิ้งจอกยิ้มตาหยีประสานมือทักทายนาง ก่อนหยิบเพชรห้ามุมหกสีออกมาวางบนโต๊ะ พูดว่า “ออกมาอย่างเร่งรีบเลยไม่ได้เตรียมของติดไม้ติดมืออะไรมา นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อย ขอให้แม่นางรับไว้”
ทำให้ลู่ยาคนนี้ดูแลใส่ใจได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา หากเขาอยากให้ภายภาคหน้าดีหน่อย ทางที่ดีที่สุดคือเอาอกเอาใจเด็กสาวคนนี้ไว้ อีกอย่างเจ้าลองดูนางวันนี้ ถึงแม้ฐานะจะเป็นเพียงหัวเสินที่ถูกผนึกพลังบำเพ็ญไปครึ่งหนึ่ง แต่ทางซ้ายมีเสือขาวยืนน่าเกรงขามอยู่ข้างๆ ด้านขวามีนกต้าเผิงไว้เป็นพาหนะ บนสวรรค์พื้นพิภพนี้คนที่สามารถมีแบบนี้ได้ก็ไม่มากมิใช่หรือ?
ยิ่งไม่ต้องพูดว่ายังมีเทพเซียนอยู่ข้างๆ กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อให้นาง!
อนาคตเด็กสาวคนนี้ดูแคลนไม่ได้
เสี่ยวซิงมองเพชรกองนั้นพลางสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าไป!
นางสงสัยนัก คนชราผู้นี้เพิ่งปล้นของบรรณาการกลับมาใช่หรือไม่ หยิบของออกมาก็ใจกว้างขนาดนี้! แม้คนที่บำเพ็ญเป็นเซียนจะไม่ใช่พวกวัตถุนิยม แต่เพชรหยกมีค่าเด็กสาวคนไหนไม่ชอบบ้าง? ยิ่งไปกว่านั้นยังเม็ดใหญ่ขนาดนี้ สีสดขนาดนี้ เป็นเพชรที่อลังการอย่างยิ่ง!
มู่จิ่วอึ้งไป “ราชาจิ้งจอกทำไมต้องเกรงใจขนาดนี้?”
ดูแล้วช่างเหมือนพังพอนอวยพรปีใหม่ไก่[1]!
แต่หินมีสีนี้กลับดูไม่เลวเลย
ทว่านางยังคงสนใจใคร่รู้ในเจตนาการมาของเขา จิ้งจอกเฒ่าตนนี้มาถึงก็บอกว่ามาหาลู่ยา เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาทั้งสองยังมีความลับอะไรอีก?
มองแล้วทำให้คนรู้สึกว่าเหมือนกำลังเล่นอะไรไม่ดีอยู่
“รับไว้เถอะ” ลู่ยาหยิบพัดเขี่ยหินไปหลายครั้งก่อนพูด จากนั้นจึงถามราชาจิ้งจอก “ข้าจำได้ว่าข้างแท่นหอมหมื่นลี้ของเจ้ามีไข่มุกราตรีใช้ได้หลายลูก ที่นี่ตกกลางคืนยังต้องการไฟ แสงสว่างไม่กระไรนัก เจ้าก็เอามาสักสองลูกแล้วกัน?”
เขากลับเอ่ยปากขอเอาเลย!
แต่ราชาจิ้งจอกไหนเลยจะกล้าปฏิเสธ? รับคำว่า “พอดีข้านำมาสองลูกไว้ใช้ตอนเดินทางกลางคืน หากแม่นางไม่รังเกียจว่าเก่า ก็จะมอบให้แม่นางไว้เล่น” เขาพูดพลางหยิบไข่มุกราตรีขนาดเท่าแตงโมออกมา
ในห้องพลันมีแสงสว่างสาดไปรอบด้าน ส่องจนคนลืมตาไม่ขึ้น!
…………………………………………………………
[1] พังพอนอวยพรปีใหม่ไก่ เปรียบว่า ทำอะไรซ่อนจุดประสงค์อื่นไว้ในใจ
ตอนที่ 111
มหาเทพมีเหตุผล
โดย
Ink Stone_Romance
ลู่ยานำไข่มุกราตรีส่งให้เสี่ยวซิง เอ่ยว่า “นี่เป็นค่าข้าวที่ราชาจิ้งจอกจ่ายให้เจ้า ไม่ต้องเกรงใจ เจ้าไปทำอาหารสักหลายจานมา ไก่ย่างเอยอะไรเอย เอามาหลายตัวหน่อยก็ได้แล้ว”
ไข่มุกราตรีใหญ่ขนาดนี้สองลูกสามารถซื้อลูกท้อของหวังมู่เหนียงเหนียงได้เลย! เพียงแค่ทำอาหารเพิ่มไม่กี่จานเท่านั้นหรือ?
เสี่ยวซิงเกิดมาเยี่ยงเด็กธรรมดา ไม่เคยเจอคนร่ำรวยมาก่อน รู้สึกหน้ามืดเล็กน้อย
และนางเพิ่งรู้ว่าคนชราที่ยิ้มตาหยีท่าทางดูชั่วร้ายกลับเป็นราชาจิ้งจอกแห่งชิงชิว จึงอดไม่ได้สูดลมหายใจเข้าไป!…ย่ามันเถอะ จิ้งจอกเฒ่านี้ไม่ใช่ว่าจะมาอยู่ที่นี่ด้วยหรอกนะ?! หากใช่แล้วละก็ เขาก็คิดได้ประเสริฐ!
ฟากนางจิตใจและท้องไส้ปั่นป่วน ลู่ยากลับหันหน้าหยิบแก้วน้ำให้มู่จิ่ว “ตรวจสอบเจออะไรบ้าง?”
ช่วงนี้เขาชอบทำตัวเป็นคนนอกแบบนี้ยิ่ง มู่จิ่วใจลอยอยู่บ้าง รีบดึงสติกลับมา เห็นทุกคนรวมทั้งอาฝูล้วนจับจ้องมาทางนาง จึงทำคอให้โล่ง แล้วนำบันทึกพับนั้นที่ซ่างกวนสุ่นนำมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขา “นี่คือบันทึกทั้งหมดที่หามาได้ของซิงจวินตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่องจนถึงวันนี้ อยู่ด้านนอกไม่สะดวกจะดู ข้าจึงนำกลับมา”
ราชาจิ้งจอกชิงหยิบกระดาษหลายใบมาก่อน
ลู่ยากวาดมองไปบนโต๊ะ นำกระดาษที่เหลืออยู่ขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน มู่จิ่วกลับไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ทำได้เพียงขยับเข้าใกล้ไปดูของเขา เขาเหลือบมองนางเล็กน้อย ดึงกระดาษเข้าใกล้อีกหน่อย ทำให้มู่จิ่วจำต้องเข้าใกล้เขามากขึ้นจนคางวางอยู่บนแขนเขา เขาโอบนางไปตามสถานการณ์ นางก็หนีไม่ได้แล้ว
ซ่างกวนสุ่นไม่อยากดู! ปิดตาลุกขึ้นไปหั่นผักกับเสี่ยวซิง
“แบบนี้ดูไปแล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติ”
ราชาจิ้งจอกเป็นผู้มาเยือน คนเขาอยากพลอดรักกัน ยังไงเขาทำเหมือนตนเองตาบอดก็พอแล้ว
หลังจากดูอย่างละเอียดเขาก็พูดขึ้น “ล้วนมีที่ไปชัดเจน และส่วนมากเป็นการออกเดินทางตามคำสั่ง หากพวกเขาลักลอบทำเรื่องไม่ดี ไม่น่าจะอาศัยหน้าที่การงานไป ยิ่งไปกว่านั้นเวลาก็ไม่สอดคล้อง จึงไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย ลูกศิษย์ของแต่ละซิงจวินล้วนไม่ใช่คนที่เก่งกาจอะไร เพียงแค่ไปชิงชิวอย่างไรก็ต้องใช้เวลาเกินครึ่งวัน แต่ในนี้เวลาที่ออกไปนานที่สุดคือสองชั่วยาม”
เขาวางกระดาษกลับลงไปบนโต๊ะ ทางมู่จิ่วกับลู่ยาก็ดูเสร็จแล้ว
แต่ฝั่งพวกเขาไม่พบอะไรผิดปกติ ถึงแม้จะสงสัยอยู่บ้าง แต่คิดอย่างละเอียดแล้วก็ไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะสืบสาวต่อ
อย่างเช่นสิบวันก่อน จื่ออวิ้นซิงจวินพาศิษย์สองคนออกจากประตูสวรรค์แดนเหนือไป แต่ศิษย์ทั้งสองเป็นเพียงเซียนเด็กที่เพิ่งรับเข้ามา โดยพื้นฐานแล้วไม่มีคุณสมบัติจะไปทำคดีชิงชิวที่ต้องเชี่ยวชาญขนาดนั้น ยังมีก่วงซวีซิงจวินส่งศิษย์ออกไป ถึงแม้ศิษย์ทั้งสองจะอาวุโสและเป็นผู้ชำนาญการ แต่ก็ได้รับคำสั่งให้ไปเขาคุนหลุนของซีหวังมู่
กรณีแบบนี้ยังมีอีกมาก หากตรงนี้ไม่ถูกตรงนั้นก็ไม่ถูก
“นอกจากพวกนี้แล้วยังพบเจออะไรอีกหรือไม่?” ลู่ยาเอ่ย
มู่จิ่วคิดๆ แล้วพลันพูด “ใช่แล้ว ซ่างกวนสุ่นบอกว่าประตูสวรรค์แดนเหนือที่เก็บบันทึกมีค่ายกลกักขังวิญญาณ! แม้แต่เขายังไม่สามารถซ่อนร่างไว้ได้”
“ค่ายกลกักขังวิญญาณ?” ราชาจิ้งจอกขมวดคิ้ว “บันทึกเข้าออกนี้ไม่ใช่ของที่สำคัญอะไร ทำไมยังต้องสร้างค่ายกลไว้?”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” มู่จิ่วพูด “รู้สึกมาตลอดว่าเหมือนมีคนสร้างไว้เพื่อป้องกันร่องรอยการเข้าออกเล็ดลอดออกไป อีกทั้งสามารถสร้างค่ายกลไว้ที่นี่ได้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา อาจเป็นตัวหลีหังเต้าเหรินเอง อาจเป็นคนข้างกายเขา แต่แน่ใจได้ว่า คนที่สร้างค่ายกลนี้ไว้ที่มาที่ไปต้องไม่สามัญแน่”
“สืบเสาะมาไม่ได้หรือ?” ลู่ยาถาม
มู่จิ่วส่ายหน้า “ซ่างกวนสุ่นถูกตามจนหนีไปหอประตูเมือง ไหนเลยจะกล้าสืบเสาะ? ข้าก็กลัวกำแพงมีหู จึงรีบกลับมา”
ลู่ยาบีบเมล็ดท้อในจานพลิกไปมาทำเป็นของเล่น ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงพูดกับราชาจิ้งจอก “เจ้าไปดูว่าเรื่องเป็นมายังไง?”
“ข้าไป?” ราชาจิ้งจอกชี้หน้าตนเอง เขาเป็นราชาจิ้งจอกแห่งชิงชิว เรื่องวิ่งรอกทำงานแบบนี้อย่างไรก็ไม่น่าจะตกลงมาที่เขาได้?
“ที่นี่นับว่าเจ้าพลังบำเพ็ญสูงที่สุด ไปตรวจสอบประตูสวรรค์แดนเหนือง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ ไม่ใช่เจ้าไปใครจะไป?” ลู่ยาเหลือบมองเขาทีหนึ่ง บีบเมล็ดท้อจนเปิดออก “เจ้าคงไม่คิดจะให้มู่เสี่ยวซิงไปใช่หรือไม่?”
ราชาจิ้งจอกไร้คำพูดอยู่บ้าง พูดอึกอักว่า “ข้าแอบเข้ามาในสวรรค์ ท่านคุ้นชินกับที่นี่มากกว่าข้า ข้ารู้สึกว่าท่านไปน่าจะดีกว่า”
ลู่ยาหยิบเมล็ดท้อเข้าปาก เคี้ยวไปพลางมองเขาไปพลาง “พลังฤทธิ์ข้าแกร่งกล้าเกินไป เข้าประตูสวรรค์ต้องผนึกพลังตนเองไว้ มิเช่นนั้นแล้วหากไปทำให้วังหลิงเซียวตื่นตระหนก ถึงตอนนั้นทำคนรู้กันหมด คดีนี้ของเจ้ายังจะสืบต่อไปได้หรือไม่?”
จิ้งจอกจนปัญญา ยังไงเขาก็เถียงสู้เจ้าอันธพาลคนนี้ไม่ได้ หากเถียงได้เขาก็สามารถกดดันจนเจ้าพูดไม่ออก
ไปก็ไป
เพียงคิดถึงว่าตนเป็นราชาจิ้งจอกแต่กลับต้องเป็นสมุนรับใช้หัวเสินน้อยเหมือนพวกเสือขาวและนกต้าเผิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะอึดอัด เอาเถอะ เอาเถอะ มีลู่ยานำอยู่ข้างหน้า อย่างไรก็ไม่ขายหน้ามาถึงเขา
เขาสะบัดเสื้อ ประสานนิ้วใช้วิชา ชั่วครู่เดียวก็ไม่เห็นเงาร่างอยู่ที่นั่นอีกแล้ว
มู่จิ่วอึ้งไปนานก่อนหันมาถามลู่ยา “ท่านใช้เขาไปแบบนี้จะดีหรือ?”
“มีอะไรไม่ดีกัน?” ลู่ยาเหลือบมองนาง นี่นับว่าดีมากแล้วมิใช่หรือ? ดูตามนิสัยเขาตอนที่ฝึกสัตว์อยู่ที่วังหนี่ว์วา เกรงว่าจิ้งจอกเฒ่าตนนี้จะถูกเขาดึงขนไปจนหมดแล้ว มาวันนี้เขาต้องการจัดการเรื่องอย่างเงียบๆ ดังนั้นจึงปล่อยๆ ไป
มู่จิ่วพูดไม่ออกอย่างมาก
ยังไงเขาก็เป็นเทพเซียนสูงส่ง เขาพูดอะไรล้วนถูกทั้งนั้น
พริบตาเดียวทางฝั่งราชาจิ้งจอกก็ถึงประตูสวรรค์แดนเหนือแล้ว หลังเจอที่เก็บบันทึกก็หมุนตัวดูรอบด้านก่อน ตอนกำลังจะยกเท้าเข้าไปนั้น หยกประดับที่แขวนไว้ข้างเอวพลันมีเสียงกระทบดังขึ้น ต่อมามีแสงสาดส่องออกมาไม่หยุด…นี่คือการเตือนว่าเขามีค่ายกลหรือเขตพลัง และค่ายกลหรือเขตพลังนี้แข็งแกร่งอย่างมาก…
เขาคิดแล้วคิดอีก จึงเรียกพลังหยั่งรู้ผ่านรอยแง้มประตูเข้าไป เพิ่งถึงปากประตู ใต้ประตูค่ายกลทั้งสี่ด้านก็สั่นไหว พลังพลันกลายเป็นสายแสงกระบี่พุ่งเข้ามาปะทะพลังหยั่งรู้ ทางเขาเพิ่มพลังฤทธิ์เข้าไปอีก แสงสว่างในค่ายกลถึงค่อยๆ จางหายไป
ฟากมู่จิ่วเพิ่งเข้าครัวทำปลาซงฮวาเขาก็กลับมาแล้ว นางจึงรีบล้างมือตามเข้าไป “เป็นอย่างไรบ้าง?”
ราชาจิ้งจอกนั่งบนเก้าอี้ตัวก่อนหน้านี้ พูดว่า “ค่ายกลนั้นไม่นับว่าแข็งแกร่งมาก แต่วิธีการแปลกประหลาดมาก”
“แปลกประหลาดอย่างไร” ลู่ยาถาม
“ส่วนล่างของค่ายกลเป็นพลังสายเสวียนชิงของท่านต้าจู่ซือ” ราชาจิ้งจอกกล่าว “อีกอย่าง ค่ายกลนั้นก็ไม่มีพลังโจมตีจริงจังนัก ราวกับแค่เพื่อจับคนที่มาตรวจสอบเท่านั้น และที่ประหลาดคือค่ายกลนี้มีกำหนดเวลา สองวันก่อนนี้เพิ่งสร้างขึ้นมา”
“หรือว่าฆาตกรรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของพวกเราแล้ว จึงกำลังเริ่มวางแผนต่อกร?” มู่จิ่วเปิดปากพูด
ในโลกของผู้บำเพ็ญเป็นเซียน ไม่มีพลังอื่นนอกเหนือจากพลังสี่แบบ ชิง หลิง เสวียน หมิงแล้ว ถึงแม้จะเป็นพลังเสวียนชิงก็ไม่มีอะไรน่าสืบเอาความ แต่คนผู้นี้เป้าหมายไม่ธรรมดาเลย
“เป็นไปไม่ได้” ลู่ยาพูด “หากเป็นฆาตกรทำ พวกเขาสามารถใช้พลังลบบันทึกทิ้งโดยตรงได้เลย เขตพลังนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันคนเข้ามาตรวจสอบบันทึก เขาคงแค่จะป้องกันการค้นพบร่องรอยของเขา และพวกเราพบเจอโดยบังเอิญเท่านั้น”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น