พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1089-1092

 บทที่ 1089 เล่นใหญ่เกินไปแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากกำชับหงเหมียน ลู่หลิ่วแล้ว ฉินเวยเวยก็หันกลับมา เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนอก ก็โค้งมุมปากยิ้มอย่างซุกซน


เห็นเพียงนางถอดปิ่นปักผมออก หันหน้าสะบัดผมยาวดุจน้ำตกให้ปลิวรับลม คลายผ้าไหมรัดเอว ถอดถุงเท้าออก เปลือยเท้าขาวดุจหยกสองข้างเหยียบบนดาดฟ้าเรือ กึ่งเดินกึ่งลอยรับกับสายลม ราวกับเป็นเทพธิดา นางนั่งลงข้างกายเหมียวอี้แล้วเอนกายลง ก่อนจะเบียดซุกเข้าไปในอ้อมอกของเขา นี่ก็คือข้อดีของการถอดปิ่นปักผมออก


เหมียวอี้กอดนางไว้ครึ่งตัว แต่สายตากลับมองก้อนเมฆบนฟ้าพลางทำท่าครุ่นคิด ยังคงคิดเรื่องแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง


เมื่อเห็นเขาเหม่อลอย ฉินเวยเวยจึงคว้าผมช่อเล็กๆ ของตัวเองเกาที่จมูกของเขา


เหมียวอี้ยิ้มเล็กน้อย แล้วยื่นมือไปช้อนข้างล่าง ดึงต้นขาที่อยู่ใต้กระโปรงของนางขึ้นมาโดยตรง แล้วจับฝ่าเท้านางมาเกาพักหนึ่ง


“ฮ่าๆ…” ฉินเวยเวยขำกลิ้งแล้ว พยายามหดเท้ากลับมาอย่างสุดชีวิต แต่กลับสู้วรยุทธ์ของเหมียวอี้ไม่ได้ ไม่มีทางหนีพ้นเลย จั๊กจี้แทบแย่แล้วจริงๆ บิดตัวไปมาพลางขอร้องว่า “หม่อมฉันผิดไปแล้ว นายท่านให้อภัยด้วยค่ะ!”


เหมียวอี้หยุดมือแล้ว แต่กลับพลิกฝ่าเท้าของนางพร้อมกล่าวอย่างแปลกใจว่า “ผู้หญิงคนหนึ่งที่หัวโปราณมาก ยามปกติแม้แต่ส่วนคอก็ไม่เปิดเผยให้ใครเห็น วันนี้กลับกล้าแต่งตัวตามสบายขนาดนี้ ทั้งยังเปลือยเท้าเดินเพ่นพ่านไปทั่ว ไม่กลัวคนอื่นจะมาเห็นเหรอ?”


ฟันขาวกัดขูดริมฝีปากแดง ถามเสียงต่ำอย่างค่อนข้างอับอายว่า “ไม่มีคนนอกแล้ว…หม่อมฉันสะเพร่าเกินไปใช่มั้ยคะ?”


เป็นเพราะช่วงนี้ทั้งสองสนิทกันเกินไปจริงๆ ร่างกายของนางถูกเหมียวอี้สำรวจจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ผ่านด่านผู้หญิงที่อับอายยามอยู่ต่อหน้าผู้ชายไปแล้ว ฟ้าสูงทะเลกว้างทำให้จิตใจผ่อนคลาย อดไม่ได้อยากจะปล่อยตัวตามใจสักครั้ง


“สะเพร่าต่อหน้าข้าคนเดียวก็พอ ถ้ากล้าให้ผู้ชายคนอื่นเห็น ก็คอยดูแล้วกันว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร!” เหมียวอี้ที่ตอบพร้อมเสียงหัวเราะดึงฝ่าเท้านางมาเกาอีก


“อ๊า…ให้อภัยด้วย…หม่อมฉันไม่กล้าแล้ว!” ฉินเวยเวยที่โวยวายไม่หยุดถูกกลั่นแกล้งจนร้องอย่างน่าสงสาร


ทำเอาหงเหมียน ลู่หลิ่วตื่นตกใจจนอดไม่ได้ที่จะวิ่งขึ้นมาดู เมื่อได้เห็นฉากหยอกล้อนี้ สาวใช้ทั้งสองก็เม้มปากหัวเราะ นี่เป็นเรื่องดี จึงไม่รบกวนแล้ว ถอยกลับไปอีกรอบ


เมื่อเสียงของฉินเวยเวยที่จั๊กจี้จนหอบหายใจเงียบสงบลงแล้ว ก็พลิกตัวขึ้นไปนอนคว่ำบนตัวเหมียวอี้ ลมทะเลเป่าให้เส้นผมกวาดไปกวาดมาบนหน้าเหมียวอี้ เหมียวอี้หลับตาดื่มด่ำกับกลิ่นหอมอ่อนๆ จากผมนาง


“ถ้าได้อยู่แบบนี้ไปทั้งชีวิตโดยไม่ต้องทำอะไร จะดีขนาดไหนกันนะ” ฉินเวยเวยที่หลับตาดื่มด่ำด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขกล่าวพึมพำ ง่ามเท้าที่ขาวใสดุจหยกงอกระดิกเบาๆ รู้สึกสดชื่นยามลมพัดผ่านระหว่างง่ามเท้า


“เหอะๆ!” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ คิดในใจว่านี่ก็เป็นความหวังของเขาเหมือนกัน แต่จะเป็นไปได้เหรอ?


ถ้าไม่ทำอะไรเลย มู่ฝานจวินและคนอื่นๆ ที่อจะยอมเหรอ? เฟิงเป่ยเฉินและพวกจีฮวนจะปล่อยตนไปเหรอ? เหยียนซิวและลูกน้องคนอื่นๆ จะทำอย่างไรล่ะ? หลบอยู่ที่พิภพใหญ่ก็ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าไม่งานอะไรเลย พวกที่ตนเคยไปล่วงเกินไว้จะปล่อยตนไปเหรอ ฆ่าคนที่ตลาดสวรรค์ไปมากมายขนาดนั้น ฆ่าคนตอนการทดสอบไปมากมายขนาดนั้น ถ้าตนไม่มีอำนาจแล้ว คนกลุ่มใหญ่ก็จะมาหาเรื่องตน


นอกเสียจากจะฆ่าพวกทะเลดาวนักษัตรที่รู้ความลับเรื่องพิภพใหญ่กับพิภพเล็กให้หมด จากนั้นก็กลับมาพิภพเล็กเพื่อสู้กับหกปราชญ์แล้วตั้งตนเป็นใหญ่ บางทีอาจจะได้อยู่อย่างเงียบสงบและสบายหน่อย แต่ทำแบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากพิภพเล็กจะไม่มีนักพรตอยู่แล้วเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ต้องมีสักวันที่มีคนผงาดขึ้นมาหาเรื่องเขา จากนั้นเขาก็ต้องทำอะไรสักหน่อยอีกเพื่อรับประกันความปลอดภัยให้ตัวเอง อย่างเช่นถักทอเครือข่ายเพื่อควบคุมทั้งใต้หล้า อ้อมไปรอบหนึ่งก็ยังต้องวนกลับมาที่เดิม ยังต้องทำแบบนี้ต่อไป


ในเมื่อเลือกเดินบนเส้นทางนี้ ก็ไม่มีทางให้กลับแล้ว!


ขณะที่เหมียวอี้กำลังลูบคลำก้นของฉินเวยเวยเพื่อดื่มด่ำสัมผัสมือ จู่ๆ ก็ลืมตามองไปข้างหน้า แล้วบอกว่า “มีเรือแล่นเข้ามาแล้ว”


“หา!” ฉินเวยเวยที่หันกลับมามองแวบหนึ่งร้องตกใจ เท้าสองข้างที่กำลังเปลือยไม่มีที่ให้หลบ ให้เหมียวอี้ดูคนเดียวก็ยังพอไหว หนังหนาของนางยังไม่ด้านพอที่จะทำให้นางเปลือยเท้าให้ผู้ชายคนอื่นดู แนวคิดบางอย่างได้ฝังรากลึกแล้ว นางจึงรีบถลันตัวเข้าไปหลบในห้องโดยสารเรือ


เรือสินค้าลำหนึ่งเฉียดผ่านไป คนบนเรือยื่นศีรษะมามองทางนี้ แล้วจู่ๆ ก็ผิวปาก แล้วเรือสินค้าก็เลี้ยวตามมาทันที ใต้แคมเรือมีคนโผล่ออกมาแถวหนึ่ง แล้วสะบัดเชือกตะขอ มาเกี่ยวกับแคมเรือทางนี้เอาไว้


“มีคนถือธนูขึ้นมาง้างแล้ว เล็งมาหาเหมียวอี้ที่เอนกายอยู่บนหัวเรือ


คงจะเป็นโจรสลัดที่ปลอมตัวเป็นเรือสินค้า! ฉากนี้ทำให้เหมียวอี้นึกถึงภัยพิบัติบนทะเลตอนที่ตัวเองยังเป็นมือใหม่ไร้ประสบการณ์


ซวบ! เสียงธนูยิงเข้ามา ทว่ากลับหยุดอยู่ตรงหน้าและยากที่จะเข้าใกล้เหมียวอี้ได้


คนที่ยิงธนูงุนงงทันที ส่วนเหมียวอี้ก็เหลือบมองด้วยสายตาเย็นเหยียบ พอสะบัดมือลวกๆ หนึ่งที ลูกธนูก็ยิงกลับไป


บึ้ม! ทั้งตัวเรือสินค้าอยู่ภายใต้การบีบอัดของแรงระเบิดมหาศาล ระบิดจนพังคาที่ เศษเรือลอยตกบนลงผิวทะเล เลือดสดสาดตกลงบนผิวทะเลราวกับน้ำฝน ย้อมจนน้ำกลายเป็นสีแดง


วรยุทธ์ที่สามารถทำให้ภูเขาถล่มแผ่นดินแยกได้เพียงแค่โบกมือ มีหรือที่มนุษย์ธรรมดาพวกนั้นจะต้านทานไหว ชั่วพริบตาเดียวก็ไม่เหลือผู้รอดชีวิตแล้ว


หงเหมียน ลู่หลิ่วที่ออกมาดูกลับเข้าไปโดยไม่พูดอะไร กลุ่มโจรสลัดตายถือเป็นเรื่องดี เท่ากับได้ช่วยชีวิตคนได้อีกมากมาย


ฉินเวยเวยที่ออกมาอีกครั้งรวบผมใหม่ สวมรองเท้าเรียบร้อย กลับสู่สภาพผู้หญิงเรียบร้อยสง่างาม เหมียวอี้มองนางแวบหนึ่งแล้วรู้สึกขำ ผู้หยิงคนนี้ไม่ใช่คนที่สามารถปล่อยตัวปล่อยใจได้เลย…


เรือลอยอยู่บนทะเลตลอดก็ไม่มีอะไรน่าสนุก ตอนหลังหงเหมียนลู่หลิ่วจึงเร่งความเร็วเรือ


จนกระทั่งเข้าสู้แม่น้ำใหม่อีกครั้ง ขณะที่เข้ามาในทางน้ำที่เป็นภูเขา ทิวทัศน์ภูเขาสองฝั่งที่คุ้นเคยทำให้เขานึกถึงภาพตอนที่นั่งเรือกับเหล่าไป๋ในปีนั้น ราวกับเป็นเมื่อวาน ตอนนั้นเขาผ่านแม่น้ำสายนี้พอดี ภูเขาหลายจุดที่มีเอกลักษณ์พิเศษเป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว ตั้งตระหง่านพันปีโดยไม่สูญสลาย


ทั้งสี่ลงเรือตอนที่เรือแล่นเข้ามาในป่าภูเขาได้ครึ่งทาง ส่วนเรือโหลวฉวนก็ทำภารกิจเพื่อให้พวกเขาท่องเที่ยวตามธรรมชาติเรียบร้อยแล้ว จึงปล่อยให้มันลอยกลับไปตามน้ำ ใครเก็บได้ก็ถือเป็นของคนนั้นไป


ฉินเวยเวย หงเหมียน ลู่หลิ่วแต่งตัวเป็นผู้ชายแล้ว จากนั้นก็เหาะไปตามป่าภูเขา พอเหยียบลงนอกเมืองฉางเฟิง ถึงได้เดินเท้าเข้าไปในเมือง


ในเมืองมีสิ่งปลูกสร้างเพิ่มขึ้นไม่น้อย มีเยอะจนเหมือนเป็นการพลิกโฉมใหม่หมดสำหรับเหมียวอี้ สาเหตุย่อมเป็นเพราะประชากรเพิ่มขึ้น เมืองฉางเฟิงเปลี่ยนไปจนทำให้เขาหาร่องรอยใดๆ ในปีนั้นไม่พบแล้ว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะพบคนรู้จัก


เหมียวอี้ที่เดินเล่นอยู่ที่หัวถนนพบปัญหาอย่างหนึ่ง สาวกที่พิภพเล็กใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเกินไปแล้ว ไม่เคยถูกคุกคามจากสงครามเลย ประชากรแทบจะอยู่ในสภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ มาโดยตลอด ไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาที่พิภพใหญ่ที่ไม่ได้ถูกควบคุมจากนักพรต แต่มีระบบกษัตริย์ปกครอง ผู้คนล้วนวางแผนจะประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่และได้บรรดาศักดิ์ชั้นสูง  ดังนั้นภายใต้การทำสงคราม ประชากรจึงเริ่มมีลดมีเพิ่ม เป็นการรักษาสมดุลเอาไว้


เหมียวอี้สงสัย ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป จะต้องมีสักวันที่จำนวนสาวกของพิภพเล็กจะทำให้พิภพเล็กไม่มีทางรองรับได้ สิ่งนี้ทำให้คนที่ยืนอยู่สูงขึ้นอีกระดับอย่างเขาเริ่มครุ่นคิดถึงปัญหาข้อดีข้อเสียระหว่างพิภพใหญ่กับพิภพเล็ก


เดินเล่นไปทั่วเมืองจนมืดค่ำ เขาหาห้องที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หลังจากจัดแจงที่พักให้พวกฉินเวยเวยแล้ว เหมียวอี้ก็สั่งอะไรไว้นิดหน่อยแล้วออกไปข้างนอกเพียงลำพัง


เมืองโบราณฉางเฟิงกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร เพราะไม่มีใครอาศัยอยู่ เป็นเพราะบางครั้งมีการปรับปรุงให้เหมือนใหม่ จึงรักษาสภาพเดิมไว้ตลอด ไม่น่าเชื่อว่าต้นหลิวโบราณนั่นจะยังมีชีวิตอยู่


เมื่อเหยียบที่ยอดกำแพงเมืองแล้วมองไปรอบๆ ครู่หนึ่ง สายตาเหมียวอี้ก็จ้องไปยังหมอกแดงที่เชื่อมต่อฟ้าดินและดูค่อนข้างดำทึบภายใต้ม่านราตรี ก่อนจะถลันตัวไปเหยียบลงนอกหมอกแดงผืนนั้น


เขาจับไก่ตัวผู้ขนห้าสีขนาดใหญ่ตัวหนึ่งออกมา เป็นไก่ซื้อมาจากในเมืองเมื่อตอนกลางวัน ตอนนั้นฉินเวยเวยไม่เข้าใจว่าเขาซื้อไก่ตัวนี้มาทำอะไร


เห็นได้ชัดว่าไก่ตัวผู้ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะเผชิญชะตากรรมอะไร หลังจากดิ้นรนสองสามครั้งก็ยอมรับชะตากรรมแล้วเช่นกัน แต่ไม่นานเรื่องที่ทำให้มันตื่นตกใจก็เกิดขึ้นแล้ว มันพบว่าตัวเองกำลังลอยอยู่กลางอากาศ เหมือนมันจะชินกับการถูกคนจับมากกว่า เหมือนจะรับกับสภาพนี้ไม่ค่อยได้ ก็เลยกระพือปีกขึ้นมาอีก ทว่ามีหรือที่จะหนีจากพันธนาการของพลังอิทธิฤทธิ์จากเหมียวอี้ได้


ในฝ่ามือของเหมียวอี้ที่กำลังกางอยู่ เพลิงจิตกลุ่มหนึ่งพรั่งพรูขึ้นมา ครอบไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่ไว้กลางอากาศ พอใช้ฝ่ามือผลักเบาๆ ไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่ที่กระพือปีกอยู่กลางอากาศก็ลอยช้าๆ เข้าไปในหมอกเลือดลึกลับที่ไหลกลิ้งอย่างประหลาดทันที


เคล็ดวิชาอัคนีดาราของตนสามารถแก้ได้สารพัดพิษ พลังป้องกันของเพลิงจิตในตอนนี้ก็ยิ่งเหนือกว่าในอดีต ที่เขาทำแบบนี้เพราะอยากจะทดสอบพลังป้องกันของเพลิงจิตที่มีต่อหมอกเลือดพวกนี้ เพราะเขาอยากจะเข้าไปค้นหาที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งจริงๆ ตอนที่เขาหาสมบัติเจอตามแผนที่ซ่อนสมบัติก่อนหน้านี้ ทุกที่ล้วนมีภาพสตรีทะยานฟ้า และในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งก็ดันมีเหมือนกัน แค่คิดก็รู้แล้วว่ามีแรงดึงดูดขนาดไหน


ผ่านไปไม่นาน เหมียวอี้เริ่มดีใจแล้ว ไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่ที่โดนผลักเข้าไปในหมอกเลือดกลับมาอย่างปลอดภัย พอร่ายอิทธิฤทธิ์ดึงให้เข้ามาใกล้ ก็พบว่ามันไม่เป็นอะไรจริงๆ ยังคงกระพือปีกอยู่ในเพลิงจิต สิ่งนี้อธิบายได้ว่าเคล็ดวิชาอัคนีดาราของตนมีความสามารถในการสกัดกั้นหมอกเลือดอันน่าหวาดกลัวจริงๆ


เพื่อที่จะทดสอบว่าผิดพลาดหรือไม่ เพลิงจิตที่ครอบไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่หดหายไปอย่างรวดเร็ว


“กุกๆ…” ไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่พลันส่งเสียงร้องพวาดกลัว ก่อนจะตกลงดิ้นรนบนพื้น แล้วหลอมละลายอย่างรวดเร็วจนตาเปล่าเห็นได้


ไม่ผิดหรอก! มันกำลังหลอมละลายจริงๆ ท่ามกลางการกัดกร่อนของหมอกเลือด เสียงไก่ร้องดังไม่หยุด ชั่วพริบตาเดียวทั้งตัวทั้งขนก็กลายเป็นน้ำสีดำที่มีกลิ่นเหม็นคาว


เหมียวอี้ที่สูดหายใจอย่างตกตะลึงทำสีหน้าไม่ถูก พิษของหมอกเลือดโหดไม่ธรรมดาจริงๆ


แต่โชคดีที่เพลิงจิตของตนสามารถสกัดกั้นได้ เหมียวอี้พลิกฝ่ามือนำเกราะรบสีแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงออกมา เขาสวมเกราะรบไว้บนร่างกาย ในมือถือทวนเกล็ดย้อน ใช้เพื่อป้องกันตั๊กแตนทมิฬในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง


ขณะกำลังจะร่ายอิทธิฤทธิ์ปล่อยเพลิงจิตปกป้องร่างกายเพื่อบุกเข้าไป จู่ๆ เขาก็ชะงัก นึกขึ้นได้ถึงเรื่องบางอย่าง


พอโบกมือหนึ่งครั้ง ตั๊กแตนที่ใหญ่เท่าวัวตัวผู้ก็บินออกมา นี่คือตั๊กแตนที่เขาพกติดตัวเอาไว้ป้องกันตัวตลอดเวลา มันกระพือปีกบินเสียงดังหึ่งๆ อยู่บนท้องฟ้า ดวงตาสีเขียวขลับน่ากลัวอยู่ภายใต้ม่านราตรี


ตั๊กแตนทมิฬสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งได้ เหมียวอี้ไม่รู้ว่าตั๊กแตนที่ตัวเองเลี้ยงจะเข้าไปข้างในได้หรือเปล่า เขาจำได้ว่าเหล่าไป๋เคยบอก ว่าตั๊กแตนที่ฟักไข่ออกมาจากวิธีการที่สอนก็คือตั๊กแตนหยินหยาง เขาอยากจะทดลองมาก


เพียงแต่การทดสอบนี้ค่อนข้างอันตรายกับตั๊กแตนที่ตัวเองเลี้ยง ถ้าเกิดเหตุการณ์เหมือนกับไก่ตัวผู้ขนาดใหญ่เมื่อครู่นี้ขึ้นมา นั่นก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว ในตอนนี้ตั๊กแตนหนึ่งตัวสามารถช่วยเขาหาเงินได้ไม่น้อยเลย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็จะมีความเสียหายเยอะมาก


เมือ่คิดไปคิดมา ก็ยังตัดสินใจว่าจะลองดู อยากมากก็แค่ต้องระมัดระวังหน่อย


เหมียวอี้ปักทวนลงพื้น พอกวักมือนิดหน่อย วูบ! ตั๊กแตนตัวหนึ่งก็เหาะลงตรงหน้าทันที


พอเหมียวอี้กอดแขน ตั๊กแตนที่ตัวใหญ่ราวกับวัวทว่าหนักกว่าก็ถูกเขาอุ้มขึ้นมาได้อย่างสบายๆ ตัวหนึ่ง


ตั๊กแตนที่ถูกอุ้มขึ้นมาตกใจอย่างเห็นได้ชัด มันดิ้นรนขาทั้งสี่ โบกสะบัดหนวดสัมผัส หันหัวมามองเหมียวอี้ ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะเอามันไม่ทำอะไร ให้ความรู้สึกคล้ายๆ ชายหญิงห้ามอยู่ใกล้ชิดกัน ตั๊กแตนที่ขาทั้งสี่ลอยอยู่กลางอากาศหันหัวมาจ้องเหมียวอี้ เห็นได้ชัดว่ามองแล้วไม่เข้าใจ


“อย่าขยับ!” เหมียวอี้ตะคอก หลังจากทำให้ตั๊กแตนว่าง่ายแล้ว จับขาข้างหนึ่งของมันให้ตรงแล้วยื่นเข้าไปในหมอกเลือด ไม่กล้าปล่อยเข้าไปหมด


ผลลัพธ์ทำให้คนดีใจ ตั๊กแตนไม่มีความผิดปกติใดๆ ทั้งนั้น ข้อขาน่าเกลียดน่ากลัวที่ยื่นเข้าไปในหมอกเลือดก็ไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย เหมียวอี้ดีใจมาก จากนั้นก็ลองค่อยๆ ปล่อยตั๊กแตนเข้าไปทั้งตัว หลังจากเข้าไปเกินครึ่งตัวแล้วไม่เป็นอะไร เหมียวอี้ก็ใช้แขนดัน โยนมันเข้าไปทั้งตัว


ไม่เป็นอะไร ตั๊กแตนกระพือปีกบินอยู่ในหมอกเลือด แล้วก็แฉลบออกมาอีก มันส่ายหน้าสั่นหัว ยังคงมองเหมียวอี้อย่างไม่เข้าใจ


พอเหมียวอี้โบกมือ ตั๊กแตนทั้งห้าตัวก็บินเข้าไป ดวงตาสีเขียวขลับขยับอยู่ในหมอกเลือด บินไปบินมาอย่างเป็นปกติมาก


“จุๆ!” เหมียวอี้ร่าเริงแล้ว แบบนี้ดีแน่นอน พอร่ายอิทธิฤทธิ์ เพลิงจิตก็พรั่งพรูออกมาครอบตัวเอง และเตรียมตัวจะเข้าไป…


“บึ้ม! จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้น ทำให้ผิวดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หมอกเลือดที่อยู่ตรงหน้าเริ่มหมุนขึ้นหมุนลงอย่างรุนแรง ตั๊กแตนห้าตัวรีบบินออกมาราวกับเห็นผี


นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? เหมียวอี้ที่กำลังจ้องหมอกเลือดค่อนข้างงุนงง เล่นใหญ่เกินไปแล้ว!


เห็นเพียงแสงมันวาวสีเขียวเข้มขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในหมอกเลือด ถ้าดวงตาของตั๊กแตนห้าตัวขนาดมีขนาดเท่าโคมไฟอันเล็ก เช่นนั้นดวงตาประกายสีเขียวเข้มที่ปราฏรางๆ อยู่ในหมอกเลือดก็ต้องมีขนาดเท่าโต๊ะตัวใหญ่ตัวหนึ่งแน่นอน สิ่งนี้ทำให้คนขนลุกซู่


…………………………


บทที่ 1090 เรือคว่ำในคลองแคบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

มองไม่ชัดว่ามีอะไรหลบอยู่ในหมอกเลือด แต่ไม่ต้องคิดเยอะเลย ในหัวมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา เหมียวอี้เดาออกแล้วว่าในนั้นมีผีอะไร จึงรีบเหาะถอยหลังอย่างรวดเร็ว พร้อมพลิกมือคว้าทวนเกล็ดย้อนที่ปักอยู่บนพื้น


การกระทำของเขาทำให้ดวงตาใหญ่เขียวขลับที่อยู่ข้างในเป็นประกาย วูบ! เงาดำที่เหมือนภูเขาข้างในหมอกเลือดโผล่ออกมาทันที


เป็นวัตถุที่มีขนาดใหญ่เท่าภูเขาลูกเล็ก พุ่งออกมาด้วยความเร็วปานสายฟ้าฟาด แค่คิดก็รู้ถึงอานุภาพของมันแล้ว ขาหน้าที่หยาบแข็งแรงเหมือนต้นไม้ใหญ่ดีดออกมาราวกับสายฟ้า ชนอย่างเหี้ยมโหดไปทางเหมียวอี้ที่เหาะหนีด้วยความเร็ว


ความเร็วในการหนีของเหมียวอี้ เมื่อเทียบกับเจ้าตัวที่กำลังจู่โจมเข้ามา ก็เรียกได้ว่ารุ่นใหญ่ปะทะรุ่นเล็ก ไม่มีทางหลบพ้นได้เลย


เหมียวอี้ที่ฉุกละหุกดูดทวนเกล็ดย้อนมาไว้ในมือพยายามเร่งความเร็วสุดชีวิต ใช้สองมือจับทวนในแนวขวางเพื่อต้านทาน หมายจะต้านทานการโจมตีนี้


บึ้ม! เสียงดังอื้ออึงหนวกหู


ทวนเกล็ดย้อนที่กวาดในแนวขวางระเบิดแสงสีทองออกมา แต่กลับไม่มีทางต้านทานการโจมตีที่ดุดันได้ สะเทือนกลับมา สะเทือนจนสองมือของเหมียวอี้กางออก


ปั้ง! เสียงสะเทือนดังอีกครั้ง สะเทือนจนทวนเกล็ดย้อนเด้งใส่หน้าอกเหมียวอี้ พังกระเด็นแล้ว


บึ้ม! เกิดเสียงดังสนั่นอีกครั้ง ขนาดแผ่นดินยังสั่นสะเทือน เหมียวอี้ที่กระอักเลือดสดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้สะเทือนจนลอยออกไปราวกับผีพุ่งใต้ แสงสีทองบนเกราะรบผลึกแดงบริสุทธิ์อับแสงลงในชั่วพริบตาเดียว กำแพงที่หนาแข็งแรงอีกด้านของเมืองโบราณฉางเฟิงพังทลายลงในชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ที่ปลิวเข้ามาชนจนดินหินปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า


แต่แบบนี้กลับไม่สามารถยับยั้งทิศทางการไปของเหมียวอี้ได้ เหมียวอี้เหมือนกับอุกกาบาตที่ตกลงมาจากฟ้า พุ่งชนจนกำแพงเมืองพัง ทำลายสิ่งปลูกสร้างหลายหลังในเมืองโบราณ เกิดรอยไถลลึกบนพื้น ไปหยุดอยู่ตรงกลางเมืองโบราณ แล้วก็ถูกบ้านหลังหนึ่งที่ถล่มลงมาฝังกลบ


ตั๊กแตนห้าตัวบินเข้ามาทันที บินวนอยู่บนฟ้าเหนือบ้านที่ฝังกลบเหมียวอี้ไว้


ตั๊กแตนทมิฬร่างยักษ์ตัวหนึ่งที่สีดำขลับทั้งตัว กระดองสีดำบนตัวสะท้อนเป็นมันวาวอยู่ภายใต้แสงจันทร์ มันเกาะอยู่บนพื้น ปรากฏตัวอยู่นอกแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง ร่างกายยาวอย่างน้อยสิบกว่าจั้ง มันกำลังขยับปากแมลงที่มีฟันแหลมคม ดวงตาขนาดใหญ่สีเขียวขลับเปล่งประกาย ในปล้องขามีหนามที่เหมือนตะขอแหลมคม ใต้ท้องกว้างจนม้าเข้าไปวิ่งได้ หน้าตาดุร้ายน่ากลัว


เนื่องจากมันฝ่าออกมาอย่างกะทันหัน หมอกเลือดพิศวงที่อยู่ข้างหลังมันยังคงหมุนขึ้นหมุนลงอย่างรุนแรง


กรอบแกรบ! จู่ๆ อิฐหินที่ฝั่งกลบก็เปิดออก เหมียวอี้ที่ทั้งหน้าเต็มไปด้วยเลือดสดกระอักเลือดคำใหญ่ออกมาไม่หยุด ร่างกายพลิกไปพลิกมาอยู่ในหลุมอย่างยากลำบาก ตั๊กแตนห้าตัวเกาะอยู่ข้างกายเขาแล้ว


และเป็นเพราะเสียงถล่มของอิฐดิน ที่นอกเมืองโบราณ ตั๊กแตนทมิฬยักษ์ที่หยุดเกาะอยู่นอกแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งส่ายหัวไปมา ดวงตายักษ์สีเขียวกะพริบแสงอีกครั้ง มันย่อเข่าที่พื้นเล็กน้อยและดีดตัวออกไป หายไปจากที่เดิมในชั่วพริบตาเดียว


โครมคราม! ในเมืองโบราณ บนเส้นทางเดิมที่เหมียวอี้สะเทือนกระเด็นออกมา บ้านเรือนฝั่งซ้ายและขวาที่ยังไม่ได้ถล่มลงมา เมื่อถูกตั๊กแตนทมิฬพุ่งโจมตี สิ่งของจำพวกหลังคาอิฐหินก็ระเบิดปลิวเต็มฟ้า ฝุ่นควันกระจายอย่างบ้าคลั่ง


ชั่วพริบตาเดียวตั๊กแตนทมิฬก็เกาะที่พื้น แล้วจ้องไปยังเหมียวอี้ที่อยู่บนพื้น มันง้างขาที่แหลมคมออกมาข้างหนึ่ง ต้องการจะโจมตีเขาให้ตาย


เหมียวอี้หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างถี่กระชั้น เขาอาเจียนเป็นเลือดไม่หยุด ขณะมองดูร่างใหญ่มหึมาตรงหน้า ใบหน้าก็ฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด การโจมตีครั้งเดียวของตั๊กแตนทมิฬเกือบจะทำให้เขาร่างพัง เมื่อเผชิญกับตั๊กแตนทมิฬตัวที่อยู่ตรงหน้า อาศัยวรยุทธ์ของเขาไม่มีแรงที่จะโต้ตอบได้เลย ถ้าไม่ใช่เพรามีเกราะรบผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงต้านทานไว้ เขาก็คงกลายเป็นคนตายไปแล้ว


ขณะมองดูมันชูขาหน้าขนาดยักษ์อันแหลมคมขึ้นมา เขาก็ไม่มีความสามารถใดๆ ที่จะหลบหลีกได้อีก จู่ๆ เขาก็รู้สึกขำขึ้นมา ตอนนี้เล่นใหญ่เกินไปจริงๆ พอได้ไปพิภพใหญ่มารอบหนึ่ง เขาก็ดูถูกสิ่งที่อยู่ในพิภพเล็กนิดหน่อย ตอนนี้ได้ลิ้มรสความขื่นขมแล้ว นับว่าเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าทำไมแม้แต่หกปราชญ์ก็ไม่กล้าเหยียบเข้ามาในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งง่ายๆ และเขาเองก็เคยได้ยินเรื่องความน่าหวาดกลัวของตั๊กแตนทมิฬในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งมานานแล้วเช่นกัน แต่ยังกลับถ่อเอาชีวิตมาทิ้ง ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ


แต่ก็นับว่าเขาจะได้ตายไปพร้อมกับความเข้าใจ การนำชีวิตมาแลกทำให้เขาได้เข้าใจแล้ว ว่าพลังของสัตว์ประหลาดชนิดนี้อยู่เหนือระดับบงกชทองไกลมาก ต่อให้เป็นพลังระดับบงกชทองขั้นเก้า แต่ก็ไม่สามารถโจมตีครั้งเดียวให้เขาตายได้ในขณะที่สวมเกราะผลึกแดงที่มีความบริสุทธิ์สูงชุดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าตัวเขาเองจะต้านทานไม่ได้แม้แต่การโจมตีครั้งเดียวของตั๊กแตนทมิฬ พลังของสัตว์ประหลาดชนิดนี้ต้องน่ากลัวขนาดไหนกัน?


ทั้งชีวิตนี้นับว่าผ่านอุปสรรคความลำบากมาไม่น้อย แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเรือจะมาคว่ำในคลองแคบ[1] ไม่น่าเชื่อว่าจะตายภายใต้ความประมาทเลินเล่อ แบบนี้ยุติธรรมมั้ย?


ขณะที่ในหัวมีความคิดเศร้าสลดพวกนี้แวบผ่านเข้ามา ใบหน้าเหมียวอี้ก็เผยรอยยิ้มเยาะเย้ยต้อนรับความตาย


“หึ่งหึ่ง…”


ถึงแม้ตั๊กแตนห้าตัวจะตื่นตระหนกเพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายทระนงองอาจบนตัวของตั๊กแตนทมิฬ แต่ในเวลานี้กลับสู้ไม่คิดชีวิตแล้ว พวกมันส่งเสียงร้องพร้อมพุ่งเข้าไป ไปจับตั๊กแตนทมิฬเอาไว้อย่างสับสนวุ่นวาย แล้วกัดเคี้ยวจนเกิดเสียงและเกิดประกายไฟ กรงเล็บที่แหลมคมของพวกมันใช้ไม่ได้ผลกับกระดองของตั๊กแตนทมิฬเลย ทำให้มันบาดเจ็บไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเทียบร่างกายของทั้งสองฝ่ายแล้ว ก็ถึงขั้นทำให้คนรู้สึกขำด้วยซ้ำ


ตั๊กแตนห้าตัวเปลี่ยนเป็นพุ่งไปที่ดวงตาของตั๊กแตนทมิฬ โจมตีที่จุดอ่อนของมัน นั่นคือจุดที่อ่อนแอของตั๊กแตนแน่นอน


แต่พลังของพวกมันเมื่อเทียบกับตั๊กแตนทมิฬแล้ว ก็ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันเลย หนวดสัมผัสสองเส้นบนหัวของตั๊กแตนทมิฬสะบัดวนติดต่อกันหลายครั้ง ราวกับเป็นแส้ยาวสีทองสองเส้น


เสียงสะเทือนดังแกร๊งๆ ติดต่อกันหลายครั้ง ฟาดตั๊กแตนห้าตัวกระเด็นออกไปทันที


ปรากฏว่าตั๊กแตนห้าตัวห้าวหาญไม่กลัวตาย บินพุ่งเข้ามาพัวพันกับตั๊กแตนทมิฬอีกครั้ง


ตั๊กแตนทมิฬร่างยักษ์บิดหัวรูปสามเหลี่ยมไปมา ดวงตาสีเขียวขลับกะพริบแสงขณะจ้องมองตั๊กแตนห้าตัวที่พุ่งเข้ามาโจมตีซ้ำ แล้วก็ก้มหน้ามองเหมียวอี้ที่นอนอยู่ในเศษอิฐเศษหิน เหมือนลังเลนิดหน่อย ขาหน้าอันแหลมคมที่กำลังยกขึ้นไม่ยอมจิ้มลงมาสักที


แกร๊งๆ! หนวดสัมผัสที่เหมือนแส้ยาวสีทองสองเส้นฟาดตั๊กแตนห้าตัวกระเด็นไปอีกครั้ง เคียวเกี่ยวข้าวที่ตั๊กแตนทมิฬชูขึ้นมาวางลงอย่างช้าๆ ร่างขนาดยักษ์ค่อยๆ หันเลี้ยว


เหมียวอี้งุนงง มองดูท้องของตั๊กแตนทมิฬยักษ์เลี้ยวผ่านยอดศีรษะตัวเองไป กังวลว่าจะโดนก้นของมันกระแทกตาย


วูบ! ฝุ่นควันกระพือขึ้นมาพักหนึ่ง กระแสลมพัดม้วน ตั๊กแตนทมิฬโผขึ้นฟ้า ชั่วพริบตาเดียวก็ไปเหยียบนอกแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งอีก แล้วเดินก้าวยาวช้าๆ เข้าไปในหมอกเลือดที่ไหลกลิ้งอย่างประหลาด มันไม่สามารถอยู่นอกแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งได้นาน นี่เป็นเพราะตอนกลางคืนมันถึงออกมาได้


ตั๊กแตนห้าตัวกลับไม่ใจกว้างปล่อยไป ยังคงไล่ตามหลังตั๊กแตนทมิฬเข้าไปกัดกินอย่างบ้าคลั่ง กระทบจนเกิดประกายไฟออกมาเป็นระยะ


ตั๊กแตนทมิฬไม่ตอบสนองใดๆ กับสิ่งนี้ เพียงหันมามองตั๊กแตนทั้งห้าตัวแวบเดียว แววตาสีเขียวกลับกะพริบแสงพักหนึ่ง แล้วก็หันกลับไปอีก มันยื่นหัวเข้าไปในหมอกเลือดประหลาด แล้วร่างยักษ์ก็ตามเข้าไปไปอย่างช้าๆ ย่างเก้าที่หนักอึ้งแบบนั้นเผยกลิ่นอายความเก่าแก่วังเวง


จนกระทั่งร่างมหึมานั่นเข้าไปในแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง หลังจากมันหายมิดไปในหมอกหนาพร้อมเสียงดังวูบ ตั๊กแตนห้าตัวถึงได้บินขึ้นไปบนฟ้าพักหนึ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนภาคภูมิใจ ราวกับพวกมันทำให้ตั๊กแตนทมิฬตกใจจนหนีไปหรือไม่ก็ไล่ไปได้แล้ว ตอนนี้พวกมันถึงได้บินกลับมา


ขณะมองดูตั๊กแตนห้าตัวที่กลับมาล้อมอยู่รอบกายตัวเอง การที่มันแยกเขี้ยวโบกกรงเล็บแบบนั้นให้ความรู้สึกเหมือนกำลังแสดงผลงาน เหมียวอี้ที่อาเจียนเลือดเป็นระยะไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขามองออกแล้ว มันชัดเจนเกินไป ตั๊กแตนทมิฬตัวนั้นไว้หน้าตั๊กแตนห้าตัวนี้ มันถึงได้ไว้ชีวิตเขา เดิมทีมันต้องการจะลงมือสังหารเขาแล้ว!


เขานึกว่าตัวเองจะตายเสียแล้ว เมื่อครู่เตรียมตัวยอมรับความตายแล้วด้วยซ้ำ แต่ใครจะคิดว่าตั๊กแตนห้าตัวนี้จะช่วยเขาให้รอดพ้นเงื้อมมือตั๊กแตนทมิฬ


ดูจากร่างกายของตั๊กแตนทมิฬตัวนั้น มีขนาดไม่ต่างกับตัวที่เหล่าไป๋เรียกออกมาในปีนั้นสักเท่าไร เขาสงสัยนิดหน่อยว่าตั๊กแตนห้าตัวของเขาเป็นลูกหลานของตั๊กแตนทมิฬตัวนี้รึเปล่า?


บนฟ้ากำลังมีเงาคนสามคนสำรวจตรวจตราไปทั่ว ความเคลื่อนไหวของที่นี่ค่อนข้างใกล้กับเมืองฉางเฟิง มนุษย์ธรรมดาอาจจะไม่ได้ยิน แต่ปิดบังนักพรตที่มีวรยุทธ์ระดับฉินเวยเวยไม่ได้ และเสียงการต่อสู้ของตรงนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตวรยุทธ์ต่ำจะทำได้ด้วย


เมื่อนึกเชื่อมโยงว่าเหมียวอี้ก็อยู่แถวนี้เหมือนกัน นางจะพักอยู่กับที่ได้อย่างไร นำหงเหมียน ลู่หลิ่มสำรวจมาทางนี้ตลอดทาง


ระหว่างทางที่มา สิ่งที่หาพบก่อนกลับเป็นทวนด้ามหนึ่งที่ปักเอียงอยู่บนพื้นในจุดที่ห่างจากเมืองโบราณฉางเฟิงหลายร้อยจั้ง เป็นทวนเกล็ดย้อนที่พังกระเด็นออกมาหลังจากเหมียวอี้ใช้ต้านทานตั๊กแตนทมิฬ มันสะท้อนอยู่ภายใต้แสงจันทร์จนทำให้คนสังเกตเห็น พอฉินเวยเวยเหยียบลงพื้นไปหยิบขึ้นมาดู นางก็ระแวงกลัวทันที


เหมียวอี้ใช้อาวุธแบบไหน นางก็ย่อมรู้ชัดอยู่แล้ว ถึงแม้จะไม่เคยเห็นวัสดุที่ใช้ทำอาวุธชิ้นนี้มาก่อน แต่แค่เห็นทวนเกล็ดย้อนก็รู้แล้วว่าเป็นสิ่งที่ใช้งานเฉพาะของเหมียวอี้ พิสูจน์การคาดเดาของนางแล้ว การต่อสู้เมื่อครู่นี้เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้แน่นอน


ขนาดอาวุธแบบนี้ยังโยนทิ้งได้ จะเห็นได้ว่าเหมียวอี้ประสบปัญหาแล้ว


หงเหมียน ลู่หลิ่วก็หวาดกลัวแล้วเช่นกัน ทั้งสองรู้จักรูปแบบอาวุธที่เหมียวอี้ใช้ ตอนนี้เหมียวอี้ไม่ได้เป็นแค่เจ้านายของพวกนาง แต่ยังเป็นผู้ชายของพวกนางด้วย เมื่อกายเนื้อได้สัมผัสใกล้ชิดกันแล้ว ก็ไม่ใช่สิ่งความสัมพันธ์ของนายบ่าวแบบก่อนหน้านี้จะเทียบได้ หัวใจผูกติดกันแล้ว จะไม่ให้กระวนกระวายได้อย่างไร


สามคนที่อยู่บนท้องฟ้ารีบใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์กวาดมองไปรอบๆ เมืองโบราณฉางเฟิงที่ถูกทำลายพังดึงดูดความสนใจของพวกนางแล้ว เมื่อเหาะไปตามร่องรอยความเสียหายที่ราวกับถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ก็เห็นเหมียวอี้ที่นอนอยู่ในซากหักพังกลางเมืองกำลังโดนตั๊กแตนห้าตัวล้อมอยู่


ทั้งสามไม่เคยเห็นตั๊กแตนของเหมียวอี้มาก่อน ทั้งยังอยู่ข้างแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งอีก ย่อมนึกเชื่อมโยงไปถึงตั๊กแตนทมิฬอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นตั๊กแตนธรรมดาที่ไหนจะตัวใหญ่เท่าวัว


เคยได้ยินถึงความร้ายกาจของตั๊กแตนทมิฬมานานแล้ว เมื่อเห็นแบบนี้ ทั้งสามก็นึกว่าเหมียวอี้ถูกตั๊กแตนห้าตัวนั้นทำร้าย พวกนางจึงสวมเกราะรบทันที เตรียมจะช่วยชีวิตเขา


ส่วนตั๊กแตนห้าตัวก็หันมามองพวกฉินเวยเวยด้วยเจตนาไม่ดี พวกมันเห็นเป็นศัตรูเช่นกัน เริ่มกระพือปีกบินขึ้นมา เตรียมตั้งท่าโจมตีแล้ว


เหมียวอี้ที่นอนอยู่บนพื้นดวงตาค่อนข้างไร้แวว เขาตกใจกับการเคลื่อนไหวของตั๊กแตน จึงดันทุรังรวบรวมพลังอิทธิฤทธิ์เพื่อใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองแวบหนึ่ง ถึงได้เห็นพวกฉินเวยเวยที่อยู่บนฟ้าอย่างชัดเจน


เหมียวอี้แอบร้องว่าแย่แล้ว พวกฉินเวยเวยใช่คู่ต่อสู้ของตั๊กแตนห้าตัวนี้เสียที่ไหนกัน จึงพยายามสุดชีวิตเพื่อยกฝ่ามือขึ้นข้างหนึ่ง แล้วพยายามร่ายพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอเปิดใช้งานกำไลเก็บสมบัติของตัวเอง ใช้พลังจิตเรียกตั๊กแตนห้าตัวนั้นกลับเข้ามา


ตั๊กแตนห้าตัวบินกลับมา แล้วเข้าไปอยู่ในกำไลเก็บสมบัติ มือที่ยกขึ้นเล็กน้อยของเหมียวอี้ก็ตกลงพื้นแล้วเช่นกัน


เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้ พวกฉินเวยเวยย่อมดูออกเช่นกันว่าตัวเองเข้าใจผิดไป รีบเหาะลงมาเหยียบพื้น


เมื่อเห็นสภาพยับเยินของเหมียวอี้ ฉินเวยเวยก็รีบคุกเข่าและประคองเหมียวอี้มาไวในอ้อมกอดตัวเอง พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบอาการเล็กน้อย ก็พบทันทีว่าเหมียวอี้ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสธรรมดา อวัยวะภายในถูกทำลาย ตับไตใส้พุงถูกตัดเป็นชิ้น แขนสองข้างที่อยู่ใต้เกราะรบก็ยิ่งเลือดเนื้อเละเทะปนกัน ปากอาเจียนเลือดออกมาไม่หยุด ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว กำลังอาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ที่อ่อนแอปกป้องชีพจร หอบหายใจไม่หยุด แม้แต่ความสามารถในการช่วยชีวิตตัวเองก็ไม่มีแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าเมื่อครู่นี้เอาพลังจากไหนมาเปิดใช้งานกำไลเก็บสมบัติ


“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้?” ฉินเวยเวยถามปนน้ำเสียงร้องไห้ แต่ก็นึกได้ว่าเหมียวอี้อ้าปากตอบไม่ไหว ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถาม จึงสั่งหงเหมียน ลู่หลิ่วอย่างใจร้อนว่า “เร็วเข้า! สมุนไพรเซียนซิงหัว! เร็วๆๆ…”


หงเหมียน ลู่หลิ่วฉุกละหุกอยู่พักหนึ่ง รีบนำสมุนไพรเซียนซิงหัวออกมา แล้วนั่งย่อเขาคนละฝั่ง ร่ายอิทธิฤทธิ์เป่าหมอกดาวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าเข้าไปในร่างกายเหมียวอี้


ผู้หญิงทั้งสามคนกำลังร้องไห้น้ำตาหยดแหมะๆ อยู่อย่างนั้น


หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ที่มีแรงไอก็พ่นเลือดคั่งออกมาคำหนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากได้แล้ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอว่า “ไม่ควรอยู่ที่นี่นาน…หาที่ซ่อนตัว…”


ผู้หญิงทั้งสามคนรีบหามเขาออกไปจากตรงนั้นทันที


…………………………


[1] 阴沟里翻了船 เรือคว่ำในคลองแคบ หมายถึงตายน้ำตื้น คนที่พลาดท่าเสียทีเพราะเรื่องเล็กน้อย


บทที่ 1091 สะกดรอยตาม

โดย

Ink Stone_Fantasy

บนท้องฟ้า ฉินเวยเวยที่กำลังอุ้มเหมียวอี้ถามอย่างร้อนใจว่า “จะกลับไปพักที่ยอดเขาหยกนครหลวงอย่างสงบใจก่อนมั้ย?”


เหมียวอี้ตอบอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงว่า “มู่ฝานจวินอาจจะจับตาดูที่ยอดเขาหยกนครหลวงอยู่ กลับไปตอนนี้ไม่เหมาะ รอให้ข้าพักฟื้นจนหายดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน เมืองโบราณพังทลาย เกรงว่าคงดึงดูดให้นักพรตมาสำรวจดูทุกที่ ซ่อนตัวแถวๆ นี้ไม่สะดวก เรือลำนั้นน่าจะลอยไปไม่ได้ไกล ไปขึ้นเรือ”


ฉินเวยเวยพยักหน้า เข้าใจเจตนาของเขาแล้ว


ตอนที่พวกเขาเหาะออกจากเมืองโบราณฉางเฟิง ก็มีชายหฐิงอีกคู่หนึ่งปรากฏตัวจากซอกมุมที่อยู่ในเมือง ผู้ชายหน้าตาธรรมดา แต่ผู้หญิงกลับมีทรวดทรงองเอวงดงาม ดวงตาสดใสและกลมเหมือนลูกบ๊วย ใบหน้างดงามน่าทะนุถนอม


“วรยุทธ์เจ้ายังไม่สูงพอ อยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะตามไปดู” ผู้ชายผู้ทิ้งท้ายไว้ เตรียมจะสะกดรอยตาม


ใครจะคิดว่าผู้หญิงกลับดึงแขนเขาไว้ “ข้าไปด้วย!”


ผู้ชายเหมือนจะทำใจปฏิเสธไม่ลง หลังจากลังเลนิดหน่อย ก็คว้าข้อมือของนางเอาไว้ ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชแดงขั้นหก ดึงนางเหาะออกจากเมือง อาศัยความมืดยามค่ำคืนและสภาพพื้นที่เพื่อพรางตัวตลอดทาง ตามหลังพวกฉินเวยเวยอยู่ไกลๆ…


พวกฉินเวยเวยหาแม่น้ำที่ใช้เดินทางตอนขามาพบแล้ว พวกนางเดนิทางไปตามกระแสน้ำโดยอาศัยแนวภูเขาสองฝั่งแม่น้ำคอยกำบัง ใช้เวลาไม่นานก็หาเรือโหลวฉวนที่ถูกทิ้งลำนั้นพบ


พวกเขาแยกจากเรือโหลวฉวนลำนั้นเป็นเวลาเพียงเกือบครึ่งวัน เรือโหลวฉวนไหลตามคลื่นกระแสน้ำหลังจากถูกทิ้งไว้ เมื่อไม่มีคนคอยขับเรือ ใช้เวลาเกือบครึ่งวันก็ลอยไปได้ไม่ไกลเท่าไร ที่จริงยังใกล้กว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้ด้วยซ้ำ เรือโหลวฉวนเกยตื้นนิ่งๆ อยู่บนชายหาดที่เป็นกระแสน้ำย้อนกลับ


หงเหมียน ลู่หลิ่วขึ้นเรือไปสำรวจดูรอบหนึ่งก่อน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีคน ฉินเวยเวยถึงได้อุ้มเหมียวอี้เข้ามาในห้องโดยสารเรือ เมื่อวางลงบนเตียงแล้ว ก็ใช้สมุนไพรเซียนซิงหัวรักษาให้เหมียวอี้ต่อไป ส่วนหงเหมียน ลู่หลิ่วก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเรืออีกครั้ง ทำให้เรือไหลตามกระแสน้ำอย่างรวดเร็ว


ต่อให้เรือจะแล่นเร็วกว่านี้ แต่ก็สู้ความเร็วในการเหาะไม่ได้ กอปรกับไหลไปตามกระแสน้ำ เส้นทางชัดเจนและแน่นอน ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะสะกดรอยตามพลาด ชายหญิงที่ติดตามอยู่ตามแนวภูเขาใกล้ๆ สบายแล้ว ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะถูกพบ เรียกได้ว่าตามหลังอยู่ในแนวภูเขาสองฝั่งน้ำอย่างสบายๆ


“พี่ใหญ่กาน ท่านกำลังทำอะไร?” ผู้หญิงสังเกตเห็นผู้ชายน้ำแผ่นหยกมาเขียนอะไรบางอย่าง จึงอดไม่ได้ที่จะถาม


ผู้ชายหัวเราะหึหึ แล้วถามว่า “ซู่ซู่ เจ้ารู้มั้ยว่าคนที่ถูกตั๊กแตนทมิฬทำร้ายจนบาดเจ็บเป็นใคร?”


ผู้หญิงแววตาวูบไหวเล็กน้อย ถามว่า “อย่าบอกนะว่าพี่ใหญ่กานรู้จัก?”


ที่จริงนางก็รู้จักเหมียวอี้เหมือนกัน แต่จนใจที่แค่บังเอิญพบเหมียวอี้เท่านั้น และไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเหมียวด้วย


นางเคยเป็นคนเมืองคล้อยบูรพา ชื่อว่าฟางซู่ซู่ จะว่าไปแล้วการที่นางเข้าสู่แดนฝึกตนก็เกี่ยวข้องกับเหมียวอี้เหมือนกัน ในปีนั้นเหมียวอี้ยังเป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพา ตอนที่มาเที่ยวเล่นเมืองคล้อยบูรพา ก็บังเอิญรับลูกกลมแพรปัก[1]ที่นางโยนมาได้ จากนั้นก็โยนทิ้งโดยไม่ใส่ใจ เรื่องนี้ทำให้นางกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของเมืองคล้อยบูรพา


สาวน้อยคนหนึ่งที่โยนลูกกลมแพรปักเลือกเจ้าบ่าวแต่กลับโดนปฏิเสธ จะไม่ให้นางเหลือทนได้อย่างไร ดังนั้นจึงติดตามมาตลอดเพราะต้องการคำอธิบาย แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะเป็นนักพรต ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายจึงไม่ชายตามองนาง เพราะอีกฝ่ายเป็นท่านเซียน จะมาสนใจมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งได้อย่างไร แต่นิสัยนางหยิ่งในศักดิ์ศรี จึงตั้งปณิธานว่าจะบำเพ็ญเซียน เพื่อรอทวงความยุติธรรมในอนาคต


ตอนหลังเมื่อเหมียวอี้ถูกลดขั้นให้เป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพา แล้วมาเที่ยวเล่นในเมืองคล้อยบูรพาอีกครั้ง เขาก็บังเอิญพบนางอีกครั้งหนึ่ง แต่เหมียวอี้ไม่รู้จักนางแล้ว ส่วนนางถึงแม้จะรู้จักเหมียวอี้แต่ก็ยังเป็นฝ่ายเข้ามาทำความรู้จัก ทำให้ทั้งสองได้ล่องเรือ้ที่ยวด้วยกัน แต่นางกลับไม่ได้สืบจนรู้ฐานะที่แท้จริงของเหมียวอี้ นางแค่สังเกตเห็นว่าถึงแม้ความคืบหน้าในการฝึกตนของนางจะไม่ช้า แต่เมื่อเทียบกับเหมียวอี้แล้วก็ยังห่างกันไม่ใช่น้อยๆ ตอนหลังเหมียวอี้ก็ทิ้งนางแล้วจากไปโดยไม่ลาอีก การจากลาครั้งนั้นก็ทำให้ไม่ได้พบกันอีกเลยหลายปี


ครั้งนี้ได้พบเหมียวอี้อีกครั้งถือเป็นโชคชะตาแท้ๆ ที่เขาว่ากันว่า ‘ถ้าไร้ความบังเอิญก็คงเขียนหนังสือออกมาไม่ได้’ ก็เป็นแบบนี้นี่เอง


เป็นเพราะตอนแรกนางไม่เชื่อฟังคำโน้มน้าวของพ่อแม่ จากบ้านเกิดเมืองนอนไปตามหาววาสนาในการฝึกตนเป็นเซียน แต่ตอนที่ได้วาสนาในการฝึกตนมา พ่อแม่ของนางกลับจากโลกนี้ไปแล้ว ทำให้ในใจนางเสียใจเคียดแค้นกับเรื่องนี้ไม่หาย แค้นใจที่ตัวเองไม่ได้กตัญญูอย่างเต็มที่ตอนที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นทุกๆ หลายปีนางจึงกลับบ้านเกิดมาเอาศีรษะโขกพื้นตรงหน้าหลุมศพพ่อแม่เสมอ เป็นแบบนี้มาตลอดหลายปี


ส่วนผู้ชายที่ร่วมเดินทางมาด้วยชื่อว่ากานเจ๋อกวง เป็นลูกศิษย์ขอสำนักงามวิจิตรที่งแดนอู๋เลี่ยง


สาเหตุที่ฟางซู่ซู่มารู้จักเขาได้ จะว่าไปก็ยังเกี่ยวข้องกับเหมียวอี้อยู่ ครั้งสุดท้ายที่นางได้พบเหมียวอี้ นางพบว่าตัวเองพยายามมาหลายปี แต่ก็ยังไม่สามารถดึงระยะห่างระหว่างกันได้ และสำนักของนางที่แดนอู๋เลี่ยงก็เล็กเกินไป แม้แต่เจ้าสำนักก็ยังมีวรยุทธ์แค่บงกชแดงเท่านั้น ถามหน่อยว่านางจะทำอะไรได้ สำนักเล็กๆ ไม่เพียงพอจะสนับสนุนอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของนาง ดังนั้นสายตานางจึงมองไปยังจุดที่ไกลกว่าเดิม


จุดสูงสุดของแดนอู๋เลี่ยงย่อมเป็นนภาอู๋เลี่ยงอยู่แล้ว แต่นภาอู๋เลี่ยงไม่ใช่จุดที่นางจะเข้าใกล้ได้เลย จึงถอยมาจับจ้องเป้าหมายรองซึ่งก็คือสำนักงามวิจิตรที่เกี่ยวข้องกับนภาอู๋เลี่ยง ด้วยการลองคบค้าสมาคมหลายครั้ง สุดท้ายก็ได้รู้จักกับกานเจ๋อกวงคนนี้


สำหรับฟางซู่ซู่ ภูมิหลังของกานเจ๋อกวงไม่เล็กเลย อาจารย์ของเขาก็คือเซี่ยงไป่ถิง ศิษย์พี่ของเยารั่วเซียนนั่นเอง


เจตนาเดิมของนางคือหวังจะให้กานเจ๋อกวงแนะนำให้นางเข้าสำนักงามวิจิตร เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อย่าว่าแต่สำนักงามวิจิตรเลย แต่ไม่ว่าสำนักใดก็ไม่รับคนส่งเดชทั้งนั้น แต่กานเจ๋อกวงกลับถูกใจในความสวยของนาง ชื่นชอบนาง ตามจีบนางมาตลอด ครั้งนี้ที่ฟางซู่ซู่กลับบ้านเกิดมากวาดหลุมศพพ่อแม่ เขาถึงขั้นเดินทางมาเป็นเพื่อนด้วยซ้ำ


สำหรับนักพรต เมืองคล้อยบูรพาอยู่ห่างจากเมืองฉางเฟิงไม่ไกล ล้วนขึ้นตรงต่ออาณาเขตจวนหนานเสวียน ระหว่างทางที่กลับมาจากกวาดหลุมศพ เมื่อเดินทางผ่านตรงนี้ เสียงระเบิดก็ทำให้ทั้งสองตกใจ ทั้งสองมาถึงเร็วกว่าฉินเวยเวยก้าวหนึ่ง เรียกได้ว่าเห็นภาพที่เหมียวอี้ถูกตั๊กแตนทมิฬทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสกับตา


หลังจากตั๊กแตนทมิฬถอยไปแล้ว เดิมทีกานเจ๋อกวงคิดจะจัดการเหมียวอี้ที่กำลังบาดเจ็บ ทว่าตั๊กแตนห้าตัวนั้นทำให้เขาหวาดกลัว กอประกับตอนหลังฉินเวยเวยมาถึงแล้ว เขาถึงได้ซ่อนตัวอยู่ตลอด ตอนหลังถึงได้ติดตามไป


ตอนนี้ทั้งสองกำลังเดินทางทะลุป่าภูเขาริมแม่น้ำ เมื่อได้ยินคำถามของฟางซู่ซู่ กานเจ๋อกวงก็เดาะลิ้นแล้วตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ต้องรู้จักอยู่แล้วสิ! ซู่ซู่ เจ้าคือดาวนำโชคของข้าจริงๆ ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ตามเจ้ามาไหว้บรรพบุรุษที่บ้านเกิด ข้าจะได้สร้างผลงานใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร! เจ้าคนที่ได้รับบาดเจ็บนั่นไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นไอ้เหมียวจัญไรไง!”


ฟางซู่ซู่อึ้งไปชั่วขณะ ตอนแรกยังคิดตามไม่ทัน จึงถามว่า “ไอ้เหมียวจัญไรไหน?”


กานเจ๋อกวงตอบกลั้วหัวเราะ “อย่าบอกนะว่ามีไอ้เหมียวจัญไรหลายคน? ไอ้เหมียวจัญไรที่ชื่อเสียงโด่งดังในแดนฝึกตนไง ประมุขถิ่นกลางของทะเลดาวนักษัตร ไอ้เหมียวจัญไรที่เอาเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมเมฆาวายุมาเป็นเมียไง อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เคยได้ยิน?”


“เขาคือเหมียวอี้เหนอ? พี่ใหญ่กาน ท่านแน่ใจนะว่าเป็นเขา?” ฟางซู่ซู่ตกตะลึงปนประหลาดใจ


กานเจ๋อกวงตอบว่า “ไม่ผิดแน่! ตอนที่เขาก่อเรื่องที่สำนักงามวิจิตร ข้าอยู่ในเหตุการณ์และได้เห็นกับตาตัวเอง จะจำผิดได้อย่างไร แล้วก็มีผู้หญิงที่อุ้มเขาด้วย ตอนนั้นข้าเคยเจอที่สำนักงามวิจิตรเหมือนกัน ฉินเวยเวย เป็นอนุภรรยาของเขา มีผู้หญิงคนนี้เป็นเครื่องพิสูจน์แล้ว ก็ยิ่งไม่ผิดแน่ ไอ้เหมียวจัญไรนี่ก่อเรื่องใหญ่โตที่สำนักงามวิจิตร ทั้งยังฆ่าลูกศิษย์ของปราชญ์เต๋า ตอนนี้เขาบาดเจ็บสาหัส สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย มาบังเอิญถูกข้าพบเข้าแล้ว ถ้าข้าส่งข่าวนี้กลับไป ก็จะมีคนมาจับตัวเขาได้ทันเวลา เจ้าว่านี่จะไม่ใช่ผลงานใหญ่ได้อย่างไร?”


ฟางซู่ซู่เงียบไป ถึงขั้นแค้นจนกัดฟันกรอดด้วยซ้ำ ที่แท้คนที่นางตามหามาหลายปีก็คือไอ้เหมียวจัญไรที่ชื่อเสียงโด่งดังทั้งแดนฝึกตน อีกฝ่ายมีอนุภรรยาแล้วด้วยซ้ำ เสียแรงที่นางทรยศบุญคุณของบิดามารดาเพื่อเขา หลายปีมานี้เพื่อที่จะดึงระยะห่างให้ใกล้กับเขา นางก็ยิ่งได้รับความลำบากทุกข์เต็มที่


จู่ๆ นางก็พบว่าตัวเองจะลำบากไปเพื่ออะไรกัน เข้ามาอยู่ในสำนักงามวิจิตรอล้วยังไงล่ะ? อีกฝ่ายคือคนที่กล้าก่อเรื่องใหญ่โตที่สำนักงามวิจิตรต่อหน้าปราชญ์เต๋าเฟิงเป่ยเฉินนะ กล้าสังหารแม้กระทั่งลูกศิษย์ของปราชญ์เต๋า ด้วยระยะห่างแบบนี้ เกรงว่าทั้งชีวิตนี้นางคงจะไม่มีทางดึงให้เสมอกันได้


เจี่ยเสียน! ในฟางซู่ซู่มีชื่อหนึ่งแวบเข้ามา เป็นตอนที่ได้พบเหมียวอี้ครั้งสุดท้ายในปีนั้น เหมียวอี้ปลอมชื่อนี้มาตบตานาง ในใจมีความเคียดแค้นพรั่งพรูออกมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้!


สิ่งที่ผู้หญิงไขว่คว้ามาไม่ได้ มักจะทำให้เกิดความเคียดแค้นอย่างแปลกประหลาด!


“ซู่ซู่ เจ้าติดตามต่อไป ข้าไปที่อื่นประเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวกลับมา!” เมื่อเขียนแผ่นหยกเสร็จแล้ว กานเจ๋อกวงที่จับอินทรีเทพมาตัวหนึ่งก็สั่งนางไว้


ฟางซู่ซู่พยักหน้าเอ่ยรับ กานเจ๋อกวงอุ้มอินทรีเทพเหาะไปไกลทันที ไม่กล้าปล่อยอินทรีเทพให้บินในจุดที่ใกล้เกินไป กลัวว่าจะดึงดูดความสนใจของเป้าหมาย ถ้าแหวกหญ้าให้งูตื่นจนหนีไป ผลงานก็จะหายไปด้วยเช่นกัน…


หลังจากเรือแล่นไปหลายวัน ก็ออกจากบริเวณฝนชุกที่ถูกขนาบด้วยภูเขา มาถึงจุดที่กว้างขวางของแม่น้ำ ในแม่น้ำมีเรือประมงและเรือสินค้าสัญจรไปมาเป็นระยะ สองฝั่งแม่น้ำก็มีท่าเรือและบ้านคนอยู่เรื่อยๆ เช่นกัน เมื่อลักษณะพื้นที่กว้างขวาง กานเจ๋อกวงกับฟางซู่ซู่ก็สะกดรอยตามได้ค่อนข้างลำบาก ไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะจะถูกพบได้ง่าย ทำได้เพียงตามอยู่ไกลๆ


เหมียวอี้ที่กำลังประคองลมหายใจพบปัญหาใหญ่แล้วเช่นกัน อาการบาดเจ็บคงที่แล้ว แต่แขนสองข้างที่โดนพลังโจมตีเยอะที่สุดในตอนนั้นกลับใช้งานไมได้ กระดูกและเนื้อหนังสะเทือนจนแทบแตกเละทั้งหมด ไม่สามารถฟื้นตัวได้โดยตรง จำเป็นต้องตัดขาสองข้างทิ้งและปล่อยให้งอกใหม่อีกครั้ง


ความเจ็บปวดทรมานที่มาพร้อมการงอกใหม่ของอวัยวะ คนนอกไม่สามารถจินตนาการได้ นี่คือเรื่องที่เหมียวอี้ประสบพบเจอเป็นครั้งที่สอง โชคดีที่ตอนนี้บนตัวเขามีสมุนไพรเซียนซิงหัวมากพอ สามารถค่อยๆ ใช้สอยได้


พวกฉินเวยเวยปวดใจแทบแย่ ระหว่างทางร้องไห้ไปหลายรอบแล้ว


จนกระทั่งสามารถลุกเดินได้แล้ว เหมียวอี้ก็เดินแกว่งแขนเสื้อสองข้างออกมาจากห้องโดยสารเรือ เขาออกมาตากอากาศบนตึกเรือ แต่ความเจ็บปวดทำให้เหงื่อกาฬซึมออกจากหน้าผากไม่เคยหยุด เสื้อผ้าบนตัวถูกทำให้เปียกครั้งแล้วครั้งเล่า การยืนพิงระเบียงให้ลมเป่า กลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อยเลย เขาเอนกายลงบนเก้าอี้นอน ไม่ยอมอุดอู้อยู่ในห้องโดยสารเรืออีก


ฉินเวยเวยที่คอยอยู่เป็นเพื่อนกัดฟันถามว่า “ใครทำให้ท่านบาดเจ็บจนกลายเป็นแบบนี้คะ?”


เหมียวอี้ที่สีหน้าซีดขาวยิ้มเจื่อน “ไม่ใช่คนหรอก! เป็นข้าเองที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ ไปเรียกตั๊กแตนทมิฬออกมาจากแดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เวยเวย ต่อไปนี้เจ้าจำไว้นะ ว่าตั๊กแตนทมิฬที่ขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ของแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งมีพลังเหนือกว่าที่เจ้าจินตนาการไว้ไกลมาก ขนาดข้ายังต้านทานไม่ไหวเลย ข้าแน่ใจด้วยว่าหกปราชญ์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันเหมือนกัน อย่าไปยั่วโมโหมันเด็ดขาด…”


ณ สำนักงามวิจิตร เซี่ยงไป่ถิงได้รับข่าวจากกานเจ๋อกวงที่เป็นลูกศิษย์แล้ว ความคิดแรกก็คือไปบอกโม่หมิงผู้เป็นอาจารย์ของเขา


แต่หลังจากเดินมาถึงที่หลอมของวิเศษของสำนัก ฝีเท้าก็หยุดชะงัก ไตร่ตรองถึงความสัมพันธ์ของโม่หมิงกับเยารั่วเซียน แล้วเยารั่วเซียนกับเหมียวอี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา…เซี่ยงไป่ถิงจึงหันตัวหลับ เปลี่ยนเส้นทางไปยังลานบ้านของเรือนพักด้านในที่เต็มไปด้วยสวนดอกไม้ สถานที่ฝึกตนของอาจารย์แม่เหมียวจวินอี๋


เหมียวจวินอี๋ที่สวมชุดกระโปรงยาวลายดอกไม้ ตอนนี้กำลังเล่นกับวิหคขนสีรุ้งในกรงที่ห้อยใต้ชายคาพอดี การขอพบจึงไม่ลำบากอะไร


หลังจากได้อ่านแผ่นหยกที่เซี่ยงไป่ถิงยื่นมาให้ เหมียวจวินอี๋ก็เงยหน้าถามทันที “อาจารย์เจ้ารู้เรื่องนี้หรือเปล่า?”


“กำลังจะไปบอกท่านอาจารย์พอดีขอรับ แต่นึกไม่ถึงว่าท่านอาจารย์จะไม่อยู่” เซี่ยงไป่ถิงตอบ


เหมียวจวินอี๋เตือนทันทีว่า “ห้ามบอกเรื่องนี้กับอาจารย์เจ้า ข้าจะไปพบท่านปราชญ์เดี๋ยวนี้…”


หลังจากสั่งแล้ว นางก็ไม่สนใจนกที่อยู่ใต้ชายคาอีก เรียกได้ว่าเหาะขึ้นฟ้าไปโดยตรงเลย


เมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นใคร เซี่ยงไป่ถิงก็ดีดนิ้วปล่อยพลังอิทธิฤทธิ์ออกมาสายหนึ่ง ทำให้นกขนสีรุ้งที่อยู่ในกรงเจ็บจนดิ้นพล่าน…


…………………………


[1] ลูกกลมแพรปัก 绣球 ในสมัยโบราณมีไว้ใช้การเสี่ยงทายเลือกคู่ ถ้าผู้หญิงโยนไปให้ใคร คนนั้นจะได้เป็นเจ้าบ่าว


บทที่ 1092 แจ้งเตือน

โดย

Ink Stone_Fantasy

สำนักงามวิจิตรอยู่ห่างจากนภาอู๋เลี่ยงไม่ไกล อย่างน้อยก็เป็นแบบนี้สำหรับนักพรต เหมียวจวินอี๋ที่เหาะด้วยความเร็วสูงเข้ามาในนภาอู๋เลี่ยงอย่างคล่องแคล่ว ไม่มีใครขัดขวาง


ตอนที่พบฟิงเป่ยเฉินในลานบ้านลึกของตำหนักอู๋เลี่ยงที่กว้างใหญ่ไพศาล เฟิงเป่ยเฉินกำลังเอามือไขว้หลังมองดูฉินซีตัดแต่งดอกไม้ที่ปลูกในกระถางด้วยท่าทางสนใจ เฟิงเป่ยเฉินอาจจะไม่ได้มีคุณสมบัติประจำตัวดีสักเท่าไร แต่กลับมีรสนิยมสูง การอยู่เหนือผู้อื่นมานานไม่ใช่สิ่งที่มีไว้แสดงโอ้อวดเท่านั้น ความมีระดับที่ได้รับการบ่มเพาะมาก็ยังมีอยู่บ้าง คอยแนะนำอยู่ข้างๆ ฉินซีนิดหน่อย


เมื่อเหมียวจวินอี๋ที่เข้ามาคำนับเห็นภาพนี้ ก็จ้องฉินซีที่มีอากัปกิริยาเย็นชาเงียบเหงาพลางเบะปาก เหมือนจะดูถูกเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ทำสีหน้าเรียบร้อยจริงจังอีก


“ท่านอาจารย์! อาจารย์แม่!” หลังจากคำนับแล้ว ก็ยื่นแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้เฟิงเป่ยเฉินอ่าน


“ตั๊กแตนทมิฬ…” ฟิงเป่ยเฉินรับมาอ่านแล้วพึมพำ สีหน้าเริ่มจริงจังและหนักแน่นทีละนิด เกราะรบสีแดงที่บรรยายในเนื้อหารายงานทำให้เขานึกเชื่อมโยงถึงโซ่สีแดงที่มัดตัวพวกผีดิบที่เห็นบนเรือมังกรอเวจี  ทั้งยังมีดาบใหญ่สีม่วงที่ตกอยู่ในมือมู่ฝานจวินอีก


ตอนนี้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าบนตัวเหมียวอี้มีของประเภทนี้อยู่เท่าไรกันแน่ ในใจรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที


ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเกราะรบสีแดง ลำพังแค่ตัวเหมียวอี้อย่างเดียวก็ทำให้เขาอยากจะกำจัดทิ้งให้สำราญใจจะแย่อยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่เคยหาโอกาสเหมาะพบก็เท่านั้นเอง เขาหันกลับมาถามว่า “คนที่ส่งข่าวกลับมาเชื่อถือได้หรือเปล่า?”


“เชื่อถือได้ค่ะ! เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับถ่ายทอดวิชาโดยตรงจากเซี่ยงไป่ถิง ศิษย์เองก็รู้จัก ยินดีจะร่วมทางไปกับท่านปราชญ์!” เหมียวจวินอี๋ตอบ


“ไอ้เหมียวจัญไร!” เฟิงเป่ยเฉินแสยะยิ้ม บีบแผ่นหยกจนแตกเป็นผุยผง แล้วโบกมือบอกว่า “ไม่ต้องหรอก ถ้าคนมากกลับจะสะดุดตา ถ้าไปยั่วแหย่พวกมู่ฝานจวินขึ้นมา พาเจ้าไปด้วยกลับจะเป็นภาระ”


ฉินซีกำลังตัดแต่งกิ่งไม้อย่างสงบใจโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา พอได้ยินคำว่า ‘ไอ้เหมียวจัญไร’ กรรไกรในมือก็ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ตัดแต่งกิ่งไม้ต่อไปอย่างสุขุม นิสัยเย็นชาถึงขั้นพบเหตุการณ์ผิดปกตอแล้วยังนิ่งได้ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเคยชินแล้ว


เฟิงเป่ยเฉินไม่พูดพร่ำทำเพล ขณะที่หันตัวกำลังจะจากไป เสียงที่เรียบเฉยของฉินซีก็ดังมา “อยู่เป็นเพื่อนข้าสักพักทำให้ท่านทนไม่ไหวขนาดนี้เชียวหรือ?”


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เฟิงเป่ยเฉินก็หยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมองมา ผู้หญิงคนนี้เย็นชากับเขามากี่ปีแล้ว กี่ปีแล้วที่ไม่ได้ยินผู้หญิงคนนี้พูดกับเขาแบบนี้ ชั่วพริบตาเดียวทำให้เขารู้สึกว่านางยังมีความรักความห่วงใยให้เขาอยู่บ้างนิดหน่อย ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของนางจะยังเรียบนิ่งก็ตาม


รอยยิ้มที่พิเศษปรากฏบนใบหน้าเฟิงเป่ยเฉิน เขาเดินกลับเข้ามาอีก ยื่นมือไปโอบเอวของฉินซีเบาๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ฮูหยินกล่าวเกินไปแล้ว การได้อยู่กับฮูหยินถือเป็นเกียรติของข้า เพียงแต่มีธุระสำคัญต้องไปจัดการสักหน่อย เดี๋ยวรอข้ากลับมา ข้าจะชดเชยให้ฮูหยินอย่างดีเลย”


เหมียวจวินอี๋ในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ เรียกได้ว่าไม่ค่อยพบเห็นท่าทางแบบนี้ของเฟิงเป่ยเฉิน เวลาที่เป็นการเป็นงาน แต่ไหนแต่ไรมาเฟิงเป่ยเฉินก็ไม่เคยมีไมตรีจิตอะไรเลย ไม่เคยมีสถานการณ์ที่ถ่วงเรื่องสำคัญเอาไว้เพื่อมายิ้มปลอบโยนผู้หญิงแบบนี้ ทำให้นางมองฉินซีด้วยแววตาที่อธิบายความรู้สึกไม่ถูก


ฉินซีทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเฟิงเป่ยเฉิน กล่าวเสียงเรียบว่า “มีเรื่องอะไรพาข้าไปด้วยเถอะ”


“เอ่อ…” เฟิงเป่ยเฉินลำบากใจนิดหน่อย ไม่ง่ายเลยที่ผู้หญิงคนนี้จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอไปกับเขา ยามปกติเป็นเขาที่ดึงนางไปด้วยกัน ถ้าหากพูดปฏิเสธไป ก็จะเป็นการขัดขวางผู้หญิงที่ไม่ง่ายเลยกว่าจะเอ่ยปากสักครั้ง แบบนั้นเกรงว่าเขาจะต้องเห็นใบหน้าที่เย็นชาของนางไปอีกหลายปี แต่ก็ไม่สะดวกจะพานางไปด้วยจริงๆ จึงส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ฮูหยิน ครั้งนี้ข้าต้องไปอาณาเขตของมู่ฝานจวิน ดีไม่ดีอาจจะเกิดการปะทะกัน เจ้าไปด้วยเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยกับเจ้า”


“มีท่านอยู่ด้วย ข้าจำเป็นต้องกลัวด้วยหรือ?” ฉินซีกล่าวเสียงเรียบ


“…” ประโยคนี้อุดปากจนเฟิงเป่ยเฉินพูดไม่ออก ถ้าจะให้บอกว่าเขาไม่มีความสามารถที่จะปกป้องเมียตัวเอง นั่นก็ทำลายความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเขาเกินไปแล้ว จะดีจะร้ายก็ยังเป็นหนึ่งในหกปราชญ์ผู้สง่าผ่าเผย ไม่ได้มีดีแค่ชื่อ ถึงแม้จะปกป้องฮูหยินคนแรกของตัวเองไม่ได้ก็ตาม


“ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ เก็บข้าไว้ในกระเป๋าสัตว์ของท่านก็ได้ ไปกันเถอะค่ะ!” เมื่อวางกรรไกรในมือลงเบาๆ ฉินซีก็ทำท่าเหมือนจะไปทันทีโดยไม่ยอมให้ปฏิเสธ


“เหอะๆ!” เฟิงเป่ยเฉินส่ายหน้าหัวเราะอย่างจนใจ คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ถ้าเกิดเรื่องขึ้นแค่เก็บนางเข้ากระเป๋าสัตว์ก็สิ้นเรื่องแล้ว เขาจึงจูงมือนาง แล้วหันมาบอกเหมียวจวินอี๋ว่า “อินทรีเทพ อินทรีเทพที่เซี่ยงไป่ถิงใช้ติดต่อกับลูกศิษย์ของเขา!”


ทั้งสามเหาะออกจากนภาอู๋เลี่ยงด้วยกัน เร่งเดินทางสู่สำนักงามวิจิตร


เฟิงเป่ยเฉินและฮูหยินไม่ได้เข้าสำนักงามวิจิตร แต่รออยู่ด้านนอกในจุดที่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ ให้เหมียวจวินอี๋กลับไปคนเดียวเพื่อนำอินทรีเทพมาจากเซี่ยงไป่ถิง แล้วกลับมาส่งต่อให้เฟิงเป่ยเฉิน จากนั้นนางก็มองส่งเฟิงเป่ยเฉินพาฉินซีเร่งเหาะผ่านฟ้าไปอย่างรวดเร็ว


“ทำไมเหาะเร็วขนาดนี้? ช้าสักหน่อยเพื่อชื่นชมทิวทัศน์ตามรายทางไม่ได้หรือคะ?”


เมฆลมลอยผ่านหู ร่นถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ฉินซีที่ถูกจูงให้เหาะไปด้วยกันเอ่ยถาม


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเหาะไปกับเฟิงเป่ยเฉิน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพานางเหาะด้วยความเร็วสูงขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังเร่งทำเวลา


“วันนี้ฮูหยินเหมือนจะมีอารมณ์สุนทรีย์เป็นพิเศษ แต่ข้ามีธุระต้องไปให้ทันเวลาจริงๆ เดี๋ยวตอนหลับข้าค่อยพาชื่นชมอย่างช้าๆ ก็ยังไม่สาย” เฟิงเป่ยเฉินยิ้มตอบ


ที่จริงในใจกลับค่อนข้างร้อนรน ดูจากวันที่อินทรีเทพส่งข่าวมา นับจากวันที่พบเบาะแสของเหมียวอี้ กว่าจะมาถึงทางนี้ก็ผ่านไปครึ่งเดือนแล้วอินทรีเทพบินช้าเกินไปสำหรับเขา เวลาผ่านไปแล้วครึ่งเดือน เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหมียวอี้ยังอยู่ในขอบเขตการสะกดรอยตามหรือไม่


ความเร็วของอินทรีเทพย่อมเทียบเฟิงเป่ยเฉินไม่ติดอยู่แล้ว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวัน เฟิงเป่ยเฉินก็มาถึงบนฟ้าเหนือเมืองโบราณฉางเฟิง เขามองเมืองโบราณที่ถูกทำลายพังข้างล่างแวบหนึ่ง เป็นการพิสูจน์ข่าวที่รายงานมาแล้วจริงๆ


“แค่ซากเมืองพังควรค่าให้ท่านชื่นชมด้วยหรือคะ?” ฉินซีที่ลอยอยู่บนฟ้าหันหน้ามาถาม ที่จริงนางอยากจะหยั่งเชิงเจตนาของเฟิงเป่ยเฉินในการมาครั้งนี้ ตลอดทางที่มาไม่ได้คอยถามแค่ครั้งเดียว


เฟิงเป่ยเฉินเพียงส่ายหน้า ไม่ได้ตอบอะไร ดึงนางเหาะไปข้างหน้าต่อด้วยความเร็วสูง


ผ่านไปครู่เดียว ทั้งสองก็มาใกล้ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำที่ไม่นับว่าอยู่ไกลเกินไป เฟิงเป่ยเฉินปล่อยอินทรีเทพของกานเจ๋อกวงออกมา ให้มันไปหากานเจ๋อกวง


พออินทรีเทพขยับตัวบิน เขาก็เหาะไล่ตามมันไปทันที หลังจากเล็งทิศทางที่อินทรีเทพบินไปอย่างแม่นยำแล้ว เขาก็จับอินทรีเทพพาเหาะไปด้วยกันเพื่อประหยัดเวลา ทำแบบนี้เพื่อแยกแยะทิศทางการติดตามซ้ำอีกครั้ง


ในเวลานี้ หลังจากกึ่งเดินทางกึ่งหยุดพักไปตามริมแม่น้ำ จนกระทั่งเรือที่สะกดรอยตามลอยไปไกลแล้ว กานเจ๋อกวงก็ดึงฟางซู่ซู่ให้สะกดรอยตามโดยอาศัยสภาพพื้นที่อำพรางตัว คอยตามดูอยู่ห่างๆ ตลอด


“ใกล้จะออกทะเลแล้ว อินทรีเทพคงจะถึงสำนักงามวิจิตรแล้ว ลองคำนวณเวลาดู คนที่ถูกส่งมาน่าจะถึงภายในสองวันนี้แล้วสิ?” ขณะที่สะกดรอยตาม ปากกานเจ๋อกวงก็พึมพำนับเวลาไม่หยุด


ไม่รู้ว่าเพราะอะไร คำพูดนี้ทำให้ฟางซู่ซู่รู้สึกว้าวุ่นใจอย่างแปลกประหลาด จู่ๆ ก็หยุดแล้วบอกว่า “พี่ใหญ่กาน นี่คือเรื่องของสำนักงามวิจิตรของพวกท่าน คงไม่ดีที่คนนอกอย่างข้าจะเข้าไปเกี่ยวข้อง ข้าไม่ตามต่อแล้ว”


กานเจ๋อกวงหยุดเดินตาม แล้วมองนางอย่างงุนงง “เจ้าอยากเข้าสำนักงามวิจิตรมาตลอดไม่ใช่เหรอ?”


ฟางซู่ซู่ตอบว่า “ท่านทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถ้าคนนอกอย่างข้าตามไปด้วย หากมีอะไรพลาดพลั้งเสียหายขึ้นมา เกรงว่าจะทำให้คนเข้าใจผิด”


กานเจ๋อกวงเงียบงันพลางครุ่นคิด รู้สึกว่าที่นางพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน หากเกิดเรื่องขึ้นมาดีไม่ดีจะทำให้ฟางซู่ซู่ลำบากไปด้วย จึงหันไปมองทิศทางที่เรือแล่น แล้วพยักหน้าบอกว่า “ก็ได้! งั้นเจ้ากลับไปก่อน เดี๋ยวข้าค่อยไปหาเจ้าทีหลัง”


“พี่ใหญ่กานรักษาตัวด้วย!” ฟางซู่ซู่กุมหมัดคารวะ


ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสุภาพเกรงใจอะไรกันมาก กานเจ๋อกวงกุมหมัดคารวะ แล้วสะกดรอยตามไปข้างหน้าต่อ


จนกระทั่งเขาเดินไปไกลแล้ว ฟางซู่ซู่ก็มองไปรอบๆ แวบหนึ่ง จู่ๆ ก็ถลันตัวไปที่ริมแม่น้ำ เกิดเสียงดังจ๋อม นางดำลงไปในแม่น้ำ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ไล่ตามไปยังทิศทางเรือด้วยความเร็วสูง


จนกระทั่งเรือมาถึงทางออกทะเล นางถึงได้ตามทัน นางไม่ได้โผล่ขึ้นมาทางหางเรือ เพราะกลัวว่ากานเจ๋อกวงที่ตามมาไกลๆ จะสังเกตเห็น นางไล่ตามไปที่หัวเรือแทน


ตอนที่นางเตรียมจะโผล่พ้นน้ำเพื่อกระโดดขึ้นเรือ จู่ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีพลังอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งคีบตัวนางเอาไว้ ขณะกำลังตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไม่ถูก ภาพตรงหน้าก็ทำให้ตาลาย นางถูกดึงขึ้นจากผิวน้ำแล้ว ร่างตกลงบนดาดฟ้าตรงหัวเรือ ยังไม่ทันได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็โดนคนบีบคอไว้เสียแล้ว


คนที่บีบคอนางไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเหมียวอี้นั่นเอง แขนสองข้างของเขาเพิ่งงอกออกมาได้ไม่ถึงสองวัน ยังอยู่ในช่วงปรับตัวให้กลับสู่สภาพเดิม แต่อาศัยวรยุทธ์อย่างเขา เมื่อมีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ดำน้ำผ่านใต้ท้องเรือของเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่สังเกตเห็น จึงจับตัวฟางซู่ซู่ได้อย่างง่ายดายราวกับเอามือล้วงไปหยิบของในกระเป๋า


ฉินเวยเวยเดินช้าๆ ออกจากห้องโดยสารเรือ เมื่อมาปรากฏตัวข้างหลังเหมียวอี้ นางก็ถามว่า “เจ้าเป็นใครกัน มาทำลับๆ ล่อๆ อยู่ใต้ท้องเรือ?”


ฟางซู่ซู่โดนบีบคอจนหน้าแดงก่ำและแทบจะขาดใจ นางตบที่แขนเหมียวอี้แล้วชี้ที่หน้าตัวเอง เหมือนกำลังถามว่า อย่าบอกนะว่าเจ้าจำข้าไม่ได้?


เหมียวอี้กำลังมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ รู้สึกเช่นกันว่านางหน้าคุ้นๆ เมื่อเห็นท่าทางแบบนี้ของนางก็ยิ่งเกิดภาพในความทรงจำ กอปรกับพบว่านางไม่ได้มีวรยุทธ์สูง ยากที่จะสร้างภัยคุกคามต่อเขาได้ เขาถึงได้ปล่อยนาง แล้วถามอย่างสงสัย “เหมือนพวกเราจะเคยเจอกันนะ เจ้าคือ?”


“แค่กๆ!” ฟางซู่ซู่นวดคอตัวเองพลางไอออกมา มองเขาแวบหนึ่งอย่างหงุดหงิด ในใจรู้สึกสับสนอย่างประหลาด เมื่อได้สัมผัสกับตัวว่าพลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งขนาดไหน เมื่อเปรียบเทียบกันนางก็พบว่าเขาอยู่บนฟ้า ส่วนตัวเองอยู่ใต้ดิน


“เมืองคล้อยบูรพา เจ้ากับข้าเคยขึ้นเรือล่องแม่น้ำด้วยกัน ฟางซู่ซู่ ไม่รู้ว่าเจ้ายังมีภาพติดอยู่ในความทรงจำบ้างหรือเปล่า?” นางถามอย่างมีอัธยาศัยตรงไปตรงมา


เหมียวอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เข้าใจกระจ่างในทันที นึกออกแล้ว เขาขานรับแล้วกุมหมัดทักทายด้วยรอยยิ้ม “เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว ที่แท้ก็เป็นแม่นางฟาง ไม่ทราบว่าแม่นางมาทำตัวลับๆ ล่อๆ เข้าใกล้แบบนี้ทำไม?”


“ตรงนี้ไม่ใช่ที่สำหรับคุยกัน ไปคุยในห้องโดยสารเรือเถอะ” นางกลัวกานเจ๋อกวงที่อยู่ข้างหลังจะสังเกตเห็น จึงเดินผ่านกลางสองคนนั้นเข้าไปในห้องโดยสารเรือ


เหมียวอี้กับฉินเวยเวยมองหน้ากันเลิกลั่ก แล้วหันตัวตามเข้าไปทันที


ตอนเดินถึงทางผ่านของห้องโดยสารเรือ ฟางซู่ซู่ก็หยุดฝีเท้าแล้วหันตัวมา “ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าเจี่ยเสียน หรือควรจะเรียกเจ้าว่าเหมียวอี้?”


เมื่อนางถามแบบนี้ เหมียวอี้ที่กำลังเหม่องงก็นึกขึ้นได้ถึงเรื่องชื่อปลอมในปีนั้น จึงเอามือลูบจมูกพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางอย่าถือสาเลย ตอนแรกแม่นางมาเข้าตีสนิทโดยไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย ข้าก็ต้องสงวนตัวบ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้ ที่แท้แม่นางก็รู้ถึงตัวตนของข้าแล้วนี่เอง เป็นเหมียวเองที่ไม่ระวัง”


ฟางซู่ซู่เองก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องนี้อีก ส่ายหน้ายอกว่า “เรื่องในอดีตไม่ต้องพูดถึงแล้ว พวกเจ้ารีบหนีไปเถอะ คนของนภาอู๋เลี่ยงอาจจะตามมาทันแล้ว”


ว่ากันตามจริง การที่จะปล่อยข่าวเรื่องนี้ให้เหมียวอี้รู้หรือไม่ นางเองก็คิดวนเวียนอยู่หลายวันมาก ถ้าจะบอกว่าไม่แค้นเหมียวอี้เลยสักนิดก็เป็นไปไม่ได้ ตอนที่ได้รู้ความจริงในวันนั้น นางถึงขั้นอยากจะฆ่าเหมียวอี้ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายนางก็ตัดสินใจจะบอกสักหน่อย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนิสัยหยิ่งในศักดิ์ศรีของนาง ถึงแม้จะรู้ว่าตัวเองกับเหมียวอี้แตกต่างกันมาก แต่นางก็คิดว่าทุกคนล้วนมีหนึ่งจมูกสองตาเหมือนกัน คนอื่นยังทำได้ แล้วทำไมนางจะทำไม่ได้ นางเชื่อว่าต้องมีสักวันที่นางจะเหนือกว่าเหมียวอี้ ไม่ใช่มาคอยด้อมๆ มองๆ คนอื่นฆ่าเหมียวอี้ตายแบบนี้ ไม่อย่างนั้นราคาที่นางสู้ฝ่าฝันมาหลายปีไปจะไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ? ขนาดนางยังรู้สึกว่าไม่คุ้มค่าแทนตัวเองเลย


เดินมาจนถึงวันนี้แล้ว นางไม่อยากละทิ้งเป้าหมายในการต่อสู้ฝ่าฟันของตัวเอง นางตัดสินใจจะตั้งเหมียวอี้ให้เป็นเป้าหมายที่ตัวเองต้องไล่ตามให้ทัน


เหมียวอี้กับฉินเวยเวยสบตากันอีกครั้ง แล้วเหมียวอี้ก็ถามอย่างฉงนใจว่า “แม่นางมีที่มาที่ไปอย่างไร รู้ได้อย่างรว่าคนของนภาอู๋เลี่ยงกำลังตามข้า? แล้วนภาอู๋เลี่ยงจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่?”


ฟางซู่ซู่ตอบว่า “เจ้าลืมแล้วเหรอว่าข้าเป็นคนที่ไหน? ข้ามาจากกวาดหลุมศพที่เมืองคล้อยบูรพา ระหว่างทางตอนผ่านเมืองฉางเฟิง…” นางเล่าเรื่องสะกดรอยตามให้ฟังรอบหนึ่ง


ฉินเวยเวยได้ยนิแล้วกัดริมฝีปาก พบว่าตัวเองประมาทเลินเล่อเกินไปแล้ว ขนาดโดนสะกดรอยตามมาครึ่งเดือนกว่ายังไม่สังเกตเห็นอะไรด้วยซ้ำ


เหมียวอี้ขมวดคิ้ว “ในเมื่อแม่นางฟางเป็นนักพรตของแดนอู๋เลี่ยง เหตุใดต้องตามมาปล่อยข่าวล่ะ?”


ฟางซู่ซู่เงียบไปคณู่หนึ่ง แล้วสุดท้ายก็จ้องตาเหมียวอี้ พร้อมกล่าวอย่างเนิบช้าว่า “ในปีนั้นตอนที่ข้าเป็นมนุษย์ ข้าเคยอยู่บนหอสูงแล้วโยนลูกกลมแพรปักเลือกเจ้าบ่าว บังเอิญว่าประมุขถ้ำคล้อยบรูพาเดินผ่านมาพอดี จึงรับลูกกลมแพรปักของจ้าได้ แต่กลับโยนทิ้งไปอย่างไม่ใส่ใจ”


เหมียวอี้ค่อยๆ ทำสายตาเหม่อค้าง ถ้าไม่พูดก็คงไม่รู้ แต่พอพูดถึงขึ้นมา ถึงอย่างไรการรับลูกกลมแพรปักก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลืมกันได้ง่ายๆ ขนาดนั้น จะมีสักกี่คนที่ในชีวิตจะได้เจอกับเรื่องแบบนี้ ย่อมต้องตราตรึงอยู่ในความทรงจำอยู่แล้ว


ฉินเวยเวยมองไปที่เหมียวอี้ด้วยความสงสัย


“อย่ามองข้าอย่างนั้น” ท่านขุนนางเหมียวโบกไม้โบกมือ แล้วยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “ในความทรงจำเหมือนจะมีเรื่องแบบนี้จริงๆ ที่แท้ก็เป็นแม่นางฟางนี่เอง ตอนนั้นข้าตามกลุ่มคนไปดูเอาสนุก ไม่ได้มีเจตนาจะดูหมิ่นเลย”


ฟางซู่ซู่บอกอีกว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แดนอู๋เลี่ยง ข้ากับพวกศิษย์พี่กำลังอาบน้ำอยู่ด้วยกัน แต่มีอาชามังกรอ้วนตัวหนึ่งแอบมาขโมยเสื้อผ้าของพวกเราไป ตอนหลังอาชามังกรตัวนั้นก็พาชายหนุ่มคนหนึ่งกับตาแก่มอมแมมคนหนึ่งมาดูพวกเราอาบน้ำอีก พวกเขาได้เห็นพวกเราตอนไม่ได้ใส่เสื้อผ้าไปรอบหนึ่ง ไม่ทราบว่าเจ้ารู้จักสองคนนั้นรึเปล่า?”


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)