เทพปีศาจหวนคืน 1089-1091

 เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1089 ปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง


แปลโดย iPAT 


 


บิน!


 


วานรกลืนกินเปลวเพลิงทะยานร่างออกจากคลื่นสัตว์อสูรท่ามกลางกลุ่มฝุ่นควันและเข้าใกล้ซากศพของสัตว์อสูรแรกกำเนิด


 


พิจารณาจากรูปลักษณ์ มันเป็นซากศพช้างตัวหนึ่ง


 


ผิวของช้างตัวนี้เป็นสีฟ้าเทาที่มีเลือดแห้งกรังติดอยู่บนบาดแผล กระดูกสีขาวทะลุออกมาจากชั้นผิวขณะที่ร่างกายของมันเริ่มเน่าเปื่อย ดูเหมือนมันจะผ่านการต่อสู้ที่รุนแรงมาก่อนเสียชีวิต


 


ฟางหยวนเกิดคำถามขึ้นในใจ ‘สิ่งใดที่สามารถสังหารสัตว์อสูรแรกกำเนิดตัวนี้?’


 


ตอนนี้เขาอยู่ใกล้จุดศูนย์กลางของไท่ชิว


 


นี่เป็นหนึ่งในสิบเขตต้องห้ามของภาคเหนือ มันอันตรายมากและเต็มไปด้วยสิ่งที่มนุษย์ไม่รู้จัก สัตว์อสูรแรกกำเนิดที่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ทำให้กองกำลังใหญ่ต่างปวดศีรษะ


 


หลังจากทั้งหมดสัตว์อสูรแรกกำเนิดมีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับผู้อมตะระดับแปด


 


ด้านกองกำลังใหญ่ต่างๆ มีเพียงไม่กี่กองกำลังที่มีผู้อมตะระดับแปด


 


ในภาคเหนือมีผู้อมตะระดับแปดที่เป็นที่รู้จักในวงกว้างเพียงห้าคน


 


กระทั่งพวกเขาจะเข้ามาในไท่ชิว พวกเขาก็ยังต้องระวังตัว นี่เป็นเหตุผลที่กองกำลังใหญ่ของภาคเหนือปฏิเสธที่จะยุ่งเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้


 


ฟางหยวนเข้าไปใกล้ซากศพของช้างแรกกำเนิดมากขึ้น


 


เปรียบเทียบกับซากศพที่ใหญ่โต ฟางหยวนเหมือนแมลงวันตัวหนึ่งเท่านั้น


 


ที่นี่ปราศจากลม แต่ฟางหยวนกลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น


 


คลื่นพลังงานอันไร้รูปลักษณ์พยายามขับไล่ฟางหยวนออกไป นี่ทำให้เขารู้สึกราวกับกำลังว่ายทวนกระแสน้ำ


 


หลังจากชั่วครู่ฟางหยวนเริ่มได้ยินเสียงเหมือนคลื่นน้ำ


 


‘ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งวารี!’ หัวใจของฟางหยวนสั่นสะท้านขึ้นเล็กน้อย


 


โดยไม่จำเป็นต้องคาดเดา ช้างแรกกำเนิดตัวนี้ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตบนเส้นทางแห่งวารีอย่างแน่นอน


 


แม้มันจะตายไปแล้ว แต่ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งวารียังอยู่ในกระดูกและผิวหนังของมันและส่งผลกระทบต่อพื้นที่บริเวณนี้ตลอดเวลา


 


ฟางหยวนมองช้างแรกกำเนิดตัวนี้และคิดไปถึงช่วงเวลาแห่งภัยพิบัติของตงฟางชางฟาน


 


ย้อนกลับไปซากศพค้างคาวมรณะแรกกำเนิดที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยตงฟางชางฟานทำให้ฟางหยวนรู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นในเวลานี้


 


ภายในค่ายกลวิญญาณของโลกใต้บาดาล ฟางหยวนได้รับทรัพยากรอมตะที่มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจำนวนมาก มันกระทั่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


 


แต่ทรัพยากรอมตะเหล่านั้นมีขนาดเล็ก ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของพวกมันจึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่อยู่บนร่างกายของช้างแรกกำเนิดตัวนี้


 


สิ่งสำคัญที่สุดคือสัตว์อสูรแรกกำเนิดตัวนี้พึ่งตาย ดังนั้นฟางหยวนจึงรู้สึกถึงความยากลำบากในการเข้าใกล้มัน


 


‘เมื่อสัตว์อสูรแรกกำเนิดอาศัยอยู่ในสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเป็นเวลานาน พลังงานแห่งเต๋าของพวกมันจะค่อยๆเปลี่ยนสภาพแวดล้อม’


 


ฟางหยวนคิดขณะพยายามเข้าใกล้ซากศพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้


 


เนื่องจากร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งวารี มันจึงทำให้พื้นที่รอบๆกลายเป็นเงียบสงบและไร้สัญญาณชีวิต


 


‘เมื่อพื้นที่บริเวณนี้เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ มันจะเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ ทะเลสาบจะก่อตัวขึ้น อาจมีพืชเติบโตและมีสัตว์ป่าเข้ามาอาศัยอยู่รอบๆ’


 


ตอนนี้พื้นที่บริเวณนี้ยังไม่เสถียร ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจากช้างแรกกำเนิดตัวนี้กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ


 


กระบวนการนี้อาจใช้เวลาหลายสิบหลายร้อยหรืออาจกระทั่งหลายพันปี ทุกอย่างขึ้นอยู่กับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าที่เหลืออยู่ในซากศพของช้างแรกกำเนิด


 


พื้นที่รอบๆจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจนกว่าร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนซากศพและสภาพแวดล้อมเกิดความสมดุล


 


ทันใดนั้นฟางหยวนพลันตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของคลื่นสัตว์อสูรที่อยู่รอบๆอีกครั้ง ตอนนี้พวกมันกำลังวิ่งชนกันและสร้างความปั่นป่วนขึ้นในระยะไกล


 


ฟางหยวนถอนหายใจและคิด ‘ดูเหมือนข้อมูลของนิกายเงาจะถูกต้อง แม้เจตจำนงสวรรค์จะสามารถส่งอิทธิพลต่อความคิดของสัตว์อสูรได้โดยง่าย แต่ผลกระทบของมันจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น กระทั่งเจตจำนงสวรรค์จะค้นพบข้า มันก็ไม่สามารถควบคุมคลื่นสัตว์อสูรให้พุ่งเข้ามาในอาณาเขตของซากศพสัตว์อสูรแรกกำเนิด ที่นี่ข้าปลอดภัย!’


 


ฟางหยวนหยุดเคลื่อนไหว


 


เขามองไปรอบๆและเงยศีรษะขึ้น


 


นี่เป็นตำแหน่งที่สมบูรณ์แบบมาก มันไม่ใกล้และไม่ไกลจากซากศพช้างแรกกำเนิดมากเกินไป


 


สิ่งสำคัญที่สุดคือปฏิกิริยาตอบสนองจากวิญญาณของฟางหยวน


 


ก่อนออกเดินทาง จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามอบชุดวิญญาณจัดตั้งค่ายกลวิญญาณให้กับเขา วิญญาณเหล่านี้จะตอบสนองเมื่อพบตำแหน่งที่เหมาะสมในการจัดตั้งค่ายกลวิญญาณเคลื่อนย้ายสถานที่ พวกมันจะส่งเสียงเตือนผู้อมตะ


 


จัดตั้งค่ายกลวิญญาณ!


 


ฟางหยวนยืนนิ่งและส่งพลังงานอมตะให้กับวิญญาณของเขา


 


หลังจากนั้นวิญญาณอมตะจึงถูกกระตุ้นใช้งาน


 


วิญญาณบางดวงบินออกมาจากมิติช่องว่างของเขาขณะที่บางดวงเต้นรำอยู่ภายใน


 


แสงสว่างส่องประกายขึ้นและสร้างเป็นฉากที่งดงาม


 


ระหว่างกระบวนการนี้ฟางหยวนต้องใช้สมาธิขั้นสูงสุด ดังนั้นเขาจึงต้องยกเลิกท่าไม้ตายอมตะเปลี่ยนรูปลักษณ์และเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง


 


เจตจำนงสวรรค์รับรู้ถึงสิ่งนี้และทำให้ท้องฟ้าส่งเสียงคำราม


 


แต่มันไม่สามารถทำสิ่งใด


 


เจตจำนงสวรรค์สามารถเคลื่อนไหวด้วยตัวของมันเองเพียงเมื่อผู้อมตะเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ ฟางหยวนไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น เขาไม่ได้หลอมรวมวิญญาณอมตะด้วยวิธีการของมนุษย์ขนเช่นกัน


 


เกลียวแสงเจ็ดสีหมุนวนรอบตัวฟางหยวนและค่อยๆขยายวงกว้างขึ้น


 


วิญญาณจำนวนมากเริ่มเรียงตัวตามตำแหน่ง บางดวงมุดลงไปใต้ดิน บางคนนอนอยู่บนพื้น บางดวงลอยอยู่กลางอากาศราวกับภูตผี และบางดวงผสานตัวเข้ากับห้วงมิติ


 


ด้วยความตั้งใจของฟางหยวน วิญญาณอมตะดวงหนึ่งบินเข้าสู่ตำแหน่งของค่ายกลวิญญาณ


 


วิญญาณวางค่ายกลระดับหก!


 


มันลอยอยู่เหนือศีรษะของฟางหยวนและรวบรวมพลังอำนาจของวิญญาณจำนวนมากที่อยู่รอบๆ


 


การจัดตั้งค่ายกลวิญญาณครั้งนี้ใช้เวลาถึงหกชั่วโมง


 


เมื่อดวงอาทิตย์ตกดิน ฟางหยวนเก็บวิญญาณกลับไป


 


วิญญาณระดับมนุษย์หลายดวงถูกทิ้งไว้ที่นี่ขณะที่วิญญาณอมตะถูกเรียกคืนทั้งหมด ค่ายกลวิญญาณเคลื่อนย้ายสถานที่ถูกซ่อนไว้ กระทั่งฟางหยวนก็ยังไม่พบร่องรอยของมัน


 


‘สำเร็จในที่สุด’ ฟางหยวนถอนหายใจ


 


ด้วยการจัดตั้งค่ายกลวิญญาณ เขาจะได้รับผลประโยชน์ครั้งใหญ่


 


กระทั่งความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของเขาจะอยู่ในระดับทั่วไป เขาก็ยังมีความเข้าใจอยู่มาก


 


‘หากเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลที่มีความสำเร็จระดับปรมาจารย์เอก พวกเขาจะสามารถใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของสวรรค์พิภพเพื่อจัดตั้งค่ายกล ค่ายกลวิญญาณนี้คล้ายคลึงกับวิธีการนั้น มันทำให้ข้าคิดถึงตัวตนที่ยิ่งใหญ่ในอดีต’


 


บุคคลผู้นี้ถูกเรียกว่าท่านหญิงจิ่วฮวา นางเป็นปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกลที่โด่งดังในประวัติศาสตร์


 


วิธีการจัดตั้งค่ายกลของนางสร้างแสงหลากหลายสีสันและดูงดงามมาก


 


สิ่งสำคัญที่สุดนางมีชีวิตอยู่ในยุคเดียวกันกับบรรพชนผมยาว หากกล่าวให้ถูกต้องมากกว่านั้นก็คือบรรพชนผมยาวมีชีวิตอยู่นานเกินไป


 


‘บางทีค่ายกลวิญญาณเคลื่อนย้ายสถานที่นี้อาจเกิดจากการทำธุรกรรมระหว่างบรรพชนผมยาวกับท่านหญิงจิ่วฮวา’ ฟางหยวนเดา


 


ค่ายกลวิญญาณนี้เสร็จสมบูรณ์แล้ว


 


ฟางหยวนลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่เขาจะกระตุ้นใช้งานมัน


 


โดยนิสัย เขาต้องตรวจสอบค่ายกลวิญญาณนี้ก่อนใช้งาน


 


แต่เขาไม่มีความรู้ด้านค่ายกลวิญญาณมากนักขณะที่ค่ายกลวิญญาณนี้ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกล มันยิ่งใหญ่และซับซ้อนเกินไป ฟางหยวนไม่สามารถตรวจสอบข้อบกพร่องใดๆของมัน


 


ค่ายกลวิญญาณเริ่มทำงานอย่างช้าๆ ไม่กี่นาทีต่อมา ขั้นตอนแรกก็เสร็จสิ้น


 


แสงสว่างส่องประกายขึ้นโดยมีฟางหยวนเป็นจุดศูนย์กลาง เขาได้ยินเสียงกระแสน้ำไหลเชี่ยวพร้อมกับแรงกดดันที่หายไป


 


‘ค่ายกลวิญญาณนี้พึ่งพาร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจากซากศพของสัตว์อสูรแรกกำเนิด ไม่แปลกใจเลยที่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาต้องการเลือกสถานที่เช่นนี้เพื่อจัดตั้งค่ายกลวิญญาณ’


 


‘ค่ายกลวิญญาณที่สามารถขนส่งผู้อมตะหาได้ยาก กระทั่งค่ายกลวิญญาณนี้จะทำได้ มันก็ยังใช้เวลาค่อนข้างนาน มันไม่สามารถใช้หลบหนีได้ในเวลาอันรวดเร็ว’


 


ฟางหยวนประเมินขณะที่เขากระตุ้นใช้วิญญาณอมตะที่อยู่ในมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


พลังอำนาจของวิญญาณอมตะทำให้ร่างกายของฟางหยวนส่องประกายขึ้น


 


พวกมันควบแน่นและกลายเป็นบอลแสงทรงกลม


 


ฟางหยวนรู้สึกถึงแรงกดดันอันเข้มข้น


 


“บึม!”


 


บอลแสงระเบิดขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับร่างของฟางหยวนที่อันตรธานหายไปในพริบตา


 


ครู่ต่อมาสถานที่แห่งนี้จึงกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้งราวกับไม่เคยเกิดขึ้นใดขึ้นทั้งสิ้น


 


‘ข้ากลับมาแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาแล้วงั้นหรือ?’ ฟางหยวนตกใจ สายตาของเขายังพร่าเลือนแต่เขารู้สึกถึงพื้นแข็ง หลังจากชั่วครู่เขาจึงสามารถมองเห็นแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาอย่างชัดเจน


 


เขายืนอยู่กลางค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่


 


เขากลับมาในตำแหน่งเดิมเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่เขาใช้ค่ายกลวิญญาณเคลื่อนย้ายสถานที่เดินทางมาจากหน้าผาเฟิงโป้


 


ฟางหยวนเกิดความเข้าใจบางอย่าง ‘ดูเหมือนที่นี่จะเป็นค่ายกลหลัก ค่ายกลวิญญาณที่ไท่ชิว หน้าผาเฟิงโป้ และที่อื่นๆต่างเป็นค่ายกลย่อยของมัน ในการสร้างค่ายกลวิญญาณขนาดใหญ่ วิญญาณอมตะคือจุดสำคัญ’


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาปรากฎตัวขึ้น


 


เขาหัวเราะเสียงดัง “ฟางหยวน เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1090 ท่องรอบทิศ


แปลโดย iPAT 


 


ภารกิจสำรวจไท่ชิวจบลงด้วยความสำเร็จ ฟางหยวนสามารถจัดตั้งค่ายกลวิญญาณเคลื่อนย้ายสถานที่


 


จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยามอบรางวัลหกร้อยแต้มผลงานให้กับฟางหยวน


 


ด้วยแต้มผลงานเหล่านี้ ฟางหยวนสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆมากมาย สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุดคือเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ในคลังสมบัติของนิกายหลางหยา


 


นิกายหลางหยามีสุดยอดมรดกที่แท้จริงสามอย่าง พวกมันล้วนมาจากตัวตนในตำนานไม่ว่าจะเป็นเทพอมตะตะวันเดือด เทพปีศาจปล้นสวรรค์ และบรรพชนผมยาว ท่ามกลางมรดกเหล่านี้ไม่มีมรดกบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง แต่นิกายหลางหยามีเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะจำนวนมากรวมถึงเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง


 


แต่ฟางหยวนไม่รีบร้อนใช้แต้มผลงานแลกเปลี่ยนกับพวกมัน


 


ตอนนี้เขาไม่มีเวลาแลกเปลี่ยนเคล็ดลับการหลอมรวมวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงหรือหลอมรวมวิญญาณอมตะใดๆ


 


ในการเดินทางไปไท่ชิว ฟางหยวนตระหนักถึงสถานการณ์ของตนเองอย่างลึกซึ้ง


 


แม้เขาจะประสบความสำเร็จในการจัดตั้งค่ายกลวิญญาณเคลื่อนย้ายสถานที่และสามารถเดินทางกลับแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยาได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องเดินทางไกล แต่หากเขาต้องกลับไปอีกครั้ง เขาจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย


 


‘พลังอำนาจของวิญญาณอมตะขีดจำกัดความมืดลดลง มันสามารถใช้ได้เพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เจตจำนงสวรรค์สามารถคิด ก่อนหน้าข้าประเมินมันต่ำเกินไป ในช่วงเวลาที่ข้าจัดตั้งค่ายกลวิญญาณ ข้าไม่สามารถปกปิดตัวตน เจตจำนงสวรรค์รู้เรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นมันจึงพยายามส่งอิทธิพลต่อความคิดของสัตว์อสูรที่อยู่รอบๆ’


 


ตั้งแต่เจตจำนงสวรรค์พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อกำจัดฟางหยวน มันย่อมต้องวางกับดักทุกชนิดรวมถึงความตายของช้างแรกกำเนิดตัวนั้น


 


มันจะดีที่สุดที่ฟางหยวนจะไม่กลับไป


 


แต่กระทั่งเขาจะไม่ต้องการไป นิกายหลางหยาก็ต้องส่งเขาไปที่นั่น


 


‘จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาได้รับคำแนะนำจากข้า เขาจะส่งผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนไปฝึกฝนอยู่ที่นั่น’


 


‘การบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องพึ่งพาวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง และในการหลอมรวมวิญญาณอมตะ พวกเขาต้องมีทรัพยากรอมตะ’


 


‘นิกายหลางหยามีคลังสมบัติที่เต็มไปด้วยทรัพยากรอมตะ แต่จิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาคนก่อนควบคุมแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยามาอย่างยาวนานและมุ่งมั่นกับการหลอมรวมวิญญาณ ดังนั้นสมบัติส่วนใหญ่ย่อมเป็นทรัพยากรอมตะระดับแปดหรือกึ่งระดับเก้า สำหรับทรัพยากรอมตะระดับหกหรือเจ็ด พวกมันอาจมีไม่มาก’


 


‘ดังนั้นจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาจะสร้างภารกิจรวบรวมทรัพยากรอมตะและส่งผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนไปที่ไท่ชิวเพื่อสังหารสัตว์อสูรเดียวดาย ด้วยวิธีนี้พวกเขาจะสามารถหลอมรวมวิญญาณอมตะขณะเดียวกันผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนก็สามารถฝึกฝนและยกระดับพลังการต่อสู้ไปพร้อมกัน จุดนี้เป็นเรื่องที่น่ากังวล’


 


‘เนื่องจากเจตจำนงสวรรค์สามารถคิด ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนเหล่านี้จะกลายเป็นเหยื่อเพื่อล่อลวงให้ข้าออกไป’


 


ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายเย็นเยียบ


 


นิกายหลางหยาแข็งแกร่งกว่าเขาและในเวลานี้เขากลายเป็นตัวหมากเบี้ยของนิกาย


 


กระทั่งฟางหยวนจะวางแผนต่อต้านนิกายหลางหยา เขาก็ยังต้องคิดถึงอนาคตของนิกายและไม่สามารถฝ่าฝืนข้อตกลงพันธมิตร


 


‘นี่คือข้อได้เปรียบของการมีข้อมูลที่มากกว่าอีกฝ่าย’ ฟางหยวนถอนหายใจและตระหนักถึงคุณค่าของข้อมูลอีกครั้ง


 


ผู้ใช้วิญญาณแต่ละเส้นทางมีความชำนาญเฉพาะด้านของตนเอง


 


เส้นทางแห่งข้อมูลก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น


 


หากใช้งานมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เส้นทางแห่งข้อมูลจะทำให้ผู้ใช้วิญญาณมีข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่เหนือเส้นทางสายอื่น


 


แน่นอนว่าข้อได้เปรียบด้านข้อมูลของฟางหยวนได้รับมาจากการทำธุรกรรมกับนิกายเงา


 


ขณะที่นิกายเงาต้องจ่ายราคามหาศาลเพื่อให้ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเจตจำนงสวรรค์และนิกายหลางหยา


 


‘ข้ายังขาดวิธีบนเส้นทางแห่งข้อมูล จากนี้ข้าต้องพยายามแก้ไขมัน!’ ฟางหยวนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น


 


ผู้ใช้วิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลมีทักษะในการรวบรวมข่าวกรองและสร้างข้อตกลงพันธมิตร พวกเขามักเป็นผู้ให้บริการด้านข้อมูลแก่ผู้คน สิ่งนี้อาจเหมือนไม่สำคัญสำหรับการบ่มเพาะ แต่คนผู้หนึ่งอาจได้รับประโยชน์มหาศาลจากมัน


 


ภาคกลาง ถ้ำนรกใต้พิภพ


 


เกิดเสียงดังขึ้นที่นี่


 


“พบแล้ว!”


 


“พวกเราค้นหามามากกว่าสิบครั้ง พวกเขาซ่อนตัวดีเกินไป”


 


ผู้อมตะจากนิกายจิตวิญญาณบรรพกาลตอบสนองด้วยการทะยานร่างออกไป


 


อิงอู๋เซี่ยพ่นเลือดออกมาจากปาก เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส กระทั่งร่างกายยังขาดหายไปครึ่งหนึ่ง


 


“เพียงผีดิบอมตะผู้หนึ่ง…” ผู้อมตะนิกายจิตวิญญาณบรรพกาลลอยอยู่กลางอากาศและเย้ยหยันอิงอู๋เซี่ย


 


“จับพวกเขาอย่างมีชีวิต!”


 


“แม้จะเป็นผีดิบอมตะ เขาก็ยังมีวิธีซ่อนตัวที่น่าอัศจรรย์ พวกเราต้องสอบปากคำเขา!”


 


ผู้อมตะอีกสองคนตะโกนและเพิ่มความเร็วขึ้น


 


อิงอู๋เซี่ยหัวเราะ “พวกเจ้าต้องการวิธีซ่อนตัวงั้นหรือ? แน่นอนว่าข้าสามารถบอกพวกเจ้าเดี๋ยวนี้!”


 


‘โอ้ ไม่!’


 


การแสดงออกของผู้อมตะนิกายจิตวิญญาณบรรพกาลทั้งสามเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาตระหนักถึงแผนการของศัตรู


 


อิงอู๋เซี่ยเปิดเผยจุดอ่อนเพื่อล่อลวงศัตรู


 


ผู้อมตะนิกายจิตวิญญาณบรรพกาลไม่ได้ตอบสนองช้าแต่อิงอู๋เซี่ยเตรียมตัวมาอย่างเพียงพอ แล้วพวกเขาจะหลบหนีได้อย่างไร?


 


ในไม่ช้าค่ายกลวิญญาณก็ถูกกระตุ้นใช้งาน


 


ผู้อมตะนิกายจิตวิญญาณบรรพกาลทั้งสามตกลงสู่ความสิ้นหวัง พวกเขารู้สึกถึงพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง


 


ในครั้งเดียวพวกเขาไม่สามารถขยับเขยื้อน


 


พริบตาต่อมาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณของผู้อมตะทั้งสามก็ถูกระเบิดทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยพลังอำนาจของสุดยอดค่ายกลวิญญาณ


 


แม้พวกเขาจะต้องการหลบหนี แต่พวกเขาก็ต้องมีเวลาอย่างน้อยสามลมหายใจ


 


“ฮืม…ข้าจะเก็บบางสิ่งที่น่าสนใจจากพวกเจ้าเป็นอันดับแรก” อิงอู๋เซี่ยเย้ยหยัน


 


เพียงเมื่อเขากล่าวจบคำ ถ้ำนรกใต้พิภพก็เกิดการสั่นสะเทือนพร้อมกับแสงสว่างที่ส่องประกายขึ้น


 


“เร็วมาก! วังสวรรค์พบจำแหน่งของข้าแล้วและกำลังมุ่งหน้ามาที่นี่!” อิงอู๋เซี่ยตะลึง


 


แต่หลังจากนั้นเขายังสามารถสงบจิตใจ


 


เขาบินเข้าไปในค่ายกลวิญญาณ


 


ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพื่อต่อต้านการอนุมานจากวังสวรรค์และผู้อมตะจากนิกายจิตวิญญาณบรรพกาล ค่ายกลวิญญาณทำงานหนักเกินไป ตอนนี้มันจึงได้รับความเสียหายรุนแรงและกำลังจะพังทลายลง


 


แต่อิงอู๋เซี่ยไม่สนใจ


 


เขาวางแผนละทิ้งสถานที่นี้มาตั้งแต่แรก


 


หากค่ายกลวิญญาณจะล่มสลาย มันก็ไม่ใช่ปัญหา


 


“นายท่าน” ซื่อหนิวปรากฎตัวต่อหน้าอิงอู๋เซี่ยขณะที่ไท่เป่ยหยุนเฉิงกับไห่ลั่วหลันติดตามอยู่ด้านหลัง


 


ทั้งสองสูญเสียวิญญาณอมตะทำให้พลังการต่อสู้ของพวกเขาลดลงจนถึงจุดต่ำสุด ซื่อหนิวแข็งแกร่งที่สุดโดยเฉพาะเมื่ออิงอู๋เซี่ยคืนวิญญาณอมตะให้เขาแล้ว


 


ไท่เป่ยหยุนเฉิงกังวล “ฟางหยวน อาการบาดเจ็บของเจ้า…”


 


อิงอู๋เซี่ยยิ้มและโบกมือ “ไม่จำเป็นต้องกังวล”


 


หลังจากทำธุรกรรมกับฟางหยวน อิงอู๋เซี่ยสูญเสียร่างผีดิบอมตะของฟางหยวน รูปร่างหน้าตาของเขาเปลี่ยนไป แต่เขายังสามารถควบคุมคนทั้งสามได้อย่างสมบูรณ์แบบ


 


มันเป็นเรื่องง่ายที่จะหลอกลวงไท่เป่ยหยุนเฉิงว่าร่างผีดิบอมตะของเขาถูกทำลายขณะหลอมรวมวิญญาณอมตะ นี่เป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดที่จะไม่ดึงดูดความสงสัย


 


“ศัตรูอยู่ตรงหน้า หยุดพูดและจากไป” ด้วยความต้องการของอิงอู๋เซี่ย ค่ายกลวิญญาณแตกออกขณะที่วิญญาณอมตะบินเข้ามาหาเขา


 


คนทั้งสี่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ในสี่ทิศทาง


 


ก่อนจากไป อิงอู๋เซี่ยมองแสงลึกลับที่อยู่ด้านบนและหัวเราะ “ภาคกลาง…พวกเราจะกลับมาพร้อมกับการแก้แค้น!”


 


หลังจากทำธุรกรรมกับฟางหยวน อิงอู๋เซี่ยได้รับทางออกสายหนึ่งเพื่อหลบหนีจากสถานการณ์


 


“ไป!”


 


แสงสว่างส่องประกายขึ้นบนร่างของคนทั้งสี่


 


พวกเขาฝึกซ้อมกันมาหลายครั้ง ด้วยวิญญาณอมตะที่หลอมรวมสำเร็จเมื่อเร็วๆนี้ พวกเขาสามารถปลดปล่อยพลังอำนาจอันน่าพิศวง


 


“บึม!”


 


กลุ่มของอิงอู๋เซี่ยหายตัวไปในที่สุด


 


ผู้อมตะจากวังสวรรค์มาช้าไปก้าวหนึ่ง


 


“พวกเขาจากไปเร็วมาก!” ผู้อมตะหญิงจากวังสวรรค์อุทาน


 


นางก็คือเทพธิดาจื่อเว่ย!


 


ผู้อมตะหญิงที่มีความสำเร็จบนเส้นทางแห่งปัญญาไม่ด้อยกว่าเจ้าวังสวรรค์คนก่อน


 


เมื่อนางลงมือ อิงอู๋เซี่ยและคนอื่นๆถูกผลักเข้าสู่สถานการณ์ที่สิ้นหวัง หากไม่ใช่เพราะฟางหยวน อิงอู๋เซี่ยจะต้องตายอย่างแน่นอน


 


นางมองเศษหินบนพื้นและสรุปด้วยคิ้วที่เริ่มขมวดเข้าหากัน “ผู้อมตะสี่คน..แปลก…เดิมทีข้าอนุมานว่าฟางหยวนอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากนิกายเงาหรือไม่ พวกเขาก็ต้องถูกกำจัด!”


 


นางกล่าวเบาๆแต่เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร


 


ผู้อมตะวังสวรรค์ที่อยู่ด้านหลังกล่าว “ครั้งนี้พวกเขาจะไม่สามารถหลบหนี ข้าจะตามจับพวกเขา!”


 


เทพธิดาจื่อเว่ยเผยรอยยิ้มบางแต่มันเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่น “เราไม่สามารถตามจับพวกเขาได้อีก คนทั้งสี่ไปถึงกำแพงภูมิภาคแล้ว ตอนนี้พวกเขาควรจะอยู่ในกำแพงพลังงาน”


 


ผู้อมตะจากวังสวรรค์ประหลาดใจมาก


 


บางคนถาม “เหตุใดจึงรวดเร็วนัก?”


 


“นี่คือค่ายกลวิญญาณรูปแบบการต่อสู้โบราณที่มีชื่อว่าท่องรอบทิศ ก่อนหน้านี้เมื่อโป้ชิงตื่นขึ้น เขาพร้อมกับผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนหยูมู่ฉาน ผีดิบอมตะเทพเจ็ดดารา และมังกรโลหิตซ่งซื่อซิงก็ใช้วิธีนี้เดินทางจากน้ำตกสวรรค์ไปยังนิกายบัวสวรรค์”


 


“แม้เราจะมีวิญญาณท่องแดนอมตะ แต่ค่ายกลวิญญาณรูปแบบการต่อสู้โบราณนี้ใช้ผู้คนเป็นแกนกลาง มันมีข้อจำกัดที่ต่ำกว่า ตอนนี้พวกเราไม่สามารถหยุดพวกเขาได้อีกต่อไป”


 


เทพธิดาจื่อเว่ยสรุปและกล่าวอย่างช้าๆ


 


เพียงชั่วครู่นางก็เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดอย่างถ่องแท้ นางรู้กระทั่งวิธีที่อิงอู๋เซี่ยในการหลบหนีเพื่อรักษาชีวิตรอด


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1091 กำจัดอสูรหิมะ


แปลโดย iPAT 


 


ฟางหยวนตรวจสอบมิติช่องว่างจักรพรรดิ


 


สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเดินทางไปรอบๆและมองเห็นดินแดนที่แห้งแล้ง


 


‘ข้ามีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งปฐพีน้อยเกินไป ดินแดนที่แห้งแล้งไม่สามารถเพาะปลูก ข้าต้องเพิ่มร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งปฐพีและใช้ทุกวิธีเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นฐาน’ ฟางหยวนคิด


 


มิติช่องว่างจักรพรรดิใหญ่โตเกินไป


 


กระทั่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของฟางหยวนก็ยังไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างสมบูรณ์ภายในเวลาอันสั้น


 


ฟางหยวนส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปยังพื้นที่ต่างๆ


 


แหล่งเพาะปลูกทรัพยากรค่อยๆปรากฏขึ้นในใจของเขา


 


ทะเลทรายตะวันตกมีหลุมทรายขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยมวลความร้อน


 


ภายในมีอสรพิษเพลิงจำนวนมากขดตัวอยู่รอบๆ


 


โดยปกติอสรพิษเพลิงจะอาศัยอยู่เป็นกลุ่มสองหรือสามตัว แต่ฟางหยวนใช้วิธีการพิเศษของเผ่าตงฟางในการเลี้ยงดูพวกมัน ด้วยเหตุนี้อสรพิษเพลิงจำนวนมากจึงสามารถอยู่รวมกลุ่ม สิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมเรื่องการสืบพันธุ์ของพวกมัน


 


อสรพิษเพลิงเหล่านี้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์สระหยกของเผ่าตงฟาง


 


สำหรับวิธีการเลี้ยงดู ฟางหยวนได้รับมาจากตงฟางชางฟาน


 


ด้วยเหตุนี้อสรพิษเพลิงจึงเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว


 


ห่างออกไปยังมีหลุมทรายอีกสามหลุม


 


จำนวนอสรพิษเพลิงในแต่ละหลุมไม่น้อยกว่าหลุมแรก


 


‘ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือน แต่เวลาของที่นี่เร็วกว่าโลกภายนอกหกสิบเท่า ตอนนี้จำนวนของอสรพิษเพลิงเพิ่มขึ้นสี่เท่าแล้ว’ ฟางหยวนพยักหน้าพึงพอใจ


 


เวลาเดินเร็วกว่าโลกภายนอกหกสิบเท่า นี่เป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวมาก!


 


อสรพิษเพลิงฝูงนี้อาศัยอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยามาเป็นเวลานาน แต่การเติบโตของพวกมันค่อนข้างน้อยและไม่สามารถเปรียบเทียบกับปัจจุบัน


 


นี่เป็นเพราะเวลาในแดนศักดิ์สิทธิ์ไป่หูเดินค่อนข้างช้า


 


เช่นเดียวกับอสรพิษเพลิง ฝูงปลามังกร แมงมุมหน้าคน ป่าไผ่ลูกศร ทุ่งหญ้าสะเก็ดดาว และทรัพยากรอื่นๆก็เติบโตขึ้นด้วยความเร็วสูง


 


แต่ในแง่ของคุณภาพ ป่าไผ่ลูกศรและทุ่งหญ้าสะเก็ดดาวยังด้อยกว่าเมื่อครั้งที่พวกมันอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาว


 


เหตุผลเป็นเพราะมิติช่องว่างจักรพรรดิมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งดวงดาวน้อยกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งดวงดาว


 


เมื่อผู้อมตะจัดการมิติช่องว่างของตน พวกเขาต้องตรวจสอบและพิจารณาทุกแง่มุมเพื่อป้องกันไม่ให้บางสิ่งขาดหาย


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมิติช่องว่างมีขนาดเล็ก ทรัพยากรทุกประเภทจะถูกวางไว้ใกล้กันและอาจส่งผลกระทบในแง่ลบต่อการเติบโตของพวกมัน


 


แต่สถานการณ์ของฟางหยวนจัดว่าดี


 


มิติช่องว่างจักรพรรดิมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ทรัพยากรทั้งหมดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีโอกาสน้อยมากที่พวกมันจะเกิดปัญหา


 


‘เมื่อสวรรค์สีเหลืองเปิด ข้าจะขายทรัพยากรเหล่านี้ มันจะเป็นรางวัลใหญ่ของข้า’ ฟางหยวนสรุปและรู้สึกยินดี


 


การปิดตัวของสวรรค์สีเหลืองส่งผลกระทบต่อเขาอย่างมาก


 


เขาพยายามจัดการและสร้างแหล่งทรัพยากรในมิติช่องว่างจักรพรรดิ แต่หากปราศจากสวรรค์สีเหลือง เขาก็ไม่สามารถซื้อขาย แม้นิกายหลางหยาจะมีสมบัติมากมาย แต่พวกมันส่วนใหญ่เป็นวัสดุที่ใช้ในการหลอมรวมวิญญาณที่ไม่มีประโยชน์ต่อฟางหยวน


 


เขาส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์สุดท้ายเข้าสู่ภาคเหนือน้อย


 


“กรอ…กรอ…”


 


เสียงคำรามของอสูรหิมะจำนวนมากดังขึ้น


 


ภูมิประเทศของภาคเหนือน้อยเริ่มเปลี่ยนเป็นทุ่งหิมะอันหนาวเย็น


 


ฟางหยวนสังเกตอย่างระมัดระวังและพบว่าทุ่งหิมะขยายตัวออกไปมากกว่าครั้งสุดท้ายที่เขาตรวจสอบ


 


ทั้งหมดนี้เกิดจากภัยพิบัติพิภพครั้งก่อนหน้า


 


ฟางหยวนเผชิญหน้ากับภัยพิบัติพิภพที่แดนน้ำแข็งของภาคเหนือ แม้มันจะทรงพลัง แต่ฟางหยวนก็ได้รับผลประโยชน์มหาศาลโดยเฉพาะร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าบนเส้นทางแห่งหิมะและน้ำแข็ง


 


เนื่องจากร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าเหล่านี้ ภาคเหนือน้อยจึงมีหิมะตกลงมาจากท้องฟ้า


 


สภาพแวดล้อมนี้เหมาะสมกับอสูรหิมะ


 


ปัจจุบันภาคเหนือน้อยมีอสูรหิมะทั่วไปอยู่นับไม่ถ้วน มีอสูรหิมะเดียวดายมากมาย และมีอสูรหิมะแรกกำเนิดจำนวนหนึ่งเป็นผู้ปกครอง


 


ก่อนทำธุรกรรมกับนิกายเงา ฟางหยวนวางแผนที่จะเก็บอสูรหิมะเหล่านี้เอาไว้เป็นทรัพยากรในมิติช่องว่างของเขา


 


แต่หลังจากทำธุรกรรม ฟางหยวนได้เรียนรู้เกี่ยวกับเจตจำนงสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงต้องกำจัดอสูรหิมะทั้งหมด


 


เหตุผลเป็นเพราะอสูรหิมะเหล่านี้เต็มไปด้วยเจตจำนงสวรรค์


 


ฟางหยวนมาที่นี่ด้วยเจตนาสังหาร เขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์บังคับร่างผีดิบอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งตนหนึ่งและกระตุ้นใช้วิญญาณจำนวนมาก


 


ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งดาบ คลื่นดาบสามชั้น!


 


“ฟิ้ว…”


 


คลื่นดาบสีเงินพุ่งออกมาพร้อมเจตนาสังหารที่เย็นยิ่งกว่าน้ำแข็ง


 


อสูรหิมะทั่วไปไม่สามารถต้านทาน พวกมันถูกคลื่นดาบตัดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและถูกกำจัดไปอย่างสมบูรณ์


 


อสูรหิมะเดียวดายสามารถต่อต้าน แต่หลังจากไม่กี่ลมหายใจ พวกมันก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด


 


เส้นทางแห่งดาบเป็นหนึ่งในห้าเส้นทางที่มีพลังการโจมตีแข็งแกร่งที่สุดในโลกของผู้อมตะ


 


คลื่นดาบสามชั้นเป็นท่าไม้ตายอมตะที่โดดเด่น พลังโจมตีของมันจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลาที่ฟางหยวนเผชิญหน้ากับภัยพิบัติพิภพ เขาใช้ท่าไม้ตายนี้กำจัดค้างคาวมรณะและสามารถผ่านพ้นสถานการณ์คับขันมาได้


 


หลังจากใช้ท่าไม้ตายอมตะคลื่นดาบสามชั้น เขาสามารถสังหารอสูรหิมะทั่วไปหลายพันตัวและอสูรหิมะเดียวดายอีกหกตัว มันถือเป็นผลลัพธ์ที่ดี


 


อสูรหิมะหลายพันตัวไม่ถือเป็นสิ่งใด แต่อสูรหิมะเดียวดายหกตัวทำให้คลื่นดาบสามชั้นสูญเสียพลังงานไปมากมาย


 


“กรอ…”


 


เสียงคำรามแห่งความโกรธดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของอสูรหิมะสูงเจ็ดสิบเมตร


 


นอกจากนี้ยังมีอสูรหิมะเดียวดายอีกหลายตัวและอสูรหิมะทั่วไปอีกนับหมื่นตัว


 


อสูรหิมะฝูงใหญ่เคลื่อนที่เข้ามาหาฟางหยวนด้วยเจตนาสังหาร


 


ฟางหยวนบังคับร่างผีดิบอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งล่าถอย


 


เขาควบคุมผีดิบอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งเพื่อต่อสู้โดยใช้พลังงานอมตะและวิญญาณของเขา


 


ร่างผีดิบอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งตนนี้ฟางหยวนได้มาจากนางมารผลาญสวรรค์ มันถูกเก็บไว้ในมิติช่องว่างของเขานานแล้ว


 


ต่อสู้และล่าถอย


 


นี่เป็นกลยุทธ์ที่ไร้ยางอายอย่างไม่ต้องสงสัย


 


การต่อสู้ทุกครั้งเกิดขึ้นในสถานที่ใหม่


 


หลังจากต่อสู้ เขาก็ล่าถอยอีกครั้ง


 


เมื่อฝูงอสูรหิมะมาถึง ฟางหยวนก็ไปที่อื่นแล้ว


 


อสูรหิมะที่ไม่สามารถระบายความโกรธทำได้เพียงส่งเสียงคำราม อสูรหิมะบรรพกาลโยนก้อนหิมะขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


มนุษย์คือจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด ด้วยความแตกต่างด้านสติปัญญา ฟางหยวนสามารถวางแผนการที่เหมาะสม


 


หลังจากล่าถอยไปย้งสถานที่ปลอดภัย ผีดิบอมตะบนเส้นทางความแข็งแกร่งที่ฟางหยวนควบคุมจึงหยุดเคลื่อนไหวและพักผ่อน


 


แม้ร่างกายของมันจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ฟางหยวนยังต้องจ่ายด้วยองุ่นเขียวอมตะ


 


การกระตุ้นใช้งานท่าไม้ตายอมตะคลื่นดาบสามชั้นใช้พลังงานอมตะจำนวนมาก


 


นี่รวมถึงแต้มผลงานของนิกายหลางหยา


 


เนื่องจากวิญญาณอมตะที่เป็นแกนกลางของท่าไม้ตายอมตะคลื่นดาบสามชั้นหลายดวงถูกหยิบยืมมาจากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยา ดังนั้นฟางหยวนจึงต้องจ่ายด้วยแต้มผลงาน


 


หลังจากทั้งหมดค่าใช้จ่ายของท่าไม้ตายอมตะคลื่นดาบสามชั้นสูงมาก


 


แต่ตอนนี้ฟางหยวนมีทรัพยากรมากมายรวมถึงแต้มผลงานจำนวนมากจากการเดินทางไปไท่ชิว กล่าวโดยสรุปเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับฟางหยวนในเวลานี้


 


หลังจากพักผ่อน ฝูงอสูรหิมะสงบลงขณะที่ฟางหยวนเริ่มล่าสังหารอีกครั้ง


 


‘ข้าต้องกำจัดอสูรหิมะทั้งหมดก่อนที่ภัยพิบัติพิภพครั้งที่สองจะมาถึง มิฉะนั้นภัยพิบัติทั้งสองจะหลอมรวมกันและสร้างความยากลำบากให้แก่ข้า’ ฟางหยวนตระหนักถึงเรื่องนี้


 


ภัยพิบัติของผู้อมตะจะทรงพลังขึ้นเรื่อยๆในแต่ละครั้ง


 


ภัยพิบัติพิภพครั้งที่สองของฟางหยวนจะทรงพลังกว่าครั้งแรก


 


หากอสูรหิมะเหล่านี้ยังอยู่และประสานงานกับภัยพิบัติพิภพครั้งที่สอง โอกาสรอดชีวิตของฟางหยวนจะลดน้อยลง มันจะกลายเป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวังอย่างแน่นอน


 


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฟางหยวนลงมือ


 


สิบวันหลังจากกลับมาถึงแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา ฟางหยวนเข้ามาล่าสังหารอสูรหิมะในมิติช่องว่างจักรพรรดิทุกวัน


 


อสูรหิมะลดจำนวนลงแต่ยังเหลืออีกมากมาย ฟางหยวนต้องทำงานอย่างหนัก


 


หากเขาสังหารอสูรหิมะจำนวนมากในวันเดียว มันจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยาก


 


กระทั่งอสูรหิมะจะมีสติปัญญาต่ำ พวกมันก็มีสัญชาตญาณเอาชีวิตรอด นอกจากพวกมันจะส่งเสียงคำรามเพื่อระบายความโกรธ พวกมันยังสามารถติดต่อสื่อสารและแจ้งเตือนซึ่งกันและกัน


 


หลังจากฟางหยวนโจมตีอสูรหิมะหลายครั้ง พวกมันเริ่มตื่นตัวและรวมตัวกันอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอสูรหิมะบรรพกาล


 


ฟางหยวนไม่สามารถโจมตีได้โดยง่าย ดังนั้นเขาจึงหยุดการเข่นฆ่าในวันนี้


 


ฟางหยวนดึงสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาจากมิติช่องว่างจักรพรรดิก่อนจะลุกขึ้นยืน


 


เขาบินออกจากเมืองเมฆาและไปถึงหุบเขาเหล่าโปในไม่ช้า


 


ทุกวันเขาต้องบ่มเพาะจิตวิญญาณ


 


“ท่านฟางหยวน”


 


“ผู้อาวุโสฟางหยวนมาที่นี่อีกแล้ว? ท่านทำงานหนักจริงๆ ช่างน่ายกย่องนัก”


 


ในหุบเขาเหล่าโป มีผู้อมตะหลายคนอยู่ที่นี่ ผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนเหล่านี้คุ้นเคยกับฟางหยวนเพราะฟางหยวนให้คำแนะนำเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้แก่พวกเขา


 


เมื่อเห็นฟางหยวนเข้าสู่หุบเขาเหล่าโป พวกเขาจึงรีบทักทาย


 


ฟางหยวนทักทายกลับอย่างสุภาพ


 


ต้องขอบคุณผมที่หกที่ทำให้ฟางหยวนเข้าถึงผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนเหล่านี้


 


หลังจากเลือกตำแหน่ง ฟางหยวนส่งดวงวิญญาณบินออกไปและเริ่มบ่มเพาะ


 


ความเจ็บปวดที่รุนแรงทำให้ดวงวิญญาณของเขาเกิดการสั่นสะเทือน


 


ฟางหยวนกัดฟันแน่นแต่ยังไม่เคลื่อนไหว


 


หลังจากนั้นไม่นานผู้อมตะเผ่ามนุษย์ขนสองสามคนก็หันหน้าเข้าซุบซิบกัน


 


“ช่างบ้าคลั่งนัก!”


 


“ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะสามารถอยู่ในหุบเขาเหล่าโปได้นานถึงสองชั่วโมงในแต่ละวัน!”


 


“ความเจ็บปวดชนิดนี้…ข้าไม่สามารถทนได้แม้แต่หนึ่งนาที…”


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)