องครักษ์เสื้อแพร 1088-1089

 ตอนที่ 1088 ขุนนางคอยประคอง

Ink Stone_Fantasy

แล้งน้ำใจที่สุดก็คือราชวงศ์ เสด็จแม่แท้ๆ ก็ยังอาจก่อการได้ ฮ่องเต้ว่านลี่กับไทเฮาฉือเซิ่งเป็นเช่นนี้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย  สองฝ่ายทานอำนาจกัน  สองฝ่ายทำสงครามเย็นกัน  จนสุดท้ายที่ฮ่องเต้ว่านลี่แตกหัก ให้ไทเฮาออกจากวัง  เรื่องมาถึงตอนนี้ ไทเฮากลับวังมาแล้ว


เมื่อก่อน พระกระยาหารเช้าค่ำของฮ่องเต้ว่านลี่ล้วนเสวยตอนมาถวายพระพรไทเฮา  ต้องเป็นเพื่อนทรงเสวยทั้งวัน แต่ตอนนี้ ทุกเดือนฮ่องเต้ว่านลี่มาเพียงสามครั้ง และไม่ค่อยอยู่เสวยต่อ


ไทเฮาเองไม่ว่าคิดเช่นไร แต่นานวันเข้า พระนางก็ปรับตัวได้ คนในวังที่อยู่มาเกินห้าปีล้วนรำลึกความหลังได้ว่า ไทเฮาก่อนออกจากวังนั้นพระเกศาดำขลับ พระพักตร์ราวสตรีอายุ 30 กว่า แต่ตอนนี้ล้วนทรงชราลงมาก พระเกศาขาว พระพักตร์ก็ยังมีแต่ริ้วรอยเหี่ยวย่น


หากกล่าวว่าไม่เหมือนก่อน มีขันทีเก่าแอบสนทนากันว่า เดิมตำหนักฉือหนิงกงเข้าไปในห้องไทเฮา ก็จะรู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่รู้ตัว ระวังตัวอย่างมาก ไทเฮาทรงบารมีข่มอย่างมาก แต่ตอนนี้รู้สึกเงียบมาก บางครั้งเข้าไปยิ่งใกล้ก็ยิ่งรู้สึกถึงการไม่มีตัวตน


ผ่านเรื่องมากมาย เป็นตายผ่านพ้น เห็นโลกมามาก ในใจก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้นเช่นนี้ มาคิดให้ดีก็เหมือนเป็นวัฏจักร


ฮ่องเต้ว่านลี่มาเสวยพระกระยาหารตำหนักฉือหนิงกง แม้ไทเฮาท่าทีไม่กระตือรือร้นอันใด แต่ก็หาได้ยากที่จะเปลี่ยนฉลองพระองค์ใหม่ แต่ให้นางกำนัลคนสนิทไปห้องเครื่องกำชับทางนั้นว่า ให้ทำอาหารที่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงโปรด


แต่มีของบางอย่าง เสียแล้วก็เสียไป ไม่มีทางกลับคืนมาได้ เดิมสองคนทานอาหารกันก็จะเป็นโต๊ะกลมเล็กๆ แม่ลูกใกล้ชิด  แต่ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระประสงค์ให้ตำหนักฉือหนิงกงจัดโต๊ะสี่เหลี่ยมยาวแบบตะวันตกในยามเสวยพระกระยาหาร  ไทเฮานั่งด้านหนึ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่นั่งอีกด้านหนึ่ง  มีโต๊ะยาวกั้นกลาง ไม่มีวาจาใดกล่าวกัน


ยามเสวยพระกระยาหารก็เงียบมาก ขันทีกับนางกำนัลข้างๆ วิ่งกันคีบและเก็บอาหาร งานนี้เป็นงานที่พวกในวังไม่อยากทำที่สุด


เพราะบรรยากาศกดดันจริง ทุกคนด้านในล้วนรู้สึกหวาดกลัว กลัวว่าผิดพลาดแล้วหัวจะหลุดจากบ่า แต่ความจริงนั้นก็ไม่ได้น่ากลัวเพียงนั้น เพราะเคร่งเครียดจึงมีคนทำชามตกแตก ไทเฮากับฮ่องเต้ก็เพียงแค่มองมา สั่งให้เปลี่ยนใหม่ก็เท่านั้น แต่คนในวังก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี


ฮ่องเต้ว่านลี่เสวยข้าวคำสองคำในชาม จากนั้นก็ดื่มสุราโอสถอีกถ้วยเล็กๆ ไทเฮาคิดจะให้ฮ่องเต้ว่านลี่กินมากอีกหน่อย แต่คิดแล้วก็ไม่ได้กล่าวอันใด


โจวอี้ที่รับใช้ข้าง ๆ เห็นฮ่องเต้ว่านลี่โบกพระหัตถ์ รีบให้คนในห้องออกไป เขาเป็นคนสุดท้ายที่ปิดประตูห้องลง


“วันนี้มาพบเสด็จแม่ มีเรื่องอยากขอทูลถาม โจรวัวโค่วรุกรานเกาหลี แผ่นดินหมิงต้องนำทัพออกรบ แต่ผู้ใดเป็นแม่ทัพ ตอนนี้ลูกยังไม่อาจตัดสินใจได้ เป็นหวังทงดี หรือว่าเป็นหลี่หรูซงเหมาะ?”


ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสครึ่งแรก พระเนตรไทเฮาฉือเซิ่งก็จางลง  หากยังคงตรัสเรียบๆ ว่า


“ฝ่าบาททรงคิดตัวเลือกได้นานแล้วกระมัง? หวังทงเก่งกล้าเกรียงไกร เขาไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะที่สุดหรือ?”


ฮ่องเต้ว่านลี่หยิบกาน้ำผลไม้ด้านหน้า เทใส่ถ้วยพระองค์อย่างสนใจธรรมเนียมใด ดื่มไปแล้วก็เงียบไปก่อนตรัสว่า


“เป็นดังที่เสด็จแม่ว่ามา แต่ทว่าหวังทงผู้นี้ ลูกไม่กล้าตัดสินใจอยู่เรื่อย บอกไม่ได้เหมือนกัน?”


“เด็กน้อย อดีตฮ่องเต้แต่ไรไม่เคยลังเลเช่นนี้….”


คำถามตอบนี้ทำให้ไทเฮาเหมือนกลับไปยังสมัยก่อนอีกครั้ง แต่พอตรัสออกมาก็รู้พระองค์หยุดลง ฮ่องเต้ว่านลี่ไยต้องรอบคอบและระแวงมาก สาเหตุจากอะไร ทุกคนล้วนเข้าใจดี


บรรยากาศห้องเสวยเริ่มอึดอัด เงียบไปพักหนึ่ง ไทเฮาก็ตรัสเรียบๆ ขึ้นว่า


“แม่ไม่ได้รู้ว่าอะไรดี แม่หลายปีนี้พบเรื่องราวมามากมาย ล้วนไม่อาจกล่าวว่าไม่เกี่ยวข้องกับหวังทง แต่ทว่าฝ่าบาท หวังทงยอมสู้กับแม่เพื่อฝ่าบาทกับ ก็เพียงพอแสดงให้เห็นถึงความภักดีแล้ว ก่อนยกทัพปราบตะวันออกเจี้ยนโจวก็ปราบเผ่าอันต๋า ลงแดนใต้ทำคดี เทียนจินเปิดท่าการค้า เข้าวังอารักขาความปลอดภัย ความดีความชอบสั่งสมมากมาย ปราบเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจวก็เหมือนว่าขึ้นสูงสุดแล้ว หากเขาต้องการทำอันใดจริง ก็ควรทำไปแล้ว เขาคิดจะทำอันใดกับฝ่าบาท ก็ควรทำไปในตอนนั้นแล้ว แต่หวังทงกลับหนีไปยังเมืองซงเจียง ฝ่าบาทลองคิดดู หากเป็นคนอื่น จะทำเช่นนี้ไหม…”


ในห้องเริ่มเงียบ…


*******************


วันที่ 25 เดือนสิบ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 20 พระตำหนักข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินในการประชุมขุนนางมหาอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยออกมากราบทูล ยกทัพปราบวัวโค่วที่เกาหลีเป็นภารกิจสำคัญ ต้องให้ขุนพลเก่งกล้านำทัพ ต้องมีชัยเท่านั้น


ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นด้วยกับมหาอำมาตย์ ขอหวังซีเจวี๋ยเสนอชื่อแม่ทัพ หวังซีเจวี๋ยคิดว่าตอนนี้เหลียวกั๋วกงหวังทงกำลังว่างอยู่ที่เมืองซงเจียงเหมาะสมที่สุด ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็พอพระทัยการเสนอของหวังซีเจวี๋ย ราชสำนักขุนนางใหญ่ไม่มีคำโต้แย้งอีก จากนั้นก็มีราชโองการไป ให้หวังทงรวมกำลังพลนำทัพใหญ่ออกศึก


ราชโองการเร่งร้อนไปถึงเมืองซงเจียง เดาว่าตอนราชโองการอยู่ระหว่างทาง หวังทงก็มีฎีกามาถึง ในนั้นกล่าวถึงความเห็นต่อการรบเกาหลี ค่อนข้างเป็นที่ยอมรับ


มีข้อหนึ่งกล่าวได้กระจ่าง ก็คือตอนนี้สถานการณ์ผ่านพ้นเวลาที่ดีที่สุดแห่งการโจมตีไปแล้ว ในฎีกาหวังทงบอกว่า นำทัพสำคัญที่รวดเร็ว ต้องแย่งชิงความได้เปรียบก่อน  ทัพใหญ่โจรวัวโค่วตอนนี้เริ่มค่อยๆ ปักหลักมั่นคงในเกาหลีแล้ว ทหารแผ่นดินหมิงไม่ควรเอาแต่มองดูอีกฝ่ายจากแม่น้ำยาลู ควรจะรีบเร่งเคลื่อนกำลังโจมตี


โจรวัวโค่วในเกาหลีเกือบสองแสน เหลียวหนิงเคลื่อนกลังมาก็ได้แค่หกหมื่นกว่า ส่วนทหารที่สู้รบได้ของแผ่นดินหมิงจริงๆ ก็มีแค่หมื่นห้า กำลังเช่นนี้หากบุ่มบ่ามบุกไป ก็ย่อมเหมือนน้อยตีมาก ถูกอีกฝ่ายได้เปรียบเรื่องกำลังทหารโอบล้อมไว้ก็ย่อมนำมาซึ่งการพ่ายศึกที่น่าอนาถ


ความเป็นไปได้นี้ หวังทงเองก็ได้ทำการวิเคราะห์ว่า พื้นที่เกาหลีแคบ และเขามาก เมืองเปียงยางไปทางตะวันตกถึงริมทะเลจึงจะค่อนข้างเป็นพื้นที่ราบ พื้นที่ราบเกาหลีคือครึ่งหนึ่งของเกาะค่อนไปทางใต้และตะวันตก แต่นับว่าเล็กแคบมาก


ทัพใหญ่ออกศึก ไม่อาจขยายการรบจากพื้นที่เขาได้ ได้แต่ต้องทำการรบบนพื้นราบกว้าง ในเมื่อเช่นนี้สองฝ่ายก็เหมือนกับการปะทะกันในตรอกซอยแคบ ไม่ว่ามีคนเท่าไร ข้ามีคนเท่าไร ทุกคนเผชิญหน้ากันก็มีกำลังที่จำกัด ทหารมากไม่ได้ประโยชน์ได้เปรียบใดในพื้นที่นี้ ทหารเหลียวหนิงหกหมื่นในพื้นที่ทุ่มเข้าสนามรบก็ใช่ว่าต้องปะทะกำลังสองแสน


หลังวิเคราะห์เช่นนี้ หวังทงรายงานราชสำนัก กล่าวว่านำทัพสำคัญที่รวดเร็ว ต้องให้ทหารที่นำไปรวมตัวเข้ากับทหารในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วในพื้นที่เป้าหมายและออกรบ ราชสำนักควรเลือกผู้บัญชาการเมืองเซวียนฝู่หลี่หรูซงนำทัพ นำกำลังทหารม้าเข้าเหลียวหนิง ไปจัดการประสานกำลังกับกองกำลังเหลียวหนิงแต่ละกองก่อน ก่อนจะออกศึกกับทัพใหญ่โจรวัวโค่ว


และเพื่อให้ปลอดภัยไว้ก่อน เพิ่มความมั่นใจในชัยชนะใหญ่ ราชสำนักไม่ควรเคลื่อนกำลังหานกังกองกำลังหู่เวยประจำเมืองหย่งผิงเข้าสู่เหลียวหนิง


ฎีกานี้ตอนนี้ดูแล้วเหมือนโง่มาก เห็นๆ ว่าราชสำนักมอบตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ให้แก่เจ้าแล้ว วันหน้าความชอบได้ไปคนเดียว เข้ายังมาเสนอให้หลี่หรูซงออกศึก ให้เขาประสานกำลังเหลียวหนิงให้บุกไปก่อน นี่ไม่ใช่ว่ามอบความชอบให้ตระกูลหลี่ไปเปล่าๆ หรือ?


หากเจ้าเป็นแม่ทัพบัญชาการทหารหลี่หรูซง สถานการณ์ก็ย่อมแตกต่าง ถึงตอนนั้นความดีความชอบก็ย่อมเป็นเจ้าเจ้าบัญชาการได้ดี


สถานการณ์ตอนนี้ หลี่หรูซงย่อมถูกส่งไปเกาหลี และย่อมประสานกำลังทหารเหลียวหนิง ในสายตาคนนอกรู้สึกว่าความดีความชอบเป็นของหลี่หรูซง เกี่ยวอันใดกับเจ้าหวังทงเล่า


แต่เวลาที่ยื่นฎีกาจึงกลายเป็นเรื่องที่ราชสำนักและวังให้ความสนใจ นับดูเส้นทางเมืองหลวงไปเมืองซงเจียง ก็หมายความว่า ราชสำนักยังไม่ทันมีราชโองการให้หวังทงนำทัพใหญ่ออกศึก หวังทงก็ยื่นฎีกามาแล้ว แสดงให้เห็นว่าอะไร ก็หมายความว่าหวังทงไม่สนใจเรื่องผลประโยชน์ส่วนตน ล้วนคิดเพื่อแผ่นดินหมิงทั้งสิ้น เรื่องเล็กๆ นี้ยิ่งแสดงให้เห็นชัดว่าหวังทงจงรักภักดี ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าราชสำนักตัดสินใจได้ถูกต้อง


การทหารเร่งด่วน ฎีกาหวังทงล้วนกล่าวเรื่องจริง ราชสำนักรีบดำเนินการ มีราชโองการไปยังผู้บัญชาการเมืองเซวียนฝู่หลี่หรูซงนำกำลังทหารกล้าห้าพันเข้าสู่เหลียวหนิงโจมตีวัวโค่ว ขุนนางใหญ่ราชสำนักหลังผลักกันไปมา ผู้ใดก็ไม่อยากไปรับตำแหน่งนี้ที่เหลียวหนิง สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ให้ผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วคุมการทหาร เป็นขุนนางบุ๋นคุมกำลังเมืองเซวียนฝู่กับกองกำลังสามทัพเหลียวหนิง รอหวังทงไปถึงค่อยจัดการต่อ


เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องตลกทั่วเมืองหลวง ราชสำนักพากันแพร่ออกมาว่า ตอนที่เดาไม่ออกว่าเหลียวหนิงมีชัยหรือไม่เรื่องหนึ่ง แต่พอเป็นหวังทงนำทัพ คนก็แย่งกันไปเป็นขุนนางบุ๋นผู้บัญชาการที่ปรึกษาทัพ มีเรื่องเล่าว่า รองอำมาตย์เสิ่นแต่ไรสัมพันธ์ดีกับทุกฝ่าย เตรียมจะรับหน้าที่นี้


***************


ราชโองการมาถึงเมืองซงเจียง จวนเหลียวกั๋วกงจัดที่รับราชโองการ รับราชโองการ


ราชโองการกล่าวไว้ง่ายมากว่า มีคำสั่งให้หวังทงนำทหารไปปราบโจรที่เกาหลี  ราชสำนักมอบอำนาจให้หวังทงมาก ให้เขาเลือกกองกำลังแผ่นดินหมิงจากที่ต่างๆ มารวมเป็นทัพใหญ่ได้เอง ตลอดเส้นทางเดินทัพและเสบียงต่างๆ ก็ให้เขาจัดการเอง การระดมเสบียงก็ล้วนหวังทงตัดสินใจเอง


อำนาจเช่นนี้เทียบกับตำแหน่งแม่ทัพออกศึกที่เป็นเพียงสัญลักษณ์แล้วเรียกได้ว่าน่ากลัวมากยิ่งขึ้น เท่ากับทัพใหญ่นี้ งานต่างๆ อยู่ในมือหวังทงสั่งการทั้งหมด เขาไม่จำเป็นรับหน้าที่จากขุนนางบุ๋น หากรับคำสั่งจากฮ่องเต้โดยตรง รับหน้าที่จากโอรสสวรรค์


ธรรมเนียมบรรพชนล้วนไม่ปรากฏในราชโองการนี้ น่าแปลกก็น่าแปลกอยู่ จากเมืองหลวงไปถึงท้องที่ ถึงกับมีคนกล่าวถึงเรื่องนี้ เพราะหลายปีมานี้ ทุกคนล้วนรู้ว่าด้วยสถานะตำแหน่งหวังทง ก็ควรเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่ประมาทให้เกิดข้อผิดพลาดใด


ตอนที่ 1089 คัดเลือกทหาร รวมกำลังพล

Ink Stone_Fantasy

ราชโองการประกาศไปแล้ว ทุกคนในจวนเหลียวกั๋วกงรู้แล้ว ปฏิกิริยาแตกต่างกันไป ทหารติดตามล้วนดีใจตื่นเต้นยกใหญ่ สามารถออกศึกสนามรบได้แล้ว สร้างความดีความชอบสำหรับขุนนางบู๊ที่รักความก้าวหน้า เป็นการแสวงหาชั่วชีวิต ตอนทหารติดตามตื่นเต้นดีใจ นายอำเภอซั่งไห่หยางซือเฉินก็ส่งคนมาบอกทหารติดตามหวังทงให้ทำตัวสงบหน่อย อย่าได้ทำจนเป็นบรรยากาศน่ายินดีเช่นนี้


นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการใส่ใจความรู้สึกผู้อื่นใด แต่เป็นบรรดาสตรีในจวนเหลียวกั๋วกง หยางซือเฉินอยู่ข้างกายหวังทงมานาน สองฝ่ายล้วนคุ้นเคยมานาน บรรดาภรรยาไปมาหาสู่กันไม่น้อย


หยางซือเฉินรับรู้ผ่านทางบรรดาภรรยาว่าพวกภรรยาหวังทงคิดเช่นไร พวกนางไม่ยินดีกับการออกศึกหวังทงครั้งนี้ ตื่นตกใจหวาดกลัวเป็นเรื่องจริง


 ข่าวทางการบางแหล่ง สตรีในจวนเหลียวกั๋วกงรู้ โจรวัวโค่วสองแสนทัพใหญ่บุกเกาหลี และยังร้ายกายอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องนี้พวกนางเองก็รู้


แหล่งข่าวจากหลายแหล่ง อย่างไรก็ล้วนรู้สึกว่าครั้งนี้ออกศึกเสี่ยงภัยเกินไป จะไม่เป็นห่วงได้อย่างไร  และตอนนี้ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว สามีตนต้องขึ้นเหนืออีกแล้ว หลายเดือนหรืออาจครึ่งปีที่ไม่อาจกลับมา ผู้ใดก็ยอมรับไม่ได้ หากตอนนี้ทหารติดตามอยู่ข้างนอกตื่นเต้นยิ้มแย้มอยากออกศึกมาก ก็ยิ่งราวกับราดน้ำมันบนกองไฟ


ไม่ต่างกับที่หยางซือเฉินคาดไว้มากนัก พอราชโองการมาถึง หวังทงส่งผู้แทนพระองค์ประกาศราชโองการกลับไปแล้ว เดินกลับเข้าจวน บรรดาภรรยาก็มาอยู่รวมกัน


หวังเซี่ยเดิมทีจูงมือหวังจงกับหวังหลันที่เริ่มเดินได้วิ่งเล่นในห้องก็ถูกหานเสียตำหนิเสียงดัง หวังเซี่ยถูกหานเสียเอาใจมาก ไม่ค่อยได้เจอน้ำเสียงเข้มงวดเช่นนี้  จึงตกใจร้องไห้ เป็นซ่งฉานฉานเข้ามาปลอบใจอ่อนโยน สั่งให้สาวใช้พาเด็กๆ ออกไป


หวังทงนั่งอยู่ในห้อง มองไปยังบรรดาภรรยาทุกคน รู้สึกบอกไม่ถูก ก่อนรับราชโองการก็ได้ข่าวแน่นอนมาแล้ว เดิมคิดว่าตนเองสามารถรับมือได้ปกติ คิดไม่ถึงว่าพอประกาศราชโองการ หวังทงเองรู้สึกว่าตนเองตื่นเต้น ขุนนางบู๊ย่อมไม่อาจห่างไกลสนามรบ ยามสันติสุข สำหรับพวกเขาแล้วช่างน่าเบื่อจริง


คิดถึงโลกก่อนของตนเอง แล้วคิดถึงโลกนี้ของตนเอง หวังทงได้แต่ทอดถอนใจ เขาตื่นเต้นยินดีเป็นเรื่องหนึ่ง แต่บรรดาภรรยาล้วนก้มหน้านิ่งนั่งอยู่ข้างๆ หลูรั่วเหมยกับจางหงอิงยังเอาแต่หลั่งน้ำตาไม่หยุด บรรยากาศทำให้หวังทงอึดอัดมาก


“พวกเจ้าทำไมเป็นแบบนี้ ข้าไม่ได้ไปออกศึกปีแรกเสียหน่อย ครั้งนั้นก็ไม่ใช่ว่ากลับมาดีๆ หรอกหรือ อย่าร้องไห้ๆ ทำลูกๆ ตกใจหมดแล้ว”


ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ หวังทงเองไม่รู้กล่าวอันดี ได้แต่ยิ้มแห้งๆ กล่าวเช่นนี้   ยามนี้ซ่งฉานฉานแน่นอนไม่ยอมรับว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นนี้ตนก็มีส่วนร่วม  พูดไปเกรงว่าจะกลายเป็นศัตรูกับบรรดาภรรยาหวังทง นางแค่เขยิบเข้าไปใกล้หานเสียกระซิบ


หานเสียจึงได้เงยหน้าขึ้น กล่าวเบาๆ ว่า


“ท่านพี่ไปเกาหลีครานี้ต้องคิดถึงภรรยาที่บ้าน ต้องดูแลสุขภาพให้ดี ต้องรักษาตัวเองให้ปลอดภัย”


กล่าวถึงสุดท้ายก็สะกดกลั้นอารมณ์ไม่ไหวอีกต่อไป ขอบตาแดงก่ำ  น้ำเสียงเริ่มสะอื้น สตรีในห้องล้วนถูกฉุดอารมณ์ไปด้วย เดิมทีสามคนยังแสดงท่าทีสงบ ตอนนี้ก็พลอยร้องไห้ไปด้วย


“ไอยา…พวกเจ้าก็ช่าง…พวกเจ้าก็ช่าง…”


สถานการณ์เช่นนี้  หวังทงคิดไม่ถึง พึมพำไปสองสามคำ ก่อนจะไม่รู้กล่าวอันใดดี


***************


ราชโองการในเมื่อประกาศแล้ว ไม่ว่าในจวนเหลียวกั๋วกงจะเสียใจอย่างไรหรือไม่ยินยอมอย่างไร หวังทงก็ต้องนำทัพออกศึก เขาเตรียมการอยู่เมืองซงเจียง ฎีกาต่างส่งไปยังเมืองหลวง


 ผู้บัญชาการเมืองเซวียนฝู่หลี่หรูซงนำกำลังสี่พันไปยังเมืองเหลียวโจวแล้ว เตรียมออกศึกเกาหลี ในเมื่อให้หวังทงเป็นแม่ทัพใหญ่ ผู้บัญชาการเมืองเซวียนฝู่หลี่หรูซงนำกำลังไปกองนี้ก็เท่ากับเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาหวังทง นับว่านำทัพออกศึกนำเป็นกองหน้าก่อน


ทางหวังทงก็ไม่ต่างจากที่ทุกคนคาดเดา รวมกำลังกองกำลังหู่เวย แต่ไม่ได้มาหมด เดิมที่แบ่งไปประจำแต่ละหน่วยกำลัง ตอนนี้ล้วนขยายจากสามเป็นสี่หน่วย หวังทงขอให้แต่ละหน่วยส่งกำลังมาหนึ่งกอง  ทหารใหม่ครึ่งเก่าครึ่ง ให้ใช้ระบบกองกำลังวังหลวงในพื้นที่นำกำลังมา


ก็หมายความว่า กองกำลังหลวงเดิมเจ็ดหน่วย ครั้งนี้ล้วนให้หัวหน้าทหารแต่ละหน่วยเดิมนำกำลังมา ทหารม้ากับกองปืนใหญ่แน่นอนตามมาด้วย แต่สำหรับทหารคนสนิทหวังทงแล้ว ความจริงนั้นทัพใหญ่ตอนนี้ก็ไม่ต่างกับตอนยกทัพปราบตะวันออกเจี้ยนโจว


แต่ทว่าทัพใหญ่โจรวัวโค่วสองแสน หวังทงเองไม่อาจนำกำลังทหารหมื่นนายไปสู้ นอกจากกองกำลังหลวงเดิมแล้ว ยังขอให้นอกจากเมืองกานซู่กับเหลียวหนิง ทหารเมืองชายแดนอื่นให้นำกำลังเก่งกล้ามาพันห้า ในนี้ทางต้าถงยังเพิ่มทหารม้ามาอีกสามพัน ให้รองแม่ทัพหม่านำกำลัง เมืองจี้โจวให้นำทหารราบห้าพันมาเพิ่ม เมืองจี้โจวให้รองแม่ทัพหยางนำกำลัง นอกจากนี้ ยังขอราชสำนักอนุญาตให้สามารถรวมกำลังทัพใหญ่จากบรรดาผู้กล้านับรบได้อีก


กองกำลังหลวงทั้งทหารราบ ม้า ปืน ปืนใหญ่ ราวหมื่นแปดพันกว่า เมืองชายแดนเติมทหารมาอีกราวสองหมื่น หากนับทหารสามพื้นที่เหลียวหนิง ก็เป็นทัพใหญ่แสนกว่าขึ้นไป เรียกได้ว่าเป็นการเคลื่อนกำลังแผ่นดินหมิงในหลายปีนี้ที่ใหญ่ที่สุด


แต่ทว่าหวังทงกล่าวชัดเจนในราชโองการแล้วว่า กองกำลังหลวงกับทหารกองกำลังอื่นที่ว่าเป็นทหารออกศึกได้ก็คงเหลียวหนิงสามพื้นที่มีกำลังทหารราวสองหมื่น ที่เหลือได้แต่ทำงานอื่นในกองทัพ ไม่ก็ติดตามดูแลกองทัพใหญ่ หากออกไปสังหารกันบนสนามรบจริง เกรงว่านำไปใช้ไม่ได้


ก็หมายความว่า ทัพใหญ่แสนกว่า สามารถออกศึกได้จริงก็ราวหกหมื่น ดังนั้นต้องรวมกำลังนักรบผู้กล้าจากหน่วยฝึกมาเสริมกำลังอีก


ที่หวังทงกล่าวมาล้วนเป็นความจริงที่ทุกคนรู้กันอยู่ ทุกคนล้วนไม่โต้แย้ง ที่มาพร้อมกับฎีกาหวังทง ยังมีจดหมายลับอื่นอีก จดหมายว่า เมืองชายแดนหลังปฏิรูป ขุนพลชายแดนเดิมส่วนใหญ่ยังเก็บทหารม้าตนไว้ ทหารราบกลับไม่ได้รับความสนใจ ทหารราบเก่งกล้าเหล่านี้ทิ้งไปก็น่าเสียดาย ไปร่อนเร่ที่ใดก็ย่อมเป็นภัย อาศัยโอกาสนี้ ให้พวกเขาผสมผสานเข้ากับกองกำลังหลวง วันหน้าให้อยู่ใต้บังคับกองกำลังหลวงแต่ละเมือง


นโยบายนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่กับมหาอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยล้วนเห็นชอบว่าดีเยี่ยม อย่างไรก็ไม่เสียเงินทองกับกำลังมาก สามารถประสานรวมตัวเข้ากับกำลังวังหลวงได้ นับว่ายิงนัดเดียวได้นกสองตัว แน่นอนเป็นแผนดี


นอกจากทหารบกแล้ว หวังทงยังเสนอในฎีกาเป็นพิเศษว่า เกาหลีติดทะเล โจรวัวโค่วรุกรานเข้ามาทางท้องทะเล ดังนั้นต้องเคลื่อนกองกำลังทางน้ำมาด้วย


ครั้งนี้หวังทงเจาะจงชี้เลือกขุนพลโดยตรง เฉินหลินแห่งกองทัพเรือสำรองกวางตุ้งเป็นตัวเลือก  ตัวเลือกนี้ทุกคนในราชสำนักไม่มีความเห็นค้าน เพราะเรื่องกองกำลังทางน้ำ เฉินหลินเป็นอันดับหนึ่งบนแผ่นดินหมิงตอนนี้  แต่ไรก็อยากจะเสนอตำแหน่งให้เฉินหลินได้ดูแลกองกำลังทางน้ำตะวันออกเฉียงใต้แผ่นดินหมิง


ราชสำนักให้ความสำคัญกับเฉินหลินมาก หนึ่งเป็นเพราะตอนนี้ท้องทะเลแผ่นดินหมิง การค้ากับการขนส่งนับวันยิ่งมาก  ต้องการความปลอดภัยบนท้องทะเล อีกเรื่องเป็นเพราะหวังทงอยู่ตะวันออกเฉียงใต้ หวังทงมีกองเรือใหญ่ ดังนั้นจำเป็นต้องสมดุล แน่นอน เหตุผลหลังย่อมไม่อาจนำมากล่าวเปิดเผย


ทุกระดับย่อมเห็นชอบเรื่องเฉินหลิน เดิมทียังมีคนรอให้หวังทงเลือกทหารบกเสร็จ แล้วก็จะยื่นฎีกาว่าหวังทงหละหลวม จากนั้นตนก็จะเสนอเฉินหลินเป็นแม่ทัพกองกำลังทางน้ำ คิดไม่ถึงหวังทงคิดถึงเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้ว


ตัวเลือกนี้ไม่เป็นที่โต้แย้ง หวังทงยังกล่าวถึงในฎีกาเฉพาะว่า ตอนนี้เฉินหลินนำกองกำลังทางน้ำกวางตุ้งได้โดดเด่นมาก สร้างเรือใหม่ไม่น้อย ดังนั้นครั้งนี้ต้องให้เฉินหลินนำกำลังกองกำลังทางน้ำจากวางตุ้งขึ้นเหนือมา ให้ไปพักที่เมืองไหลโจว ซานตงก่อน รอจังหวะมารวมกำลังออกศึก


ฎีกากล่าวไว้กระจ่าง โจรบนท้องทะเลส่วนใหญ่เป็นพวกเดียวกับโจรวัวโค่ว กองกำลังทางน้ำโจรวัวโค่วย่อมอิทธิพลอำนาจยิ่งใหญ่ เพื่อให้มั่นใจว่าจะชนะแน่นอน ก็ควรรวมกำลังเรือชาวบ้านมาร่วมรบด้วย เรือชาวบ้านที่ว่า ทุกคนล้วนรู้หวังทง กล่าวถึงกองเรือใด ย่อมเป็นกองเรือเขาเอง ขุนพลแผ่นดินหมิงออกศึก นำกำลังส่วนตัวไปด้วย แต่ไรก็มีธรรมเนียมนี้อยู่ หวังทงยอมนำกองเรือตนเองไปด้วย เรื่องนี้ทุกคนล้วนไม่อาจจับผิดอันใดได้ ยังต้องสรรเสริญยกย่องว่า มีใจภักดีราชสำนัก


บกบกบนท้องทะเล  ทหารราวแสนสามหมื่น หากนับชาวบ้านที่มาร่วมด้วย สองแสนจำนวนนี้ก็อาจจะถึง ทัพใหญ่จำนวนนี้น่าตกใจ จะจัดหาเบี้ยหวัดและเสบียงอย่างไร ตั้งค่ายอย่างไร  กรมอากรจะปล่อยงบอย่างไร ก็ล้วนเป็นปัญหาใหญ่


ที่ทำให้ขุนนางใหญ่ราชสำนักละอายใจก็คือ หวังทงให้ทางออกในฎีกาไว้มาก เช่นว่า ให้เมืองชายแดนส่งกำลังกองกำลังหลวงกับทหารราบท้องที่มา ค่าเบี้ยหวัดและเสบียงล้วนไม่ต้องให้ท้องที่รับผิดชอบ เพราะตอนนี้เมืองชายแดน ทหารส่วนใหญ่ล้วนเปลี่ยนสถานะเป็นราษฎรแล้ว ราชสำนักจ่ายเบี้ยหวัดและเสบียงน้อยลงไปมากแล้ว แต่จำนวนน้อยนี้ก็ยังอยู่ในการคำนวณงบได้ ครั้งนี้ไม่ต้องให้เมืองชายแดนควักกระเป๋า ใกล้จะปีใหม่แล้ว กรมอากรก็เอาเบี้ยหวัดและเสบียงที่หักจากเมืองชายแดนมาให้การศึกนี้ก็พอ


สำหรับเสบียงรอบรับแต่ละแห่ง ล้วนให้ร้านค้าใหญ่ในพื้นที่รับหน้าที่ ราชสำนักจ่ายเงิน พวกเขารวบรวมเสบียงขนมาที่ตั้งค่าย มีการรองรับตลอดเส้นทาง พื้นที่ริมแม่น้ำยาลูก็ย่อมเป็นเช่นนี้เช่นกัน ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เหลือ ใช้รายได้จากเมืองซงเจียงกับเทียนจินจ่ายไปเป็นรายการๆ ไป


เดิมทีค่าใช้จ่ายยกทัพ กรมอากรกับสำนักอาชาหลวงต่างก็โวยวายกันว่าเป็นรายจ่ายมากมายนั่นนี่ ท้องพระคลังคงได้กระเป๋าแห้ง  ที่อื่นไม่มีเงินให้ใช้อีกแล้ว แต่ฎีกาหวังทงมาถึง คนกรมอากรกับสำนักอาชาหลวงคำนวณดู  หากตามข้อเสนอหวังทง ถึงกับไม่ต้องใช้เงินท้องพระคลัง หวังทงไล่รายการออกมายังถึงกับมีเหลือ ทำให้หลายคนไร้วาจาจะตำหนิ


ขุนนางบู๊ชนชั้นสูง ถึงกับกล่าวถึงการบริหารการคลังได้ดีกว่าขุนนางบุ๋น  คนทำงานด้านนี้เองยังได้แต่ไร้วาจากล่าว คนนอกมองมาก็ได้แต่รู้สึกน่าขัน มีคนเริ่มคิดอะไรได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)