พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1087-1088

 บทที่ 1087 กลับพิภพเล็กอีกครั้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

แปลกประหลาดอัศจรรย์จริงๆ แบบนี้ก็โยงมาเกี่ยวได้เหรอ!


แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกเหมือนเห็นผีก็คือ คำพูดของอวี้หลิงเจินเหรินสามารถเป็นพยานให้คำพูดของเกาก้วนได้จริงๆ และยิ่งพิสูจน์ว่าเหมียวอี้คือศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนี


ตอนไม่ถามก็ยังดีๆ อยู่ แต่ยิ่งถามก็ยิ่งสับสนเลอะเลือน แต่เหมียวอี้ก็ยังอยากพิสูจน์อีกสักหน่อย ถามว่า “ไม่ทราบว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของอสุราอัคนีคืออะไร?”


อวี้หลิงเจินเหรินส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าจะรู้ได้อย่างไร ยามปกตินอกจากเป็นเพราะคนในสำนักปากมากพูดไปเรื่อย คนทั่วไปก็ไม่มีใครเปิดเผยออกมาง่ายๆ ว่าตัวเองฝึกเคล็ดวชาอะไร ก็เหมือนทุกวันนี้ที่ข้ายังไม่รู้ว่าท่านฝึกเคล็ดวิชาอะไรนั่นแหละ ในปีนั้นอสุราอัคนีเป็นตัวละครที่ไปไหนมาไหนอย่างอิสระคนเดียว ไม่ยอมรับการควบคุมจากหกมหาราชัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าไปยั่วโมโหอะไรประมุขไป๋ โดนประมุขไป๋ไล่สังหารมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ที่จริงก่อนหน้านี้ประมุขไป๋ก็ยังไม่เป็นที่รู้จัก หลังจากสังหารอสุราอัคนีแล้วถึงได้มีชื่อเสียง”


เหมียวอี้ปาดเหงื่อเล็กน้อย เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนประมุขไป๋ยังไม่โด่งดัง นั่นต้องเป็นเรื่องที่นานขนาดไหนกัน


จากนั้นก็ได้ยินอวี้หลิงเจินเหรินกล่าวกลั้วหัวเราะอีกว่า “ถ้าท่านเป็นศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนีจริงๆ จะว่าไปแล้วประมุขไป๋ก็เป็นศัตรูที่ฆ่าอาจารย์ท่านนะ ท่านได้รับวาสนาบุญคุณมาจากอสุราอัคนี ก็มีหน้าที่ต้องล้างแค้นให้อสุราอัคนีสิ!”


รู้ว่าเขากำลังล้อเล่น เหมียวอี้จึงกล่าวกลั้วหัวเราะเช่นกัน “ไม่จำเป็นต้องให้ข้าล้างแค้นแล้วล่ะ ได้ยินว่าประมุขไป๋ถูกประมุขชิงและประมุขพุทธะร่วมมือกันกำจัดทิ้งแล้วนี่?”


อวี้หลิงเจินเหรินได้ยินแล้วลังเลครู่หนึ่ง เหมือนมีความลับอะไรที่ยากจะเอ่ยออกมา


เหมียวอี้เห็นแบบนี้แล้วอดแปลกใจไม่ได้ “เจินเหริน เหตุใดจึงอึกอักอย่างนั้นล่ะ?”


อวี้หลิงเจินเหรินพลันกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้ากับพระอาจารย์แสงทองที่เป็นราชครูแคว้นต้าเยี่ยนมีความสนิทสนมกันอยู่บ้าง มีครั้งหนึ่งที่ไปเยี่ยมคารวะและแข่งหมากล้อมกัน พวกเราก็พูดคุยกันไปเรื่อย บางครั้งก็เคยได้ยินเขาเอ่ยถึงเรื่องประมุขไป๋ เหมือนประมุขไป๋จะยังไม่ตาย แต่ถูกกดอัดไว้ใต้เจดีย์สยบปีศาจที่ภูเขาเขาหลิงซาน”


ภูเขาเขาหลิงซานเหมียวอี้ก็รู้จัก ในแดนฝึกตนมีใครบ้างที่ไม่รู้จักภูเขาเขาหลิงซาน นั่นคือที่ฝึกตนของประมุขพุทธะที่แดนสุขาวดี แคว้นต้าเยี่ยนเหมียวอี้ก็รู้จัก ตอนที่เขามาที่ดาวไร้ลักษณ์ครั้งแรก ก็ได้คบค้ากับคนของแคว้นต้าเยี่ยนแล้ว สำนักลมปราณก็อยู่ในอาณาเขตของแคว้นต้าเยี่ยนเช่นกัน เพียงแต่คนที่ชื่อพระอาจารย์แสงทองคือใคร เขากลับไม่เคยได้ยิน ได้ยินว่าฝ่าฮ่าวกับสงเวยก็มีลูกน้องชื่อนี้เหมือนกัน


เขาอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ “ประมุขไป๋ยังไม่ตายเหรอ? ข้าได้ยินว่าประมุขพุทธะกับประมุขชิงค่อนข้างระแวงประมุขไป๋ ทั้งสองจะปล่อยให้คนแบบนี้มีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไร? แล้วพระอาจารย์แสงทองนี่เป็นใครกัน คำพูดเชื่อถือได้หรือไม่?”


อวี้หลิงเจินเหรินยื่นมือเชิญ แล้วทั้งสองก็เหยียบพื้นที่เต็มไปด้วยใบไผ่ เดินเข้าไปในป่าภูเขาต่อ ขณะที่พูดก็กล่าวว่า “จะจริงหรือโกหกข้าเองก็ยืนยันไม่ได้ แต่พระอาจารย์แสงทองเป็นศิษย์พุทธะที่มาจากภูเขาเขาหลิงซาน จากคำพูดที่เขาบอก ไม่ใช่แค่ประมุขไป๋ที่ยังไม่ตาย ประมุขปีศาจก็ยังไม่ตายเช่นกัน เจดีย์สยบปีศาจนั่นสร้างขึ้นมาเพื่อสยบประมุขปีศาจ เพียงแต่ตอนลังถือโอกาสสยบประมุขไป๋ไปด้วยกันเลย”


เหมียวอี้ได้ฟังแล้วยังตกใจ “เก็บประมุขไป๋ไว้คนเดียวก็ถือว่าเป็นภัยแล้ว ประมุขพุทธะกับประมุขชิงจะเก็บประมุขปีศาจไว้อีกทำไม?”


อวี้หลิงเจินเหรินส่ายหน้า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่ทราบด้วยแล้ว เดาว่าพระอาจารย์แสงทองคงรู้ความจริงที่ซ่อนอยู่ในนั้น เพียงแต่เขาไม่อยากบอก ข้าจึงไม่สะดวกจะถามมาก”


เหมียวอี้พยักหน้าเบาๆ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับประมุขพุทธะ พระอาจารย์แสงทองไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก็พอจะเข้าใจได้ “ข้าได้ยินว่าเดิมทีประมุขพุทธะ ประมุขชิง ประมุขไป๋และประมุขปีศาจมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีต่อกัน ตอนหลังประมุขไป๋กับประมุขปีศาจอยากจะครองใต้หล้าเพียงผู้เดียว ประมุขพุทธะกับประมุขชิงถึงต้องร่วมมือกันกำจัดสองคนนั้น ถ้าประมุขไป๋กับประมุขปีศาจยังไม่ตาย นี่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน บางทีประมุขพุทธะกับประมุขชิงอาจจะเห็นแก่ไมตรีในปีนั้นก็ได้”


อวี้หลิงเจินเหรินที่เอามือไขว้หลังช้าๆ ถอนหายใจแล้วบอกว่า “เรื่องนี้ใครจะพูดได้ชัดเจนล่ะ ประมุขพุทธะ ประมุขชิงและประมุขไป๋เดิมทีเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน เห็นแก่ไมตรีเก่าก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่กับประมุขปีศาจเหมือนจะไม่ได้สนิทสนมกันสักเท่าไร ที่จริงตอนแรกก็ไม่ได้มีสี่มหาราชันอะไรเลย หลังจากประมุขพุทธะ ประมุขชิงและประมุขไป๋ร่วมมือกันกำจัดหกมหาราชัน เดิมทีใต้หล้าเป็นของพวกเขาสามคน ได้ยินว่าประมุขปีศาจคือผู้ที่ประมุขไป๋ดึงตัวเข้ามาตอนหลัง ตอนนี้ถึงได้มีสี่มหาราชัน มีบางคนบอกว่านี่ต่างหากที่เป็นจุดเริ่มต้นบุญคุณความแค้นของทั้งสี่คน ถึงอย่างไรก็มีตำนานเรื่องเล่าแตกต่างกันไป ถ้าไม่ใช่คนที่ผ่านเรื่องราวในปีนั้นมา ไม่ว่าใครก็พูดได้ไม่ชัดเจน”


จากนั้นก็หัวเราะแล้วบอกอีกว่า “เรื่องในอดีตนานมากแล้ว ต่อให้ประมุขไป๋ยังมีชีวิตอยู่แล้วอย่างไรล่ะ อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการใหญ่คิดจะล้างแค้นให้อสุราอัคนีจริงๆ?”


เหมียวอี้ตอบกลั้วหัวเราะว่า “ถ้าข้าเป็นศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนีจริงๆ อย่างมากก็จุดธุปบูชาเขาเยอะๆ หน่อย ขนาดในปีที่เขาเฟื่องฟูยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประมุขไป๋เลย ข้าจะนับว่าสำคัญอะไร จะมีคุณสมบัติอะไรไปประสมโรงด้วย เกรงว่าทั้งชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้เจดีย์สยบปีศาจนั่นด้วยซ้ำ”


ทั้งสองพูดคุยยิ้มแย้มกันไปตลอดทาง ส่วนเป่าเหลียนที่อยู่ข้างหลังก็ก้มหน้าเงียบๆ


เป็นเพราะนักพรตเต๋าเฒ่าอวี้หลิงเปิดเผยความจริงแล้ว เหมียวอี้รับปากไว้แล้วว่าจะพักอยู่ที่นี่หลายวัน แต่รู้สึกว่าถ้าให้เป่าเหลียนคอยรับใช้อีกจะอึดอัดนิดหน่อย ไม่สู้แยกกันให้สงบลงสักหน่อย เขาเลยปล่อยให้เป่าเหลียนหยุดพัก


อวี้หลิงเจินเหรินเองก็เข้าใจ จึงส่งคนคุ้นเคยมาดูแลรับใช้เหมียวอี้ เป่าหนิงและเป่าซิ่น ยังคงพักที่เรือนเล็กในป่าไผ่ผืนนี้


วันต่อมา เหมียวอี้ถือสุราไปเยี่ยมท่านนักพรตเต๋าเต๋อสือที่สวนสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ หรือท่านตาเหล่ที่คอยดูแลสวนสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง ในปีนั้นที่เหมียวอี้มาที่นี่ใหม่ๆ ก็มักจะมาอยู่กับท่านตาเหล่ที่นี่ ในเมื่อมาแล้วก็ต้องไปเยี่ยมสักหน่อย


คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นนักพรตเต๋าที่มอมแมมสกปรกอีกคนอยู่ในรังของท่านตาเหล่ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นนักพรตเต๋าเต๋อหมิงผู้ที่สร้างผลงานตอนเปิดร้านค้าแรกๆ และเป็นลูกชายของอวี้หลิงเจินเหริน พ่อของเป่าเหลียน ผู้จัดการร้านคนแรกของร้านขายของชำซื่อตรง ตอนหลังสมคบกับหวงฝู่จวินโหรวหมายจะปล้นอำนาจเจ้าสำนัก จึงถูกลดตำแหน่งมาอยู่ที่นี่


เรื่องราวประเภทหลอกลวงอาจารย์เป็นข้อห้ามร้ายแรงในสำนัก เหมียวอี้รู้ว่าทั้งชีวิตนี้เต๋อหมิงไม่มีทางลืมตาอ้าปากได้แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปี อีกฝ่ายจะผิดหวังท้อใจจนกลายสภาพเป็นแบบนี้ เป็นขี้เมาที่สกปรกมอมแมมไปทั้งตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิง จะเหลือสภาพของผู้จัดการร้านเต๋อหมิงที่จิตใจเร่าร้อนฮึกเหิมได้อย่างไรกัน แทบจะจำไม่ได้แล้ว


ท่านตาเหล่กลับตื่นเต้นดีใจ เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเหมียวอี้มา เพียงแต่ฐานะของทั้งสองไม่ค่อยเท่ากัน เขาไม่สะดวกจะไปเคาะประตูหาเหมียวอี้ ถึงอย่างไรก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะยังเห็นตนอยู่ในสายตาหรือเปล่า นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะไม่ได้ดูถูกคนอื่นเพราะมีฐานะตำแหน่งสูงขึ้น ยังคิดถึงเขาอยู่ ยังรู้จักมาหาเขาเพื่อดื่มเหล้า


การดื่มสุราครั้งนี้ท่านตาเหล่ย่อมดื่มอย่างเบิกบานใจมากอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงบุญคุณความแค้นในอดีต ทั้งสามล้อมโต๊ะดื่มกันอย่างถึงอกถึงใจ


ขณะที่ดื่มสุรากันอย่างถึงอกถึงใจ ท่านตาเหล่ก็ชี้เหมียวอี้พร้อมตำหนิว่าในปีนั้นที่ปลูกสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์เหมียวอี้โง่ทึ่มขนาดไหน จากนั้นก็ทอดถอนใจอีก นึกไม่ถึงว่าชั่วพริบตาเดียวเหมียวอี้จะกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่คุมตลาดสวรรค์แล้ว จากทหารเลวคนหนึ่งกลายเป็นผู้มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมาก แต่เขายังคงขุดดินอยู่ที่นี่


จะเห็นได้ว่าถึงแม้จิตใจของเขาจะสงบ แต่ก็รู้สึกไม่ยอมที่ต้องอยู่อย่างไร้ชื่อเสียงที่นี่ไปทั้งชีวิต


ทั้งสามดื่มสุรากันจนดึกดื่นพระจันทร์ขึ้นสูง เหมียวอี้ถึงได้ลุกขึ้นแล้วกล่าวอำลา


ตอนที่กำลังจะออกประตูไป จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกตามหลัง “หนิวโหย่วเต๋อ!”


เหมียวอี้หันกลับไปมอง เห็นเพียงเต๋อหมิงที่เมามายสกปรกมอมแมม จู่ๆ ก็มองเขาด้วยสายตาแจ่มชัดได้สติ “เรื่องของเจ้ากับเป่าเหลียน ข้าได้ยินพ่อข้าพูดถึงแล้ว ทำดีกับเป่าเหลียนหน่อย!”


เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นักพรตเฒ่าอวี้หลิงพูดอะไรไป? แต่เขาก็ยังพยักหน้า อาศัยความสัมพันธ์ของตนกับสำนักลมปราณ เขาจะไม่ปฏิบัติกับเป่าเหลียนอย่างขาดความยุติธรรม จากนั้นก็เดินออกจากประตูมาพร้อมกลิ่นสุราติดเต็มตัว


ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากสำนักลมปราณ พักอยู่ที่สำนักลมปราณไม่กี่วัน เหมียวอี้ก็กล่าวอำลาแล้ว ไม่ได้พาเป่าเหลียนไปด้วย ไม่สะดวกจะพาเป่าเหลียนกลับพิภพเล็ก ให้เป่าเหลียนอยู่ที่สำนักลมปราณ นัดกันแล้วว่าหลังจากเขากลับมาจากเที่ยวทัศนาจรค่อยพานางกลับตลาดสวรรค์ด้วยกัน…


แดนเซียน สายมะโรง ยอดเขาหยกนครหลวง ฉินเวยเวยที่เป็นตัวแทนอำนาจของท่านทูตกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะยาวและตรวจอ่านแผ่นหยกที่เบื้องล่างรายงานขึ้นมา หน้าตาดีงามดุจภาพวาดเจือด้วยความน่าเกรงขามอยู่หลายส่วน ว่ากันว่าที่อยู่เปลี่ยนนิสัย การบำรุงเปลี่ยนร่างกาย เมื่อครองตำแหน่งสูงมานาน ลักษณะท่าทางก็เปลี่ยนไปอย่างเลี่ยงไม่ได้


หลังจากอนุมัติและตอบลงบนแผ่นหยกแล้ว ฉินเวยเวยก็ยื่นให้ “ส่งไปให้ผู้การใหญ่ดูหน่อย เผื่อมีอะไรไม่เหมาะสม”


“เจ้าค่ะ!” ลู่หลิ่วเพิ่งจะรับแผ่นหยกมาไว้ในมือ ฉินเวยเวยก็ขมวดคิ้วอีก จากนั้นก็ทำสีหน้าดีใจทันที พลิกมือหยิบระฆังดาราออกมาอันหนึ่ง


เป็นข้อความจากเหมียวอี้ : ปากทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบหยก บนเรือโหลวฉวนที่เรียบง่ายลำหนึ่ง เหมียวอี้อยู่ที่นี่ รอการมาเยือนของอนุภรรยาสุดที่รัก!


ฉินเวยเวยลุกพรวดอย่างตื่นเต้นดีใจ ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ไม่ได้บอกอะไรนางเลย เรียกได้ว่าสร้างความตื่นเต้นประหลาดใจใหญ่โตมาก นางตอบกลับทันทีว่า : จะไปเดี๋ยวนี้!


นางเก็บระฆังดารา แล้วกล่าวพร้อมใบหน้าสดใสดุจฤดูใบไม้ผลิ “นายท่านกลับมาแล้ว! ลู่หลิ่วรีบไปเชิญผู้การใหญ่มาพบข้าเร็ว!”


หงเหมียน ลู่หลิ่วก็ทำสีหน้าตื่นเต้นยินดีเช่นกัน ท่านเขยผู้นั้นก็เหลวไหลเกินไปแล้ว ทิ้งคุณหนูไว้หลายปีขนาดนี้ ยังนึกว่าลืมคุณหนูไปแล้วเสียอีก ลู่หลิ่วย่อมรีบออกไปทำตามคำสั่ง


ผ่านไปครู่เดียว หยางชิ่งก็รีบร้อนมาหา แต่พอมาถึงหน้าประตูก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง แล้วกุมหมัดคารวะ “หยางชิ่งคำนับท่านผู้แทน!”


“ท่านพ่อ! เหมียวอี้กลับมาแล้วค่ะ กำลังรอข้าอยู่ที่ทะเลสาบหยก ข้าต้องส่งต่อที่นี่ให้ท่านดูแลแล้ว” ฉินเวยเวยรีบร้อนพูดทิ้งไว้แล้วทำท่าจะไป


หยางชิ่งขมวดคิ้ว “ลุกลี้ลุกลนแบบนี้ไม่เรียบร้อยเลย ตอนนี้เจ้าเป็นผู้แทนอำนาจของท่านทูต ถ้าให้คนเห็นเป็นตัวตลก แล้วจะเอาความน่าเกรงขามมาจากไหน?”


ฉินเวยเวยสีหน้าชะงักเล็กน้อย แต่ยังคงกล่าวอย่างอดใจรอไม่ไหว “ท่านพ่อ! ข้าต้องไปก่อนแล้ว ถ้าช้ากว่านี้เดี๋ยวเหมียวอี้จะรอจนร้อนใจ”


หยางชิ่งรู้สึกจนใจทันที แต่ก็ยังยื่นมือห้าม “เวยเวย! ในเมื่อนายท่านไม่อยากโผล่หน้ามาที่นี่โดยตรง บางทีอาจจะไม่อยากเปิดเผยให้ใครรู้ เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าปลอมตัวก่อนสักหน่อย ออกไปแบบนี้สะดุดตาเกินไป เดี๋ยวข้าจะหาคนมาคุ้มกันอีก ทางที่ดีอย่าให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าจะลงจากเขาแล้ว”


เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉินเวยเวยก็พบว่าตัวเองไม่ค่อยมีระเบียบแบบแผนจริงๆ ยังเป็นหยางชิ่งที่พิจารณาได้รอบด้าน จึงทำได้เพียงปฏิบัติตามที่หยางชิ่งบอก


ตรงปากน้ำน้ำทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทะเลสาบหยก เรือโหลวฉวนที่หน้าตาเรียบง่ายลำหนึ่งลอยอยู่บนคลื่นสีหยก ไม่โดดเด่นสะดุดตาเหมือนเรือดอกไม้ลำอื่น เหมียวอี้กำลังเอามือไขว้หลังยืนพิงรั้ว ขณะกำลังทอดสายตาชมทิวทัศน์เมืองหลวง ตู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤท จึงพลันหันกลับไปมอง


จ๋อมแจ๋มๆ! เงาคนหลายคนฝ่าน้ำขึ้นมา หยางชิ่ง ฉินเวยเวย หงเหมียนและลู่หลิ่วเหยียบลงบนตึกเรือพร้อมกัน


เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ ในดวงตางามของฉินเวยเวยสดใสเป็นพิเศษ นางถลันตัวเข้ามาโดยตรง โผเข้าไปกอดราวกับเป็กนกนางแอ่นน้อยบินเข้าป่า ทั้งสองโอบกอดกัน กอดแล้วไม่อยากแยกจากกัน


“นายท่าน!” หยางชิ่งที่ยิ้มบางๆ เดินเข้ามาคำนับ


ถึงแม้ในตอนนี้ตำแหน่งของเขาที่ยอดเขาหยกนครหลวงจะสูงกว่าที่ปรึกษาอย่างเหมียวอี้ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเสียมารยาทเพราะไม่รู้จักชั่งน้ำหนักความสำคัญ


“นายท่าน!” หงเหมียน ลู่หลิ่วก้าวขึ้นมาคำนับด้วยสีหน้าเขินอายเล็กน้อยเช่นกัน


เหมียวอี้ตบหลังฉินเวยเวยเบาๆ คลายกอดนาง แล้วกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้การใหญ่สบายดีมั้ย!”


“ลำบากให้นายท่านเป็นห่วงแล้ว ไม่เจอกันหลายปี นายท่านยังคงสง่างามเช่นเดิม!” หยางชิ่งกุมหมัดคารวะ จากนั้นกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วถามอีกว่า “ไม่ทราบว่าท่านทูตอยู่หรือไม่ขอรับ?”


“ท่านทูตไม่อยู่ กำลังเก็บตัวฝึกตน ข้ามาที่นี่เพราะเตรียมจะพาเวยเวยนั่งเรือล่องแม่น้ำ เที่ยวชมธรรมชาติไปตลอดทาง เรื่องที่ยอดเขาหยกนครหลวง เกรงว่าต้องขอให้ผู้การใหญ่ทำแทนแล้ว” เหมียวอี้ถือโอกาสยื่นมือไปช้อนเอวฉินเวยเวย


“เอ่อ…” หยางชิ่งค่อนข้างลำบากใจ “ท่านทูตไม่อยู่ ถ้าท่านผู้แทนก็ไม่อยู่…”


“ท่านพ่อ!” ฉินเวยเวยกระทืบเท้า รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจ ชีวิตนางง่ายเหรอ เพิ่งแต่งงานได้ไม่นานก็ไม่เห็นผู้ชายของตัวเองแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าผู้ชายของตัวเองจะกลับมาสักครั้ง ทั้งยังจะพานางไปท่องเที่ยวตามลำพังด้วย เป็นเรื่องที่งดงามขนาดไหน แต่พ่อตัวเองกลับไม่ยอม จะให้นางตอบตกลงได้อย่างไร


เมื่อเห็นแววตาคับแค้นใจแบบนั้นของลูกสาว หยางชิ่งก็ยิ้มเจื่อนในใจ ลูกสาวโตแล้วรั้งไว้ไม่อยู่จริงๆ จึงกุมหมัดคารวะพร้อมบอกว่า “เวยเวย ดูแลนายท่านให้ดีๆ นะ! ข้าน้อยขอตัว!”


“ผู้การหยางช้าก่อน!” เหมียวอี้ตะโกนเรียก แล้วสั่งว่า “เดี๋ยวกลับไปแล้วเชิญจ้าวเฟยกับภรรยา ซือคงอู๋เว่ยกับภรรยา แล้วก็กู่ซานเจิ้ง ถานเล่า เย่ซิน ให้พวกเขารอข้าที่ปากทางออกทะเลของแม่น้ำสายนี้ เก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วย!”


“ข้าน้อยจะเตรียมการเดี๋ยวนี้!” หยางชิ่งกุมหมัดรับคำสั่ง แล้วหันตัวเดินออกไป ก่อนจะกระโดดหายไปในทะเลสาบอีกครั้ง


…………………………


บทที่ 1088 ลุ่มหลงในหญิงงามและดนตรี

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อไม่มีหยางชิ่งรบกวนแล้ว เหมียวอี้ก็ใช้มือช้อนคางที่อ่อนนุ่มของฉินเวยเวย พลางมองแล้วยิ้มตาหยี


ในชั่วพริบตาเดียวกก็ทำให้ฉินเวยเวยเขินอายหยาดเยิ้ม นางหลบสายตาเล็กน้อย แพขนตายาวสั่นไหว เหมียวอี้กำลังมองกดดัน ทำให้นางไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน


นางกับเหมียวอี้ผ่านช่วงเวลาของคู่แต่งงานใหม่มาแล้ว ได้เป็นสามีภรรยากันแล้วจริงๆ โดยพฤตินัย แต่ก็ยังค่อนข้างเขินอายกับเรื่องระหว่างชายหญิง ยังปรับตัวไม่ค่อยได้กับการยั่วเย้ากลางวันแสกๆ แบบนี้ มิหนำซ้ำหงเหมียน ลู่หลิ่วก็ยังคอยมองอยู่ข้างๆ ด้วย


นางถอยหลังก้าวหนึ่งทันที แล้วกล่าวอย่างเหนียมอายว่า “นายท่าน ให้ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะค่ะ”


ฉินเวยเวยเดินไปที่บันไดด้านข้างเรือทันที หงเหมียน ลู่หลิ่วหัวเราะคิกคักเดินตามลงไป ทั้งสามไปยังห้องที่อยู่ข้างล่างพร้อมกัน


ผ่านไปไม่นาน ตอนที่ขึ้นมาอีกครั้ง ฉินเวยเวยก็แต่งตัวด้วยชุดกระโปรงยาวสีขาวเหมือนอย่างเคยแล้ว สดใสมีชีวิตชีวา ผิวขาวดุจหิมะ ผมดำขลับถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยใหญ่ นางย่อเข่าคำนับอย่างเป็นทางการ “หม่อมฉันคำนับนายท่าน”


เหมียวอี้เกาศีรษะ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อได้ยินผู้หญิงคนนี้ถ่อมตัวเรียกแทนตัวเองว่าหม่อมฉันแล้วรู้สึกแปลกๆ จึงยื่นมือไปจูงมือนาง แล้วพาเดินไปพิงระเบียงข้างเรือเพื่อชมทิวทัศน์ทะเลสาบหยกและเมืองหลวงอันเจริญรุ่งเรืองด้วยกัน เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “หลายปีมานี้ข้าทำให้เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้ว!”


“ไม่หรอกค่ะ!” ฉินเวยเวยมองเขาด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้มแวบหนึ่ง ก่อนจะลองเอาตัวเองเข้าไปซุกในอ้อมกอดของเขาอย่างช้าๆ วางศีรษะพิงที่บ่าของเขา ส่วนเขาก็ถือโอกาสยื่นมือไปช้อนเอวนาง ทำให้ใบหน้านางฉายแววสุขสันต์ทันที ในที่สุดหัวใจก็รู้สึกสงบลงแล้ว


ทั้งสองรับชมทิวทัศน์


ส่วนหงเหมียน ลู่หลิ่วก็กำลังงานยุ่ง กำลังจัดวางถาดผลไม้และสุรา พวกนางยกโต๊ะยาวตัวหนึ่งมาวางข้างๆ ทั้งสอง แล้วก็วางเก้าอี้เอนที่ประณีตงดงามมาไว้ข้างหลังอีกหนึ่งตัว


“นายท่าน ฮูหยิน บ่าวจะลงไปควบคุมเรือข้างล่างนะเจ้าคะ” พวกนางรู้ว่าทั้งสองแยกจากกันไปนานหลังจากจากแต่งงานกันใหม่ๆ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมารบกวน


และก่อนที่ฉินเวยเวยจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเมื่อครู่นี้ ทั้งสองก็ได้ตรวจสอบทั้งตัวเรือแล้ว จึงรู้ว่าบนเรือไม่มีคน แม้แต่คนขับเรือก็ไม่มีสักคน ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้หาเรือมาจากไหน เช่นนั้นก็ย่อมมีแต่พวกนางแล้วที่ต้องไปควบคุมเรือ เพียงแต่อาศัยพลังอิทธิฤทธิ์ของพวกนางในตอนนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องพายกรรเชียงเรือ แค่ร่ายอิทธิฤทธิ์นิดหน่อยก็สามารถขี่ลมฝ่าคลื่นได้แล้ว


เหมียวอี้โบกมือชี้ไปยังปากทางน้ำไหลของทะเลสาบหยก “ลงไปตามแม่น้ำ!”


“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้ทั้งสองเอ่ยรับ


ฉินเวยเวยในเวลานี้เรียกได้ว่าอ่อนโยนไร้ที่เปรียบ นางเชิญเหมียวอี้ให้นั่งลง ส่วนตัวเองก็รินน้ำชามาวางให้ด้วยเอง


ขณะกำลังรู้สึกชื่นชมสตรีที่มีจิตใจงดงาม เหมียวอี้ก็รับถ้วยน้ำชามาวางไว้อีกด้าน จากนั้นโบกมือร่ายพลังอิทธิฤทธิ์กวาด ทำให้ผ้าม่านที่อยู่รอบตัวเรือม้วนลงมาทันที จากนั้นก็จูงมือนางให้เอนกายลงบนเก้าอี้นอน


แบบนี้สามารถชดเชยคืนให้ได้หรือยัง? ฉินเวยเวยที่กำลังกัดริมฝีปากไม่เคยรู้เลยว่าต้องปฏิเสธเขาอย่างไร เพียงตอบเบาๆ ว่า “ค่ะ”


หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ใบหน้าแดงเรื่อ หัวใจเต้นถี่ นางย่อมรู้ว่าต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ได้แต่มองดูเหมียวอี้จูบบนริมฝีปากตัวเองตาปริบๆ ขณะที่กำลังตื่นเต้นจนตัวสั่น ก็รู้สึกได้ว่ามีมือข้างหนึ่งกำลังถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก


ผ่านไปไม่นาน เสื้อผ้าของคนสวยที่สง่าภูมิฐานก็หลุดลงมาครึ่งหนึ่ง เผยทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิอันน่าเย้ายวนใจ ผิวเนื้อขาวใสเผยออกมา ยอดภูเขาหิมะที่ยืดตระหง่านถูกย่ำยีจนอ่อนนุ่ม น่าอายที่สุด…


เมื่อบนตึกเรือมีเสียงแปลกๆ ที่คุ้นเคยดังมา หงเหมียน ลู่หลิ่วที่ร่ายอิทธิฤทธิ์คุมเรืออยู่ใต้ตึกเรือก็สบตากันด้วยใบหน้าแดงเรื่อ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าข้างบนกำลังเกิดเรื่องอะไรขึ้น


ลู่หลิ่วที่หน้าแดงเรื่อหันตัวมาเตรียมน้ำอุ่นสำหรับอาบน้ำแล้ว


เรือออกจากทะเลสาบหยก แล่นเข้ามาในแม่น้ำ เรือไหลไปตามกระแสน้ำตลอดทาง หญิงรับใช้ทั้งสองแค่ต้องร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมทิศทางก็พอ


จนกระทั่งเสียงแปลกๆ บนตึกเรือเงียบลงสักพักใหญ่ ด้านบนก็มีเสียงที่เจือด้วยความเขินอายของฉินเวยเวยดังมา “หงเหมียน ลู่หลิ่ว!”


หญิงรับใช้ทั้งสองรู้ว่าต่อไปต้องทำอะไร จึงนำน้ำอุ่นขึ้นไปส่งทันที…


ทิวทัศน์ภูเขาและสายน้ำงดงามตลอดทาง สองฝั่งของแม่น้ำบางครั้งก็กว้างโล่ง บางครั้งก็เป็นเหวสูงอันตราย ส่วนน้ำในแม่น้ำบางครั้งก็ไหลเอื่อยสงบนิ่ง แต่บางครั้งก็เป็นคลื่นลูกใหญ่ไหลเชี่ยว เรือโหลวฉวนฝ่าคลื่นอย่างไม่สะทกสะท้าน แสงรุ่งอรุณสาดส่องสลายม่านหมอก คู่รักที่เหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกกำลังกอดกัน ชี้ภูเขาแม่น้ำ รักใคร่กลมเกลียว ต้นสนเขียวชอุ่มที่อยู่บนผาสูงชันสองฝั่งควรค่าแก่การกล่าวชื่นชม สองข้างทางมีเสียงชะนีร้องไม่หยุด เรือเล่นผ่านขุนเขานับหมื่นอย่างรวดเร็ว


อารมณ์ที่นุ่มนวลของฉินเวยเวยราวกับสายน้ำ สำหรับเหมียวอี้แล้ว นี่คือความความสุขที่หาพบได้ยากจริงๆ ความรู้สึกน่ารักออดอ้อนเหมือนนกน้อยพึ่งพาคนแบบนี้หาไม่ได้จากตัวอวิ๋นจือชิว


เขาหยอกล้อท่าทางที่เย็นชาของฉินเวยเวยในปีนั้น ทำให้สาวงามกอดเขาพลางขบคิดเงียบๆ ด้วยความเขินอาย


เหมียวอี้ที่กำลังอยู่ในอารมณ์สดชื่นก็ไม่ปล่อยให้เวลาผ่อนคลายที่หายากแบบนี้เสียเปล่า เลี่ยงไม่ได้ที่จะลุ่มหลงในหญิงงามและดนตรี จะได้คลายความทรมานจากความคะนึงหาหลายปีของฉินเวยเวย เพียงแต่ลำบากหงเหมียน ลู่หลิ่วที่ต้องนำน้ำอุ่นขึ้นมาส่งเป็นระยะ บางวันมากหน่อยก็ขึ้นมาส่งห้าหกรอบ เสียงสะดีดสะดิ้งยั่วยวนก็ยิ่งดังไม่ขาดหู ทำให้คนฟังทนรับไม่ไหว


เพียงแต่หงเหมียนกับลู่หลิ่วจินตนาการไม่ออก ว่าทำไมคุณหนูที่ยามปกติอ่อนโยนเรียบร้อยถึงได้ส่งเสียงร้องลามกแบบนั้นได้ ตอนแรกก็ยังรู้จักเก็บอาการ แต่ตอนหลังก็ค่อยๆ ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว


ในคืนหนึ่งที่ดวงดาวพร่างพรายเต็มท้องฟ้า ฉินเวยเวยจูงมือเหมียวอี้เดินลงมาชั้นล่างอย่างมีพิรุธ


“ทำอะไรเหรอ?” เหมียวอี้แปลกใจนิดหน่อย


ขณะที่เดินอยู่ตรงทางเดิน ฉินเวยเวยก็ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่หยุดอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง เปิดประตูและผลักเหมียวอี้เข้าไปโดยตรง จากนั้นก็ปิดประตูเอาไว้


เหมียวอี้ที่เข้ามาข้างในเหม่อไปชั่วขณะ เห็นเพียงหงเหมียนที่อาบน้ำแต่งตัวใหม่กำลังนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยความตื่นเต้นกังวลสุดขีด ใบหน้าแดงก่ำจนแทบจะมีเลือดไหลออกมาแล้ว


ชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ก็เข้าใจเจตนาของฉินเวยเวยแล้ว


ไม่มีอะไรน่าเกรงใจ เดิมทีก็เป็นหญิงรับใช้ที่แต่งงานตามเจ้านายมาอยู่แล้ว ถ้าตนไม่ใช่งาน คนอื่นก็แตะต้องไม่ได้อยู่ดี ประเพณีนิยมของสังคมก็เป็นเช่นนี้ ทำไมต้องทำให้อีกฝ่ายลำบาก คืนนั้นเหมียวอี้จึงค้างที่ห้องของหงเหมีย


วันต่อมาย่อมเป็นเวลาสุขสำราญของลู่หลิ่ว เป็นแบบนี้ต่อเนื่องกันสองวัน เขาครอบครองสาวใช้ทั้งสองทีละคน ในที่สุดพวกนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุณหนูถึงส่งเสียงร้องแปลกๆ แบบนั้น


หลังจากนั้น เหมียวอี้ก็ให้รางวัลพวกนางเป็นยาแก่นเซียนคนละหนึ่งล้านเม็ด


หลังจากได้ทำหน้าที่ของผู้หญิงและลิ้มรสชาติความเป็นหญิงอย่างแท้จริง ความเขินอายก็ติดอยู่บนใบหน้าหงเหมียนกับลู่หลิ่วหลายวัน บ่อยครั้งที่มองเหมียวอี้ด้วยแววตาออกอ้อน ทำให้ฉินเวยเวยพูดล้อพวกนางได้สะดวก ทำเอาพวกนางอับอายแทบแย่


บนแม่น้ำสายนี้ เหมียวอี้สลับเดินไปเดินมาระหว่างห้องของหนึ่งนายหญิงกับสองบ่าวรับใช้ กำเริบเสิบสานมาก ยามไม่มีการควบคุมจากอวิ๋นจือชิวนั้นช่างสบายอกสบายใจจริงๆ เป็นเวลาแห่งความสำราญของเขาอย่างแท้จริง


ไม่เร่งรีบและไม่เชื่องช้า หลังจากเรือแล่นไปได้หนึ่งเดือนกว่า ในที่สุดก็มาถึงปากแม่น้ำที่จะออกทะเลแล้ว


หงเหมียน ลู่หลิ่วยืนต้อนรับแขกอยู่ที่หัวเรือ เมื่อคนที่ซ่อนตัวอยู่ตรงปากแม่น้ำเห็นทั้งสอง ก็เข้าใจว่าเป้าหมายที่แท้จริงมาถึงแล้ว จึงพากันเหาะมาเหยียบลงบนเรือ


จ้าวเฟย อูเมิ่งหลัน ซือคงอู๋เว่ย เถาชิงหลี กู่ซานเจิ้ง ถานเล่า เย่ซิน กลุ่มสหายเก่ามาถึงครอบแล้ว พอฉินเวยเวยที่อยู่บนตึกเรือม้วนม่านไม่ไผ่โผลหน้าออกมา ทุกคนก็คำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน “คำนับท่านผู้แทน!”


สำหรับพวกเขา ฉินเวยเวยในตอนนี้มีฐานะไม่ธรรมดาแล้ว ไม่ใช่คนที่พวกเขาอยากจะพบในยามปกติแล้วจะพบได้ มีเพียงเถาชิงหลีที่ได้เจอปีละครั้งตอส่งส่วยประจำปี


ฉินเวยเวยก็แสดงพลังอำนาจออกมาแล้วเช่นกันวางตัวอยู่เหนือผู้อื่น ยกมือเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติ “ไม่ต้องมากพิธี!”


ไม่นานเหมียวอี้ก็ปรากฏตัวข้างหลังนาง ยืนพิงระเบียงพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เตรียมสุราอาหารไว้รอต้อนรับทุกคนนานแล้ว ยังไม่รีบขึ้นมาอีก”


ตอนแรกทุกคนอึ้งไปชั่วขณะ เพราะหยางชิ่งเก็บความลับดีมาก ไม่ได้เปิดเผยล่วงหน้าว่าให้พวกเขามาพบเหมียวอี้


ผ่านไปประเดี๋ยวเดี๋ยว พวกเขาก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะ สหายคนนี้ฝ่าฟันไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญตลอดทาง ชื่อเสียงโด่งดังสะเทือนใต้หล้า ปรากฏว่าพอแต่งเมียมาก็ทำเสียเรื่องหมดแล้ว ถูกเมียปล้นอำนาจไปโดยตรง ขนาดอนุภรรยาก็ยังมีตำแหน่งสูงกว่าเขาเลย ดังนั้นจึงหายหน้าหายตาไปหลายปี ไม่รู้ว่าไปหลบซ่อนตัวที่ไหน นึกไม่ถึงว่าจะได้มาเจอกันที่นี่


ถ้ามีแต่ฉินเวยเวยอยู่ที่นี่ พวกเขาก็ยังประหม่านิดหน่อย แต่พอเหมียวอี้ปรากฏตัว พวกเขาก็ผ่อนคลายทันที ต่อให้ฉินเวยเวยจะมีตำแหน่งสูงกว่า แต่ถึงอย่างไรเมื่ออยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ก็ยังเป็นเพียงอนุภรรยาของเหมียวอี้ ตรงนี้เหมียวอี้ยังมีอำนาจตัดสินใจ กอปรกับเป็นสหายกันมาหลายปี แต่ละคนถึงถลันตัวขึ้นไปบนตึกเรือทันที


ที่นั่งถูกจัดวางไว้เรียบร้อยแล้ว เหมียวอี้กับฉินเวยเวยนั่งเคียงกันตรงหัวโต๊ะ ส่วนสหายเก่าคนอื่นๆ แยกนั่งเป็นสองฝั่ง พูดคุยหัวเราะและชนจอกสุรากันไม่หยุด


ฉินเวยเวยได้แต่นั่งข้างกายเหมียวอี้เงียบๆ ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย นางรู้ว่าถ้าตัวเองพูดอะไรออกมา คนพวกนี้ก็จะอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติ ในตอนนี้เหมียวอี้เป็นเจ้าภาพหลัก นางเพียงได้นั่งอยู่ข้างกายเหมียวอี้เงียบๆ ก็พอใจแล้ว เพียงยิ้มบางๆ ขณะที่ฟังทุกคนพูดคุยหัวเราะกัน คอยถือกาสุรารินให้เหมียวอี้เป็นระยะ ที่จริงนางไม่ได้สนใจเรื่องอำนาจพวกนี้


คนอื่นๆ แอบวิจารณ์ฉินเวยเวยในใจ การที่นางได้แต่งงานกับเหมียวอี้แบบนี้ ก็เหมือนนกนางแอ่นที่พอบินขึ้นกิ่งไม้ก็ได้กลายเป็นหงส์


ลมทะเลพัดเย็น เรือลอยออกจากแม่น้ำ แล่นอยู่บนมหาสมุทรสีมรกต ตอนที่เรือแล่นไปข้างหน้าและอยู่ห่างจากชายฝั่งไม่ไกล เหมียวอี้ก็ยกจอกสุราชนกับถานเล่าและเย่ซิน แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าสองคนเป็นยังไงบ้างแล้ว?”


จ้าวเฟยส่ายหน้า ซือคงอู๋เว่ยหัวเราะแห้งๆ ส่วนกู่ซานเจิ้งก็ดื่มสุราเงียบๆ ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว บนใบหน้าของเขาก็ยังทำให้คนมองไม่ออกเหมือนเดิมว่าอยู่ในอารมณ์ไหน


เย่ซินค่อนข้างกระอักกระอ่วน


เมื่ออยู่ต่อหน้าเหมียวอี้ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร ทกคนต่างก็รู้เรื่องนี้ ถานเล่ายิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “จะเป็นยังไงได้ล่ะ? ก็ได้แต่หลบๆ ซ่อนๆ ไม่กล้าเจอใครมาตลอด น่าหงุดหงิดจริงๆ เดิมทียังคิดจะขอให้เจ้ามาช่วย แต่เจ้ากันทำตัวลึกลับเหมือนมังกรที่เห็นแต่หัวไม่เห็นหาง ครั้งนี้ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เจ้าจะไม่สนใจใยดีไม่ได้นะ! ชีวิตการแต่งงานของสหายฝากไว้ที่ตัวเจ้าแล้ว”


“ก็ได้! เรื่องนี้ให้หยางชิ่งจัดการเหมาะสมที่สุด” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ แล้วหันกลับมามองฉินเวยเวยที่นั่งอยู่ข้างๆ “เดี๋ยวกลับไปเจ้าคุยกับผู้การหยางสักหน่อยสิ ให้เขาเป็นคนกลางคุยกับเจ้าสำนักดิรัจฉานหลวงกับพรรคดรุณีหยกให้สักหน่อย เรื่องนี้ต่อให้สองสำนักจะไม่ยินยอมแต่ก็ต้องยินยอม”


สำหรับเขาในตอนนี้ เรื่องนี้ไม่นับว่าใหญ่โตอะไร ทั้งสองสำนักไม่กล้าไม่ไหวหน้า ไม่อย่างนั้นลูกศิษย์ของสองสำนักก็ยากที่จะมีที่ยืนในสายมะโรง


“ได้!” ฉินเวยเวยรับปากด้วยรอยยิ้ม


“ดูท่าจะได้ดื่มสุรามงคลของพวกเจ้าสองคนซะแล้วสิ!” ซือคงอู๋เว่ยตบโต๊ะพลางหัวเราะเสียงดัง


ถานเล่ากับเย่ซินสบตากันแวบหนึ่ง ในดวงตาฉายแววดีใจ ขอเพียงยอดเขาหยกนครหลวงออกหน้า เรื่องนี้จะต้องสำเร็จแน่นอน ทั้งสองยืนขึ้นกุมหมัดขอบคุณพร้อมกัน


เรือโหลวฉวนขี่ลมฝ่าคลื่นอยู่บนทะเล ตรงชายฝั่งทะเลไกลๆ มีแนวเทือกเขาหนาตา ท่ามกลางเสียงคลื่นลม ทุกคนดื่มสุราและพูดคุยหัวเราะกันไม่หยุด ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสหายเก่าได้มาพบกันอีกรอบ อย่างน้อยการที่เหมียวอี้พาอนุภรรยามาที่นี่ด้วย ก็ถือว่าเป็นการรับประกันอนาคตสำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมดีใจ เพราะดูเหมือนอนุภรรยาคนนี้จะเชื่อฟังเหมียวอี้มาก ในภายหลังคงไม่ทำให้พวกเขาลำบากแน่


บนใบหน้าเหมียวอี้มีรอยยิ้ม แต่ในใจกลับทอดถอนใจ เมื่อครู่ตอนที่สหายพวกนี้มาถึงเขาก็สังเกตเห็นแล้ว แต่ละคนยังมีวรยุทธ์บงกชแดงอยู่เลย เทียบกับหลายปีก่อนถือว่าวรยุทธ์ยังไม่คืบหน้าเท่าไร ยังใช้ให้ทำงานสำคัญอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงให้เป็นแรงสนับสนุนช่วยเหลือตนไปแล้ว


ตอนนี้เขาไม่สะดวกจะมอบยาแก่นเซียนให้ทุกคนเพื่อเร่งเพิ่มวรยุทธ์ ถ้ายังไม่ถึงเวลา เขาก็จะไม่เปิดเผยเรื่องนี้ง่ายๆ


ตั้งแต่กลางคืนจนฟ้าสาง พวกเหมียวอี้และคนอื่นๆ ต้องนั่งเรือไปทางใต้ต่อ พวกจ้าวเฟยที่ได้มารวมตัวกันจึงกล่าวอำลา แล้วแต่ละคนก็เหาะขึ้นฟ้าจากไป โดยที่เหมียวอี้ยืนมองส่งอยู่บนเรือ


หลังจากมองส่งคนกลุ่มนั้นกลับไปแล้ว เหมียวอี้ก็หันมากวักมือให้ฉินเวยเวย นางโบกแขนสื้อกวาดร่ายอิทธิฤทธิ์ย้ายเก้าอี้นอนไปไว้ที่หัวเรือทันที


“บอกหงเหมียน ลู่หลิ่ว ข้าจะกลับเมืองฉางเฟิงบ้านเกิดสักครั้ง” เหมียวอี้บอกนางพลางเอนกายลง


ไปเมืองฉางเฟิงคือข้ออ้าง เขาอยากจะไปเห็นความจริงที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้ง เขาอยากรู้ว่าตอนนี้ตัวเองสามารถเข้าไปที่แดนหมอกเลือดหมื่นจั้งได้หรือไม่ ภาพสตรีทะยานฟ้าบนหินก้อนใหญ่ก้อนนั้น ทั้งยังมีกู่ฉินหลังใหญ่นั่นด้วย ไม่รู้ว่าซ่อนความลี้ลับอะไรเอาไว้ ถึงอย่างไรประสบการณ์ก่อนหน้านี้ก็ได้บอกเขา ถ้าสถานที่เก็บภาพสตรีทะยานฟ้านั่นมีความแปลกประหลาด


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)