องครักษ์เสื้อแพร 1086-1087
ตอนที่ 1086 สายลมเริ่มกระหน่ำรุนแรง
Ink Stone_Fantasy
ชอลซานดง เมืองพยองอัน เกาหลี (“ดง” เป็นระดับหมู่บ้านในแผ่นดินหมิง) มีเส้นทางตัดตะวันออกไปตะวันตกสายหนึ่ง ไปยังแผ่นดินหมิงได้ เมื่อก่อนยามเทศกาลล้วนมีงานให้ทำกันมาก ล้วนไปหางานทำที่แม่น้ำยาลูและค้าขายกัน ชาวนาละแวกใกล้ก็ย่อมมาทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ
แต่ทว่าปีนี้เส้นทางนี้เงียบเหงามาก สองข้างทางล้วนไร้ควันไฟปรุงอาหารของบ้านเรือน มีแต่หนีเข้าไปในป่าลึก บ้างก็ถูกจับตัวไปเป็นเชลยทัพใหญ่โจรวัวโค่ว
ชอลซานดงอยู่ติดเขาชอลซาน เดิมเป็นเนินเขาที่ป่าไม้เขียวชอุ่ม ไม่มีควันไฟหุงอาหารชาวบ้าน มีสัตว์ป่าถึงกับเดินไปมาบนท้องถนน
แม้ยามนี้เป็นปลายเดือนเก้า เกาหลีหลายแห่งล้วนหิมะตกระลอกแรกแล้ว บนเส้นทางเหมือนเห็นสัตว์จำพวกกวางโร สัตว์ตัวนี้เหมือนเป็นจำพวกกวาง แต่ถูกเรียกว่า กวางโรจอมโง่ ความจริงนั้นระวังตัวมาก พอมีลมพัดก็จะหนีทันที
มีกวางโรตัวหนึ่งกำลังจะวิ่งผ่านมา พอได้ยินเสียงฝีเท้าม้าด้านหน้าก็รีบหันหลังกลับทันที รวดเร็วมาก สองข้างทางหญ้าขึ้นสูง กวางโรวิ่งไปได้สองสามก้าว ก็หันกลับมา สิ่งไปตามเส้นทาง กวางโรกำลังจะวิ่งผ่านทางสายนี้ ก็เหมือนตกใจหันหลังกลับ คอกวางถูกธนูดอกหนึ่งปัก กวางโรถูกยิงล้ม
“เยี่ยมยอด คืนนี้มีเนื้อกินแล้ว!”
นายพรานบนหลังม้าสามนายล่าสัตว์ไปหยุดหน้ากวางโร คนหนึ่งยิ้มพูดขึ้น อีกคนก็ยิ้มตาม
“น่าเสียดายที่ไม่ได้เอาสุราเกาเหลียงร้อนมาด้วย มีสุราและเนื้อ นี่มันอุดมยิ่ง!”
คนเหล่านี้คลุมด้วยเสื้อหนัง น้าวธนู บนอานม้ายังมีดาบและขวาน นายพรานยังมีอาวุธเช่นนี้ได้ ธนูเห็นชัดว่าเป็นอาวุธทางทหาร ดาบและขวานไม่ใช่เครื่องมือยังชีพราษฎร หลายคนล้วนพูดสำเนียงเหลียวตง หากคนพอฟังออกก็ย่อมแยกออกได้ว่า นี่ก็คือที่เรียกว่า ‘หน่วยลาดตระเวนโต้รุ่ง’ ทหารม้าเก่งกล้า ใช้เป็นสายสืบ มักปฏิบัติการลำพัง
สองคนคุยหัวเราะกันเสียงดัง คนหนึ่งขมวดคิ้วกล่าวว่า
“พวกเจ้าเบาหน่อย ข้างหน้าหลายวันก่อนมีโจรวัวโค่วนับหมื่นอยู่ ผู้ใดจะรู้มีสายโจรวัวโค่วหรือไม่……”
“พวกเรามาได้จะสามวันแล้ว แม้แต่คนเกาหลีก็เห็นไม่กี่คน ไหนเลยมีโจรวัวโค่ว ไม่แน่ว่าล้วนหดตัวอยู่ในรังผิงไฟกันอยู่!”
อีกคนพูดขึ้นอย่างไม่สนใจ คนที่เหลือสองคนล้วนส่ายหน้ายิ้ม อยู่ ๆ ก็มีเสียงลมดังแว่วมา สองข้างทางต้นหญ้าสั่นไหว ความจริงนั้นบอกว่าเป็นทาง ตอนนี้บนทางล้วนมีกองหญ้าแห้ง เทียบไม่ได้กับสองข้างทางที่เต็มไปด้วยต้นไม้ชอุ่ม
ตอนนี้เป็นยามปลายฤดูใบไม้ร่วง ลมพัดเป็นปกติ คนที่แสยะยิ้มขึ้นก่อนก็หันไปน้าวธนูใส่ โมโหตวาดว่า
“ในพุ่มไม้มีคน!”
‘ฉึก’ ลูกธนูพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้ ที่เหลือสองคนก็เตรียมน้าว ในพุ่มไม้มีเสียงร้องดังโหยหวนจริง มีคนสามคนรีบพากันลุกขึ้นยืน เห็นพวกเขาสามคนแต่งตัวเป็นชาวนาเกาหลีทั่วไป กำลังโบกมือไหวๆ ตะโกนตื่นตกใจ
พวกเหลียวหนิงเข้าเกาหลีมารู้ภาษาเกาหลีอยู่บ้าง ฟังออกว่าตะโกนว่า ‘พวกเราเป็นราษฎร’ สีหน้าชาวนาแตกตื่นตกใจมาก แต่ทหารแผ่นดินหมิงสองคนไม่สนใจ ธนูในมือยังคงยิงไป
ชาวนาเกาหลีสองคนส่งเสียงร้องโหยหวนล้มลง อีกคนอึ้งไป จากนั้นได้สติ ลูบหน้าอก ไม่มีธนูปัก
คนแรกที่ยิงธนูไปส่งเสียงร้องดัง มือหนึ่งทิ้งลง ส่งเสียงด่า
“อาวุธลับ เป็นสายโจรวัวโค่วจริงๆ รีบจับตัวไว้ บัดซบจริงมาหลบในพุ่มไม้ได้!”
ทางนั้นหายตัวไปแล้ว เดาว่าหลบในพุ่มไม้ ทางนี้พูดไม่ได้นานนัก ก็ได้ยินพุ่มไม้ตรงหน้าเคลื่อนไหว ทางนั้น ‘ชาวนาเกาหลี’ ถือดาบยาวก้าวออกจากพุ่มไม้ คนที่ถูกอาวุธซัดใส่แขนยังไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกดาบยาวแทงใส่ทะลุท้องน้อย ร้องดังก่อนจะล้มลง
แต่ก่อนตายมือยังจับอีกฝ่ายไว้แน่น เพื่อนทหารอีกสองคนก็ตะโกนโมโหชักดาบและขวานฟันใส่สายลับล้มกับพื้น
ดาบแทงท้องน้อย คนไม่แน่ว่าต้องตายทันที ส่งกลับไปแม่น้ำยาลูได้ คนยังพอทนรับไหว คนที่โดนดาบแทงเริ่มคำรามบ้าคลั่ง เพื่อนทหารเข้าใจว่าควรทำอย่างไร ย่อมช่วยให้เขาได้ไปสบายในทันที
ค้นตัว ‘ชาวนาเกาหลี’ พบว่ามีอาวุธลับจริงๆ นี่เป็นสายลับโจรวัวโค่ว ปลอมตัวเป็นคนเกาหลีหลบซ่อนอยู่ตามแผ่นดินหมิงที่ต่างๆ เพื่อสืบข่าวการทหาร คนเหล่านี้คิดว่าปลอมตัวเป็นคนเกาหลี อย่างน้อยทหารแผ่นดินหมิงก็คงไม่สังหาร แต่หน่วยลาดตระเวนโต้รุ่งเหลียวหนิงไหนเลยจะสนใจราษฎรคิดอย่างไร ตอนอยู่แผ่นดินหมิงอาจยังคิดคำนึงบ้าง แต่ที่เกาหลีนี่ไม่ต้องคิดมาก สังหารไปเลยหมดเรื่อง
นับประสาอันใดกับกลางวันแสกๆ คนหลบซ่อนตัวในพุ่มหญ้าข้างทาง ชาวนาเกาหลีเช่นนี้น่าสงสัยอย่างมาก
สถานการณ์เช่นนี้ พื้นที่เปียงยางกับแม่น้ำยาลูทุกวันมีเรื่องเกิดขึ้น สายแผ่นดินหมิงกับสายโจรวัวโค่วมักปะทะกันอยู่เสมอ หลบกันและกัน การต่อสู้แม้ว่าไร้สำเนียง แต่ทุกวันก็ล้วนเลือดตกยางออก บาดเจ็บล้มตาย
***************
การพ่ายศึกของจู่เฉิงซวิ่นครั้งนั้นทำให้แผ่นดินหมิงกับโจรวัวโค่วสองฝ่ายล้วนเริ่มรอบคอบขึ้น มาถึงตอนนี้ อำนาจบัญชาการการต่อสู้โจรวัวโค่วล้วนอยู่ในมือแผ่นดินหมิง เกาหลีอย่างมากก็แค่นำทาง แน่นอนพวกเขาสามารถได้ข่าวจากสายสืบเกาหลีตนเองในพื้นที่เกาหลีมาได้
แต่ข่าวที่รายงานแผ่นดินหมิงไม่อาจเชื่อได้โดยง่าย เช่นว่า ตามรายงานข่าวลับเกาหลี กำลังโจรวัวโค่วในเปียงยางไม่มีเพิ่มขึ้น กลับลดลง
สองฝ่ายในช่วงเวลานี้ แผ่นดินหมิงยังคงรวมกำลังชายแดนไม่หยุด เหตุใดโจรวัวโค่วกลับลดกำลังทหารแนวหน้าลง เกาหลีให้ข่าวมายังแผ่นดินหมิง ทำให้ยิ่งงง ต่อมาจึงได้ข่าวแน่นอนจากสายแผ่นดินหมิงเอง โจรวัวโค่วในเปียงยางลดลงจริง
เพราะเปียงยางเป็นพื้นที่ยึดครองได้หลังสุด เวลาเพาะปลูกทดแทนยังไม่นานนัก ไม่มีเสบียงผลิตได้มากพอ ไม่มีทางใดจะหาเสบียงเพิ่มให้กับทหารทัพใหญ่โจรวัวโค่วหน่วยแรกได้ ดังนั้นต้องส่งทหารหลายพันไปยังเมืองโซอุลหาอาหาร และยังเกณฑ์แรงงานชาวนาเกาหลีมาซ่อมทางและเมืองท่า เพื่อให้สามารถขนเสบียงจากทางใต้เกาหลีมายังตอนเหนือได้สะดวกยิ่งขึ้น
เหลียวหนิงเองยังคงต้องรักษาความสงบ ตอนนี้สามผู้บัญชาการรวมกำลังกันอยู่ที่แม่น้ำยาลู ใช้ยุทธวิธีป้องกันรักษาความสงบ การเคลื่อนกำลังบุกเป็นการเสี่ยงภัยไปสักหน่อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกำลังอีกฝ่ายได้เปรียบกองกำลังแผ่นดินหมิง ดังนั้นจึงไม่กล้าทำอะไรพลการ สองฝ่ายจึงยังคงรักษาท่าทีเช่นนี้ต่อกัน
เกาหลีตั้งแต่ระดับพระราชาจนถึงขุนนางเบื้องหน้าตอนนี้ล้วนร้อนใจ ราชสำนักแผ่นดินหมิงล้วนมีท่าทีเย็นชาต่อพวกเขาลงเรื่อยๆ เดิมยังสามารถใช้วิธีไปร้องไห้ต่อราชสำนักที่ต่างๆ แสดงถึงความร้อนใจ ตอนนี้อีกฝ่ายแม้แต่หน้าก็ไม่ให้พบ ล้วนให้พวกเขาอยู่รอด้านนอก ทำให้ทุกคนไร้หนทางไปต่อ
ด้วยความเข้าใจของเกาหลีต่อการบริหารในแผ่นดินหมิง ย่อมรู้สถานการณ์ในตอนนี้ รู้ว่าที่ตอนนี้ไม่เคลื่อนกำลังใด เป็นเพราะตัวเลือกแม่ทัพใหญ่ยังไม่ตัดสินใจ
พระราชาซอนโจแห่งเกาหลีเรียกประชุมขุนนางบุ๋นบู๊หารือ ตระกูลหลี่เมืองเหลียวโจว พวกเขารู้เป็นเช่นไร เหิมเกริมเป็นใหญ่อย่างที่สุด แม้ว่าตระกูลหลี่ว่ากันว่าเป็นพวกมาจากเกาหลี แต่แต่ไรมาก็ไม่เคยมีท่าทีอันใดต่อเพื่อนร่วมสายเลือด หากให้พวกเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ เกรงว่าคงเป็นภัยต่อเกาหลีไม่น้อย วันหน้าตระกูลหลี่คงขูดรีดเกาหลีต่อ คนเช่นนี้มาถึงได้ผลประโยชน์ไม่มาก ประเด็นที่สำคัญสุดก็คือ จู่เฉิงซวิ่นพ่ายศึก พวกเกาหลีล้วนตกใจ เดิมมีความหวังอยู่ หวังว่าแผ่นดินหมิงนำทัพมาถึง ก็จะสามารถขับไล่โจรวัวโค่วออกไป แต่ทหารม้าหลายพันกลับสูญสิ้นกำลังราบที่เมืองเปียงยาง และยังโยนผิดต่างๆ ให้เกาหลีทั้งหมด ผู้ใดจะรู้ว่าวันหน้าจะมีอันใดอีก
ชื่อเสียงหวังทงแน่นอนพวกเกาหลีก็รู้ พวกเขากับเผ่าหนี่ว์เจิน แม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซานไปมาหาสู่กันมาก แน่นอนรู้เรื่องหวังทงยกทัพปราบตะวันออก สำหรับการต่อสู้กองกำลังหลวงแผ่นดินหมิงเป็นที่รับรู้ ประเด็นก็คือ พวกเกาหลีล้วนรู้หวังทงค่อนข้างมีเหตุผล ทำงานมีระเบียบธรรมเนียม ไม่ใช่พวกป่าเถื่อนไร้เหตุผล
สถานการณ์เช่นนี้ พระราชาและขุนนางเกาหลีย่อมวิเคราะห์ได้ว่า หากเร่งผลักดันให้แม่ทัพใหญ่แผ่นดินหมิงเป็นหวังทง เช่นนั้นกองกำลังหมิงก็ยิ่งสามารถเร่งยกทัพปราบโจรวัวโค่วได้อย่างรวดเร็ว
พระราชาและขุนนางเกาหลีเริ่มเคลื่อนไหว พวกเขาเป็นผู้เกี่ยวข้อง มีการเลือกเช่นนี้ย่อมมีน้ำหนักพอ และสายสัมพันธ์เกาหลีในเมืองหลวงต่างๆ เงินทองแม้ทุ่มไปไม่มาก แต่ก็ทุ่มไปตรงเป้า ได้ผลไม่เลว
เดือนสิบปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 20 เสียงเรียกร้องให้หวังทงนำทัพเริ่มดังมากขึ้น ไม่เพียงแต่ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวขุนนางบุ๋นจากเทียนจิน ยังมีพวกที่แต่ไรวางตัวเป็นกลาง ถึงกับคิดว่าสถานการณ์ตอนนี้ ขุนนางล้วนคิดว่าหวังทงเหมาะสมยิ่งกว่า และการเคลื่อนไหวในวังก็เปลี่ยนไป
หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์เถียนอี้ไม่ชอบหวังทง นี่เป็นเรื่องที่ใต้หล้าล้วนรู้ แต่ผู้ช่วยสำนักสำนักส่วนพระองค์โจวอี้ และเจ้าจินเลี่ยงประจำตำหนักเฉียนชิงกง มีสายสัมพันธ์กับหวังทง ใต้กล้าก็รู้ ทิศทางในวังเกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นเรื่องปกติ
เรื่องราวมาถึงตอนนี้แล้ว ไม่ว่าราชสำนักหรือในวัง การถกเถียงกลับไม่ได้รุนแรงนัก เพราะทุกคนรู้ ถึงเวลา ก็ควรเป็นฮ่องเต้ว่านลี่ตัดสินพระทัย
***************
ณ ห้องทรงอักษรตำหนักเฉียนชิงกง ฮ่องเต้ว่านลี่กับมหาอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยนั่งหารือกันอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปก่อนจะตรัสว่า
“ขุนนางหวัง ตอนนี้ตัวเลือกแม่ทัพใหญ่นำทัพมีสองคน หนึ่ง หวังทง สอง หลี่หรูซง หลี่หรูซงได้ยื่นฎีกาขอออกศึกแล้ว แต่หวังทงไม่รู้ท่าทีเช่นไร หากเขาไม่อยากไป บังคับให้เขาไป ก็ไม่เหมาะ”
หวังซีเจวี๋ยยิ้มเบาๆ ส่ายหน้า กล่าวว่า
“ฝ่าบาท หากหวังทงไม่อยากไป เกรงว่าตอนนี้ราชสำนักคงไม่มีวาจาถกเถียงกันเช่นนี้ ตระกูลหลี่สามารถหาคนมาเชื่อมสายสัมพันธ์ออกหน้ากล่าวแทนได้ หรือว่าหวังทงไม่ทำกัน?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ทรงคิดถึงตรงนี้ ได้แต่ส่ายพระพักตร์แย้มสรวล
ตอนที่ 1087 ห้องทรงอักษรตำหนักฉือหนิงกง
Ink Stone_Fantasy
“เรายังคงคิดว่าหวังทงเป็นหนุ่มน้อยใสซื่ออยู่! คิดไม่ถึงหลายปีมานี้ เขาก็เป็นขุนนางเป็นแล้ว?”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสขึ้นด้วยพระอิริยะบทสบายๆ ขันทีหลายคนในสำนักส่วนพระองค์ล้วนพากันก้มหน้า หวังซีเจวี๋ยก็น้อมตัวลงต่ำ ไม่กล้ากล่าวอันใด
‘ฝ่าบาทเองก็มิได้เป็นหนุ่มน้อยใสซื่อ!’
วาจานี้ไม่ได้กล่าวออกมา หวังทงตอนนี้สถานะกั๋วกง จะไม่ให้เป็นขุนนางเป็นได้อย่างไร แม้จะนิสัยซื่อเพียงใด หลายปีถูกฮ่องเต้ว่านลี่ขยี้บดไม่หยุด อย่างไรก็ต้องรู้จักฉลาด ตอนนั้นจากเหลียวหนิงไปยังเมืองซงเจียง เพื่ออันใด แต่ทว่าวาจาในใจเหล่านี้รู้ก็พอ หากกล่าวออกมาแสดงว่าวางตัวไม่เป็น
“ขุนนางหวัง คิดว่าผู้ใดควรเป็นแม่ทัพใหญ่?”
ได้ยินเช่นนี้ หวังซีเจวี๋ยก็ลุกขึ้นถวายคำนับ ทูลตอบว่า
“ฝ่าบาท เรื่องการรบนี้ ควรให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัย กระหม่อมไม่บังอาจทูล”
ฮ่องเต้ว่านลี่สีพระพักตร์เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ตรัสว่า
“ขุนนางหวังในเมื่อเป็นมหาอำมาตย์ ก็มีหน้าที่ดูแลแผ่นดิน ไม่มีวาจาใดบังอาจหรือไม่บังอาจ เราตัดสินใจในเรื่องนี้ไม่ได้ ท่านก็เอ่ยมากหน่อย เสนอมาได้”
โอรสสวรรค์ตั้งแต่ผ่านลานฝึกมา หวังทงให้การสนับสนุนจนครองอำนาจการเมืองเบ็ดเสร็จ อำนาจใหญ่ในเมืองหลวงตกในพระหัตถ์ ยึดครองอำนาจใต้หล้าเพียงผู้เดียวแล้ว ตรัสอันใดก็ยิ่งทรงพลังและตามพระทัยมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทรงสนพระทัยในธรรมเนียมอันใด แต่เจ้าไม่อาจไม่คล้อยตาม
หวังซีเจวี๋ยกระแอมไอ ไม่กล้านั่งลง กล่าวทูลตอบว่า
“ฝ่าบาท แม่ทัพใหญ่นำทัพครั้งนี้ที่ยากจะเลือกก็เพราะมีความเสี่ยงอยู่ ไม่รู้กระหม่อมกล่าวถูกต้องหรือไม่?”
“ความเสี่ยง? แน่นอนมีความเสี่ยง การทหารมีความเสี่ยง การทหารไม่มีอันใดแน่นอน!”
“ฝ่าบาททรงกล่าวเพียงด้านเดียว ทัพใหญ่โจรวัวโค่วเช่นนี้รุกเข้ามาในดินแดนเกาหลี แผ่นดินหมิงควรทุ่มกำลังลงไป อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งหรือเกินครึ่งเข้าสู่สนามรบ ทหารเช่นนี้อยู่ในมือคนๆ เดียว หากคนผู้นี้คิดการไม่ซื่อ เมืองหลวงกับฝ่าบาทย่อมตกในความเสี่ยง ฝ่าบาท ไม่รู้กระหม่อมกล่าวได้มีเหตุผลหรือไม่พะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่พระพักตร์หุบรอยแย้มสรวล ยกพระหัตถ์เคาะฎีกาหนึ่งบนโต๊ะ ตรัสเรียบๆ ว่า
“มีระบบขุนนางบุ๋นคุม ระบบขันทีคุมกำลัง การควบคุมต่างๆ เหล่านี้ จะมีอันใดให้เสี่ยงกัน อำมาตย์หวังคิดมากไปแล้ว!”
หวังซีเจวี๋ยเงยหน้ามองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่ที่ประทับ ในใจอดไม่ได้ยิ้มเฝื่อน ตั้งแต่จางจวีเจิ้งมาถึงตอนนี้ มหาอำมาตย์แต่ละคน ตำแหน่งนับวันยิ่งยากดำรง แต่พูดถึงตรงนี้ก็ไม่อาจไม่พูดต่อไป อย่างไรก็อำนาจบารมีโอรสสวรรค์ก็เป็นอำนาจบารมีคณะเสนาบดีใหญ่ ปกป้องไว้ได้ก็เท่ากับปกป้องตัวเอง
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอกล่าวล่วงเกิน ตั้งแต่เหลียวกั๋วกงนำทัพออกศึก ใต้หล้าตอนนี้ล้วนรู้ ระบบขุนนางบุ๋นและขันทีควบคุมไม่แน่ว่าเป็นเรื่องดี คุมแน่นไป มีผลต่อการนำทัพ รบอาจได้ไม่ดี หากคุมไม่แน่น ก็จะมีธรรมเนียมนี้ไปทำไมกัน หลายปีนี้กระหม่อมเคยออกทัพ เข้าใจหลักการนี้ดี ทหารทัพใหญ่เชื่อฟังแม่ทัพใหญ่ ขุนนางบุ๋นกับขันทีจะทำอันใดได้ ถึงตอนนั้นกล่าวอันใดไร้น้ำหนัก จะมีประโยชน์อันใด?”
ฮ่องเต้ว่านลี่สุรเสียงแค่นเย็นชา แต่ทว่าสีพระพักตร์ยังคงแย้มสรวล ตรัสว่า
“เช่นนั้นอำมาตย์หวังคิดว่าผู้ใดควรเป็นแม่ทัพใหญ่กัน?”
หวังซีเจวี๋ยเริ่มเคร่งเครียดจริงจังขึ้น ตั้งแต่นั่งมาจนยืน ยามที่ต้องกล่าววาจานี้กลับคุกเข่าลง กล่าวอย่างจริงจังว่า
“ฝ่าบาท ที่กระหม่อมทูลก่อนหน้า ฝ่าบาทล้วนยอมรับ เช่นนั้นกระหม่อมก็ขอกล้าบังอาจกล่าวว่า หวังทงเป็นแม่ทัพใหญ่ เขาจงรักภักดีที่สุด”
ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบ ไม่ทรงตรัสอันใด ห้องทรงอักษรมีเพียงหวังซีเจวี๋ยที่ถามได้ โจวอี้ก็จุดยืนชัดว่าเลือกข้างแล้ว เจ้าจินเลี่ยงก็เช่นกัน ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปถามเถียนอี้ว่า
“เถียนอี้ เจ้าคิดว่าผู้ใดเหมาะสม?”
“ฝ่าบาทเรื่องนี้ ใต้เท้าหวังรอบคอบแล้ว กระหม่อมไม่กล้ากล่าวอันใด แต่ทว่า กระหม่อมคิดว่า เหลียวกั๋วกงตอนนี้เป็นขุนนางอันดับหนึ่งแล้ว ไม่มีรางวัลพระราชทานความชอบอีกแล้ว ผู้บัญชาการหลี่ก็มีใจคิดออกศึก เหลียวกั๋วกงฝึกกองกำลังหลวงและขุนพลกองกำลังหลวงมานั้นก็ราวพี่น้อง เรื่องนี้…”
ฮ่องเต้ว่านลี่ตวัดพระเนตรมอง ทำเอาเถียนอี้รีบก้มหน้า ฮ่องเต้ว่านลี่มองผ่านสีหน้าโจวอี้ สุดท้ายไปจบที่เจ้าจินเลี่ยง ตรัสถามขึ้น
“เสี่ยงเลี่ยง เจ้าว่าอย่างไร?”
เจ้าจินเลี่ยงในวังมีคนเรียกว่า ‘เสี่ยวเลี่ยง’ แต่ชื่อนี้คนเรียกได้มีแค่สี่ห้าคนเท่านั้น ขันทีอื่นพบหน้าล้วนต้องทักอย่างนอบน้อมว่า ‘เจ้ากงกง’ เรียกว่า เสี่ยว (เล็ก) ตอนนี้ก็อายุ 20 ต้นๆ แล้ว ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถามขึ้น เจ้าจินเลี่ยงก็ก้าวออกมาทูลเสียงดังว่า
“ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่า ตอนนี้ที่ฝ่าบาทกับใต้เท้าทุกท่านกล่าวกันมาทั้งหมด ล้วนมั่นใจว่าต้องรบชนะ ฝ่าบาทเมื่อครู่กล่าวว่า การทหารไม่มีอันใดแน่นอน แพ้ชนะไม่อาจคาดเดา กระหม่อมคิดว่า ตอนนี้ควรคิดก็คือ ผู้ใดสามารถรับประกันชัยชนะใหญ่ได้ ไม่ให้ผิดพลาดได้ ไม่ใช่หลังชัยชนะใหญ่จะจัดการอย่างไร”
ได้ยินเช่นนี้ ในห้องทรงอักษรก็เงียบกริบ สีหน้าเถียนอี้สีหน้าเองก็ปรากฏรอยยิ้มเฝื่อน ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็อึ้งไปทันที อึ้งไปครู่หนึ่งจึงได้ตบหน้าผาก หัวเราะออกมาตรัสว่า
“เสี่ยงเลี่ยงกล่าวได้ดี นี่สิถือว่ามาจากใจที่เป็นกลางเพื่อแผ่นดิน!”
เถียนอี้ยิ้มเฝื่อน ทุกคนแน่นอนทำเป็นไม่เห็น วาจาเจ้าจินเลี่ยงแม้มาจากใจที่เป็นกลางเพื่อแผ่นดิน แต่ก็เป็นการไม่ลงรอยกับวาจาเถียนอี้
หากเป็นเมื่อก่อน นี่นับว่าเป็นการล่วงเกินหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ หัวหน้าสูงสุดในวัง จากนี้ไปเกรงว่าจะมีภัยมาถึงตัว แต่พอเป็นเจ้าจินเลี่ยง กลับไม่เป็นไร เจ้าจินเลี่ยงอยู่ข้างพระวรกายฮ่องเต้ว่านลี่ในตอนนี้ ยังดูแลตำหนักเฉียนชิงกง ทุกวันเวลาอยู่ร่วมกับฮ่องเต้ว่านลี่มากกว่าเถียนอี้และโจวอี้
ตอนนี้ในวังแอบวิจารณ์กันว่า ตอนนี้ในวังมีกลุ่มสามอิทธิพลอำนาจ หนึ่ง เถียนอี้ สอง โจวอี้ และสาม อย่าเห็นว่าอายุน้อยด้อยประสบการณ์ ‘เจ้าจินเลี่ยง’
วาจากราบทูลได้ตรงเป้า ตอนนี้ที่ต้องทำไม่ใช่พระราชทานรางวัล ไม่ใช่มาห่วงเรื่องสมดุลอำนาจ แต่เป็นชัยชนะ ทุกสิ่งของทุกอย่าง ล้วนต้องเริ่มจากหลังชัยชนะ หากไม่ชนะ ที่หารือกันทั้งหมดล้วนว่างเปล่า
ฮ่องเต้ว่านลี่ผินพระพักตร์ไปยังหวังซีเจวี๋ย แย้มสรวลตรัสว่า
“อำมาตย์หวังเชิญกล่าวต่อ อย่าเพิ่งไปสนใจวาจาเสี่ยวเลี่ยง”
“พะยะค่ะ ฝ่าบาท ที่เจ้ากงกงว่ามานั้นล้ำเลิศ ในเมื่อล้วนพูดถึงตรงนี้แล้ว กระหม่อมก็ขอกล่าวตามตรง หากเป็นหลี่หรูซงเป็นแม่ทัพใหญ่ พ่ายแพ้มาทุกอย่างไม่ต้องพูดต่อ หากชนะมา ฝ่าบาทจะทำอย่างไรกับตระกูลหลี่ หลายปีนี้ เมืองเหลียวโจวตระกูลหลี่ถูกตัดแบ่ง เมืองเหลียวโจวตั้งเป็นมณฑล นี่เป็นวาสนาแผนดิน หากหลี่หรูซงชนะ ตระกูลเขาย่อมได้เกียรติสูงสุด ราชสำนักจะพระราชทานอันใดให้ เกรงว่าตระกูลหลี่คงได้ฟื้นคืนที่เมืองเหลียวโจว หากไม่ใช่แค่เมืองเหลียวโจว ยังมีที่เมืองเซวียนฝู่และเมืองจี้โจว อีกไม่กี่ปีก็จะมีภาพเหตุการณ์เหมือนเมืองเหลียวโจวเมื่อก่อน หรือว่าฝ่าบาททรงอยากเห็นเช่นนั้นกันพะยะค่ะ?”
“เราไม่เลอะเลือนเช่นนั้นแน่?”
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา แน่นอนไม่ทำเช่นนั้น แต่ในมือเขากุมทัพใหญ่เมืองเหลียวโจว ทัพใหญ่โจรวัวโค่วยังเรียกว่าไกล เมืองเหลียวโจวเรียกได้ว่าติดเราทีเดียว ฝ่าบาทถึงตอนนั้นรับคำหรือไม่รับคำเล่า?”
วาจาหวังซีเจวี๋ยเหล่านี้ ถึงกับไม่เกี่ยวกับแพ้หรือชนะ หากที่กล่าวล้วนสถานการณ์หลังมีชัย ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ไม่ได้แก้ความผิดพลาดเขา สองคนยังคงถามตอบต่อไป
“เจ้าคิดให้หวังทงเป็นแม่ทัพใหญ่?”
ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่ก่อนจะตรัสถาม หวังซีเจวี๋ยโขกศีรษะ ลุกขึ้นทูลอย่างหนักแน่นว่า
“ฝ่าบาท หวังทงมีผลงานการรบที่มีชื่อเสียงก้องหล้า เคลื่อนกำลังแต่ละเมืองออกศึก อย่างไรก็ต้องมีกองกำลังหู่เวยแต่ละกอง ผู้ใดมาเป็นแม่ทัพได้เหมาะไปกว่าเขาเล่า?”
ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบ ตรัสถามอีกทีสุรเสียงก็เบาลงไปมาก ว่า
“เจ้าเมื่อครู่พูดถึงหลี่หรูซง เหตุใดเจ้าจึงรู้ว่าจะไม่เกิดกับหวังทง”
หวังซีเจวี๋ยสีหน้าเคร่งขรึม แอบทอดถอนใจในใจ ‘แล้งน้ำใจย่อมเป็นราชวงศ์’ ทูลตอบว่า
“ฝ่าบาท พูดถึงตรงนี้แล้ว กระหม่อมก็ขอล่วงเกิน หากต้องการทำเรื่องเช่นนี้จริง ตอนยกทัพปราบตะวันออกเจี้ยนโจวของหวังทงเป็นเวลาที่ดีที่สุด หวังทงไม่ได้ทำ เขาถึงกับไม่อยากให้ราชสำนักลำบากใจ ตนเองอยู่ๆ มุ่งลงใต้ไปเอง คิดเพื่อแผ่นดินส่วนรวมเช่นนี้ กระหม่อมคิดว่าหวังทงผู้นี้จงรักภักดีที่สุด ไว้วางใจได้พะยะค่ะ”
พูดหมื่นแสนพัน วาจาว่างเปล่า ไม่สู้กล่าวเรื่องจริง หวังทงตอนยกทัพปราบตะวันออกเจี้ยนโจวมีชัยชนะใหญ่ อยู่ ๆ ก็มุ่งไปเมืองซงเจียงเก็บตัว มองแล้วเหมือนว่าเหิมเกริม ไม่ไว้หน้าราชสำนัก แต่ความจริงนั้นทำให้ใต้หล้าได้เบาใจ การกระทำเช่นนี้ก็มีแต่หวังทง คนอื่นๆ ไม่เคยกระทำ
พูดไปแล้ว หลี่หรูซงเองก็ไม่เคยประสบเหตุ ไม่อาจกล่าวได้ว่าหากเขาพบสถานการณ์เช่นนี้จะไม่ทำเช่นนี้ แต่เรื่องสำคัญระดับนี้ ผู้ใดกล้าพนัน
ในที่สุดฮ่องเต้ว่านลี่ก็พยักพระพักตร์เบาๆ ตรัสถามขึ้น เหมือนว่าเปิดประเด็น
“เมื่อครู่ที่เถียนอี้ว่ามาก็เป็นหลักการสำคัญ เราไม่อาจเอาเปรียบหวังทง หากเขาสร้างความชอบยิ่งใหญ่อีก เขาตอนนี้ก็เป็นถึงกั๋วกงแล้ว เราจะพระราชทานอันใดให้อีก ใต้หล้ามองเราอยู่ หวังทงเองก็มอง!”
หวังซีเจวี๋ยโขกศีรษะทูลหนักแน่นว่า
“ฝ่าบาท หากหวังทงสร้างความชอบยิ่งใหญ่อีกจริง แต่ตั้งเป็นอ๋องเป็นอย่างไร? ถึงตอนนั้นฝ่าบาทก็ให้เขาอยู่เมืองหลวง เหมือนเมื่อก่อน ให้เขาเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรก็ได้”
“อ๋อง! เหลวไหล! มันช่าง…แต่ทว่า…”
วาจากราบทูลหวังซีเจวี๋ย ฮ่องเต้ว่านลี่ปฏิกิริยาแรกก็คือทรงกริ้วหนัก แต่ทว่าก็ตามมาด้วยคิดได้ เงียบไปก่อนตรัสว่า
“ให้อยู่ข้างกายเรา เป็นองครักษ์เสื้อแพร เหมือนเมื่อก่อน ก็แค่ชื่อที่เปลี่ยนไปเท่านั้นเอง…”
ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเงียบไปนาน ตอนตรัสอีกทีก็เหมือนตัดสินพระทัยได้ว่า
“ท่านอำมาตย์อายุมากแล้ว วันนี้ก็เหนื่อยมามากแล้ว ออกจากวังให้จัดเกี้ยวแบกให้นั่งด้วย พอแค่นี้ก่อน เลิกประชุมได้!”
หวังซีเจวี๋ยรีบขอบพระทัย เจ้าจินเลี่ยงนำหวังซีเจวี๋ยออกจากห้องทรงอักษร เถียนอี้ตามคนมาจุดตะเกียง ออกไปแล้วก็หันกลับมาทูลถามขึ้น
“ไทเอาทรงถามว่า ฝ่าบาทค่ำนี้เสด็จไปเสวยพระกระยาหารค่ำหรือไม่พะยะค่ะ?”
ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังเหม่อมองฎีกา ลังเลครู่หนึ่ง ตรัสว่า
“นานแล้วไม่ได้ไปตำหนักฉือหนิงกง คืนนี้เราจะไปถวายพระพรเสด็จแม่ ไปเสวยพระกระยาหารค่ำที่นั่นละกัน!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น