องครักษ์เสื้อแพร 1083-1085

 ตอนที่ 1083 ผู้ได้รับเลือก

Ink Stone_Fantasy

แม้สวีกว่างกั๋วยื่นฎีกาไม่หยุด แต่สถานการณ์ก็ยังคงเป็นไปในทิศทางแบบที่พวกหลี่ว์วั่นไฉวิเคราะห์ สวีกว่างกั๋วพูดมา คนอื่นๆ ก็รีบพากันสนับสนุนตาม


ประเด็นก็คือวาจาสวีกว่างกั๋ว สถานะชัดเกินไป วาจาที่กล่าวมาก็ดูมากเกินไป พลังชักนำจึงไม่ค่อยได้ผล


ทุกคนล้วนมองออกถึงเจตนาของสวีกว่างกั๋ว ก็แค่เพื่อคิดให้หวังทงได้ออกศึกนำกำลังอีกครั้ง เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด หวังทงตอนเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรเมืองหลวง ทุกคนในเมืองหลวงถูกข่มแทบหายใจไม่ออก ขุนนางแค่ขยับ เขาก็เงื้อดาบแล้ว


หากครั้งนี้ให้เขาไปปราบโจรวัวโค่วที่เกาหลีอีก สร้างความชอบอีก จากนี้ทุกคนจะทำเช่นไร แม้ว่าไม่ได้มีภัยถึงชีวิตตน แต่คนเช่นนี้อย่างไรก็ทำให้ทุกคนเหมือนถูกจำกัดอิสรภาพ


พูดไปแล้วก็น่าแปลก ตั้งแต่ได้ข่าวโจรวัวโค่วรุกรานเกาหลี จากนั้นข่าวมาถึงตอนนี้ ราชสำนักแผ่นดินหมิงถึงกับไม่มีคนคิดว่าจะแพ้ การทหารเปลี่ยนแปลงง่าย แพ้ชนะไม่อาจคาดเดา  ผู้ใดก็ไม่กล้ามั่นใจเต็มที่ แต่แผ่นดินหมิงครั้งนี้กลับมั่นใจเช่นนี้


แม้จู่เฉิงซวิ่นนำทหารม้าหลายพันบุกเข้าเปียงยางถูกลอบโจมตีพ่ายแพ้ยับเยิน แต่ทุกคนล้วนรู้ว่าปราบวัวโค่วที่เกาหลีเป็นการสร้างความชอบใหญ่


สถานการณ์ตอนนี้อย่างไร แน่นอนไม่อาจกล่าวได้ แต่ทว่าชัยชนะนี้ย่อมเป็นของแผ่นดินหมิง ตอนนี้เมืองหลวงไม่มีคนกล่าวเช่นนี้ ไม่มีคนเขียนอะไรเช่นนี้ออกมา แต่ทว่าการวิเคราะห์ทุกสิ่งอย่างล้วนได้ข้อสรุปว่า ผู้ใดเป็นแม่ทัพใหญ่ ผู้นั้นก็ได้ความชอบใหญ่ ผู้นั้นก็ย่อมเป็นที่ยอมรับอย่างมากในวันหน้า


ตั้งแต่รัชสมัยว่านลี่ที่  5 มา แผ่นดินหมิงรบต่างชาติ ล้วนมีอุปสรรคบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะชนะติดๆ กัน  ภัยนอกด่านแผ่นดินหมิงพวกนั้น ที่มีกำลังหลายหมื่นถึงแสนอันแสนแข็งแกร่ง ก็ถูกปราบสิ้นชาติไปหมดแล้ว


มีชัยชนะเช่นนี้อยู่ ทุกคนก็ย่อมวิเคราะห์เหตุในเกาหลีได้ว่า แผ่นดินหมิงย่อมมีชัย แผ่นดินหมิงย่อมมีชัยชนะใหญ่


สวีกว่างกั๋วกล่าวเช่นนี้ มีขุนนางกรมปกครองและขุนนางกรมทหาร ยังมีขุนนางบัณฑิตที่เคยไปเหลียวหนิงพากันวิพากษ์วิจารณ์ ล้วนว่าตระกูลหลี่พ่ายแพ้ใหญ่ครั้งนั้นมาก็พยายามฝึกทหาร กำลังรบเก่งกล้ากว่าแต่ก่อนแล้ว แต่การพ่ายศึกมาของจู่เฉิงซวิ่น ทำให้คำวิจารณ์นี้ไม่มีน้ำหนักพอ


ดังนั้นเมืองหลวงจึงไม่ให้ค่าคำให้การจู่เฉิงซวิ่น ล้วนว่าคนผู้นี้ไม่ชำนาญการนำทัพ ปกติคงเอาแต่สนใจเรื่องการค้าหากำไร ทหารไม่อาจเรียกได้ว่าทหาร


ผู้ตรวจการเหลียวหนิงกล่าววาจาได้มีน้ำหนัก  จากการรวบรวมข้อมูลในพื้นที่ การวิจารณ์เขาต่อตระกูลหลี่ย่อมมีความน่าเชื่อถือ ว่าตระกูลหลี่รู้อับอายและคิดต่อสู้ ทุกคนประสานใจเป็นหนึ่ง ฝึกฝนทหารไม่ย่อหย่อน


แน่นอนประเด็นไม่อยู่ที่ตระกูลหลี่เหลียวซี ต้องการบอกแค่ว่าทหารตระกูลหลี่เหลียวซียังใช้การได้ ทหารยังชำนาญการรบได้อยู่ ประเด็นนี้อยู่ที่ต้องการกล่าวสรรเสริญผู้บัญชาการหลี่หรูซง เมืองเซวียนฝู่


 หลี่หรูซงเมืองเซวียนฝู่ควรค่าแก่การได้รับการกล่าวสรรเสริญจริง เช่นว่าตั้งแต่ต้นรัชสมัยว่านลี่ที่ 5 เริ่มมีชัยใหญ่น้อย เข้าร่วมการรบล้วนนำหน้าออกศึก ทุกคนร่วมใจสละชีพ  ยังมีอีกเรื่องนี้ กองกำลังหลวงกับกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธนำกำลังออกต่อสู้ หลี่หรูซงล้วนร่วมด้วย  ตัดหัวมาได้ไม่น้อย และนับเป็นความชอบที่เห็นกัน  และเพราะเขาโชคไม่เลว หลายครั้งที่ตระกูลหลี่แพ้มานั้นล้วนไม่มีเขาร่วมศึก


ขุนพลทหารเช่นนี้ คุณสมบัติเพียงพอ ความชอบก็เพียงพอ และหลี่หรูซงก็มีสายสัมพันธ์กับเครือกองกำลังหลวง หวังทงไม่เลว ทุกคนร่วมมือกันมาก เขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด


หลังผู้บัญชาการหลี่หรูซงเมืองเซวียนฝู่ได้รับเสนอเป็นแม่ทัพ เสียงคัดค้านในราชสำนักไม่มาก แม้แต่คนที่มีจุดยืนเป็นกลางในราชสำนักก็ยังไม่กล่าวอันใด


หลี่หรูซงยังถวายฎีกาฮ่องเต้ว่านลี่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ ความมั่นคงชายแดนแผ่นดินหมิงกับเกาหลี เคลื่อนกำลังเป็นเรื่องต้องวางแผน การป้องกันต้องทำก่อน และยังส่งสายไปสืบข่าวในเกาหลีด้วยตนเอง เพื่อให้เข้าใจสภาพการณ์ได้มากยิ่งขึ้น


ความเห็นนี้หวังทงก็เคยออกความคิดมาก่อน ดังนั้นฮ่องเต้ว่านลี่จึงทรงคิดว่าหลี่หรูซงเหมาะสมจริง นับว่าเป็นขุนพลทหารที่มีความเชี่ยวชาญ


************


แย่งชิงส่วนแย่งชิง ในเรื่องสถานการณ์เกาหลี กรมทหารให้ความสำคัญเพียงพอ กองกำลังหู่เวยหน่วยของหานกังประจำเมืองหลวงถูกส่งไปตั้งค่ายที่เมืองหย่งผิง มีขบวนทัพม้ากองกำลังหู่เวยกองกำลังหลวงครึ่งหนึ่ง เมืองจี้โจวกับที่อื่นๆ ให้ส่งกำลังเก่งกล้ามาสี่พันตามไปด้วย


นี่เป็นการรับมือที่ระมัดระวังรอบคอบ หากสถานการณ์เหลียวหนิงมีการเปลี่ยนแปลงอันใด ทหารเก่งกล้าที่สุดของกองกำลังหลวงก็จะรับมือได้ทันทีที่รู้ข่าว


ผู้ว่าการมณฑลสวีกว่างกั๋วได้รับสิทธิจัดการยิ่งมาก ความจริงนั้นตอนนี้สวีกว่างกั๋วว่าเป็นผู้บัญชาการใหญ่เหลียวหนิงสามพื้นที่จะเหมาะสมกว่า เพื่อให้ทำงานสะดวก สวีกว่างกั๋วมีอำนาจสั่งการสามผู้บัญชาการ เพียงแต่คำสั่งต้องส่งไปรายงานเมืองหลวงตลอดเวลา นับว่าเป็นขั้นตอนการดำเนินงาน


ผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วเคลื่อนกำลังทหารม้าสี่พันของผู้บัญชาการเหลียวตงหม่าหลินไปยังเหลียวหนาน ผู้บัญชาการเหลียวซีหลี่หรูป๋อก็นำกำลังเก่งกล้ามาสมทบแล้ว ผู้บัญชาการเหลียวหนานซุนโส่วเหลียนแน่นอนเคลื่อนกำลังมาทั้งหมด


นอกจากการจัดการเหล่านี้แล้ว ผู้ว่าการมณฑลสวีกว่างกั๋วยังดำเนินการเรียกกำลังพล หน่วยฝึกซ้อมชายแดนกับกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธถูกเรียกกำลังมาได้ราวสามพันกว่า รวมกับทหารของเขาเอง ก็ราวสี่พันกว่า ใช้เพื่อเป็นกำลังสำหรับกองกำลังฝ่ายขวาติ้งเหลียว


ราชสำนักผู้ใดเป็นแม่ทัพใหญ่ยังคงเป็นที่ถกเถียง ขุนนางล้วนรู้สึกไม่ดีนักกับการเป็นเพียงแค่บัณฑิตจวี่เหรินของสวีกว่างกั๋วแล้วได้มาเป็นผู้ว่าการมณฑล  การร่วมถกเถียงกันครั้งนี้ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ไม่ดี


แต่ทว่าการเตรียมการต่างๆ ในเหลียวหนิง มีเรื่องหนึ่งที่ทุกคนไม่อาจไม่ยอมรับ สวีกว่างกั๋วเป็นขุนนางสามารถจริง เขามาถึงเหลียวหนิงได้ไม่ถึงสองปี ก็สะสมเสบียงและเงินทองได้มากมายเพียงนี้ ครั้งนี้ทัพใหญ่เคลื่อนกำลังล้วนใช้จากกองนี้ ลดความยุ่งยากไปได้มาก


*************


เวลาผ่านไปเร็วมาก ต้นเดือนเก้า ทัพใหญ่โจรวัวโค่วเข้าสู่เกาหลีแต่ไม่ได้ทำการอันใด ตอนกลางของเมืองพยองอัน ทหารเกาหลีที่ยังหลงเหลือถึงกับตีโต้คืนไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่ใช่ทัพใหญ่อันใด ปราบทัพใหญ่โจรวัวโค่วไม่ได้มากนัก แต่อยู่ ๆ ก็กลายเป็นมาเป็นคู่ต่อสู้กันได้อย่างน่าแปลกใจ


สายที่ส่งเข้าไปในเกาหลีก็ไม่ได้ผลอันใด คนเกาหลีเองเห็นสถานการณ์ไม่ได้วุ่นวายมากนัก ก็เริ่มเข้ามาแจ้งข่าวในพื้นที่เกาหลีแผ่นดินหมิง


ในที่สุดแผ่นดินหมิงก็รู้แล้วว่าเมืองเปียงยางมีทหารประเทศวัวเท่าไร แม่ทัพเป็นผู้ใด แม้ข่าวนี้อาจไม่แน่นอนนัก แต่ก็เชื่อได้กว่าข่าวก่อนหน้ามากนัก


ทัพใหญ่โจรวัวโค่วหนึ่งหน่วยกองกำลังอยู่ในเมืองเปียงยาง หัวหน้าทหารกองนี้ก็คือโคนิชิ ยูกินากะ กำลังราวไม่เกิน15,000 – 20,000 หัวหน้าทหารหลายคนตำแหน่งอะไรก็ทำเอางง  แต่เทียบกันแล้ว ก็ราวกับผู้บัญชาการ ดีมาก โจรวัวโค่วถึงกับส่งผู้บัญชาการสิบกว่าคนมายังเกาหลี!


เหตุใดที่หยุดรบได้คำตอบแล้ว เกาหลีแพ้เร็วเกินไป ทัพใหญ่โจรวัวโค่วรุกเร็วไป ผลปรากฏเข้ามาเปียงยางแล้วกองหลังยังตามมาไม่ทัน


เกาหลีเดิมก็ยากจนข้นแค้น เสบียงอาหารอันใดก็สะสมไว้ที่เมืองใหญ่กับเมืองทางใต้ไม่กี่เมือง ทัพใหญ่โจรวัวโค่วบุกเข้ามาอย่างเหิมเกริมอันธพาลยิ่ง สังหารปล้นชิง การทำการไม่เกรงกลัว เสบียงมากมายล้วนถูกเผาทำลายอย่างไม่ทันระวัง จากนั้นก็สังหารปล้นหมดเกลี้ยง ศพมากไป ถึงกับเกิดโรคระบาดตามมา


เมืองเปียงยางไปทางตะวันตกและทางเหนือล้วนไม่มีเมืองใหญ่ที่จะสะสมเสบียงไว้เพียงพอ ดังนั้นทัพใหญ่จึงได้แต่หยุดพักในเมืองเปียงยาง ล้วนกำลังขนย้ายศพ และยังออกปล้นเสบียงชาวบ้าน ถึงกับเร่งให้ชาวนาเกาหลีเพาะปลูก หวังว่าจะได้รับเสบียงมาเพิ่มได้บ้าง


ครั้งนั้นที่จู่เฉิงซวิ่นบุกเข้าไป ทหารม้าหลายพันถูกทัพใหญ่โจรวัวโค่วล้อมโจมตีในพื้นที่ที่ได้เปรียบ ถูกตีพ่ายยับเยินมา มีแต่แม่ทัพหนีออกมาได้ ทัพใหญ่โจรวัวโค่วได้เปรียบเช่นนี้ จำนวนคนและพื้นที่ล้วนได้เปรียบอย่างมาก แต่ก็ทำให้บาดเจ็บล้มตายไปมากกว่าสามพัน


จำนวนคนบาดเจ็บล้มตายทำให้ขุนพลทหารโจรวัวโค่วอึ้งไป คิดไม่ถึงกองกำลังหมิงจะต่อสู้ได้ถึงระดับเพียงนี้ ทหารม้ากองกำลังหมิงยังเหมือนว่ามีชุดเกราะแบบพวกป่าเถื่อนทางใต้ นี่เป็นเรื่องที่ขุนพลทหารโจรวัวโค่วคิดไม่ถึง ที่ญี่ปุ่นเรียกว่าป่าเถื่อนทางใต้ก็คือพวกโปรตุเกสกับพวกคนสเปน เกราะพวกเขาเป็นที่นิยมในหมู่ไดเมียวประเทศวัว


การต่อสู้กับการเตรียมตัวของกองกำลังหมิงทำให้โจรวัวโค่วไม่กล้าเคลื่อนไหวพลการ  โคนิชิ ยูกินากะเขียนจดหมายจากกรุงโซอุลกลับไป สำหรับทัพหมิงนั้น กล่าวว่าทุกอย่างรอทัพใหญ่มาถึงแล้วค่อยเดินหน้า ไม่เช่นนั้น หากเสี่ยงภัยไป เกรงว่าอาจทำให้กองกำลังหมิงผิดพลาดเหมือนครั้งก่อน


ตอนนี้เกาหลีที่ติดกับแผ่นดินหมิงเริ่มเคร่งเครียด ทัพใหญ่รวบรวมกำลังไม่หยุด แต่เพื่อเพียงแค่ป้องกัน  ไม่กล้าเคลื่อนไหว


**************


ทหารแผ่นดินหมิงไม่ร้อนใจกับทัพใหญ่โจรวัวโค่ว ที่ร้อนใจย่อมเป็นพระราชาและขุนนางเกาหลี พวกเขานั่งกินนอนกินดูสถานการณ์ เงินทองที่ติดตัวมาก็ใช้จ่ายไปไม่น้อย จู่เฉิงซวิ่นพ่ายที่เปียงยางมาแล้วก็ให้เหตุผลหลายประการ ทำให้พวกเกาหลีตอนนี้กำลังเคร่งเครียด


พวกเขาเองก็เข้าใจ หากไม่ให้คำอธิบายที่เหมาะสม เกรงว่าคงยุ่งยากใหญ่ ผลปรากฏปลายเดือนแปดผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วมาถึงอี้โจวด้วยตนเอง เพื่อรับคำอธิบายจากพระราชาซอนโจแห่งเกาหลี


ส่วนที่จู่เฉิงซวิ่นกล่าวถึงเหตุที่พ่ายศึก พระราชาซอนโจให้คำอธิบายเช่นนี้ เกาหลีคิดขอบัญชาการทหารหมิงเองนั้น เป็นเพราะขุนนางเกาหลีเร่งร้อนใจฟื้นคืนแผ่นดิน ลืมธรรมเนียม เรื่องการเสบียงไม่พร้อมนั้น ก็เพราะพื้นทีเกาหลีขัดสนยากแค้น เสบียงขาดแคลน ไม่อาจจัดการให้ได้ สำหรับทหารเกาหลีทหารหนีกระจาย บนสนามรบปะทะกับข้าศึกใหญ่ ถึงกับมีธนูเกาหลียิงใส่ทหารหมิง เรื่องนี้เกาหลีเกือบประเทศถูกโจรวัวโค่วยึดครอง มีคนไม่น้อยแปรพักตร์ไปใฝ่ศัตรู บางทีอาจมีคนทรยศแทรกซึมอยู่


คำอธิบายนี้ร่างเป็นฎีกาส่งไปแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงมีดำรัสในฎีกาว่า ‘วันหน้าหากเป็นเรื่องการศึกเกาหลี เพื่อสะดวก ไม่จำเป็นต้องกบอกกล่าวเกาหลี


ตอนที่ 1084 อย่างไรก็ไม่อาจทำใจยอมรับได้

Ink Stone_Fantasy

ต้นเดือนเก้า เมืองซงเจียงเริ่มเย็นแล้ว ลูกคนที่ห้าหวังทงคลอดแล้ว ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์คลอดลูกสาว ชื่อไม่ต่างอันใดกับหวังหลัน หวังทงตั้งชื่อว่า หวังหง


สำหรับว่าเป็นชายหรือหญิงนั้น ความจริงนั้นบรรดาภรรยาหวังทงไม่ใส่ใจ  บุตรชายคนโตจากภรรยาเอกหานเสียก็คือผู้ที่จะได้ครองทุกอย่างไป สถานะคนอื่นๆ วันหน้าก็ล้วนต้องพึ่งพาตัวเอง สถานะบุตรีกั๋วกงนี้วันหน้าย่อมได้คู่แต่งงานที่ดี ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย


เทียบกับทางเหนือที่เริ่มวุ่นวาย ทางใต้เงียบกว่ามาก ที่กำลังยุ่งกับงานยังคงเป็นเครือข่ายสามธารา ใกล้ศึกใหญ่แล้ว  และยังเป็นศึกระดับชาติ ระดมเสบียง การค้าต่างๆ ราคาสินค้าและตั๋วเงิน ต่างๆ นานา เปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก ผลประโยชน์กำไรสูง ก็มีความเสี่ยงมาก ดังนั้นการขนส่งความเร็วสูงย่อมเป็นเครือข่ายการค้า


ที่หวังทงพยายามทำอยู่ทุกวันก็คือการรวบรวมการข่าวให้มากที่สุด จากนั้นก็ส่งข่าวรายงานด่วนไปยังเมืองหลวงแสดงความคิดเห็นตนเอง


เรื่องพวกนี้ก็เรียกได้ว่าไม่ยากมาก ใช้เวลาไม่มาก แต่ทว่านอกจากส่งจดหมายกลับวังไปแล้ว ทางหวังทงยังมีจดหมายลับจากเมืองหลวงและเทียนจิน เป็นหน้าที่รับผิดชอบของสื่อชีกับซ่งฉานฉาน


ซ่งฉานฉานคลอดลูกแล้ว สุขภาพก็ฟื้นคืนมาได้ระดับหนึ่งแล้ว เริ่มรับงานรวบรวมการข่าวกลับมาดูแลอีกครั้ง อย่างไรก็เป็นงานสำคัญ ทำเองย่อมวางใจได้มากกว่า


ความจริงนอกจากตัวงานนี้เป็นงานสำคัญแล้ว ซ่งฉานฉานยังคิดถึงเรื่องอื่นอีก หวังทงทุกวันมาอยู่กับนางเพื่ออ่านเอกสารลับ ทำการวิเคราะห์ข่าว แม้ว่าเป็นเรื่องงาน แต่อย่างไรก็มาใช้เวลาอยู่มากขึ้นอีก สตรีในจวนหวังทงได้เวลาหวังทงไปมากอีกหน่อยก็ย่อมเป็นเรื่องดี


ซ่งฉานฉานผ่านอะไรมามาก ความสามารถในการสังเกตสีหน้าท่าทางในจวนก็ย่อมเก่งกาจที่สุด ซ่งฉานฉานสังเกตได้นานแล้วว่า หวังทงแม้ว่าทุกวันอ่านข่าวท่าทางผ่อนคลาย จัดการการค้าเครือข่ายสามธารา มีสีหน้ายิ้มแย้มกับบรรดาบุตรและภรรยา เสียงหัวเราะไม่ขาด แต่ในความผ่อนคลายเหล่านี้ เหมือนว่าในใจมีความไม่ยินยอมและหงอยเหงาลึกๆ


เป็นสามีภรรยากันมานานหลายปี ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษาสื่อสาร จากสีหน้า จากชีวิตประจำวัน สังเกตก็พอจะกระจ่างได้


ตั้งแต่ข่าวสงครามจากทางเหนือมา หวังทงใช้เวลาในห้องหนังสือนับวันยิ่งมาก ความสามารถในความรอบรู้และจดจำแม่นยำของหวังทงนับว่ามี เมื่อก่อนจดหมายส่วนใหญ่เพียงแค่อ่านรอบเดียวผ่าน แต่ตอนนี้ต้องอ่านหลายรอบ ตั้งแต่จดหมายจากเมืองหลวงกับเหลียวหนิงมาถึง หวังทงเริ่มเงียบมากขึ้น


มักอ่านจดหมายในหนึ่งวันจบ ก็จะตอบฎีกากลับไป จากนั้นหวังทงยังไปหาที่เงียบๆ อยู่คนเดียว


บางครั้ง สตรีในจวนหลายคนแอบคุยกันว่า หวังทงระยะนี้เหมือนนอนไม่ค่อยหลับ มักจะพลิกตัวไปมา ดึกดื่นก็นอนไม่หลับ ตื่นก็เช้ากว่าเมื่อก่อน ฝึกยุทธในจวนกั๋วกงยังมักสวมเกราะ


หวังทงสุขภาพแข็งแรง จิตใจกระปรี้กระเปร่าดี เมื่อก่อนพอถึงหมอนก็หลับได้ ตอนนี้ทีท่าเช่นนี้ย่อมมีเรื่องในใจ ซ่งฉานฉานเองก็เคยเห็นมาก่อน


ตอนนี้ในเมืองซงเจียงอากาศหนาวยามดึก ผ้าห่มต้องหนาสักหน่อย คืนนี้หวังทงอยู่ในห้องนอนกับซ่งฉานฉาน ซ่งฉานฉานให้แม่นมนำหวังอี้ไปนอนแล้ว ตอนเองนั่งหวีผมอยู่


พอตอนเข้านอน ซ่งฉานฉานเหนื่อยแล้ว ก็ผล็อยหลับไป ไม่รู้หลับไปนานเท่าไรจึงรู้ว่าข้างกายไม่มีคน มองออกไปด้านนอกยังคงมืดสนิท ในใจคิดหรือว่าตอนนี้ก็ออกไปแล้ว


ซ่งฉานฉานหันหน้ากลับเข้ามา พลิกตัวก็ต้องตกใจ ที่แท้หวังทงนั่งอยู่บนเตียง  พิงหมอนเหม่อลอย  สาวใช้ด้านนอกถือโคมไฟเดินเวรยามสาดแสงเข้ามา อาศัยแสงริบหรี่นี่มองสีหน้าหวังทง ไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่


“นายท่าน เหตุจึงไม่นอนแล้ว!”


ซ่งฉานฉานขยี้ตา  ถามเสียงอู้อี้ หวังทงเอื้อมมือไปปัดผมยาวที่ปรกใบหน้าซ่งฉานฉานออก กล่าวเบาๆ ว่า


“นอนไม่หลับ เจ้าไม่ต้องสนใจข้า”


“ข้าจะไปชงน้ำชาใจสงบให้นายท่านสักกา…”


ซ่งฉานฉานพูดไปก็ลุกไป หวังทงกลับเอื้อมมือไปโอบกอดนางแนบกาย กล่าวเบาๆ ว่า


“ไม่ต้องยุ่งยาก นั่งเป็นเพื่อนข้าก็พอ”


แม้เป็นสามีภรรยา แต่สถานะสูงส่ง งานยุ่งรัดตัว เวลาได้โอบกอดเช่นนี้จึงหาได้ยากยิ่ง ซ่งฉานฉานไม่ได้ดิ้นรนหากยอมนิ่งในอ้อมกอดอบอุ่นโดยดี ความคิดค่อยๆ แจ่มชัด เริ่มคิดเรื่องต่างๆ มากมาย คิดถึงตอนนั้นที่ตนได้พบกับหวังทงที่หอฉินก่วนได้อย่างไร เรื่องเกิดขึ้นมากมายตอนนั้น มีวาสนาใดให้ได้แต่กับหวังทง มาถึงตอนนี้กลายเป็นสตรีที่โชคดี มือหวังทงลูบผมซ่งฉานฉาน การกระทำแสนอ่อนโยนทำให้ซ่งฉานฉานค่อยๆ สลึมสลือ เริ่มจะหลับ ก็ได้ยินหวังทงพูดว่า


“วันเวลาตอนนี้ดีหรือไม่?”


ในยามไม่ได้สติดีนั้น ซ่งฉานฉานยังไม่แน่ใจว่าหวังทงถถามตนเองหรือพึมพำคนเดียวกันแน่ แต่ทว่าก็ได้สติตอบไปเบาๆ ว่า


“ตอนนี้สงบสุข เราทั้งครอบครัวมีความสุขสงบดี แน่นอนเป็นเรื่องดี”


คำตอบนางทำให้หวังทงเงียบไปนาน ความเงียบยามค่ำคืน ซ่งฉานฉานล้วนคิดไปเองว่า เมื่อครู่หวังทงไม่ได้ถาม


แต่ทว่าหวังทงนั่งตัวตรงขึ้น ถอนหายใจกล่าวว่า


“ทางเหนือมีคนเขียนจดหมายถึงข้า บอกว่าใต้หล้ามีคนพึ่งพาบารมีข้ามาก หากข้าบารมีอ่อนลง เช่นนั้นพวกเขาก็จะพลอยอันตรายไปด้วย จวนเหลียวกั๋วกงมีกิจการมากมายก็จะพลอยโดยผู้อื่นมองเป็นเนื้อก้อนโต ยังว่า อำนาจนี้ก็เหมือนกับพายเรือทวนน้ำ หาไม่พายไปข้างหน้าก็ย่อมถอยหลัง”


หากเป็นภรรยาคนอื่น ก็คงคงกล่าวว่า ‘นายท่านคิดเช่นไรก็เช่นนั้น’ ทว่าซ่งฉานฉานอยู่ข้างกายหวังทงแต่ไรก็มักออกความเห็น หลายเรื่องล้วนให้ความเห็น


ซ่งฉานฉานเงียบไปครู่หนึ่ง ก็แนบกายชิดใกล้หวังทง กล่าวเบาๆ ว่า


“นายท่าน เกาหลีทางนั้นหากไม่เกิดเรื่อง จดหมายขุนนางเมืองหลวงมาเมืองซงเจียงนับวันยิ่งน้อยลง เมืองหลวงเริ่มเอ่ยถึงชื่อนายท่านน้อยลง…”


“ใช่ ไม่มีคนกล่าวถึง ไม่มีการติดต่อ พระเมตตาเพียงใดก็ย่อมจืดจาง นี่เป็นหลักการ…”


หวังทงกล่าวอย่างไม่ยี่หระ เงียบลงอีกครั้ง ซ่งฉานฉานคิดแล้วก็กล่าวเบาๆ ว่า


“ตอนแรกที่ได้รู้เกาหลีเกิดความวุ่นวาย นายท่านเริ่มฝึกกำลังทหาร ยังแสดงการซ้อมรบกับทหารติดตาม นายท่านทำเช่นนี้ ในใจก็คงตัดสินได้แล้ว ไม่ใช่หรือ?”


ซ่งฉานฉานกล่าวเช่นนี้ หวังทงอึ้งไปสนิท เงียบไปนาน ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ออกมา โอบกอดนางแรงขึ้นอีก กล่าวว่า


“เจ้าพูดได้ถูกต้อง คิดอยากทำอย่างไร ก็ควรทำเช่นนั้น ที่จริงในใจข้าก็ตัดสินใจไปแล้ว เพียงแต่ข้าเองไม่รู้ตัวเอง และคิดไม่ถึง ไม่ก็ไม่อยากคิดถึงก็เท่านั้น”


“นายท่านในเมื่อตัดสินในแล้ว เช่นนั้นก็ทำไปตามที่ใจคิดเถิด แต่ขอนายท่านจดจำไว้ว่า นายท่านออกศึก ข้าและน้องๆ ทั้งหลายล้วนตกในความหวาดกลัว นายท่านจะต้องดูแลตนเองให้ดี”


“อืม…”


หวังทงรับคำ สามีภรรยาคุยกันถึงตรงนี้ ทุกอย่างก็ไม่จำต้องกล่าวอีกแล้ว ทั้งสองอิงแอบเงียบๆ รู้สึกสบายมาก เงียบไปนาน หวังทงจึงได้กล่าวว่า


“แต่ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เมืองหลวงทางนั้นไม่รู้มีคนเท่าไรไม่อยากให้ข้ากลับคืนตำแหนงอีก ฉานฉาน ทางเราในเมืองหลวงยังมีสายสัมพันธ์ที่ไม่เปิดเผยตัวอีกกระมัง?”


“มีอยู่ราวสิบกว่าคน คนเหล่านี้ถึงกับไม่รู้เป็นนายท่านให้ผลประโยชน์พวกเขา แต่เราก็ย่อมใช้งานได้หมด”


“รีบจัดการได้แล้ว ส่งคนมีจดหมายไปยังซานเปียว ส่งคนนำจดหมายไปเมืองหลวง ยามนี้ แค่พวกเราพูด น่าจะไม่ได้เกิดผลอันใด แต่หลายคนที่เป็นกลางออกมาพูด ความมั่นใจน่าจะมีหลายส่วน”


สามีภรรยาพูดถึงตรงนี้ บรรยากาศอบอุ่นก่อนหน้าลดลงไม่น้อย เหลือเพียงแค่เรื่องงาน ซ่งฉานฉานรับคำ หยิบดินสอถ่านและกระดาษหัวเตียงมาจดอย่างรวดเร็ว  จดเสร็จก็เงียบไปกล่าวว่า


“นายท่าน ข้าคิดว่าสถานการณ์เมืองหลวงตอนนี้ แม้ว่าพวกเราทำได้เกินสิบส่วน สุดท้ายก็ยังคงเป็นฝ่าบาทตัดสินพระทัย เรื่องนี้ก็ไม่แน่…”


“ข้ารู้ เราทำที่เราควรทำ หากสุดท้ายไม่สำเร็จ ก็ย่อมเป็นลิขิตสวรรค์แล้ว  ลิขิตสวรรค์ยากฝืน เช่นนี้ก็กล่าวอันใดไม่ได้แล้ว”


เช้าวันรุ่งขึ้น หวังทงกินอาหารเช้าเสร็จ เรื่องแรกที่ทำก็คือให้ทหารติดตามกับกองกำลังตนเองในเมืองซงเจียงในบังคับโดยตรงของตนมารวมกัน พูดถึงการรบเกาหลี เราเป็นทหารราชสำนัก ต้องเตรียมตัวให้พร้อมในยามคับขัน ไม่อาจไม่พร้อมได้ จากนี้ไป ทุกคนทุกวันต้องอยู่ในสภาวะพร้อมออกศึก ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้แม้แต่น้อย ทุกวันต้องเร่งฝึกซ้อมกำลัง


คำสั่งนี้สำหรับทหารติดตามจวนเหลียวกั๋วกงไม่มีอันใด พวกเด็กหนุ่มที่ฮึกเหิมต่างก็ต้องการเช่นนี้ ก่อนหน้านี้หวังทงแสดงแผนรบกับพวกเขา ล้วนทำให้พวกเขาแต่ละคนคันไม้คันมือแทบทนไม่ไหว ตอนนี้เร่งฝึกซ้อม พอดีได้ระบายกำลังที่อัดแน่นออกเสียบ้าง เช่นนี้ก็ยังรู้สึกไม่พอใจ รู้สึกว่าทำไม่ตนเองไม่ได้ออกสนามรบ ถึงกับมีคนไปขอร้องหวังทง ขอแม่ทัพใหญ่เมตตา เขียนสาร ส่งตนไปสนามรบ ล้วนถูกหวังทงด่ากลับไป


ทหารราบฝึกกันเช่นนี้ แต่ที่กองเรือต้องทำนั้นไม่เหมือนกัน ลูกเรือจากฮกเกี้ยนแต่ละลำให้ลงจากเรือเดิม ไปยังเรือลำใหม่หลายลำ ออกทะเลปะปนไปพร้อมกับคนบนเรือโปรตุเกส เพราะเรือไปยังประเทศวัวส่วนใหญ่เป็นเรือฮกเกี้ยนกับเจ้อเจียงทางใต้ พวกเขามองไม่ออก สืบข่าวได้


สำหรับเรือที่เหลือนอกจากไว้แล่นเพื่อการค้าแล้ว ที่เหลือก็จอดรอที่ท่าเรือได้เกินสามวันแล้ว ล้วนถูกส่งไปร่วมฝึกซ้อม บ้างก็ร่วมออกทะละกับกองเรือสามธารา บ้างก็ออกทะเลร่วมกับกองกำลังทางน้ำในพื้นที่  แต่ละรูปแบบและการจัดการ ทำให้หลายคนเริ่มตื่นตัวขึ้น ไม่มีผู้ใดกล้าทำตัวตามสบายอีก


เช่นนี้ถึงกับทำให้บรรยากาศสนุกสนานในเมืองซงเจียงกับแดนใต้ลดลงไม่น้อย  จะรบกันแล้ว ย่อมมีสินค้าราคาสู.ขึ้น ทุกคนต้องเตรียมการจัดการหรือไม่?  และยังมีพวกลูกหลานตระกูลใหญ่และชนชั้นสูงคิดจะมาร่วมออกศึกด้วย บางทีอาจจะมีโอกาสออกศึก


ตอนที่ 1085 พูดตามเนื้อผ้า

Ink Stone_Fantasy

เมืองหลวงเป็นเมืองหลวงแห่งแผ่นดินหมิง บรรดาเชื้อพระวงศ์ พ่อค้า ขุนนางใหญ่ ล้วนอาศัยกันที่นี่  สิ่งของฟุ่มเฟือยเลอค่าอันใดล้วนไม่ขาดแคลน สิ่งของสูงค่าอันใดทุกคนล้วนซื้อไหว


ร้านค้าเครื่องประดับก็เช่นกัน ร้านพวกนี้สินค้าล้วนทำด้วยเงินทองเพชรพลอยมีค่า ยังเป็นงานประณีต  ทุกชิ้นล้วนราคาไม่เบา เงินทองเก็บไว้ในร้านค้า เงินทองไหลเข้าไหลออก ล้วนจำนวนไม่น้อย


หากกล่าวว่าเขตอุดรเป็นร้านค้าเครื่องประดับสำหรับบริการชนชั้นสูงและขุนนางใหญ่ เช่นนั้นค้าค้าเครื่องประดับเหล่านี้ย่อมมีเงินทองเข้าออกทุกวัน เงินทองที่เก็บไว้ในร้านก็ย่อมมีจำนวนไม่น้อย


ตั้งแต่เทียนจินเปิดเมืองท่า สินค้าเครื่องประดับจากตะวันตก จากอาหรับ จากชมพูทวีป หรือแม้แต่สินค้าเครื่องประดับประเทศวัวก็เริ่มออกสู่ตลาด


สินค้าพวกนี้ดูแล้วก็ไม่แน่ว่าจะประณีตเท่ากับของแผ่นดินหมิง แต่ได้เปรียบที่มีกลิ่นอายต่างชาติ ในสายตาพวกมากอำนาจวาสนาแผ่นดินหมิง สินค้าเหล่านี้แปลกจนเรียกได้ว่าไม่รู้จักละอาย ก็คือว่าเหมาะไว้สำราญฟุ้งเฟ้ออย่างยิ่ง ดังนั้นสินค้าต่างชาติต่างๆ เหล่านี้จึงได้ออกสู่ตลาด และได้รับความนิยม


 ร้านค้าเครื่องประดับเช่นนี้ไม่น้อย  ใหญ่สุดก็มีสี่ร้าน สี่ร้านนี้ล้วนเป็นชาวเมืองหลวงเปิด เบื้องหลังย่อมเป็นชนชั้นสูงบ้างก็เป็นขันที อย่างไรก็มีสถานะยิ่งใหญ่ เป็นคนที่ไม่อาจล่วงเกินได้


แต่ทว่ามีแต่คนวงในเท่านั้นที่รู้ว่า ชนชั้นสูงและขันทีเหล่านี้ล้วนเป็นแค่ชื่อ หากล้วนลองสืบค้นวกไวนมากหลายชั้นก็จะพบว่าพวกเขาแค่แบ่งผลกำไร ยามสำคัญออกหน้าเท่านั้น


ไม่ใช่ว่าไม่มีคนคิดการไม่ซื่อกับร้านพวกนี้ เช่นว่าคิดจะอาศัยโอกาสฮุบหุ้นอีกฝ่าย แต่พอลงมือไปจึงพบว่า เบื้องหลังของอีกฝ่ายนั้นเป็นระดับยิ่งใหญ่มาก คนระดับนี้พวกเขาแม้มองไม่เห็นชัด แต่ก็พอจะลงมือเมื่อใดบี้พวกเขาตายได้ ไม่ก็เก็บพวกเขา ไม่ก็เตือนพวกเขา คนเหล่านี้ล้วนสงบสุขต่อ ไม่มีผู้ใดกล้าไปสอบถามเรื่องการค้าและบัญชีกับร้านค้าเหล่านี้อีก


องครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาให้ความสนใจร้านค้าเช่นนี้ แต่ทว่าข่าวสองแห่งที่ได้มาก็ล้วนมีขุนนางสักคน ไม่ก็คนในครอบครัวของชนชั้นสูงร่วมอยู่ในนั้นด้วย


นี่ก็เป็นเรื่องปกติ ร้านเครื่องประดับไม่ได้ทำการค้ากับคนเหล่านี้เท่านั้น ไม่ใช่การค้าของสตรีหลังบ้านของพวกมากอำนาจวาสนา หรือจะให้ผู้ชายทำกันล่ะ? สังเกตการณ์ได้แค่นี้เท่านั้น ไม่มากไม่น้อย แต่ทว่าหากทำความเข้าใจลึกลงไปอีกนิด ก็จะพบว่าไม่ใช่ดังที่ว่า


เช่นว่าฮูหยินเจ้ากรมหนึ่งซื้อกำไลเงินสองคู่จากร้านค้านี้ กำไลเงินราคาไม่เท่าไร สองคู่ก็ไม่เท่าไร ในสายตาระดับเจ้ากรมก็แค่ภรรยาพ่อบ้านสวมใส่เท่านั้น แต่กำไลเงินสองคู่กลับบรรจุในกล่องทองคำ กล่องทองคำนี้ห้อยพู่แดง พู่นั้นมีหยกชิ้นงามห้อยอยู่


กล่องทองคำห้อยพู่หยก  งดงามจับตา ผลปรากฏร้านค้านี้กลับย้อมสี ทำเหมือนเป็นกล่องไม้ ของส่งไปในจวนเจ้ากรม เจ้ากรมและฮูหยินยังโมโหมาก คืนกล่องมา แต่ทว่าตอนคืนมา ก็กลายเป็นกล่องไม้จริง  เรื่องยังไม่จบ  จากนั้นกล่องทองคำห้อยหยก ฮูหยินก็นำไปจำนำที่ร้าน ร้านจำนำพอเห็นก็รู้ว่าเป็นของมีค่ามาก หยกห้อยเป็นของโบราณ จึงให้ราคาสูงมาก


เข้าๆ ออกๆ ทุกอย่างล้วนเริ่มเป็นไปตามแผน เงินก้อนโตก็เข้ากระเป๋าเจ้ากรมไปอย่างง่ายดายและไร้มลทิน


แน่นอน การค้าปกติก็ทำ แต่หากลองดูบัญชี ไม่กำไรอันใดเท่าไร กำไรเกรงว่าคงไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว และก็เช่นนี้เอง  ยังต้องได้รับเงินมาเพิ่มจากนอกร้านอีกด้วย


แต่ใต้หล้านี้ไม่กฎใดที่ว่าทำการค้าได้แต่กำไร ไม่อาจขาดทุน บัญชีตรงหน้า กำไลเงินสองคู่ก็ขายออกไป เงินก็รับมาสดๆ ผู้ใดจะกล่าวว่ามีปัญหาได้กัน


ร้านเครื่องประดับหลายร้าน มีร้านทำการค้าเช่นนี้ร้านสองร้าน ล้วนเป็นความลับมาก เป็นถึงระดับเจ้ากรม ทำอันใดย่อมระมัดระวังมาก พวกเขาเป็นห่วงว่าตนเองจะเผยจุดอ่อนให้ร้านเครื่องประดับเหล่านี้จับได้ ก่อนหน้าก็ต้องส่งคนไปจับตาไว้ก่อน ไม่ก็ใช้สายสัมพันธ์ส่งสายองครักษ์เสื้อแพรหรือพวกศาลซุ่นเทียน กรมอาญาไปแอบตรวจสอบก่อน  ล้วนไม่มีปัญหา จึงได้ค่อยๆ วางใจ


ทุกคนล้วนไม่ใช่คนโง่ รู้จักรับเงินแล้วก็ย่อมมีเรื่องให้ใช้งานในวันใดวันหนึ่ง ย่อมไม่มีเหตุผลที่รับแต่เงินไม่ทำงาน เงินถึงมือสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด


ร้านเครื่องประดับเหล่านี้มักมีคนดูแลเป็นระดับแนวหน้า ไม่ก็คอยหาการค้า ไม่ก็อยู่เฉยๆ  ที่อย่างหอคณิกาอันใดก็ล้วนไปไม่น้อย คำสั่งและรายงานล้วนทำการกันในที่เช่นนี้อย่างไม่มีผู้ใดทันรู้ทันเห็น ไปถึงยังคนที่ควรรับรู้


กลางเดือนเก้า สินค้าจำนวนมากจากเทียนจินก็มาถึง  คนที่ได้เห็นล้วนอุทานตกใจ น้ำหนักมากจริง รอยล้อรถกดทับพื้นดินลึกมาก ในนั้นย่อมเต็มไปด้วยเงินทองของมีค่า ต้องเป็นของสำคัญ


พอตนได้สินค้ามา ก็ย่อมทำตามธรรมเนียม ส่งเทียบเชิญไปยังชนชั้นสูง  แจ้งว่าร้านได้มีสินค้าใหม่มาไม่น้อย ขอให้แต่ละฮูหยินมาเลือกชมที่พึงใจ


พอมาแล้ว แน่นอนล้วนได้กลับไปมากมาย ผ่านกระบวนการต่างๆ ก็มีเงินก้อนโตเข้ากระเป๋าอย่างเปิดเผย โรงบ้านเมืองหลวงทงโจว เดิมมีเงินสะสมไว้สามหมื่นตำลึง ใช้ทีเดียวหมด


*****************


เช้านี้ ผู้ขุนนางมีคุณสมบัติเข้าประชุมราชสำนักล้วนมารอกันที่หน้าประตูวัง เมื่อก่อนล้วนฟ้ายังไม่ทันสว่างก็มากันแล้ว ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ธรรมเนียมยิ่งกว่า ธรรมเนียมบรรพชนถูกเปลี่ยนแปลง  กินอาหารเช้าแล้วค่อยมาก็ได้  แต่ตอนกลับก็จะสายหน่อย  ก็เป็นตามความต้องการทุกคน  พวกที่ยังหัวเก่าส่งเสียงไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีคนจะสนใจ


 ตอนนี้หน้าประตูวังแผ่นดินหมิงมีภาพหนึ่ง ทูตเกาหลีมาคุกเข่าร้องไห้หน้าประตูตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ขอให้แผ่นดินหมิงส่งทหารไปช่วย


ในวังทุกครั้งล้วนส่งขันทีมาปลอบใจ ถึงกับยังนำอาหารมาให้ แต่ไม่เคยรับปากอันใด เริ่มแรก ขุนนางใหญ่ยังตื่นเต้น ต่อมาก็เริ่มเบื่อหน่าย สุดท้ายไม่สนใจ พวกที่โขกศีรษะร้องไห้ไป พวกเราก็คุยกันเองไป


เนื้อหาที่สนทนากันก็เกี่ยวข้องกับเกาหลี แผ่นดินหมิงนับวันความชอบทางการทหารยิ่งมากขึ้น มีความชอบก็ย่อมมีอำนาจวาสนาไหลมาเทมา มีความชอบทางการทหาร สามารถแผ่อานิสงส์ให้คนมากมายได้ ตระกูลหลี่ทำผิดพลาดหลายครั้ง เหตุใดไม่ล้ม ยังมีสองผู้บัญชาการแลรองแม่ทัพสิบกว่าคนได้ ก็เพราะหลี่หรูซงหลายปีนี้สร้างแต่ความชอบ สำหรับหวังทงแล้ว ทางนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง


 ผู้ใดกล้าขวางเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ แต่ละอิทธิพลอำนาจก็เริ่มเคลื่อนไหวกันมากขึ้น  ทุกคนในตระกูลหลี่ก็เคลื่อนไหวมาก ท่าทีนี้ทำให้ทุกคนรู้ในใจ ตระกูลหลี่ทำการตามธรรมเนียม เจ้ายอมช่วยตอนนี้  วันหน้าย่อมมีตอบแทน หวังทงไม่ทำอันใด ก็นับว่าเป็นเพราะมั่นคงแล้วไม่อยากทำอันใด แต่จะว่าไปหากหวังทงมาขอจริง พวกเขาก็ไม่อยากรับ อย่างไรก็ระหว่างตนและเขานั้นก็มีเรื่องกันมามาก


“…ทางใต้เท้ามหาอำมาตย์เหมือนจะเงียบนะ…”


“…รองอำมาตย์เสิ่นเองก็เหมือนส่งเสียง แต่เหมือนมีใครเตือนจึงได้หดหัวกลับไปอีก…”


ทุกคนคุ้นเคยกันดี พากันแอบซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ ทางนี้คุยกันอยู่ ทางนั้นก็มีอีกคนกล่าวว่า


“ได้ยินว่าตระกูลหลี่ไปพบเซินสือหัง? ขอเซินสือหังออกหน้า ก็มีน้ำหนักอยู่หลายส่วน แต่ทว่าเซินสือหังตอนนี้ถ่อมตนยิ่ง ไม่ยอมให้พบ!”


“…ผุยๆ ตระกูลหลี่ก็ช่างกล้าลงทุน…”


“เจ้าคิดดู สถานการณ์ตอนนี้ ตระกูลหลี่หากไม่ออกหน้าเรื่องนี้ สถานะมั่นคงหรือไม่ เกรงว่าทรัพย์สินเงินทองคงหมดสิ้นแล้ว ไม่ร้อนใจได้หรือ?”


“เกาหลีทางนั้นจะไปเท่าไร ก็แค่โสมเกาหลี กระดาษเกาหลี ที่นั่นข้าว่าไม่ต้องไปสนใจดีกว่า”


หวังซีเจวี๋ยอีกทาง เขาไม่ลงจากเกี้ยว มีคนรับใช้ยกโสมให้เขาดื่มในเกี้ยว จากนั้นก็หลับตาทำสมาธิ เขาไม่ขยับ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นไม่ขยับ ไม่นานก็มีคนเขยิบเข้ามาใกล้กระซิบว่า


“ใต้เท้า มีคนว่าพานจี้ซวิ่นกรมโยธาแพร่ข่าว ว่าหวังทงเหมาะเป็นแม่ทัพใหญ่ คิดจะกล่าวในการประชุมขุนนาง… ”


ได้ยินเช่นนี้ หวังซีเจวี๋ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะปิดลงอีก กล่าวเบาๆ ว่า


“เหลวไหลสิ้นดี มีน้ำยาแค่นี้หรือ คนอื่นแค่ออกเงินค่าพิมพ์หนังสือให้ อะไรก็ล้วนลืมสิ้น เรื่องเช่นนี้ไหนเลยเป็นเรื่องขุนนางเราออกความเห็น เป็นโอรสสวรรค์ตัดสินพระทัย บอกให้เขารอบคอบหน่อย”


คนนอกเกี้ยวรีบรับคำ ก่อนจะรีบจากไป หวังซีเจวี๋ยจึงได้ลืมตาขึ้น สบถเสียงเย็นว่า


“เลอะเลือน!”


*****************


ผู้มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประชุมราชสำนักล้วนลงความเห็น เรื่องผู้ใดเป็นแม่ทัพใหญ่ ไม่พูด  รอดู  แต่รับผลประโยชน์ ไม่ก็วิเคราะห์ส่วนได้ส่วนเสียตนเอง ให้คนเบื้องหน้าไปโบกธงโวยวายก็พอ ตนเองไม่จำเป็นต้องโดดร่วมวงเร็วเพียงนี้


แต่การประชุมราชสำนักวันนี้กลับเปลี่ยนไปจนน่าตกใจ เจ้ากรมอาญากับเจ้ากรมอากรล้วนออกมายื่นฎีกา คิดว่า แผ่นดินหมิงบุกเบิกอาณาเขตในหลายปีมานี้ สถานการณ์ยิ่งต้องการความมั่นคง ไม่อาจปล่อยปละละเลยประมาทได้ ตอนนี้เกาหลีมีทัพใหญ่โจรวัวโค่วรุกรานมา ราชสำนักแม้ว่ามั่นใจ แต่ก็ต้องใช้สิงโตจับกระต่ายรับสถานการณ์ ไม่อาจประมาทแม้แต่น้อย


ขุนนางฝ่ายสำนักตรวจสอบก็ออกมายื่นฎีกา ว่าตอนนี้แผ่นดินหมิงที่นำกำลังแข็งแกร่งเก่งกล้าได้ก็มีแต่กองกำลังหู่เวย กองกำลังหู่เวยแต่ละหน่วยผู้ใดมีความมั่นใจที่สุด เคยมีชัยชนะมาก่อน ก็มีแต่หวังทง มีตัวอย่างจากเมืองกุยฮว่าเฉิงกับเจี้ยนโจว เกาหลีไม่เท่าไร


คนผู้นี้ใช่ว่ารู้เรื่องการทหาร  แต่เรื่องที่กล่าวว่าล้วนกล่าวได้มีระเบียบแบบแผนแบบคนนอก หากพวกเขาในสายตาราชสำนักสายใดไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่สายหวังทง ถึงกับการค้าที่เทียนจินกับเมืองซงเจียงล้วนไม่มีมากนัก


วาจาพวกเขา จากฎีกาแล้ว ไม่มีเอนเอียง การยกตัวอย่างก็ยกไปตามความเป็นจริง


ดังนั้นแม้คนออกมากล่าวไม่มาก แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนว่า ‘พูดตามเนื้อผ้า’  วาจาขุนนางเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลพอควร เดิมราชสำนักส่วนใหญ่ล้วนเห็นกับการให้หลี่หรูซงเป็นแม่ทัพ ตอนนี้อยู่ๆ ก็เริ่มเสียงแตก


แต่ประเด็นปัญหาก็คือ โอรสสวรรค์ยังไม่ตัดสินใจ แน่นอนไม่มีคนสังเกตเห็นว่าใต้เท่าที่ออกมากล่าวเหล่านี้ ฮูหยินล้วนเคยไปยังร้านเครื่องประดับ…


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)