พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1083-1084

 บทที่ 1083 ศิษย์ของอสุราอัคนี

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตำหนักคุ้มเมือง ในโถงหลักของตำหนักหลัง เกาก้วนนั่งอย่างสง่าผ่าเผย จ้องตาปี้เยว่ฮูหยินด้วยสายตาเย็นเยียบ จ้องจนปี้เยว่ฮูหยินที่ยืนอยู่เบื้องล่างหลบสายตา ไม่กล้ามองตรงๆ


ลูกน้องหลายคนที่อยู่สองฝั่งของเกาก้วนกำลังยืนเรียงแถวตรงข้ามกันสองแถว ปี้เยว่ฮูหยินที่ยืนโดดเดี่ยวอยู่ตรงกลางรู้สึกเหมือนกลายเป็นนักโทษ รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว


หลังจากผ่อนคลายอารมณ์ลงเล็กน้อย ในที่สุดปี้เยว่ฮูหยินก็รวบรวมความกล้าพูดไปว่า “สามีข้าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองโหวของตำหนักสวรรค์ เหตุใดทูตขวาเกาจึงไร้มารยาทเช่นนี้!”


เกาก้วนไม่สนใจจะปฏิเสธหรือแก้ตัวกับนางเลย กล่าวเสียงเรียบว่า “ว่ามาเถอะ! ตลาดสวรรค์ที่เจ้ารักษาการณ์มีศีรษะของคนหลายพันตกลงพื้น ร้านค้าสามร้อยกว่าร้านโดนสั่งปิด ต้นสายปลายเหตุ รายละเอียดที่อยู่ในนั้น บอกสิ่งที่เจ้ารู้ออกมาให้หมด ถ้ามีการปิดบัง ก็อย่าหาว่าข้าลงดาบอย่างไร้ความปรานี!”


ก็ยังนึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็ถามเรื่องนี้! ปี้เยว่ฮูหยินที่ตกใจไม่เบาแอบโล่งใจ ย่อมต้องอธิบายตามที่สามีตัวเองกำชับอยู่แล้ว


ถึงแม้ผลของของการหลอกลวงราชันสวรรค์จะร้ายแรง แต่สำหรับคนที่ตำแหน่งสูงในระดับหนึ่งแล้ว ราชันสวรรค์ก็มีไว้หลอกลวงไม่ใช่เหรอ


ความจริงแล้ว คนทั้งข้างบนทั้งข้างล่างก็ล้วนกำลังหลอกลวงราชันสวรรค์ ต่างก็ต่อต้านราชันสวรรค์กันทั้งนั้น และแน่นอนว่าไม่ได้ต่อต้านโดยใช้วิธีการก่อกบฏ


ราชันสวรรค์ไม่ให้รับสินบน แต่คนทั้งข้างล่างข้างบนกลับทำเช่นเดิม ราชันสวรรค์ไม่ให้เล่นพรรคเล่นพวก แต่ลับหลังทุกคนก็แอบทำอยู่ดี ไม่อย่างนั้นจะไต่เต้าขึ้นข้างบนได้อย่างไร ราชันสวรรค์ไม่ให้ใช้เล่ห์กลแย่งชิงทรัพย์สิน แต่ความจริงก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงเรื่องแบบนี้ได้เลย ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วพวกผู้มีอำนาจอิทธิพลจะร่ำรวยได้อย่างไร?


เมื่อขึ้นมาถึงตำแหน่งอย่างราชันสวรรค์ เมื่ออยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า ก็เท่ากับว่าถูกจัดวางให้คนในใต้หล้าหลอกลวง ต่อให้เป็นในสังคมมนุษย์ธรรมดา มีใครบ้างที่ไม่เคยด่าว่าท่านปู่สวรรค์สมควรตาย ราชันสวรรค์แล้วยังไงล่ะ?


ในทางกลับกัน ถ้าพูดทุกอย่างออกมาหมดจริงๆ เกรงว่าพวกชนชั้นสูงของตำหนักสวรรค์คงจะตายกันหมดแล้ว และคงไม่มีอำนาจอิทธิพลของฝ่ายต่างๆ คงอยู่ด้วย เรื่องบางเรื่องราชันสวรรค์ก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน


แล้วอีกอย่าง สามีของตนก็พูดต่อหน้าราชันสวรรค์ไปแล้ว ถ้าตนพูดความจริงออกไป นั่นจะต่างหากที่จะจบเห่ของจริง


ถามนางแล้วไม่ได้คำตอบอะไรที่แตกต่าง ต่อให้ตีให้ตายนางก็ไม่พูดความจริงอยู่ดี


ถึงแม้เหมียวอี้จะรู้ว่าปี้เยว่ฮูหยินมีเรื่องอะไรปิดบัง แต่ก็ยังพูดตามที่ปี้เยว่ฮูหยินบอก ไม่สามารถฝ่าฝืนคำสั่ง ถ้าสามารถกระโดดผ่านปี้เยว่ฮูหยินที่อยู่ตรงหน้าไปได้ แล้วจะกระโดดผ่านเฉาว่านเสียงที่อยู่ข้างบนได้เหรอ? ถึงอย่างไรข้างบนเฉาว่านเสียงก็ยังมีท่านโหวเทียนหยวนอีกคน ถึงอย่างไรในภายหลังก็ยังต้องทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของอีกฝ่าย


ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานก็ถูกเหมียวอี้สั่งไว้ล่วงหน้าแล้วเช่นกัน ไม่ได้ให้พวกเขาโกหกหรือรับผิดชอบอะไร ให้พูดความจริงไปเท่านั้น


ต่อให้มู่หรงซิงหัวจะพูดความจริงไป แต่ก็ไม่ได้ความเท่าไรนัก เดิมทีนางก็รู้อะไรไม่มากอยู่แล้ว ถูกกดดันให้ไปปฏิบัติหน้าที่ทั้งที่ตัวเองไม่ถนัด


บางสิ่งบางอย่างฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็ย่อมไม่พูดอยู่แล้ว สิ่งที่พูดได้ก็มีแค่เหตุการณ์ที่ทุกคนประสบร่วมกันเกี่ยวเรื่องในครั้งนี้


สวีถังหรานเองก็ไม่พูดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเองอยู่แล้ว


สรุปก็คือพูดตามเหตุการณ์จริง เท่ากับว่าผลักความรับผิดชอบทุกอย่างไปให้เหมียวอี้


ส่วนเหมียวอี้ก็ผลักความรับผิดชอบไปให้ปี้เยว่ฮูหยิน บอกว่าก่อนทำได้ปรึกษากับปี้เยว่ฮูหยินแล้ว ได้รับอนุญาตจากปี้เยว่ฮูหยินแล้ว


เกาก้วนพักอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองชั่วคราว ตรวจสอบคำให้การที่ส่งขึ้นมาทั้งวันทั้งคืนโดยไม่หยุดหย่อน


ตั้งแต่แม่ทัพภาคไปจนถึงผู้บัญชาการในสังกัดถูกแยกตัวและจับตาดูชั่วคราว การสอบสวนก็เริ่มตั้งแต่สามระดับนี้ไปจนถึงรองผู้บัญชาการกับผู้ช่วยผู้บัญชาการใต้สังกัด แล้วขยายไปที่ทหารสวรรค์คนอื่นๆ ผู้จัดการร้านค้าของตลาดสวรรค์ก็เลี่ยงการสอบสวนจากคนพวกนี้ไม่พ้นเช่นกัน


จัดการร้านค้าพวกนั้นย่อมพูดความจริง ส่วนพวกทหารสวรรค์ก็แค่ปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น จะไปรู้เงื่อนงำที่อยู่ภายในได้อย่างไร


บรรดาบุคคลระดับหัวหน้าของตลาดสวรรค์ถูกควบคุมไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอกเป็นเวลาสิบกว่าวัน


ส่วนตลาดสวรรค์ก็เริ่มเกิดข่าวลืออย่างเลี่ยงใมได้ ข่าวลือประมาณว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวกำลังจะซวยแล้ว


สำหรับเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวเป็นกังวลมาก คอยสืบข่าวตั้งแต่เช้ายันค่ำ สองพี่น้องโอวหยางกับพวกเยารั่วเซียนถูกนางย้ายไปซ่อนตัวที่ดาวไร้ลักษณ์ล่วงหน้าแล้ว


หลังจากนั้นครึ่งเดือน หลังจากรวบรวมข้อมูลของสถานการณ์ทุกอย่างแล้ว เกาก้วนก็ออกคำสั่งให้คืนอิสระแก่ปี้เยว่ฮูหยินและพวกเหมียวอี้


ในตอนนี้ท่านโหวเทียนหยวนก็รีบกลับมาที่ตำหนักคุ้มเมืองของดาวเทียนหยวนเช่นกัน หลังจากได้รับรายงานจากผู้การสองหลันเซียง เขาก็รีบมาที่นี่ทันที


เมื่อเห็นว่าสุดท้ายปี้เยว่ฮูหยินถูกปล่อยตัวออกมาจากเรือนเล็ก ท่านโหวเทียนหยวนที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ข้างนอกก็เข้าไปรับนางทันที จับมือสองข้างของปี้เยว่ฮูหยินพร้อมถามว่า “ฮูหยิน เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย?”


ปี้เยว่ฮูหยินรับรู้ถึงความหมายแฝงที่อยู่ในคำพูด รู้ว่ากำลังถามว่านางได้พูดซี้ซั้วหรือไม่ นางส่ายหน้าตอบ “ไม่เป็นอะไร! แค่ถามเกี่ยวกับเรื่องที่ตลาดสวรรค์ครั้งนี้”


ท่านโหวเทียนหยวนโล่งใจ กังวลว่าผู้หญิงคนนี้จะพลั้งปาก แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “เกาก้วนไม่ได้เล่นไม่ซื่ออะไรกับเจ้าใช่มั้ย?”


ปี้เยว่ฮูหยินคิดไปคิดมา ก่อนจะตอบว่า “แค่ตอนแรกดูน่าตกใจมาก ข้าตกใจจนปัสสาวะแทบราด ข้าก็ยังนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเขาจะมาเอาชีวิตข้าซะอีก แต่ตอนหลังก็ยังดีหน่อย ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่จินตนาการไว้”


“ดูท่าแล้วเกาก้วนคงจะไม่ได้ทำเรื่องนี้รุนแรงเกินไป ข้าก็ยังกังวลว่าเนื้อหนังเจ้าจะได้ความทรมานอะไร” เทียนหยวนกลับแปลกใจ


ชั่วพริบตาเดียวเขาก็ไอแห้งๆ แล้วยิ้มพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงปกติ “หลังจากมาถึงข้าอยากจะพบเกาก้วน แต่เกาก้วนปฏิเสธไม่ให้พบเลย คาดว่าตอนนี้คงพบได้แล้ว ไปกันเถอะ! พวกเราสองสามีภรรยาไปแสดงไมตรีของเจ้าบ้านให้เต็มที่!” พูดจบทั้งสองก็เดินไปด้วยกัน


เมื่อเดินมาถึงเรือนพักชั่วคราวของเกาก้วน ทั้งสองก็เจอกับเกาก้วนที่สีหน้าเย็นเยียบพอดี เจ้าตัวกำลังนำกลุ่มลูกน้องเดินก้าวยาวออกมาจากลานบ้าน


เทียนหยวนกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้มทันที  “ทูตขวาเกา นับว่าได้พบหน้าท่านแล้ว”


“ท่านโหวมีธุระอะไรเหรอ?” เกาก้วนพยักหน้าเบาๆ


เทียนหยวนกล่าวกลั้วหัวเราะ “ในเมื่อพี่เกามาที่นี่แล้ว พวกเราสองสามีภรรยาก็ต้องแสดงไมตรีของเจ้าบ้านสิ!”


“ไม่ต้องแสดงไมตรีของเจ้าบ้านหรอก ข้ายังต้องไปตรวจสอบคำให้การของหนิวโหย่วเต๋อแบบต่อหน้าอีก!” เกาก้วนกล่าวเสียงราบเรียบ ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด นำลูกน้องเดินจากไปโดยไม่สนใจสิ่งใด


ขณะที่มองกลุ่มคนหายลับไป ปี้เยว่ฮูหยินก็พึมพำว่า “คนนี้นี่ยังไงกันแน่?”


เทียนหยวนพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “สุนัขรับใช้ประจำตัวของประมุขชิงไงล่ะ เจ้าตัวอยากจะเป็นขุนนางโดดเดี่ยวก็ย่อมต้องทำตัวให้เหมือนขุนนางโดดเดี่ยวอยู่แล้ว! แต่คนแบบนี้มักจะมีจุดจบที่อนาถมาก จะเป็นหรือจะตายก็ล้วนขึ้นอยู่กับความคิดเจ้านายทั้งนั้น ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ตัวเองผิดใจกับคนอื่นหมดแล้ว ถึงตอนนั้นเขาก็จะไม่มีแม้แต่คนที่ช่วยพูดให้ ผู้คนกลับจะพากันเหยียบซ้ำอีกต่างหาก”


ปี้เยว่ไม่สนใจเรื่องนี้ แต่กลับกังวลอีกเรื่องหนึ่ง “แล้วเขายังจะไปหาหนิวโหย่วเต๋อทำไมอีก? ทางหนิวโหย่วเต๋อคงไม่เผยพิรุธอะไรใช่มั้ย?”


เทียนหยวนส่ายหน้า “คิดมากไปแล้ว! แค่เขาอาศัยอำนาจเปิดฉากสังหารหมู่ ก็น่าจะรู้ผลลัพธ์ของการทรยศเจ้าแล้วนะ ภายใต้อนาคตที่ไม่แน่นอน ถ้าเปลี่ยนคนอื่นมารับตำแหน่งแม่ทัพภาคของดาวเทียนหยวน เขาก็อาจจะรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ ถ้าไม่มีข้ากับเจ้าคอยกันให้ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ก็วนไปไม่ถึงเขาหรอก? ตราบใดที่เขาไม่มั่นใจว่าเจ้ากับข้าจะล้มพร้อมกัน เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรแน่ ไม่อย่างนั้นถ้าเราไม่ปล่อยคนไป เขาก็ไปไม่ได้อยู่ดี ในภายหลังยังต้องเผชิญหน้ากับพวกเราอีก มิหนำซ้ำการล้มพวกเราก็ไม่เกิดผลดีอะไรกับเขา เขาไม่มีเส้นสายอะไรที่ตำหนักสวรรค์ การหลบอยู่ใต้ปีกของเจ้ากับข้าชั่วคราวคือทางเลือกที่ดีที่สุด อาศัยวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะเงยหน้าอ้าปาก ตำแหน่งที่สูงกว่านี้ยังวนมาไม่ถึงเขาหรอก ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้จักข้อพกพร่องของตัวเอง แต่จะว่าไปแล้ว หลังจากจบเรื่องนี้เขาก็ถูกมัดให้ลงเรือลำเดียวกับเราแล้ว หลอกลวงตบตาเบื้องบนร่วมกับพวกเรา จะไม่เป็นคนของพวกเราก็ไม่ได้ พวกเราสามารถใช้งานได้อย่างวางใจ!”


“คนในราชสำนักอย่างพวกเจ้านี่ช่างเจ้าเล่ห์นัก” ปี้เยว่ฮูหยินกลอกตามองเขาอย่างหยาดเยิ้ม “


ณ จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เกาก้วนและพรรคพวกบุกเข้ามาอีกแล้ว มุ่งตรงมายังจวนขุนนางของเหมียวอี้


เมื่อเห็นเกาก้วนนำคนมา เหมียวอี้ก็งุนงงนิดหน่อย เพิ่งจะได้รับอิสระมาแท้ๆ ยังไม่ทันได้หายใจเต็มปอด ทำไมมาอีกแล้วล่ะ?


โดยเฉพาอย่างยิ่ง การที่เกาก้วนนำคนมาด้วยตัวเอง ทำให้เหมียวอี้รู้สึกกดดันไม่น้อยเลย กังวลว่าโดนฝ่ายปี้เยว่ฮูหยินวางกับดักแล้วหรือเปล่า นี่กำลังจะมาจับตนเหรอ


แต่คิดไปคิดมาก็พบว่าไม่ถูก ฝ่ายปี้เยว่ฮูหยินไม่มีอะไรให้ต้องวางกับดัก เพราะตนผลักความรับผิดชอบไปให้ปี้เยว่ฮูหยินแล้ว


ตอนนี้เขาพบว่าแผนเตรียมตัวหลบหนีที่ตัวเองวางไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีประโยชน์กับคนพวกนี้เลย เพราะอีกฝ่ายเป็นประเภทเข้าออกที่ไหนโดยไม่บอกล่วงหน้า ถ้าอยากจะมาหาเจ้าก็จะมาหาตรงๆ เลย อยากจับเจ้าก็จับไปตรงๆ เลย ไม่ให้เวลาเจ้าตอบโต้อะไรทั้งนั้น กฎกติกาของตำหนักสวรรค์ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่คนพวกนี้ต้องปฎิบัติตาม ไม่ไหวเลย! ตอนนี้ต่อให้คิดจะใช้ทางใต้ดินในบ่อหลบหนีแต่ก็สายไปแล้ว


เรื่องนี้คิดไปคิดมาแล้วก็เหงื่อออกหลัง พบว่าตัวเองยังไม่รู้เรื่องของตำหนักสวรรค์ไม่มากพอ นึกเสียใจทีหลังที่ไม่เชื่อฟังอวิ๋นจือชิว ทำอะไรวู่วามเกินไปแล้ว


มาคิดมากตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นมาต้อนรับ กุมหมัดคำนับอีกฝ่าย “ข้าน้อยคำนับทูตขวาเกา!”


เกาก้วนไม่มีปฏิกิริยาใดๆ มีลักษณะแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร สนใจแค่เบิกทางเดินไปข้างหน้า กดดันจนเหมียวอี้ต้องถอยไปหลบอีกข้าง แต่กลับยกมือเล็กน้อย ทำให้กลุ่มลูกน้องหยุดอยู่ในลานบ้านทันที ไม่ได้เข้าไปข้างในต่อ หยุดยืนเรียงแถวอยู่สองฝั่ง


เหมียวอี้หันหลังกลับไปมอง แล้วรีบเดินตามหลังเกาก้วนเข้าไปข้างใน


พอเข้ามาในโถงหลัก เกาก้วนก็โบกมือสะบัดผ้าคลุม หันตัวไปนั่งลงบนตำแหน่งที่ยามปกติมีเพียงเหมียวอี้ที่นั่งได้


พอเขาไปนั่งลงตรงนั้น บรรยากาศทั้งโถงก็เปลี่ยนไปหมด เปลี่ยนเป็นกดดันถึงขีดสุด


ส่วนเหมียวอี้ก็ทำได้เพียงยืนอยู่เบื้องล่าง ใช้สายตาบอกใบ้ให้เป่าเหลียนที่ค่อนข้างหวาดกลัวรีบนำน้ำชามาวาง


เป่าเหลียนเพิ่งจะยกน้ำชามา เกาก้วนก็กล่าวเสียงเรียบแล้วว่า “ไม่ต้องแล้ว! ตอนสืบคดีข้าไม่พบผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง เจ้าออกไปก่อน!”


เป่าเหลียนจะกล้าพูดมากได้อย่างไร นางมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง เมื่อเห็นเหมียวอี้ไม่มีความเห็นอะไร ก็ถอยไปทันที


รอไปได้ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเกาก้วนได้แต่ใช้สายตาจ้องประเมินตนศีรษะจดเท้าไม่หยุด เหมียวอี้ก็แข็งใจกุมหมัดกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าทูตขวาเกามีเรื่องอะไรจะถามขอรับ ขอเพียงข้าน้อยรู้ ก็จะตอบให้หมดแน่นอน”


เกาก้วนกล่าวว่า “ต้องปิดคดีนี้ได้แล้ว เจ้าว่ายังมีตรงไหนต้องแก้ตัวอีกมั้ย คดีนี้เกิดจากที่ผู้จัดการของร้านค้าเจ็ดอารมณ์และร้านอื่นๆ อีกสิบห้าร้านมอบของขวัญให้เจ้า หวังจะขอตำแหน่งผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ ข้าพูดผิดหรือไม่?”


นี่คือสิ่งที่ตนเคยตอบไปแล้วอย่างซื่อสัตย์ เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่ผิดขอรับ!”


“ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้นตามคำให้การของพวกเจ้า ล้วนเป็นแผนการที่เจ้าไปขอให้ปี้เยว่แม่ทัพภาคของดาวเทียนหยวนเสนอแนะ สุดท้ายก็เป็นผลการตัดสินใจของปี้เยว่ เป็นแบบนี้ใช่มั้ย?” เกาก้วนถาม


เหมียวอี้กลุ้มใจแล้ว ในคำรับสารภาพของข้ามีบอกเหรอว่าข้าขอคำเสนอแนะแผนการจากปี้เยว่ฮูหยิน? เหมือนข้าจะบอกไปว่าเป็นความคิดของปี้เยว่ฮูหยินทั้งหมดนะ นี่กำลังจงใจบิดเบือนไม่ใช่เหรอ?


เขากุมหมัดคารวะและเน้นย้ำอีกครั้ง “ข้าน้อยทำตามแผนที่ท่านแม่ทัพภาควางไว้ทั้งหมดขอรับ”


เกาก้วนถามกลับว่า “เจ้านึกว่าพวกเราไม่รู้เหรอว่าปี้เยว่เป็นคนอย่างไร? ถ้าไม่มีคนยุยง ปี้เยว่จะกล้าตัดสินใจทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน? เจ้าคิดว่าพวกเราหลอกง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ? ถ้าพวกเจ้าพูดอะไรแล้วเป็นอย่างนั้น ยังจะให้พวกเรามาตรวจสอบอะไรอีกล่ะ?”


กับเรื่องแบบนี้ เหมียวอี้จำเป็นต้องเน้นย้ำอีกครั้ง “ทุกสิ่งที่ข้าน้อยทำ ล้วนเป็นการทำตามคำสั่งของท่านแม่ทัพภาคจริงๆ ขอรับ”


เกาก้วนไม่ตกหลุมพรางนี้เลย ถามอีกว่า  “หนิวโหย่วเต๋อ ยินดีจะมารับตำแหน่งที่หน่วยตรวจการฝ่ายขวาของตำหนักสวรรค์มั้ย?”


“…” เหมียวอี้คิดตามเขาไม่ค่อยทัน มาสืบคดีไม่ใช่เหรอ ทำไมกระโดดมาประเด็นนี้แล้ว


เขายังกำลังครุ่นคิดว่าจะตอบอย่างไรดี แต่เกาก้วนก็นำระฆังดาราสองอันวางไว้บนโต๊ะแล้ว “รอให้ถึงตอนที่เจ้าเต็มใจจะมา ก็ติดต่อข้าได้โดยตรง” ขณะที่พูดก็ชี้ไปที่ระฆังดาราสองอันนั้น


เหมียวอี้พูดไม่ออก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ดูถูกเขา เขาก็ไม่สะดวกจะหักหน้าอีกฝ่ายเช่นกัน ก้าวขึ้นไปลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองบนระฆังดาราสองอันนั้น


จากนั้นเกาก้วนก็หยิบเอาไว้หนึ่งอัน แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าในมือ หลังจากเห็นว่ามีปฏิกิริยากับระฆังอีกอันหนึ่งแล้ว เขาถึงได้เก็บระฆังไว้ แล้วพลิกฝ่ามือโยนแผ่นหยกแผ่นหนึ่งออกไป


เหมียวอี้รับมาไว้ในมือด้วยสีหน้าสงสัย แต่เกาก้วนพูดแล้วว่า “นี่คือภูมิหลังเกี่ยวกับเจ้าที่ข้าสืบมา เจ้าดูว่ามีตรงไหนผิดพลาดหรือเปล่า?”


แม้แต่ภูมิหลังของข้าเจ้าก็ไปสืบมาได้เหรอ? เหมียวอี้คิดในใจว่าจะเป็นไปได้อย่างไร จึงรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูเนื้อหาข้างใน


ทว่าแค่เจอส่วนแรกเขาก็อ่านไม่เข้าใจแล้ว เขาพึมพำในใจว่า อสุราอัคนี? อสุราอัคนีเป็นใคร? ข้ากลายเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนีตั้งแต่เมื่อไรกัน


เมื่ออ่านเนื้อหาตอนท้าย เขาก็แอบตกใจไม่หาย เริ่มตั้งแต่ที่ตัวเองเป็นเสนาบดีต่างถิ่นของสำนักลมปราณ พออ่านมาถึงตอนหลัง ก็เจอเรื่องที่ตัวเองเคยทำเขียนอยู่บนนั้น แต่พออ่านให้ละเอียด ก็พบว่าทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ทำให้ตัวเองเสียหาย เป็นไปไม่ได้ที่จะมีเรื่องน่าไม่อายเขียนอยู่บนนั้น


สิ่งที่ทำให้เขาเคลือบแคลงที่สุดก็ยังเป็นอสุราอัคนี ขนาดเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์ของตัวเองเป็นใคร ทำไมท่านนี้ถึงรู้ได้ล่ะ? เขาอดไม่ได้ที่จะกอดแผ่นหยกและถามหยั่งเชิงว่า “ทูตขวาเกาทราบได้อย่างไรว่าข้าน้อยเป็นศิษย์ต่างยุคของอสุราอัคนี?”


“ดูออกตอนที่เจ้าลงมือ” เกาก้วนเพียงอธิบายอย่างเรียบง่ายประโยคเดียว แล้วถามว่า “สถานการณ์ของเจ้า ข้าสืบมาผิดหรือไม่?”


เหมียวอี้อึกอักนิดหน่อย กำลังครุ่นคิดว่าท่านนี้คงไม่ได้กำลังทดสอบตนหรอกใช่มั้ย?


ใครจะคิดว่าเกาก้วนกลับไม่ยอมให้เขาคิดเยอะ พูดสรุปให้ทันทีว่า “ไม่ตอบแสดงว่าข้อมูลที่ข้าสืบมาไม่ผิดพลาด ถ้าตอนหลังข้ารู้ว่าเจ้ากลับคำพูด ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน!” พูดจบก็กางนิ้วทั้งห้า ดูดแผ่นหยกกลับไปไว้ในมือเขา จากนั้นลุกออกจากที่นั่งแล้วเดินลากผ้าคลุมอกไป


เหมียวอี้อ้าปากค้าง นี่มันอะไรกัน? นี่ไม่ใช่การบังคับให้ข้ากลายเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนีหรอกเหรอ? มารดาเจ้าเถอะ ที่สำคัญคือข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอสุราอัคนีมันคือตัวอะไร!


…………………………


บทที่ 1084 วังสวรรค์

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชั่วขณะแรกยังคิดอะไรมากไม่ทัน ท่านนี้กำลังจะไปแล้ว ถ้าไม่ไปส่งก็จะฟังดูเหลวไหล เขาชะงักเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันตัวเดินตามไป


ไม่กล่าวอะไรตามมารยาทเลยสักคำ เกาก้วนทำให้คนรู้สึกว่าไร้อารมณ์ของความเป็นมนุษย์อยู่ตลอดเวลา มองข้ามเหมียวอี้ที่มาส่ง แม้แต่หน้าก็ไม่หันมาเลยสักนิด บุกเข้ามาทื่อๆ แล้วก็นำคนจากไปทื่อๆ


เหมียวอี้ยืนเงียบอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกครู่หนึ่ง ฝูชิงเดินย่องมาข้างกาย แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าห้า ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”


“ใครจะไปรู้ล่ะ น่าจะไม่เป็นอะไรล่ะมั้ง ทางปี้เยว่กล้าทำแบบนี้ เดาว่าคงมีความมั่นใจพอสมควร” เหมียวอี้ส่ายหน้าแล้วหันตัวเดินกลับไป


พอกลับมาถึงโถงหลักในเรือน เห็นระฆังดาราที่อยู่บนโต๊ะ เหมียวอี้ก็เดินไปหยิบมาถือครุ่นคิดอยู่ในมือพักหนึ่ง แลวจู่ๆ ก็เริ่มยิ้ม


ใช่แล้ว คงจะไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นเกาก้วนจะพูดเรื่องให้ตนเข้าไปทำงานในหน่วยตรวจการฝ่ายขวาได้อย่างไร


สิ่งที่ทำให้เข้ากลัดกลุ้มที่สุดก็ยังเป็นอสุราอัคนีอะไรนั่น เขานึกขึ้นได้ว่าตัวเองฝึกวิชาอัคนีดารา มีคำว่า ‘อัคนี’ เหมือนกัน เกาก้วนบอกว่าเห็นตนลงมือจึงมองออกว่าตนคือผู้สืบทอดของอสุราอัคนี อย่าบอกนะว่าเคล็ดวิชาที่ตนฝึกเกี่ยวข้องกับอสุราอัคนีอะไรนั่น? แล้วเคล็ดวิชานี่มาโผล่อยู่ที่พิภพเล็กได้ยังไง? เกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าปีศาจรวมทั้งสมบัติที่เจอในตอนหลัง ทั้งยังมีภาพสตรีทะยานฟ้านั่นอีก?


คิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ ก็เลยขี้เกียจคิดอีก นี่ไม่ใช่เรื่องแย่อะไร ประวัติภูมิหลังของตน เดิมทีก็พูดได้ไม่ชัดเจนอยู่แล้ว ตอนนี้เกาก้วนดึงดันจะกำหนดให้ตนเป็นลูกศิษย์ของอสุราอัคนีอะไรนั่นให้ได้ งั้นตนเป็นศิษย์ของอสุราอัคนีไปเลยก็สิ้นเรื่อง เวลามีคนถามถึง ตนก็จะตอบไปอย่างนี้ ต่อให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่เป็นไร อย่างมากเมื่อถึงตอนนั้นก็แค่ผลักความรับผิดชอบไปให้เกาก้วน เป็นเกาก้วนที่ดึงดันจะคิดอย่างนี้เอง ทั้งยังไม่ให้ตนกลับคำพูดด้วย


แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาอยากจะรู้ให้แจ่มแจ้ง อสุราอัคนีเป็นใครกันแน่?


พอนึกถึงคนที่อยู่รอบข้าง เขาก็พบว่าคงไม่ดีหากจะเอ่ยปากถามเรื่องนี้ ถ้าตนเป็นศิษย์ของอสุราอัคนี แต่ไม่รู้แม้กระทั่งประวัติความเป็นมาของอาจารย์ตัวเองทั้งยังต้องไปถามคนอื่น แบบนี้จะไม่ค่อยเหมาะสมหรือเปล่า?


เกาก้วนไม่ได้กลับตำหนักคุ้มเมือง และไม่ได้มาบอกกล่าวอะไรด้วย แค่จากไปทื่อๆ อย่างนั้น เหมือนกับตอนที่เขามา มาถึงโดยไม่บอกกล่าว กลับไปโดยไม่บอกกล่าว


หลังจากได้ข้อมูลกลับมาจากทางประตูเมือง ปี้เยว่ฮูหยินและเหมียวอี้ถึงได้รู้ว่าเกาก้วนพาคนกลับไปแล้ว…


ตำหนักสวรรค์วังสวรรค์!


สถานที่ที่คนส่วนใหญ่ของจักรวาลไม่มีทางมาเหยียบได้ คนส่วนใหญ่ถึงขั้นทั้งชีวิตนี้ไม่เคยได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ สถานที่นี้คือสิ่งที่อยู่ในตำนานสำหรับคนส่วนใหญ่


ตามตำนาน นี่ก็คือสถานที่รวบรวมสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดในจักรวาล เป็นสถานที่ที่ฟุ้งเฟ้อที่สุด


ซึ่งความเป็นจริงก็เป็นอย่างนั้น


ดาราจักรที่อยู่รอบข้างมีสีสันแพรวพราวราวกับภาพมายา ดาวเคราะห์ที่ตั้งมั่นอยู่สี่ทิศมีทหารสวรรค์กลุ่มใหญ่คอยโอบล้อมพิทักษ์วังสวรรค์ที่อยู่ตรงกลาง อาณาเขตดาวผืนนี้ห้ามไม่ให้ใครรุกล้ำโดยพลการ และดาวเคราะห์สี่ดวงนั้นก็คือพื้นที่ต้องห้ามส่วนตัวของสี่อ๋องสวรรค์


ในเวลาเดียวกัน บนดาวเคราะห์สี่ดวงต่างก็มีกองกำลังกลุ่มหนึ่งเกาะออกมา เป็นการแลกเวรของทหารยามที่เฝ้าตรงประตูฟ้าทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ


ทหารยามเฝ้าอยู่ตรงฝั่งซ้ายและขวาของประตูฟ้า ถืออาวุธยืนอย่างเคร่งขรึม วรยุทธ์ต่ำที่สุด ยศต่ำที่สุด เป็นแม่ทัพที่สวมเครื่องแบบเกราะม่วงหนึ่งแถบ ส่วนผู้ที่นำกองกำลังเดินไปเดินมาก็คือแม่ทัพที่สวมเกราะรบสีแดง กำลังกวาดสายตาระแวดระวังมองรอบด้าน ฟ้องกันไม่ให้มีใครเข้ามาใกล้โดยพลการ


เงาคนคนหนึ่งแวบเข้ามา เหยียบลงนอกประตูฟ้าทิศใต้ ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเกาก้วนนั่นเอง


เมื่อแสดงป้ายคำสั่งพิสูจน์ตัวตน เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ใช่ตัวปลอม เกาก้วนถึงได้เดินเข้าไปข้างใน


ใหญ่โตมโหฬาร กว้างใหญ่ไพศาล ทุกที่เป็นศาลาพลับพลาที่ประณีตยิ่งกว่าเนรมิต เมื่อตัวอยู่ในตำหนักสวรรค์ ถ้าไม่ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มอง ก็ถึงขั้นมองไม่เห็นริมขอบของสิ่งปลูกสร้างที่เรียงติดต่อกันยาวเหยียดเลยด้วยซ้ำ


แสงสีขาวบริสุทธิ์ที่แผ่รัศมีครอบคลุมบางๆ หนึ่งชั้น แสงสว่างที่เป็นมงคล บนฟ้ามีสัตว์เทพในตำนาน หงส์ร่อนมังกรรำ วิหคเซียนนานาชนิดบินติดตาม


สิ่งปลูกสร้างทุกชนิดสีขาวบริสุทธิ์ดุจหยก แต่กลับไม่ใช่ศิลาหยก แต่เป็นสิ่งปลูกสร้างที่เกิดจากการรวบรวมพลังปรารถนาของสรรพสิ่งนับไม่ถ้วนในจักรวาล


บนเสารูปมังกรที่สูงใหญ่ มีมังกรทองตัวหนึ่งที่หน้าตาดุร้ายมีพลังจนทำให้คนที่เห็นต้องกลั้นหายใจพันขดอยู่ ในรังหงส์มีหงส์ขนสีรุ้งที่งดงามตระการตาจนทำให้คนใจสั่น เกาก้วนเดินไปข้างหน้าโดยไม่ชายตามองด้านข้าง หงส์และมังกรที่อยู่ทางซ้ายและขวาเพียงลืมตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็หลับตาลงเหมือนเดิม


ระหว่างสระหยกที่มีอยู่ทั่วตำหนักสวรรค์ ดอกไม้ใบหญ้าแปลกตากำลังเบ่งบาน สัตว์ประหลาดนานาชนิดกำลังแหวกว่ายอยู่ในสระหยก เด็กน้อยที่ฝึกตนจนแตกฉานกำลังเล่นอยู่ในนั้น ตอนที่เกาก้วนเดินผ่าน เด็กน้อยก็รีบไปหลบอยู่ใต้ใบบัวสีเขียวหยก กลายเป็นปลาหลี่สีทองตัวหนึ่งสั่นหัวส่ายหางว่ายเข้าไปในน้ำสีเขียวหยก


มีตำหนักงดงามหรูหราขนาดนี้ แต่งานอดิเรกของราชันสวรรค์กลับเป็นการทำนาอยู่ในท้องนาที่มีโคลนเลน ทำให้คนมากมายร่ำร้องในใจ สิ่งที่ตัวเองเอื้อมไม่ถึง แต่ราชันสวรรค์กลับไม่สนใจ


เมื่อก้าวขึ้นบันไดสูงเข้ามาในวังสวรรค์ ทิวทัศน์ของแดนสวรรค์ข้างในก็ยิ่งทำให้คนละลานตาจนมองไม่หมด บางครั้งก็จะเห็นกลุ่มเทพธิดาที่เป็นสนมสวรรค์เดินแห่กันมาเป็นกลุ่ม


ถึงแม้เกาก้วนจะมีตำแหน่งไม่สูง แต่กลับเป็นขุนนางที่อยู่ใกล้ชิดข้างกายราชันสวรรค์ การปรากฏตัวของเขาดึงดูดความสนใจของเหล่าสนมสวรรค์ ไม่แคล้วต้องมีคนคิดอยากจะสานสัมพันธ์อันดีกับเกาก้วน


ในวังสวรรค์ นางสนมของราชันสวรรค์มีเยอะเกินไป ต่อให้ไม่ถึงหนึ่งหมื่นก็ถึงแปดพัน แต่ละคนงดงามเลิศล้ำ ผู้หญิงจำนวนมากมายขนาดนี้ ถ้าอยากจะได้รับหยาดน้ำฝนแห่งความเมตตาจากราชันสวรรค์ทุกคน ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เกรงว่านางสนมส่วนใหญ่แค่จะให้ราชันสวรรค์จำชื่อตัวเองได้ก็ยังยากเลย อยากจะได้รับความโปรดปรานต่อหน้าราชันสวรรค์ก็ยิ่งยากเข้าไปอีก


อยู่ดีๆ ใครจะไปจดจำชื่อคนเป็นหมื่น มิหนำซ้ำยังเป็นกลุ่มผู้หญิงที่ไม่ได้สำคัญอะไรต่อราชันสวรรค์ด้วย สำหรับราชันสวรรค์แล้ว บางทีการเอานางสนมหนึ่งพันคนมารวมกัน ก็ยังไม่สำคัญเท่าขุนนางหนึ่งคนเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงมีเพียงผู้หญิงที่ชาติกำเนิดดี ที่เมื่อเข้าวังสวรรค์มาแล้วถึงจะมีโอกาสได้รับฐานะที่ดีกว่าเดิม ต่อให้ทำไปเพื่อบำรุงขวัญขุนนางก็ตาม เมื่อมีฐานะในวังหลังสูงขึ้น โอกาสในการคลุกคลีกับราชันสวรรค์ก็จะมีมากตามไปด้วย เมื่อมีโอกาสคลุกคลีมากถึงจะมีโอกาสได้รับความโปรดปราน


ในโลกนี้มีหญิงงามมากมายเสียที่ไหนกัน แต่ราชันสวรรค์กลับไม่ขาดหญิงงามคอยปรนนิบัติ ภูมิหลังชาติกำเนิดไม่ดี ถ้าอยากจะให้ราชันสวรรค์คิดถึงก็มีแต่ต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น อันดับแรกย่อมต้องให้ราชันสวรรค์มีภาพความประทับใจกับชื่อของตน ถ้าราชันสวรรค์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนชื่อนี้อยู่ท่ามกลางนางสนมของตัวเอง แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่ราชันสวรรค์จะเรียกให้ไปปรนนิบัติ


ถ้าขุนนางที่ใกล้ชิดข้างกายราชันสวรรค์อย่างเกาก้วนสามารถเอ่ยชื่อตัวเองขึ้นมาสักครั้ง ก็จะต้องดึงดูดความสนใจของราชันสวรรค์แน่นอน เป็นไปได้สูงว่าราชันสวรรค์จะต้องอยากเห็น ว่าใครกันที่ทำให้เกาก้วนเอ่ยถึงได้ แบบนี้จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้ตัวเองได้ใกล้ชิดราชันสวรรค์แล้ว


ดังนั้นจึงมีคนอยากจะทักทายเกาก้วน แต่เกาก้วนยังคงมองไม่เห็นใครในสายตา เอาแต่มองตรงไปเบื้องหน้า นางสนมที่พยักหน้ายิ้มอยู่สองข้างทางเพราะอยากจะหาโอกาสคุยจึงเสียแรงเปล่า ต่อให้สวยกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ ในใจเคียดแค้นจนกัดฟันกรอด แต่กลับไม่กล้าล่วงเกินเกาก้วน


อย่านึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงของราชันสวรรค์แล้วจะทำอะไรก็ได้ ผู้หญิงของราชันสวรรค์มีตั้งเยอะ จะเพิ่มหรือลดลงสักคนก็ไม่ส่งผลอะไร แต่คนที่สามารถกลายเป็นลูกน้องคนสนิทของราชันสวรรค์ได้กลับมีไม่เยอะ ผู้หญิงที่ถูกส่งเข้าตำหนักเย็นเพื่อปลอบขวัญขุนนางมีตั้งเยอะ โดนประหารเพราะมีความผิดก็ใช่ว่าจะไม่มี ราชินีสวรรค์ที่คุมวังหลังชอบ ‘ช่วย’ ราชันสวรรค์ทำเรื่องแบบนี้ที่สุดแล้ว


ถึงแม้จะมีหลายคนปวดใจ แต่เก้าอี้ที่อยู่ใต้ก้นราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วก็ยังเป็นความฝันของผู้หญิงมากมายในวัง พวกนางหวังว่าตัวเองจะได้กลายเป็นที่เคารพท่ามกลางสตรีในโลกนี้ ความมีหน้ามีตาแบบนั้นมีแรงดึงดูดอย่างร้ายแรงต่อผู้หญิง การเฝ้ารอให้ถูกผู้หญิงทุกคนอิจฉาคือนิสัยธรรมชาติของผู้หญิง


ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนส่วนใหญ่แอบปลอบใจตัวเอง ว่าอาศัยหน้าตาอย่างราชินีสวรรค์ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องโดนราชันสวรรค์ทอดทิ้งแน่ ผู้หญิงสวยมักจะมีความมั่นใจในตัวเองอย่างหน้ามืดตามัว


ท่ามกลางศาลาพลับพลาที่งดงามหรูหรา ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วที่สวมมงกุฎหงส์และแต่งกายสูงส่งจนหาคำพูดมาบรรยายไม่ได้ ตอนนี้กำลังเดินพูดคุยอยู่กับประมุขชิง ข้างหลังมีเทพธิดาสิบกว่าคนเดินตาม


ประมุขชิงที่เอามือไขว้หลังเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เผยรอยยิ้มบนใบหน้าอยู่เป็นระยะ เหมือนจะถูกคำพูดของราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วหยอกล้อให้ขำแล้ว


ประมุขชิงในเวลานี้ไม่ได้แต่งกายเหมือนชาวนาแล้ว บนศีรษะสวมพระมาลาห้อยลูกปัดเก้าสาย บนตัวสวมชุดสีทองที่องอาจผ่าเผยและสูงส่งหรูหรามาก บนนั้นมีภาพมังกรเก้าตัวที่ปักเอาไว้ราวกับใช้กาวติด มีชีวิตชีวิตราวกับเป็นของจริง เหมือนมีมังกรตัวจริงย่อขนาดติดอยู่บนเสื้อผ้า


เมื่อเดินออกจากศาลาพลับพลาเข้ามาในสวน เกาก้วนก็กำลังยืนรออยู่แล้ว


เมื่อเห็นเขามา ประมุขชิงก็โบกมือเบาๆ ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วก็ย่อกายคำนับ แล้วนำเหล่าเทพธิดาถอยออกไป


“สืบสวนเป็นอย่างไรบ้าง?” ประมุขชิงเอามือไขว้หลังเดินไปข้างหน้าต่อ


หลังจากกุมหมัดคารวะแล้ว เกาก้วนก็เดินตามอยู่ข้างกาย พร้อมตอบว่า “สถานการณ์โดยรวมไม่ต่างกับที่รู้ก่อนหน้านี้ขอรับ ร้านค้าสิบหกร้านนั้นอยากจะยัดคนเข้าไปนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการจริงๆ หลังจากทำไม่สำเร็จ คนที่หนุนหลังพวกเขาจึงไปร้องเรียนกับเทพประจำดาวคนฉลู พอร้องเรียนไม่สำเร็จ ก็ร่วมมือกับพ่อค้าของตลาดสวรรค์กดดันให้หนิวโหย่วเต๋อลงจากตำแหน่ง ผลก็คือยั่วโมโหจนหนิวโหย่วเต๋อใช้วิธีการที่เด็ดขาดรวดเร็ว หลังจากเกิดเรื่อง หนิวโหย่วเต๋อก็ได้คำให้การที่พ่อค้ารายใหญ่ร่วมมือกันทำเป็นขบวนการแล้ว พ่อค้าที่เข้าร่วมด้วยมีประมาณหกหมื่นกว่าคน ข้าน้อยนำคำให้การทั้งหมดมาแล้วขอรับ เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ลงมือได้รวดเร็ว ไม่ให้เวลาพวกเขาได้เตรียมตัวสักเท่าไร ไม่อย่างนั้นคนที่ร่วมมือกันต่อต้านผู้บัญชาการใหญ่หนิวโหย่วเต๋อก็คงไม่ได้มีแค่หกหมื่นคนแน่”


“ดี! ช่างดีจริงๆ!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม “ตอนนี้กลุ่มพ่อค้ามีความสามารถที่จะบงการขุนนางของตำหนักสวรรค์แล้ว ทั้งยังเป็นคนที่ข้าเพิ่งแต่งตั้งและมอบรางวัลให้ด้วย เจ้าว่าคนพวกนั้นสมควรถูกฆ่ามั้ย?”


“สมควรฆ่าขอรับ!” เกาก้วนตอบเสียงเรียบ


ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก แล้วถามอีกว่า “สถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”


มีร้านค้าของสมาคมวีรชนอยู่ที่นั่น เกาก้วนไม่เชื่อว่าทางนี้จะไม่รู้สถานการณ์ แต่ก็ยังตอบตามความจริงว่า “หลังจากหนิวโหย่วเต๋อรักษาการณ์ที่นั่น ก็สั่งห้ามไม่ให้พ่อค้าจัดตั้งสมาคมร้านค้าส่วนตัว แต่ให้แบ่งสมาคมร้านค้าเป็นสี่ส่วน ให้อยู่ในการคุมของสี่เขตเมืองในตลาดสวรรค์โดยตรง แล้วก็แบ่งย่อยอีกที ให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการในสังกัดแบ่งกันรับผิดชอบขอรับ”


“เขาไม่กลัวว่าจะทำให้อำนาจที่อยู่เบื้องหลังคนพวกนั้นโต้กลับเหรอ?” ประมุขชิงถาม


“วิธีการของเขาเรียบง่ายมาก เบื้องบนควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าเบื้องล่างกล้ามีคนต่อต้าน ฆ่า!” เกาก้วนตอบ


“ช่างเรียบง่ายจริงๆ! เรื่องที่ให้เจ้าไปสืบมาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”


“เป็นอย่างที่ฝ่าบาทคาดไว้ นี่ไม่ใช่ความคิดของปี้เยว่ คนที่ออกความคิดยังเป็นหนิวโหย่วเต๋อคนนั้น ปี้เยว่เพียงให้ท้ายเขาเท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นใต้หนังตาแบบนี้ ไม่มีทางที่นางจะไม่รู้ ถึงแม้ปี้เยว่จะไม่ยอมรับ แต่ข้าน้อยก็สามารถแน่ใจได้แล้ว เบื้องหลังปี้เยว่มีท่านโหวเทียนหยวนแนะนำให้ทำแน่นอน ถ้าไม่ใช่แบบนี้ ปี้เยว่ก็ไม่ได้มีความกล้ามากขนาดนั้น ดังนั้นผลลัพธ์ที่แท้จริงก็คือ หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนออกความคิดนี้ ส่วนท่านโหวเทียนหยวนกับฮูหยินคอยเล่นไปตามน้ำอยู่เบื้องหลัง เพื่อที่จะปกป้องตัวเอง หนิวโหย่วเต๋อจึงลงมือได้เด็ดขาดขนาดนี้ พูดให้ชัดก็คือท่านโหวเทียนหยวนและภรรยามีความตั้งใจที่จะทำแบบนี้ ไม่อย่างนั้นตั้งแต่ครั้งแรกที่คนพวกนั้นมาร้องเรียน หนิวโหย่วเต๋อก็คงลงจากตำแหน่งไปแล้ว เป็นสองสามีภรรยาที่ปกป้องอยู่เบื้องหลัง”


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ก่อนหน้านี้ข้ายังแปลกใจ ว่าผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์คนหนึ่งจะเอาความกล้าจากไหนมาต่อต้านผู้มีอำนาจอิทธิพลของตำหนักสวรรค์ นึกไม่ถึงว่าเทียนหยวนก็ใจกล้าไปแล้วครั้งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเขาตบตาข้า ดูท่าแล้วคงเป็นคนที่มีหลักการ”


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)