ลำนำบุปผาพิษ 1081-1088

 บทที่ 1081 ย่อมไม่ประสงค์ร้ายกับเธอแน่นอน


ขณะที่เธอพูดอยู่ผมยาวๆ ของเธอก็ปลิวระมาด้านหน้า เธอรังเกียจความรุงรัง จึงฉีกชายกระโปรงออกมาเส้นหนึ่ง รวบผมยาวให้เป็นทรงหางม้า


ทุกอากัปกริยาของเธอเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของยุคปัจจุบัน บุคลิกทุกอย่างเหมือนตอนที่เธออยู่ในยุคปัจจุบัน และเห็นได้ชัดว่าความทรงจำเธอหยุดอยู่ในขณะที่หลงซีผ่าตัดควักหัวใจเธอ


ความจริงแล้วหลงฟั่นจับตามองปฏิกิริยาของกู้ซีจิ่วอยู่อีกห้องหนึ่งด้านนอกห้องวิจัยมาโดยตลอด


มุกราตรีทั้งหกลูกที่ฝังอยู่ด้านบนในห้องวิจัยของหลงฟั่นดูเผินๆ คล้ายว่าเป็นมุกราตรีธรรมดาๆ อันที่จริงเป็นกล้องวงจรปิดที่เขาติดตั้งไว้ ใช้พลังวิญญาณขับเคลื่อน สามารถมองเห็นทุกอากัปกริยาของกู้ซีจิ่วที่อยู่ในโลงแก้วผลึกได้โดยไร้จุดอับสายตา แม้แต่สีหน้าเล็กๆ น้อยๆ สักอย่างของเธอก็สามารถมองเห็นได้ทั้งสิ้น


เขารู้ว่าเธอเป็นนักฆ่ามือฉมัง และเชี่ยวชาญการเล่นละครตบตา แต่ท่าทางตอนที่เธอเพิ่งตื่นขึ้นมามิใช่การแสร้งทำ ปฏิกิริยาตอบสนองของเธอคล้ายปฏิกิริยาตอบสนองที่เกิดขึ้นตามนิสัยของเธอยามพบเจอสถานการณ์เช่นนี้


แน่นอน เพื่อความปลอดภัย เขายังคงส่งทาสใบ้ไปทดสอบเธอด้วย ดูว่ายามที่ตกอยู่ในอันตรายเธอจะสำแดงวิชายุทธ์แบบไหนออกมา วิชายุทธ์ที่เธอใช้ก็เป็นของยุคปัจจุบันเช่นกัน ไม่มีกระบวนท่าที่เป็นของยุคนี้เลย


หลงฟั่นยังคงเชื่อมั่นในตัวยาที่ตนจัดเตรียมยิ่งนัก หลังจากผ่านการทดสอบอย่างต่อเนื่องเช่นนี้แล้ว ในที่สุดเขาก้วางใจ เธอฟื้นขึ้นมาตามที่เขาประสงค์ไว้ ไม่มีความทรงจำของโลกนี้…


เขามองดูเธอ ราวกับมองผลงานที่น่าภูมิใจที่สุดของตน นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความปลาบปลื้มพอใจ “ซีจิ่ว นี่ไม่ใช่การถ่ายละคร เธอถูกหลงซีฆ่าตายในโลกนั้น ฉันเลยฟื้นคืนชีพให้เธอในโลกนี้ ตอนนี้พวกเราไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนั้นของพวกเราอีกแล้ว…”


กู้ซีจิ่วถูกเขาทำให้มึนงงอยู่บ้าง เลิกคิ้วมองดูเขาเหมือนมองคนไข้โรคประสาท “คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้ทำการทดลองทั้งวันทั้งคืนจนเป็นโรคประสาทแล้ว? โลกนี้โลกนั้นอะไรกัน? ความหมายของคุณคือฉันทะลุมิติมา? คุณก็ทะลุมิติมาด้วย? แล้วที่ฉันทะลุมิติมาก็เป็นเพราะคุณงั้นเหรอ?”


หลงฟั่นเองก็ทราบว่าการพูดแบบนี้ค่อนข้างน่าเหลือเชื่อสำหรับเธอ จึงยิ้มแวบหนึ่ง “เธอตามฉันมาสิ”


พลางเดินนำไปด้านหน้า กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปาก เธอเป็นคนใจกล้าอยู่แล้ว จึงเดินตามหลังไป


ระหว่างทางพบเห็นนักรบที่สวมชุดประหลาดมากมาย แต่ละคนล้วนไว้ผมยาวแต่งกายแบบโบราณทั้งสิ้น


จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็ยื่นมือออกไปฉวยสิ่งหนึ่งไว้ ดึงผมของผู้อื่นออกมา เห็นได้ชัดว่าต้องการพิสูจน์ดูว่าอีกฝ่ายสวมวิกผมอยู่หรือไม่…


หลงฟั่นยิ้มออกมาอย่างอดไว้ไม่อยู่ เพียงไม่ได้พูดอะไรออกมา ย่อมให้เธอพิสูจน์


ทั้งสองเดินลอดเส้นทางที่ทอดยาวสายหนึ่ง ทางเดินสายนี้เป็นอุโมงค์ครึ่งวงกลม กำแพงทางเดินล้วนเป็นอิฐสีเขียวกึ่งโปร่งใสที่กันร้อนกันไฟชนิดหนึ่ง เหนือศีรษะก็เป็นอิฐชนิดนี้เช่นกัน แต่ด้านบนของอิฐนั้นกลับมีสิ่งที่คล้ายกับเปลวเพลิงถมอยู่ชั้นหนึ่ง


กู้ซีจิ่วจับจ้องอย่างเงียบๆ อยู่หลายครา ด้านบนคือลาวาเหรอ? สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นใต้ลาวาหรือไง?


“คุณจะพาฉันไปดูอะไรกันแน่?” เห็นได้ชัดว่ากู้ซีจิ่วระแวงคนที่มีใบหน้าเหมือนหลงซี


หลงฟั่นยิ้มแวบหนึ่ง “วางใจเถอะ ในเมื่อฉันสิ้นเปลืองจิตใจคืนชีพให้เธอ ย่อมไม่ประสงค์ร้ายกับเธอแน่นอน”


หลงฟั่นพาเธอเข้าไปในโถงใหญ่ห้องหนึ่ง ในห้องโถงจัดวางเสาแก้วผลึกที่มีสีสันต่างกันไปไว้ห้าต้น มีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร


“ซีจิ่ว เธอวางมือลงไปบนเสาแก้วผลึกพวกนี้ทีละต้นสิ”


กู้ซีจิ่วไม่ขยับเขยื้อน เม้มริมฝีปากมองเขา


หลงซือเย่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอีกครั้ง “กลัวว่าฉันจะวางกับดักไว้บนเสาแก้วผลึกพวกนี้เหรอ? เธอกังวลมากไปแล้ว ด้วยพลังยุทธ์ของเธอในตอนนี้ถ้าฉันคิดจะลอบทำร้ายเธอก็เป็นเรื่องที่ไม่คณามือเลย ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคดมาวางกับดักไว้ที่นี่หรอก”


เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วยังคงนิ่งอยู่ เขาก็ส่ายศีรษะนิดๆ เดินเข้าไปวางมือบนเสาแก้วผลึกสีเขียวต้นนั้นด้วยตัวเองก่อน


————————————————————————————-


บทที่ 1082 โลกของคนบ้ายากจะเข้าใจได้!


เมื่อเห็นกู้ซีจิ่วยังคงนิ่งอยู่ เขาก็ส่ายศีรษะนิดๆ เดินเข้าไปวางมือบนเสาแก้วผลึกสีเขียวต้นนั้นด้วยตัวเองก่อน


เสาแก้วผลึกสีเขียวเริ่มเปล่งแสงจากด้านล่างทันที ไล่ขึ้นมาจนถึงยอดสว่างไสวไปทั้งต้น!


จากนั้นเขาก็เอามือออก สีสันนั้นจึงดับสลัวลงอีกครั้ง


“เห็นหรือเปล่า? เสาแก้วผลึกพวกนี้แสดงถึงพลังวิญญาณ ยิ่งสว่างมากเท่าไหร่ก็แปลว่าพลังวิญญาณในด้านนั้นก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น” หลงฟั่นเริ่มอธิบายเรื่องพลังวิญญาณของโลกนี้ให้เธอรู้


กู้ซีจิ่วฟังอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง “ถ้ายึดตามที่คุณบอก พลังวิญญาณธาตุไม้ของคุณเต็มเสาแล้ว คุณฝึกฝนจนเข้าขั้นเซียนแล้วใช่ไหม?”


หลงฟั่นยิ้มนิดๆ “ใช่แล้ว ดังนั้นฉันถึงมีความสามารถในการกลับหยินพลิกหยางพาเธอมาจากโลกนั้นได้”


“เพราะอะไร?” กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจ “ฉันเดินทางข้ามภพข้ามชาติ นี่เป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังงานมากเลยสินะ? พูดอีกอย่างคือทำให้คุณสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปไม่น้อยเลยกระมัง? ทำไมคุณต้องทุ่มเทถึงขนาดนี้เพื่อพาฉันมาล่ะ?”


“เพราะเธอคือผลงานที่สมบูรณ์แบบที่สุดของฉัน สมบูรณ์แบบจนไม่ว่าฉันจะไปที่ไหนก็จะพาเธอไปด้วยทุกที่” สายตาที่หลงฟั่นมองเธอมีความบ้าคลั่งพาดผ่านแวบหนึ่ง


กู้ซีจิ่วเงียบงัน โลกของคนบ้าวิทยาศาสตร์ยากจะเข้าใจได้!


“ถ้างั้นในเมื่อคุณฝึกฝนที่โลกนี้จนเป็นเซียนแล้ว ก็น่าจะทะลุมิติมานานแล้วสินะ แต่ฉันจำได้ว่าก่อนที่ฉันจะถูกทำร้ายยังได้ข่าวอยู่เลยว่าคุณมีชีวิตอยู่ดีที่ห้องวิจัย…”


มุมปากของหลงฟั่นหยักขึ้นบางๆ “อันที่จริง…ฉันไม่ใช่คนในยุคนั้นของเธอเดิมทีฉันมาจากยุคนี้”


เห็นได้ชัดว่ากู้ซีจิ่วไม่ได้คาดการณ์เรื่องนี้เอาไว้ “ห๊า?”


หลงฟั่นยิ้มอย่างผ่อนคลายแวบหนึ่ง “ไม่เข้าใจเหรอ?”


กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ความหมายของคุณคือคุณข้ามมิติไปยุคปัจจุบัน ศึกษาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของยุคปัจจุบันจากนั้นก็ข้ามมิติกลับมาอีก?”


หลงฟั่นแย้มยิ้มไม่พูดอะไร ยอมรับโดยปริยาย


นี่เป็นข่าวใหญ่เลย!


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก คนสมัยโบราณคนหนึ่งทะลุมิติไปเป็นคนสมัยปัจจุบัน ซ้ำยังกลายเป็นคนบ้าวิทยาศาสตร์ด้วย ก้าวขึ้นไปอยู่แนวหน้าของวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของยุคปัจจุบัน หลงฟั่นผู้นี้เป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง!


“แล้วฉันล่ะ? คุณคงไม่ได้จะบอกฉันว่า ฉันก็เป็นคนของยุคนี้เหมือนกัน แต่ถูกคุณโคลนนิ่งขึ้นมาในยุคนั้นใช่ไหม?!”


หลงฟั่นส่ายหน้าถอนหายใจพลางตอบ “เรื่องนี้ไม่ใช่…เธอเป็นกรณีเหนือความคาดหมาย…เอาล่ะ เรื่องพวกนี้ล้วนไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด ที่สำคัญคือเธอกับฉันอยู่ที่โลกนี้แล้ว วันหน้าเธอกับฉันสามารถร่วมมือกันทำการใหญ่ได้”


กู้ซีจิ่วกล่าวอย่างเฉยชา “ฉันไม่มีจิตใจทะเยอทะยานอยากเป็นเจ้าใหญ่นายโตหรอกนะ และไม่คิดจะร่วมมือกับคุณด้วย!”


หลงฟั่นเลิกคิ้ว ประกายสลัวแวบหนึ่งพาดผ่านดวงตา “ทำไม?”


“เพราะหน้านี้ของคุณ! ฉันเห็นหน้านี้ของคุณแล้วเกิดเงามืดในใจ ยังไงซะลูกชายคุณก็ตลบหลังฉัน…หนี้ของบุตรบิดาต้องชดใช้ ถ้างั้นนิสัยก็คงเหมือนกัน เขาตลบหลังฉัน แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าคุณจะไม่ตลบหลัฉันเหมือนกัน? ตัวฉันกู้ซีจิ่วไหนเลยจะเป็นคนที่เสียทีแบบเดียวกันสองหน? คุณดูถูกฉันแล้ว!” น้ำเสียงกู้ซีจิ่วแฝงความเยียบเย็น


หลงฟั่นเงียบงัน


ทันใดนั้นพลันมีเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมาจากด้านนอก “กล่าวได้ดี! ผู้อาวุโสหลง หนนี้ท่านเตะถูดแผ่นเหล็กเข้แล้กระมัง?” น้ำเสียงกระจ่างชัดดึงดูด ปานหยกเหมันต์กระทบกัน


ขณะที่เสียงดังขึ้น คนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาแล้ว


น่าฉงนปานดาวดึงส์เก้าชั้นฟ้าร่อนริน นี่คือบทกวีที่บรรยายถึงธารน้ำตกเขาหลูซาน แต่กู้ซีจิ่วรู้สึกว่า นำบทกวีประโยคนี้มาบรรยายถึงผมเงินของคนผู้นี้จะเห็นภาพและมีชีวิตชีวามากกว่า


คนผู้นี้สวมเสื้อคลุมตัวหนาสีดำดั่งน้ำหมึก เกศาสีเงินที่แผ่สยายไปถึงข้อเท้าเขาดูราวกับผ้าคลุม คนผู้นี้รูปโฉมงดงามยิ่ง ทว่ามิใช่ความงามแบบชาวที่ราบลุ่มภาคกลาง แต่แฝงกลิ่นอายของทางตะวันตกไว้ด้วย ดั้งโด่งตาลึก เครื่องหน้าประหนึ่งใช้มีดแกะสลักออกมา ลายเส้นงดงามประณีต


ยามมองคนนัยน์ตาสีชาอ่อนจางเสมือนรวบรวมแสงสะท้อนบนวารีไว้ มีมนต์เสน่ห์ชวนให้ใจสั่นหวามไหว ราวกับสามารถทำให้ผู้คนลุ่มหลงอยู่ในดวงตาคู่นั้นของเขาด้วยความเต็มใจ


————————————————————————————-


บทที่ 1083 มิน่าเล่าถึงมีใจทะเยอทะยานมากถึงเพียงนี้


คนผู้นี้ยิ้มบางๆ พลางเดินเข้ามา ดูราวกับคุณชายสูงศักดิ์ผู้อ่อนโยน ทว่ามีกลิ่นอายทรงเสน่ห์มืดทะมึนแฝงอยู่รางๆ


ลักษณะของคนผู้นี้พิเศษยิ่งนัก ทำให้คนมองเห็นแวบเดียวก็สลักลึกอยู่ในความทรงจำแล้ว


เมื่อหลงฟั่นเห็นคนผู้นี้ก็ค้อมเอวทำความเคารพอย่างที่ดุน่าประหลาดยิ่งนัก “ท่านเจ้า”


คนผู้นั้นพยักหน้านิดๆ ถือว่าตอบรับเขาแล้ว ดวงตาจดจ่ออยู่ที่ร่างของกู้ซีจิ่ว


ดวงตาคู่นั้นของเขามีอานุภาพทะลุทะลวงยิ่ง ราวกับสามารถมองทะลุเนื้อหนังไปถึงกระดูกของคนได้ กู้ซีจิ่วรู้สึกอึดอัดที่ถูกเขามองด้วยสายตาเช่นนี้ ทว่ามองตอบไปอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน “ท่านผู้สูงศักดิ์คือ?”


คนผู้นั้นถอนหายใจเบาๆ “เจ้ายังจำหรงเช่อได้หรือไม่?”


กู้ซีจิ่วคล้ายจะทบทวนอยู่ครู่นึ่ง “หรงเช่อ? เขาคือใคร? ฉันควรจำได้เหรอ? ใบบรรดาเพื่อนของฉันไม่มีเขาอยู่เลย หรือเคยเป็นเป้าหมายในภารกิจของฉัน?”


นัยน์ตาของคนผู้นั้นมีแววหม่นหมองพาดผ่านแวบหนึ่ง คล้ายว่าทั้งผิดหวังทั้งโล่งใจ ส่ายหน้าพลางกล่าว “ช่างเถิด!”


กู้ซีจิ่วมองเขา “ท่านผู้สูงศักดิ์นามว่าหรงเช่อหรือ?”


คนผู้นั้นยิ้ม “เขาเคยเป็นนามแฝง…ของข้า ช่างเถอะ ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว กู้ซีจิ่ว เจ้าไม่ยินดีร่วมมือกับหลงซือเย่ เช่นนั้นเจ้ามาร่วมมือกับข้าเป็นอย่างไร?”


กู้ซีจิ่วเม้มปาก “คุณเป็นใครกันแน่?”


คนผู้นั้นชี้ไปที่หลงฟั่น “เขานับได้ว่าเป็นบิดาของเจ้ากระมัง? เขาเรียกขานข้าเป็นนาย”


“ที่แท้คุณก็เป็นหัวหน้าของเขา…” กู้ซีจิ่วเหมือนจะเข้าใจแล้ว


คนผู้นั้นยิ้มอย่างอ่อนโยนแวบหนึ่ง “ใช่แล้ว ซีจิ่ว เจ้าลองดูสิว่าร่างนี้ของเจ้ามีพลังวิญญาณธาตุใด ผู้อาวุโสหลงบอกว่าร่างนี้ของเจ้าเป็นอัจฉริยะใยหมู่อัจฉริยะอีกที ทดสอบให้ข้าเห็นหน่อยสิ”


กู้ซีจิ่วสูดหายใจเบาๆ “เรื่องเหล่านี้ที่พวกคุณบอก ฉันรู้สึกว่าฉันต้องทำความเข้าใจเพิ่มอีกหน่อย ช่างเรื่องพลังวิญญาณอะไรนั้นก่อน โลกนี้เป็นโลกบำเพ็ญเวียนเหรอ? ตอนนี้เป็นยุคไหน? จักรพรรดิองค์ปัจจุบันคือใคร?”


คนผู้นั้นยิ้มนิดๆ “เจ้าทดสอบดูก่อน ทดสอบเสร็จข้าจะอธิบายรายละเอียดรูปแบบของโลกนี้ให้เจ้าฟัง”


ก็ได้!


กู้ซีจิ่วตัดสินใจแล้ว ก้าวเข้าไปทดสอบดูจริงๆ


เธอทาบมือลงบนเสาทั้งห้าต้นหนึ่งรอบ มีเพียงเสาสีแดงที่มีแสงเจิดจ้าอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าร่างนี้ของเธอมีพลังวิญญาณธาตุไฟขั้นหกตอนกลาง นับว่าขัดต่อสวรรค์แล้ว!


ดูเหมือนร่างที่หลงฟั่นสร้างขึ้นจะเหนือกว่าร่างที่หลงซือเย่สร้างขึ้นจริงๆ เย่หงเฟิงที่หลงซือเย่สร้างออกมา พลังวิญญาณแรกเริ่มเพียงขั้นห้าเท่านั้น…


พลังวิญญาณแรกเริ่มของกู้ซีจิ่วเป็นเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าทำให้หลงฟั่นกับคนผมเงินมีความสุขมาก บนหน้าล้วนเผยแววปีติยินดี


ความรู้สึกของหลงฟั่นเป็นความปลาบปลื้มเป็นเกียรติที่ผลงานของตนสร้างออกมาได้เลิศล้ำจริงๆ แต่สายตาที่ชายผมเงินมองกู้ซีจิ่วกลับซับซ้อนอยู่บ้าง เขายิ้มน้อยๆ แจ้งระดับพลังวิญาณในยามนี้ของกู้ซีจิ่วพลางแสดงความยินดีกับเธอ


สีหน้าของกู้ซีจิ่วกลับเรียบเฉย เพียงแต่มุมปากยังคงแต้มรอยยิ้มไว้บางๆ


หลงฟั่นจับตามองเธออยู่ตลอด เอ่ยถามเธอ “ดีใจมากเหรอ?”


กู้ซีจิ่วตอบอย่างตรงไปตรงมายิ่ง “หากว่าทุกอย่างเป็นความจริง ข้าก็ค่อนข้างดีใจ ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ทะลุมิติมาเป็นสวะไร้ค่า ไม่ได้กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของคลื่นสวะไร้ประโยชน์”


เธอยังคงอยากสอบถามยิ่งนัก สายตาหันเหไปที่คนผมเงิน “คนของโลกนี้มีพลังวิญญาณแค่ชนิดเดียวทุกคนเลยใช่ไหม? ต่างกันแค่ระดับสูงต่ำเหรอ?”


คนผมเงินส่ายหน้า “ไม่แน่เสมอไป เหมือนกับข้าที่มีพลังวิญญาณห้าธาตุ”


เขาเห็นกู้ซีจิ่วมีสีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เขาจึงวนไปตามเสาทั้งห้าต้นเสียเลย ไม่ว่าจะแตะลงที่ต้นไหนล้วนเปล่งแสงออกมาทั้งสิ้น บ้างเปล่งแสงไปทั้งเสา บ้างก็เปล่งเกือบเต็มเสา แสดงให้เห็นว่าพลังวิญญาณของเขาสูงมากจริงๆ…


หลงฟั่นเทียบกับเขาไม่ติดเลย ไม่แปลกใจเลยที่หลงฟั่นจะยอมรับเขาเป็นเจ้านาย


พลังวิญญาณห้าธาตุ ซ้ำยังเป็นพลังวิญญาณห้าธาตุทที่สูงส่งยิ่งนักอีกด้วย!


เขามีคุณสมบัติพอจะเป็นปฏิปักษ์ต่อเทพได้จริงๆ มิน่าเล่าถึงมีใจทะเยอทะยานมากถึงเพียงนี้!


————————————————————————————-


บทที่ 1084 ต้องทดสอบนางดูอีกสองสามครั้ง


ยามที่คนผมเงินเดินแทรกไปตามเสาแก้วผลึกทั้งห้าต้น เสมือนไอเมฆหมุนวนล่องลอย สง่างามเหนือธรรมดาถึงขั้นที่ทำให้คนมองเห็นท่าเท้าของเขาไม่ชัดเจนด้วยซ้ำ ทว่าทำให้คนสัมผัสถึงพลังวิญญาณอันสูงส่งจนน่าหวาดหวั่นของเข้าได้รางๆ เขายืนอยู่เบื้องหน้ากู้ซีจิ่วราวกับเทพเจ้า ถึงใบหน้าหล่อเหลาจะแย้มยิ้มอยู่ แต่แรงกดดันอันไร้รูปลักษณ์บนร่างกลับทำให้คนหายใจแทบไม่ออก “เป็นอย่างไร? อยากร่วมมือกับข้าหรือยัง?”


กู้ซีจิ่วถอยไปก้าวหนึ่ง ไม่คิดจะเผชิญหน้ากับแรงกดดันของเขา จากนั้นก็ถามข้อสงสัยของตนออกมา “พลังวิญญาณของท่านผู้สูงศักดิ์น่าหวาดหวั่นนัก อีกทั้งซีจิ่วเพิ่งมาถึงโลกนี้ ยังไม่ได้เปิดเนตรให้กระจ่างเลย พลังวิญญาณที่มีเทียบกับท่านผู้สูงศักดิ์แล้วเรียกว่าตื้นเขินนัก ไม่ทราบว่าจะร่วมมือกับท่านผู้สูงศักดิ์ได้อย่างไร?”


คนผมเงินผู้นั้นยิ้มแวบหนึ่ง สายตาจับจ้องเธอ “ขอเพียงเจ้าตกลงร่วมมือ พวกเราย่อมมีจุดที่ร่วมมือกันได้ เจ้าตกลงหรือไม่?”


กู้ซีจิ่วยกมือนวดหว่างคิ้ว ไม่ได้ตอบเขาตรงๆ “สำหรับฉันแล้วข่าวสารในวันนี้ค่อนข้างมากอยู่บ้าง…ฉันถึงขั้นที่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าพวกคุณเป็นใคร และไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างเพียงแค่อ้างอิงตามคำพูดของพวกคุณเท่านั้น…”


เธอมองเสาเหล่านั้นแวบหนึ่ง “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในเสาแก้วผลึกพวกนี้ติดตั้งโคมไฟเอาไว้หรือเปล่า เสาพวกนี้ไม่ว่าสัมผัสตรงไหนก็อาจจะเรืองแสงขึ้นมาโดยอัตโนมัติได้ทั้งนั้น…ไม่เกี่ยวกับเรื่องพลังวิญญาณนี้เลย”


คนผมเงินและหลงฟั่นมองหน้ากันแวบหนึ่ง หลงฟั่นยิ้มขื่นๆ “ข้อสงสัยของเอมีเหตุผลจริงๆ ท่านเจ้า มิสู้เผยฝีมือของท่านให้นางได้เห็นสักหน่อย?”


คนผมเงินหาวอย่างเกียจคร้าน “นี่จะเผยได้อย่างไร…”


พลางมองดูกู้ซีจิ่วแล้วยิ้มอีกแวบหนึ่ง “ผู้ที่กล้าสงสัยข้าเช่นนี้ก็มีแต่เจาเท่านั้น หากเป็นผู้อื่นกล้าพูดออกมาเช่นนี้ ข้าคงทำให้เขาหุบปากไปตลอดกาลแล้ว”


กู้ซีจิ่วเอ่ยตอบ “ขอบคุณความเอ็นดูของท่านเจ้า”


ท่านเจ้าผมเงินถอนหายใจ “เอาเถอะ เผยให้เจ้าเห็นสักครั้งก็ไม่หนักหนาอะไร เดี๋ยวข้าจะให้คนมาแสดงฝีมือให้เจ้าดูสักสองสามท่า เจ้าตามข้ามาสิ”


‘ท่านเจ้า ยามนี้ท่านเชื่อแล้วกระมังว่านางไม่มีความทรงจำของชาตินี้จริงๆ?’ ระหว่างทางหลงฟั่นได้ส่งกระแสหาท่านเจ้าผมเงิน


‘เรื่องราวพัวพันใหญ่หลวง ข้าต้องทดสอบนางดูอีกสองสามครั้ง’ ท่านเจ้าผมเงินก็ส่งกระแสเสียงตอบกลับเขา


‘ยังต้องทดสอบอะไรอีก?’ หลงฟั่นค่อนข้างหงุดหงิดแล้ว ราวกับผลงานที่ตนพอใจที่สุดถูกคนตั้งข้อสงสัย


‘ข้ามีวิธีของตัวเอง’ ท่านเจ้าผมเงินไม่พูดจามากความ


….


จะอย่างไรกู้ซีจิ่วก็นึกไม่ถึงว่าตำหนักใต้ดินที่สร้างขึ้นกลางลาวาของกง้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ เธอรู้สึกว่าสามารถเทียบกับพระราชสุสานของจักรพรรดิจิ๋นซีที่ร่ำลือกันได้เลย! อาณาเขตทอดยาวหลายร้อยหมู่ เส้นทางทางในตำหนักใต้ดินแห่งนี้วับซ้อนวกวน แผ่ออกทั่วสารทิศประหนึ่งใยแมงมุม


ท่านเจ้าผมเงินพาเธอเดินซอกแวกอยู่ในตำหนักใต้ดินแห่งนี้ และไม่รู้เช่นกันว่าเดินผ่านทางแยกมามากน้อยเพียงใดแล้ว ถึงได้มาถึงห้องโถงที่คล้ายกับลานจัตุรัสแห่งหนึ่ง


เรียกว่าห้องโถง แต่อันที่จริงแล้วเป็นลานสี่เหลี่ยม เพียงแต่ท้องฟ้าด้านบนเป็นท้องฟ้าที่มีลาวาไหลรินอยู่ แดงฉานปานปกคลุมด้วยเมฆาเพลิง


บนลานมีกรงสัตว์อยู่หลายกรง ในกรงมีสัตว์ร้ายกำลังเผ่นโผนขู่คำรามอยู่


สายตาของกู้ซีจิ่วจับจ้องอยู่บนร่างของสัตว์ร้ายเหล่านั้น หลงฟั่นที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นมา “ซีจิ่ว เห็นสัตว์พวกนี้แล้วยังไม่เชื่ออยู่หรือเปล่าว่าที่นี่คือโลกที่แตกต่างกัน?”


สัตว์เหล่านั้นต่างหน้าตาอัปลักษณ์ดุร้าย และในยุคปัจจุบันไม่มีสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อยู่จริงๆ มีเสือกับสิงโตก็นับว่าเป็นสัตว์ที่ดุร้ายอย่างยิ่งแล้ว!


แต่สัตว์ร้ายของที่นี่กลับไม่เคยพบเห็นหรือได้ยินข่าวจากยุคปัจจุบันมาก่อน


กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร แต่นัยน์ตาที่มองไปยังกรงสัตว์ร้ายเหล่านั้นฉายแววประหลาดออกมาอย่างชัดเจน


หลงฟั่นที่จับตามองท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของเธอมาตลอด เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ จึงถอนหายใจนิดๆ ด้วยความโล่งอก


จนถึงยามนี้ เขายังไม่พบว่ากู้ซีจิ่วมีพิรุธสักนิดเลย


————————————————————————————-


บทที่ 1085 หยั่งเชิง 1


นับตั้งแต่กู้ซีจิ่วฟื้นขึ้นมาถึงแม้ปฏิกิริยาตอบสนองที่แสดงออกมาจะไม่ใกล้เคียงกับนิสัยของมนุษย์ แต่เธอก็มีปฏิกิริยาอย่างที่ควรจะมีจริงๆ ด้วยฐานะของนักฆ่ามือฉมัง หากเชื่อใจคนอื่นง่ายๆ เช่นนั้นก็โง่เง่าเกินไปแล้ว!


วิธีพิสูจน์ถึงพลังวิญญาณของท่านเจ้าผมเงินนั้นง่ายมาก เขาให้คนเปิดประตูกรงเหล็กออก จากนั้นก็ให้ลูกน้องที่เฝ้าอยู่ด้านข้างมาสู้กับสัตว์ร้ายที่พุ่งออกมาจากกรงเหล่านี้


วิชายุทธ์ที่ลูกน้องเหล่านั้นของเขาใช้ย่อมเป็นวิชายุทธ์ที่ใช้พลังวิญญาณขับเคลื่อนออกมา แม้แต่สัตว์ร้ายเหล่านั้นก็มีระดับสูงเช่นกัน และสามารถใช้พลังวิญญาณได้ ผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง ทั่วทั้งลานก็มีแสงพลังวิญญาณธาตุต่างๆ สับสนอลหม่าน…


สัตว์ร้ายร้องคำรามกระโจนเข้าโจมตี  เงามนุษย์เหินฉวัดเฉวียนไปมา ประกายแสงจากเคล็ดวิชาต่างๆ ระเบิดออกอย่างต่อเนื่องปะหนึ่งดอกไม้ไฟ ผลิบานอยู่เสมอ


กู้ซีจิ่วยืนกอดอกดูอยู่ตรงนั้น ดวงหน้าเฉิดฉันมองไม่เห็นอารมณ์ใดๆ


“ซีจิ่ว ตอนนี้เชื่อแล้วใช่ไหม?” หลงฟั่นถามเธอ


กู้ซีจิ่วเม้มปาก ไม่อาจปฏิเสธได้ “ดูเหมือนจะเป็นความจริง…”


หลงฟั่นยิ้มน้อย ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนเขาจะนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้ “ถ้างั้นเธอดูอยู่ที่นี่ก่อนนะ ระวังอย่าเข้าใกล้สัตว์ร้ายพวกนี้ พวกมันล้วนเป็นสัตว์ปีศาจขั้นหก เธอในตอนนี้ยังสู้ไม่ได้” หลังจากกำชับสองสามประโยค เขาก็จากไปเลย


กู้ซีจิ่วยืนจนค่อนข้างเหนื่อยล้าแล้ว จึงเดินไปยังจุดที่อยู่ไม่ไกลนัก นั่งลงบนม้านั่งหินตรงมุมห้องโถง ชมการต่อสู้ต่อไป


และเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันขึ้นในวินาทีนี้เอง มีสัตว์ปีศาจสองตัวที่จู่ๆ ก็คลั่งขึ้นมา พละกำลังเหมือจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในทันใด กัดมนุษย์สองคนที่ต่อสู้กับพวกมันอยู่จนตาย จากนั้นก็กระโจนพรวดออกมา โผเข้าโจมตีกู้ซีจิ่ว!


สายลมกรรโชกปะทะหน้า กลิ่นคาวหืนโชยเข้าจมูก กู้ซีจิ่วตกตะลึง รับตั้งรับเป็นการด่วน!


บนร่างเธอมีเพียงพลังวิญญาณขั้นหกเท่านั้น และใช้ไม่เป็นเลย ทำให้เพียงใช้วิชายุทธ์ที่มีแต่เดิมหลบหลีกเท่านั้น ออกกระบวนอย่างยากลำบาก เกือบจะถูกกรงเล็บของสัตว์ปีศาจเกี่ยวอาภรณ์ขาดหลายครั้งแล้ว!


เวลานี้ไม่ทราบว่าท่านเผมเงินผู้นั้นถูกสิ่งใดดึงดูดความสนใจ กำลังมองไปทางอื่นอยู่ ไม่สนใจกู้ซีจิ่วที่อยู่ทางนี้เลย


ยามนี้หากว่ากู้ซีจิ่วใช้กระบวนท่าพลังวิญณาณตามที่ตี้ฝูอีสอนให้เธอ ต่อให้มีพลังวิญญาณขั้นหกก็สามารถซัดสัตว์ร้ายสองตัวนี้ให้กระเด็นออกไป และท่านเจาผมเงินก็ไม่ได้มองมาทางนี้ด้วย ต่อให้เธอสำแดงกระบวนท่าออกมาก็คงไม่มีผู้ใดเห็น…


‘แคว่ก!’ ชุดกระโปรงของกู้ซีจิ่วถูกสัตว์ร้ายตัวหนึ่งเกี่ยวเข้า ดึงรั้งลงมาทันที


และตัวเธอก็ถูกสัตว์ร้ายตัวนั้นดึงจนโซซัดโซเซเหมือนกัน เกือบจะล้มคว่ำแล้ว ส่วนสัตว์ร้ายทั้งสองตัวก็ถือโอกาสคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวออกมา ตวัดกรงเล็บที่ใหญ่เหมือนพลั่วตะปบไปทางกู้ซีจิ่ว!


รอบข้างมีผู้คนร้องออกมาด้วยความตกใจแล้ว จู่ๆ กู้ซีจิ่วก็เอนกายลงบนพื้นแล้วกลิ้งตัวอย่างรวดเร็ว ฉวยโอกาสใช้วิชาเคลื่อนย้ายในพริบตา!


เห็นได้ชัดว่าเธอตื่นตระหนกจนหลงทิศหลงทางแล้ว อีกทั้งความเร็วของวิชาเคลื่อนย้ายก็อยากจะคาดเดาได้ หนนี้จึงพุ่งเข้าชนท่านเจ้าผมเงินผู้นั้นโดยตรง!


บนโลกนี้ไม่มีผุ้ใดสามารถหลบหลีกวิชาเคลื่อนย้ายของกู้ซีจิ่วได้ ท่านเจ้าผมเงินผู้นั้นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน ร่างของกู้ซีจิ่วที่พุ่งทะยานปานกระสุนปืนใหญ่เข้าไปในอ้อมอกเขาที่เพิ่งจะหันกายมา…


จากนั้นก็พุ่งทะลุอ้อมอกของเขาไป ยืนโงนเงนอยู่บนพื้น


ไม่น่าเชื่อว่าร่างของเขาเป็นร่างจิต!


มองเผินๆ เหมือนร่างจริงชัดๆ นึกไม่ถึงว่ายามที่พุ่งเข้าไปราวกับพุ่งผ่านหมอกควันหนาทึบ ทะลุผ่านด้านในไป กู้ซีจิ่วถึงขั้นสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นยามที่ทะลุผ่านร่างเขา…


กู้ซีจิ่วหันกลับไปมองอย่างประหลาดใจ มองเห็นสัตว์ร้ายสองตัวนั้นไล่ตามร่องรอยการหลบหนีของเธอมาพอดี ถูกท่านเจ้าผมเงินผู้นั้นใช้เวทวิชาสกัดไว้ หลังจากลำแสงห้าสีสองสายฟาดเข้าไป สัตว์ร้ายสองตัวนั้นก็ถูกผ่าจนกลายเป็นเศษซากทันที


————————————————————————————-


บทที่ 1086 หยั่งเชิง 2


“ทำให้ตกใจเสียแล้ว” ท่านเจ้าผมเงินหันกลับมามองเธอ ในดวงตาทรงเสน่ห์คล้ายจะเจือรอยยิ้มอ่อนโยนไว้ “ข้าไม่ได้สังเกตไปชั่วขณะ เกือบทำให้เจ้าเป็นอันตรายแล้ว ไม่เป็นไรกระมัง?”


ริมฝีปากน้อยๆ ของกู้ซีจิ่วเม้มแน่น “ไม่เป็นไร!” สามคำนี้กล่าวอย่างแข็งกร้าว ชัดเจนว่าเธอได้รับความตกใจแล้ว ซ้ำในใจยังมีความขุ่นเคืองด้วย


ท่านเจ้าผมเงินถอนหายใจเบาๆ “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ ไปหารือเรื่องการร่วมมือกัน”


มุมปากของกู้ซีจิ่วยกขึ้นนิดๆ “ท่านเจ้ามีฝีมือถึงเพียงนี้ ซีจิ่วคงมิกล้าอาจเอื้อมไปร่วมมือด้วย” พลางหมุนกายจากไป


ท่านเจ้าผมเงินเงียบงัน น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาถูกผู้อื่นทิ้งไว้ที่นี่เช่นนี้ จึงมองเงาหลังของนางอย่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง


เขารู้ดี ถึงแม้นางสูญเสียความทรงจำของชาตินี้ไปแล้ว แต่ความเฉลียวฉลาดของนางมิได้ต่ำลงเลย ยามนี้นางคงจะมองออกแล้วว่าที่สัตว์ร้ายสองตัวนั้นคุ้มคลั่งขึ้นมาเป็นเพราะเขาแอบเล่นลูกไม้ลับหลัง ดังนั้นการที่นางขุ่นเคืองก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว


“ท่านเจ้า เด็กสาวผู้นี้สามหาวเกินไปแล้ว! ควรมอบบทเรียนให้นางเสียบ้างนะขอรับ!” สาวกคนหนึ่งเข้ามาประจบประแจงเขา คิดจะฉวยโอกาสสร้างความประทับใจแก่เขาสักหน่อย


ท่านเจ้าผมเงินหันไปมองเขาแวบหนึ่ง ยิ้มนิดๆ


รูปโฉมของเขาชดช้อยทรงเสน่ห์ของสตรีเพศ แต่บุคลิกยามปกติกลับเป็นเช่นคุณชายผู้งามสง่า ปฏิบัติต่อลูกน้องเหล่านี้ด้วยสีหน้าอ่อนโยน ดูเป็นกันเองยิ่งนัก


ส่วนสาวกคนนี้ความจริงแล้วเป็นคนของหลงฟั่น ยามปกติยากจะได้พบท่านเจ้าผมเงินผู้นี้ จึงไม่ทราบนิสัยใจคอของเขา ด้วยเหตุนี้ถึงกล้าเข้ามาพูดจาในยามนี้


ท่านเจ้าผมเงินรูปโฉมงามสง่า ยิ้มนี้ของเขาล่มบ้านล่มเมืองยิ่งนัก สาวกผู้นั้นเป็นคนเจ้าชู้คนหนึ่ง ตาแทบค้างแล้ว “ทะ…ท่านเจ้า?”


ท่านเจ้าผมเงินเอ่ยอย่างเฉยชา “เรื่องของข้ามีที่ให้เจ้าสอดปากหรือ?” น้ำเสียงนุ่มนวลเยียบเย็นเข้าไปถึงกระดูก


สาวกคนนั้นแข็งทื่อทันที ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ท่านเจ้าผมเงินก็สะบัดแขนเสื้อใส่แล้ว


เป็นการสะบัดที่อ่อนโยนยิ่งนัก สายลมที่ปะทะหน้าถึงขั้นแฝงความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิไว้ จากนั้น…จากนั้นสาวกที่เพิ่งต่อสู้กับสัตว์ร้ายสามตัวอย่างทรงพลังคนนั้นก็ละลายเป็นน้ำทันที…


สาวกคนอื่นๆ ยังคงอยู่ในลานแห่งนี้ด้วย ยามนี้ทุกคนเงียบกริบแล้ว ไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ


ปกติแล้วท่านเจ้าผู้นี้ไม่ค่อยเผยใบหน้าที่นี่ง่ายๆ ต่อให้เผยหน้าก็จะสวมชุดคลุมหน้าสีขาว มองไม่เห็นใบหน้าและมองรูปร่างไม่ออก อีกทั้งรั้งอยู่ครู่เดียวก็จากไปเสมอ ดังนั้นสาวกของที่นี่จึงคุ้นเคยกับหลงฟั่นมากกว่าเขา…


โดยส่วนตัวแล้วหลงฟั่นเป็นคนที่พวกเขาเคารพและยำเกรงที่สุด สำหรับท่านเจ้าผู้นี้เป็นความรู้สึกห่างเหินแปลกแยกชนิดหนึ่ง ครั้งนี้ระยะเวลาที่ท่านเจ้ารั้งอยู่ไม่สั้นเลย ผ่านไปสองวันแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะจากไปเลยสักนิด


ที่น่าประหลาดยิ่งกว่าคือครั้งนี้เขาเผยโฉมหน้าที่แท้จริงแล้ว…


หากมิใช่หลงฟั่นเคารพนบน้อบต่อเขาเรียกขานเขาว่าท่านเจ้า คนเหล่านี้แทบไม่กล้าเชื่อเลยว่าคุณชายผู้งามล่มบ้านล่มเมืองคนนี้คือท่านเจ้าของพวกเขา…


ยามนี้ในที่สุดพวกเขาก็เชื่อแล้ว และยำเกรงแล้วด้วย!


วิชายุทธ์นี้ของท่านเจ้าน่าหวัดหวั่นโดยแท้! และไม่อาจไปยั่วยุได้…


….


ท่านเจ้าคนนี้ที่แท้เป็นใครกันแน่?


กู้ซีจิ่วขบคิดปัญหาข้อนี้อยู่ตลอด


ร่างกายเป็นร่างจิตโดยสมบูรณ์ ร่างของเขาเป็นการควบแน่นของดวงวิญญาณงั้นหรือ?


วรยุทธ์ยามอยู่ในร่างจิตยังน่ากลัวถึงเพียงนี้ เห็นทีว่าจะเป็นตัวละครที่รับมือได้ยากคนหนึ่ง…


กู้ซีจิ่วถูกจัดให้อยู่ในห้องส่วนตัวห้องหนึ่ง สถานที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเช่นนี้ยากจะจินตนาการนักว่าสามารถสร้างห้องพักเช่นนี้ขึ้นมาได้ แถมการตกแต่งภายในห้องยังเป็นรูปแบบอย่างที่กู้ซีจิ่วเคยชมชอบอีกด้วย


ตอนอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เรือนพักของเธอก็มีรูปแบบเช่นนี้ แม้แต่รูปร่างและสีสันของเครื่องเรือนก็คล้ายคลึงกันทุกอย่าง


ยามที่หลงฟั่นพาเธอเข้ามายังเอ่ยถามประโยคหนึ่งด้วย “ชอบไหม?”


————————————————————————————-


บทที่ 1087 หยั่งเชิง 3


กู้ซีจิ่วเดินวนภายในห้องรอบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า “ผู้อาวุโสหลงสิ้นเปลืองจิตใจแล้ว”


หลงฟั่นก็มองเห็นความผิดปกติอะไรจากใบหน้าของเธอ ท่าทางนี้ของเธอเหมือนเพิ่งเคยเห็นห้องที่มีการตกแต่งแบบนี้เป็นครั้งแรกเพียงแต่ท่าทางก็ดูจะชอบมากหมือนกัน


หลงฟั่นมองดูเธอสองครา “เธอควรเรียกฉันว่าคุณพ่อนะ”


กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง ตอบอย่างจริงจังยิ่ง “ขอโทษด้วย เรียกไม่ออก”


หลงซือเย่เงียบงัน


เขายังไม่ทันได้พูดอะไร ด้านนอกก็มีเสียงคนหัวเราะเบาๆ “ผู้อาวุโสหลง เจ้าให้นางเรียกเจ้าว่าพ่อ เช่นนั้นวันหน้าข้าต้องเรียกเจ้าว่าอย่างไรเล่า?”


บานประตูเปิดออก ท่านเจ้าผมเงินผู้นั้นเดินเยื้องย่างเข้ามา


ประโยคนี้เห็นได้ชัดว่าแฝงความนัยยิ่งนัก กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว สีหน้าของหลงฟั่นพลันแปรเปลี่ยนนิดๆ “ท่านเจ้า…”


ฝ่ามือของท่านเจ้าผมเงินกดลงบนไหล่เขาเบาๆ “เอาล่ะ ถึงแม้ร่างนี้ของนางเจ้าจะเป็นผู้สร้างขึ้นมา แต่ดวงวิญญาณของนางไม่ใช่ จึงไม่นับว่าเป็นบุตรสาวของเจ้า”


เห็ดได้ชัดว่าหลงฟั่นค่อนข้างยำเกรงเขา จึงเงียบไปแล้ว


ท่านเจ้าผมเงินตบไหล่อีกครั้ง “หลงฟั่น เจ้ามีการใดก็ไปทำเถิด”


“ขอรับ” หลงฟั่นหันกายจากไป


ในห้องเหลือเพียงท่านเจ้าผมเงินกับกู้ซีจิ่ว สายตาของท่านเจ้าผมเงินร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว ไม่พูดอยู่พักหนึ่ง


ภายในห้องเงียบไปชั่วขณะ กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปาก ไอพลังของเจ้าผู้นี้กล้าแกร่งเกินไป รั้งอยู่ที่นี่ต่อให้ไม่พูดอะไรก็รู้สึกถึงความมีตัวตนยิ่งนัก


เธออ้าปากหาวคราหนึ่ง “ท่านเจ้ามีธุระอะไรอีก?”


ท่านเจ้าผมเงินนิ่งไปครู่หนึ่ง โบกพัดจีบล่มหนึ่งที่ไม่ทราบว่าหยิบออกมาจากไหน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ซีจิ่ว นี่เจ้าไล่ข้าแบบกลายๆ อยู่หรือ?”


กิริยาเช่นนี้ของเขาคือการเคลื่อนไหวอันเป็นมาตรฐานขององค์ชายแปดหรงเช่อ ถึงแม้รูปลักษณ์จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว แต่กิริยาท่าทางกลับเป็นเช่นในอดีต งามสง่าดั่งบทกลอน อ่อนโยนเสมือนหยก เหมือนทะเลสาบโค้งมนแห่งนี้ ดูใสกระจ่างตื้นเขิน แท้จริงแล้วกลับลึกจนไม่อาจหยั่งได้


เพียงแต่ความสุภาพอ่อนโยนในอดีตของเขาแฝงความเฉียบแหลมปานจิ้งจอกเอาไว้ ทว่ายามนี้จิ้งจอกตัวนี้กลับกลายร่างเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหางแล้ว ทุกอากัปกริยาแฝงกลิ่นอายเย้ายวนไว้เสมอ


หลังจากที่เธอทะลุมิติมาหรงเช่อเป็นองค์ชายคนแรกที่ดีต่อเธอ ซ้ำยังช่วยเหลือเธออยู่หลายครั้ง ถึงแม้แรกเริ่มเขาอาจจะมีแผนการอย่างอื่นอยู่ แต่เขาก็ดีต่อเธออย่างแท้จริงอยู่ระยะหนึ่งจริงๆ ยามนั้นกู้ซีจิ่วก็เห็นเขาเป็นสหายคนหนึ่งจริงๆ เหมือนกัน


เวลาผ่านไปไม่ถึงสองปี ทุกสิ่งยังคงเดิมทว่าตัวคนนแปรเปลี่ยนไป ร่างของหรงเช่อระเบิดจนแหลกละเอียดนับพันนับหมื่นชิ้น ส่วนท่านเจ้าผู้นี้ก็กลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมของตน


ท่านเจ้าผู้นี้เข้าแทนที่หรงเช่อยามหรงเช่ออายุแปดขวบ ผู้ที่กู้ซีจิ่วรู้จักในคราแรกความจริงแล้วก็คือเขา…


ยามนั้นเธอไม่เคยคิดเลยว่าบอสใหญ่ที่บงการอยู่เบื้องหลังก็คือเขา เป็นตัวละครที่ซ่อนเร้นมิดชิดยิ่งนักโดยแท้!


เห็นทีว่ายังคงเป็นตี้ฝูอีที่มีสายตากว้างไกล ยามนั้นจึงมองออกว่าเขาผิดปกติ เพียงแต่หาหลักฐานมายืนยันไม่ได้เท่านั้น


ยามนี้มีหลักฐานยืนยันแล้ว ทว่าเมื่อทุกอย่างเปิดเผยออกมาแล้ว เธอกลับประเหมาะเคราะห์ร้ายตกอยู่ในกำมือของคนพวกนี้…


กู้ซีจิ่วทอดถอนใจอยู่ในใจคราหนึ่งโชคชะตาช่างเล่นตลกกับคนนัก ทว่าใบหน้ากลับไม่เผยสีหน้าใดๆ เพียงตอบอย่างเฉยชาว่า “ซีจิ่วค่อนข้างงาวงแล้ อยากพักผ่อนสักหน่อย ม่านเจ้าภาระล้นมือ คาดว่าต้องยุ่งมากเป็นแน่ ไม่จำเป็นต้องมาโอ้เอ้เสียเวลากับซีจิ่วที่นี่หรอก”


หรงเช่อในอดีตเป็นคนรู้ความผู้หนึ่งเสมอมา แถมยังช่างสังเกตสีหน้าคน ปีนั้นตอนกู้ซีจิ่วพำนักอยู่ที่จวนแม่ทัพ หรงเช่อก็เคยมาเยี่ยมเยือนเธออยู่หลายครา หากเธอเผยสีหน้าอ่อนเพลียเพียงเล็กน้อย เขาจะลุกขึ้นแล้วขอตัวลาทันที


หนนี้ท่านเจ้าผมเงินยังคงรักษานิสัยดีๆ ในกาลก่อนไว้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยิ้มแวบหนึ่ง “ได้ เช่นนั้นเจ้าพักเถอะ เอาไว้ข้าจะมาหาเจ้าใหม่” เยื้องย่างจากไป


————————————————————————————-


บทที่ 1088 หยั่งเชิง 4


กู้ซีจิ่วเดินวนภายในห้องรอบหนึ่ง นี่คือความเคยชินที่ฟูมฟักมาจากอาชีพนักฆ่าของเธอ ไม่ว่าจะไปที่ไหนล้วนต้องสำรวจที่พักให้ละเอียดหนึ่งรอ ด้วยเหตุนี้เธอจึงพบกล้องวงจรปิดตัวหนึ่งบนช่อดอกไม้ที่ปักกระจายอยู่ในแจกันใบใหญ่ใบหนึ่งตรงมุมห้อง…


เธอถือกล้องวงจรปิดตัวนั้นไว้มองแวบหนึ่ง ใบหน้าเฉิดฉันคล้ายจะค่อนข้างโกรธเคือง หัวเราะหยันคราหนึ่ง ทำลายกล้องทิ้งทันที!


ภายในห้องหนึ่งบนผนังกระจกเฝ้าติดตามเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ ด้านที่แสดงฉากภายในห้องของกู้ซีจิ่วกลายเป็นผนังขาวโพลนแล้ว…


หลงฟั่นมองเข้าไปแวบหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า


เขารู้อยู่แล้วว่าด้วยไหวพริบของสาวน้อยคนนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่พบกล้องวงจรปิดตัวนั้น


ท่านเจ้าผมเงินก็มองเห็นฉากนี้เช่นกัน “หลงฟั่น เจ้าพูดถูก นางมีไหวพริบมากจริงๆ”


มือไม้ของหลงฟั่นเคลื่อนไหวทำงาน พลางตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา “ข้าก็เคยบอกไปนานแล้ว นางเป็นนักฆ่าที่ยยอดเยี่ยมที่สุดของยุคนั้น!”


พัดจีบในมือของท่านเจ้าผมเงินเคาะโต๊ะทำงานเบาๆ “เจ้าว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่พอนางฟื้นขึ้นมาก็พบกล้องวงจรปิดเหล่านั้นแล้ว ดังนั้นจึงแสร้งเล่นละคร?”


หลงฟั่นตะลึงไปครู่หนึ่ง ส่ายหัวทันที “เป็นไปไม่ได้! ตอนที่นางฟื้นขึ้นมาท่านเองก็เห็นแล้ว กล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้ในห้องวิจัยของข้าน้อยเป็นสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นในยุคนี้ คนนอกไม่เคยพบเห็นเลย นางก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่พอลืมตาขึ้นก็เล่นละครได้เลย หากนางมีความทรงจำของโลกนี้อยู่ เมื่อลืมตาขึ้นอย่างไรก็ต้องเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าท่าทางนั้นของนางมิใช่การแสร้งทำ”


ท่านเจ้าผมเงินถอนหายใจเบาๆ “สาวน้อยผู้นี้เฉลียวฉลาดปานจิ้งจอกน้อย ไม่รู้ว่ามีผู้คนมากน้อยเพียงได้ที่หลงกลนางเข้า เรื่องมากมายที่เป็นไปไม่ได้เมื่อตกอยู่กับนางแล้วสามารถเป็นไปได้ทั้งนั้น บางทีข้าคงต้องทดสอบนางดูอีก”


หลงฟั่นเหลือบตาขึ้นแวบหนึ่ง สีหน้าไม่น่ามอง “ท่านเจ้าสงสัยความสามารถด้านโอสถของข้าหรือขอรับ?”


พัดของท่านเจ้าผมเงินแตะไหล่เขาคราหนึ่ง “ผิดแล้ว ข้าวางใจในความสามารถด้านโอสถของเจ้ายิ่งนัก ที่ไม่วางใจมีเพียงตัวนาง นางมักจะเป็นตัวแปรอยู่เสมอ วางใจเถอะ การทดสอบครั้งนี้ไม่ทำให้นางมีอันตรายถึงชีวิตหรอก ข้ารู้ว่านางเป็นแก้วตาดวงใจของเจ้า ย่อมกระทำอย่างมีขอบเขต” แล้วหมุนกายจากไป


….


กู้ซีจิ่วนอนอยู่บนเตียง หลับตาแสร้งงีบ ทว่าในใจกลับทอดทอดใจอย่างระทมขมขื่น


บนโลกนี้ยังมีใครที่น่ารันทดกว่าเธออีกไหม?


ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้อยู่กับคนรัก อิงแอบแนบซบกันอยู่ในถ้ำบนภูเขา ไหนเลยจะนึกว่าหลังจากไข้ขึ้นสูงคราหนึ่งดวงวิญญาณของเธอก็หลุดลอยแล้ว เบิกตามองดวงวิญาณตนลอยออกมาจากร่างตน ตอนนั้นเธอร้อนรนยิ่งนัก ไม่อาจควบคุมร่างกายได้ ในความว่างเปล่าราวกับมีมือข้างหนึ่งฉุดดึงเธอไป


เนื่องจากในใจเธอมีห่วงอยู่ จึงหวาดกลัวยิ่งนัก เกรงว่าตนจะตายไปแบบนี้ ยังคิดจะตะโกนส่งเสียงดังด้วย


ไหนเลยจะคาดคิดว่ายามนั้นเธอกลับส่งเสียงออกมาไม่ได้เลย คนใบ้ไร้เสียงยังพอรีดเค้นเสียงอืออาออกมาได้ ทว่าเธอในยามนั้นแม้แต่เสียงอืออาก็เปล่งไม่ออก!


ขณะนั้นเธอร้อนใจยิ่งนัก ในใจพะวงถึงตี้ฝูอีหากเขาออกฌานมาแล้วพบว่าเธอกลายเป็นศพเย็นเฉียบไปแล้ว จะปวดใจมากหรือเปล่า?


ด้วยความเศร้าโศกของเขาอาจจะใช้วิชาเรียกวิญญาณต้องห้ามอันใดเพื่อช่วยเหลือเธอหรือเปล่า จะสิ้นเปลืองพลังจนหดเล็กลงอีกครั้งหรือไม่?


ยามนั้นเธอเธอทุ่มเทอย่างกำลังเพื่อจะรั้งอยู่ที่เก่า เล่นชักเย่อกับแรงประหลาดที่ฉุดดึงตัวเธอ…


ยังดึงกันได้ไม่เท่าไหร่ เธอก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าร่างนั้นของตนถูกตี้ฝูอีเรียกจนตื่นขึ้นมาแล้ว…


ตอนนั้นเธอตกตะลึงยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทันได้ระวัง ถูกแรงประหลาดนั้นลากไป เบื้องหน้าพลันมืดมิดไม่รับรู้อะไรอีกเลย ในสภาวะที่กำลังสะลึมสะลืออยู่ก็ได้ยินบทสนทนของหลงฟั่นกับท่านเจ้าผมเงิน…


————————————————————————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)