องครักษ์เสื้อแพร 1079-1082

 ตอนที่ 1079 กำลังทหารต้องเร็วและไว

Ink Stone_Fantasy

ทวนยาวโจรวัวโค่วแทงใส่ไม่หยุด ทหารม้าเหลียวซีถือดาบฟันไม่ถึงอีกฝ่าย ถูกทวนยาวแทงร่วงหลายนาย


ซามูไรบ้างก็สวมเกราะหนัง เกราะไม้ไผ่ ยังมีเกราะเหล็ก มือถือทวนยาวและดาบซามูไรยาวบุกเข้าสังหาร พวกเขาต่อสู้โหดเหี้ยมมาก แม้อยู่ด้านล่างม้า แต่ม้าไม่อาจวิ่งเข้าปะทะได้ ไม่ได้เปรียบอันใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึง จู่เฉิงซวิ่นนำทหารม้ามาห้าพัน เป็นทหารม้าที่เรียกได้ว่าฝึกมามาตรฐาน ยังมีทหารรับเบี้ยหวัดได้รับการฝึกมา ที่เหลือล้วนเป็นทหารอาชีพ


ทหารม้าเหล่านี้เทียบกับซามูไรประเทศวัวที่ผ่านการต่อสู้ใหญ่น้อยมาตลอด ย่อมต่างกันมาก ยิ่งในภาวะคับขันนี้


ตนเองถูกลอบโจมตี กำลังแตกตื่นวุ่นวาย ศัตรูเห็นชัดว่าได้เปรียบ ถนนสายนี้ถูกปิดตายไปหมดแล้ว พลทวนยาวสองด้าน ปืนไฟระดมยิงไม่หยุด สิ้นหวังเช่นนี้ หลายคนแตกตื่น ผู้ใดยังมีใจคิดสู้กับปืนโจรวัวโค่ว คิดสู้ตายกับซามูไรเล่า เงินทองไม่สนใจไขว่ขว้าได้อีก หนีตายกันก่อนดีกว่า


การต่อสู้เช่นนี้เกิดขึ้นทั่วถนนหลายสายในเมืองเปียงยาง ทหารม้าเหลียวซีถูกตีแตกกระจัดกระจายแล้ว  ความยุ่งยากแท้จริงอยู่ที่ หากเป็นการรบกลางทุ่ง ทหารม้าแตกกระจัดกระจายกลับหันหลังก็หนีได้ ย่อมไม่เกิดเหตุล้มตายมาก แต่สถานการณ์เช่นนี้ หนีก็หนีไม่ได้ ถนนแคบๆ เปียงยางทำให้ความเร็วและความสามารถทหารม้าสูญสิ้น  คนถูกล้อมไว้แล้ว ล้วนไม่สมีทางขยับตัวได้อีก


โจรวัวโค่วใช้ทหารราบเป็นหลัก  เชี่ยวชาญพื้นที่  ใช้บ้านเรือนเป็นกำบัง เคลื่อนไหว ล้อมสังหาร ข้อได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ


ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกองกำลังจู่เฉิงซวิ่นในแผ่นดินหมิง ม้าที่ขี่มีล้มป่วยมาก มาถึงเกาหลีเสี่ยงภัยแย่งความชอบ  ไม่ได้รักากำลังม้าให้ดีพอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนเข้าเมืองมา แย่งกันเข้ามา เบียดเสียดกันแน่น ในเวลากระชั้นชิดถึงกับไม่อาจสั่งการกันได้ ทหารหาแม่ทัพไม่เจอ แม่ทัพหาทหารไม่เจอ สูญเสียระบบสั่งการ สูญสิ้นความเป็นกองกำลัง


ปัญหาเหล่านี้หากราบรื่นดีก็ไม่มีปัญหา แต่หากไม่ทันรู้ตัว ในสถานการณ์ไม่ราบรื่นเช่นนี้ เริ่มสะสมปัญหา ก็ทำให้เกิดความยุ่งยากใหญ่ แตกกระเจิงง่าย


ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงทหารม้ากองกำลังหมิงที่บุกเข้าบ้านเรือนชาวเกาหลีไปแล้ว  เช่นจางกั๋วจงที่ถูกจู่เฉิงซวิ่นสบถด่าไปก่อนหน้า บุกไปสองบ้าน ในที่สุดก็หาได้บ้านใหญ่ บ้านใหญ่นี่นับว่าสร้างแบบแผ่นดินหมิง ขนาดไม่เล็ก ไม่รู้เปียงยางประเทศเกาหลีนี่มีบ้านใหญ่เช่นนี้ด้วย


แต่พอเข้าไปด้านใน ด้านนอกก็เริ่มวุ่นวาย พวกเขายังไม่ทันตั้งตัว โจรวัวโค่วก็บุกสังหารมารอบทิศ ที่มุมสูงมีโจรวัวโค่วตั้งปืนใหญ่[1]ยิง ยิงล้มไปเจ็ดแปดคน  นายกองพันจางกั๋วจงก็เริ่มสบถด่าหันม้ากลับ แต่ไม่ทันแล้ว


ด้านหน้ามีพลทวนยาวโจรวัวโค่วหลายสิบแทงใส่เข้าไม่ปราณี ม้ามีปฏิกิริยาทันที พริบตาคนก็ถูกยกตัวขึ้น  มีทวนยาวโจรวัวโค่วแทงใส่ม้า


จางกั๋วจงเป็นนายกองพันได้ก็เพราะเป็นคนสนิทจู่เฉิงซวิ่น  อาศัยความกล้าหาญออกศึก ม้าและคนยกตัวขึ้น ทั้งสองขาก็หลุดจากบังโกรนม้า โดดยกดีดตัวขึ้น ก่อนจะลงสู่พื้นอย่างราบรื่น กลิ้งไปกับพื้น หลบทวนยาวมาได้ ตอนลุกขึ้น ก็ถือดาบวิ่งไปยังหน้าประตู


ซามูไรประเทศวัวถือดาบทวนมาขวางหน้าประตู ก้าวเข้ามา ส่งเสียงร้องดังประหลาดก่อนกระโดดฟัน ชาวประเทศวัวใช้ดาบ ดาบแรกร้ายกาจสุด โดดฟัน กำลังมากจนน่าตกใจ จางกั๋วจงยกดาบกันไว้ แต่ความเร็วอย่างไรก็ช้ากว่าหน่อย  คิดจะกันไว้ก็ไม่อาจทำได้


จางกั๋วจงได้แต่เอี้ยวตัวหลบ ใช้ไหล่รับไว้ ซามูไรฟันอย่างแรง  ดาบนี้พอที่จะทำให้ขุนพลหมิงไหล่ขาด


‘ตึง’ เสียงสะท้อนจากดาบฟัน จางกั๋วจงแสยะยิ้ม ดาบในมือตวัดขึ้นฟัน เกราะซามูไรไม่ได้แข็งแรงเหมือนเกราะหู่เวยของจางกั๋วจง ด้านล่างมีการป้องกันไม่แข็งแรงพอ คนทั้งคนครึ่งล่างถูกฟันฉับ


ทหารราบกับซามูไรประเทศวัวส่งเสียงร้องโหยหวนดัง มีคนจางกั๋วจงอยู่ที่นั่น แต่จางกั๋วจงไม่คิดสนใจพวกเขา  รีบมุ่งไปยังหน้าประตู พอออกถนน อย่างน้อยน่าจะเป็นพวกเดียวกันแล้ว ยังพอดูแลกันได้  ซามูไรถูกฟันไปหลายคน ความเร็วก็ช้าลง  ด้านหลังมีคนไล่ตามมา


จางกั๋วจงรู้ไม่อาจหนีพ้น วิ่งไปสองก้าว ก็กลิ้งตัวไปอีกทางแทงใส่เท้าโจรวัวโค่วก่อนคว้าทวนยาวกวาดล้ม จางกั๋วจงพลิกตัวไปอีกทาง หมอบลง ดาบใหญ่ในมือฟันไปอีกที ทหารราบคิดไม่ถึงขุนพลแผ่นดินหมิงสวมชุดเกราะจะว่องไวเพียงนี้ได้ หลบไม่ทัน  คอถูกดาบตวัดผ่าน ร้องโหยหวนก่อนล้มลง


พอล้มลง จางกั๋วจงก็หันไปคว้าทวนยาวแทงไปอีกที  เอี้ยวตัวไปอีกทาง ฟันไปอีกคน  อีกคนส่งเสียงร้องประหลาด ซามูไรคนหนึ่งคว้าดาบซามูไรยาวฟันใส่ จางกั๋วจงยกดาบกันไว้ ยกเท้าถีบไปทีหนึ่ง ชาวประเทศวัวตัวเล็ก เขาถีบไป อีกฝ่ายกลับถีบไม่ถึง


ซามูไรนั่นโดนถีบเข้ากลางท้องเต็มๆ  สีหน้าบิดเบี้ยว  ล้มลงกับพื้น มองความกล้าหาญจางกั๋วจงแล้ว พวกโจรวัวโค่วก็สบตากัน พากันหลีกทาง จางกั๋วจงแสยะยิ้ม ตวัดดาบเปิดทางให้ทหารติดตามมาข้างกาย ก่อนกำลังจะแหวกวงล้อมออกไป


ยังไม่ทันได้ขยับ จางกั๋วจงเงยหน้ามองไปบนหลังคา ได้แต่สบถด่าว่า


“มารดามันสิ…”


ปืนไฟด้านบนยิงมา ระยะไม่ถึง 30 ก้าว อานุภาพปืนไฟแม่นรับประกันได้ จางกั๋วจงกับทหารติดตามที่เหลือกลิ้งตัวหมอบกับพื้น โจรวัวโค่วกรูกันเข้ามาอีก เริ่มปะทะกันวุ่นวาย


****************


กองกำลังฝั่งจู่เฉิงซวิ่นยังคงมีกำลังต้านทาน เริ่มแรกมีคนถูกปืนไฟยิงร่วงจากหลังม้า แต่ทุกคนฝึกมาดี ปฏิกิริยาไวพอ


คนวงในคว้าธนูออกมายิงโต้กลับไป คนพวกนี้ใช้ธนูยาว อานุภาพยิงไกลและรุนแรง โจรวัวโค่วสองข้างก็ยิงเช่นกัน รัศมีธนูยิงเช่นนี้ทำเอาสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายมาก


 โจรวัวโค่วรู้ว่าแม่ทัพกองกำลังหมิงอยู่ที่นี่ จึงทุ่มกำลังมายิ่งมาก  กองกำลังหมิงบาดเจ็บล้มตายยิ่งมาก


“ทุกคนบุกอ้อมไปทางหอกลอง จะหนีออกไปได้ ไม่เช่นนั้นมีแต่ตายในนี้แล้ว มารดามันสิ ตามข้าตะโกน!”


จู่เฉิงซวิ่นเข้าใจแล้ว ส่งเสียงตะโกนดัง คนข้างๆ หนึ่งรับศึก สองตะโกนดัง บนถนนนั้น ทหารม้าแม้ว่าคิดจะหันหลังก็ยาก เสียงยิ่งตะโกนยิ่งดัง บ้านเรือนสองข้างและถนนล้วนมีแต่ปืนและซามูไรประเทศวัว ปืนไฟยิงไม่หยุด


อย่างไรก็ตาย ทหารม้าเหลียวซีด้านหน้าล้วนร้อนใจ ตะโกนด่าดัง รวมตัวกันเป็นกองทหารม้า เตรียมบุกฝ่าออกไป


ด้านหน้ากองปืนใหญ่โจรวัวโค่วมารวมตัวกันอีกแล้ว เรียงแถวยิงหลายตูม แต่ทว่าครั้งนี้อุดทางผู้อื่นอยู่ ทหารม้าเหลียวซีไม่อาจสนใจอันใดได้อีกแล้ว แถวด้านหน้าเริ่มล้มลง ด้านหลังม้าก็จำต้องกระโดดข้ามไป ทยอยบุกออกไป กองปืนใหญ่เห็นเช่นนี้ก็รีบแหวกทางให้


กองกำลังใหญ่บนถนนค่อยๆ เคลื่อนไหวเปิดทาง พลทวนยาวโจรวัวโค่วอุดปิดทางอยู่ด้านหน้า แทงม้าตายไปสองสามตัวและทหารม้าหลายคน คนด้านหลังไม่สนใจยังคงบุกขึ้นหน้า พวกเขารวมตัวกันในเวลากระชั้นชิด อุดไม่อยู่  กองกำลังใหญ่เคลื่อนไหวยิ่งเร็วขึ้นไปอีก


จู่เฉิงซวิ่นคว้าดาบบนหลังม้าออกมา มือหนึ่งคว้าธนู สีหน้าเริ่มเคร่งเครียดทะยานม้าไปด้านหน้า สถานการณ์นี้ไหนเลยคือความชอบ ดีไม่ดีอาจเป็นหายนะแล้ว


“แม่ทัพ พวกเกาหลีหนีกระจัดกระจายไปไม่น้อย!”


“มารดามันสิ สนใจอะไรพวกเกาหลีมัน พวกเราไปของพวกเราเอง!”


เพิ่งเริ่มวุ่นวายหนัก ทหารเกาหลีที่ติดตามจู่เฉิงซวิ่นมาก็หนีกันแตกกระจัดกระจายไปครึ่ง ถนนเบียดเสียดเช่นนี้ ถึงกับไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เหตุใดจึงคุ้นชินเส้นทางหนีได้เพียงนี้ คนที่เหลือไม่ถึงร้อยล้วนรวมตัวกันอยู่รอบกายขุนพลทหารเกาหลี  ร่วมกันหนีพร้อมกับทัพใหญ่


จู่เฉิงซวิ่นกับทหารในสังกัดไม่ลังเลบนสนามรบ ม้าทหารม้าอื่นเริ่มออกอาการป่วย กีบเท้าเน่า แต่ม้าพวกเขาดูแลมาอย่างดี และยังนั่งได้ถึงสองคน กำลังม้ายังดีพอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เกราะบนตัวพวกเขาที่แน่นหนาพอ อาวุธยอดเยี่ยมพอ


วิ่งไปยิงไปสองข้างทางไม่หยุด ฝีมือธนูพวกเขาไม่เลว ยิงทหารประเทศวัวส่งเสียงร้องโหยหวนร่วงลงมาไม่หยุด


จู่เฉิงซวิ่นยิงไปสามดอก ทุกดอกยิงโจรวัวโค่วล้ม  เห็นที่ว่างด้านหน้าหอกลองแล้ว อยู่ๆ มีคนใช้ภาษาเกาหลีตะโกนดัง จู่เฉิงซวิ่นฟังไม่เข้าใจ แต่ภาษาเกาหลีที่ตะโกนไม่ใช่มาจากทหารเกาหลีข้างกาย จู่เฉิงซวิ่นอึ้งไป แต่ก็ยิ่งน่าแปลก พริบตาทหารเกาหลีที่ตามมาก็กระเจิดกระเจิงไปคนละทาง และมีคนตะโกนตาม


ไม่ได้การแล้ว! จู่เฉิงซวิ่นได้สติทันที มีปัญหาจริงๆ แล้ว ทหารเกาหลีข้างๆ ล้วนหนีออกจากกองทัพในทันที มีคนวิ่งไปด้านหน้า ยังมีคนหยิบอาวุธหมิงโยนไปให้ อยู่ๆ กลางกองทัพเกิดเหตุวุ่นวาย ทหารม้าเหลียวซีตะโกนด่าทอดัง เตรียมลงมือ


แต่ยามนี้ก็มีเหตุเปลี่ยนแปลง รอบๆ นอกจากปืนไฟยิงกระหน่ำแล้ว ถึงกับมีเสียงธนูแหวกอากาศมา ทหารม้ารอบนอกไม่ทันได้ป้องกัน ก็ถูกยิงร่วงทันที


ชาวประเทศวัวถึงกับยังมีธนู จู่เฉิงซวิ่นเริ่มตกใจ เขาแต่ไรรู้สึกว่าปืนไฟยิงได้ช้า เทียบไม่ได้กับธนู แต่คิดไม่ถึงอีกฝ่ายมีธนูเหมือนกัน และตอนมา คนเกาหลีไม่เคยพูดถึง พวกเขาว่าโจรวัวโค่วไม่มีอาวุธนี้


ตอนนี้เห็นพื้นที่กว้าง กลับได้ยินเสียงกลองดัง ทหารม้าบุกขึ้นหน้า โจรวัวโค่วกรูกันออกมากองใหญ่ บ้างก็ถือทวนยาว แต่ละกองล้วนมีซามูไรนำทัพ  และยังมีโจรวัวโค่วแบกปืนใหญ่มาตั้งด้านหน้า ทุกทางออกล้วนปิดเส้นทางไว้หมด


ทหารม้าเหลียวล้วนกระชากม้าหยุด จู่เฉิงซวิ่นสีหน้าเริ่มเคร่งเครียดดำคล้ำ ตวัดดาบสังหารขุนพลทหารเกาหลีข้างๆ ตายในดาบเดียว คำรามดังว่า


“พี่น้องเรา สู้ตายเปิดทางยังมีหวังรอด บุก!!!”


…………


***ทหารม้าเหลียวโจวพ่ายที่เมืองเปียงยางครั้งนี้ มีอยู่บันทึกประวัติศาสตร์จริง


[1] ปืนใหญ่ที่พวกวัวโค่วใช้คือปืนแบก


ตอนที่ 1080 บอกเหตุพ่ายอย่างละเอียด

Ink Stone_Fantasy

“รีบหนี รีบหนี!”


“ท่านแม่ทัพ พวกเราวิ่งมาวันหนึ่งแล้ว หากยังไม่พักม้าคงเหนื่อยตายแล้ว!”


จู่เฉิงซวิ่นใบหน้ามอมแมมไปด้วยฝุ่น บนหลังม้าท่าทางอิดโรยคำรามดัง เสียงแหบอย่างมาก ทหารในสังกัดเองก็ตะโกนรั้งเขาไว้ ม้าตายไป ทุกคนแม้แต่จะหนีก็ไม่มีทางหนีได้แล้ว


ดีที่มีทหารรั้งไว้ ทุกคนไปหาที่ซ่อนได้ก็พากันลงจากม้าพักผ่อน มีทหารม้ายังไม่ลงจากม้า ม้าก็ส่งเสียงเฮือก จากนั้นก็ล้มลง ม้าเหนื่อยตายแล้ว


จู่เฉิงซวิ่นนั่งอึ้งบนพื้น ทหารในสังกัดเขาหลายคนเตรียมออกไปล่าสัตว์รอบๆ ทุกคนพากันนำเสบียงแห้งออกมากิน จู่เฉิงซวิ่นมองไปรอบๆ รอบกายมากสุดก็ 200 คน


ที่หนีออกมาได้ ล้วนเป็นขุนพลทหารและทหารติดตามที่ถืออาวุธและสวมเกราะหู่เวยคิดถึงตอนตนเข้าเมืองมีทหารม้าห้าพัน ตอนออกมามีแค่ไม่ถึง 200  จะกลับไปเจอหน้าใครได้อย่างไร คิดถึงตรงนี้ จู่เฉิงซวิ่นก็รู้สึกเศร้าสลดในใจ เบะปากส่งเสียงร้องไห้ดัง


พอเขาร้องไห้ออกมาเช่นนี้ ทหารรอบๆ ก็คิดเข้าไปปลอบใจ  แต่ก็เศร้าเหมือนกัน ล้วนพากันร้องไห้ตาม  สภาพตอนนี้อนาถยิ่งนัก


จู่เฉิงซวิ่นร้องไห้เสร็จก็ใช้มือปาดน้ำตาทิ้ง มองไปรอบๆ ตะโกนดังว่า


“ทุกคนอย่าได้เสียใจไป มาๆ พวกเรามีเรื่องต้องพูดให้เหมือนกันก่อน ไม่เช่นนั้นกลับไปย่อมโดนโทษวินัย!”


…จู่เฉิงซวิ่นกลับแม่น้ำยาลูเข้าสู่แผ่นดินหมิง ยังไม่ทันได้ติดต่อกั[ทหารแผ่นดินหมิงทางนั้น ก็ส่งคนของตนไปรายงานข่าวด่วนที่เหลียวหยาง ตามหลักควรรายงานด่วนผู้ว่าการมณฑลเสิ่นหยาง แต่จู่เฉิงซวิ่นไม่สนใจ  รีบรายงานไปยังที่นั่นก่อนรายงานผู้ว่าการมณฑลเหลียวหยาง แจ้งกองกำลังตระกูลหลี่ก่อน…


****************


แม่น้ำยาลูกั้นเขตแดนกับแผ่นดินหมิง ด้านหนึ่งมีที่เหมือนว่าเป็นเมือง เป็นที่ตั้งทัพใหญ่  สะสมเสบียง  ยังมีพ่อค้ากับแรงงานรับหน้าที่จัดการดูแล ล้วนอยู่กันเต็มพื้นที่ ในนี้ยังมีขุนนางเกาหลีสีหน้าเจียมตัวและราษฎรเกาหลีใช้แรงงานอยู่


องครักษ์เสื้อแพรหลายคนแต่งกายแบบขุนพลทหารมากับชายวัยกลางคนแต่งกายแบบบัณฑิต เดินมายังบ้านไม้พร้อมกัน บัณฑิตนั่นต่อหน้าองครักษ์เสื้อแพรก็มิได้มีท่าทีด้อยกว่าแต่อย่างใด คนสายตาแหลมคมย่อมมองออก บัณฑิตผู้นี้มีทหารติดตามหลายคน ดูแล้วน่าเป็นทหารผู้ว่าการมณฑล


“เมื่อครู่พระราชาเกาหลียังส่งคนมาว่า ขอให้จู่เฉิงซวิ่นตั้งฐานที่ริมฝั่งแม่น้ำยาลูเกาหลีได้ต่ออีกหรือไม่ อย่าได้รีบกลับไปเช่นนี้ เดาว่าเขาคิดไม่ถึงว่าแม่ทัพจู่จะพ่ายแพ้เช่นนี้ได้  หลายวันก่อนตอนบ่ายก็กลับมาแล้ว!”


นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรหนึ่งกล่าววาจาเสียดสีเช่นนี้ บัณฑิตผู้นั้นส่ายหน้ากล่าวว่า


“ใต้เท้าบอกว่า ถามสถานการณ์ให้เข้าใจก่อนค่อยตัดสินใจ ถึงตอนนั้นส่งกลับเหลียวซีไปจัดการ ถือว่าให้หน้าผู้บัญชาการหลี่สักหน่อย”


“ไม่ได้รีบร้อนใด ท่านไฉลำบากมาตลอดทาง ไม่สู้พักผ่อนก่อนสักครู่ แล้วค่อยมาสอบถามดีไหม?”


“เรื่องงานสำคัญ ขอบคุณนายกองร้อยโหวที่หวังดีแล้ว!”


สองฝ่ายกล่าวกันตามมารยาท พากันเดินเข้าบ้านไม้ รอบบ้านไม้ป้องกันแน่นหนา ด้านนอกล้วนมีทหารผู้คุ้มกันจำนวนไม่น้อย


นายกองร้อยโหวกับท่านไฉเกรงใจกันและกันอยู่มาก พอเข้ามาในบ้านไม้ สีหน้าล้วนเคร่งเครียด ในห้องจู่เฉิงซวิ่นสวมชุดธรรมดานั่งอยู่กลางห้องสีหน้าเจียมตัว พอเห็นเขาสองคนเข้ามา ก็รีบลนลานลุกขึ้นยืน ถึงกับใช้ท่าทีแบบผู้น้อยคารวะ กล่าวว่า


“คารวะใต้เท้าทั้งสอง จู่เฉิงซวิ่นมีความผิดแล้ว!”


“แม่ทัพจู่ไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ ตำแหน่งท่านสูงกว่าเราสองคน ใช่ว่าผิดธรรมเนียมหรือ ขอท่านนั่งเถิด!”


ท่านไฉกล่าวเช่นนี้ จู่เฉิงซวิ่นยิ่งลำบากใจ ยืนไม่กล้านั่ง รีบกล่าวว่า


“จู่เฉิงซวิ่นเป็นแม่ทัพพ่ายศึก ไหนเลยกล้าเหิมเกริมต่อหน้าใต้เท้าทั้งสองได้อีก ยืนก็พอ ยืนก็พอ”


นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรโหว สบตากับท่านไฉ ล้วนนั่งลง ท่านไฉเปิดประเด็นตรงไปตรงมาว่า


“แม่ทัพจู่ ครั้งนี้ข้าน้อยมา ก็เพราะผู้ว่าการมณฑลใต้เท้าสวีฝากมา ถามแม่ทัพจู่ว่าแพ้อย่างไร เหตุใดแพ้ยับเยินเช่นนี้ นายกองร้อยโหวนี่ก็มาสอบถามเช่นกัน ใต้เท้าสวีมีวาจากล่าวกับท่านว่า มีอันใดให้กล่าวมาตรงๆ ทัพใหญ่ปะทะศึก แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา นับประสาอันใดกับเป็นการรบกับโจรวัวโค่วนอกพื้นที่แผ่นดินเรา ย่อมใจกว้างในเรื่องนี้ ไม่เอาผิดท่าน แต่ทว่า อย่าได้ปิดบัง”


‘โครม’ จู่เฉิงซวิ่นคุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นกล่าวว่า


“ใต้เท้าเมตตา ข้าน้อยซาบซึ้งยิ่งๆ  หากมีโอกาสอีกครั้ง ข้าจะต้องออกศึกสละชีพอย่างแน่นอน!”


“พูดมา แท้จริงแล้วเหตุใดจึงพ่ายแพ้ยับเยินเช่นนี้ได้ เกาหลีทางนั้นเป็นอย่างไร โจรวัวโค่วทางนั้นจริงหรือเท็จเช่นไร พูดมา หากมีประโยชน์ อาจมีความชอบก็ได้!”


ในห้องเตรียมกระดาษพู่กันไว้พร้อมแล้ว ท่านไฉคลี่กระดาษออก เตรียมจด


“ใต้เท้าทั้งสอง เกาหลีทางนั้นปากก็ขอให้พวกเรานำทัพไปช่วย แต่เสบียงใดก็ล้วนไม่พร้อม ทหารข้าไปถึง เสบียงมีไม่ถึงสามวัน ข้าพักผ่อนไม่พอ ก็ได้แต่เข้าตีเปียงยาง หวังว่าในเมืองจะมีเสบียงให้บ้าง เตรียมไม่ดี เสบียงไม่พอ ทำให้พ่ายแพ้”


แม้ว่าท่าทีนอบน้อมถ่อมตน แต่พูดถึงสาเหตุพ่ายศึกแล้วก็ยังเหมือนไม่แท้จริง เห็นชัดว่ามีการเตรียมการมาก่อน นายกองร้อยโหวไม่ไว้หน้าอีก เอ่ยขึ้นยิ้ม กล่าวว่า


“ได้ยินเมืองหลวงกล่าวกันมานานแล้วว่าขุนพลเมืองเหลียวโจว รบอาจไม่เท่าไร แต่ความสามารถขุนนางนั้นอันดับหนึ่ง เป็นเช่นนี้จริง!”


จู่เฉิงซวิ่นใบหน้าร้อนเห่อ แต่ก็ทำเป็นไม่ได้ยิน นายกองร้อยองครักษ์เสื้อแพรต่อหน้าขุนพลท้องที่ยังต้องตัวตรงรอคำสั่ง ตอนนี้เขายังเป็นขุนพลพ่ายศึก ท่านไฉฟังแล้วก็ยิ่งตั้งใจจดเสร็จพยักหน้ากล่าวว่า


“คิดว่าเหตุแห่งการพ่ายแพ้ไม่ใช่แค่นี้ แม่ทัพจู่โปรดเล่าต่อ”


“ข้าเป็นแม่ทัพแผ่นดินหมิง พวกเขาเกาหลีเป็นประเทศราษฎร์  ไหนเลยจะมีอำนาจบัญชาการทัพเราได้ แต่ข้าตั้งแต่มาตั้งฐานที่ริมแม่น้ำ บรรดาพวกเกาหลีก็มาเร่งให้ข้านำทัพตลอดไม่หยุด และยังคิดบัญชาการเอง ข้าคิดก็รู้ แต่ทหารทั่วไปยากจะเข้าใจ อำนาจนี้ไม่เป็นหนึ่ง ทำให้เกิดการบัญชาการสับสนได้ง่ายที่สุด ถึงตอนนั้นทหารไม่ได้เป็นหนึ่ง เป็นเหตุพ่าย”


ท่านไฉจดบันทึกรวดเร็ว ได้ยินจู่เฉิงซวิ่นก็พยักหน้า ไม่ว่าจริงเท็จเช่นไร ที่จู่เฉิงซวิ่นกล่าวมาก็มีเหตุมีผล  คิดแล้วก็พอเข้าใจ ท่านไฉเงยหน้าขึ้นบอให้จู่เฉิงซวิ่นพูดต่อ จู่เฉิงซวิ่นก่อนหน้าได้ยินที่ท่านไฉว่ามา หากมีข้อมูลดีพอ อาจไม่มีความผิด มองท่าทีท่านไฉ  คิดแล้ว ‘หากมีประโยชน์’ ประเด็นก็คือการเล่าถึงเหตุแห่งการพ่ายศึกนี้  ตอนนี้จึงเริ่มรวบรวมสติ  พยายามนึกเค้นออกมาให้หมด พูดถึงเรื่องพวกนี้ก็เริ่มคิดถึงยามนั้นได้หลายอย่าง มาถึงขั้นนี้แล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งผุดขึ้นมามาก อย่างไรจู่เฉิงซวิ่นก็เป็นขุนพลทหาร อย่างไรก็ผ่านสมรภูมิการต่อสู้มามาก


“หลังข้ามแม่น้ำไปยังเปียงยาง ไม่ว่าที่นี่หรือที่นั่น พวกเกาหลีก็เอาแต่ว่าโจรวัวโค่วที่เปียงยางมีแค่ไม่กี่พัน แต่พอข้านำทัพเข้าเมืองเปียงยางก็ปะทะศัตรูดุเดือด จึงได้บาดเจ็บล้มตายกันอนาถเช่นนี้ ศัตรูหากไม่มีข้อได้เปรียบกำลังทหาร จะทำเช่นนี้ได้อย่างไร  เมืองใหญ่เพียงนั้นแอบซุ่มป้องกัน ปิดล้อมโจมตี ไม่ใช่ว่าข้ากล่าวเกินจริง กำลังโจรวัวโค่วในเมืองอย่างน้อยก็หมื่นกว่า จะว่าไป ก่อนข้ามแม่น้ำมา ข้าก็ได้ยินมาว่าโจรวัวโค่วมาเกาหลีสี่หมื่น แต่จากคำพวกเปียงยาง พวกที่หนีทัพกลับมาล้วนเคยเห็นร่องรอยโจรวัวโค่วว่าไม่เพียงแค่สี่หมื่น อาจยังถึงแสนก็ได้”


จู่เฉิงซวิ่นไม่จำเป็นต้องรู้ว่าคนแท้จริงเท่าไร แต่ตนเองพ่ายศึกมา ก็ต้องคุยว่าจำนวนศัตรูยิ่งมาก ย่อมไม่มีผิดพลาด นี่เป็นความคิดที่คิดเอาเองแต่ก็ได้ผลดี


“ใต้เท้าทั้งสอง พวกเกาหลีไม่แน่ว่าเป็นหนึ่งกับแผ่นดินหมิง อย่าเห็นว่าคนเหล่านี้มาขอร้องน่าสงสารเช่นนี้ พวกทหารเกาหลีที่ติดตามเข้าไปยังเปียงยางร่วม 700 ระหว่างทางหนีหายไปไม่น้อย พอเข้าเมืองได้ โจรวัวโค่วเปิดศึก ทหารเกาหลีเหล่านี้กลับร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับทัพศัตรูในเมือง ถึงกับโจมตีทัพเรา นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน เพราะทัพเราเข้าสู่เกาหลี ก็ได้แต่อาศัยพวกเกาหลีนี่นำทาง”


ได้ยินเช่นนี้ นายกองร้อยโหวกับท่านไฉสีหน้าล้วนหนักใจ นายกองร้อยโหวอยู่ๆ ถามขึ้น


“แม่ทัพจู่ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ท่านกล้ารับรองไหม วาจาเหลวไหลอาจมีโทษได้นะ!”


“ขอใต้เท้าทั้งสองวางใจ ข้าขอใช้หัวเป็นประกัน หากมีวาจาเหลวไหลเพียงนี้ ตัดไปได้เลย”


ท่านไฉสีหน้าหนักใจเขียนบันทึกลงไป ราวกับว่าเน้นประเด็นหลัก วงกลมใจความสำคัญ จากนั้นก็ส่งสายตาให้จู่เฉิงซวิ่น จู่เฉิงซวิ่นกล่าวมามากเช่นนี้ตอนนี้ไม่รู้จะกล่าวอันใดต่อ ได้แต่คิดนาน ก่อนจะกล่าวว่า


“ก่อนหน้ากองทัพเกาหลีปากบอกว่าโจรวัวโค่วมีแต่ปืนใหญ่เล็กกับดาบ ไม่มีอาวุธอื่น แต่ครั้งนี้ไปเปียงยาง กลับพบว่าโจรวัวโค่วก็มีธนู ข้าตรวจดูแล้ว ถึงกับเป็นธนูแบบกองทัพเกาหลี ทหารโจรวัวโค่วใช้ทวนยาวเป็นหลัก มียุทธวิธี ไม่ใช่แค่ปืนใหญ่และดาบดังว่า”


ท่านไฉจดไปเช่นนี้  รออยู่นานจู่เฉิงซวิ่นยังคงเงียบ รู้อีกฝ่ายหมดวาจาแล้ว จึงได้กล่าวว่า


“แม่ทัพจู่อย่าเพิ่งกลับเหลียวซี ค่ายทหารริมน้ำสำคัญเช่นกัน ทหารกองหนุนย่อมตามมา ถึงตอนนั้นแม่ทัพจู่กับทหารเหลียวซีร่วมกำลังก็พอ ตอนนี้ ให้นำทหารท่านไปสมทบกับผู้บัญชาการซุนรอคำสั่ง ทำงานที่พอทำได้ก่อน”


จู่เฉิงซวิ่นรีบลุกขึ้นคำนับ อีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้กลับทำให้เขาเบาใจไม่น้อย หากไล่เขากลับเหลียวซี ดีไม่ดีเหลียวซีจะเอาเขาเป็นแพะรับบาปแทน จู่เฉิงซวิ่นถึงกับคิดว่าระหว่างทางจะหลบหนีไปหาทางในด่านเอาต่อ แต่อีกฝ่ายจัดการเช่นนี้ ในใจเขาจึงเริ่มสงบลง


อย่าเห็นว่าท่านไฉเป็นแค่ที่ปรึกษาผู้ว่าการมณฑล แต่ในทางลับนั้น ท่านไฉผู้นี้สามารถสั่งการแทนผู้ว่าการมณฑลได้ จู่เฉิงซวิ่นกำลังจะขอบคุณ นายกองร้อยก็กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า


“แม่ทัพจู่เมื่อครู่กล่าววาจาเหล่านี้ อย่าได้บอกแก่ผู้ใด มีแต่ได้ไม่มีเสีย ตอนนี้เช่นนี้ ต้องระมัดระวังให้มาก ใช่หรือไม่?”


“ใต้เท้ากล่าวได้ถูกต้อง ข้ารู้หนักเบา ไม่กล้าขออันใด ขอเพียงให้โอกาสข้า ให้ข้าได้ออกศึก……”


“มีโอกาส”


ท่านไฉกล่าวน้ำเสียงเรียบ กับนายกองร้อยออกไปด้วยกัน จู่เฉิงซวิ่นในบ้านไม้แอบได้ยินเสียงด้านนอกแว่วๆ ว่า


“ต้องส่งข่าวไปให้เร็วที่สุด…”


ตอนที่ 1081 แอบเคลื่อนไหวใต้แรงสะเทือน

Ink Stone_Fantasy

ทหารม้าหลายพันถูกลอบซุ่มโจมตีในเมืองเปียงยาง เหมือนว่าสิ้นหมดกองทัพ ข่าวนี้คิดปิดบังก็คงไม่ได้ ข่าวแพร่ไปยังเหลียวหนิงกับเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จากเมืองหลวงแพร่ออกไปยังทุกแห่ง


เหลียวหนิงสะเทือน เมืองหลวงสะเทือน ใต้หล้าสะเทือน ทหารม้าห้าพัน ยังเป็นถึงทหารม้าเก่งกล้าแห่งเหลียวหนิงถึงกับสูญเสียสิ้นเกือบหมดทั้งกองเช่นนี้ได้ ว่ากันว่ามีเพียงแม่ทัพนำกำลังไม่ถึงสามร้อยหนีกลับมายังเขตแดนแผ่นดินหมิงได้ ใช้เวลาสามวันรวบรวมที่เหลือ แต่ก็ได้มาแค่ห้าร้อย


กองทัพทหารม้าพ่ายแพ้ศึก หลังจากนั้นมักจะรวบรวมกลับมาได้ไม่น้อย  แต่ครั้งนี้ถึงกับหมดสิ้นเช่นนี้ได้ เรียกได้ว่าถูกทำลายราบคาบยังไม่เกินไปนัก


พวกขุนนางบุ๋นบู๊ที่เดิมดูแคลนโจรวัวโค่วล้วนเริ่มเคร่งเครียดขึ้น กำลังทหารเช่นนี้มาถึงเกาหลี ใกล้กับเมืองหลวงแผ่นดินหมิงเช่นนี้ ก็ย่อมไม่อาจรอดูสบายใจได้แล้ว


ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่สามวันห้าวันจึงเสด็จออกประชุมขุนนาง ณ พระตำหนักข้างพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินสักครั้ง ทุกวันประชุมเช้า ราชสำนักกับแต่ละหน่วยงานเริ่มแพร่ข่าวไปอย่างรวดเร็ว


เวลาผ่านมานานเช่นนี้ เทียนจินเป็นเมืองท่ารวบรวมการข่าวได้เพียงพอ เริ่มแรกสุดก็เป็นข่าวจากพ่อค้าทะเลไปยังเมืองหลวง ว่าโจรวัวโค่วแสนกว่าเกือบสองแสน เมืองหลวงล้วนคิดว่าเหลวไหลสิ้นดี แต่ค่อยๆ ไม่นาน จำนวนที่แพร่ข่าวมาก็เริ่มเป็นแสนสองแสนจริง มีแต่ตัวเลขจะมากขึ้น ไม่มีลด กอปรกับข่าวจากเหลียวตงว่าตอนนี้พอจะวิเคราะห์ได้แล้วว่า โจรวัวโค่ว อย่างน้อยก็เป็นทัพใหญ่แสนคนขึ้นไป


ขนาดกองกำลังเช่นนี้ กองกำลังแกร่งเช่นนี้ ปรากฏขึ้นในเกาหลี ช่างเป็นภัยใกล้ตัวจริง สามารถซุ่มโจมตีทหารม้าเหลียวซีห้าพันกว่าหมดสิ้นกอง กำลังต่อสู้เช่นนี้เรียกได้ว่ามองอย่างไรก็ไม่เบา


เริ่มแรกคิดว่าปราบง่ายขอออกศึกก่อนอย่างหลี่หรูป๋อผู้บัญชาการเหลียวซี ยามนี้เรียกได้ว่านั่งอึ้งทีเดียว รุกก็ไม่ได้ถอยก็ไม่ได้ ความสูญเสียเช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว ไปรบอีก ย่อมเสียกำลังตนหมดสิ้น แต่ไม่รบ ไม่แสดงท่าที  ก็เกรงว่าจะมีความผิดถึงตัวได้


อย่างไรก็เป็นหลี่เฉิงเหลียงนั่งคุมเป็นหลัก รับมือยังมีหลักการพอ รายงานจากจู่เฉิงซวิ่นส่งไปเมืองหลวงตอนนั้น หลี่หรูป๋อก็ถวายฎีกาขอรับโทษตามไปเมืองหลวงด้วย


ตระกูลหลี่แสดงท่าทีแล้ว อยากขอใช้ทหารทั้งเหลียวซีไปยังเกาหลีรบเป็นตายกับโจรวัวโค่ว ขอราชสำนักอนุญาต


แม้แต่หลี่หรูซงเมืองเซวียนฝู่ก็ยังต้องขอออกศึกนี้อย่างไม่มีทางเลือก  ตอนนี้ต้องจัดการศึกนี้ให้ดูใหญ่ ให้ใหญ่ที่สุด เพื่อให้ชัยชนะจากนี้ล้างความผิดนี้ได้


แต่ทว่าเกิดเรื่องเช่นนี้แล้ว ราชสำนักไม่กล้าวิเคราะห์โดยประมาทอีกแล้ว ฎีกาผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วกล่าวได้เข้าใจกระจ่างชัด


ผู้ว่าการมณฑลแผ่นดินหมิงนอกจากยูนนานแล้ว ที่อื่นตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลล้วนได้ชื่อว่าเป็นผู้ช่วยสำนักทหาร  หมายความว่าผู้ว่าการมณฑลมีหน้าที่ต้องดูแลควบคุมการทหารพื้นที่


จู่เฉิงซวิ่นพ่ายศึก สวีกว่างกั๋วแน่นอนต้องรับผิดชอบ สวีกว่างกั๋วเองก็ไม่ปิดบัง ฎีกาเขาแสดงให้เห็นชัดว่าเขาเองก็ขอรับโทษ เรื่องนี้ราชสำนักย่อมไม่ทำอันใดเขา ในใจสวีกว่างกั๋วรู้ดี  เพราะตามหลักแล้ว เขาเป็นผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิง ไม่ใช่ราชสำนักดันขึ้นมา แต่เป็นในวัง มีในวังหนุนหลังเช่นนี้ แน่นอนไม่จำเป็นต้องห่วงมากนัก


ฎีกาสวีกว่างกั๋วนอกจากขอออกศึกแล้ว ยังกล่าวถึงสถานการณ์ในเกาหลีละเอียด ขอราชสำนักไตร่ตรองให้หนัก ตอนนี้ต้องเตรียมการป้องกันก่อน จากนั้นค่อยคิดออกศึก


ฎีกากล่าวถึงแผนได้เป็นระเบียบแบบแผนมาก ราชสำนักแน่นอนอนุมัติ ให้สวีกว่างกั๋วเตรียมการป้องกันก่อน จากนั้นราชสำนักจะเตรียมการตามมา


***************


แถบเขาฉางไป๋ซานปรากฏร่องรอยโจรวัวโค่ว ข่าวนี้แสดงให้เห็นความจริงในเวลาไม่นาน ผู้บัญชาการเหลียวหนานซุนโส่วเหลียนกลับไปอี้โจว จัดเตรียมกำลังทหาร


ผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วเริ่มสั่งเคลื่อนกำลังทหาร จริงๆ ก็ง่ายมาก ก็แค่ให้ทหารเหลียวตงกับเหลียวซี ยังมีเหลียวหนานไปร่วมกันที่ริมแม่น้ำยาลูที่เป็นฐานที่ตั้งทัพแผ่นดินหมิงตอนนี้ เตรียมการป้องกัน


สวีกว่างกั๋วจริงๆ ไม่ได้เคร่งเครียดอันใด เพราะหลังทหารม้าจู่เฉิงซวิ่นพ่ายมา แม่น้ำยาลูเกาหลีฝั่งหนึ่ง ยังมีที่เล็กๆ ของพวกเกาหลีที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอันใด ไม่ได้วิกฤตอันใด แสดงให้เห็นว่าโจรวัวโค่วไม่ได้คิดจะยกทัพมาทางตะวันตกในตอนนี้ สถานการณ์ยังไม่วิกฤตรุนแรง


หม่าหลินเคลื่อนกำลังทหารม้ากับทหารราบรวมแปดพัน ส่งรองแม่ทัพนำมา เหลียวซีก็มีทหารหมื่นหกพันนายมาร่วม ยังเป็นผู้บัญชาการหลี่หรูป๋อนำทัพมาเอง ทหารเก่งกล้าตระกูลหลี่ราวกับว่ามาออกศึกนี้มาหมด นับว่าได้แสดงท่าทีแล้ว เตรียมการดีแล้ว หากมีโอกาสเข้าทำศึก เช่นนั้นตระกูลหลี่ต้องใช้กำลังที่เก่งกล้าที่สุดนำชัยชนะและความดีความชอบมาให้ได้ เพื่อล้างความอัปยศที่เกิดขึ้น


ณ เสิ่นหยาง ผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วก็เตรียมไปยังกองกำลังฝ่ายขวาติ้งเหลียวเมืองหวงเฟิ่งเฉิงคุมอำนาจสั่งการ ผู้ว่าการมณฑลที่อื่นมีทหารในสังกัดผู้ว่าการมณฑลสองพันถึงสามพัน นำกำลังโดยขุนพลหน่วยจู่โจม แต่ในมือสวีกว่างกั๋วกลับมีทหารเพียงห้าร้อยกว่า ที่เหลือเป็นแค่ตำแหน่งลอยๆ


แต่สวีกว่างกั๋วหากต้องการรวมกำลังจริง กำลังเก่งกล้าเขาก็สามารถรวบรวมมาได้หลายพันถึงนับหมื่นได้ เพราะรอบเหลียวหนิงมีกลุ่มพ่อค้ากับโรงบ้านเพาะปลูก มีกลุ่มผู้คุ้มกันหน่วยฝึกชาวบ้านใช้งานได้เพียงพอ


เพราะเป็นยามรบ จากเหลียวหนิงไปเมืองหลวง จากอี้โจวไปเสิ่นหยาง ล้วนจัดม้าเร็วไว้นำส่งจดหมายด่วน เพื่อให้การข่าวแต่ละแห่งไปมาถึงกันได้รวดเร็ว


ข่าวจู่เฉิงซวิ่นพ่ายแพ้จากอี้โจวมาถึง หลังสวีกว่างกั๋วเขียนคำรายงานแล้วก็รีบนำไปส่งเมืองหลวง แต่ทว่ารายงานี้ไม่ใช่ฎีกาที่ส่งเข้าวัง แต่ส่งไปยังรองเจ้ากรมหลี่ว์วั่นไฉแห่งศาลซุ่นเทียน


***************


ศึกใหญ่ใกล้ปะทุ พ่ายใหญ่ที่เกาหลี เมืองหลวงเริ่มมีบรรยากาศเคร่งเครียดปกคลุม แต่ทว่าในฐานะรองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียนเช่นหลี่ว์วั่นไฉ กลับไม่ได้ยุ่งกับงานอันใด


จากสายตาคนนอกมองมา รองเจ้ากรมหลี่ว์เหมือนว่าวันๆ ว่างงานยิ่ง ทุกวันเอาแต่พบแขกเลี้ยงแขก สบายยิ่งนัก ทำให้หลายคนไม่เข้าใจ พวกสายงานหวังทง เรื่องอื่นไม่ว่า แต่ทุกคนล้วนไม่ใช่พวกชอบเสพสุขสบาย ทุกคนล้วนรู้เช่นนี้ แต่ตอนนี้หลี่ว์วั่นไฉดูผิดปกติไปสักหน่อยแล้ว


ตั้งแต่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17 มา บัณฑิตจิ้นซื่อจากเทียนจินก็มีสิบกว่าคนแล้ว บัณฑิตจวี่เหรินยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีมายมายในพื้นที่ ยอมเสียเงินเรียนหนังสือ อย่างไรก็ย่อมมีผลสำเร็จได้


คนเหล่านี้ไปเป็นขุนนางท้องที่ บ้างก็อยู่เมืองหลวงเป็นขุนนางบัณฑิตชิงหลิว บัณฑิตจวี่เหรินส่วนใหญ่ในเมืองหลวงและเทียนจินมีตำแหน่งงานจริง มาจากที่ใด จุดยืนก็ย่อมเอนไปทางที่นั่น   ขุนนางบุ๋นจากเมืองต่างๆ แดนใต้ ทั้งวันเอาแต่ทำเพื่อพวกพ้องบ้านเกิดตน  ด้านหนึ่งก็ต้องการลดภาษีการค้า อีกด้านหนึ่งก็เอาแต่ครอบครองที่ดิน พวกที่มาจากเทียนจินแน่นอนย่อมเอนเอียงมาทางเทียนจิน  ผลประโยชน์กลุ่มพ่อค้าและภาษีการค้า พวกเขายังคงต้องการให้เก็บต่อไป เพราะหากลดภาษีการค้า เทียนจินกับเมืองซงเจียงย่อมไม่ลด กลับทำให้การค้าที่อื่นใช้ราคาต้นทุนต่ำแย่งชิงตลาดกับกลุ่มพ่อค้าเมืองท่า แต่การรบเพิ่มพื้นที่นั้นพวกเขาเห็นด้วย เพราะการรบรวมพื้นที่ยิ่งรุนแรง ชาวนาไร้ที่นาไร้อาชีพก็ยิ่งมาก ทำให้เมืองท่ากลุ่มพ่อค้ายิ่งได้แรงงานมาเพิ่ม การบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูกแต่ละแห่งก็สามารถมีคนมาทำงานกันมากขึ้น


การได้รับการสนับสนุนจากขุนนางบัณฑิตนั้น ตอนนี้ทั้งราชสำนัก บัณฑิตจากเมืองซงเจียงทางใต้ บัณฑิตจากซานซี ค่อยๆ รวมเป็นเสียงเดียวกับเทียนจิน


ก่อนหน้าที่พวกเขาวิจารณ์เหมือนหรือต่างกับบัณฑิตแดนใต้นั้น หลายคนมองแล้วก็เข้าใจ ที่แท้อาศัยแอบอ้างคุณธรรม อาศัยแอบอ้างหลักการปราชญ์โบราณก็เพื่อแย่งชิงในราชสำนัก ก็เพื่อผลประโยชน์เช่นนี้


สรุปคือ ตอนนี้ทิศทางค่อนไปทางขุนนางบุ๋นกลุ่มเมืองท่ากับกลุ่มพ่อค้าอาณานิคม หลี่ว์วั่นไฉใช้งานได้  ในแง่มุมหนึ่งนั้น หลี่ว์วั่นไฉเองก็เป็นผู้มีตำแหน่งสูงสุดในหน่วยงานที่มีตำแหน่งขุนนาง ยังมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับหัวหน้ากลุ่มพ่อค้าของหวังทง แน่นอนมีพูดจาออกเสียงได้


หลี่ว์วั่นไฉระยะนี้พบปะกับคนเหล่านี้ หากคิดให้ดีด้วยสถานะขุนนางบุ๋นก็จะพบว่า พวกเขาอย่างไรก็ย่อมมีสายสัมพันธ์กับกลุ่มพ่อค้าเมืองท่าไม่มากก็น้อย  มีบางคนแม้ว่าไม่ได้มาจากที่เหล่านี้ แต่ก็ได้ผลประโยชน์ไม่น้อย สายสัมพันธ์แน่นอนแน่นแฟ้นแล้ว


ขุนนางอยู่เมืองหลวงรวมพรรครวมพวกเป็นเรื่องปกติมาก  หลี่ว์วั่นไฉนับเป็นสายโอรสสวรรค์ ทำเช่นนี้ยังเรียกได้ว่าเป็นการทำหน้าที่แทนฮ่องเต้ ผู้ใดกล้าหาเอาผิดไม่


ใกล้เทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว เมืองหลวงบรรยากาศแม้ว่าเคร่งเครียด แต่บรรยากาศเทศกาลก็ยังคงมีไม่น้อย ไช่หนานทีดูแลเทียนจินกับกองกำลังหลวงก็ย่อมกลับมารายงานการปฏิบัติงานที่เมืองหลวง พูดให้ถูกก็คือมามอบของขวัญ ทักทายกับที่ต่างๆ บางครั้งยังต้องสมาคมกับพวกชนชั้นสูง เพื่อได้รายงานกิจการพวกเขาที่เทียนจิน


ปีนี้เกาหลีมีทัพใหญ่โจรวัวโค่ว เทียนจินก็ต้องป้องกันทางทะเลอีกครั้ง ไช่หนานเข้าเมืองหลวงมายังมีงานอื่นที่ต้องทำอีก ต้องไปรายงานการเตรียมการป้องกันเทียนจินต่อเมืองหลวง


งานหลวงแน่นอนล้วนทำกลางวัน ตกค่ำก็ย่อมเป็นเวลาส่วนตัว เหมือนเมื่อก่อน ส่วนใหญ่ก็มารับเลี้ยงหลี่เหวินหย่วนไม่ก็หลี่ว์วั่นไฉ ครั้งนี้เป็นหลี่ว์วั่นไฉ


ณ จวนรองเจ้ากรมศาลซุ่นเทียน คนรับใช้ได้รับคำสั่งให้ถอยออกไปหมดแล้ว บอกว่านายท่านกับไช่กงกงมีเรื่องหารือส่วนตัว คนอื่นให้ถอยหลบไป เรื่องเช่นนี้มีไม่น้อย  จัดอาหารสุราเสร็จ พ่อบ้านเข้ามาดูรอบหนึ่ง จากนั้นก็ให้ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องถอยห่างออกไป ตนเองไปยกเก้าอี้มานั่งเฝ้าหน้าประตูชั้นนอก


“ไช่กงกง ใต้เท้าสวีเขียนจดหมายมาถึงข้า ข้าคิดว่าเขาว่ามามีเหตุผล ไช่กงกงเชิญอ่าน”


ในห้องจุดเทียนใหญ่ แขวนโคมไว้หลายแห่ง แสงสว่างมาก ไช่หนานรับจดหมายมาเปิดออก ไม่นานก็อ่านจบ ไช่หนานหยิบจอกสุราขึ้นมากลับไม่ดื่ม หากหมุนเล่นเงียบไป


“ไช่กงกง ใต้เท้าสวีกล่าวมาได้มีเหตุผล อำนาจวาสนาทุกคนล้วนขึ้นกับกั๋วกง แต่ตอนนี้กั๋วกงไปอยู่เมืองซงเจียง หลายเรื่องก็เหมือนเรือทวนน้ำจริง ไม่ก้าวหน้าไปก็ย่อมถอยหลัง ฮ่องเต้แม้ไว้พระทัย แต่อย่างไรก็ห่างไกล พระเมตตาเพียงใดก็ย่อมเริ่มจืดจาง หากต้องการให้กั๋วกงรุ่งเรืองตลอดไป ความดีความชอบไม่อาจผ่อนเบา!”


ไช่หนานวางจดหมายลง มองหลี่ว์วั่นไฉอย่างละเอียด ค่อยๆ  พยักหน้า หลี่ว์วั่นไฉเขยิบเข้าใกล้กล่าวว่า


“ไช่กงกงอยู่ในกองทัพ รู้การทหาร คิดว่ากล่าวอันใดย่อมยิ่งน่าเชื่อ ท่านว่า?”


ตอนที่ 1082 หารือกลางดึก

Ink Stone_Fantasy

พูดไปแล้วตอนแรกไช่หนานติดตามเรียนงานจากโจวอี้ในวัง เรียนรู้งานเอกสารมาไม่น้อย  เรื่องการทหารก็รู้มาหมด


ต่อมาได้เป็นขันทีคุมกำลังในหน่วยหวังทง รอบกายหวังทงมีบรรยากาศเรียนรู้ที่ดี ไม่ใช่คนชั่วที่มีอันใดต้องปิดๆ บังๆ ทุกคนล้วนพยายามเรียนรู้และเข้าใจ หลายปีมานี้ คนทำงานแต่ละหน่วยงานล้วนก้าวหน้าไปได้ไม่เลว


ตอนแรกไช่หนานทำงานในวังเป็นเหมือนอาลักษณ์ ตอนนี้กลับเป็นคนที่รู้การทหารที่คนในวังยอมรับ วันหน้าหัวหน้าสำนักอาชาหลวงกับผู้ช่วยสำนักสำนักส่วนพระองค์ อย่างไรคงต้องได้สักตำแหน่ง


สวีกว่างกั๋วนำสิ่งที่ตนเองรวบรวมมาได้ทั้งหมด ที่ตนเองคิดว่ามีประโยชน์ ก็ล้วนนำส่งมาหมด เขียนไว้ในจดหมาย


แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ว่าสามารถเขียนไปบนฎีกาได้ตามอำเภอใจ  จะต้องเรียบเรียงให้เรียบร้อยก่อน เพื่อหาข้อมูลที่จะนำไปสู่เป้าหมายให้มากที่สุด เช่นนี้จึงจะสามารถยิงธนูเข้าเป้า


“ข้าก็แค่รู้เรื่องการเตรียมการกองหนุน ไหนเลยเรียกว่ารู้การทหาร”


ไช่หนานกล่าวเกรงใจ แต่หยิบจดหมายถึงอ่านแต่ต้นอย่างละเอียด ครั้งนี้ใช้เวลามากกว่าเมื่อครู่ ตั้งใจอย่างมาก


พอวางจดหมายลง ไช่หนานก็คว้ากาสุรามาหมุนไปมา กล่าวว่า


“ที่จดหมายว่ามาเรายังไม่พูดถึง พูดแค่หลายวันก่อนข่าวจากบนบกและบนท้องทะเล โจรวัวโค่วแสนกว่าบุกมา น่าจะแน่นอนแล้วกระมัง?”


“กงกงอยู่เทียนจิน ข่าวน่าจะเร็วกว่าทางข้า น่าจะรับรองแล้วว่าราวสองแสนได้ คนเหล่านี้ตั้งรกรากในเมืองหลวงและเทียนจิน กล่าววาจาเหลวไหลไม่มีผลประโยชน์ใดกับพวกเขา”


“สองแสน สองแสน…”


ไช่หนานพึมพำ จากนั้นกล่าวว่า


“ตั้งแต่ฝ่าบาทครองราชย์มา ทัพใหญ่จำนวนทหารแสนกว่ามีแค่สี่ครั้ง รบเมืองกุยฮว่าเฉิง รบเจี้ยนโจว ล้วนกั๋วกงเป็นแม่ทัพ ได้รัยชัยชนะอันรุ่งโรจน์หมด เมืองเหลียวโจวตระกูลหลี่ยกทัพตะวันตกปราบตัวหลุนก็อีกครั้ง ยกทัพปราบตะวันออกเผ่าหนี่ว์เจินก็อีกครั้ง เมืองเหลียวโจวครั้งหนึ่งมีชัยยากเย็น อีกครั้งพ่ายยับเยิน ที่เหลือไม่มีใครมีคุณสมบัติพอ”


หลี่ว์วั่นไฉพยักหน้าลุกขึ้นไปหยิบพู่กัน แท่นหมึกกับกระดาษจากโต๊ะมา ฝนหมึกเตรียมจด ไช่หนานพูดช้ามาก เห็นว่าคิดไปพูดไป


“…ทหารม้าเหลียวซีห้าพันแพ้ราบที่เมืองเปียงยาง หากคิดเช่นนี้ กำลังโจรวัวโค่วย่อมไม่เป็นรองเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกล…”


พูดถึงตรงนี้  หลี่ว์วั่นไฉกล่าวเสริมว่า


“สมัยฮ่องเต้ซื่อจง โจรสลัดตะวันออกเฉียงใต้ก่อความวุ่นวาย ทหารยนอกกองทัพประเทศวัวพวกนั้นก็ทำให้แผ่นดินหมิงเราปวดหัวมากแล้ว นี่ต้องไม่ลืม นับประสาอันใดครั้งนี้เป็นมหาอำมาตย์ประเทศวัวส่งกองกำลังมาเอง”


ไช่หนานพยักหน้า


“ใช่ๆ เป็นเช่นนี้ ใต้เท้าหลี่ว์กล่าวได้ดี โจรวัวโค่วสองแสน ประเมินจากกำลังรบแล้ว คิดอย่างไรก็ย่อมรู้ได้ว่าน่ากลัวเพียงใด ไม่อาจประมาทได้ ไม่เช่นนั้นย่อมก่อให้เกิดนานวันกลายเป็นภัยสั่นคลอนแผ่นดินเรา”


กล่าวไปหลายประโยค ไช่หนานยกจอกสุราขึ้นจิบ ถามขึ้นว่า


“ใต้เท้าหลี่ว์ นำทัพปราบโจรสลัด ศึกเช่นนี้เรียกว่าเป็นศึกระดับชาติ ท่านคิดดู แผ่นดินหมิงขุนพลมากมายเพียงนี้ ตอนนี้ผู้ใดมีคุณสมบัติพอจะเป็นแม่ทัพใหญ่นำทัพออกศึกนี้?”


“ไม่ปิดบังกงกง ที่ข้ารู้ก็มีแต่กั๋วกง แม่ทัพคนอื่นไม่รู้ได้”


“ยังมีผู้บัญชาการหลี่หรูซงเมืองเซวียนฝู่ ยังมีหลี่หู่โถว”


พูดถึงหลี่หู่โถว สองคนอดไม่ได้กระแอมไอขึ้นพร้อมกัน ล้วนอึดอัด ไช่หนานกระแอมในลำคอก่อนจะเอ่ยต่อว่า


“หู่โถวอายุยังน้อย ยังไม่เหมาะนำทัพใหญ่ออกศึกลำพัง ฝ่าบาทอาจไม่ทรงพิจารณา แต่ทว่าหลี่หรูซงไม่เหมือนกัน เขาอยู่เมืองเซวียนฝู่เป็นผู้บัญชาการมาหลายปี การรบใหญ่น้อยผ่านมาไม่น้อย แม้ว่าได้ความดีเพราะอาศัยกั๋วกงเรามาก แต่ความดีความชอบอย่างไรก็เห็นกันอยู่ การนำทัพออกศึกนี้อย่างไรก็แถบเมืองเหลียวโจว ไม่ว่าพื้นที่คุ้นเคยหรือว่าเคลื่อนกำลังทหารเมืองเหลียวโจวเอง หลี่หรูซงล้วนมีข้อได้เปรียบที่คุ้นเคย”


“ราชสำนักเกรงว่าคงมีคนไม่น้อยที่ไม่อยากให้กั๋วกงมีโอกาสสร้างความชอบอีก ตระกูลหลี่แต่ไรก็สายสัมพันธ์ ราชสำนักไม่เลว”


หลี่ว์วั่นไฉรับคำต่อ ไช่หนานพยักหน้า ถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า


“ต้องเน้นว่าโจรวัวโค่วแข็งแกร่ง ต้องเน้นย้ำว่าศึกนี้สำคัญ ต้องเน้นย้ำว่าผู้ใดสามารถนำทัพใหญ่ได้ชัย แม้หลักการเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นแล้ว แต่ก็คงมีคนกล่าววาจาบิดเบี้ยว ผลคงไม่ได้ดีเท่าไร ขอกล่าววาจาล่วงเกิน ฝ่าบาทตอนนี้ใช้เวลาทรงพระสำราญมาก สนใจเรื่องแผ่นดินน้อยลง หลายเรื่องอาจไม่ทรงเข้าใจเหมือนแต่ก่อน เกรงว่าผู้ใดกล่าวก็คงฟังผู้นั้น”


พูดถึงตรงนี้ หลี่ว์วั่นไฉท่าทีลำบากอยู่สักหน่อย วางพู่กันลงกล่าวว่า


“กงกงกล่าวได้มีเหตุผล ตอนนี้พวกเราที่มีตำแหน่งสูง หนึ่งก็ข้า สองก็ใต้เท้าสวี นอกนั้นก็ไม่ได้มีน้ำหนักกล่าววาจาอันใด เสนาบดีกรมโยธาพานจี้ซวิ่นก็เป็นเราจ่ายเงินให้เขาประทับตรา ไม่รู้เรื่องนี้…ไม่ไปบอกเขา แต่ทางในวัง ก็ขอไช่กงกงลงแรงหน่อย”


“หนึ่งขุนนางระดับสาม อีกหนึ่งระดับสี่ กอปรกับพวกระดับหกเจ็ดอีกสองสามคน ไม่พอจริงๆ ในวังง่ายอยู่ โจวกงกงเข้าใจเรื่องนี้ มีเขาออกหน้า ยังมีเสี่ยวเลี่ยงคอยเสริม อย่างไรก็พอได้ ประเด็นยังเป็นข้างนอก ใต้เท้าหลี่ว์ ชนชั้นสูงทางนั้นมีวิธีใดหรือไม่?”


ไช่หนานส่ายหน้า หลี่ว์วั่นไฉเผยรอยยิ้มเฝื่อน ส่ายหน้าเช่นกัน กล่าวว่า


“ก็มีแต่ตระกูลเฉิน ตระกูลถัง แต่คนเหล่านี้ ไช่กงกงก็รู้ พอเห็นว่าเป็นคนเครือข่ายเรา  เกรงว่าพวกเขากล่าวชื่อขึ้น ก็มีคนหาข้อตำหนิจุดอ่อนออกมากลบทันที  ถึงตอนนั้นกลายเป็นการขัดแย้งในราชสำนักอีก มีเรื่องกันขึ้นมา ก็ไม่รู้ผลจะเป็นอย่างไร”


“ก็คงเป็นเช่นนี้…”


ไช่หนานเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจกล่าวว่า


“อย่างไรก็ต้องทำ ใต้เท้าหลี่ว์จัดคนไปหารือพวกขุนนางบัณฑิตชิงหลิวที่ใช้งานได้ก่อน อย่างไรก็ต้องออกเสียง หากเงียบ ก็ถูกคนอื่นคิดไปเองว่าเห็นด้วย อย่างไรก็ต้องเริ่มก่อน”


“วันนี้ขอตัดสินใจเรื่องนี้กับไช่กงกงเป็นหลักการก่อน พรุ่งนี้ก็จะให้พวกเขาเริ่มยื่นฎีกา ต้องรอดูทางใต้เท้าสวีแล้ว ใต้เท้าสวีทางนั้นว่าจะลงมือบางอย่าง ทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องขึ้นมา”


*****************


ผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วส่งคนมาเมืองหลวงไม่หยุด ฎีกาหนึ่งส่งเข้าวัง รายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ ไม่รู้เป็นเพราะเจตนาหรือไม่  หลังฎีกานี้เข้าวังก็มักมีข่าวแพร่ออกมารวดเร็วมาก ราชสำนักล้วนรู้กันหมด ในวังปิดอันใดไม่มิด ไม่อาจเก็บเรื่องใดได้สักเรื่อง เรื่องนี้ไม่เท็จ  ทุกคนไม่ได้รู้สึกแปลกใจอันใด ก็ปล่อยไปละกัน


แต่หากมีคนคิดใส่ใจตรึกตรองดู ก็จะพบกว่าข่าวรั่วไหลนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนรั่วไหลไปยังมีระเบียบรั่ว แม้ว่าเป็นเรื่องฎีกาเหมือนกัน แต่ก็ย่อมมีแค่บางส่วนทุกคนล้วนรู้ บางส่วนทุกคนไม่รู้ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม เพราะหากเป็นฎีกาเหลียวหนิง ไม่ว่าใหญ่เล็ก ล้วนแพร่ไปทั่วเมืองหลวง และข่าวยังได้ความครบถ้วน เห็นได้ชัดว่ามีคนได้อ่านฎีกาก่อน


ตอนนี้มีหลายเรื่องเช่นนี้ ไม่มีใครสนใจเรื่องในฎีกาว่าเผยมาจากไหน จะว่าไปฎีกาพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ให้พวกเขาแพร่กันไปก็แล้วกัน


ฎีกาสวีกว่างกั๋วกล่าวไว้ไม่น้อย แต่ทว่าขุนนางใหญ่ราชสำนักอ่านแล้ว สถานการณ์ตอนนี้สำคัญมาก เรื่องที่กล่าวในฎีกาเกรงว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เกินไปสักหน่อย


เช่นที่สวีกว่างกั๋วว่า ขุนพลเหลียวซีสนใจแต่การทำกาค้า ทหารติดตามฝึกซ้อมน้อยมาก ล้วนใช้ไปคุ้มกันขบวนการค้า เข้าออกในนอกแผ่นดินหมิงขุนพลทหารเหลียวซีในและนอกด่านล้วนมีกิจการกันมาก ที่เทียนจินราวกับทองคำทุกตาราง ขุนพลเหลียวซีกลับมีการค้าแน่นขนัดไปทุกตารางนิ้ว ร้านค้าจำนวนไม่น้อย


สถานการณ์ที่ทุกคนลงมือ ขุนพลได้ใจ หัวหน้าทหาร และพลทหาร ไม่มีแต่ใจเป็นทหารเพื่อแผ่นดิน ล้วนแย่งชิงกันทำการค้า ทุกครั้งที่คุมขบวนการค้าไปก็มักมีสินค้าตนเองติดไปด้วย


ทหารไม่ทำการทหาร กลับไปมุ่งแต่ร่ำรวยการค้า กองกำลังเช่นนี้เรียกว่ากำลังอันใดกัน จู่เฉิงซวิ่นพ่ายที่เปียงยาง เห็นว่าเป็นเหตุบังเอิญ แต่ความจริงนั้นอาจไม่ใช่


สวีกว่างกั๋วยังตำหนิตนเองในฎีกาไม่น้อยว่า หลังตนเองมายังเหลียวหนิง เพราะเป็นมณฑลใหม่ เหลียวหนิงไม่มีผู้ตรวจการเขต ผู้ว่าการมณฑลคุมคนเดียว ดังนั้นเขาจึงทุ่มเทกำลังไปกับการดูแลเรื่องราษฎร เรื่องการทหารไม่ได้ดูแลดีนัก เหลียวหนิงสามพื้นที่จากเมืองเหลียวโจวเดิม  หลังจากสูญเสียใหญ่หลวงในศึกกับเผ่าหนี่ว์เจินและมองโกลร่วมกำลังกันครั้งนั้น ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ฟื้นคืนมา


ยังไม่ได้ฟื้นคืนมายังไม่เป็นไร ทหารสามพื้นที่ยังคงรักษาความสงบเหลียวหนิงได้  นำทหารสามพื้นที่ออกรักษาความสงบจึงเหมือนเป็นการใช้มีดฆ่าวัวมาฆ่าไก่  เหลียวหนิงตอนนี้แม้ว่าเป็นแค่เขตเหลียวตง แต่ความจริงนั้นเป็นพื้นที่ควบคุม ราษฎรไปมาเข้าออก เป็นราษฎรทุ่งหญ้ากับแม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซาน และยังมีชาวเมืองเหลียวโจว บนทุ่งหญ้ากับเผ่าเล็กใหญ่แม่น้ำเฮยสุ่ยและเขาไป่ซาน ล้วนไม่ได้ยอมศิโรราบทั้งหมด


เหลียวหนิงสามพื้นที่ ต้องรักษาความสงบสุขในพื้นที่ตลอดเวลา ไม่ได้ว่างเว้น และแต่ไรมาก็ไม่เคยได้เสริมกำลังเต็มประสิทธิภาพ


สวีกว่างกั๋วได้ความจากปากทหารเกาหลี จากปากพ่อค้า ว่าพวกโจรวัวโค่วล้วนเป็นทหารเก่าที่ประจำการมานานและเชี่ยวชาญการศึก เก่งกล้าสามารถ ยังมีปืนไฟแสนร้ายกาจ


สวีกว่างกั๋วกล่าวไม่ปะติดปะต่อ แต่รวมๆ ดูแล้ว ก็ทำให้คนเกิดภาพในใจได้ง่ายว่า เหลียวหนิงต้องรักษาสถานการณ์เหลียวหนิงตอนนี้ก่อน  เป็นเรื่องสำคัญที่สุดแล้ว กำลังเดิมเมืองเหลียวโจวยังไม่ได้ฟื้นตัว กลับถดถอยลงเรื่อยๆ ทัพใหญ่โจรวัวโค่วรุกรานเกาหลีแข็งแกร่งมาก ไม่อาจประมาท ทหารพื้นที่เหลียวหนิงนำมาใช้การไม่ได้ ก็ย่อมต้องเคลื่อนกำลังที่อื่นไป ในเมื่อทหารเหลียวหนิงย่ำแย่ใช้ไม่ได้ เช่นนั้นผู้บัญชาการหลี่หรูซงเมืองเซวียนฝู่ก็ไม่มีข้อได้เปรียบที่คุ้นเคยกับทหารเมืองเหลียวโจวอีกแล้ว


โจรวัวโค่วแข็งแกร่งมาก ราชสำนักจะต้องส่งกำลังทัพใหญ่ไปปราบถึงจะปราบได้ราบคาบ ผู้ใดเป็นทัพใหญ่ ผู้ใดจะรับหน้าที่นี่ได้ดี…


แต่ทว่าสวีกว่างกั๋วสถานะชัดเกินไป ไม่ได้เป็นกลาง  การกล่าวชักนำจึงไม่ได้ผลมาก นี่เป็นเรื่องที่ทำอันใดไม่ได้


แผ่นดินหมิงทุกระดับตอนนี้พากันมุ่งไปยังเรื่องที่ว่าผู้ใดควรได้เป็นแม่ทัพออกศึก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)