พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1079-1080

 บทที่ 1079 ผู้หญิงโง่เง่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

คำพูดนี้ ช่างเป็นสิ่งที่เหมียวอี้ปรารถนาแต่ไม่เคยสมหัวงสักที!


ขณะที่มองตามหวงฝู่จวินโหรวจากไป เหมียวอี้ก็แอบสะใจ เฝ้ารอให้หวงฝู่จวินโหรวรีบไปร้องเรียนเบื้องบนไวๆ สมาคมวีรชนเป็นหูเป็นตาให้ราชันสวรรค์ คงจะช่วยตนรายงานเรื่องนี้ให้ถึงหูเบื้องบนสุดได้โดยดเร็ว คาดว่าคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แม้แต่ของของสมาคมวีรชนยังถูกตนยึดไว้แล้ว หวงฝู่จวินโหรวน่าจะไม่มีทางปิดบังได้


ข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ครั้งนี้ล่วงเกินผู้หญิงคนนี้อย่างโหดเหี้ยมพอสมควร เดาว่าในที่สุดก็จะได้หลุดพ้นจากการพัวพันของผู้หญิงคนนี้แล้ว ไม่อย่างนั้นตนก็ทนความยั่วยวนจากความงามล่มเมืองของผู้หญิงคนนี้ไม่ไหว เอาแต่ตัดไม่ขาดจนใจว้าวุ่นอยู่เสมอ


จากนั้นเขาก็หันตัวกลับมา ถอดชุดเกราะ นั่งลงใต้เถาวัลย์สีเขียว ยกกาน้ำชารินดื่มเพียงลำพัง


เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็ไม่มีทางควบคุมได้แล้ว สิ่งที่สามารถทำได้ก็มีแค่รอต่อไป ปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรมอย่างแท้จริง ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็หนีไป


รอปสักประเดี๋ยว เป่าเหลียนก็มารายงานอีก บอกว่าอวี้ซวีเจินเหรินขอพบ เหมียวอี้พยักหน้าเชิญ


จนกระทั่งนำอวี้ซวีเจินเหรินมาถึง เหมียวอี้ก็รีบลุกขึ้นและก้าวขึ้นมา ก่อนจะโค้งตัวค้างไว้ “เจินเหรินโปรดระงับโทสะ ดูหมิ่นเจินเหรินแล้ว เป็นหนิวโหย่วเต๋อที่ไร้มารยาท ขออภัยเจินเหริน!”


อวี้ซวีเจินเหรินยิ้มเจื่อน “คุกเข่าพร้อมกับทุกคน ข้าไม่เป็นอะไรหรอก เพียงแต่ผู้บัญชาการใหญ่เปิดฉากสังหารหมู่ใหญ่โตขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการใหญ่ไม่เคยพิจารณาถึงผลที่ตามมาจริงๆ?”


“เจินเหรินเชิญนั่งแล้วค่อยๆ คุยกันเถิด!” เหมียวอี้ยื่นแขนเชิญเข้ามานั่งข้างโต๊ะหินใต้เพิงเถาวัลย์ หลังจากรินน้ำชาเพื่อขอโทษด้วยตัวเอง ถึงได้ถอนหายใจแล้วบอกว่า “สถานการณ์ของข้าก่อนหน้านี้ เจินเหรินเองก็รู้เช่นกัน  ข้าเองก็โดนร้านค้าพวกนั้นกดดันจนหมดทางเลือก ครั้งนี้ทำให้เจินเหรินลำบากไปด้วยแล้ว ข้าหมดหนทางแล้วจึงได้ทำแบบนี้ ส่วนผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ก็ทำไปดูไปทีละขั้นตอนแล้วกัน!”


เมื่อเห็นว่าเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มาก อวี้ซวีเจินเหรินก็ไม่ได้ถามอีก เพียงแต่แววตาที่มองเหมียวอี้ค่อนข้างซับซ้อนหลากอารมณ์ ตอนแรกที่เข้าสำนักลมปราณ เป็นคนหนุ่มที่ดีขนาดไหน ศิษย์พี่ถึงขั้นอยากรับเข้ามาเลี้ยงให้เป็นผู้สืบทอดสำนัก ตอนนี้พอเข้ามาอยู่ในวงการขุนนาง เมื่ออยู่ในถังย้อมขนาดไหน ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ ชีวิตคนหลายพันคนก็สามารถสั่งประหารได้โดยไม่กะพริบตา ฆ่าคนหัวคนกลิ้งเต็มพื้น เลือดไหลนองเป็นแม่น้ำ แค่คิดก็รู้แล้วว่าใจดำอำมหิตขนาดไหน


สิ่งเดียวที่ทำให้เขาปลื้มใจก็คือ อีกฝ่ายยังคงเคารพนอบน้อมเขาเหมือนเดิม จะเห็นได้ว่าสันดานเดิมยังไม่ถูกกลบไป…


ณ ตลาดสวรรค์ ไม่ได้มีแค่มู่หรงซิงหัวเท่านั้นที่ติดต่อกับเฉาว่านเสียง ผู้จัดการของร้านค้าใหญ่ๆ ที่มาล้อมดูการสังหารหมู่ พอต่างคนต่างกลับมาถึงร้านค้าของตัวเองแล้ว ก็รีบติดต่อกับเจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลังเช่นกัน พากันเล่าสถานการณ์ของที่นี่ให้ฟัง


ส่วนจะปฏิบัติตามคำสั่งโดยการสารภาพเรื่องที่สมาคมร้านค้ามาขอความร่วมมือฝ่ายตัวเองเพื่อต่อต้านหนิวโหย่วเต๋อหรือไม่ ก็ยังต้องฟังความคิดเห็นของเจ้าของร้านที่อยู่เบื้องหลัง เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่เพียงประเดี๋ยวเดียว ตอนนี้แพร่กระจายลึกไปยังอวกาศอันไร้ขอบเขตอย่างรวดเร็ว


ณ ร้านโฉมเมฆา ในศาลาที่ถูกภูเขาจำลองขับให้เด่น อวิ๋นจือชิวนั่งเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร


เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็นิ่งเงียบไปนานมากเช่นกัน เชียนเอ๋อร์ถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยิน จะถามนายท่านดีมั้ยเจ้าคะว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่?”


“ไม่ถามแล้ว รอให้ถึงเวลาที่เขาเต็มใจจะบอกข้าก่อนแลวค่อยว่ากัน!” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจเบาๆ ดูใจคอแห้งเหี่ยว ส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่นานในดวงตางามก็ฉายแววเหม่อลอยอีกครั้ง


ณ จวนเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ใหญ่โตมโหฬาร ในนั้นมีป่าไม้ที่เขียวชอุ่มผืนหนึ่ง ชายวัยกลางคนจำนวนมากกำลังเดินร่วมทางช้าๆ อยู่บนทางเล็กในป่า ที่ทั้งสูงเตี้ยอ้วนผอม แต่ละคนมีสง่าราศีไม่ธรรมดา มีลักษณะเหมือนอยู่เหนือคนอื่นมานาน


ชายหนุ่มหนวดสั้นที่กำยำล่ำสันและสวมชุดผ้าแพรอยู่ตรงกลางก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือผังก้วน เทพประจำดาวฟ้าเถาะนั่นเอง


ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่ สรุปก็คือสุดท้ายกุมหมัดกล่าวอำลากัน คนที่เดินร่วมทางมาด้วยกันทยอยกันออกไปจากตรงนั้น


หลังจากกกุมหมัดคารวะส่งเพื่อนร่วมงานแล้ว ผังก้วนที่เอามือไขว้หลังก็นำบ่าวชราเดินไปข้างหน้าต่อ


เดินออกจากป่าที่เขียวชอุ่ม ในทุ่งดอกไม้ตรงหน้าที่เบ่งบานตระการตาราวกับผ้าแพรมีศาลาที่งดงาม ชายหญิงกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้ที่แปลกตานานาชนิด สตรีวัยกลางคนที่งามเลิศล้ำคนหนึ่งถูกให้ความสำคัญ มีคนเดิมติดตามกันเป็นกลุ่ม ท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกันอยู่


เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้ ผังก้วนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หาทางเบี่ยงอีกทาง หมายจะเดินอ้อมออกไปข้างหน้า แต่ใครจะคิดว่าสตรีชั้นสูงคนนั้นจะตาแหลม ตะโกนเสียงดังมาแต่ไกลๆ “นายท่าน! นายท่านหยุดก่อน!”


ผังก้วนหยุดฝีเท้า ฮูหยินที่แต่งกายหรูหราหันหน้ากลับมาโบกมือเช่นกัน ไล่ชายหญิงกลุ่มนั้นให้แยกย้ายกันออกไป พาแค่ชายหนุ่มรูปงามหน้าขาวปากแดงคนหนึ่งเดินเข้ามา


พอเดินเข้ามาใกล้ สตรีที่แต่งกายหรูหราก็วางมือย่อเข่าทำความเคารพ พร้อมกล่าวเรียกด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “นายท่าน!”


ชายหนุ่มที่เดินตามมาด้วยกุมหมัดคารวะเช่นกัน “ท่านอาเขย!”


สตรีที่แต่งกายหรูหราไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือจาหรูเยี่ยนฮูหยินภรรยาเอกของผังก้วน รูปร่างละมุนละไม ใบหน้างดงามดุจดอกไห่ถัง สวยเพริศพริ้งที่สุด ที่จริงคนที่อยู่ตำแหน่งระดับเดียวกับผังก้วน มีภรรยาของใครบ้างที่ไม่สวยเพริศพริ้ง ผู้หญิงสวยธรรมดาไม่อยู่ในสายตาพวกเขาอยู่แล้ว ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล เวไนยสัตว์เหลือคณานับ อาศัยฐานะตำแหน่งของพวกเขา หญิงงามที่คนธรรมดาทั่วไปใฝ่ฝันแต่เอื้อมไม่ถึง แต่สำหรับพวกเขาเป็นเรื่องปกติธรรมดา ขอเพียงถูกใจ การได้พวกนางมาก็เป็นแค่เรื่องที่ง่ายดายเหมือนสั่งได้ในคำเดียว


ส่วนชายหนุ่มที่ติดตามอยู่ข้างหายจาหรูเยี่ยน ก็คือจาเหรินจวิ้น ผู้ที่เย่สวินเกาอยากแนะนำให้ไปทำงานเป็นลูกน้องของเหมียวอี้


“อืม!” ผังก้วนพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหลือบมองทั้งสองอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง มอไม่ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน ในดวงตาฉายแววล้ำลึกอยู่บ้าง หันตัวเดินจากไปแล้ว


“ฮูหยิน นายน้อยเหรินจวิ้น!” หลังจากบ่าวชราเฉินหวยจิ่วคำนับทั้งสองแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรมากอีก เดินตามหลังผังก้วนต่อไป


“นายท่าน หม่อมฉันมีเรื่องจะบอกค่ะ” จาหรูเยี่ยนเร่งฝีเท้าเดินตาม


ผังก้วนเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไร อ้างอย่างขอไปที “ถ้ามีเรื่องอะไรรอให้ข้ากลับมาจากตำหนักสวรรค์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


“ไอ๊หยา นายท่านของข้า มีคนรังแกมาถึงหัวพวกเราแล้ว เรื่องนี้ต้องให้ท่านออกหน้าจริงๆ หม่อมฉันจะรอไหวได้อย่างไรกัน” จาหรูเยี่ยนดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้เสียเลย


ผังก้วนทำได้เพียงหยุดฝีเท้า สะบัดแขนเสื้อ แล้วกล่าวอย่างทนรำคาญไม่ไหวนิดหน่อย “ข้ายังมีธุระสำคัญ มีอะไรก็รีบพูดมา”


“กินยาผิดมาเหรอคะ? ข้าไปยั่วโมโหท่านเหรอ?” จาหรูเยี่ยนกลอกตาใส่เขาอย่างหงุดหงิด “ข้าจะบอกท่านให้นะ ร้านค้าของตระกูลเราที่ตลาดสวรรค์ดาวเทียนหยวนถูกตรวจค้นและยึดทรัพย์แล้ว ของในร้านก็ถูกปล้นไปหมด พนักงานในร้านก็โดนฆ่าจนหมดเกลี้ยง ถ้าท่านไม่ทวงความยุติธรรมให้เรื่องนี้ พวกเราเสียหน้ากับเรื่องนี้ไม่ได้ ท่านเป็นขุนนางตำหนักเดียวกับเทพประจำดาวคนฉลู สนิทสนมกัน ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาไม่ไว้หน้า เรื่องนี้ท่านต้องออกหน้าบอกด้วยตัวเอง!”


เทพประจำดาวคนฉลูชื่อว่าหมิงเย่าคง เป็นผู้บังคับบัญชาของท่านโหวเทียนหยวน ดาวเทียนหยวนย่อมอยู่ในขอบเขตการควบคุมของหมิงเย่าคง


ตอนยังไม่พูดเรื่องนี้ก็ยังดีอยู่ แต่พอพูดเรื่องนี้ ผังก้วนกลับแสยะยิ้มแล้วเอาสองมือไขว้หลังอีกครั้ง ถามกลับว่า “ข้าก็อยากจะถามเจ้าอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่ากลุ่มสตรีก็ร้องเรียนอะไรกับหมิงเย่าคง เจ้าเองก็มีส่วนเหมือนกันรึเปล่า? ได้ยินว่าเจ้าเป็นคนริเริ่ม?”


จาหรูเยี่ยนทำตัวไม่เป็นธรรมชาตินิดหน่อย แต่ก็ดึงมือจาเหรินจวิ้นที่อยู่ข้างหลังออกมา “เหรินจวิ้นก็นับว่าเป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถเหมือนกัน หน้าตาก็โดดเด่นเกินใคร ตอนนี้วรยุทธ์ก็ถึงขั้นแล้วด้วย ข้าบอกท่านหลายครั้งแล้วว่าให้ช่วยหาตำแหน่งที่เหมาะสมให้เขา ท่านบอกมาตลอดว่าเดี๋ยวช่วยเตรียมให้ แต่รอมาหลายสิบปีแล้วก็ยังไม่เห็นทำอะไรสักที ข้าก็เลยบอกผู้จัดการร้านที่ตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวน ให้เขานำของขวัญไปมอบเพื่อให้อีกฝ่ายจัดหาตำแหน่งให้ ไม่ทำให้เจ้าเสียหน้าอะไรด้วย ใครจะคิดล่ะว่าในเมล็ดแตงโมจะมีหนอน ใครจะคิดว่าผู้บัญชาการเล็กๆ คนหนึ่งจะใจกล้าคับฟ้า กล้ารับของขวัญพวกเราแต่ไม่ยอมจัดการธุระให้ ข้าย่อมต้องสั่งสอนเขาสักหน่อยอยู่แล้ว”


จาเหรินจวิ้นที่ถูดถึงออกมา เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างหวาดกลัวผังก้วน ไม่กล้าหายใจแรง ถึงอย่างไรผังก้วนก็มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมาก ลักษณะท่าทางก็ทำให้คนหวาดกลัวด้วย


ผังก้วนถามเหมือนแปลกใจว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเรื่องของเหรินจวิ้นยังไม่เหมาะจะจัดการตอนนี้ รอให้ผ่านไปสักช่วงหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน เจ้ายังจะทำเรื่องนี้ลับหลังข้าอีก เจ้าเห็นคำพุดข้าเป็นเหมือนลมผ่านหูใช่มั้ย?”


จาหรูเยี่ยนกระทืบเท้าสองสามที “ทำไมท่านยังไม่เข้าใจอีก ข้าบอกว่าตลาดสวรรค์ ตำแหน่งของตลาดสวรรค์แต่ละที่มีแต่เส้นสาย ปกติเวลายัดคนไปเบียดตำแหน่งคนอื่นจะล่วงเกินคนอื่นได้ง่าย มีโอกาสที่ดาวเทียนหยวนพอดี ถ้าข้าไม่ฉวยโอกาสนี้ไว้แล้วโดนคนอื่นแย่งไปล่ะ เดี๋ยวมานึกเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว ใครจะไปคิดว่าจะเจอกับเจ้าชาติสุนัขที่ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งแล้วไม่ได้ผล กล้าวางอำนาจบาตรใหญ่ฝ่าฝืนกฎ ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว!”


ผังก้วนเงยหน้ามองฟ้า ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง พยายามสงบสติอารมณ์ แล้วถามว่า “เจ้าไม่รู้เชียวเหรอว่าคนที่พวกเจ้าต้องการจะเล่นงานเป็นใคร? นั่นคือแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบที่ราชันสวรรค์เพิ่งแต่งตั้งให้ได้ไม่นาน บนทิศทางลมแบบนี้ พวกเจ้าจะไปเล่นงานเขาเหรอ? ผู้หญิงอย่างพวกเจ้าโดนหมากินสมองไปหมดแล้วหรือไง หรือว่ากินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำ เลยหาเรื่องใส่ตัวเอง?”


“ผังก้วน ทำปากท่านให้มันสะอาดๆ หน่อย!” จาหรูเยี่ยนเดือดดาลแล้ว โดนสามีตัวเองด่าแบบนี้ต่อหน้าหลานชาย นางทนเสียหน้าไม่ไหวแล้วจริงๆ กล่าวด้วยเสียงที่ดังขึ้นหลายส่วน “ก็แค่แม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบไม่ใช่เหรอ คนที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งให้เองมีตั้งเยอะ ที่พวกเจ้าเล่นงานลับหลังมีน้อยเสียที่ไหนล่ะ? คิดว่าข้าไม่รู้เหรอ? เจ้าช่างมีน้ำใจจริงๆ นะ ตระกูลพวกเราเสียเปรียบแล้ว เจ้าไม่กู้หน้ากลับมา แถมมาระบายความโกรธใส่ข้าด้วย…”


เสียงเปาะแปะดังไม่หยุด ผังก้วนโดนตบแก้มหลายครั้ง


เพี้ยะ! ไม่มีปี่มีขลุ่ย ตบบ้องหูอย่างรวดเร็วปานฟ้าแลบ เรียกได้ว่าเสียงดังชัดเจน


ผังก้วนระงับไฟโกรธไม่ไหว ในที่สุดก็ฟาดฝ่ามือออกมากหนึ่งที พอสิ้นเสียงจาหรูเยี่ยนก็ล้มลงพื้น ที่มุมปากมีเลือดซึม นั่งมึนงงอยู่บนพื้น โดนตบจนมึนแล้ว


จาเหรินจวิ้นที่อยู่ข้างๆ ตกใจจนตัวสั่น ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี


บ่าวชราเฉินหวยจิ่วรีบก้าวขึ้นมาประคองเขา


ผังก้วนกลับยังไม่หายโมโห ชี้จาหรูเยี่ยนพร้มอตะคอกอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าไม่รู้เหรอว่าอยู่ใกล้ราชันก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ? พอไม่ระวังก็ตายทั้งตระกูลได้เลย เจ้าจะเอาให้โดนประหารทั้งบ้านเลยใช่มั้ยถึงพอใจ? ผู้หญิงโง่เง่า! โง่เง่าไร้ที่เปรียบ!”


“ผังก้วน เจ้ากล้าตบข้าเหรอ!” จาหรูเยี่ยนที่ได้สติกลับมาเช็ดรอยเลือดที่ริมฝีปาก นางประสาทเสียทันที สะบัดบ่าวชราที่เข้ามาประคองออก แล้วพุ่งเข้าไปดึงคอเสื้อผังก้วน ผลักเขาไม่หยุดพร้อมโวยวายว่า “เจ้ามันคนไร้มโนธรรม ที่เจ้ามีวันนี้ได้ ตระกูลจาของข้ามีคนตายไปตั้งกี่คน! หมดกำลังทรัพย์ไปมากมายท่าไร เสียเลือดเสียเนื้อไปเท่าไรกว่าจะผลักดันเจ้าขึ้นมาได้ ตอนนี้หลานชายของข้าแค่คนเดียวไม่มีที่พึ่งพิง แค่เข้าไปรับตำแหน่งผู้บัญชาการสักตำแหน่งจะเป็นไรไป? เจ้ายังกล้าตบข้าด้วย! ข้าจะสู้ตายกับเจ้า! ข้า…”


เสียงโวยวายร้องไห้พลันหยุดลง ผังก้วนบีบคอนางไว้แล้ว พร้อมตะคอกด้วยสีหน้าเดือดดาลว่า “จาหรูเยี่ยน ถ้าหาเรื่องอีก เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้าจะทิ้งเจ้า!”


จาหรูเยี่ยนใช้สองมือแกะมือใหญ่ที่คอตัวเอง แต่ไม่มีทางแกะออกได้ โดนบีบคอจนตาเหลือก


“นายท่าน! ฮูหยินกระวนกระวายร้อนใจ ถึงได้ใช้คำพูดไม่ถูก!” บ่าวชราเฉินหวยจิ่วรีบเข้ามาขอวิงวอน


“เฮอะ!” ผังก้วนผลักคนที่อยู่ในมือจนล้มลงพื้น แล้วหันกลับมาบอกว่า “จับตาดูนางไว้ให้ดี! อย่าให้นางเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้อีก ไม่ต้องไปหาเส้นสายที่ดาวเทียนหยวนหรอก ร้านที่โดนปิดกับของที่โดนยึดก็ไม่ต้องเอาแล้ว สรุปว่าห้ามเข้าไปยุ่งอะไรอีก!”


“ขอรับ!” บ่าวชราเอ่ยรับ


จาหรูเยี่ยนที่นั่งล้มอยู่บนพื้นกลับร้องไห้สะอึกสะอื้นลุกขึ้นมา แล้วบอกว่า “ท่านพ่อ! ท่านแม่! พวกท่านจากไปเร็วเกินไป ข้าโดนรังแกแต่ไม่มีคนให้ฟ้องด้วยซ้ำ เขาทำร้ายข้า ทั้งยังบอกว่าจะทิ้งข้าด้วย คำพูดหวานไพเราะที่พูดตอนแต่งงานกับข้าเป็นแค่คำหลอกลวงทั้งนั้น เสียแรงที่พวกท่านสละชีวิตเพื่อเขา ลูกสาวช่างชะตาลำเค็ญนัก!”


“…” ผังก้วนที่ได้ยินดังนั้นกระตุกมุมปากอย่างรุนแรง รู้สึกเหมือนทำให้ถูกพ่ายแพ้ ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว สะบัดแขนเสื้อถลันตัวจากไปทันที


…………………………


บทที่ 1080 เงียบสงบมาก

โดย

Ink Stone_Fantasy

เรื่องบางอย่างเมื่อได้ทำไปแล้ว ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ก็มักจะเกิดผลกระทบบางอย่างที่ไม่ค่อยดีอยู่เสมอ


เหมียวอี้ที่รออย่างเงียบๆ อยู่ที่จวนผู้บัญชาการใหญ่ ปัญหาแรกที่ประสบไม่ได้มาจากทางตำหนักสวรรค์ แต่เป็นความเดือดดาลที่มาจากโค่วเหวินหลาน


ที่โค่วเหวินหลานเดือดดาลก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ข้าเพิ่งจะออกจากตลาดสวรรค์ได้ไม่นาน แต่เจ้าก็มาค้นและยึดร้านค้าของตระกูลโค่ว จับตัวคนของตระกูลโค่ว แบบนี้หมายความว่าอย่างไร?


โค่วเหวินหลานสั่งเพียงคำเดียวว่า เปิดร้านค้าของตระกูลโค่วเดี๋ยวนี้ คืนของในร้านค้าให้ตระกูลโค่ว แล้วข้าจะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่ไมตรีเก่า!


ส่วนคนของร้านค้าตระกูลโค่วที่ถูกจับมา ก็ส่งคำให้การที่เกี่ยวข้องกับขบวนการและถูกปล่อยตัวไปแล้ว และก็เป็นเพราะถูกปล่อยออกไป ทางโค่วเหวินหลานถึงได้ข่าวเร็วมาก ผู้จัดการร้านค้ารู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างโค่วเหวินหลานกับเหมียวอี้ จึงบอกให้โค่วเหวินหลานรู้สักหน่อย


เหมียวอี้ที่ถือระฆังดาราอยู่ใต้เพิงเถาวัลย์ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก่อนที่ผลการตรวจสอบจะออกมา เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสั่งเปิดร้านค้าที่โดนตรวจสอบและอายัด ของก็ยังคืนให้ไม่ได้เช่นกัน


ผ่านไปไม่นาน ฝูชิงและผู้บัญชาการอีกสี่คนที่ถูกเรียกพบก็เข้ามาทำความเคารพพร้อมกัน “ผู้บัญชาการใหญ่!”


เหมียวอี้เก็บระฆังดารา แล้วถามว่า “ร้านค้าพวกนั้นที่ถูกจับมาได้มอบคำให้การของขบวนการนี้รึยัง?”


“ส่งมอบให้หมดแล้ว คนก็ปล่อยไปแล้ว แต่ทุกคนถามว่าเมื่อไรจะสั่งเปิดร้านค้าให้พวกเขา จะคืนของที่ตรวจค้นและยึดไปให้เขาเมื่อไร” ฝูชิงตอบ


สวีถังหรานตอบว่า “ผู้ต้องสงสัยที่หนีรอดไปได้มามอบตัวแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง หลังจากที่ร้านค้าใหญ่ๆ รายงานมา พวกเราก็จับได้แล้วเช่นกัน”


เหมียวอี้พยักหน้า “คนที่มอบตัวเอง ขอแค่เป็นคนที่สารภาพแล้ว ก็กักตัวไว้ก่อนชั่วคราว ส่วนคนที่ถูกจับได้ให้ลากไปประหาร! ในเมื่อคนที่ควรจับก็จับไปแล้ว เปิดประตูเมืองทั้งสี่ไปเลยแล้วกัน”


“รับทราบ!” ทั้งสี่เอ่ยรับ


เหมียวอี้ถามอีกว่า “ร้านค้าร้านอื่นๆ มีปฏิกิริยายังไงบ้าง?”


ฝูชิง “ร้านค้าใหญ่ๆ แต่ละร้านกระตือรือร้นเป็นฝ่ายส่งคำให้การว่าสมาคมร้านค้าร่วมมือกันต่อต้านนายท่าน”


เหมียวอี้พยักหน้า แอบโล่งใจลงบ้างนิดหน่อย ปฏิกิริยาของร้านค้าใหญ่ๆ ก็คือเครื่องวัดที่เขาใช้หยั่งเชิงปฏิกิริยาของเบื้องบน ร้านค้าพวกนั้นจะต้องติดต่อกับเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังก่อนแน่นอน ในเมื่อได้รับอนุญาตจากเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังแล้ว ความเป็นไปได้ที่เรื่องราวจะดำเนินไปในทางแย่ก็จะยิ่งลดน้อยลง


อันที่จริงแล้ว มู่หรงซิงหัวค่อนข้างประหลาดใจกับปฏิกิริยาของบรรดาร้านค้าใหญ่ๆ ของตลาดสวรรค์ แน่นอนว่านางรู้ว่าท่าทีของร้านค้าใหญ่ๆ ก็คือท่าทีของเจ้าของที่อยู่เบื้องหลัง พวกเขายอมอ่อนข้อให้หนิวโหย่วเต๋อหมดแล้วงั้นเหรอ? หรือว่ากำลังครุ่นคิดถึงมรสุมที่ใหญ่กว่านี้?


สวีถังหรานเองก็ไม่ใช่คนโง่ สถานการณ์ปัจจุบันเป็นประโยชน์กับพวกเขา ในใจเรียกได้ว่าแอบกระโดดโลดเต้นอย่างร่าเริง


ร้านโฉมเมฆา ในศาลาที่ถูกขับให้เด่นด้วยภูเขาจำลอง อวิ๋นจือชิวถามอย่างแปลกใจมาก “ร้านค้าแต่ละร้านเป็นฝ่ายไปมอบคำให้การสารภาพผิดที่จวนผู้บัญชาการทั้งสี่เขตเมืองเองเลยเหรอ?”


ช่างไม้กับช่างหินที่ไปสืบข่าวกลับมาพยักหน้าตอบ “เป็นอย่างนี้ขอรับ”


อวิ๋นจือชิวยืนขึ้นอย่างช้าๆ ยืนพิงรั้วเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร…


ณ ตำหนักคุ้มเมือง ถึงแม้ท่านโหวเทียนหยวนจะสั่งไว้แล้วว่าไม่ให้เข้าไปแทรกแซง แต่เกิดเรื่องขึ้นใหญ่โตขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ปี้เยว่ฮูหยินจะไม่สนใจ


หลังจากได้ทราบปฏิกิริยาของร้านค้าใหญ่ๆ ของตลาดสวรรค์ ปี้เยว่ฮูหยินก็แปลกใจอยู่บ้างเช่นกัน ขมวดคิ้วเดินไปเดินมาอยู่ในสวนดอกไม้ ถึงขั้นเรียกได้ว่ามหัศจรรย์ใจไม่หยุด


เจ้าของที่อยู่เบื้องหลังบรรดาร้านค้าที่โดนค้นยึดและประหาร นอกจากจะไม่มีคนมาเอาเรื่องแล้ว ร้านค้าที่เป็นทั่วแทนของผู้มีอำนาจทุกร้านกลับมายอมศิโรราบต่อหนิวโหย่วเต๋อด้วยซ้ำ หัวคนหลายพันหัว สังหารทาสของผู้มีอิทธิพลของตำหนักสวรรค์จนเลือดนองกลายเป็นแม่น้ำ แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาอย่างที่จินตนาการไว้เลยสักนิด เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?


หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง ก็หยิบระฆังดาราออกมาอีก ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางก็ต้องรายงานสถานการณ์ของที่นี่ให้ท่านโหวเทียนหยวนรู้ในทันที จะได้ให้ผู้ชายของตัวเองรู้การเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และตัดสินใจได้สะดวก


หลังจากบอกเล่าสถานการณ์ของทางนี้อย่างคร่าวๆ ปี้เยว่ฮูหยินก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า : ทางนั้นมีใครกดดันเจ้าหรือเปล่า?


เทียนหยวน : เงียบสงบมาก แม้แต่เทพประจำดาวก็ถามแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนิดหน่อย ไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาแทรกแซงเลย


ปี้เยว่ฮูหยินแปลกใจ: เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? หนิวโหย่วเต๋อหน้าใหญ่ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? อย่าบอกนะว่าอ๋องสวรรค์โค่วออกหน้าให้แล้ว?


เทียนหยวน : เจ้านี่นะ! ตอนนี้อธิบายไปเจ้าก็ไม่เข้าใจหรอก ถ้าเรื่องยังไม่ถึงตอนสุดท้ายก็พูดยาก ก็อย่างที่บอก เรื่องที่เกิดขึ้นที่ตลาดสวรรค์ เจ้ายังไม่ต้องมายุ่งอะไรทั้งนั้น หนิวโหย่วเต๋อนั่นฉลาดกว่าเจ้า เจ้าไม่ต้องไปปล่อยไก่ที่นั่นแล้ว!


เมื่อโดนดูถูกเหยียดหยาม ปี้เยว่ฮูหยินก็โมโหเช่นกัน : เทียนหยวน อย่ามาเล่นลูกไม้ให้สับสน พวกเจ้ากำลังเล่นบ้าอะไรกันแน่?


เทียนหยวน : บอกเจ้าไปตอนนี้ก็บอกได้ไม่ชัดเจน รอหลังจากประชุมที่ตำหนักสวรรค์เสร็จ เรื่องราวก็น่าจะชัดเจนแล้ว ก่อนจะได้รับแจ้งอะไรจากข้า เจ้าอยู่เฉยๆ น่ะถูกแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็อาจจะผิดได้!


ดาวหยกงาม จวนอ๋องสวรรค์ หอสามรากฐาน ข้างหลังโต๊ะยาว ชายชราที่ผมหงอกขาวเต็มศีรษะกำลังนั่งโน้มกายอยู่บนเก้าอี้ กำลังพลิกแผ่นหยกบนโต๊ะอ่านทีละแผ่น


เขาดูอายุเยอะ แต่โครงกระดูกกลับใหญ่มาก ใบหน้าที่เหี่ยวย่นเล็กน้อยยังทำให้มองออกรางๆ ถึงความหล่อเหลาในวัยหนุ่ม ลักษณะท่าทางเงียบขรึมเก็บตัว มองดูเหมือนชายชราธรรมดา มีเพียงตอนขยับสายตาในบางครั้ง ที่ดวงตาจะยิงรังสีน่าหวาดกลัวออกมา มองออกเลยว่าภายในไม่ธรรมดา ตรงหว่างคิ้วมีลายเมฆสีทองจุดหนึ่ง ไม่ใช่รอยสัก ไม่ใช่ไฝปาน แต่เป็นสัญลักษณ์ของแท่นจิตที่ลักษณะอิทธิฤทธิ์กลายสภาพเป็นของจริง


คนผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือโค่วหลิงซวี อ๋องสวรรค์โค่ว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์


คนที่ยืนเก็บมืออยู่ข้างๆ ก็คือผู้เฒ่าถัง บ่าวชราของเขา ใบหน้าเหมือนผ่านความทุข์ยากมาโชกโชน สงบนิ่งเหมือนน้ำตาย แท่นจิตตรงหว่างคิ้วมีลักษณะอิทธิฤทธิ์ที่กลายสภาพเป็นของจริงเช่นกัน เป็นลายและสีของน้ำ


ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องล่างตรงข้ามโต๊ะยาวก็คือสามพี่น้องโค่วเจิง โค่วฉิน โค่วเหมี่ยน แต่ละคนยืนอย่างสงบนิ่งเช่นกัน กำลังเฝ้าสังเกตการกระทำของโค่วหลิงซวีผู้เป็นบิดา


ผ่านไปพักใหญ่ หลังจากอ่านงานที่ลูกชายคนโตต้องจัดการในช่วงนี้หมดแล้ว โค่วหลิงซวีก็นำแผ่นหยกแผ่นสุดท้ายกลับมาวางไว้บนโต๊ะ มองดูลูกชายทั้งสามคนที่ยืนอยู่เบื้องล่าง แล้วเอียงหน้ามองบ่าวชราที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะถามว่า “ผู้เฒ่าถัง ครั้งก่อนเหวินหลานทดสอบได้อันดับหนึ่ง เหมือนเจ้าจะเอ่ยขึ้นว่าลูกน้องคนนั้นของเหวินหลานฝีมือไม่เลวเลย”


“ขอรับ!” ผู้เฒ่าถังตอบพร้อมโค้งกายเล็กน้อย “ชื่อหนิวโหย่วเต๋อ”


“ข้าให้เจ้าบอกเจ้าสามแล้ว เจ้าได้บอกหรือเปล่า?” อ๋องสวรรค์โค่วเอียงกายถาม


“บอกคุณชายสามแล้วขอรับ ผู้ที่เกี่ยวข้องก็เรียกมาให้คุณชายสามถามแล้วเช่นกัน” ผู้เฒ่าถังตอบ


อ๋องสวรรค์โค่วที่นั่งพิงเก้าเงยหน้ามองเพดาน แล้วถามเสียงเรียบว่า “ลูกสาม คนที่ผู้เฒ่าถังแนะนำให้เหวินหลาน เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”


โค่วเหมี่ยนกุมหมัดตอบทันทีว่า “เป็นคนมีฝีมือที่ควรค่าแก่การฝึกเลี้ยง”


อ๋องสวรรค์โค่วขานรับ แล้วเอียงหน้ามองมา “เหมือนเขาจะยังอยู่ที่ดาวเทียนหยวนไม่ได้ติดตามเหวินหลานไปด้วยใช่มั้ย? ข้าได้ยินว่าช่วงนี้เขาก่อเรื่องที่ดาวเทียนหยวนนิดหน่อย ค้นและยึดของที่ร้านค้าตระกูลเราไปหมดแล้ว มีเรื่องแบบนี้จริงมั้ย?”


โค่วเจิงลูกชายคนโตกุมหมัดตอบแทนทันที “ท่านพ่อ! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าสาม ตอนแรกเจ้าสามมาขอให้ข้าช่วยเหวินหลานดึงตัวลูกน้องคนนั้นมา ข้ายังออกหน้าไปคุยกับคนของตระกูลอิ๋งเอง แต่ตระกูลอิ๋งไม่ยอมปล่อยตัวมา ต้องการจะยัดคนมารับตำแหน่งหัวหน้าภาคที่ฝ่ายเราให้ได้ เป็นการเสนอราคาที่สูงเกินไป ข้าจึงปฏิเสธไปแล้ว”


อ๋องสวรรค์โค่วเหล่ตามองลูกชายคนโต มือข้างหนึ่งวางพาดบนเก้าอี้ นิ้วทั้งห้าเคาะตรงที่วางแขนเบาๆ ถามว่า  “ร้านค้าของพวกเราโดนเจ้าเด็กนั่นตรวจค้นและยึดของไปแล้ว เจ้าเตรียมจะใช้วิธีการไหนนำของกลับมา?”


โค่วเจิงตอบว่า “ลูกชายถ่ายทอดคำสั่งไปแล้ว ถ้าทางนั้นยินดีเป็นฝ่ายนำของมาคืนให้พวกเราเอง พวกเราก็จะเอา แต่ถ้าไม่ยอมคืน เช่นนั้นก็ปล่อยไป ก็แค่ได้รับความเสียหายแต่พูดไม่ออกเท่านั้นเอง ในเวลานี้มีเรื่องน้อยดีกว่ามีเรื่องเยอะ เสียเปรียบนิดหน่อยอาจไม่ใช่เรื่องแย่ขอรับ”


“อื้ม!” อ๋องสวรรค์โค่วมองลูกชายคนโตด้วยแววตาชื่นชมพลางพยักหน้าเบาๆ เหมือนจะค่อนข้างพอใจกับวิธีการจัดการปัญหาของโค่วเจิง ถามอีกว่า  “ผู้บัญชาการใหญ่คนหนึ่งที่ไร้อำนาจอิทธิพลไร้คนหนุนหลัง สามารถกดดันจนตระกูลโค่วเสียเปรียบแต่พูดไม่ออก สามารถกดดันจนผู้มีอำนาจทั้งตำหนักสวรรค์ไม่กล้าพูดอะไร สามารถกดดันจนไม่มีใครกล้าทำอะไรเขา เอาตำแหน่งหัวหน้าภาคไปแลกกับคนแบบนี้ ในเจ้ารู้สึกว่าอีกฝ่ายเสนอราคาสูงเกินไป เช่นนั้นเจ้าคิดว่าต้องแลกกับตำแหน่งไหนถึงจะเหมาะสม?”


โค่วเจิงยิ้มเจื่อน “ตอนนี้ลูกชายมานึกเสียดายทีหลังแล้ว พอมาดูตอนนี้แล้ว พบว่าหนิวโหย่วเต๋อนั่นเหมาะสมกับราคานี้จริงๆ เพียงแต่เรื่องบางอย่างไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ ราคาเป็นอย่างไรกันแน่ก็ตัดสินใจ ถึงอย่างไรวรยุทธ์ก็เห็นๆ กันอยู่”


อ๋องสวรรค์โค่วใช้สองมือยันที่วางแขนแล้วยืนขึ้น แล้วกล่าวอย่างทอดถอนใจ “น่าเสียดายแล้ว!”


โค่วเจิงกุมหมัดกล่าวว่า “เดี๋ยวข้าจะไปเจรจากับตระกูลอิ๋งอีกที”


อ๋องสวรรค์โค่วโบกมือ “ช่างเถอะ! ตอนนี้ต่อให้เจ้าตอบตกลงเอาตำแหน่งหัวหน้าภาคไปแลก แต่ตระกูลอิ๋งก็ไม่ตอบตกลงอยู่ดี ถ้าไปหาอีกฝ่ายอีกครั้ง ราคาก็จะพุ่งสูงขึ้นแล้วจริงๆ ไม่จำเป็นต้องถ่อไปสร้างความอับอายให้ตัวเอง ให้ทางเหวินหลานรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมค่อยดูอีกทีว่าจะสามารถดึงตัวมาได้หรือไม่” เขาส่ายหน้า แล้วเอามือไขว้หลังนำผู้เฒ่าถังออกจากหอสามรากฐานไป


เมื่อได้ฟังบทสนทนานี้ โค่วฉินกับโค่วเหมี่ยนก็มองหน้ากันเลิกลั่ก แค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวจะมีราคาเท่าตำแหน่งหัวหน้าภาคหนึ่งตำแหน่ง? ถ้าสูงขึ้นกว่าหัวหน้าภาคอีกก้าวก็เป็นเทพเซียนระดับท่านโหวแล้ว


โค่วฉินยังดีหน่อย แต่โค่วเหมี่ยนนึกเสียใจทีหลังแทบแย่ ลูกชายตัวเองมีแรงช่วยเหลือมหาศาลขนาดนั้น ไม่น่าเชื่อว่าตนจะทำให้พลาดไป ถ้ารู้แต่แรกคงจะเชื่อลูกชายแล้วยืนหยัดสักหน่อย พอมาดูตอนนี้แล้ว สงสัยลูกชายจะตามีแววกว่าตน…


ท้องทุ่งนาผืนไร่ ชาวนากำลังทำนา ย่อมไม่มีอะไรให้อัศจรรย์ใจอยู่แล้ว แต่น่าแปลกที่ไร่นาเขียวชอุ่มผืนใหญ่ขนาดนี้ ผู้ที่ทำนากลับเป็นสตรีกลุ่มหนึ่ง ทั้งยังเป็นกลุ่มสตรีที่งดงามปานเทพธิดาอีกด้วย


ยอดหญิงงามปานเทพธิดาเป็นร้อยๆ คน ผิวเนื้อละเอียดอ่อน ถอดชุดที่หรูหราออก กำลังสวมชุดที่ทำจากผ้าทอหยาบๆ พับแขนเสื้อขึ้นมา กำลังทำนาด้วยท่าทางชำนาญอยู่ในนาข้าวที่มีทางตัดสลับไปมา


ภาพเหตุการณ์แบบนี้ เมื่อทอดสายตามองไป ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์พบเห็นได้ยาก


ในทุ่งนาก็ไม่ใช่ผู้หญิงเสียทั้งหมด มีผู้ชายด้วยหนึ่งคน มีเพียงผู้ชายที่สวมชุดสีเขียวคราม รูปร่างสูงใหญ่ มือยาวเท้ายาว เกล้าผมที่มีเส้นผมสีขาวแซมอย่างง่ายๆ ไว้เครายาวสามช่อ คิ้วเข้มตาโต แววตาล้ำลึก ตรงหว่างคิ้วมีลายเมฆอัสนีบาตสีเขียวคราม ในมือกลับถือจอบขุดดินอย่างชำนาญ ถ้าไม่ใช่เพราะมีสง่าราศีที่กลบปิดได้ยาก ไม่ว่าใครก็คงเข้าใจผิดว่าเป็นชาวนาธรรมดา


เงาคนสองคนเหาะลงมาจากฟ้า แวบมาเหยียบลงใต้ร่มไม้ผืนหนึ่งที่อยู่ระหว่างทุ่งนา หนึ่งในนั้นใบหน้าผมอเล็กและขาวหมดจด ที่บ่าคลุมผ้าสีดำ บนศีรษะสวมหมวกสูงสีดำ สีหน้าเย็นเยียบ ไม่ใช่ใครที่ไหน ทูตขวาตรวจการของตำหนักสวรรค์เกาก้วน


ส่วนอีกคนที่มาด้วยก็คือท่านโหวเทียนหยวน


ทั้งสองยืนเคียงบ่ากันอยู่อย่างนั้น มองดูผู้ชายที่กำลังทำนาอยู่ในทุ่งนา


หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วคราม ชายชุดเขียวครามที่ขุดดินเสร็จก็แบกจอบเดินขึ้นไปบนคันนา แล้วเดินมายังป่าไม้ที่อยู่ทางฝั่งนี้ ผู้หญิงในนาผืนติดกันคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงผ้าดิบเหมือนหญิงสาวชาวบ้านเงยหน้ามองมาแวบหนึ่ง แล้ววางงานที่อยู่ในมือทันทีเช่นกัน นางถือตะกร้าใบหนึ่งพลางเร่งฝีเท้าเดินตามไป


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)