องครักษ์เสื้อแพร 1076-1078
ตอนที่ 1076 แต่ละคนล้วนมีอุบาย
Ink Stone_Fantasy
ทัพใหญ่โจรวัวโค่วอยู่เกาหลี แต่สำหรับราษฎรเสิ่นหยางไม่มีอันใดน่าร้อนใจ ราวกับไม่เกี่ยวอันใดกับพวกเขา สำหรับคนรับใช้ในจวนผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วกลับเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง
หลังราชสำนักมีราชโองการมา คนมามอบของขวัญถึงหน้าประตูยิ่งมาก ของขวัญราคาสูงก็มอบให้นายท่าน ตนเองก็ได้ผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกหรือ
คนรับใช้ดีอกดีใจยินดีปรีดา สวีกว่างกั๋วเองก็หน้าบาน แต่ไม่รู้เหตุใด ส่งคนของผู้บัญชาการเหลียวหนานซุนโส่วเหลียนกลับไปแล้ว สวีกว่างกั๋วเหมือนว่าเจอเรื่องใดที่ทำให้คิดไม่เข้าใจ อยู่ๆ ก็เคร่งเครียดขึ้นมา ถึงกับสั่งว่าไม่รับแขก ทุกอย่างรอคำสั่งเขา
“ท่านไฉ ท่านรู้สึกว่าอำนาจวาสนาข้าล้วนมาจากผู้ใด?”
ในห้องหนังสือ สวีกว่างกั๋วเอ่ยถามที่ปรึกษาตนเอง ท่านไฉได้ยินถามขึ้นก็งงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบว่า
“นายท่าน อำนาจวาสนาท่านแน่นอนมาจากฝ่าบาท”
สวีกว่างกั๋วหัวเราะเฝื่อนส่ายหน้ากล่าวว่า
“ท่านก็กล่าวเกินไปสักหน่อย อำนาจวาสนาล้วนฝ่าบาทพระราชทาน พูดตามที่ทุกคนเข้าใจกันดีกว่า”
“นายท่านรู้แล้วยังถาม อำนาจวาสนานายท่านแน่นอนเป็นเพราะเหลียวกั๋วกง”
ที่ปรึกษาเป็นดังสหาย แน่นอนวาจาย่อมตามสบายอยู่บ้าง ที่ที่ปรึกษาว่ามาไยสวีกว่างกั๋วจะไม่รู้ เขาถามเช่นนี้มิน่าที่ปรึกษาจึงเล่นฝีปาก สวีกว่างกั๋วพยักหน้า กล่าวว่า
“เป็นใต้เท้ากั๋วกงจริงๆ! กั๋วกงท่านเป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ข้าก็ได้เป็นผู้ว่า กั๋วกงเป็นท่านโหว ข้าก็ได้เป็นที่ปรึกษาการเมืองฝ่ายซ้าย กั๋วกงเป็นกั๋วกง ข้าก็ได้เป็นผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิง คิดถึงรองเจ้ากรมหลี่ว์ที่เมืองหลวงก็คงเช่นนี้เหมือนกัน!”
อยู่ๆ เปลี่ยนประเด็นไปกล่าวถึงหลี่ว์วั่นไฉ ที่ปรึกษาท่านนี้เป็นคนที่หลี่ว์วั่นไฉแนะนำมาให้ วาจาเมื่อครู่เหล่านี้ทำให้ที่ปรึกษาเริ่มงง ไม่รู้เจตนาของสวีกว่างกั๋ว รับมือต้องระมัดระวังให้มากอีกหลายส่วน แต่ทว่าตอนนี้อยู่ในพื้นที่ตน วาจาเหล่านี้ก็ใช่ว่าไม่ควรกล่าว
“นายท่านกล่าวได้ถูกต้อง ไม่เพียงนายท่านกับใต้เท้าหลี่ว์ ขุนนางบุ๋นบู๊ใต้หล้าหล้ากับเส้นทางการค้าทั้งหมดล้วนมีคนไม่น้อยได้อำนาจวาสนาก็เพราะกั๋วกง กั๋วกงเลื่อนขึ้น ทุกคนก็ได้เลื่อนตาม”
ฟังที่ปรึกษาตอบตามที่คาดไว้ สวีกว่างกั๋วกลับเงียบลง เงียบไปครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหลียวกั๋วกงตอนนี้ตั้งมั่นที่เมืองซงเจียง อำนาจวาสนามั่นคงไม่สั่นคลอน เช่นนั้นเราทุกคนใช่ว่าจะ…สนามแห่งผลประโยชน์นี้ต้องแล่นเรือทวนนี้ ไม่เช่นนี้ก็จะถอยหลัง”
พูดถึงตรงนี้ ที่ปรึกษาไฉก็นิ่งอึ้งไป สมองไวพอ แน่นอนเข้าใจสวีกว่างกั๋วต้องการกล่าวอันใด รู้ที่สวีกว่างกั๋วว่ามานั้นล้วนเป็นจริง
ยังไม่ทันให้ที่ปรึกษาตอบ สวีกว่างกั๋วก็เปลี่ยนบทสนทนากล่าวว่า
“นำกำลังไปเกาหลี เป็นเรื่องสงครามต่างแผ่นดิน ทุกอย่างล้วนต้องระมัดระวังรอบคอบ ไม่อาจมีความผิดพลาดแม้แต่น้อย ท่านไฉ ท่านร่างหนังสือฉบับหนึ่ง ให้ผู้บัญชาการหลี่หรูป๋อทำการให้รอบคอบไว้ก่อน อย่าได้เสี่ยงภัยเด็ดขาด จะต้องใช้กำลังทหารน้อยที่สุดลองทดสอบกำลังศัตรูที่แท้จริงก่อน”
ที่ปรึกษาลุกขึ้นยืนรับคำ สวีกว่างกั๋วยังกล่าวว่า
“เรื่องการทหารเป็นเรื่องใหญ่ ร่างหนังสือนี้แล้ว ก็ร่างฎีกาอีกฉบับ ส่งไปเมืองหลวงแจ้งไว้ก่อน ข้ามีจดหมายถึงรองเจ้ากรมหลี่ว์ นำไปส่งพร้อมกัน”
****************
เรือพังยังพอแล่นได้ เปรียบดังตระกูลหลี่เมืองเหลียวโจวแม้ว่าล่มลงแล้ว แต่ที่เมืองหลวงยังคงมีสายสัมพันธ์ ขอเพียงยอมทุ่มเงินลงไป ยังพอสั่งการเคลื่อนไหวได้
จะว่าไปแล้ว การขอออกทัพเองเช่นนี้แต่ไรมาล้วนเป็นเรื่องได้รับการยกย่อง ตระกูลหลี่ครั้งนี้ก็นับว่าทำได้ตามแบบแผน ฎีกาผู้ว่าการมณฑลเหลียวหนิงสวีกว่างกั๋วถึงเมืองหลวงก็ได้รับอนุมัติทันที
เช่นกัน หนังสือที่สวีกว่างกั๋วกำชับให้นำทัพรอบคอบไว้ก่อน ไม่เพียงกรมทหารเมืองหลวง แม้ตระกูลหลี่เอง ก็ยังคงคิดว่าไม่ได้มีอันใดผิดปกติ ทุกอย่างเป็นที่รับรู้ทั่วกัน
ตามที่หลี่หรูป๋อว่า ‘โจรวัวโค่วแม้เป็นแค่นกกา แต่ก็ยากเคี้ยว พวกเราไม่จำเป็นต้องไปรบพุ่งเอาโดยตรงอย่างไร้สมอง หากทำให้ทหารตระกูลหลี่เสียหายมากไป ก็ไม่อาจทนรับได้’
ฎีกาขอออกศึก กล่าววาจาคุณธรรมยิ่งใหญ่มากมายส่งไปเมืองหลวงขอออกศึก ได้รับคำสรรเสริญมากมาย ต้นเดือนเจ็ดทหารตระกูลหลี่ไปถึงชายแดนแผ่นดินหมิง ขุนนางบุ๋นท้องที่กลับพบว่าถึงกับไม่มีการมาถึงของลูกหลานตระกูลหลี่
ตระกูลหลี่มีแม่ทัพขุนพลอยู่มาก แค่หลี่หรูป๋อ หลี่หรูเหมยก็มีลูกหลานสิบกว่าคนแล้ว บุตรบุญธรรมอีกหลายสิบคน ตระกูลหลี่ขุนพลทหารหลายร้อยคนได้ ขุนพลแซ่หลี่เหล่านี้จึงจะเป็นแกนสำคัญหลักของขุนพลทหารตระกูลหลี่ หากการต่อสู้ครั้งนี้ถึงกับไม่มีคนตระกูลหลี่มา นี่เป็นท่าทีอะไรกันนี่ ทำให้หลายคนอยากยิ้มก็ไม่ออก อยากร้องไห้ก็ไม่ได้ แค่คิดก็รู้แล้วถึงการให้ความสำคัญกับการต่อสู้ครั้งนี้
วันที่ 3 เดือนเจ็ด กองกำลังทัพหมิงเริ่มนำกำลังข้ามแม่น้ำยาลู ทั้งหมดพันสองร้อยนาย แถบอี้โจวล้วนเป็นที่มั่นการทหารของผู้บัญชาการซุนโส่วเหลียนแห่งเหลียวหนาน การขนเสบียงกองหลังก็เป็นกองกำลังซุนโส่วเหลียนรับหน้าที่
เห็นๆ ว่าจะได้สร้างความชอบใหญ่ แต่ตระกูลหลี่เหลียวซีกลับแย่งไปก่อน ทุกคนล้วนไม่พอใจ รวมทั้งสายซุนโส่วเหลียนที่เป็นสายตระกูลหลี่ แต่ตอนนี้สายสัมพันธ์ไม่อาจเรียกว่าดี
เห็นตระกูลหลี่ส่งทหารม้ามาแค่พันสอง ทุกคนก็พากันหัวเราะเยาะ แม้แต่เจ้ากรมทหารของพระราชาเกาหลีที่อี้โจวเองก็ทนดูไม่ได้ถึงกับกล่าวว่า
“หากมีทหารแค่นี้ล่ะก็ ไม่สู้รวบรวมทหารแค่เหลียวหนานใกล้ๆ ก็พอ ไยต้องเสียเวลาดำเนินการไปมากมาย!”
วาจาเหล่านี้กล่าวได้ไม่เกรงใจ ขุนพลที่ข้ามแดนไปสอบข่าวศัตรูไม่กล้ารอช้า รีบส่งม้าเร็วไปรายงานสถานการณ์ตอนนี้
ในเมื่อส่งทหารมาเช่นนี้ ก็ย่อมควรส่งทหารตามมาเพิ่ม ตระกูลหลี่รีบส่งกำลังตามมา รองแม่ทัพจู่เฉิงซวิ่นนำทหารม้า 3,700 ตามมา ข้ามแม่น้ำยาลูเข้าสู่เขตแดนเกาหลี
หนึ่งรองแม่ทัพ สามขุนพลทหาร สองทหารจู่โจม ห้าพันทหารม้า กองกำลังแผ่นดินหมิงเช่นนี้เรียกว่าทัพใหญ่แล้ว ผู้ใดก็ไม่อาจกล่าวเอาผิดใดกับตระกูลหลี่ได้
แต่ทว่าคนที่คุ้นเคยกับเมืองเหลียวโจวรู้ว่าไม่ถูกต้องนัก อันดับแรก ขุนพลตระกูลหลี่แห่งเหลียวซีไม่เหมือนที่อื่น ที่อื่นเป็นหนึ่งผู้บัญชาการ หนึ่งรองแม่ทัพ แต่พื้นที่นั้นมักมีขุนพลหลายคนสะสมความชอบได้ตำแหน่งกันมาก รองแม่ทัพก็มีสิบกว่าคนแล้ว อีกเรื่องก็คือเหลียวหนิงแต่ไรไม่ขาดม้า ทหารตระกูลหลี่ยังเป็นทหารเก่าสังกัดตระกูลหลี่เดิม หลายคนเป็นคนจากกองกำลังอื่นหรือพวกมองโกลสวามิภักดิ์ พวกเขาเองมีม้า นำม้ากันมาเอง ทหารม้าที่อื่นใช่ว่าเป็นเช่นนี้
แน่นอน ทหารม้าที่อื่นไม่อาจเทียบทหารม้าเช่นนี้ได้ เทียบกับทหารราบแล้วก็ยังแข็งแกร่งกว่าไม่น้อย มีความกล้าหาญอยู่หลายส่วน
จู่เฉิงซวิ่นได้รับความไว้วางใจจากทหารตระกูลหลี่มากกว่าสายเครือญาติไกลสายอื่นในตระกูลหลี่ นับว่าเป็นแซ่คนนอกที่เป็นอันดับหนึ่ง ว่ากันว่าตอนนั้นปฏิบัติงานข้างกายหลี่หรูซง นับเป็นคนของตระกูลหลี่ ต่อมาความดีความชอบไม่น้อย จึงได้รับเมตตาจากนายให้กลับไปใช้แซ่เดิมตนเองได้
เห็นจู่เฉิงซวิ่นนำทัพทหารม้าเกือบห้าพันข้ามแม่น้ำมา ขุนนางเกาหลีก็ลอบโล่งอก เกาหลีกับเหลียวหนิงติดกัน คนเกาหลีค่อนข้างเข้าใจเมืองเหลียวโจวตระกูลหลี่อยู่มาก ตามความคิดพวกเขา มีกองกำลังหนึ่งเช่นนี้เข้าเกาหลี ย่อมสามารถมีชัยได้ วันเวลาฟื้นคืนของเกาหลีใกล้เข้ามาแล้ว
พระราชาซอนโจแห่งเกาหลีรรีบส่งคนนำเงินทองมามอบให้ และยังส่งทหารเกาหลีมานำทาง ขอให้จู่เฉิงซวิ่นนำทัพม้าเหลียวซีรีบเข้าปะทะศึกเกาหลีให้เร็วที่สุด
ตอนนี้เมืองพยองอันมีเพียงสองอำเภอบริเวณแม่น้ำยาลูที่ยังคงรักษาไว้ได้ เช่นนี้ยังพบว่ารอบนอกมีร่องรอยของทหารประเทศวัว ทำให้คนเกาหลีพากันสิ้นหวังอย่างที่สุด รู้สึกว่าหากยังไม่สู้อีก วันแห่งความสิ้นชาติก็คงใกล้เข้ามาแล้ว
กองกำลังหมิงอื่นรอบบริเวณแม่น้ำยาลูกลับไม่ได้รับการยอมรับจากบรรดาคนเกาหลี เช่นซุนโส่วเหลียนที่อี้โจวมีกำลังทหารจำนวนมากตั้งมั่น และยังมีคนจากร้านค้าที่ถูกจ้างมาอีกมาก ที่นี่แน่นอนย่อมมีคนจากร้านสามธารา คนเหล่านี้ก็เหมือนจะรู้เรื่องม้ามาก พอไปตรวจสอบม้าของทหารม้าตระกูลหลี่ ก็รีบไปขอพบซุนโส่วเหลียน
คนสถานะเช่นนี้ ซุนโส่วเหลียนย่อมให้เกียรติหลายส่วน หลังให้เข้าพบ คนที่มาขอพบก็พูดอย่างผู้รู้ว่า
“…ไม่รู้เหลียวซีนำทหารมาอย่างไร ม้าต้องดูแลให้ดี กลางคืนต้องป้อนอาหารอย่างดีจึงใช้งานได้ดี แต่รองแม่ทัพจู่นำม้ามานั้นล้วนมีแต่ม้ากีบเท้าเริ่มเน่า เห็นชัดว่าตลอดทางไม่ได้รับการดูแลอย่างดี ยิ่งเหลวไหลก็คือ ถึงกับมีม้าไม่มีเกือกม้า นี่ไม่ใช่ว่าเป็นการทำลายม้าหรือ?”
อย่างไรก็ตอนนี้ก็เป็นหน้าร้อน เหลียวหนิงกับเกาหลีฝนก็ตกชุก กีบเท้าม้าทกวันย่ำโคลน หากไม่ดูแลให้ดีอยู่เสมอก็ย่อมเป็นโรคง่าย
ได้ยินข่าวนี้ ผู้บัญชาการซุนโส่วเหลียนเหลียวหนานก็ลำบากใจ อดไม่ได้ยิ้มเฝื่อน กล่าวว่า
“หากเป็นคนอื่นข้าอาจไปเตือนได้ได้ แต่ตอนนี้หากข้าไป เกรงว่าจู่เฉิงซวิ่นจะไม่พอใจมาก!”
อันนี้ก็เป็นความจริง ขุนพลตระกูลหลี่ไม่มีความรู้สึกดีอันใดกับซุนโส่วเหลียน ถึงกับคิดว่าตระกูลหลี่จากคุมพื้นที่ทั้งหมดต้องมาอัดกันในเหลียวซี ก็ล้วนเป็นเพราะซุนโส่วเหลียนทำร้าย จะไปคุยกันได้อย่างไร
“ใต้เท้า นี่เป็นเรื่องแผ่นดิน ไม่อาจละเลยได้!”
คนที่มาเตือนยังคงยืนยัน ซุนโส่วเหลียนมองแล้วก็เงียบไป ส่ายหน้ายิ้ม กล่าวว่า
“ไม่รู้ใต้เท้ากั๋วกงสอนสั่งพวกเจ้ามาอย่างไร ข้าไม่เข้าใจจริงๆ เอาเถอะ ข้าจะเสี่ยงภัยไปดูสักครา ไปบอกสักหน่อย ฟังหรือไม่ ก็ไม่อาจรับประกันได้”
แต่ก็แสนบังเอิญ ซุนโส่วเหลียนจัดการการงานเสร็จ ก็มีคนจากเสิ่นหยางนำจดหมายมาให้ซุนโส่วเหลียนฉบับหนึ่ง อ่านแล้ว ซุนโส่วเหลียนก็รีบไปยังเขาฉางไป๋ซานทันที ว่ากันว่าทางนั้นมีร่องรอยชาวประเทศวัว งานทหารสำคัญ ในเมื่อยุ่งมากเช่นนี้ ก็ไม่มีเวลาใดไปพบกับจู่เฉิงซวิ่น
***************
“ท่านแม่ทัพ ทัพใหญ่ไม่คุ้นกับพื้นที่เกาหลี ฟังไม่เข้าใจภาษา โปรดมอบให้เราบัญชาการ นำกำลังปะทะโจรวัวโค่ว จากนั้นความดีความชอบล้วนตกเป็นของท่านแม่ทัพ”
“มารดามันสิ เจ้ามีคุณสมบัติใดสั่งการ พูดมั่วซั่วอีก ข้าขอกลับแผ่นดินหมิงตอนนี้เลย!”
จู่เฉิงซวิ่นในค่ายทหารริมแม่น้ำยาลู เกาหลี ตะโกนด่าขุนนางเกาหลีที่มารอรับ
ตอนที่ 1077 วีรุบุรุษบุกตะลุย
Ink Stone_Fantasy
จู่เฉิงซวิ่นคิดไม่ถึง เดิมคิดว่ามาถึงเกาหลี อีกฝ่ายจะนอบน้อมเชื่อฟัง คิดไม่ถึงเกาหลีถึงกับจะมาขอรับอำนาจบัญชาการต่อจากเขา แม้เงินทองให้มาไม่น้อย แต่จู่เฉิงซวิ่นไม่โง่ มอบทหารให้เกาหลีบัญชาการ เกรงว่าไม่ต้องคนเหลียวซีมาจัดการ ก็คงมีคนตัดหัวเขาไปก่อนแล้ว จึงได้ด่าทอออกไปทันที
ทหารเหลียวซีเป็นทหารสังกัดนาย เห็นนายโมโหหนัก ทุกคนก็พากันชักดาบออกมา ทำเอาขุนนางเกาหลีหวาดกลัวสีหน้าซีดเผือด ทหารเมืองเหลียวโจวระดับไหน พวกเขารู้ดี เห็นอีกฝ่ายไม่ยอมรับข้อเสนอ ก็รีบหยุด ไม่กล้าเข้าไปต่อกรอีก
ทัพใหญ่ประเทศวัวรุกเข้าเกาหลีได้ราวสองสามเดือน พื้นที่เกาหลีทั้งหมดเหลือแค่พื้นที่เล็กๆ ตรงละแวกแม่น้ำยาลูเท่านั้น ทหารเกาหลีทั้งหมดล้วนหนีกันกระจาย ไม่เคยรบชนะแม้สักครั้ง เห็นแผ่นดินตนเป็นเช่นนี้ ก็ย่อมไม่อาจทำใจยอมรับได้
หากไม่อาจได้อำนาจบัญชาการ เช่นนั้นถอยมาขอร้องต่อ เร่งเร้าให้จู่เฉิงซวิ่นนำทหารออกศึก
ในเรื่องเร่งนำทหารออกศึกนี้ จู่เฉิงซวิ่นเริ่มโมโหมากขึ้น รับคำก็ยังไม่อยากรับคำ ข้ามาที่นี่ทำอะไรกัน ยังตัองให้พวกเจ้ามาสั่งหรือ
แต่ทว่าก็แค่สองวัน ขุนนางเกาหลีนำเงินทองมามอบให้ไม่น้อย ยังมอบสตรีที่ว่ากันว่าเป็นชนชั้นพระญาติ ทำให้จู่เฉิงซวิ่นพอใจมาก วาจาก็เริ่มอ่อนลง
ไม่เพียงได้ผลประโยชน์ จู่เฉิงซวิ่นอายุเพิ่งพ้น 30 หมาดๆ ออกรบตั้งแต่ 15 หลายเรื่องก็ไม่ลังเล ทหารห้าพันเดิมทีให้ทหารเกาหลีรับหน้าที่ดูแล ตามความต้องการของกองกำลัง เกาหลีไม่อาจมีเสบียงมากพอสำหรับคนและม้า อย่างมากสุดก็ได้แค่ห้าวัน ตามรายงานคนเกาหลี เปียงยางตอนนี้มีโจรวัวโค่วราวสามพัน ทหารม้าห้าพันต่อสู้กับโจรวัวโค่วสามพัน มองอย่างไรก็ล้วนชัยชนะแน่นอน ยึดครองเมืองใหญ่นี้ได้ ทัพใหญ่ที่ตามมาย่อมมีฐานที่ตั้ง ความชอบตนเองอย่างไรก็ไม่อาจไม่มี
อีกเรื่องก็คือ เกาหลีคุ้นเคยกับแผ่นดินหมิงมาก มีคนไปเคลื่อนไหวเมืองหลวงไม่ว่า ยังมีคนเคลื่อนไหวในเหลียวหยางกับเสิ่นหยาง หากตนเองดึงดันยื้อเวลาออกไปมากไป ยากที่จะทำให้คนอื่นไม่กล่าววาจาให้ร้าย ถึงตอนนั้นคงจบไม่สวยงาม
หลังตัดสินใจแล้ว จู่เฉิงซวิ่นทำทีลำบากใจก่อนจะรับคำออกศึก ขุนนางเกาหลีได้ข่าวนี้แล้วก็ดีใจอย่างมาก ไม่เพียงแต่มอบของขวัญสูงค่า ยังมอบทหารเกาหลีให้อีก 700
พอเห็นสภาพทหารเกาหลี 700 แล้ว จู่เฉิงซวิ่นก็ยิ่งดูแคลนโจรวัวโค่ว นี่มันเล่นอะไรกัน เทียบกับทหารราบทำงานกองบริการในทัพของแผ่นดินหมิงยังอ่อนแอกว่าอีก โจรวัวโค่ว มารบกับพวกนี้ทำได้แค่ตีราวกระบอกไม้ไผ่แตกเองงั้นหรือ หากมาปะทะกับกองกำลังม้าเหล็กเรา เช่นนั้นก็รอความตายหายนะเสียเถอะ!
สวรรค์ก็เป็นใจ เหลียวหนิงเดิมฝนตกไม่หยุด พอเข้าเขตเกาหลีมา ท้องฟ้าก็สดใส แสงอาทิตย์แรงสาดส่องพื้นที่เป็นโคลนแห้งสนิทรวดเร็ว เป็นผลดีต่อการเดินทัพใหญ่
ยังมีอีกข้อดีหนึ่ง ก็คือเส้นทางเปียงยางมาอี้โจว เป็นเส้นทางนำบรรณาการมาส่งของทุกปีที่ต้องผ่าน ดังนั้นในเขตแดนเกาหลีนี้จึงเป็นเส้นทางที่ดีที่สุดเส้นทางหนึ่ง มีคนคอยดูแลรักษา ก็ยังเรียกได้ว่าพื้นเรียบและกว้าง เหมาะแก่การเดินทางของกองทหารม้า
ตามมาตรฐานแผ่นดินหมิง เกาหลีนี่เล็กมากจริง จากที่ตั้งค่ายไปยังเมืองเปียงยาง หากเร่งม้าไปวันเดียวก็ถึงได้ แต่ทว่าจู่เฉิงซวิ่นยังจำคำว่า ‘รอบคอบ’ ได้ จึงตัดสินใจเดินทัพระมัดระวัง อย่างไรก็ควรใช้เวลาสองวันเดินทาง
‘หากยึดเมืองเปียงยางคืนได้ ตนเองหลายปีนี้ก็สะสมเงินทองไม่น้อย ความดีความชอบเป็นฐาน เช่นนี้นำเงินทองที่สะสมครึ่งหนึ่งไปเปิดทางที่กรมทหาร อย่างไรก็คงได้ตำแหน่งผู้บัญชาการไหนสักมณฑลมาได้ หรือไม่ก็ได้ไปเป็นรองแม่ทัพพื้นที่สำคัญสักแห่ง อย่างไรก็ดีกว่ามุดหัวอยู่แต่ในเหลียวซี!’
จู่เฉิงซวิ่นในใจคิดแต่เรื่องเช่นนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งดีใจ
***************
ทหารม้าห้าพันเข้ามาสร้างบารมีข่มได้ไม่น้อย จู่เฉิงซวิ่นเองก็มีประสบการณ์มาก ตลอดทางไม่รอช้า จัดการส่งสายสืบทหารออกไปเรียบร้อย แต่ทว่าตลอดทางเข้ามา ไม่เห็นศัตรูอันใด มีเพียงราษฎรเกาหลีอยู่บ้าง เห็นทหารม้าทัพใหญ่ ไม่ คุกเข่าโขกศีรษะก็รีบวิ่งหนี
วันแรกผ่านไปอย่างเรียบร้อยดี ตกค่ำตั้งค่ายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง จึงได้เข้ากวาดเก็บเสบียงหมู่บ้านรอบๆ มา รวมกำลังชาวบ้านมาเพิ่ม ยังได้สอบถามสถานการณ์ตอนนี้
เหตุที่ยังมีหมู่บ้านนี้อยู่ เพราะโจรวัวโค่วหลังยึดเปียงยาง ก็ปฏิบัติการรวดเร็ว มีกลุ่มทหารวัวโค่วมาหมู่บ้านี้ แต่ไม่ได้ทำอะไรก็ถอยกลับไป
ถามว่าเมืองเปียงยางมีโจรวัวโค่วในเมืองเท่าไรล้วนไม่รู้ พวกเขาไม่หนีก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไหนเลยจะยังกล้าเข้าใกล้ไปสืบข่าวโจรวัวโค่วอีก แต่ทว่าล้วนบอกว่าระยะนี้ไม่มีกองกำลังโจรวัวโค่วกองใหญ่เข้าออก
เห็นเมืองเปียงยางมีทหารโจรวัวโค่ว 3,000 เป็นข่าวน่าเชื่อถือได้แล้ว ทำให้จู่เฉิงซวิ่นยิ่งวางใจ ที่สนใจอยู่เพียงสิ่งเดียวก็คือทหารเกาหลี 700 กว่า ตลอดทางมาถึงกับหนีหายไป 200 กว่า ช่างเป็นเศษสวะจริง ขุนพลทหารเกาหลีที่ติดตามมาด้วยยังเอาแต่ประจบว่ากองทัพหมิงตนเกรียงไกร หากให้เกาหลีตนนำทัพ อาจหนีไปมากกว่าครึ่งก็ได้
จู่เฉิงซวิ่นกินดีอยู่ดี นอนหลับมาตลอดคืน อยู่ๆ ก็คิดถึงบทความวิจารณ์ที่เหลียวหยาง วีรบุรุษยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งนำกำลังทหารม้าบุกเข้าไปปราบศัตรูราบคาบ ไม่ทันให้ศัตรูตั้งตัว บุกเข้าเมือง จากนั้นหัวหน้าเผ่ายอมศิโรราบ สร้างความดีความชอบใหญ่ เรื่องเช่นนี้ตอนนั้นพวกคนในตระกูลหลี่ล้วนชอบฟัง ล้วนคิดว่าตนเองก็เป็นเช่นนี้ได้
หนึ่งคืนมาอย่างราบรื่น ตื่นมาก็ทำให้รองแม่ทัพจู่ยิ่งมั่นใจมาก ตนเองนำกำลังมายิ่งใหญ่เพียงนี้ กลางคืนไม่มีการเข้าลอบโจมตีอันใด ย่อมเป็นเพราะศัตรูไม่มีกำลังแท้จริง ไม่กล้าลงมือก่อกวนพลการ หรือว่าศัตรูเองไม่รู้ว่าตนมา หากสามารถคว้าโอกาสนี้บุกเข้าไปได้ คิดถึงเรื่องนี้แล้ว จู่เฉิงซวิ่นเองก็อดไม่ได้ยิ้มกว้างเพ้อขึ้น ทหารในสังกัดก็พากันเยินยอ
ในเมื่อมีโอกาสเช่นนี้ได้ เช่นนั้นก็อย่าได้พลาดโอกาส รีบจัดการให้เรียบร้อยดีกว่า รีบนำทัพออกศึกดีกว่า ดูว่าสามารถตีข้าศึกให้แตกพ่ายได้หรือไม่
เดินทัพมาราวหนึ่งชั่วยามไม่ถึง ก็เห็นเค้าโครงกำแพงเมืองเปียงยางอยู่ไกลๆ จู่เฉิงซวิ่นถ่มน้ำลายอย่างไม่พอใจ เป็นประเทศเล็กจริงๆ พวกเขาบอกว่าเมืองใหญ่หากเป็นเหลียวหนิงก็แค่ระดับอำเภอ เมืองเช่นนี้ช่างไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงจริงๆ
เพราะหลายวันนี้ฝนเอาแต่ตก ดังนั้นทัพใหญ่เดินทัพ ฝุ่นตลบมาก ทำให้จู่เฉิงซวิ่นดีใจมาก อย่างน้อยก็มีความมั่นใจมากขึ้นว่าจะปิดบังไม่ให้ศัตรูพบตนได้
ไม่นาน สายด้านหน้าก็กลับมารายงานว่า ศัตรูนอกเปียงยางมีราวร้อยกว่ากำลังลาดตระเวน มองไม่ออกว่าระวังตัวแต่อย่างใด
เห็นสภาพพื้นที่รอบๆ แล้ว หากค่อยๆ ย่องเข้าไป สภาพพื้นที่สามารถบดบังกองทัพตนไว้ได้ ยังควรเข้าใกล้ให้มากอีกหน่อย ถึงตอนนั้นก็มีโอกาสพอที่จะบุกเข้าไป เข้าสู่ศูนย์กลางเมืองไม่ให้ตั้งตัวได้ทัน ถึงตอนนั้นทหารในเมืองแตกตื่น ย่อมเป็นโอกาสตีพ่าย
***************
หากเป็นซุนโส่วเหลียนนำทหารม้าบุกมา ต้องเร่งด่วนจึงจะใช้เวลาสองวัน หากเร่งด่วนไป ม้าวิ่งมาไกล กำลังม้าเสียไปมาก บนสนามรบย่อมเกิดความยุ่งยากใหญ่ แน่นอนไม่ใช่ความยุ่งยากศัตรู สามวันนับว่าเป็นการกระทำที่เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทหารม้าจู่เฉิงซวิ่นไม่ใช่ว่าทุกคนล้วนเชี่ยวชาญการศึก เดินทัพมาท่ามกลางโคลนดินในวันหน้าฝนที่เหลียวหนิงก็ยุ่งยากมากพอแล้ว ทำเอาม้ากีบเท้าเน่าไปหลายตัว
ตอนนี้เริ่มมีม้าทนไม่ไหวแล้ว ที่มองไม่ออกก็เพราะอย่างไรก็มีเวลาพักผ่อน อาหารม้าเพียงพอ
ทหารม้าจู่เฉิงซวิ่นเข้าใกล้พอควรแล้ว สามารถมองเห็นโจรวัวโค่วร่วมร้อยกว่ากำลังหนีกลับกันอย่างแตกตื่นตกใจ บนกำแพงเมืองมีคนส่งเสียงตะโกนดัง ราวกับว่าให้เพื่อนทหารด้วยกันรีบหนี
“ทุกคน ความดีความชอบอยู่ตรงหน้าแล้ว บุกเข้าไป!!”
ชักดาบยาวออกมากวัดแกว่ง จู่เฉิงซวิ่นคำรามดังก้องฟ้า ทหารถ่ายทอดคำสั่งรีบออกไปถ่ายทอดคำสั่ง ทหารม้าพากันวิ่งทะยานออกไป มองเห็นว่าไม่ไกลนักมีโจรวัวโค่ว ทหารม้าเหลียวซีมั่นใจอย่างมาก โจรวัวโค่วพวกนี้แต่งกายไม่เหมือนกับที่ว่ากันในตำนานเมื่อก่อน ยังมีคนแบกธงไว้บนหลัง แต่ทว่ารูปร่างยังคงเล็กแคระ มองแล้วก็เหมือนหนูตัวเล็กๆ ย่อมไม่อาจทนแรงปะทะได้ ตอนนั้นแต่ละคนล้วนตะโกนดัง เร่งม้าทะยาน
ตอนนี้ทหารม้ามองไปยังเมืองเปียงยางเป็นดังเมืองที่เต็มไปด้วยหัวศัตรูและขุมทรัพย์ บุกเข้าไปได้ ไม่เพียงแต่สังหารสร้างความดีความชอบได้มาก ยังมีสิ่งของที่ได้มาหลังสงคราม ไม่แน่อาจมีสตรีให้เสพสุขอีก ทุกคนไม่รอช้า พากันกรูเข้าไปราวผึ้งแตกรัง
มีคนสังเกตเห็นว่าม้าเหมือนจะไม่ได้ดังใจเท่าไร เมื่อก่อนฟาดแส้ไปทีก็วิ่งทะยาน แต่ม้าตอนนี้ต้องใช้ขอแทง หากทหารทุกคนตอนนี้หน้ามืดตามัวไปหมดแล้ว ไม่อาจปล่อยตนเอรั้งท้าย แต่ละคนเร่งม้าทะยานไปสุดกำลัง
“จัดแถวๆ อย่าได้เบียดกองกำลังเดินทัพ!!”
อาจเป็นเพราะทหารม้าเหลียวน่ากลัว โจรทหารประเทศวัว จึงได้ถอยหนีไป ราวกับตกใจกลัว ประตูเมืองล้วนไม่ได้ปิด ก็รีบหนีกันเร่งรีบ
แต่เมืองเปียงยางก็ไม่ได้ใหญ่ ทหารม้าจู่เฉิงซวิ่นพากันแย่งกันกรูเข้าไป คิดจะเข้าเมืองไปให้เร็วที่สุด ผลปรากฏเกิดการเบียดเสียดกันที่ประตูเมือง ทหารม้าเหลียวซีแต่ไรล้วนใหญ่โต โอกาสคว้าเงินทองเบื้องหน้า ผู้ใดก็ไม่ยอมรั้งท้าย พากันสบถด่าหยาบคายก่อนจะเบียดอัดกันแน่นไม่สนใจผู้ใด ล้วนพากันเร่งม้ากวัดแกว่งดาบทะยานเข้าไป ถึงกับมีคนถูกลากลงจากหลังม้า
จู่เฉิงซวิ่นโมโหหนักมาก ทหารในสังกัดเขาเรียงแถวใช้ไม้พลองเข้าจัดการความวุ่นวาย จึงทำให้สถานการณ์สงบลง เข้าเมืองกันได้
ขุนพลทหารเกาหลีก้มตัวต่ำยิ่งกว่าต่ำ ปากก็เอาแต่สรรเสริญไม่หยุด แต่วาจาภาษาฮั่นไม่ดีพอ ไม่รู้คำศัพท์มาก จึงพากันพ่นภาษาเกาหลีออกมาแทน จู่เฉิงซวิ่นก็ยิ่งภาคภูมิใจ ที่แท้วีรบุรุษก็คือตนเองนี่เอง กลับไปย่อมได้สารสรรเสริญยกย่อง
ด้านนอกเบียดเสียดกัน เข้าเมืองก็ยังเบียดกัน ถนนแคบมาก ม้าห้าตัวเดินพร้อมกันก็เบียดมาก ทหารม้าจู่เฉิงซวิ่นเบียดกันด่าทอกันขรมไปหมด สถานการณ์ตอนนี้ ผู้ใดบุกมาเข้าไปก่อน ผู้นั้นก็ย่อมเก็บเกี่ยวได้มากสุด ผู้ใดก็ไม่ยอมผู้ใด
หากผู้ใดก็ไม่พบว่า เมืองเปียงยางใหญ่เพียงนี้ นอกจากทหารม้าเหลียวส่งเสียงดังแล้ว ก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใดอีก เงียบกริบมาก…
ตอนที่ 1078 เมืองราวไห
Ink Stone_Fantasy
หน้าประตูเหนือเมืองเปียงยางรองแม่ทัพเหลียวซีจู่เฉิงซวิ่นนำทหารม้าผลักกันไปมา ตะโกนด่าแย่งกันเข้าเมือง ทหารในสังกัดจู่เฉิงซวิ่นเข้ามารักษาความสงบเรียบร้อยไว้ได้ ทำให้สถานการณ์บรรเทาลงบ้าง นายกองพันหนึ่งนำทหารม้า 200 เข้าเมือง คนที่เหลือก็รออยู่ด้านนอกจัดทัพเตรียมพร้อม
ขุนพลทหารเกาหลีที่ตามมาไม่กล้ากล่าวอันใดสักคำ รออยู่ข้างๆ อย่างนอบน้อม ไม่นานนัก ก็มีทหารม้าเข้าเมืองมา มาถึงตรงหน้าจู่เฉิงซวิ่น รายงานกล่าวว่า
“ใต้เท้า ในเมืองมีแต่กำลังศัตรูกองเล็กๆ เห็นทัพใหญ่ พากันหนีกระเจิงไปหมด!”
“ทหารสวรรค์แผ่นดินหมิง ทรงคุณธรรมเกรียงไร ประเทศข้าน้อยช่างโชคดีจริง!”
ขุนพลเกาหลีข่างๆ เริ่มเยินยอ จู่เฉิงซวิ่นบนหลังม้าถึงกับได้ใจใหญ่ สีหน้าล้วนมีแต่รอยยิ้มกว้าง โบกมือวางท่า ออกคำสั่งดังว่า
“นำทัพเข้าเมือง ปราบโจรวัวโค่ว ยึดเปียงยางคืน!!”
ทั้งกองทัพเข้าเมือง เช่นนั้นทุกคนก็สามารถได้แย่งสมบัติและเสพสุขสตรีในเมืองได้แล้วสินะ ทหารม้าทุกคนพากันลิงโลดใจ หัวหน้าระดับขุนพลทหารรับคำทันที พากันเข้าเมืองไม่รอช้า
ดีที่เมื่อครู่จัดระเบียบไว้ได้พอแล้ว ครั้งนี้จึงไม่เกิดเหตุวุ่นวาย ยังคงมีระเบียบ คนนับพันเดินหน้าเข้าเมืองมาแล้ว ดีที่รองแม่ทัพจู่ยังจำได้ว่าเป็นเกาหลี เขาให้ทหารเกาหลีนำทหารเกาหลีหลายร้อยนำหน้าเข้าไปพร้อมกัน
“อืม แม้ว่าพื้นที่เล็ก แต่กลางเมืองควรมีหอกลอง เพียงแต่ถนนหนทางแคบไปสักหน่อย…”
“ประเทศเล็กแต่ก็เลียนแบบประเทศท่าน หากประชาเราอ่อนแอ ก็ไม่รู้จะทำเช่นไร!”
เทียบกับจู่เฉิงซวิ่นที่วิจารณ์ไม่เกรงใจแล้ว ขุนพลทหารเกาหลีกลับชื่นชมสรรเสริญมาก ท่าทีเช่นนี้ยิ่งทำให้จู่เฉิงซวิ่นพอใจยิ่งนัก
“จางกั๋วจงเจ้าลูกเต่า ไปตรวจสอบโจรวัวโค่วก่อน อย่าเร่งร้อนเข้าบ้านเรือนราษฎรปล้นชิงสมบัติ!”
จู่เฉิงซวิ่นมองเห็นทหารกำลังวุ่นวายกันใหญ่ อดไม่ได้สบถด่ากลับไป แต่ไกลเพียงนั้น ด้านหน้าไม่ได้ยิน วาจาตะโกนของจู่เฉิงซวิ่นอย่างไรก็แฝงความว่ารอข้าก่อน แต่ไม่มีผู้ใดสนใจ
“ไปในบ้านหาตัวชาวบ้านมาสองสามคน มาสอบถามความก่อน!”
จู่เฉิงซวิ่นออกคำสั่ง ทัพใหญ่เข้าเมือง เส้นทางประตูเมืองไปหอกลองเส้นทางหลักนี้ไม่อาจมีทหารม้าเข้ามาอยู่กันได้มาก ไม่มีที่พอ ด้านหลังล้วนถอยไปยังถนนสายอื่น
แต่มีเรื่องแปลกอันหนึ่ง ก็คือบนถนนไร้ผู้คน ตามข่าวแล้ว โจรวัวโค่วเข้าเปียงยางไม่ได้ล้างเมือง ในเมืองอย่างน้อยก็ต้องมีราษฎรหลายหมื่น เหตุใดพอเข้าเมืองมาจึงเป็นเช่นนี้ คนเดียวก็ไม่มี ล้วนหนีไปไหนกันหมด
ยิ่งทำให้คนรู้สึกกังวลใจก็คือ ทหารเล่า? ทหารศัตรูไปไหนกันหมด ทำไมไม่เห็นร่องรอยใดๆ แม้ว่าแค่ไม่กี่พัน ก็ไม่ควรหายตัวไปรวดเร็วเช่นนี้
“แม่ทัพเกรียงไกร คิดว่าโจรวัวโค่วล้วนเกรงกลัวกองกำลังสวรรค์แผ่นดินหมิง หนีกันไปหมดแล้ว”
ขุนพลทหารเกาหลีรู้จักประจบ ประจบสอพลอไป ก็พาทหารม้าเหลียวซีบุกเข้าบ้านเรือนชาวบ้านไป ทางด้านซ้ายจู่เฉิงซวิ่น สามารถได้ยินเสียงร้องตกใจของชาวบ้าน
พวกจู่เฉิงซวิ่นหยุดม้า รอลากคนหนึ่งมาสอบถามความจริง ไม่นาน หลายคนก็ถูกลากมาตรงหน้า โยนมาตรงหน้าม้า ขุนพลทหารเกาหลีหน้าตาไม่ละอายใจ ทำหน้าบึ้งตึงเข้าไปตะคอกถาม คนเบื้องหน้าหลายคนตอบอย่างหวาดกลัว
ต่อหน้าทหารม้าจู่เฉิงซวิ่น มีคนพอรู้ภาษาเกาหลี แปลให้จู่เฉิงซวิ่นฟังเบาๆ ว่า เช้าวันนี้โจรวัวโค่วออกคำสั่งให้ทุกคนอยู่แต่ในบ้าน หากออกมาเดินข้างนอกจะสังหารทิ้งให้หมด
“ถามซิว่า โจรวัวโค่วมีเท่าไรกันแน่!? ตอนนี้ไปไหนหมด!?”
ทางนั้นสนทนากัน ก็พบว่าโจรวัวโค่วหลายพันหรือมากกว่านั้น สำหรับที่นี่ โจรวัวโค่วตั้งฐานที่มั่นบริเวณรอบหอกลองทัพใหญ่ควรอยู่ที่นี่
แต่ตอนถามนี้ ทหารม้ายังทยอยกรูกันเข้าเมืองมา ทหารสนิทจู่เฉิงซวิ่นหลายคนเริ่มนำทหารเข้าบุกบ้านเรือนชาวบ้าน และบ้านที่ดูเหมือนมีเงินหลายบ้าน เตรียมกวาดเงินทอง ทัพยกมาครั้งนี้เรียกได้ว่ารวดเร็ว ไม่ว่าทัพด้านหน้าทัพด้านหลัง ไม่ว่าระดับใด ล้วนไม่อยากรั้งท้ายเข้าเมือง สมบัติเงินทองจะได้ไม่ถูกคนอื่นแย่งไปหมด ตนเองไม่ได้อันใด
“ถ่ายทอดคำสั่ง ทหารทุกหน่วยรวมตัว กวาดล้างใจกลางเมือง รอบหอกลองอาจมีทัพใหญ่!!”
“ท่านแม่ทัพ เหมือนได้ยินเสียงฝีเท้า หลายคน ด้านหลังบ้านนั่น…”
ทหารติดตามนายหนึ่งอยู่ๆ ก็เตือนขึ้น ข้างๆ มีคนยิ้มเยาะ ตะโกนว่า
“แน่นอนมีเสียงฝีเท้า พี่น้องเรามากเพียงนี้กำลังบุกเข้ามาไงเล่า”
“มารดามันสิ วาจาเหลวไหล บุกเข้าไปๆ สังหารโจรวัวโค่ว ให้พวกเจ้าได้เสพสุข ข้าปล่อยพวกเจ้าสามวัน!”
จู่เฉิงซวิ่นเริ่มร้อนใจ สถานการณ์ราบรื่นเกินไป ทำให้เขารู้สึกไม่ถูกต้องนัก ทหารถ่ายทอดคำสั่งคว้าแส้สะบัดใส่ทหารด้วยกัน ออกไปถ่ายทอดคำสั่ง
ทหารม้าราว 300 ล้อมรอบจู่เฉิงซวิ่น บุกขึ้นหน้าไป เดิมขุนพลทหารเมืองเหลียวโจวล้วนมีทหารติดตามตนเอง นี่เป็นสิ่งที่ทำให้กองกำลังพวกเขาเกรียงไกร ทหารม้า 300 นี้ ร้อยคนวงในสุดสวมเกราะหู่เวย ถืออาวุธโรงช่างสามธารา นี่เป็นชีวิตของจู่เฉิงซวิ่น และยังเป็นเขาเองที่จ่ายเงินก้อนนี้เพื่อทหารติดตามกลุ่มนี้
เริ่มเข้าใกล้หอกลอง ก็เหมือนกับแผ่นดินหมิง รอบๆ หอกลองมักเป็นพื้นที่โล่ง หลายครั้งทำเป็นตลาดนัด ที่นี่ดูออกว่ามีร่องรอยการตั้งทัพ พื้นที่มีรอยด่างๆ
จู่เฉิงซวิ่นตลอดทางมาเริ่มเงียบลง ในใจทุกคนก็ยิ่งเริ่มเตรียมพร้อม นี่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ทำให้คนรู้สึกบอกไม่ถูกว่าเกิดอันใดสักอย่าง
บนหอกลองไม่มีคน หากทหารศัตรูอยู่ในเมือง จากที่สูงเช่นนี้มองออกทั่วเมืองก็ย่อมมองเห็นกองกำลังที่หลบซ่อน จู่เฉิงซวิ่นเองมองไปยังหอไม้ด้านบนอย่างงงๆ
ทันใดนั้นเอง บนหอกลองก็มีคนโผล่หัวขึ้นมา เหมือนว่ามีคนสองคน แต่ละคนในมือมีธงแดง โบกอย่างรวดเร็ว
หลายคนได้สติรั้งบังเหียนม้าไว้มั่น ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น พวกเขาทันใดนั้นก็รู้ทันที ถนนสายนี้เป็นด่านหน้าสุด ห่างจากกองกำลังทหารม้าหมิงหลายสิบก้าว มีทหารโจรวัวโค่วชุดเกราะปรากฏตัวขึ้น แต่ละคนล้วนแบกลังไม้ มือหนึ่งก็ถือปืนใหญ่วัวโค่ว
“โจรวัวโค่ว!! โจรวัวโค่ว!!”
อยู่ๆ ด้านหน้าก็ปรากฏศัตรู ปฏิกิริยาแรกทหารม้าเหลียวซีไม่ใช่บุกสังหาร หากตกใจส่งเสียงตะโกนดัง จากนั้นก็คิดได้ ระยะห่างศัตรูใกล้เพียงนี้ ควรบุกเข้าไป
บนสนามรบ ความละเลยแม้เพียงน้อยก็ล้วนทำให้เกิดความผิดพลาดถึงชีวิตได้ อีกฝ่ายตอนโจรวัวโค่วตะโกนดัง โจรวัวโค่วที่บุกเข้ามาก็เข้ามาตั้งแถวบนถนนอย่างรวดเร็วแล้ว ด้านหน้าคุกเข่าลง ด้านหลังยืน ระดมยิงทันที
ระยะไม่กี่สิบก้าว ปืนไฟในมือโจรวัวโค่วที่ถูกเรียกว่าปืนใหญ่สำแดงอานุภาพเพียงพอ ทหารม้าแถวหน้ายังไม่ได้ตั้งตัว ก็ถูกยิงล้มไปสิบกว่า ทหารม้าด้านหลังยามนี้ส่งเสียงตะโกนดังบุกเข้าไป โจรวัวโค่วก็ยิงปืนระลอกสองออกมา หลายแถวยิงออกมา ทหารม้าเหลียวซีล้มลงไม่หยุด
พริบตา ปืนไฟยิง เสียงร้องโหยหวนดัง เสียงฝีเท้าม้าและเสียงสยถด่าของขุนพลทหารอีกฝ่าย ล้วนดังไปทั่วเมืองเปียงยาง ทั้งเปียงยางราวกับปะทุดังขึ้น
“บุกเข้าไป! บุกเข้าไป!!”
จู่เฉิงซวิ่นคำรามดัง แต่บนถนนกองกำลังเริ่มแตกกระจายไปหมดแล้ว คำสั่งเขาไม่อาจไปถึงทุกคนได้ ตอนนี้เสียงเท้า เขาเองก็ได้ยิน
ไม่เพียงแต่เขาได้ยิน ทหารม้าที่บุกเข้ามาบนท้องถนนเองก็ล้วนได้ยินเสียงฝีเท้า ทุกมุมในถนนสายใหญ่กับบ้านเรือน และทางซอกซอยล้วนมีแต่โจรวัวโค่ว ปืนไฟยิงกระหน่ำ
ทหารม้าเหลียวซีที่คิดแต่ละปล้นชิงเงินทองและหาความสุข ไม่ทันระวังตัว พริบตาก็ถูกยิงกระหน่ำหน้าหงายร่วงจากหลังม้า แต่ทหารม้าเหลียวซีมีคนมากเพียงพอ โจรวัวโค่วยิงปืนไฟไม่ได้มากอันใด ยิงมาระลอกแรก บรรจุกระสุนไม่ง่าย ทหารม้ายังคงมีเวลาตั้งสติ ทุกคนล้วนรู้ ยามนี้บุกเข้าไปสามารถสังหารศัตรูได้ อย่างไรตนก็ขี่ม้า ศัตรูเป็นทหารราบ
ทหารม้าถืออาวุธบุกเข้าไป โจรวัวโค่วแบกปืนใหญ่ตนหลบเข้าซอยทันทีรวดเร็ว ไม่ก็โดดลงจากกำแพงไป มองไม่เห็น
“ตามไปสังหารโจรแม่สุนัขเลี้ยงทิ้งให้หมด!”
ขุนพลทหารหนึ่งสบถด่าทอด้วยความโมโห ทหารม้ารีบตามไป คนแน่นอนไม่อาจเร็วกว่าม้า แต่เมืองเปียงยางถนนแคบ ยังมีตรอกซอยมาก โจรวัวโค่วเห็นชัดว่าได้เปรียบพื้นที่ทหารม้าเหลียวซี วิ่งไปวิ่งมา ยากจะตามทัน
ทางนี้มองเห็นว่าจะไล่ตามทันบนถนนสายยาวสายหนึ่ง ด้านหน้าก็ปรากฏโจรวัวโค่วที่ใกล้ตามทัน กลับได้ยินว่ามีคนตะโกนภาษาประเทศวัว ไม่รู้ว่าอะไร
เสียงตะโกนอยู่ๆ ดังขึ้น จากนั้นสองข้างทางก็มีโจรวัวโค่วถือทวนยาววิ่งออกมา ตั้งแถวรับกลางถนน ถึงกับตั้งแถวทวนยาวแบบรอปะทะ แต่ทว่าแถวแบบนี้มองแล้วไม่มั่นคง ทหารม้าเหลียวซีถึงกับมองเห็นสีหน้าหวาดกลัวของโจรวัวโค่วได้ชัด สถานการณ์นี้พวกเขาคุ้นเคยดี ขอเพียงบุกเข้าไป ไม่แน่ว่าแถวรับศึกอาจแตกกระเจิง
“สังหาร!!”
ทหารม้าด้านหน้าสุดล้วนตะโกนดังบุกเข้าไป แต่ในตอนนั้นเอง สองข้างถนนก็มีเสียงปืนไฟดัง มีคนส่งเสียงร้องโหยหวนร่วงจากหลังม้า
แต่ระยะห่างเท่านี้ ได้แต่บุกเข้าไปแล้ว แต่ทว่ากีบเท้าม้าเกิดปัญหาขึ้นแล้ว วิ่งไม่หยุดเช่นนี้ไม่ได้พักผ่อนพอ อยู่ๆ รอบด้านที่เงียบก็เริ่มเอะอะวุ่นวาย ม้าส่งเสียงร้องหวาดกลัวอย่างมาก เห็นทวนยาวอีกฝ่าย ม้าของทหารม้าเหลียวซีล้วนไม่ยอมบุกเข้าไป
ม้าบางตัวยกตัวทะยานขึ้น สะบัดทหารด้านหลังร่วงลงมา มีม้าบางตัวล้มลงกับพื้นทันที ทำเอาทหารม้าบนหลังร่วงลงไปถูกทับตาย ถนนไม่กว้างนัก ด้านหน้าอุดกันแน่น ด้านหลังก็เข้าไปไม่ได้ พลปืนไฟโจรวัวโค่วบรรจุกระสุนเสร็จแล้วเริ่มยิงอีกระลอก…
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น