ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 1075-1083

บทที่ 1075 มีอุดมการณ์อะไร

 

ไม่เหมือนกับรูปร่างของมิเชล กอร์ดอนที่สูงหนึ่งเมตรเจ็ดเซนติเมตรแล้วกลับตัวกำยำไม่ต่างจากหมี


เขากำลังวิ่งอย่างลิงโลด โดยร่างกายท่อนบนชื้นเหงื่อ จนเขาต้องถอดเสื้อนอกออกพร้อมดึงคอเสื้อยืดเพื่อระบายความร้อน เผยให้เห็นขนจางๆ ที่เริ่มขึ้นบนหน้าอกหนา


เมื่อเห็นดังนั้นฮิวจ์คนน้องก็แทบจะร้องไห้ พระเจ้า เจ้าเด็กนี่ยังแค่ชั้นประถมปีห้าเองนะ ทำไมถึงมีขนขึ้นแล้วล่ะ?


กอร์ดอนยืนอย่างไม่ยี่หระตรงหน้าฮิวจ์ มองอีกฝ่ายที่เปลี่ยนสีหน้าไปมาไม่หยุด เขาถามด้วยความระแวง “เฮ้ มีธุระอะไรกับผมเนี่ย? เห็นท่าทางดูโรคจิตของคุณแล้ว คงไม่ใช่ว่าสนใจหนุ่มละอ่อนแบบผมหรอกนะ?”


ฮิวจ์สำลักกับประโยคดังกล่าว แล้วมองค้อนอย่างทนไม่ไหว “พูดบ้าอะไรน่ะ อย่างลุงฮิวจ์จะเป็นคนแบบนั้นหรือไง?”


กอร์ดอนพยักหน้าจริงจัง ตอบว่า “คนในเมืองก็พูดเหมือนกันหมดว่าคุณชอบผู้ชาย ไม่งั้นทำไมคุณอายุปูนนี้แล้วถึงยังไม่แต่งงานล่ะ? เนี่ย ขนาดฉินยังมีลูกแล้วเลย”


ฮิวจ์กำหมัดแน่น เอ่ยเสียงเหี้ยมเกรียม “ไอ้คนในเมืองที่พูดนี่มันใครกัน? ฉันจะไปอัดมัน!”


“อีวิลสันเป็นคนพูด” กอร์ดอนบอกชื่อ


ฮิวจ์คอตกเงียบๆ เขารู้ตัวว่าตัวเองโดนกอร์ดอนปั่นหัวเข้าแล้ว เหนือฟ้ายังมีฟ้า คนรุ่นหนึ่งย่อมวุ่นวายกว่าคนอีกรุ่น


เขาถอนหายใจด้วยความจนใจ “ปีนั้นที่พี่กับฉันได้หลงผิดไปในเส้นทางที่ไม่ควร และโดนด่าว่าเป็นอันธพาลมาตลอด แต่พอเทียบกับนายแล้ว ฉันถึงรู้ว่าตัวฉันในตอนนั้นยังดูใสซื่อเกินไปด้วยซ้ำ นายมันเด็กเหลือขอหน้าไม่อายชัดๆ!”


กอร์ดอนโมโหกับคำนั้น ถลึงตาตอบ “ผมเป็นนักเรียนดีเด่นต่างหาก ขอโทษเสีย! ไม่งั้นผมจะไปหาครูเชอริล บอกว่าคุณลากผมไปห้องน้ำชายแล้วจะให้ผมหนึ่งร้อยดอลลาร์ถ้าผมเลีย DD น้อยของคุณ!”


การพรากผู้เยาว์ในแคนาดาถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรงยิ่งกว่าการใช้ความรุนแรงกับผู้เยาว์เสียอีก พอกอร์ดอนพูดแบบนั้นออกมา ฮิวจ์ก็ไม่มีทางเลือกยกมือยอมแพ้ คุกเข่า!


“ก็ได้ ฉันขอโทษ ฉันพูดไม่ดีเอง…”


“เอาหนึ่งร้อยดอลลาร์ให้ผมด้วย ฮ่าๆ”


ฮิวจ์พลันหน้าตึง “นายคิดจะแบล็คเมล์ฉันใช่ไหม? ฉันคงต้องไปบอกวินนี่แล้ว!”


“งั้นคุณไม่ต้องขอโทษผมแล้วก็ได้ ถือว่าเราเสมอกันโอเคไหม?” กอร์ดอนรีบยอมแพ้


ฮิวจ์ทำเป็นครุ่นคิดก่อนส่ายหน้า “กอร์ดอน ตอนนี้นายมันเป็นเด็กเวรดีๆ นี่เอง ดูจากที่นายใส่ร้าย พูดจาไร้สาระ แบล็คเมล์ นิสัยเสียขนาดนี้ ฉันจำเป็นต้องไปบอกวินนี่ถึงสิ่งที่นายเป็นตอนนี้แล้ว!”


ในที่สุดกอร์ดอนก็เริ่มกลัว “อย่านะ พี่ฮิวจ์ ทำไมคุณต้องจริงจังขนาดนั้นด้วย? ผมแค่ล้อเล่นกันเห็นๆ คุณมองไม่ออกเหรอว่ามันเป็นมุกน่ะ?”


ฮิวจ์ยิ้มเย็น “ล้อเล่น? เด็กประถมที่ไหนจะล้อเล่นแบบนายได้กัน? จะไม่ให้ฉันไปฟ้องวินนี่ก็ได้ แต่นายต้องตอบฉันมาเรื่องหนึ่ง”


“ลองว่ามาสิ” กอร์ดอนพึมพำพลางกรอกตากลมเจ้าเล่ห์ ไม่ยอมตกหลุมพราง


ฮิวจ์รู้ว่าเด็กคนนี้หลอกไม่ได้ง่ายๆ จึงพูดไปตามตรง “เดี๋ยวพวกเราจะมีการแข่งบาสของปีสี่ถึงปีหกกัน ตอนนี้ทีมกำลังขาดคน ฉันอยากให้นายเข้าร่วมด้วย!”


ใช่ นี่คือเป้าหมายของเขาเพื่อที่เขาจะได้แสดงศักยภาพตัวเอง เขาพบว่ากอร์ดอนเองก็มีพรสวรรค์ทางด้านกีฬาไม่ต่างจากมิเชล ถ้าได้ฝึกฝนสักหน่อย ไม่แน่อาจได้เป็นดาวดังคนหนึ่งในเอ็นบีเอก็ได้


หากฝึกกอร์ดอนสำเร็จ ฮิวจ์ก็คงรู้สึกว่าตัวเองได้มีเรื่องให้คุยโวไปถึงชาติหน้าแล้ว


แต่หลังได้ฟังเขา กอร์ดอนกลับส่ายหน้าทันที “ไม่ๆๆ ผมไม่ไป ผมไม่ยอมเสียหน้าหรอก! ดูนักกีฬาแต่ละคนสิ แซมไม้เสียบผี หมูตอนเกรย์ ไอ้ขี้ขลาดโจ ฮูเอล นอกจากมิเชลก็มีแต่พวกโง่ ใครจะไปเล่นกับพวกนั้นได้กัน?”


ฮิวจ์โมโห “ดูตัวเองเข้า กอร์ดอน นายพูดอะไรออกมา? นายเรียกเพื่อนร่วมชั้นตัวเองแบบนี้ได้อย่างไร?”


กอร์ดอนถามกลับอย่างไม่ยอม “งั้นผมถามคุณหน่อย มิเชลตอนนี้มีฉายาว่าอะไร?”


“แบนชี!”


“ดูตัวเองเข้า ฮิวจ์ คุณพูดอะไรออกมา? คุณเรียกนักบาสทีมตัวเองแบบนั้นได้อย่างไร?” กอร์ดอนโต้กลับทันที


ฮิวจ์โกรธฮึดฮัด “เจ้าบ้า ก็ฉายามิเชลคือแบนชีนี่นา”


กอร์ดอนยักไหล่เห็นใจ “ฉายาของแซมก็คือไม้เสียบผี เกรย์คือหมูตอน ส่วนโจ ฮูเอลก็ไอ้ขี้ขลาด ผมไม่ได้เป็นคนตั้งเอง ตอนผมมาถึงโรงเรียน พวกเขาก็เรียกกันอย่างนี้แล้ว”


ฮิวจ์จ้องกอร์ดอน พูดอะไรไม่ออก รู้สึกว่าที่เด็กนี่พูดมาก็มีเหตุผล


เมื่อเห็นว่าเล่นสกปรกไม่ได้ ฮิวจ์จึงเปลี่ยนกลยุทธ์ “เจ้าหนู นายมีความฝันไหม? ตอบมาตามตรงนะ”


“การที่อยากให้คุณรีบๆ ปล่อยผมไปเสียทีนี่นับไหม” กอร์ดอนถามอย่างจริงใจ


ฮิวจ์พยายามห้ามใจไว้ไม่ให้อัดคน กล่าวว่า “ฉันบอกว่าความฝัน ความฝันไงเล่า! ไม่ใช่ความปรารถนาของนาย นายรู้จักความฝันไหมเนี่ย? ชายที่ไร้ความฝัน…”


“ก็ไม่ต่างอะไรจากปลาเค็ม?” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง พร้อมไวส์ที่วิ่งเข้ามาหา


พอวิ่งมาหยุดตรงหน้าฮิวจ์ ไวส์ก็พูดแบบฮีโร่ว่า “กอร์ดอนเกิดอะไรขึ้น? เจ้าหมอนี่มันรังแกนายใช่ไหม? บอกมา ถ้าบังอาจมารังแกคนที่อ่อนแอกว่า ฉันจะใช้นิ้วพิฆาตจิ้มให้ตายเลย!”


กอร์ดอนตอบอย่างไม่พอใจนัก “รังแกคนที่อ่อนแอกว่าอะไรกัน? ฉันไปรังแกเขาตอนไหน?”


ฮิวจ์ “…”


พอเห็นเด็กวัยรุ่นสองคนเตรียมจะประชันฝีปากกัน ฮิวจ์เลยรีบเปลี่ยนหัวข้อคุย “ไวส์ นายมีความฝันไหม?”


ไวส์พยักหน้าจริงจังตอบ “แน่นอนครับ ถ้าไม่มีฝันก็ไม่ต่างอะไรกับปลาเค็มนี่นา? ผมมีครับ ผมฝันว่าสักวันหนึ่งจะได้ท่องไปทั่วยุทธภพพร้อมนกอินทรีเกาะไหล่ ถือฉินและดาบ ตอนนั้นผมจะนั่งร้องเพลงดีดกู่ฉิน ร่ำสุราด้วยกระดองตะพาบ เคร่งศึกษา ฝึกปรือดาบจนเลื่องลือไปเลย!”


ฮิวจ์ฟังไปกะพริบตาปริบๆ เหมือนไอ้งั่งไป จากนั้นจึงถามกอร์ดอน “เขาพูดเรื่องอะไรอยู่น่ะ?”


กอร์ดอน “ไม่ต้องสนใจหรอก เขามันบ้า!”


ไวส์ยิ้มเย็นตอบ “คนบ้ามักมีความฝันไง แล้วนายล่ะ?”


กอร์ดอนเงยหน้าตะโกน “ฉันก็ต้องมีอยู่แล้วสิ”


“ลองว่ามาสิ” ฮิวจ์เชียร์


กอร์ดอนสูดลมหายใจลึกครุ่นคิดถึงสิ่งที่จะพูด แต่สุดท้ายก็กลั้นเอาไว้ เขามองฮิวจ์กับไวส์ด้วยแววตาว่างเปล่า แล้วยกนิ้วชี้ไปยังคนตรงหน้าอย่างระมัดระวังก่อนเอ่ยว่า “เขาจะไสหัวกลับไปได้หรือยัง? ผมฝันอยากกลับบ้านแล้วเนี่ย!”


ไวส์หัวเราะดูถูก


กอร์ดอนพอโดนเสียงหัวเราะเยาะใส่ก็ตะโกนว่า “แล้วนี่ไม่นับเป็นความฝันหรือไง? ทั้งชีวิตพวกเรามันก็นำไปสู่ทางกลับบ้านกันทั้งนั้นแหละ!”


เสียงหัวเราะไวส์ชะงักไป ที่จริงเขาก็อยากกลับบ้านเหมือนกัน กลับบ้านไปเจอพ่อกับแม่


ฮิวจ์แทบจะถูกเจ้าปีศาจน้อยสองตัวทรมานจนแทบคลั่งแล้ว เขาจึงได้แต่พูดไปตามตรงว่า “กอร์ดอน นายไม่อยากครองโลกเพื่อกอบโกยเงิน แล้วกลายเป็นคนดังระดับสูงที่คนเป็นหมื่นพากันจับตามองเหรอ?”


กอร์ดอนครุ่นคิด “ก็ฟังดูไม่เลวนะ งั้นคุณจะช่วยผมไหม?”


ฮิวจ์ตอบ “แน่นอน แค่นายไปแข่งบาสตามที่ฉันบอก จากนั้นนายย่อมเป็นคนดังในทีมเอ็นบีเอได้แน่ แล้วนายก็จะได้เงินสิบล้านดอลลาร์ภายในหนึ่งปี ทีนี้นายก็มีสาวสวยให้เลือกไม่หวาดไม่ไหวแล้ว!”


“ตอนนั้นผมจะซื้อโดนัทมาสองชิ้นกินชิ้นหนึ่งทิ้งชิ้นหนึ่งได้ไหม?”


“ได้!”


“ซื้อกระเป๋านักเรียนมาสองใบสะพายใบหนึ่งเผาใบหนึ่งได้ไหม?”


“ได้!”


“แล้ว…”


“ได้!”


“…คุณช่วยไสหัวไปได้ไหม?”


“…” สีหน้าฮิวจ์พลันเขียวคล้ำ


กอร์ดอนรีบหัวเราะกลบเกลื่อน “ผมล้อเล่นน่า ก็ได้ สัญญาเลยว่าผมจะเข้าร่วมการแข่งบาสเกตบอลด้วย!”



 

 

 


บทที่ 1076 คุณสมบัติของผู้นำ

 

หลังจากได้เห็นฟอสซิล ฉินสือโอวก็รีบตรงกลับบ้านทันที


วินนี่พาเชอร์ลี่ย์และพาวลิสไปเจาะรูต้นชูการ์เมเปิลยักษ์ตรงหน้าประตู ฤดูเก็บน้ำเชื่อมเมเปิลมาถึงอีกแล้ว


ฉงต้ายื่นก้นไปไถรอบๆ ต้นเมเปิล หางที่เหมือนกับก้อนขนนั้นสะบัดรัวไปมา ก่อนดวงตาเล็กๆ ที่มักจะหรี่ลงเป็นขีดจะเบิกกว้าง มันมองน้ำเชื่อมในถังพลางกลืนน้ำลาย


ตอนฉินสือโอวกลับมา ฉงต้าก็รีบวิ่งแจ้นเข้ามาหมอบตัวยื่นอุ้งเท้าอ้วนๆ ไปกอดเขา แล้วส่งเสียงเอ๋งๆ เหมือนจะฟ้อง


พอเห็นดังนั้น ฉินสือโอวก็ยื่นมือไปลูบหัวฟูๆ ของมัน “ใครแกล้งฉงต้าเนี่ย?”


วินนี่ลุกขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ใครแกล้งมันกันคะ? มันอยากมาขโมยน้ำเชื่อมเอง แต่พอกินไม่ได้ก็เลยหงุดหงิดแบบนั้น”


ฉินสือโอวถึงสังเกตเห็นว่าวินนี่ไม่ได้ใช้ถังใบเล็กเก็บน้ำเชื่อมแต่เป็นขวดปากแคบแทน โดยมีท่อส่งไหลเข้าขวดโดยตรง อย่าว่าแต่ฉงต้าจะแอบกินเลย ขนาดขโมยก็ยังยาก


ฉงต้าดันเขาไปใกล้ๆ ขวดปากแคบใบหนึ่ง นั่งลงเรียบร้อยมองฉินสือโอวตาปริบๆ และอ้าปากรอเขาป้อนน้ำเชื่อม


ฉินสือโอวถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ทำได้แค่จุ่มนิ้วให้พอชิมแล้วใส่ปากฉงต้า อีกฝ่ายก็รีบเลียทันที ไขมันบนหน้ากระเพื่อมไหวด้วยความสุข แต่ความสุขก็คงอยู่ไม่กี่วินาทีเพราะฉินสือโอวเดินไปแล้ว


เห็นเพียงวินนี่กับพาวลิส และเชอร์ลี่ย์ที่เก็บน้ำเชื่อม ฉินสือโอวถามอย่างแปลกใจ “กอร์ดอนล่ะ?”


มิเชลกำลังซ้อมอย่างแน่นอน เพราะเขาฝึกเลี้ยงลูกแบบพลิกแพลงที่สนามบาสอยู่


วินนี่ยิ้มจนใจ “เขาก็กำลังซ้อมบาสเหมือนกันน่ะ ดูเหมือนฮิวจ์คนน้องจะพาเขาเข้าทีมบาสเกตบอลด้วย”


ฉินสือโอวเข้าใจว่าสมรรถภาพทางร่างกายของกอร์ดอนนั้นไม่ต่างจากปีศาจน้อย ราวกับเคยได้พลังโพไซดอนช่วยวิวัฒนาการ เพราะปกติเขาชอบเล่นกีฬามาก สุขภาพของเขาเลยดีที่สุด ยิ่งกว่าพาลลิสและมิเชลเสียอีก


ทั้งที่เมื่อก่อนไม่มีใครทำได้ ฉินสือโอวก็เคยอยากชวนกอร์ดอนเข้าทีมบาสเกตบอลเช่นกัน แต่ในเมื่อกอร์ดอนไม่อยาก เขาจึงไม่พูดอะไรมาก ไม่นึกว่าฮิวจ์กลับมาชวนเขาไปเล่น ในที่สุดผู้ช่วยโค้ชคนนี้ก็ได้แสดงคุณค่าเสียที


ว่าแต่กอร์ดอนไปซ้อมตรงไหนกันล่ะ? ฉินสือโอวมองรอบข้างด้วยแววตาว่างเปล่า ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยเขา


เชอร์ลี่ย์เตือนเขา “คุณไปหาเขาข้างนอกเหรอคะ? จะไปเจอได้ไง ลองไปดูห้องเขาสิ เจ้าบ้านั้นต้องเล่นเกมอยู่แน่ๆ!”


ฉินสือโอวเดินเข้าไปในห้อง ตามคาดกอร์ดอนกำลังเคาะรัวแป้นพิมพ์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เล่นอย่างเมามันไปตะโกนไปดูจดจ่อเสียจนไม่รู้สึกถึงคนที่เข้ามาในห้อง


“กอร์ดอน ทำไมนายไม่ออกไปช่วยพี่วินนี่ทำงานล่ะ?” ฉินสือโอวถาม


กอร์ดอนยังให้ความเคารพต่อฉินสือโอวมาก รีบหันกลับมาตอบว่า “ฉิน ผมกำลังซ้อมอยู่ โค้ชฮิวจ์เชิญให้ผมเข้าร่วมทีมบาสเกตบอลด้วย ผมตกลงไป ก็เลยต้องฝึกมากๆ”


ฉินสือโอวละเหี่ยใจ “เล่นเกมคอม เพื่อฝึกเนี่ยนะ?”


กอร์ดอนชี้ไปที่หน้าจอ “นี่คือ NBA-OL ถ้าเล่นเกมนี้ก็เหมือนซ้อมนั่นแหละครับ ที่สนามกีฬาโค้ชฮิวจ์ก็ใช้วิธีนี้ซ้อมเหมือนกัน…ในโทรศัพท์เขามีเกมบาสอย่างเยอะเลย”


แม่งเอ๊ย ไม่เป็นตัวอย่างที่ดีเอาเสียเลย ฉินสือโอวแอบด่าฮิวจ์ไปประโยคหนึ่ง แล้วตีหน้าขรึมบอกให้กอร์ดอนออกไปฝึกข้างนอก


ถึงกอร์ดอนจะซุกซนช่างก่อเรื่อง แต่เขาไม่ได้มีนิสัยชอบต่อต้าน พอฉินสือโอวสั่งก็ยักไหล่รีบปิดเกม กระโดดโลดเต้นไปหามิเชลทันที


มื้อเย็น ฉินสือโอวไปดูไข่เป็ดเค็ม เขาลองผ่าก็พบว่าการดองเค็มสำเร็จด้วยดี ไข่แดงเป็นสีชมพูนวล พอผ่าครึ่งเสร็จก็หยดน้ำมันสีเหลืองลงไปกลิ้งให้ทั่ว


หลังกินเสร็จ วินนี่แนะนำว่าน่าจะถือโอกาสตอนหิมะละลาย พืชพันธุ์งอกงาม ไปเดินบนเขากันทั้งครอบครัวสุดสัปดาห์นี้ ฉินสือโอวตอบรับตามปกติ พวกเด็กๆ พาวลิสไม่มีความเห็น เรื่องนี้จึงเป็นอันลงมติกันอย่างสบายใจ


เกาะแฟร์เวลนับเป็นสถานที่ที่ฮวงจุ้ยดีมาก แคนาดาเป็นประเทศในเขตละติจูดสูง ส่วนใหญ่จึงมีช่วงน้ำแข็งปกคลุมยาวนาน ทางตอนเหนือของนิวฟันด์แลนด์มีน้ำแข็งปกคลุมตลอดหกเดือนในหนึ่งปี ทว่าเกาะแฟร์เวลนั้นมีสภาพอากาศคล้ายกับเขตอบอุ่น เพราะความร้อนจากพื้นใต้ทะเลและกระแสน้ำทะเลนั่นเอง


หลังกอร์ดอนเข้าร่วมทีมบาส จำนวนคนเลยเกินมาหนึ่งคน  ฉินสือโอวจึงบอกแซมและสมาชิกว่า หนึ่งในพวกเขาต้องมีคนโดนคัดออกคนหนึ่ง เพราะงั้นหากใครไม่ตั้งใจซ้อมก็จะไม่ผ่านการคัดเลือก


ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบการแข่งขัน พวกเด็กๆ พอโดนฉินสือโอวยัดเยียดให้ต้องมาแข่งกันเองก็พากันระเบิดลง โวยวายจะเลิกซ้อมแทน


คราวนี้ไม่ต้องให้ฉินสือโอวออกหน้าเอง กอร์ดอนโมโหทันทีที่เห็นเจ้าพวกนี้คิดจะหยุดซ้อมทั้งที่ตัวเองเพิ่งมาถึง เขาฉวยโอกาสตอนฉินสือโอวไม่อยู่ปาลูกบาสทิ้งพร้อมคำรามว่า “พวกนายทุกคนมานี่ ไอ้พวกแม่งน่ารำคาญทั้งหลาย ลูกพี่กอร์ดอนมีเรื่องจะถาม!”


กอร์ดอนเป็นหัวโจกคนใหม่ในโรงเรียน ตอนที่ยังไม่ทันคุ้นชินกับอะไร เขากับชาร์คจูเนียร์และคราเคนน้อยก็เป็นตัวหลักช่วยกันต่อสู้กับหัวโจกเสียแล้ว


ตอนเขาเพิ่งเข้ามา ขณะที่เชอร์ลี่ย์นั้นเรียบร้อยมาก กอร์ดอนกลับกล้ามีเรื่องวิวาทกับพวกหัวโจกในโรงเรียนแต่แรกเลย ไม่ยอมเสียเปรียบแม้แต่น้อย


เมื่อถูกกอร์ดอนตวาดใส่ พวกแซมก็พากันตัวสั่นค่อยๆ เข้ามารวมตัว


“ฉันได้ยินมาว่าพวกนายไม่อยากเล่นบาสแล้วงั้นเหรอ?” กอร์ดอนเดินมาถามตรงหน้าพวกเขา เขาให้ทุกคนนั่งลง ส่วนตัวเองใช้ประโยชน์จากมุมสูงมองลงมาเพื่อแสดงอำนาจ


โจเป็นเด็กนิสัยดีไม่ต่างจากมิเชล เพราะงั้นเขาถึงถูกเรียกว่าไอ้ขี้ขลาด พอเห็นกอร์ดอนโกรธเขาก็รีบโบกมือปฏิเสธตอบว่า “ไม่เลยไม่เลย ฉันชอบเล่นกีฬาบาสที่สุด จะไม่อยากเล่นแล้วได้อย่างไร?”


พันธมิตรขนาดย่อมเป็นอันพังครืน เดิมพวกเขาตั้งใจจะถอนตัวพร้อมกันเพื่อต่อต้านฉินสือโอว ปรากฏว่าฉินสือโอวไม่ได้โผล่มา แต่กลับกลายเป็นกอร์ดอนที่ไม่เกี่ยวด้วยมามีเรื่องแทน


พอโจแสดงความขี้ขลาดคนอื่นๆ ก็พลอยไม่กล้าทำเป็นกล้าหาญต่อ พร้อมใจส่ายหน้าเป็นพัดลมกันหมด


“เลวมาก ใครมันปล่อยข่าวว่าพวกเราไม่อยากเล่นบาสกัน?”


“บาสเกตบอลไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แต่มันสูงส่งกว่านั้นมาก!”


“ฉันยินดีอดข้าวดีกว่าไม่ซ้อม ฉันจะตั้งใจฝึกแล้วเป็นผู้ช่วยที่แข็งแกร่งของลูกพี่กอร์ดอนเอง!”


กอร์ดอนพยักหน้าพอใจ ล้วงหยิบห้าสิบดอลลาร์แคนาดาออกมาอย่างสบายใจให้แซม “ไป เอาไปซื้อเครื่องดื่มมาหน่อย ทุกคนอยากกินอะไรบอกมาเลย วันนี้ลูกพี่กอร์ดอนจะเลี้ยงเอง ขอแค่เพื่อนตั้งใจซ้อมให้ดี ตั้งแต่นี้ไปพี่กอร์ดอนจะคุ้มครองพวกนายเอง!”


พวกแซมและเกรย์ต่างตบอกเสียงดังปึกๆ แสดงออกว่าตนจะตั้งใจฝึกซ้อมแน่นอน และสามัคคีร่วมใจจะอยู่เคียงข้างพี่ใหญ่กอร์ดอน


มิเชลมองกอร์ดอนด้วยความอิจฉา ฉินสือโอวตั้งใจจะเพิ่มความมั่นใจและฝึกความเป็นผู้นำให้เขา เขานึกว่าจะยากกว่าการส่งลูกกับการทำสามแต้มเสียอีก แต่กอร์ดอนกลับสามารถทำเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดายอย่างเป็นธรรมชาติ กลายเป็นกัปตันทีมตั้งแต่เข้ามาวันแรก


บางอย่างมันก็มีมาโดยกำเนิด กอร์ดอนไม่ได้เป็นชูตติ้งการ์ดแบบมิเชล แต่เขามีนิสัยของผู้นำที่ห้าวหาญเลือดร้อน ไม่จำเป็นต้องมีใครสอนก็รู้ว่าจะนำทีมอย่างไร


สิ่งนี้คนอเมริกันและแคนาดาชอบเรียกว่าคุณสมบัติของความเป็นผู้นำ



 

 

 


บทที่ 1077 สลับฉาก

 

ต้นเดือนเมษายน การแข่งขันระดับชั้นประถมปีสี่ถึงปีหกก็เริ่มขึ้น


เป็นการแข่งขันระดับมลรัฐนิวฟันด์แลนด์ แต่เพราะผู้เข้าแข่งล้วนเป็นเด็กประถม เพื่อลดภาระลงจึงทำการแบ่งเขตการแข่งขัน โรงเรียนประถมแกรนท์ก็เป็นหนึ่งในเขตการแข่งขันของเซนต์จอห์น รวมถึงโรงเรียนใกล้เคียง


การแข่งนัดแรกคือวันพฤหัส ระหว่างโรงเรียนประถมแกรนท์กับโรงเรียนประถมโบสถ์เซนต์พอล สนามแข่งจะใช้สนามกีฬาในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งเป็นการแข่งนอกสถานที่ แต่ดูจากพยากรณ์อากาศวันแข่งอากาศจะค่อนข้างดี แจ่มใสมาก แบบนี้คนที่มาชมคงมีไม่น้อย


เมื่อถึงวันแข่งส่วนใหญ่ที่จะมากันก็คือครอบครัวญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของพวกเด็กๆ คนแคนาดาให้ความสำคัญกับกิจกรรมของเด็กมาก อย่างทีมบาสเกตบอลโรงเรียนประถมแกรนท์ แม้ทุกคนจะไม่เต็มใจมาเข้าร่วมก็ตาม อันที่จริงเพราะน้อยครั้งที่โรงเรียนเคยชนะ พวกเด็กๆ ซึ่งอ่อนไหวง่ายเลยกลัวแพ้แล้วเสียหน้ากัน


ถ้าเป็นโรงเรียนที่โดดเด่นเรื่องกีฬานักเรียนก็สามารถเข้าร่วมทีมและคว้าเหรียญมาได้ อารมณ์และระดับความสนใจที่ได้รับจากการได้ที่หนึ่งในโรงเรียนก็ยิ่งมากตาม และน่าชื่นชมมากขึ้น


โรงเรียนประถมโบสถ์เซนต์พอลเป็นหนึ่งในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากกว่าเซนต์จอห์น ทว่าระดับการเล่นบาสเกตบอลก็ยังอยู่ในเกณฑ์ทั่วไป เพื่อเป็นการให้เกียรติคู่แข่ง ฉินสือโอวจึงเรียกฮิวจ์คนน้องไปหาวิดีโอการแข่งปีที่แล้วของพวกเขามาศึกษาวางแผนเองโดยเฉพาะ


ปรากฏว่าฮิวจ์ที่ใช้เส้นสายหลายทางแล้วก็ยังไม่สามารถหาวิดีโอการแข่งครั้งก่อนได้


ดังนั้นฉินสือโอวเลยยังไม่ได้ดูวิดีโอจนกระทั่งวันพุธ เขาเริ่มกังวลจึงไปหาฮิวจ์แล้วตำหนิว่า “จะมีผู้ช่วยโค้ชไปทำไมเนี่ย? วิดีโอของฉันล่ะ? นายไม่ใช่บอกว่ามีเส้นสายอยู่เต็มถนนเลยหรือไง?”


ฮิวจ์ไม่พอใจทันทีเมื่อเห็นว่าตัวเองโดนสงสัย เขาตบอกตอบว่า “เย็นนี้นายได้วิดีโอแน่นอน! หลังเลิกเรียนมากับฉัน ฉันจะให้นายได้เห็นความเก่งกาจของลูกพี่ฮิวจ์กับตาเอง”


หลังเลิกเรียนฉินสือโอวให้พวกเด็กๆ กลับบ้านไปพักผ่อนเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ และตามฮิวจ์ไปที่เซนต์จอห์น


เมื่อถึงท่าเทียบเรือเซนต์จอห์น ฮิวจ์โทรศัพท์เหมือนกำลังส่งสัญญาณลับก่อนจะวางสายไป และพาฉินสือโอวไปร้านกาแฟร้านหนึ่ง


ฉินสือโอวถาม “พวกเรามาเอาวิดีโอไม่ใช่เหรอ? จะมากินกาแฟอีกทำไม?”


ฮิวจ์ยิ้มลึกลับ เอ่ยอย่างมั่นใจ “คอยดูเถอะน่า อีกเดี๋ยวนายก็ได้วิดีโอแล้ว”


อีกเดี๋ยวที่ว่าคือใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมง หลังฟ้ามืดถึงมีคนรีบร้อนวิ่งเข้ามา เป็นชายหนุ่มผิวดำคนหนึ่ง


พอมาถึงร้านกาแฟทั้งสองพยักหน้ากันแล้วไปที่มุมอับ ฮิวจ์หยิบธนบัตรม้วนหนึ่งส่งให้ ชายผิวดำเองก็ส่งกระเป๋าถือสีดำให้


“ดีใจที่ได้ร่วมงานด้วยนะเพื่อน คราวหน้าถ้าจะทำธุรกิจแบบนี้ต่อก็อย่าลืมติดต่อฉันล่ะ เดี๋ยวฉันให้ราคาพิเศษ” ชายผมดำลูบธนบัตรม้วนหนาพลางยิ้มหน้าบาน


ฉินสือโอวคอยมองอยู่ไม่ไกล รู้สึกเหมือนเจรจาค้ายากันชัดๆ เขาสังเกตเห็นว่าเจ้าของร้านกาแฟหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมเรียกตำรวจแล้ว


ที่เซนต์จอห์นการค้ายาเสพติดถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย


ชายผิวดำกลับไป ฮิวจ์ดันกระเป๋าสีดำให้ฉินสือโอวพลางยิ้มกริ่ม


จู่ๆ ผู้หญิงรูปร่างดีแข็งแรงคนหนึ่งก็เข้ามากดกระเป๋าไว้ พร้อมแกว่งตราตำรวจในมืออีกข้าง “คุณผู้ชาย พวกคุณถูกจับแล้ว!”


ฉินสือโอวแทบสติแตก นี่เขาทำอะไรเนี่ย? ทำไมถึงถูกจับอีกแล้ว?


อีกด้านหนึ่ง ชายผิวดำที่กลับไปก่อนหน้านี้โดนชายสองคนจับกุมกลับมา คนในร้านกาแฟพากันดื่มกาแฟต่อเงียบๆ บางคนชี้ไม้ชี้มือมา “พวกค้ายาสมควรตาย ลงนรกไปเสีย!”


ชายผิวดำรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาตะโกน “จับพวกเราทำไม? พวกเราค้าขายสุดจริตนะ! ค้าขายสุดจริต!”


ตำรวจนอกเครื่องแบบหญิงเปิดกระเป๋าถือสีดำก็เจอหนังสือพิมพ์ม้วนหนึ่งข้างใน เธอยิ้มเย็นพลางแกะเปิด แล้วพบซีดีแผ่นหนึ่ง ไม่มีอะไรเกี่ยวกับพวกกัญชา ยาเสพติดดังที่คาดไว้แม้แต่น้อย


ตำรวจหญิงชะงักไป “พวกคุณขายแผ่นหนังโป๊กันเหรอ?”


ที่แคนาดาไม่ถือว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรง เช่นเดียวกับอเมริกาเพราะภาพยนตร์และโทรทัศน์ของที่นี่มีการจัดหมวดหมู่ไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์


ชายผิวดำกล่าว “ไม่ใช่โว้ย เบิกตาดูให้มันดีๆ ก่อนสิ ในแผ่นนี้คือบันทึกการแข่งบาสเกตบอลภายในของโรงเรียนประถมโบสถ์เซนต์พอลต่างหาก!”


ฮิวจ์อธิบายด้วยสีหน้าขมขื่น “พวกเราเป็นกลุ่มโค้ชทีมบาสของโรงเรียนประถมแกรนท์ครับ ส่วนเพื่อนคนนี้เขาเป็นยามรักษาความปลอดภัยของโรงเรียนประถมโบสถ์เซนต์พอล ผมจ่ายสองร้อยดอลลาร์เพื่อให้เขาช่วยถ่ายการฝึกของพวกเขา เพราะพรุ่งนี้พวกเราต้องแข่งกันแล้ว”


พวกตำรวจใช้คอมพิวเตอร์เปิดตรวจสอบดู ในซีดีเป็นภาพบันทึกการแข่งของกลุ่มเด็กบ้าธรรมดาที่กำลังเล่นบาสอยู่


หลังฉินสือโอวได้ดูวิดีโอก็รู้สึกอนาถใจ ระดับการเล่นบาสของเด็กประถมมันแย่ถึงขั้นนี้เลยเหรอ? ถึงภายนอกจะดูดี แต่ถ้ามองในเชิงเทคนิคโรงเรียนประถมโบสถ์เซนต์พอลยังเทียบกับพวกแซมไม่ได้ด้วยซ้ำ


แล้วแบบนี้นับเป็นกลยุทธ์ไหมเนี่ย? ช่างเถอะ ประเด็นนี้ถกไปก็เสียความรู้สึกเปล่าๆ มาคิดเรื่องจะแก้ความเข้าใจผิดนี้กับตำรวจยังไงดีกว่า


ตำรวจนายหนึ่งถามตำรวจหญิงนอกเครื่องแบบเสียงเบา “พวกเราควรฟ้องพวกเขาข้อหาละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้เยาว์หรือขโมยความลับธุรกิจดีครับ?”


ตำรวจหญิงหมดความอดทน เธอเก็บซีดีคืนก่อนพูดด้วยความโมโห “สมองขี้เลื่อยหรือไง? ไม่รู้เหรอว่าการแข่งขันแบบไม่เป็นทางการสามารถบันทึกรูปหรือวิดีโอได้ตามสบายน่ะ?”


ฮิวจ์โมโหลุกขึ้นตบโต๊ะจะฟ้องพวกตำรวจ แต่ตำรวจหญิงนอกเครื่องแบบกลับไม่กลัว ยิ้มเย็นตอบ “คุณจะฟ้องพวกเราก็ได้ แบบนั้นพวกเราจะได้แจ้งทางโรงเรียนประถมโบสถ์เซนต์พอลว่าเพื่อนคุณลอบถ่ายวิดีโอขายให้คู่แข่ง”


ชายผิวดำพลันปอดแหก ดึงฮิวจ์ไว้พลางเอ่ยอย่างน่าสมเพช “นี่เป็นอาชีพเดียวที่ฉันมีเลยนะ!”


เป็นอันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายต่างยอมถอยจับมือสงบศึก พวกตำรวจขอโทษแถมยังช่วยจ่ายค่ากาแฟให้ฉินสือโอวกับฮิวจ์ด้วย ฮิวจ์เองก็ไม่ได้ตำหนิพวกเขา


ฉินสือโอวไม่โกรธที่โดนแบบนี้แม้แต่น้อย ฮิวจ์สมควรแล้ว หาเรื่องใส่ตัวแต่แรกเอง เจ้าโง่นั่นดันทำเป็นลับๆ ล่อๆ ตอนเจรจา มันจะไปต่างอะไรกับค้ายาล่ะ? ตัวเองเลยพลอยโดนหางเลขไปด้วย


หลังสลับฉาก วันที่สองก็เป็นการแข่งขันเสียที


การแข่งธรรมดามาก สู้ซื้อแผ่นเกมนี้ไปยังน่าสนใจกว่า


ก่อนการแข่งเจ้าพวกเด็กโรงเรียนประถมโบสถ์เซนต์พอลต่างฮึกเหิมกันมาก พวกเขาเชื่อสุดใจว่าโรงเรียนประถมแกรนท์ด้อยกว่าพวกเขา


จากนั้นฉินสือโอวได้ให้บทเรียนพวกเขาอย่างหนึ่ง ให้รู้ไว้ว่าบาสเกตบอลไม่ได้ขึ้นอยู่กับสมาชิกคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นกลยุทธ์ ดูอย่างทีมโรงเรียนประถมโบสถ์เซนต์พอลที่ไม่มีกลยุทธ์ ความสามัคคีแทบแตกกระจาย


ในทางกลับกัน โรงเรียนประถมแกรนท์ที่มีกลยุทธ์ คืออาศัยมิเชลในการรุก ทุกคนช่วยป้องกัน และกอร์ดอนอยู่แป้นบาส…


พวกกลยุทธ์อย่างการสกรีนแล้วหมุนเข้าห่วง รูปแบบพรินซ์ตัน แผนบุกสามเหลี่ยม วิ่งและยิง การเล่นครึ่งสนาม พวกนั้นฉินสือโอวเข้าใจอยู่แล้ว แต่ช่วงประถมอย่างพวกเขาจะเล่นแบบนั้นได้เหรอ?


แม้ไม่ใช่วันหยุด กัวซงก็ยังหาเวลามาเข้าร่วมการแข่ง ปกติเขาจะเป็นครูฝึก ด้วยเหตุนี้หัวหน้าโค้ช ผู้ช่วยโค้ช ครูฝึกจึงมากันครบ อย่างน้อยการจัดการของโรงเรียนประถมแกรนท์ก็ยังสมบูรณ์กว่าโรงเรียนประถมโบสถ์เซนต์พอล



 

 

 


บทที่ 1078 เรื่องเล่าฤดูใบไม้ผลิ

 

สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดในการแข่งแรกของอาชีพครูของฉินสือโอวกลับเป็นตอนก่อนแข่ง ถ้าให้พูดคือระหว่างแข่งไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย ไม่ต่างจากตอนซ้อมเท่าไร มิเชลล้มคู่แข่งได้ทั้งทีม


ความจริงแย่ยิ่งกว่าแข่งกันเองในทีมเสียอีก เพราะตอนแข่งกับเพื่อนร่วมทีม มิเชลยังออมมืออยู่ ตอนนี้เขาปล่อยพลังเต็มที่ แสดงความสามารถด้านบาสเกตบอลแต่กำเนิดของเขาออกมา


เขากระโดดฝ่าเข้าไปทำแต้ม เขาชูตอย่างรวดเร็ว เขาทำผิดกฎในการวิ่งทำแต้ม แล้วทำคะแนนทั้งหมดไปได้ก่อน 20 แต้มด้วยตัวคนเดียว


เมื่อเป็นเช่นนี้เกมก็เป็นอันรู้ผลแล้ว เพราะปกติในการแข่งระดับประถมทั้งเกมมักจะทำคะแนนกันได้ราวๆ 20 แต้ม แต่มิเชลเปิดเกมมาไม่ถึงสิบนาทีก็ทำคะแนนได้แล้ว


พอเจอคู่แข่งระดับนี้มิเชลก็ได้คะแนนมาง่ายๆ แล้ว พวกคู่ต่อสู้หมดหนทางเรียบร้อย


การแข่งระดับประถมไม่ได้เล่นจริงจังจนครบสี่ควอเตอร์ แต่ช่วงครึ่งแรกและครึ่งหลังแต่ละทีมเวลา สามารถขอเวลานอก 20 นาทีได้ตลอด โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง ให้สนุกอย่างเป็นธรรมชาติดีกว่าเน้นแข่งขัน


หลังระลอกการจู่โจมเต็มกำลังจนได้ 20 ต่อ 0 โค้ชของอีกฝั่งถึงรู้ตัว คนคนนี้ก็มาเป็นโค้ชพาร์ทไทม์เหมือนกัน ฉินสือโอวถามเขาและได้รู้ว่าปกติเขาทำงานเป็นผู้อำนวยการที่บริษัท IT แห่งหนึ่งในมอนทรีออล


อีกฝั่งขอเวลานอกและใช้สิทธิพิเศษในการแข่ง เพิ่มสมาชิกทีมมาอีกคน เป็น 6 ต่อ 5 คน…


การแข่งขันนี้ไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไร ความจริงมิเชลกำลังรังแกเด็กประถมชัดๆ ปกติอายุอย่างเขาต้องเข้าปีเจ็ด ปีแปดแล้ว แต่เพราะเข้าเรียนช้าความรู้ที่มีจึงไม่พอ เลยต้องซ้ำชั้น


อีกฝ่ายยังเป็นแค่เด็ก เด็กประถมแท้ๆ ด้วย!


แถมยังมีกอร์ดอนที่อายุมากกว่ามิเชลอีกปีกว่าเป็นผู้ช่วยอีก แบบนี้จะให้พวกเด็กประถมสู้ยังไงกัน?


ถึงกอร์ดอนจะได้มาจับบาสเกตบอลทีหลัง แต่หน้าที่ของเขาคือรีบาวด์ แค่กระโดดสูง จังหวะพอดี รับได้มั่นคงก็พอ และด้วยพรสวรรค์ด้านกีฬาของกอร์ดอนที่สูงมาก จึงยิ่งเป็นเรื่องง่ายดาย


หลังผ่านไปครึ่งแรก ฝ่ายตรงข้ามก็ส่งมาทั้งหมดแปดคน เป็นการแข่งระดับประถมที่เข้มข้นมากเพราะพวกเขาสามารถใช้ได้แค่แปดคนเท่านั้น


ระหว่างพักครึ่ง ผู้อำนวยการ IT มาปรึกษาฉินสือโอว “พวก ช่วยเปลี่ยนตัวเบอร์ 1 ของคุณหน่อยได้ไหม? นี่เป็นแค่การแข่งกระชับมิตร เบอร์หนึ่งพวกคุณจริงจังไปแล้ว พานจะทำเด็กๆ ที่ชอบกีฬาเสียใจกันเปล่าๆ”


ฉินสือโอวตอบไปตามตรง “ต้องขอโทษด้วย อย่างที่คุณเห็น พรสวรรค์ด้านบาสเกตบอลของเด็กคนนั้นโดดเด่นมาก ที่จริงผมไม่สนใจเท่าไรว่าการแข่งนี้จะแพ้หรือชนะ ขอแค่เขาได้ออกกำลังกายเต็มที่ก็พอ”


ด้วยเหตุนี้ผู้อำนวยการ IT จึงไม่ได้พูดอะไรต่อ แม้เขาจะทำหน้าที่นี้ในฐานะมือสมัครเล่น แต่การที่เขาสามารถมาเป็นหัวหน้าโค้ชได้ ก็ต้องมีความรู้เรื่องบาสเกตบอลพอสมควร ย่อมมองเห็นความสามารถของมิเชล


ทว่าในครึ่งหลังมิเชลไม่ได้จัดการรวดเดียวต่อ เขาเปลี่ยนไปใช้วิธีแข่งอย่างมีเหตุผล ไม่ได้ทำแต้มรัวๆ แต่เน้นส่งบอลให้เพื่อนร่วมทีมและคอยสั่งการรุกให้พวกเขา


ในที่สุดการแข่งขันก็เริ่มสมดุลขึ้น ทางฝ่ายตรงข้ามมีแปดคน ส่วนมิเชลก็ทำคะแนนให้โรงเรียนประถมแกรนท์น้อยลง เพื่อเปิดโอกาสให้ฝ่ายนั้นทำคะแนนตามมา


หลังจบเกม โรงเรียนแกรนท์ชนะอีกฝ่ายไป 48 ต่อ 30 คะแนน มิเชลยังคงทำคะแนนนำอีกฝ่ายได้คนเดียวอยู่ดี ไม่ต่างจากตอนที่ซ้อมแข่งกับคนในทีม


เพื่อให้กำลังใจพวกนักเรียนที่มีส่วนร่วมในกีฬา จะมีการเลือกผู้เล่นที่ดีที่สุดชั้นปีที่สี่ถึงหกหลังจบการแข่งทุกเกมแล้ว มารับเหรียญเล็กๆ ที่ดูเป็นทางการมาก แน่นอนว่ามิเชลได้เหรียญสุดหรูหรานี้ไป


เริ่มต้นสำเร็จด้วยดี มิเชลกลายเป็นคนดังในโรงเรียน ฉายาแบนชีเริ่มปรากฏในวงการบาสเกตบอลแม้แต่ในระดับชั้นประถมศึกษาที่น้อยที่สุด


หลังชัยชนะอันน่ายินดี สุดสัปดาห์ก็มาถึง ฉินสือโอวและวินนี่เตรียมของ ทั้งบ้านออกไปเดินบนเขาด้วยกัน


หู่เป้าฉงหลัวปอหลัวซิมไปทุกตัว ขนาดแคลร์จอมตุ้ยนุ้ยก็ยังโดนเชอร์ลี่ย์ยัดใส่ในกระเป๋ามาด้วย ส่วนบุชกับนิมิตส์บินตามอยู่บนฟ้า ดูยิ่งใหญ่ทรงพลัง


ขึ้นเขาครั้งนี้ไม่ได้มาเล่นเท่านั้น วินนี่ยังนำท่อเก็บเกี่ยวมาเก็บน้ำเชื่อมเมเปิลบนเขาด้วย


หู่จือกับเป้าจือวิ่งนำหน้าไปด้วยความคึกคัก แล้วหายตัวไปทันทีที่เข้ามาในเขา ไม่นานเจ้าสองตัวก็วิ่งกลับมา ในปากหู่จือคาบไก่ป่าเฮเซลผู้โชคร้ายตัวหนึ่งที่โดนหักคอเรียบร้อย พร้อมเอาไปทำอาหาร


พอเห็นหู่จือกับเป้าจือยิ้มแย้มวิ่งกลับมา กอร์ดอนก็เบิกตากว้างกล่าวว่า “ดูพวกแกสองตัวสิ ทำไมถึงเลือดร้อนขนาดนี้เนี่ย? ใจเย็นกันหน่อย มีความเห็นใจบ้าง ต้องรักษาสันติภาพของโลกไว้นะเข้าใจไหม?”


ไวส์ถามฉินสือโอวด้วยความแปลกใจ “กอร์ดอนกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ไม่ใช่นิสัยเขาเลย ซุปไก่เฮเซลก็อร่อยดีออก ไม่ใช่ของที่เขาชอบที่สุดเหรอครับ?”


วินนี่ยิ้มพลางบีบจมูกเขา “นี่แหละตัวตนของกอร์ดอน ฉลาดเป็นกรด ใช่ เขาชอบกินซุบไก่ด้วย แต่ตอนนี้ไก่ก็โดนจับมาแล้ว ใครจะเป็นคนแบกล่ะ?”


สุดท้ายแน่นอนว่าฉินสือโอวจัดการเก็บไก่ฮาเซลยัดไว้ในกระเป๋าสะพายหลังของกอร์ดอน


กอร์ดอนถอนหายใจ บิดก้นหู่จือสั่งสอนไปทีหนึ่งแล้วบ่นงึมงำต้ดพ้อ หู่จือกับเป้าจือได้ยินก็ไม่พอใจอ้าปากเห่าโฮ่งๆ ใส่ก่อนจะหายไปอีกครั้ง


“พวกมันไปไหนกันน่ะ?” ไวส์ถามงุนงง


กอร์ดอนตะลึงอ้าปากค้าง “ไม่จริงนะ หู่จือเป้าจืออ่อนไหวง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”


ไม่นานหู่จือก็วิ่งกลับมา พร้อมคาบกระต่ายป่าหิมะอวบๆ ตัวหนึ่งหนักประมาณสี่ห้ากิโลกรัม โยนลงตรงเท้ากอร์ดอน


ต่อมาเป้าจือก็กลับมาพร้อมคาบเป็ดมาลลาร์ดตัวหนึ่ง มาโยนตรงหน้ากอร์ดอนเช่นกัน


จากนั้นแลบราดอร์ทั้งสองตัวก็พากันเอียงคอมองกอร์ดอนอย่างยียวน เหมือนจะบอกเป็นนัยว่า ถ้านายยังบ่นหรือมาหยิกก้นพวกเราอีกล่ะก็ เดี๋ยวคอยดูว่าใครจะทนไม่ไหวก่อนกัน


กอร์ดอนที่ยังเสียเปรียบ รู้สถานการณ์ดี จึงต้องเก็บกระต่ายป่ากับเป็ดป่าขึ้นมาและหุบปากสงบเสงี่ยม ยอมรับความจริงแต่โดยดี


ช่วงเดือนเมษายนโลกจะเต็มไปด้วยดอกไม้ ดอกท้อบนภูเขาเริ่มบานสะพรั่ง


ประโยคนี้ใช้ไม่ได้กับเขาเคอร์บัล เพราะเนินเขาเตี้ยเกินไป อุณหภูมิตามฤดูกาลกับบนเกาะเลยเกือบเท่ากัน ตอนนี้หญ้าเขียวชอุ่มบนเขาเพิ่งเริ่มขึ้น เหลือบางส่วนในป่าทึบ ตามกิ่งก้านต้นไม้ยังมีใบไม้สีเหลืองอยู่ แต่ก็แตกใบอ่อนขึ้นมาแล้ว


ทว่าพอถึงฤดูใบไม้ผลิ ความรู้สึกของผู้คนก็จะเปลี่ยนไป ยามขึ้นป่าเขาแล้วมองห้วยหนองลำธารที่น้ำแข็งละลาย จะรู้สึกสดชื่นมาก


บนเขามีต้นชูการ์เมเปิลซึ่งเป็นจุดหมายแรกของพวกเขา เมื่อมาถึงทุกคนก็จัดวางข้าวของ ฉินสือโอวกับพาวลิสไปติดตั้งท่อเก็บเกี่ยวบนต้นเมเปิล พอท่อสเตนเลสใส่เข้าไปน้ำเลี้ยงต้นไม้หนาใสก็หยดออกมา



 

 

 


บทที่ 1079 การแก้แค้นของหมูป่า

 

ต้นชูการ์เมเปิลบนเขากับที่ฟาร์มปลาไม่เหมือนกัน ต้นที่ฟาร์มปลาจะมีคนงานมาเก็บน้ำเลี้ยงต้นชูการ์เมเปิลทุกปี เปลือกไม้ของลำต้นจึงพอดีไม่มีหลุดหยดออกมา แต่ต้นบนเขาต้องกำจัดน้ำเลี้ยงที่มีน้ำตาลเข้มข้นด้วยตัวเองผ่านช่องทางต่างๆ จนเปลือกไม้แทบระเบิด


แม้จะมีท่อนำการไหลของน้ำเลี้ยงแต่ก็ยังมีบางส่วนที่ไหลออกมาจากรอยแตกของเปลือกไม้ ฉงต้าเลยดีใจมาก มันเดินต้วมเตี้ยมรอบต้นสองรอบหารอยแตกที่ใหญ่ที่สุด แล้วแลบลิ้นเลีย


ฉินสือโอวรู้สึกว่าเปลือกไม้น่าจะสกปรกไปหน่อย วินนี่กลับส่ายบอกว่า “ปล่อยมันไปเถอะ ไม่ต้องไปเอาใจพวกมันมาก ให้มันได้อยู่ตามธรรมชาติดีกว่า จะได้มีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติเยอะๆ”


เออร์บักที่พักผ่อนอยู่อีกด้านหนึ่งพยักหน้า “วินนี่พูดถูกแล้ว”


วินนี่พาพวกมันไปคลุกคลีกับธรรมชาติให้มากที่สุด หู่จือเป้าจือขอแค่อยู่นอกบ้านจะกลิ้งบนโคลนน้ำหิมะยังไงก็ได้ ปอหลัวสามารถทำตัวดิบเถื่อนบนเขาได้เต็มที่ กระรอกดินขุดหลุมได้ตามสบาย แมวป่าไปซ่อนบนต้นไม้ล่านกที่เกาะอยู่


มีแค่ช่วงเย็นตอนกลับไปนอนวิลล่า วินนี่ถึงจะอาบน้ำให้พวกมันจนสะอาด เป็นแบบนี้ทุกวันซ้ำๆ ไม่ขาด


เชอร์ลี่ย์กางผ้าปูปิกนิกบนพื้นที่ราบที่เจอและวางเมลอนซึ่งห่อไว้อย่างแน่นหนาด้านบน ซิมบ้าและหลัวปอมานั่งประกบซ้ายขวาด้วย แต่พวกมันรู้สึกว่าตำแหน่งไม่ค่อยสบายเท่าไร จึงงึมงำเปลี่ยนท่าเล็กน้อย ซิมบ้าปล่อยให้เชอร์ลี่ย์ยื่นมือมาลูบหัวและดึงเข้าไปกอดในอ้อมแขน


การเก็บเกี่ยวน้ำเลี้ยงต้นไม้แต่ละถังเป็นไปอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวลองทดสอบความเหนียว รู้สึกว่ามันเหนียวหนึบยิ่งกว่าต้นชูการ์เมเปิลที่วิลล่าเสียอีก พอดูดชิมดูก็พบว่าขนาดความหวานก็ยังมากกว่า อาจเพราะต้นบนเขาสะสมน้ำตาลมาหลายปีก็ได้


ฉงต้าเลียสักพักก็วิ่งกลับมาอย่างสุขใจ ขนบนหน้าตุ้ยนุ้ยเหนียวติดกัน อุ้งเท้าชุ่มโชก มันกลับมานั่งเลียอุ้งเท้าเองโดยไม่ต้องสอน ทั้งหน้าตุ้ยนุ้ยเต็มไปด้วยความสุข


ต้าป๋ายค่อยๆ มุดไปตามต้นไม้ มันใช้ความสามารถของพอสซัมอเมริกาเหนือปีนขึ้นลงต้นไม้สองสามต้น กระทั่งเจอเสบียงถั่วเม็ดสนของกระรอกตัวหนึ่งเข้า อุ้งเท้าเล็กๆ หยิบยัดใส่ปากเก็บไว้เหมือนหนูแฮมสเตอร์ ปีนลงมาแล้วคายให้ฉงต้า


ฉงต้ากินถั่วเม็ดสนกรุบๆ พลางยื่นอุ้งเท้าไปให้ต้าป๋าย ต้าป๋ายลองเลียดูก็ส่ายหน้ากลับไปในบ้านมีแต่ของเล็กๆ หวานเลี่ยนที่ฉงต้าชอบกิน


หลังเก็บถังพลาสติกที่เต็มแล้ว วินนี่เอาถังเล็กทั้งหมดไปวางใต้ต้นไม้ ค่อยให้ชาวประมงขึ้นมาเก็บ ลำพังแค่พวกเขาไม่สามารถนำน้ำเชื่อมเมเปิลพวกนี้ลงไปได้ ถังใบหนึ่งจุได้ 2.5 ลิตร แต่พวกเขาเอาขึ้นมาห้าสิบกว่าถัง


เมื่อเห็นน้ำเลี้ยงต้นไม้เต็มถังฉงต้าก็มีความสุขมาก ตอนฉินสือโอวเรียกมันให้ไปได้แล้ว มันก็ร้องอย่างอาลัยอาวรณ์ สุดท้ายไม่มีทางเลือกพอเห็นทุกคนเดินไปไกลแล้ว มันก็จงใจฉี่ใส่รอบๆ ถังเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีสัตว์ป่ามายุ่งกับน้ำเชื่อมของมัน


นี่คือน้ำเชื่อมเมเปิลของฉงต้า ห้ามใครแตะ


ลมภูเขาพัดผ่าน ดวงอาทิตย์บนยอดเขาสาดความร้อน เมื่อปีนมาถึงไหล่เขาฉินสือโอวก็เริ่มถอดเสื้อขณะที่กอร์ดอนถอดเสื้อนอกไปก่อนแล้ว ใส่แค่เสื้อยืดแขนสั้น เต็มเปี่ยมด้วยพลังของคนวัยเยาว์


เออร์บักมองความมีชีวิตชีวาของเด็กๆ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เขารู้สึกว่าอายุตัวเองก็ไม่น้อยแต่กลับเดินขึ้นเขาได้อย่างคล่องแคล่ว


ฉินสือโอวเลือกพื้นที่โล่งบนไหล่เขาตั้งเตาแก๊สพกพากับหม้อเตรียมทำอาหาร ได้เวลาเจ้าพวกเด็กๆ จะแสดงฝีมือตัวเองกันแล้ว


หู่จือและเป้าจือออกโจมตี ค้นหาไก่ฟ้า กระต่ายป่า ฉงต้าก็ไปหาเหยื่อกับต้าป๋าย ซิมบ้าปีนต้นไม้กระโดดไปตามก้อนหินหารังนกแล้วเอาไข่นกมา และปอหลัวค้นหาเบอร์รีที่ถูกรักษาสภาพไว้ด้วยฤดูหนาว


บุชนั้นดุเดือดที่สุด บินจับลูกกวางหางขาวตัวหนึ่ง กวางหางขาวตัวนี้เพิ่งเกิดได้ไม่นาน ขนบนตัวยังไม่ทันขึ้นเต็มที่เลย แถมเพิ่งจะยืนขึ้นวิ่งเป็นด้วย


พอโดนอินทรีจับเช่นนั้น กวางน้อยก็ตายทันที ฉินสือโอวไม่อยากล่าสัตว์ป่าขนาดใหญ่ เพราะปริมาณการกินของพวกเขามีจำกัด และยังมีแฮมเบอร์เกอร์กับติ่มซำที่เอามาเองอีก ทำให้กินได้ไม่เยอะ สัตว์ตัวใหญ่อย่างหมูป่า กวางป่าจึงเป็นการสิ้นเปลืองเปล่าๆ


แต่กระดูกสันหลังของกวางโดนจับไว้จนแทบหักแล้ว ไม่มีทางรอดแน่ ฉินสือโอวจำต้องยิงธนูใส่มัน เพื่อให้มันไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไป


เพิ่งจัดการลูกกวางไป ฉงต้าก็กลับมาพร้อมคาบลูกหมูป่าขนาดกลางอีก!


ฉินสือโอวเริ่มมึน เจ้าเด็กพวกนี้กำลังแข่งกันล่าเหยื่ออยู่หรือไง? กระต่ายป่ากับไก่ฟ้าก็พอแล้ว ใครจะไปจัดการกวางกับหมูป่าไหวกัน?


ลูกหมูป่านั้นน่าอนาถยิ่งกว่า ฉงต้าใช้อุ้งเท้าตบหัวมันทีเดียวแตก เจ้าตัวนี้จึงตายทันที


ฉินสือโอวได้แต่ต้องถลกหนังกวางหางขาวกับหมูป่า และนำเนื้อมาหั่นเป็นชิ้นๆ ระหว่างนั้นหู่จือกับเป้าจือก็ไปล่าพวกกระต่ายป่ากับไก่ฟ้ามาอีกโดยไม่จำเป็น ซึ่งพวกเขากินไม่หมดกันแน่นอน


ซุบตุ๋นไก่ฟ้าเฮเซลสองตัว กระต่ายป่ากับเป็ดเอาไปย่าง ส่วนเนื้อหมูป่ากับเนื้อกวางทำเป็นเนื้อนึ่ง สามารถกินกับเบอร์เกอร์ได้ รสชาติไม่เลวเลย


ขณะจวนจะเตรียมอาหารเสร็จแล้ว หู่จือเป้าจือที่นั่งเงียบๆ ข้างฉินสือโอวจู่ๆ ก็ผุดลุกขึ้น หูพวกมันกระดิกไปมา จ้องไปด้านหลังอย่างระแวดระวังพร้อมคำรามเสียงดัง “โฮ่งๆๆๆ! บรู๋ว!”


ตอนทั้งสองตัวเห่าฉินสือโอวยังไม่ได้สนใจอะไร กระทั่งพวกมันส่งเสียงหอน เขาถึงรู้ว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่ ขนาดทำให้หู่จือเป้าจือเปลี่ยนไปส่งเสียงแบบนั้น แสดงว่ากำลังมีอันตรายเข้ามา


เขารีบหยิบธนูคอมพาวด์ ส่งสัญญาณให้วินนี่และพวกเชอร์ลี่ย์มาอยู่ข้างๆ ตัวเขา


พวกเด็กๆ มารวมพลกัน ทันทีที่หู่จือเป้าจือเรียก ฉงต้าก็รีบลุกขึ้น ปอหลัวพ่นลมหายใจฟืดฟาดเพิ่มความแข็งแรงและพละกำลังให้เขา หลัวปอและซิมบ้าตามมาสมทบทีหลังท่าทางดูระมัดระวังไม่ต่างกัน


แคลร์น้อยเข้ามาแจมอยากลุยด้วย ฉินสือโอวจับมันโยนไปทางกอร์ดอน ปรากฏว่าเจ้าเด็กน้อยโมโหจนร้องแกว๊กๆ พร้อมกระพือปีก ท่าทางอยากไปช่วยสู้ด้วย


ร่างใหญ่หลายร่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงชายป่า ใจฉินสือโอวพลันหนักอึ้งทันทีที่เห็น เป็นฝูงหมูป่า ทุกตัวน่าจะราวสองสามร้อยกิโลกรัมหรืออาจมากกว่านั้น!


สำหรับหมูป่า หากมันหนักถึงสองสามร้อยกิโลกรัมก็แทบไม่ต่างจากวัวขนาดเล็กเลย เขี้ยวพวกมันสูงยาว กล้ามเนื้อบนร่างเป็นมัด พอมาเป็นฝูงอย่างนี้ความกดดันยิ่งทรงพลัง


แต่พวกหู่เป้าฉงหลัวไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย พวกมันกระจายตัวเป็นครึ่งวงกลมโดยมีฉงต้าอยู่ตรงกลาง คอยปกป้องพวกฉินสือโอวที่อยู่ข้างหลัง แล้วจ้องคู่ต่อสู้ที่ตัวใหญ่กว่าตัวเองด้วยความดุร้าย สะสมพลังเตรียมพร้อมสำหรับการปะทะ


ฉินสือโอวลองนับ มีหมูป่าทั้งหมดห้าตัว นับว่าไม่มาก แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับพวกนี้ ก็ยังน่ากลัวอยู่ดี


หมูป่าห้าตัวหนักสองร้อยกว่ากิโลกรัมมากกว่าหนึ่งตัน ถ้าโดนพุ่งชนขึ้นมา แรงกระแทกอันรุนแรงเพียงพอจะทำให้คนกลุ่มหนึ่งจุกจนขยับไปไหนไม่ได้



 

 

 


บทที่ 1080 ฝูงปูลงทะเล

 

เมื่อเห็นหมูป่าโตเต็มวัยที่แข็งแกร่งพวกนั้น ฉินสือโอวก็แอบหงุดหงิด บ้าเอ๊ย ครั้งนี้ประมาทเกินไปจริงๆ


ทีแรกตอนเขาตัดสินใจจะขึ้นเขา นีลเซ็นกับแบล็คไนฟ์ก็อยากมาเป็นเพื่อนด้วย ตอนนั้นที่พวกเขากังวลคือฝูงหมาป่า ช่วงฤดูใบไม้ผลิหมาป่าจะขาดแคลนอาหาร ความดุร้ายจึงมากกว่าปกติ หากได้ประจันหน้ากันคงไม่ต่างจากสนามรบ


ฉินสือโอวคิดว่าไม่จำเป็น หมาป่าออกมาหาอาหารตอนกลางวันน้อยมาก และพวกเขายังเดินตามเส้นทางท่องเที่ยว ปีหนึ่งมีนักท่องเที่ยวมาเดินมากมาย ยังไม่เคยได้ยินว่าเจอหมาป่ากัน นอกจากนี้เขาก็พาพวกหู่เป้าฉงหลัวไปด้วย มีสัตว์นักล่าสภาพโตเต็มวัยอยู่ หมาป่าย่อมไม่กล้าโจมตีพวกเขาง่ายๆ


การออกไปเที่ยวภูเขาครั้งนี้ เขากับวินนี่ตั้งใจจะไปเที่ยวกันแบบครอบครัว ไม่มีชาวประมงหรือทหารไปด้วย ไม่คิดว่าพวกเขาจะคำนวณพลาด ไม่ได้เจอหมาป่าแต่เจอหมูป่าแทน


เจอหมูป่าก็ยังดีกว่าหมาป่า หมูป่าแคนาดาไม่เหมือนกับหมูป่าในป่าเขาทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน หมูพวกนี้เป็นหมูบ้านที่หนีขึ้นเขาไปแล้วกลายเป็นหมูป่าทีหลัง นิสัยไม่ได้ดุร้ายนักเลยไม่เข้าจู่โจมทันทีที่เจอ


ก่อนขึ้นเขาฉินสือโอวไม่ได้นึกถึงกรณีของหมูป่า ส่วนใหญ่เพราะพวกมันไม่ได้ดุร้าย แถมพวกเขามีกันหลายคนพร้อมหู่เป้าฉงหลัว หมูป่าย่อมเลือกหนีก่อนเป็นอันดับแรกไม่จู่โจมอยู่แล้ว


อย่างไรก็ตามสถานการณ์นี้ค่อนข้างพิเศษ เจอพวกหู่เป้าฉงหลัวเข้าไปนอกจากไม่กลัวไม่หนีแล้ว ยังประจันหน้าพ่นลมหายใจฟืดฟาด กระทุ้งเขี้ยวกับพื้นรุนแรงจนดินกระจาย ดูน่าหวั่นเกรง


แต่หมูป่าเหล่านั้นไม่ได้เล็งมาทางพวกฉินสือโอที่อยู่ด้านหลัง กลับจ้องฉงต้าเขม็ง แววตาโกรธเคืองล้วนจับจ้องที่ตัวมัน


การที่สัตว์ป่าจู่โจม มีแค่ไม่กี่กรณี สู้เพื่ออาณาเขต สู้เพื่อจับคู่ หาอาหาร


แน่นอนว่าฝูงหมูป่าไม่ได้มาเพราะสองเหตุผลแรก แต่เพราะมาหาอาหาร งั้นพวกมันก็ควรจะจู่โจมพวกฉินสือโอวสิ ไม่ใช่ไปเล็งที่ฉงต้า อย่างที่รู้กันว่าหมีสีน้ำตาลเป็นเจ้าแห่งป่าเขา หมูป่ายิ่งไม่กล้าหาเรื่องกับมัน


เหตุการณ์ตอนนี้ฉินสือโอวคิดเชื่อมโยงไปถึงลูกหมูป่าที่ฉงต้าคาบกลับมา เลยเดาเหตุผลออกทันที หมูป่าพวกนี้มาเพื่อแก้แค้น ลูกหมูป่าที่ฉงต้าฆ่าไปต้องอยู่ในฝูงนี้แน่


สถานการณ์ค่อนข้างเสี่ยง ฉินสือโอวไม่มีเวลาให้คิดมาก เขาสะบัดมือกางคันธนูออก พร้อมลูกศรปลายแหลมสองลูกตรงสายธนู เกร็งแขนดึงธนูจนเป็นรูปพระจันทร์


เออร์บักยกปืนลูกซองเรมิงตันที่แบกมาตลอดทางขึ้นมา สภาพจิตใจของนายทนายเก่าย่อมดีกว่าฉินสือโอวมาก สีหน้าเยือกเย็น แววตาแหลมคม เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า “ไม่เป็นไร นายจัดการตัวหนึ่งฉันจัดการตัวหนึ่ง อีกสามตัวที่เหลือก็ให้พวกเด็กๆ ไป!”


วินนี่กันพวกเด็กวัยรุ่นไว้ข้างหลัง พาวลิสหยิบท่อนไม้ติดไฟมาถือไว้บ้าง แล้วตะโกนว่า “พี่วินนี่ มาอยู่ด้านหลังผมไว้!”


ยิ่งการเผชิญหน้ากินเวลานาน ความตึงเครียดก็ยิ่งมากขึ้น หู่จือ เป้าจือคำรามไม่หยุด ฉงต้ากับหลัวปอคำรามตามเพื่อข่มขวัญหมูป่าห้าตัว


พวกหมูป่าตัวใหญ่ระดมพล ความกล้าหาญเพิ่มขึ้นไร้ความกลัว ยังคงยกเขี้ยวแหลมคมขึ้นเตรียมเข้าโจมตี


ตอนนั้นเองวอล์คกี้ทอล์คกี้ที่ฉินสือโอวห้อยไว้บนไหล่ก็ส่งเสียง “ปิ๊บๆ นี่มิลเลอร์นะ เราได้ยินเสียงหมากับสัตว์ป่า นั่นฉินใช่ไหม? พวกนายอยู่ไหนน่ะ? กำลังเจอปัญหาหรือเปล่า?”


เงินที่ฉินสือโอวจ่ายค่าติดตั้งสถานีสัญญาณวิทยุไปในที่สุดก็มีประโยชน์เสียที เขาตอบว่า “พวกเราอยู่บนไหล่เขาเขตสอง ใช่ เรากำลังเจอปัญหาอยู่ หมูป่าฝูงหนึ่งล้อมพวกเราอยู่”


สิ้นเสียงเขา ก็มีเสียงยิงปืนดังขึ้นไม่ไกล และเสียงคำรามของหมาล่าเนื้อที่ตรงเข้ามาทางพวกเขา


เสียงยิงปืนทำพวกหมูป่าตื่นตระหนก สัญชาตญาณของพวกมันต้องการเปิดการโจมตี แต่เสียงเห่าหอนของหมาล่าเนื้อที่ไล่หลังมาก็ทำพวกมันหวาดกลัว เออร์บักฉวยโอกาสยิงไปที่ต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง เรมิงตันลั่นไกเสียงดังลั่น ทำชั้นเปลือกไม้ลอยกระเด็น!


ด้วยการโจมตีสองด้าน ในที่สุดหมูป่าก็หวาดกลัว พวกมันร้อง ‘อู๊ดๆๆ’ พลางมองฉงต้าอย่างโกรธแค้นทีหนึ่ง ก่อนจะหนีเข้าไปในป่าด้านหลัง พุ่งชนพุ่มไม้แห้งลับสายตาไป


เมื่อถึงตรงนี้ฉินสือโอวถึงถอนหายใจโล่งอก แต่พอมองไปยังทิศที่ฝูงหมูป่าหนีไปก็อดกลัวไม่ได้ พุ่มไม้ถูกบดขยี้ถูกชนล้ม  ต้นไม้ต้นเล็กบางส่วนก็โดนโค่นหัก ถ้าเกิดฝูงหมูป่าพุ่งมาทางพวกเขาละก็…


ต้องขอบคุณที่เป็นหมูป่าแคนาดาไม่ใช่หมูป่าตามป่าเขาจีน ไม่งั้นวันนี้คงทำฉินสือโอวเสียใจแย่!


ไกลกว่าที่ตาเห็น หลังพวกหมูป่าจากไปได้สองนาทีกว่า หมาล่าเนื้อที่เห่าหอนก่อนหน้านี้จึงวิ่งมาถึงที่นี่ เช่นเดียวกับเจ้าของ เป็นเวลาสิบนาทีต่อมา ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นศึกตัดสินแพ้ชนะระหว่างฝูงหมูป่ากับพวกฉินสือโอว


มิลเลอร์เจ้าของร้านกาแฟในเมือง เป็นคนหนุ่มที่มีชีวิตชีวา เขากับเพื่อนอีกหลายคนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ถามว่า “ไม่เป็นไรใช่ไหมพวก?”


ฉินสือโอวส่ายหัวยิ้มขมตอบ “ขอบคุณพวกนายมากที่มาช่วยได้ทันเวลาเลย น่ากลัวแต่ก็ปลอดภัยดี ให้ตายเถอะ ขึ้นเขารอบหน้าต้องพาคนมาเยอะกว่านี้แล้ว”


พอโดนฝูงหมูป่าทำเสียขวัญขนาดนั้น พวกฉินสือโอวก็ไม่สนใจอยู่เที่ยวบนเขาต่อแล้ว ทว่าโชคดีที่พวกมิลเลอร์มาพอดี พวกเขาจึงเอานำเนื้อกวางกับเนื้อหมูป่ามาย่างกินด้วยกันได้


หลังแยกย้าย ฉินสือโอวลงเขามาพวกชาวประมงก็แปลกใจว่าทำไมถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ เขาเล่าเรื่องที่ฉงต้าก่อเรื่องให้ฟัง ชาร์คเองก็อดกังวลไม่ได้ “อย่าไปหาเรื่องหมูป่าเชียว โดยเฉพาะฝูงหมูป่า วันนี้พูดได้แค่ว่าพระเจ้าคุ้มครองแท้ๆ ปกติพวกมันไม่ค่อยขี้ตื่นกันนักหรอก”


มาคิดๆ ดูหมูป่าตัวใหญ่ก็รูปร่างเหมือนรถถังขนาดเล็กอยู่ น่ากลัวจริงๆ


สุดสัปดาห์ผ่านไป ปูดันเจเนสส์ที่ฉินสือโอวสั่งมาถึงแล้ว ล็อตหนึ่งเป็นแม่ปูและอีกล็อตเป็นลูกปู ขายตามน้ำหนัก แม่ปูได้ห้าสิบดอลลาร์แคนาดาต่อหนึ่งกิโลกรัม ส่วนลูกปูสิบดอลลาร์แคนาดาต่อหนึ่งกิโลกรัม


ปูดันเจเนสส์จะถูกบรรจุไว้ในกรงบนเรือสินค้า ในการเคลื่อนย้ายแต่ละกรงเพื่อไปชั่งน้ำหนัก แม่ปูตัวหนึ่งต้องหนักไม่น้อยกว่าหนึ่งกิโลกรัม และลูกปูไม่จำกัดขนาด แต่ในหนึ่งกิโลกรัมต้องมียี่สิบตัวขึ้นไปเพราะเป็นลูกปู


กรงที่ใช้ขนส่งกุ้งต้องไม่ใช่กรงขนาดเล็กแบบตอนจับปลา กรงหนึ่งต้องมีความยาวห้าหกเมตร กว้างสองเมตร สูงหนึ่งเมตร ขนาดที่ต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงห้าหกคนถึงจะยกได้


แต่ละกรงจะถูกดันไปชั่งน้ำหนักบนตาชั่งอิเล็กทรอนิกส์ แล้วเปิดกรงปล่อยบนชายหาด ตอนนั้นเอง ปูที่อยู่ด้านในก็จะออกมาบนหาด ยกก้ามใหญ่ขึ้นอวดและวิ่งหนีไปทางทะเล


สุดท้ายที่เหลืออยู่ก็จะมีแค่ซากปูที่ไม่ขยับแล้ว แต่ก็ยังต้องเอาไปชั่ง พวกนี้ฉินสือโอวจ่ายแค่ครึ่งราคาก็พอ


กรงปูที่ได้มาทั้งหมดมีแม่ปูสี่ตันกับลูกปูสิบตัน แม่ปูราคาสองแสนดอลลาร์ ลูกปูหนึ่งแสนดอลลาร์ ธุรกิจนี้รวมทั้งหมดเป็นสามแสนดอลลาร์ โดยฉินสือโอวรับผิดชอบค่าขนส่งด้วย สุดท้ายจึงเป็นสามแสนสี่หมื่นดอลลาร์แคนาดา



 

 

 


บทที่ 1081 โครงการเพาะพันธุ์รูปแบบใหม่

 

เมื่อปูดันเจเนสส์มาถึง คนที่ยุ่งที่สุดก็คือศาสตราจารย์แซนเดอร์ส เขาต้องเป็นคนรับผิดชอบปูแสนมีค่าพวกนี้ อย่างที่รู้ว่ามันมีมูลค่าถึงสามแสนสี่หมื่นดอลลาร์แคนาดา ถ้าการเพาะพันธุ์สำเร็จด้วยดี ก็จะเป็นสามล้านสี่แสนดอลลาร์หรืออาจจะมากถึงสามสิบสี่ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว!


เดิมทีฉินสือโอวแค่ให้แซนเดอร์สตั้งชื่อให้ เขาไม่ได้คาดหวังว่าศาสตราจารย์จะมีวิธีแก้ปัญหานี้จริงๆ จากผลิตผลเฉพาะของแปซิฟิกเหนือกลายเป็นสิ่งที่หาได้ทั่วไปในแอตแลนติกเหนือ


แต่แซนเดอร์สไม่ได้คิดอย่างนั้น หลังจากที่เขาได้รับมอบหมายจากฉินสือโอวก็ตั้งใจกับเรื่องนี้มาก ปกตินอกจากวิจัยเปลือกแข็งของแมลงยักษ์โบราณ เวลาอื่นเขาก็จะครุ่นคิดเกี่ยวกับปัญหาการเพาะเลี้ยงปูในทะเลแอตแลนติกเหนือกับผู้เชี่ยวชาญด้านปูดันเจเนสส์


ปัญหาที่กลุ่มวิจัยปูดันเจเนสส์ประสบตลอดมาคือไม่รู้ว่าทำไมปูชนิดนี้ถึงไม่สามารถอาศัยอยู่ในทะเลแอตแลนติกเหนือได้ พวกเขาทั้งพิจารณาตัวแปรแสง ค่าความเป็นกรด อุณหภูมิ อาหารและคุณภาพน้ำ วิจัยแม้กระทั่งความต่างของจุลธาตุในน้ำทะเลต่างๆ แต่ทว่าก็ยังไม่พบสาเหตุอยู่ดี


อย่างที่เขาว่ากันว่าต้องใช้ยารักษาให้ตรงโรค ในเมื่อไม่รู้อาการต่อให้เป็นปรมาจารย์แพทย์แผนจีน ก็คงสั่งยาให้ไม่ได้


แซนเดอร์สทำได้แค่เพาะพันธุ์แบบอนุรักษนิยมไปก่อน ระหว่างนั้นทีมวิจัยโครงการก็ได้ค้นพบวิธีเพาะพันธุ์ใหม่ นั่นคือ ‘ระบบวิศวกรรมการเพาะพันธุ์’ สำหรับขยายพันธุ์ปูดันเจเนสส์


ช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาบริษัทขนส่งได้ส่งชิ้นส่วนคอมโพสิตมาจำนวนมาก คนงานก่อสร้างวิลล่ามาขุดบ่อน้ำสิบกว่าบ่อบนฝั่งชายหาด วุ่นวายกับการสร้างฟาร์มเพาะพันธุ์


บ่อน้ำถูกขุดลึกกว่าสองเมตร โดยใช้ชิ้นส่วนคอมโพสิตทำเป็นบ่อยาว 20 เมตร กว้าง 10 เมตร แล้วให้ปูตัวเมียและลูกปูหนีเข้ามาในบ่อนี้


สีหน้าของฉินสือโอวเต็มไปด้วยความสงสัย ตามที่แซนเดอร์สแนะนำหลังปูดันเจเนสส์มาส่งให้นำไปไว้บนหาดทรายรอบๆ บ่อน้ำพวกนี้ น้ำข้างในก็เอามาจากน้ำที่เรือขนส่งสูบมา


การที่ค่าขนส่งแพงขนาดนี้ ก็เพราะนอกจากขนปูดันเจเนสส์มากับเรือแล้วยังมีน้ำทะเลในนั้นอีก ไม่อย่างนั้นหากปูถูกส่งมาตลอดทางโดยไม่มีน้ำคงตายไปเรียบร้อยแล้ว


พอเรือขนส่งมาถึงจุดหมาย น้ำด้านในก็โดนปล่อยออกมา เมื่อไม่มีปูดันเจเนสส์น้ำทะเลข้างในก็ไร้ค่า แต่แซนเดอร์สไม่ให้พวกเขาปล่อยน้ำทิ้ง กลับย้ายไปใส่ในบ่อน้ำแทน


พอเห็นฉินสือโอวแปลกใจ แซนเดอร์สจึงอธิบายว่า “บอสคุณรู้จักระบบวิศวกรรมการเพาะพันธุ์ไหม? รอบนี้ผมใช้วิธีการเลี้ยงสัตว์น้ำในระบบน้ำหมุนเวียน (Recirculating Aquaculture System) ใช้วิธีการค่อยๆ ปรับตัวทำให้ปูดันเจเนสส์คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมพวกเรา”


บ่อน้ำทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นมามีพื้นที่ประมาณสี่ห้าร้อยไร่ตลอดแนวชายฝั่ง ส่วนใหญ่อยู่ตรงฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอท


บ่อน้ำสิบกว่าบ่อถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ด้านหนึ่งเป็นแหล่งน้ำสะอาด 100 ไร่จุดแรก และอีกด้านเป็นแหล่งน้ำสะอาด 150 ไร่จุดที่สอง ตรงกลางแหล่งน้ำทั้งสองมีพื้นที่เพาะพันธุ์หลัก 50 ไร่ รวมทั้งหมดเป็นบ่อน้ำหนึ่งร้อยบ่อ โดยใต้บ่อเลี้ยงทุกบ่อได้มีการติดตั้งสายเติมออกซิเจนเอาไว้


พอเห็นบ่อน้ำพวกนี้ ฉินสือโอวก็อดตะลึงไม่ได้ “ทุนของคุณมีเยอะพอสำหรับชิ้นส่วนคอมโพสิตกับเครื่องเติมออกซิเจนมากมายขนาดนี้เชียว คุณได้เงินมาเท่าไรกันเนี่ย?”


พูดจบเขาก็รู้ตัว “เดี๋ยวนะ ศาสตราจารย์ คุณไปเอาทุนวิจัยมาจากไหนกันแน่?”


แซนเดอร์สตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “นี่เป็นของที่ผมเช่ามา ถ้าเทคโนโลยีนี้มีประโยชน์จริง พวกเราค่อยซื้ออุปกรณ์พวกนี้ก็ได้ ถ้าไม่ก็ส่งคืนพวกเขาไป”


ฉินสือโอวพยักหน้า แต่พลันตระหนักว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง “ผมถามคุณว่าไปเอาทุนวิจัยมาจากไหนต่างหาก?”


แซนเดอร์สเอ่ยเฉื่อยๆ “ก็ต้องมาจากการรับรองของคุณแน่นอนอยู่แล้วสิครับบอส”


ฉินสือโอวแทบโมโห “หมายความว่าอย่างไร? ผมไปรับรองให้คุณซื้ออุปกรณ์พวกนี้ตั้งแต่เมื่อไร?”


แซนเดอร์สตอบ “ไม่ได้ซื้อครับเช่าต่างหาก ตอนที่คุณจ้างผมไม่ใช่คุณให้สมุดเช็คมาเพื่อเบิกค่าทุนวิจัยได้โดยตรงเหรอ?”


“ก็ใช่ ผมให้สิทธิ์ในการเบิกทุนวิจัยได้เสรีกับคุณ แต่…ผมไม่ได้สนใจว่าคุณซื้อหรือเช่ามา ผมแค่อยากรู้ว่ามันเท่าไร?” ฉินสือโอวหงุดหงิดเหลือทน แซนเดอร์สที่ดูเหมือนปัญญาชนผู้ซื่อสัตย์ ทำไมถึงเจ้าเล่ห์อย่างนี้?


แซนเดอร์สตอบ “ไม่เท่าไรหรอก ห้าหมื่นดอลลาร์เอง”


ฉินสือโอวพยักหน้า ก็ไม่เยอะเท่าไรจริงๆ งั้นให้เขาจัดการไปนั่นแหละ


“ซึ่งห้าหมื่นดอลลาร์นั้นเป็นค่าเช่าของหนึ่งอาทิตย์” ศาสตราจารย์กล่าวเสริม


ฉินสือโอวโกรธขึ้นมาทันที “เดือนหนึ่งสองแสนเลยเหรอ? ผมซื้อปูมาตั้งเยอะยังใช้แค่สามแสนเองนะ!”


ศาสตราจารย์พยายามเกลี้ยกล่อมอย่างมุ่งมั่น “วิสัยทัศน์ครับ บอส วิสัยทัศน์ของคุณต้องกว้างไกล ทำไมรูปแบบของคุณถึงเล็กน้อยอย่างนี้? ก็จริงที่ตอนนี้มีเงินทุนอยู่เยอะ แต่ถ้าทำสำเร็จก็จะได้กำไรถึงสิบหรือร้อยเท่าเลยนะ!”


ฉินสือโอวโมโห นายกล้าเยาะเย้ยรูปแบบของฉันเหรอ? ฝูงปูพวกนี้ยังไงก็รอดอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้ไอ้เทคโนโลยีใหม่อะไรนั่นด้วยซ้ำ เขาสามารถรับประกันได้เลยว่าปูดันเจเนสส์อยู่ในทะเลแอตแลนติกเหนือได้แน่ ดังนั้นในเมื่อเป็นอย่างนี้ยังจะเปลืองเงินไปทำไมอีก?


ศาสตราจารย์แซนเดอร์สเข้าใจว่าฉินสือโอวเสียดายเงิน จึงอธิบายเพิ่ม “บอส คุณอย่าคิดว่าระบบการเพาะพันธุ์นี้จะใช้ได้แค่กับปูดันเจเนสส์สิครับ ความจริงยังสามารถทำเป็นการเพาะพันธุ์ร่วมกันโดยสมบูรณ์ได้ด้วย”


“คุณดูฝั่งแหล่งน้ำสะอาดพวกนี้สิ มันยังสามารถนำมาใช้เพาะพันธุ์ผลผลิตทางทะเลที่มีค่าได้อีก อย่างเช่นพวกปลิงทะเล ปลาไหล ล็อบสเตอร์ นอกจากนี้การขยายพันธุ์ในที่แบบนี้ความเร็วในการเจริญเติบโตของสัตว์ทะเลจะเร็วยิ่งกว่าในทะเล และเนื้อฉ่ำกว่าด้วย!”


ส่วนที่สำคัญที่สุดในระบบการเพาะพันธุ์ก็คือพื้นที่เพาะพันธุ์หลักห้าสิบไร่ตรงกลางนั่นเอง ซึ่งน้ำในพื้นที่นั้นเป็นน้ำทะเลจากแปซิฟิกเหนือ เลยนำปูดันเจเนสส์ทั้งหมดมาเบียดเสียดแออัดกันไว้ในนี้


ฉินสือโอวกังวลว่าพวกปูอาจโดนทับตายในนั้น แต่แซนเดอร์สยักไหล่ตอบว่า “ปูดันเจเนสส์ไม่ได้ต้องการพื้นที่มาก สิ่งจำเป็นสำหรับพวกมันคือออกซิเจนที่เพียงพอ และผมก็ติดตั้งสายเติมออกซิเจน รวมถึงใช้ปั๊มน้ำเร่งการหมุนเวียนของน้ำทะเลระหว่างส่วนเพาะพันธุ์กับส่วนน้ำสะอาดไว้ ช่วยรับประกันอัตราการอยู่รอดของปูดันเจเนสส์ได้”


จากนั้นแซนเดอร์สก็แนะนำถึงการวิจัยปูดันเจเนสส์ ทางทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยโทรอนโตเชื่อว่าสาเหตุที่ทำให้ปูดันเจเนสส์ไม่สามารถมีชีวิตรอดได้เมื่อออกจากทะเลแปซิฟิกเหนือไปยังทะเลแอตแลนติกเหนือนั้น อาจเกี่ยวกับปริมาณการกักเก็บออกซิเจนในน้ำทั้งสองแห่งก็เป็นได้


อย่างที่ทราบกันว่าปอดของปูนั้นอยู่ใต้กระดอง และรับออกซิเจนผ่านการกรองน้ำทะเล วิธีการรับออกซิเจนของพวกมันค่อนข้างต่างจากปูทั่วไป เมื่อปริมาณออกซิเจนในน้ำทะเลต่ำกว่าจุดวิกฤติจนไม่สามารถดูดซึมได้เพียงพอ จึงนำไปสู่การล้มตายของปูเป็นจำนวนมาก


ซึ่งการกักเก็บอากาศในน้ำของทะเลแอตแลนติกเหนือนั้นต่ำกว่าน้ำทะเลแปซิฟิก นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่จำกัดการอยู่รอดของปูดันเจเนสส์นั่นเอง แซนเดอร์สจึงเริ่มจากตรงนี้ โดยเสริมความสามารถในการดูดซึมออกซิเจนในน้ำของปูดันเจเนสส์ เพื่อให้พวกมันสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายกว่าเดิมได้



 

 

 


บทที่ 1082 มาถึงศูนย์กลางแห่งกำยานและ...

 

ปูดันเจเนสส์เป็นปูประเภทที่ค่อนข้างสงบเสงี่ยม โดยเฉพาะปูตัวเมีย ตอนถูกขนย้ายมาพวกมันต่างหวาดกลัวรีบวิ่งหนีลงไปยังสระน้ำ จากนั้นก็หาบริเวณที่เหมาะสม แล้วกอดก้ามเริ่มพักผ่อนอย่างเงียบๆ


พวกลูกปูจะมีชีวิตชีวามากกว่า ปีนขึ้นลงสระน้ำตามเกาะกลางไปมาจนถึงบ่อน้ำสะอาดทั้งสองด้าน กำลังวังชาล้นเหลือ ทำเอาฉินสือโอวสงสัยว่าต่อให้ตัวเองไม่ได้กรอกพลังโพไซดอนให้ พวกมันก็คงอยู่รอดในฟาร์มปลาได้


แน่นอนว่า คิดก็ส่วนคิด เพื่อความปลอดภัยเขาจะยังส่งพลังโพไซดอนให้พวกมันอยู่ดี


อีกด้านหนึ่ง แซนเดอร์สสั่งการให้เปิดเครื่องยนต์ เครื่องผลิตออกซิเจนเริ่มทำงาน เสียง ‘บุ๋งๆ’ ฟองอากาศสายหนึ่งปรากฏขึ้นทั่วทั้งบ่อ เครื่องเริ่มส่งอากาศเข้าสู่น้ำ


ด้วยการเสริมพลังโพไซดอนและออกซิเจนมากมาย พวกปูน้อยเลยพากันวิ่งคึกไปทั่วบ่อปานฉีดเลือดไก่[1]มา


ถึงพื้นที่ในบ่อจะไม่ได้เล็ก แต่เมื่อเจอปูเยอะขนาดนี้ก็ยังไม่พออยู่ดี ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกโพไซดอนลองตรวจสอบดู ก็พบว่าปูแทบจะล้นทะลักบ่อ พวกปูน้อยวิ่งวุ่นไปมาเพราะต้องการหาที่ที่กว้างว่านี้กัน


ไม่ยาก ฉินสือโอวทำการเปิดส่วนน้ำสะอาดสองฝั่งให้ปูน้อยผ่านเข้าไป


แซนเดอร์สไม่แนะนำให้เขาทำอย่างนั้น น้ำสองฝั่งนั้นนอกจากจะทำให้น้ำทะเลในส่วนเพาะพันธุ์สะอาดแล้ว ยังเป็นสถานที่ที่จะเคลื่อนย้ายปูไปในภายหลัง ซึ่งมีปริมาณออกซิเจนในน้ำต่ำกว่า เขาเชื่อว่าควรจะค่อยๆ เปลี่ยนสภาพแวดล้อมไปทีละนิดดีกว่า


แต่ฉินสือโอวจะไปมีเวลาทำตามขึ้นตอนขนาดนั้นได้ที่ไหนกัน?!


ตั้งแต่เริ่มส่วนเพาะพันธุ์นี้ แผนการการปรับปรุงฟาร์มปลาของศาสตราจารย์ก็เริ่มขึ้นเช่นกัน เขาทุ่มเทสติปัญญาและกำลังกับส่วนเพาะพันธุ์นี้ ไม่เพียงแค่เพื่อใช้ขยายพันธุ์ปูดันเจเนสส์ แต่ในอนาคตผลผลิตทางทะเลอะไรก็ตามที่ฟาร์มปลาจะนำเข้ามาล้วนต้องมาทำการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่นี่ก่อนทั้งนั้น เพื่อช่วยเพิ่มอัตราการอยู่รอดของพวกมันให้มากที่สุด


ด้วยการเพาะพันธุ์แบบรวมในสภาพแวดล้อมพิเศษนี้ ไม่เพียงช่วยให้สิ่งมีชีวิตทางทะเลคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน และยังมีประโยชน์ในการโปรยเหยื่อทีเดียว ซึ่งลดการสิ้นเปลืองต้นทุนได้


ตอนผลผลิตทางทะเลเพิ่งมาถึงฟาร์มปลา ต้องกินแค่เหยื่อที่เตรียมไว้ให้ก่อน หลังปรับตัวกันได้แล้วถึงค่อยให้พวกมันหาอาหารเอง


แซนเดอร์สสมกับที่เป็นนักวิชาการและนายช่าง ทันทีที่นำปูดันเจเนสส์มาไว้ในส่วนเพาะพันธุ์ เขาก็แทบจะย้ายมาอาศัยอยู่ที่ฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอท เพื่ออยู่เฝ้าพวกมันทั้งวัน


เพราะอากาศอุ่นขึ้นแล้วศาสตราจารย์จึงมาตั้งเต็นท์ตรงชายฝั่ง กินนอนและวิจัยอยู่ตรงนั้นเลย ท่าทีแสนรับผิดชอบนั้นทำเอาฉินสือโอวอยากกดไลก์ให้


พอส่งต่องานเรื่องปูดันเจเนสส์ให้ศาสตราจารย์แซนเดอร์สเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวนอกจากคอยมาแผ่พลังโพไซดอนอย่างสม่ำเสมอ เวลาอื่นก็ไม่ได้สนใจอีก ความสนใจของเขาย้ายไปยังน่านน้ำในประเทศโซมาเลียแล้ว และเตรียมตัวไปเก็บทองคำแท่งในเรือสีทอง


น่านน้ำโซมาเลียอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ตรงปากอ่าวของอ่าวเอเดน อุณหภูมิน้ำตลอดปีอยู่ที่ยี่สิบองศาเซลเซียสขึ้นไป สภาพอุณหภูมิร้อนชื้น ตั้งอยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรแค่สองร้อยกิโลเมตร


บิลลี่พบเรืออับปางนี้ห่างจากท่าเรือโมกาดิชูเมืองหลวงของโซมาเลียทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ราวสองร้อยหกสิบไมล์ทะเล ที่ความลึกหนึ่งพันแปดร้อยเมตร


ตามปกติหนึ่งพันแปดร้อยเมตรไม่ถือว่าลึกอะไร ด้วยเทคโนโลยีดำน้ำของมนุษยชาติในปัจจุบัน เรือดำน้ำที่ใช้กันทั่วไปก็สามารถไปถึงความลึกระดับนั้นได้แล้ว แบบนี้บิลลี่ไม่จำเป็นต้องให้ฉินสือโอวออกโรงด้วยซ้ำ


แต่ปัญหามันอยู่ที่ภายในประเทศโซมาเลียนั้นวุ่นวายมาก โจรสลัดเยอะทำให้การป้องกันลำบาก เรือมากมายที่ตอนกลางวันมาขนส่งหรือเดินทางทำธุรกิจ พอตกกลางคืนก็พากันปิดหน้าปิดชื่อเรือกลายเป็นเรือโจรสลัดไป


ดังนั้นหากจะจอดอยู่ในน่านน้ำโซมาเลียเป็นเวลานาน ก็ต้องแจ้งให้ทางรัฐบาลท้องถิ่นทราบก่อน ไม่งั้นจะถือว่าเป็นเรือโจรสลัด โดยเฉพาะเรือต่างชาติ


รัฐบาลโซมาเลียเป็นรัฐบาลอันธพาลหัวรุนแรงที่มีชื่อเสียง ทางสหประชาชาติและประเทศต่างๆ ในยุโรป อเมริกา และเอเชียต่างเรียกร้องให้พวกเขาจัดการกับพวกโจรสลัด ทว่าเรือโจรสลัดมากมายต่างก็มาจากที่ตัวเองสนับสนุนทั้งนั้น นี่เรียกว่าจัดการคนของตัวเองไหมนะ?


ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเล่นทำสงครามกันชุดหนึ่ง ตอนที่สหประชาชาติมอบกำลังโจมตีขนาดใหญ่ให้ พวกเขาก็ใช้วิธีเสียสละส่วนน้อยเพื่อส่วนมาก หาเรือสักลำโดยเฉพาะเรือต่างชาติมาเป็นเรือโจรสลัดแล้วโจมตี เป็นการแก้ขัดให้จบเรื่องไป


เพื่อปกป้องตัวเอง เรือพลเรือนที่มายังน่านน้ำโซมาเลียจะต้องทำการแจ้งก่อน แล้วรัฐบาลจะส่งคนขึ้นเรือตามมาด้วย ผู้ช่วยปกป้องจากการโดนโจรสลัดปล้นนั้นเป็นแค่ในนาม แท้จริงก็คือมาฉวยโอกาสเอาสินบนนั่นเอง


คนของรัฐบาลโซมาเลียนอกจากจะมาเพื่อหารายได้พิเศษ พวกเขายังคอยควบคุมดูแลไม่ให้เรือสินค้าพวกนี้ทิ้งขยะทุกชนิดลงในทะเลของพวกเขาด้วย


ในทศวรรษแรกของศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เนื่องจากความวุ่นวาย โซมาเลียจึงกลายเป็นประเทศตัวเลือกแรกที่รัฐบาลแต่ละประเทศมาทิ้งขยะอิเล็กทรอนิกส์และขยะเคมี แม้แต่ประเทศไร้ยางอายอย่างอเมริกากับรัสเซียที่ในภายหลังก็ยังมาเทขยะนิวเคลียร์ที่ประเทศของพวกเขา!


เลี้ยงหญ้าฆ่ากระต่ายได้[2]ชัดๆ เจ้าหน้าที่ตรวจตรายังต้องตรวจสอบว่าเรือเหล่านี้มาทำธุรกิจผิดกฎหมายหรือไม่ การจับปลาทุกอย่างในน่านน้ำโซมาเลียถือเป็นธุรกิจผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเรืออับปางหรือทรัพยากรปลากุ้งก็ไม่สามารถเข้ามาจับได้


แต่วิธีเผด็จการแบบนี้ก็ใช้จัดการรัฐบาลอันธพาลได้ผลดีทีเดียว เช่นเรือล่าวาฬญี่ปุ่นแทบไม่กล้าเข้ามาในน่านน้ำโซมาเลียเลย ถ้าถูกพบทางรัฐบาลจะตรงเข้าจับกุมทันทีและเรียกเงินชดใช้เป็นจำนวนมาก


บนเรือบิลลี่ไม่ได้นำพวกอุปกรณ์เก็บกู้น้ำลึกมาด้วย ไม่งั้นมันจะเป็นการบอกรัฐบาลโซมาเลียโต้งๆ ว่าพวกเขาเจอเรืออับปางไม่ใช่เหรอ? แบบนั้นเป็นการหาเรื่องโดนบีบคั้นเปล่าๆ รัฐบาลคงยินดีรอพวกเขาเก็บกู้เสร็จ แล้วส่งกองทัพเรือไปฉกฉวยเรืออับปางนี้แน่


เรือของบิลลี่เป็นเรือวิจัยทางวิทยาศาสตร์แค่ในนาม บอกว่ามาวิจัยการรักษาสภาพความเป็นอยู่ปัจจุบันของแนวปะการังในน่านน้ำโซมาเลีย ซึ่งภายในเรือติดตั้งอุปกรณ์วิเคราะห์สารเคมีไว้จำนวนหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วเอามาใช้วิเคราะห์แร่ทองในเรืออับปาง


แน่นอนว่าด้วยระดับความรู้ของเจ้าหน้าที่รัฐโซมาเลียที่ไม่เคยเรียนหนังสือ พวกเขาย่อมมองไม่ออกว่าอุปกรณ์พวกนี้แท้จริงใช้ทำอะไร


แต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐรู้ตัว บิลลี่จึงระมัดระวังตัวมาก เขาไม่ได้ติดต่อให้ฉินสือโอวมาเก็บกู้แร่ทองคำทันทีที่มาถึง แต่ค่อยๆ ทำเป็นสำรวจแนวปะการังน้ำตื้นแล้วไปยังน่านน้ำลึกอย่างช้าๆ


พอใกล้ถึงเวลาเก็บกู้ ฉินสือโอวก็จัดการแบ่งงานกับคนงานในฟาร์มปลา และไปโซมาเลียด้วยตัวเอง เพื่อประสานงานเรื่องการวิจัยแร่ทองในเรืออับปางกับบิลลี่


หลังเปลี่ยนเครื่องอยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็บินมาถึงน่านฟ้าโมกาดิชู


ก่อนจะมาฉินสือโอวได้ค้นคว้าเกี่ยวกับโซมาเลียและโมกาดิชูมาบ้าง ประเทศและเมืองหลวงนี้เคยมีความยอดเยี่ยมเหมือนกัน


ที่ทวีปแอฟริกา ตั้งแต่โบราณประเทศโซมาเลียได้ถูกยกย่องว่าเป็น ‘ประเทศแห่งกำยานและมดยอบ’ เป็นสถานที่ที่มีการผลิตกำยานกับมดยอบมากที่สุดและมีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน 1000 กว่าปีก่อนคริสต์ศักราช ชนชั้นสูงชาวอียิปต์คนหนึ่งที่มีชื่อว่า คันนู เขาถูกฟาโรห์ส่งมาซื้อเครื่องหอมที่โมกาดิชู หลังจากนั้นพ่อค้าชาวกรีซ เปอร์เซีย และจีนก็พากันทยอยเดินเรือเข้ามา


ช่วงศตวรรษที่ 12-13 เครื่องหอมของโมกาดิชูรุ่งเรืองจนกลายเป็นศูนย์กลางการค้ากำยานและมดยอบแห่งแรกของโลกเช่นเดียวกับงาช้างและหนัง


ทว่าในปัจจุบันเพราะความขัดแย้งภายใน ผู้กบฏร่วมกันก่อสงครามจนนำไปสู่ความเสื่อมโทรม ทำผู้คนอดทอดถอนใจไม่ได้


ก่อนหน้านี้พอรู้ว่าฉินสือโอวต้องไปโซมาเลีย วินนี่ก็กังวลแทบทนไม่ไหว เพราะเธอเคยบินไปมาแล้วทั่วโลก ย่อมรู้ว่าโซมาเลียในปัจจุบันเป็นอย่างไร แต่ฉินสือโอวลงนามทำธุรกิจไปแล้ว เธอเลยทำได้แค่ย้ำเตือนเขาให้ระวังตัวแต่ไม่สามารถห้ามเขาได้


…………………………………………..


[1] การฉีดเลือดไก่เป็นวิธีการรักษาที่นิยมในช่วงทศวรรษที่ 1960 เชื่อกันว่าเป็นยาวิเศษที่รักษาได้สารพัดโรค


[2] คำพังเพยกล่าวถึงชาวนาที่กำลังใช้มีดตัดหญ้า แล้วมีกระต่ายป่ากระโดดออกมาในจังหวะที่แกว่งมีดพอดี ชาวนาจึงได้เนื้อกระต่ายไปกิน หมายถึงได้โชคลาภที่คาดไม่ถึง



 

 

 


บทที่ 1083 เปิดโลกทัศน์

 

สนามบินนานาชาติโมกาดิชูเป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในโซมาเลีย ทันทีที่ตัดสินใจมาที่นี่ฉินสือโอวถึงได้รู้ว่า สงครามกลางเมืองในโซมาเลียกับการรุกรานของเอธิโอเปียนั้นนำไปสู่การทำลายสนามบินแห่งนี้หลายครั้ง ต่อมาแม้จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ตัวสนามบินก็ยังคงดูเรียบๆ หยาบๆ


ทว่าเขาไม่นึกว่ามันจะเรียบง่ายหยาบๆ ถึงขั้นนี้เสียหน่อย!


ภายในฟาร์มปลามีสนามบินเล็กๆ อยู่ ฉินสือโอวจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับสิ่งอำนวยความสะดวกในสนามบิน พอมาที่โมกาดิชูครั้งนี้เขาจ้างเครื่องบินโดยสารขนาดเล็กมาส่งเพราะจำนวนคนของพวกเขาค่อนข้างเยอะ มีพวกแบล็คไนฟ์สี่คน นีลเซ็นก็มาด้วย


เครื่องบินโดยสารขนาดเล็กบินอยู่เหนือสนามบิน ฉินสือโอวเจอหอบังคับการบิน ปกติมันถือเป็นสิ่งปลูกสร้างเชิงสัญลักษณ์ของสนามบิน แต่หอบังคับการบินของสนามบินโมกาดิชูเป็นสัญลักษณ์ที่ชัดเจนไปแล้ว หลังคาเหล็กชุบสังกะสีทาสีแดงสด เด่นสะดุดตาแต่เฉิ่มไปหน่อย


เครื่องบินบินวนบนอากาศ ฉินสือโอวพยายามกล้ำกลืนอาการพะอืดพะอม พอมองจากหน้าต่างลงไปข้างล่างเห็นสนามบินหลังหยาบๆ ก็ถอนใจอย่างอดไม่ไหว “นี่ใช่สนามบินเมืองหลวงของโซมาเลียจริงเหรอเนี่ย? ไม่อยากจะเชื่อเลย!”


แบล็คไนฟ์กล่าวอย่างเหนื่อยอ่อน “บอส นี่ไม่เท่าไรหรอกครับ รอคุณไปถึงถนนเมื่อไร เดี๋ยวก็รู้เองว่าอะไรคือน่าเหลือเชื่อ มีอะไรให้คุณไม่อยากเชื่ออีกหลายอย่างเลย!”


ขณะเครื่องบินโดยสารเตรียมลงจอด จู่ๆ นักบินก็คำรามเสียงดังออกมาจากห้องบังคับการ “อ๊าก บ้าเอ๊ย! อ๊าก ฟัคยู! แม่ง ฉันเกลียดโมกาดิชู ไปลงนรกซะไอ้เฮงซวย! ทำไมพระเจ้าไม่ทำลายที่นี่ไปเสียที? ฟัคยู ฟัคยู!”


ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เดินไปดูพลางเอ่ยว่า “เฮ้ พวก ใจเย็น ถ้าโมกาดิชูไปลงนรก เดี๋ยวก็ไม่มีคนจ้างคุณให้บินมาที่นี่หรอก แล้วคุณจะทำเงินได้อย่างไร? เอาล่ะ บอกผมหน่อยว่ามีอะไร? เกิดอะไรขึ้น?”


เครื่องบินลำนี้ฉินสือโอวเป็นคนเช่ามาจากบริษัทขนส่ง ซึ่งตัวนักบินก็รู้เรื่องนี้ ดังนั้นพอเห็นฉินสือโอวจึงได้แต่ข่มความโกรธทั้งที่ยังไม่ได้อารมณ์ดีขึ้นแล้วตอบว่า “คุณเชื่อหรือเปล่า? คุณครับ พวกเราสูญเสียสัญญาณวิทยุนำร่องจากสนามบินไป! ตอนนี้พวกเราลงจอดไม่ได้แล้ว ต้องรอสัญญาณจากไอ้พวกเวรนั่นขึ้นมาใหม่ก่อน!”


ฉินสือโอวประหลาดใจมาก “เกิดอะไรขึ้นกัน? ทำไมจู่ๆ ถึงไม่มีสัญญาณ?”


แบล็คไนฟ์หัวเราะเย้ยหยันอยู่ด้านหลัง “แม่งก็ต้องเพราะไอ้สนามบินบ้านั่นอยู่แล้วไง!”


นักบินพยักหน้าสีหน้าไม่สบอารมณ์นัก “ให้ตายเถอะ นอกจากสาเหตุนี้แล้ว ไอ้สนามบินเวรนี่ยังจะเกิดอะไรขึ้นได้อีกเหรอ?”


ฉินสือโอวพูดไม่ออก แม่งเอ๊ยจังหวะมันดีอะไรอย่างนี้ ถึงเขาจะเคยเจอมาเยอะแล้วก็เถอะ


มิน่านักบินถึงไม่พอใจ เครื่องบินลำเล็กนี้เป็นของเขาที่ฉินสือโอวเช่าเหมาลำมา ส่วนน้ำมันเบนซินที่เสียไประหว่างเดินทางนักบินต้องรับผิดชอบเอง เมื่อไม่สามารถลงจอดได้ทันที เขาก็ต้องจ่ายค่าน้ำมันทั้งหมดที่สิ้นเปลืองไประหว่างนั้น แถมดูจะวิกฤตเข้าไปทุกที


ทางด้านสนามบินไม่ปล่อยให้พวกเขารอนาน ประมาณไม่กี่นาทีต่อมา ชายผิวดำตัวใหญ่หลายคนปีนขึ้นมาตรงกลางหลังคาสีแดงของหอบังคับการบิน ชายคนหนึ่งหยิบแตรขึ้นมาเป่า ส่วนคนอื่นๆ พากันทำมือส่งสัญญาณและโบกธง


“บ้าเอ๊ย!” นักบินสบถอย่างทนไม่ไหว “ทำไมพวกแกไม่ไปตายเสียเลยล่ะ?”


ฉินสือโอวสูดลมหายใจ เขาอดสบถออกมาไม่ได้ “แม่งเอ๊ย นี่มันอะไรกันเนี่ย?”


สีหน้าแบล็คไนฟ์เคร่งขรึม เขาลากฉินสือโอวกลับไปนั่งที่ นายกระสอบทรายคาดเข็มขัดให้เขา แล้วเอ่ยว่า “โอเค บอส คุณโชคดีจะได้เห็นวิธีบินลงจอดของเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนแล้วนะ การควบคุมลงจอดด้วยกำลังคนล้วนๆ…”


นักบินสบถด่าไปตลอดทาง สุดท้ายก็ลงจอดบนรันเวย์สนามบินได้โดยปลอดภัย แม้รันเวย์จะขรุขระไปบ้าง ฉินสือโอวเหมือนจะตีลังกากลางอากาศทั้งที่ยังรัดเข็มขัดอยู่ ยังดีที่ครั้งนี้เขาไม่ได้อ้วกออกมา


หลังเครื่องบินลงจอด แบล็คไนฟ์ช่วยฉินสือโอวปลดเข็มขัดพลางเอ่ยว่า “คราวนี้คุณเข้าใจหรือยังว่าทำไมหลังคาหอบังคับการบินถึงต้องเป็นสีแดง? เพราะสีแดงเป็นสีที่สดที่สุด คราวหน้าถ้าเกิดพวกเราโชคดีได้มาสนามบินนี้ตอนกลางคืน แล้วคุณจะเห็นว่าขนาดหลังคายังเรืองแสงได้!”


ฉินสือโอว “…”


พอพวกเขาเดินเข้าไป ชายผิวดำคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา นักบินกลอกตามองค้อนล้วงเงินในกระเป๋าโยนให้ชายผิวดำพลางสบถ ‘ไอ้เวรเอ๊ย’


ฉินสือโอวงงอีกรอบ แบล็คไนฟ์หัวเราะต่อ “หมอนั่นคือคนที่เป่าแตรเมื่อก่อนหน้านี้น่ะครับ เขามาขอทิป”


ตอนนี้ฉินสือโอวเข้าใจความรู้สึกของนักบินอย่างลึกซึ้งแล้ว ถ้าเขาอยู่สถานะเดียวกับอีกฝ่าย ก็สมควรที่เขาจะสบถด่า ไม่แน่เขาอาจจะหยิบประแจมาฟาดหัวชายผิวดำนั่นด้วยซ้ำ


หลังได้เงิน ชายผิวดำยังไม่จากไป แต่โฆษณาธุรกิจตัวเองต่อแทน “ต้องการพวกคนคุ้มกันไหม? หนุ่มล่ำแข็งแรงทั้งนั้น! แค่ 200 ดอลลาร์อเมริกาเท่านั้น สี่คนหนึ่งคัน รับประกันคุณจะได้เดินในโมกาดิชูโดยไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องเลย!”


นีลเซ็นชี้ไปที่กลุ่มของพวกเขาพร้อมกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย “นายแน่ใจเหรอว่าตอนที่เราเจอเรื่อง คนคุ้มกันของนายจะปกป้องเราได้จริงๆ? หวังว่าคงไม่ใช่พวกเราเป็นคนปกป้องคนของนายเสียเองนะ”


ชายผิวดำมองพวกของแบล็คไนฟ์ที่มีแววตาดุดัน อกผายไหล่ผึ่ง แล้วจึงเปลี่ยนธุรกิจใหม่ “งั้นพวกนายต้องมีพวกนี้นะ! AK-47 M16 หรือไม่ก็ AK74 เดดเสิร์ทอีเกิล ฉันหามาให้ได้หมดเลยนะ เป็นอย่างไร?”


ทั้งกลุ่มไม่สนใจเขา หยิบสัมภาระของตัวเองจากเครื่องบินเตรียมตัวเดินทาง ชายผิวดำเดินตามอย่างไม่ยอมแพ้ แต่แบล็คไนฟ์กับนีลเซ็นขวางเขาเอาไว้และเอ่ยคำพูดโหดเหี้ยมสองสามคำถึงได้สลัดส่วนเกินหลุด


ตอนออกจากสนามบิน นักบินก็ทนไม่ไหวสบถออกมาอีกครั้ง


ฉินสือโอวถามว่าเกิดอะไรขึ้นอีก นักบินชี้ไปยังหลอดไฟส่องสว่างในห้องข้างๆ ด้วยความโกรธแล้วด่าออกมาว่า “ไอ้บ้าพวกนั้น! ดูสิ ไฟไม่ได้ดับด้วยซ้ำ แต่ไอ้นิโกรบ้านั่นคิดจะเอาเงินผมแต่แรกแล้ว!”


เป็นความจริง ทางด้านหลังมีโบอิ้ง 747 อีกลำหนึ่งลงจอดอย่างราบรื่น ไม่ได้มีคนขึ้นหลังคาหอบังคับการบินไปเป่าแตรแต่อย่างใด ชัดเจนว่ามีวิทยุคอยสั่งการลงจอด


ฉินสือโอวเข้าใจความรู้สึกของนักบิน ทว่าไม่ใช่กับแบล็คไนฟ์ เขาขมวดคิ้ว “พวก โทษทีนะ แต่ครั้งหน้าถ้านายยังพูดจาพล่อยๆ ฉันจะทำให้นายขับเครื่องบินไม่ได้อีกเลย!”


แบล็คไนฟ์ก็เป็นคนผิวดำและนักบินได้หลุดพูดคำว่า ‘นิโกร’ ออกมา ซึ่งคำนี้ไม่สุภาพมากๆ


นักบินพยักหน้าโกรธๆ แล้วออกจากสนามบินไปก่อน


ฉินสือโอวมีรถส่วนตัว เขาให้เบิร์ดมารอรับที่สนามบิน เขาเช่ารถฮัมเมอร์ออฟโรดที่ทนทานมาคันหนึ่ง รถดูเก่าเล็กน้อย ถึงดีไซน์จะหยาบๆ แต่ท่าทางเป็นของคุณภาพดี ยางที่ใหญ่และแผ่นเหล็กบนตัวรถที่หนาชวนให้คนรู้สึกปลอดภัย


ฉินสือโอวเตรียมจะขึ้นรถ จู่ๆ ชายผิวดำที่เพิ่งขอทิปจากนักบินก็โผล่มา เขาเข้ามาใกล้พลางเอ่ยอย่างมีพิรุธ “คุณเศรษฐี ในเมื่อคุณไม่ต้องการพวกคนคุ้มกัน งั้นน่าจะอยากได้ผ้านวมเนื้อไหม? สาวบริสุทธิ์อายุสิบสี่ แค่หนึ่งพันดอลลาร์เอง! เป็นอย่างไรอยากลองไหม?”


แบล็คไนฟ์ทำตามหน้าที่ผู้คุ้มกัน ผลักเขาออกไป ชายผิวดำพอถูกผลักมาสองครั้งก็เริ่มโมโห แต่เมื่อมองพวกทหารที่อยู่รอบๆ แล้วก็ได้แต่ปิดปากต่อไป


เหล่ากระสอบทรายถอดเสื้อนอกออกหลังลงจากเครื่องบิน ช่วงบนสวมแค่ชุดทหารลายพรางที่ดึงซิปลง เผยให้เห็นกล้ามอก รอยสักหลากสีและขนหน้าอกหนาขึ้นปกคลุม แสดงกลิ่นอายสังหารอย่างเต็มที่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)