พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1075-1078
บทที่ 1075 ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา
โดย
Ink Stone_Fantasy
บนพื้นที่ว่างนอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก กำลังพลสี่เขตเมืองมารวมตัวกันที่นี่อย่างรวดเร็ว
ผลลัพธ์จากการรวมตัวก็คือ ผู้ต้องสงสัยที่จับมาจากร้านค้าต่างๆ ถูกโยนออกมาแล้ว กระแทกตกลงปนกันเหมือนเนื้อและผักในอาหาร
ชั่วพริบตาเดียวก็มีคนสี่พันห้าพันคนถูกคุมตัวออกมา แต่ละคนสภาพจนตรอกสะบักสะบอม มีคนไม่น้อยที่เปื้อนเลือดเต็มตัว ถูกซ้อมจนมีบาดแผลไปทั่วไป
ณ ที่ตรงนั้น ถ้ารวมกับทหารสวรรค์หลายพันคน ก็ทำให้คนเยอะจนเกลื่อนกลาดไปยันถนนใกล้เคียง
“คุกเข่า!”
“คุกเข่า!”
กลุ่มทหารสวรรค์เดินผ่ากลางระหว่างกลุ่มผู้ต้องสงสัย เกราะรบสว่างจ้าตาอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ ควงดาบโบกทวนชี้ไปทั่วราวกับเป็นอันธพาลชั่วร้าย เสียงตะคอกดังขึ้นเป็นระลอก บังคับให้ผู้ต้องสงสัยคุกเข่าลงหน้าประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการ
มีบางคนแข็งข้อไม่ยอมคุกเข่า “อา!” เสียงกรีดร้องเจ็บปวดดังขึ้นทันที มีคนควงดาบฟันแล้ว ฟันจนขาสองข้างกระเด็น ดูซิว่าเจ้าจะคุกเข่าหรือไม่คุกเข่า!
บางคนก็ยิ่งกว่านั้น พอแสงสะท้อนคมดาบกะพริบ เลือดสดก็พุ่งขึ้นฟ้า ศีรษะถูกตัดกระเด็น ไม่มีที่ว่างให้เจรจากันเลย กลุ่มพ่อค้าพากันคุกเข่าเป็นแถบๆ ถึงอย่างไรชีวิตก็สำคัญกว่า ทุกคนคุกเข่าพร้อมกันก็ไม่นับว่าเสียหน้าอะไร
แม้แต่อวี้ซวีเจินเหรินที่ลังเลและคุดเข่าช้านิดหน่อย ก็ถูกคนเตะให้คุกเข่าลงกับพื้นเหมือนกัน
หลังจากถูกจับออกมาจากกระเป๋าสัตว์ หวงฝู่จวินโหรวที่ผมงามยุ่งสยายก็ตกใจกับภาพเห็นการณ์ที่เห็น แต่ใครจะคิดว่าข้างหลังจะมีคนจับคอนางกดทันที พร้อมทั้งมีคนเตะที่ข้อพับหลังเข่าในนั่งลง ไม่คุกเขาก็ต้องคุกเข่า คุกเข่าลงพื้นอย่างมั่นคง ความเดือดดาลในใจนางยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ พลังอิทธิฤทธิ์ถูกผนึกจึงไม่มีทางขัดขืน
หารู้ไม่ว่านางยังได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นศีรษะของหายไปนานแล้ว เมื่อมองดูศีรษะและขาหลายข้างที่โดนฟันกระเด็นอยู่รอบๆ อย่างต่อเนื่องก็จะรู้เอง
เพียงแต่ความโกรธแค้นในใจหวงฝู่จวินโหรวยากจะสลายหายไปจริงๆ ตลอดชีวิตนางไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรก!
ทว่ามาถึงขั้นนี้แล้ว คุกเข่าก็คุกไปแล้ว ไม่คุกเข่าก็คงไม่ได้ ทำได้เพียงปะปนอยู่ในกลุ่มคนและคุกเข่ากัดฟันอยู่อย่างนั้น มีอารมณ์วู่วามอยากจะกัดเหมียวอี้ให้ตาย
ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัว สวีถังหราน ผู้บัญชาการทั้งสี่คนมาเจอกัน พวกมองดูภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่อลังการจริงๆ บังคับทาสประจำตระกูลของชนชั้นสูงสี่ห้าพันคนให้คุกเข่า กวาดล้างผู้มีอำนาจระดับบนของตำหนักสวรรค์จนแทบไม่เหลือ!
ทั้งสี่คนหันกลับมามองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร แต่อาศัยแค่ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญนี้ ทั้งสี่ก็แอบทอดถอนใจที่ตัวเองสู้ไม่ได้แล้ว!
ทั้งสี่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ สวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัวก็อยู่ในนั้นด้วย ไม่ว่าทั้งสองจะเป็นลูกน้องคนสนิทของเหมียวอี้หรือไม่ อย่างน้อยภายนอกทั้งสองก็มียศเป็นแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบ ส่วนฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็แยกยืนเป็นแถวอยู่ทางซ้ายและขวา
ภายใต้การถ่ายทอดเสียงคุยกันของทั้งสี่ ร้านค้าสองร้อยกว่าร้านที่อยู่อันดับต้นๆ ในรายชื่อถูกคุมตัวมาอยู่ข้างหน้า คนของร้านค้าหนึ่งร้อยร้านที่เหมียวอี้เพิ่มเข้าไปตอนหลังเพราะความโมโหคุกเข่าอยู่ด้านหลัง กันคนสองกลุ่มออกจากกัน แบ่งแยกความแตกต่างชัดเจน
ส่วนเย่สวินเกาและผู้จัดการของสิบหกร้านค้า ก็ถูกลากออกมาท่ามกลางกลุ่มคน มาแยกคุกเข่าเป็นสี่แถวตรงจุดหน้าสุดที่มองเห็นได้ง่ายที่สุด แต่ละคนคุกเข่าอยู่อย่างนั้นด้วยสภาพที่ถูกซ้อมจนสาหัสยับเยินถึงขีดสุด
ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้กำหนดให้ดูแลสิบหกคนนี้เป็นพิเศษ
ผู้จัดการทั้งสิบหกคนมองประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอย่างแววตาลุกเป็นไฟ กล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูดอะไร บุรุษที่แท้จริงต้องยอมลดราวาศอกได้ชั่วคราว เอาไว้รอคิดบัญชีกับขุนนางสุนัขนี่ทีหลัง!
ฝูชิงและผู้บัญชาการอีกสามคนไม่แยแสแววตาดุร้ายของพวกเขา ยืนรอคอยอย่างนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น
ส่วนรอบข้างก็ยิ่งมีคนมารวมตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหัวซอยท้ายซอย ทั้งยังมีบนหลังคารอบๆ จวนผู้บัญชาการ กลุ่มคนที่เบียดเสียดทว่าเงียบเชียบไร้เสียงกำลังเบิกตากว้างมามองตรงนี้ มีแต่ความรู้สึกตกใจ ประหลาดใจ เหลือเชื่ออยู่บนใบหน้าพวกเขา
อวิ๋นจือชิว สองพี่น้องโอวหยาง เชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์เบียดกันอยู่บนหลังคาและกำลังมองภาพเหตุการณ์ตรงนี้อย่างงุนงง พวกนางกังวลเรื่องทางนี้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะดูจนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนช่างไม้กับช่างหินก็คอยยื่นมือกันข้างหลังให้พวกนาง กันไม่ให้คนอื่นๆ เข้าใกล้พวกนาง
คนหลายพันคนนั่งคุกเข่า ภาพนี้ยิ่งใหญ่อลังการเกินไปจริงๆ โอวหยางหลางหันกลับมา แล้วถ่ายทอดเสียงถามอย่างไม่เข้าใจ “พี่สาว นี่นายท่านกำลังจะทำอะไร?นี่เป็นคำสั่งของนายท่านจริงเหรอคะ?”
อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม “จะทำอะไรได้ล่ะ? ก็เพื่อจะเอาชนะไง ผู้ชายบ้านเราเป็นบ้าไปแล้ว! สงสัยพวกเราคงต้องรีบแอบหนีกลับพิภพเล็กเร็วๆ นี้แล้วล่ะ! ไม่ใช่สิ บางทีอาจจะมีแค่เขาที่หนีกลับไป พวกเรายังอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ถึงอย่างไร…”
สายตานางหยุดชะงัก บังเอิญไปเห็นคนที่คุ้นตาคนหนึ่งนั่งคุกเข่าอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน หวงฝู่จวินโหรวของร้านค้าสมาคมวีรชน!
ตอนแรกนางยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป แต่หลังจากเห็นพนักงานหลายคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาของร้านค้าสมาคมวีรชน ถึงได้กล้าแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริง
เมื่อเห็นหวงฝู่จวินโหรวนั่งคุกเข่าด้วยสภาพสะบักสะบอมผมยุ่งสยาย อวิ๋นจือชิวก็ทำสีหน้างุนงง ทำไมแม้แต่นางก็จับมาคุกเข่าด้วย หนิวเอ้อร์ทำกับนางแบบนี้ได้ด้วยเหรอ? หรือว่าสิ่งที่ตนคาดเดาผิดพลาดมาตลอด? ใส่ร้ายเขาอย่างไม่เป็นธรรมมาตลอด?
ตรงริมหน้าต่างของภัตตาคารแห่งหนึ่ง ท่านแม่สวีกับเสวี่ยหลิงหลงและนางรำคนอื่นๆ ของหอกลิ่นสวรรค์เบียดกันดูอยู่ตรงหน้าต่างเช่นกัน แต่ละคนตกตะลึงอ้าปากค้าง ตรงนั้นมีผู้จัดการร้านที่มีภูมิหลังแข็งแกร่งมากมายที่พวกนางคุ้นหน้าคุ้นตา แต่ละคนกำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าพวกเขา
สำหรับคนที่รู้จักภูมิหลังของผู้จัดการพวกนั้น นี่คือเหตุการณ์ที่เขย่าขวัญมาก สำหรับผู้จัดการร้านค้าที่โชคดีไม่เป็นอะไร เหตุการณ์นี้สะเทือนใจสุดๆ!
ส่วนคนที่ผ่านทางมาชั่วคราวก็แค่ประหลาดใจเท่านั้น กำลังสุมหัวกระซิบกระซาบสืบข่าวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
แกรก! แกรก!
เสียงฝีเท้าที่มั่นคงแผ่วเบาทว่ามีจังหวะดังมาจากในจวนผู้บัญชาการ
ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานหันกลับมามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็หลีกทางถอยไปทางซ้ายและขวาทันที กุมหมัดคารวะไปทางประตูใหญ่
ทหารสวรรค์ที่เฝ้าอยู่ทางซ้ายและขวาของประตูใหญ่ก็รีบกุมหมัดคารวะเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงของตรงนี้ทำให้รอบข้างเงียบสงัดทันที สายตาของทุกคนมองไปยังทิศทางเดียว เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่ดังมาอย่างชัดเจน
ภายใต้แสดงอาทิตย์ที่สว่างสดใส ร่างสูงตระหง่านที่สวมเกราะรบสีม่วงค่อยๆ ก้าวมาปรากฏตัวอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ ย่างก้าวมั่นคงหนักแน่น ภายใต้แสงแดดที่สาดส่องลงมา เกราะม่วงบนตัวถูกปกคลุมด้วยรัศมีสวยวิจิตรตระการตาหนึ่งชั้นอันเกิดจากการประสมของสีทองและสีม่วง บางทีฝูงชนอาจจะได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมของสถานที่ตรงนั้น การปรากฏตัวของผู้ที่มาทำให้คนรู้สึกเคารพเลื่อมใสตามไปด้วย
รองท้ายาวโลหะสีม่วงตรงเท้าของเหมียวอี้หยุดเดิน เขาหยุดอยู่นอกประตูจวนผู้บัญชาการ องอาจผึ่งผาย แววตาเย็นเยียบดุร้าย สีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ ลักษณะอันทรงพลังของผู้บัญชาการใหญ่แผ่คลุมคนทั้งพื้นที่ ทำให้ทุกคนรู้สึกได้เพียงคำเดียวว่า…ไม่เห็นใครอยูในสายตา!
คนที่ไม่เคยเห็นเขามาก่อน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาคือใคร
ส่วนผู้หญิงที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น สายตาที่จ้องอยู่บนตัวเหมียวอี้ฉายแววเคลิบเคลิ้มในชั่วพริบตาเดียว แต่ละคนร้องอุทานในใจ ช่างเป็นผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ที่ทั้งหล่อและมีความสามารถ มีรสชาติของความเป็นลูกผู้ชาย ช่างมีพลังอำนาจ!
ส่วนพวกผู้ชายก็หวาดกลัวในใจ ผู้บัญชาการใหญ่ท่านนี้มีสง่าราศีไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!
แม้แต่อวิ๋นจือชิวก็ไม่เคยเห็นเหมียวอี้ตอนตั้งใจแต่งตัวแบบนี้ ขณะที่กำลังอึ้งงัน ก็มองไปที่ภาพเหตุการณ์ตรงนั้นอีก ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะยุติเรื่องนี้อย่างไร เรียกได้ว่าทั้งรักทั้งเกลียด!
ส่วนสองพี่น้องโอวหยางและคนอื่นๆ ที่ดวงตาฉายแววทึ่งก็กำลังรู้สึกลุ่มหลงมัวเมา นี่คือผู้ชายของพวกนาง รู้สึกค่อนข้างเคลิบเคลิ้ม!
ช่างไม้กับช่างหินมองหน้ากันเลิกลั่ก พบว่ายิ่งเหมียวอี้มีอำนาจเพิ่มขึ้น ลักษณะท่าทางก็ยิ่งน่าเกรงขามจริงๆ!
ส่วนหวงฝู่จวินโหรวที่ทั้งรักทั้งเกลียดเหมียวอี้ ในตอนนี้ก็คุกเข่ามองด้วยความตะลึงงันเช่นกัน
ท่านแม่สวีที่อยู่ตรงหน้าต่างเห็นแล้วส่ายหน้าเบาๆ ยากที่จะจินตนาการได้ว่านี่คือเจ้าหนุ่มที่เคยมานั่งดื่มน้ำชาที่หอกลิ่นสวรรค์บ่อยๆ!
แกรก! เสียงเกราะรบที่ขยับพร้อมกันเป็นแถบๆ ดึงดูดความสนใจของทุกคนให้กลับมา ทุกคนกวาดสายตามองสถานที่เกิดเหตุ เห็นเพียงทหารสวรรค์ทุกคนกุมหมัดคารวะไปทางคนที่ยืนอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ
วิธีการที่ทหารสวรรค์หลายพันที่ทำความเคารพพร้อมกันโดยไร้เสียงยิ่งเพิ่มพลังอำนาจ กอปรกับคนหลายพันที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ภายใต้ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจน ทำให้ความน่าเกรงขามทั้งหมดไปรวมอยู่บนตัวของผู้ที่ยืนอยู่ตรงประตูจวนผู้บัญชาการ พลังอำนาจแบบนั้นทำให้คนที่มาล้อมดูรู้สึกกดดันมหาศาล ราวกับคนคนนั้นคือศูนย์กลางของโลกใบนี้!
เหมียวอี้โบกมือส่งๆ บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี จากนั้นก็ได้ยินเสียงเกราะรบขยับอีกพักหนึ่ง ดังเสร็จแล้วก็เงียบ ทุกคนหยุดทำความเคารพแล้ว
เหมียวอี้เอียงศีรษะมองฝูชิง แล้วก็มองไปทางตำหนักคุ้มเมือง
ฝูชิงพยักหน้าเล็กน้อย บอกใบ้ให้เขาวางใจได้ เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้ตามแผนการที่วางไวก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงปี้เยว่ฮูหยินปรากฏตัว กำลังพลที่อยู่ทางนี้ก็จะรู้ทันที จะไม่ส่งผลกระทบกับเรื่องนี้
เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกอีกว่า “เดี๋ยวกลับไปควบคุมของที่ยึดได้ทันที นี่คือทางหนีทีไล่สุดท้ายของพวกเรา ถ้ากู้สถานการณ์ทางนี้ไม่ได้ พวกเราก็จะนำของกลับพิภพเล็กทันที ถ้ายังสามารถถ่วงเวลาได้อีก ก็ยึดให้ได้มากๆ หน่อย”
ฝูชิงอึ้งไปชั่วขณะ ที่แท้ก็ยังทำแบบนี้ได้ เขาพยักหน้าอีกครั้ง บอกใบ้ว่าทราบแล้ว
ตอนนี้เหมียวอี้ถึงได้ก้าวไปข้างหน้า ส่วนพวกฝูชิงก็ติดตามอยู่ทางซ้ายและขวาข้างหลังเขา
พวกเย่สวินเกาที่โดนซ้อมจนสภาพอนาถเกินทนมองเงยหน้าขึ้นมา แต่ละคนมองเขาด้วยแววตาดุร้าย จากนั้นก็ก้มหน้าลงอีก ไม่อยากเห็นใครบางคนมันทำท่าเหิมเกริมมองต่ำลงมา
เหมียวอี้กลับเดินไปข้างกายทหารที่เฝ้าคุม ยื่นมือชักกระบี่ออกมาจากเอวอีกฝ่าย แล้วใช้คมกระบี่เสยแตะที่คางของเย่สวินเกาสองครั้ง เสยศีรษะที่ก้มอยู่ให้เงยขึ้น แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “เมื่อวานยังหยิ่งผยองอยู่เลยนี่ ตอนนี้เห็นผู้บัญชาการใหญ่แล้วทำไมหน้าม่อยคอตกกันเป็นแถวเลยล่ะ?”
กระบี่ยาวในมือย้ายไปบนหน้าหวงลีสิ้งที่อยู่ข้างๆ คมกระบี่เสยไปตรงรูจมูกของเขา เขี่ยใบหน้าให้เงยขึ้นมา “เมื่อวานยังพูดเสียงดังอยู่เลยนี่? ตอนนี้เป็นใบ้แล้วเหรอ?”
ในบรรดาผู้จัดการร้านทั้งสิบหกคน หวงลีสิ้งสภาพยับเยินที่สุดแล้ว แขนสองข้างถูกอิงอู๋ตี๋ฉีกขาด ตอนนี้กำลังจ้องเหมียวอี้อย่างดุร้ายอำมหิต “หนิวโหย่วเต๋อ! เจ้าอาศัยอำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัว!”
“ผิดแล้ว! นี่ไม่ใช่การใช้อำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัว พ่อค้ากระจอกๆ อย่างเจ้ากับผู้บัญชาการใหญ่คนนี้มีคำว่า ‘ส่วนรวม’ เสียที่ไหน ตอนนี้ผู้บัญชาการใหญ่กำลังลงโทษเจ้าอยู่ต่างหาก!” พอพูดจบ คมกระบี่ในมือเหมียวอี้ก็ปาดขึ้นมา แววตาสะท้อนเงาเลือด
“เอื้อ…” หวงลีสิ้งทำสีหน้าขื่นขมทันที เจ็บปวดจนอวัยวะบนใบหน้าขมวดย่น ตรงจมูกมีเลือดไหลราวกับน้ำกรอก ถูกเหมียวอี้ปากจมูกทิ้งแล้ว
ไอ้เวรนี่มันบ้าไปแล้ว! ผู้จัดการสิบกว่าร้านที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้วยกันเรียกได้ว่าอกสั่นขวัญแขวน ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึง เมื่อวานยังชักสีหน้าใส่เหมียวอี้อยู่ตรงตำหนักคุ้มเมืองอยู่เลย วันนี้ดันกลายสภาพเป็นแบบนี้ไปแล้ว ต่างก็นึกไม่ถึงว่าจะเปลี่ยนแปลงเร็วขนาดนี้ และยิ่งนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะกล้าลงมือกับพวกเขาที่ตลาดสวรรค์ บ้าไปแล้ว!
เย่สวินเกาที่ทำเหมือนโดนกระบี่ปาดหน้าตัวเองแยกเขี้ยวยิงฟันกล่าวว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าอย่ากำเริบเสิบสายเกินไปนัก! ข้าแนะนำให้เจ้าวางมือดีกว่า อย่าทำเรื่องนี้ให้เลยเถิด ไม่อย่างนั้นเจ้าได้เจอดีแน่!”
เหมียวอี้กำลังใช้คมกระบี่ชี้ผู้จัดการสิบหกคนอยู่ไกลๆ เมื่อได้ยินแล้วก็เก็บกระบี่กลับมา แล้วใช้ตัวกระบี่เคาะศีรษะเย่สวินเกาอีก “ใครใช้ให้เจ้าบังอาจมาพูดจากับข้าแบบนี้ล่ะ? เจ้าไม่กลัวข้าจะฆ่าเจ้าเหรอ?”
ภายใต้การใช้กำลังขู่คุกคาม เย่สวินเกาก็กลัวเหมือนกัน เขาสีหน้าซีดเผือด กล่าวอย่างหอยหายใจเล็กน้อยว่า “ข้าเป็นขุนนางประจำตระกูลของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ ถ้าเจ้าบุ่มบ่ามแตะต้องข้า เทพประจำดาวไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
เพี้ยะ! เหมียวอี้พลิกเปลี่ยนด้านกระบี่ในมือแล้วตบหลังศีรษะเขา ตบจนเขาล้มคะมำลงพื้น
เหมียวอี้ยกเท้าอย่างเด็ดเดี่ยว รองเท้ายาวโลหะสีม่วงข้างหนึ่งเหยียบบนใบหน้าด้านข้างของเย่สวินเกา เหยียบศีรษะจนติดแหง็กบนพื้นอย่างเย่อหยิ่งไร้ที่เปรียบต่อหน้าฝูงชน ใช้มือข้างเดียวจับกระบี่ค้ำพื้น พร้อมถามอย่างเย็นชาว่า “บอกข้ามาซิ ว่าเกราะม่วงหนึ่งแถบบนตัวผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ได้รับรางวัลมาจากใคร?”
…………………………
บทที่ 1076 ประหาร!
โดย
Ink Stone_Fantasy
การเหยียบลงไปครั้งนี้ ไม่รู้ว่าทำให้คนตั้งมากมายเท่าไรรู้สึกสะเทือนอารมณ์เหมือนโดนเหยียบหัวใจ!
ขนาดอีกฝ่ายอ้างชื่อเจ้านายตัวเองมาแล้วนะ ว่ากันว่าจะตีสุนัขก็ยังต้องดูเจ้าของก่อน แต่ท่านนี้กลับดูหมิ่นท่ามกลางฝูงชน!
สวีถังหรานที่อยู่ข้างๆ ยกมุมปากเล็กน้อย พบว่าคนเราช่างเทียบกันไม่ติดจริงๆ รู้สึกว่าวิธีการวางมาดของตัวเองก่อนหน้านี้ช่างอ่อนด้อยจริงๆ อะไรคือสิ่งที่เรียกว่ามาดอันน่าเกรงขาม? นี่ต่างหากล่ะที่เรียกว่ามาดอันน่าเกรงขาม! บทจะจับผู้มีอำนาจของตำหนักสวรรค์ก็จับเลย บทจะเหยียบก็เหยียบเลย ไม่ไว้หน้าเลยสักนิด ถ้าเปลี่ยนเป็นตนก็คาดว่าคงไม่กล้าทำแบบนี้
ตอนนี้นับว่าเขาเข้าใจแล้วว่าตนกับผู้บัญชาการใหญ่หนิวแตกต่างกันขนาดไหน โชคชะตากำหนดให้ตนเป็นแค่ลูกน้องอีกฝ่ายเท่านั้นเป็นเจ้านายของอีกฝ่ายไม่ได้ อาศัยแค่ลักษณะการทำงานที่ใจกล้าคับฟ้าของอีกฝ่าย ต่อให้ตนเป็นหัวหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็ควบคุมอีกฝ่ายไม่ไหวอยู่ดี
มู่หรงซิงหัวมองดูพฤติกรรมของเหมียวอี้อย่างจนใจ ขอถามสักคำเถอะ เจ้าไม่รู้ถึงราคาที่ต้องจ่ายหลังจากวางมาดน่าเกรงขามแบบนี้จริงเหรอ?
การเหยียบลงไปครั้งนี้ ไม่รู้ว่าทำให้คนมากมายเท่าไรกังวลแทนเหมียวอี้ แม้แต่หวงฝู่จวินโหรวที่กำลังคุกเข่าอยู่ตอนนี้ก็ลืมความอับอายไปแล้ว ตกตะลึงอ้าปากค้างกับสิ่งนี้ นี่เป็นการตบหน้าเทพประจำดาวฟ้าเถาะท่ามกลางฝูงชนชัดๆ! จะให้เทพประจำดาวฟ้าเถาะทนความรู้สึกได้อย่างไร?
ศีรษะถูกเหยียบติดพื้น เย่สวินเการู้สึกเหมือนใกล้จะโดนเหยียบแหลก ร่างกายกำลังดิ้นรนอย่างเจ็บปวดอยู่อย่างนั้น แต่กลับไม่มีทางดิ้นหลุด ถึงแม้วรยุทธ์ของเขาจะสูงกว่าเหมียวอี้ แต่ในตอนนี้พลังอิทธิฤทธิ์ถูกผนึกไว้ เมื่อเผชิญหน้ากับเหมียวอี้จึงไม่มีแรงโต้ตอบเลย
คมกระบี่ขูดพื้นจนเกิดประกายไฟ ขูดมาหยุดอยู่ตรงหน้าเย่สวินเกา เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำอีกครั้งว่า “ตอบข้ามา ว่าเกราะม่วงหนึ่งแถบบนตัวผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ได้มาจากใคร!”
ร่างที่กำลังดิ้นรนของเย่สวินเกาหยุดนิ่ง จ้องคมดาบที่อยู่ตรงหน้า พร้อมตอบปนเสียงหอบหายใจว่า “ถึงแม้ราชันสวรรค์จะมอบให้ แต่ก็ใช่ว่าเจ้าจะทำตามอำเภอใจได้”
เหมียวอี้ก้มหน้ามองลงที่เท้า แล้วตะคอกถามอีกครั้ง “ตลาดสวรรค์แห่งนี้เป็นตลาดสวรรค์ของราชันสวรรค์ หรือเป็นตลาดสวรรค์ของตระกูลเจ้านายเจ้า?”
ถึงแม้เย่สวินเกาจะเจ็บปวด แต่เห็นได้ชัดว่าตระหนักได้ว่าถูกคำพูดของเหมียวอี้พาออกนอกประเด็น จึงแกล้งดิ้นรนอย่างเจ็บปวดอีกครั้ง จะได้หลบเลี่ยงไม่ต้องตอบ
คมกระบี่ที่กระทุ้งอยู่บนพื้นยกขึ้น ไปจ่ออยู่ที่ขมับของเขาแล้วจิ้มลงไปช้าๆ เลือดสดเริ่มซึมออกมา
เย่สวินเกาเบิกตากว้างทันที หอบหายใจตอบว่า “ราชันสวรรค์!”
ในขณะนี้เอง เป่าเหลียนวิ่งออกมาจากจวนผู้บัญชาการด้านหลังแล้ว พอเห็นภาพเหตุการณ์ก็ตกใจมากจริงๆ นางเดินมาข้างหลังเหมียวอี้แล้วถ่ายทอดเสียงบอก “นายท่าน ผู้การสองเร่งเร้าอยากจะพบท่าน ข้าถ่วงเวลาไม่ไหวแล้ว!”
เหมียวอี้ยกกระบี่ในมือขึ้นมา พร้อมถือโอกาสเตะเย่สวินเกาออกไป จากนั้นโบกกระบี่ชี้ไปรอบๆ พร้อมตะโกนพูดอย่างฮึกเหิม “ข้าไม่สนใจว่าใครอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า ไม่สนว่ามีภูมิหลังอะไร ทุกแห่งในใต้หล้านี้ มิมีที่ใดไม่ใช่ผืนดินของราชัน ที่เชิญมาเป็นผู้นำของท้องที่ต่างๆ มิมีผู้ใดมิใช่ขุนนางของราชัน ข้าคือแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบที่ราชันสวรรค์แต่งตั้ง แต่พ่อค้าเล็กๆ อย่างพวกเจ้าบังอาจมาข่มขู่ข้า บังอาจดูหมิ่นอำนาจสวรรค์ ควรจะโดนโทษฐานอะไร!”
ข้อหานี้ร้ายแรงเกินไป เย่สวินเกาที่โดนเตะกลิ้งแก้ตัวทันที “ผู้บัญชาการใหญ่ พวกเราไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นอำนาจสวรรค์เลย เจ้าอย่ามายัดเยียดข้อหา ใครถูกใครผิดมีแค่สองฝ่ายที่รู้ ตำหนักสวรรค์ย่อมตัดสินอย่างยุติธรรม!”
กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นก็รู้เช่นกันว่าข้อหานี้ร้ายแรงเกินไป การดูหมิ่นอำนาจสวรรค์มีโทษตาย ถ้าไม่แก้ตัวและยอมรับโดยดุษณี แบบนั้นก็แย่แล้ว
“พวกเราไม่ได้ดูหมิ่นอำนาจสวรรค์แน่นอน!”
“ใช่! ตำหนักสวรรค์ย่อมตัดสินอย่างยุติธรรมอยู่แล้ว!”
“ใช่! ตำหนักสวรรค์ได้โปรดสืบสวนอย่างละเอียดและตัดสินอย่างยุติธรรม!”
กลุ่มผู้จัดการร้านค้าตะโกนเสียงดังต่อเนื่องเป็นระลอกทันที
เหมียวอี้กวาดมองกลุ่มคนอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง พ่นเสียงทางจมูกอย่างไม่แยแส ก่อนจะบอกว่า “ตำหนักสวรรค์ย่อมตัดสินอย่างยุติธรรมอยู่แล้ว! ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้คุมพื้นที่ให้ตำหนักสวรรค์ อยู่ที่นี่…ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้เป็นตัวแทนของตำหนักสวรรค์!” พูดจบก็สะบัดมือไปข้างหลัง ทำให้กระบี่ยาวบินออกมา
เสียงดังพรึ่บ กระบี่ยาวบินกลับไปเสียบลงในฝักกระบี่ข้างเอวทหารผู้คุมอย่างแม่นยำ! เหมียวอี้ที่สะบัดมือกลับไปข้างหลังอย่างส่งเดช ท่าทางง่ายดายราวกับบีบมดฝูงหนึ่งให้ตาย จากนั้นร่ายอิทธิฤทธิ์กล่าวออกมาเบาๆ ทว่าเสียงดังก้องว่า “ประหาร!”
ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัว สวีถังหรานทำตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ทันที พวกเขาลงมือพร้อมกัน ถึงแม้มู่หรงซิงหัวจะโบกดาบอย่างลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ยังโบกดาบลงไปแล้ว
ทหารสวรรค์ที่เฝ้าคุมคนที่นั่งคุกเข่าพุ่งเข้าไปอย่างดุร้ายราวกับเสือทันที ควงดาบทวนกระบี่ขวานไปฟันสังหารอย่างบ้าระห่ำ!
“หนิวโหย่วเต๋อ…” เย่สวินเการ้องอย่างตระหนก อารมณ์หวาดกลัวยากจะบรรยายได้ มานึกเสียใจทีหลังก็สายไปแล้ว ศีรษะของเขากระเด็นออกไปคนแรก
“ไว้ชีวิตด้วย!”
“ผู้บัญชาการใหญ่ไว้ชีวิตด้วย!”
“ข้าผิดไปแล้ว…”
ผู้จัดการร้านสิบหกคนนั้นเป็นคลื่นระลอกแรกที่ประสบหายนะ ร้องขอชีวิตไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ละคนศีรษะกับร่างกายแยกกันอยู่คนละที่แล้ว
“อา…” ตรงนั้นมีเสียงอุทานตกใจและเสียงกรีดร้องดังขึ้น
คนที่นั่งคุกเข่าถูกผนึกวรยุทธ์ไว้ทั้งหมด ทั้งถูกมัดทั้งไม่มีกำลังโต้ตอบ เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มทหารสวรรค์ที่มีวรยุทธ์ ก็ไม่มีหวังที่จะหลบหนีเลยแม้แต่น้อย แต่ละคนตื่นตระหนกราวกับแพะรอเชือด ลนลานไปรวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน
ในขณะนี้ คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่ล้มลงเพิ่งจะรู้ซึ้งถึงคำว่าเสียใจทีหลัง!
ในขณะนี้ คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่หวาดผวาเพิ่งจะรู้ว่าการต่อต้านผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ท่านนี้จะมีมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร!
ในขณะนี้ คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่สิ้นหวังเพิ่งจะรู้ว่าประเมินตัวเองสูงเกินไป ระหว่างมีเงินมีอิทธิพลกับมีอำนาจที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกันแล้วช่างเป็นเหมือนไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาจริงๆ!
ในขณะนี้ แพะรอเชือดฝูงแล้วฝูงเล่าเพิ่งจะรู้ว่าผลลัพธ์ของการต่อต้านอำนาจที่แข็งแกร่งนั้นน่ากลัวขนาดไหน!
ศีรษะลอยขึ้นใบแล้วใบเล่า เลือดสดสาดกระจายกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า พรตปีศาจที่โดนตัดหัวล้มล้งพื้นและกลับคืนสู่ร่างเดิม ส่วนนักพรตผีก็กลายเป็นหมอกสีเทา
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่ดังอย่างต่อเนื่อง กลุ่มคนที่ล้อมดูตกใจจนเริ่มหดตัวไปข้างหลัง ถอยหลังไปแล้ว!
หวงฝู่จวินโหรวที่ปะปนอยู่ในกลุ่มคนก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ หญิงงามภายใต้มีดเชือดอะไรกัน นางตกใจจนหน้าซีดแล้ว โดนกลุ่มคนที่กำลังถอยหลังเทเข้ามาใส่จนล้มลง นางจึงถอยไปข้างหลัง! ร่างกายที่โดนมัดกำลังเหยียดขาเพื่อให้ตัวถอยไปข้างหลัง!
แค่จะอยากจะหลบหลีกการสังหาร แต่ละคนแค่อยากจะมีชีวิตรอด!
แต่ถูกทหารสวรรค์ล้อมไว้ ถูกอาวุธกดดัน ทั้งยังหนีไม่พ้น สุดท้ายก็เบียดมารวมเป็นก้อนเดียวกัน ความตายที่น่าหวาดกลัวมาถึงตัว คนที่ขี้ขลาดตกใจจนร้องไห้แล้ว!
แต่ไม่นานพวกเขาก็พบว่าตัวเองไม่ได้จัดอยู่ในเป้าหมายที่จะถูกเชือด หลังจากคนกลุ่มใหญ่ที่นั่งคุกเข่าแยกกับพวกเขาอยู่ข้างหน้าล้มจมกองเลือดหมดแล้ว ทหารสวรรค์ดุร้ายที่เหมือนจะโดนกลิ่นคาวเลือดกระตุ้นให้สังหารจนเสียสติก็ไม่ได้มาลงมือกับพวกเขาอีก แต่สวมเกราะรบที่เปื้อนเลือดทั้งตัวถืออาวุธเดินเหยียบบนร่างศพ เดินค้นหาไปทั่วท่ามกลางกองเลือดว่ายังมีใครรอดชีวิตอยู่หรือไม่
คนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและโชคดีรอดชีวิตมาได้ ก็คือคนของร้านค้าหนึ่งร้อยร้านที่เหมียวอี้ใส่ชื่อเข้ามาทีหลัง
ศพที่ล้มอยู่บนพื้นคือคนจากร้านค้าสองร้อยร้านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับร้านค้าสิบหกร้านนั้น
ร้านค้าสองร้อยกว่าร้าน ศีรษะสามพันกว่าใบ ถูกตัดทิ้งจนหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตาเดียว ถูกฆ่าจนไม่เหลือสักคน
หรือพูดได้อีกอย่างว่า คนของร้านค้าที่เป็นตัวแทนของสิบหกตระกูลชนชั้นสูงถูกเหมียวอี้สั่งฆ่าตายหทดแล้ว!
ศพนอนกองกันเต็มพื้น ศีรษะที่ถูกฟันกลิ้งไปทั่ว เลือดไหลกลายเป็นแม่น้ำ กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นอบอวลอยู่ในอากาศ
ศีรษะของคนมากมายตกอยู่พื้น เหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ตรงนั้น กำลังมองดูด้วยสายตาเย็นเยียบ เลือดสดไหลมาถึงใต้เท้าของเขา เขาไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย
คนที่ไม่ได้ถูกสังหาร คนที่ยังรอดชีวิตมาได้ ทั้งยังมีคนที่มาล้อมดูรอบๆ แต่ละคนมองเหมียวอี้ด้วยสายตาที่เหมือนเห็นปีศาจมารร้าย ดวงตาฉายแววหวาดผวา!
เสวี่ยหลิงหลงที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างตกใจจนเอามือปิดปาก ส่วนท่านแม่สวีก็อ้าปากกว้าง!
เป่าเหลียนที่ยืนอยู่ข้างหลังเหมียวอี้ตกใจจนเหม่อค้าง ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ!
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋มองดูภาพเหตุการณ์ แล้วสบตากันโดยจิตใต้สำนึก ทั้งสองต่างเข้าใจความคิดของกันและกัน ว่าถ้าเจ้าห้าคิดจะสังหารใครขึ้นมา ก็โหดใช้ได้เลย!
ถึงแม้จะรู้ตั้งแต่แรกว่าผลลัพธ์จะเป็นแบบนี้ แต่สวีถังหรานก็ยังขนหัวลุกอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าเย่สวินเกาจะต้องตายอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้เขาก็คงจะไม่กล้าลงมือกับเย่สวินเกาเช่นกัน เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะมาล้างแค้นตอนหลัง ตอนนี้กำลังพึมพำในใจว่า นี่…นี่จะยุติเรื่องราวได้จริงเหรอ?
มู่หรงซิงหัวพึมพำในใจ คนเสียสติ!
ขณะมองเหมียวอี้ที่กำลังยืนอย่างเลือดเย็น หวงฝู่จวินโหรวก็ทำสีหน้าหวาดกลัวเช่นกัน พึมพำในใจเหมือนกันว่า คนเสียสติ!
อวิ๋นจือชิวและพวกที่อยู่บนหลังคาเรียกได้ว่าตะลึงจนตาค้างแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้นึกว่าเหมียวอี้แค่จับคนพวกนี้มาคุกเข่าเพื่อระบายความโมโห แต่ใครจะคิดว่าผลที่เกิดขึ้นจะร้ายแรงกว่าที่พวกนางจินตนาการไว้พันเท่า ศีรษะสามพันกว่าใบตกอยู่บนพื้น ศีรษะสามพันใบของทาสประจำตระกูลชนชั้นสูงของตำหนักสวรรค์ตกอยู่บนพื้น ไม่น่าเชื่อว่าเหมียวอี้จะสั่งให้ฆ่าทั้งหมดนี้!
อวิ๋นจือชิวที่กำลังเผยอริมฝีปากแดงค่อยๆ ย้ายสายตาจากศพที่เกลื่อนเต็มพื้นไปบนตัวเหมียวอี้
ในวันนี้ นางจำเป็นต้องยอมรับ ว่านางไม่ได้รูจักผู้ชายของตัวเองดีสักเท่าไร
ในวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้นางมองเห็นอีกด้านหนึ่งของผู้ชายของนาง นี่คือคนที่หากกุมอำนาจมหาศาลไว้ในมือ ก็จะตัดสินใจสังหารหมู่ได้อย่างไม่ลังเล!
สองพี่น้องโอวหยางมองเหมียวอี้ด้วยความหวาดผวาเล็กน้อย นับว่าได้ทำความรู้จักใหม่แล้วเช่นกัน
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์กลับทำท่าเหมือนพฤติกรรมของเหมียวอี้ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกนาง ที่จริงตอนที่เห็นคนพวกนี้คุกเข่าอยู่เต็มพื้น พวกนางก็เริ่มสงสัยแล้วว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้
ทั้งสองติดตามเหมียวอี้มาตั้งแต่ตอนที่เหมียวอี้ยังมีตำแหน่งต่ำต้อย รู้จักนิสัยและลักษณะการทำงานของเหมียวอี้ดีเกินไป ขอเพียงเหมียวอี้ได้เลื่อนตำแหน่ง ขอเพียงมีคนมาท้าทายเหมียวอี้ เขาก็จะใช้วิธีการสังหารหมู่มาแก้ปัญหา ภาพเหตการณ์ที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ทำให้ทั้งสองรู้สึกผิดคาดเลย
ถ้าเปลี่ยนให้เหยียนซิวมาอยู่ตรงนี้ ก็คงจะไม่รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
“หนิวเอ้อร์คนนี้ทำอะไรไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาสักนิดเลยจริงๆ!” ช่างไม้หันมาถ่ายทอดเสียงบอกช่างหินด้วยความปลง
เมื่อรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ข้างกาย อวิ๋นจือชิวก็ได้สติกลับมา นางหันกลับมาถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ถ้าผู้มีอำนาจมากมายขนาดนี้ร่วมมือกันล้างแค้นขึ้นมา เกรงว่าคนที่เกี่ยวข้องกับนายท่านจะต้องโชคร้ายกันหมด ทุกคนกลับไปเตรียมตัว เตรียมหนีกลับพิภพเล็ก!”
แต่ใครจะคิดว่าเชียนเอ๋อร์กลับตอบว่า “ฮูหยิน บางทีอาจจะไม่ต้องกังวลเกินไปก็ได้เจ้าค่ะ นายท่านเป็นคนที่หยาบช้าอย่างแยบยล ไม่ใช่คนไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่แน่อาจจะเตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ที่นายท่านทำแบบนี้ จะต้องมีเหตุผลแน่นอนเจ้าค่ะ”
อวิ๋นจือชิวอึ้งไปชั่วขณะ มองไปที่นาง…
เขย่าขวัญ! ฉากเหตุการณ์ตรงนั้นเขย่าขวัญทุกคนอย่างรุนแรง ภาพที่ศีรษะปลิวว่อนฟ้าเมื่อครู่นี้ ภาพที่เลือดสดพุ่งกระฉูดไปทั่วยังปรากฏซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัวของทุกคน
“คนของร้านค้าพวกนั้นยังมีใครรอดไปอีกมั้ย?” จู่ๆ เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำเลือดก็เอ่ยถาม
สวีถังหรานตอบอย่างเคารพว่า “ตอบผู้บัญชาการใหญ่ มีบางคนไม่อยู่ในร้านค้า ออกจากร้านค้าไปทำธุระข้างนอก ตอนนี้ยังจับตัวไม่ได้ พวกเรารวมจำนวนไว้แล้ว มีรอดไปประมาณสามสิบสี่สิบคนขอรับ”
“ประตูเมืองปิดหมดแล้วใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถามอีก
“ปิดหมดแล้ว!” ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ มู่หรงซิงหัว สวีถังหรานตอบพร้อมกัน
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ถ้านักโทษพวกนั้นมามอบตัว ตราบใดที่ยินดีให้การว่าคนพวกนี้มีพฤติกรรมร่วมมือกันก่อกบฏ ก็จะพ้นโทษ จะไว้ชีวิตพวกเขาสักครั้ง! พร้อมทั้งถ่ายทอดคำสั่งไปยังสี่เขตเมืองของตลาดสวรรค์ด้วย ถ้าใครกล้าให้ที่พักกับนักโทษ หรือว่าพบร่องรอยนักโทษแล้วปิดบังไม่ยอมรายงาน ก็จะมีความผิดร่วมกัน!”
“รับทราบ!” ทั้งสี่เอ่ยรับ
คนมากมายที่กำลังล้อมดู พอได้ยินแบบนี้ก็สูดหายใจปนกลิ่นคาวเลือดด้วยความตกตะลึง นี่ต้องแค้นมากขนาดไหนกัน! ขนาดฆ่าไปหลายพันคนแล้ว แม้แต่ไม่กี่สิบคนที่เหลือก็ไม่ยอมปล่อยไปเหรอ? ประตูของสี่เขตเมืองถูกปิดหมดแล้ว ทั้งตลาดสวรรค์ถูกปิดหมดแล้ว และตลาดสวรรค์ก็เจริญเกินไปจนมีคนอยู่ทั่วทุกที่ ร่องรอยคนคนไม่กี่สิบคนนั้นปิดบังสายตาของทุกคนไม่ได้เลย ภายใต้การใช้โทษตายข่มขู่ คาดว่าคงไม่มีใครอยากหาเรื่องใส่ตัว อีกไม่กี่สิบคนที่เหลือนั่นจะยังหนีรอดอีกเหรอ?
“ข้ามอบตัว!”
ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ ท่ามกลางกลุ่มคนที่ล้อมดูก็มีคนวิ่งออกมาคุกเข่าทันที คนที่รู้จักสังเกตเห็นทันทีว่าเป็นพนักงานของร้านค้าบางร้าน
“ข้ามอบตัว!”
เมื่อมีคนหนึ่งนำ ก็มีคนที่สองวิ่งออกมาคุกเข่าทันที ตามด้วยคนที่สามและสี่…
…………………………
บทที่ 1077 ปี้เยว่ฮูหยินปวดหัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ผู้น้อยมอบตัว!”
ใช้เวลาแค่ชั่วพริบตาเดียว ก็มีปลาลอดแหออกมาคุกเข่ามอบตัวสิบกว่าคนแล้ว แต่ละคนตัวสั่นด้วยความหวาดระแวงกลัว ไม่รู้เหมือนกันว่าเหมียวอี้จะรักษาคำพูดหรือเปล่า
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่คนพวกนี้หลบอยู่ท่ามกลางฝูงชนและเห็นฉากที่เพิ่งเกิดขึ้นแล้ว รู้ว่าตลาดสวรรค์ปิดทางเข้าออกทำให้หนีไปข้างนอกได้ยาก จึงต้องมอบตัวเพื่อที่จะรอดชีวิต
ส่วนพวกที่ไม่ได้แสดงตัวออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จึงไม่รู้ ก็คงจะยังกอดความหวังว่าจะโชคดีรอดชีวิต
เหมียวอี้เอียงหน้าเล็กน้อยเพื่อบอกใบ้อิงอู๋ตี๋ อิงอู๋ตี๋โบกมือเรียกลูกน้องให้นำตัวพวกที่มอบตัวออกไปทันที ย่อมต้องอยากได้คำให้การอยู่แล้ว
จากนั้นเหมียวอี้ก็ออกคำสั่งอีกครั้ง “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามจัดตั้งสมาคมร้านค้าใดๆ ที่ตลาดสวรรค์เป็นการส่วนตัว ผู้ใดฝ่าฝืน ประหาร! สมาคมร้านค้าที่มีตอนนี้แบ่งเป็นสี่ส่วน แบ่งตามเขตเมืองที่มี แบ่งเข้ามาให้จวนผู้บัญชาการของสี่เขตเมืองควบคุม แล้วแต่ละเขตก็แบ่งพื้นที่ย่อยอีกที ให้ผู้ช่วยผู้บัญชาการของแต่ละจวนผู้บัญชาการทำหน้าที่ควบคุมตรวจตราพื้นที่ ควบคุมอย่างเข้มงวด! นี่คือตลาดสวรรค์ของตำหนักสวรรค์ ไม่ใช่ตลาดสวรรค์ของผู้มีอำนาจตระกูลไหนทั้งนั้น ถ้าเกิดเรื่องประเภทร่วมมือกันออกนอกลู่นอกทางอีก ผู้ที่รับผิดชอบดูแลเขตนั้นก็ถือหัวมันมาหาข้าได้เลย! เดี๋ยวกลับไปผู้บัญชาการสี่เขตเมืองนำระเบียบข้อบังคับรายงานขึ้นมาด้วย!”
“รับทราบ!” ฝูชิงและอีกสามคนเอ่ยรับคำสั่ง
สวีถังหรานเรียกได้ว่าแอบดีใจ มีอำนาจที่ถูกต้องชอบธรรมในการเข้าไปแทรกแซงแล้ว ไม่ต่างอะไรกับการได้ช่องทางทำเงินเพิ่มขึ้นอีกช่องทาง
ผู้ช่วยผู้บัญชาการของสี่เขตเมืองก็พากันตาเป็นประกายเช่นกัน สภาพจิตใจย่อมเหมือนกับสวีถังหรานอยู่แล้ว เบื้องบนกินเนื้อ พวกเรากินน้ำ ทุกคนล้วนมีกิน แน่นอนว่าสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บัญชาการใหญ่จากใจจริง
กลุ่มผู้ช่วยผู้บัญชาการตื่นเต้นดีใจจนตะโกนเสียงดังว่าผู้บัญชาการใหญ่ปราดเปรื่อง! พวกเขามองไปยังศพที่เกลื่อนเต็มพื้นอีกครั้ง รู้สึกว่าการฆ่าครั้งนี้เหมาะสมมาก!
แต่ในใจทุกคนก็มีความกังวลเหมือนกัน ไม่รู้ว่าผู้บัญชาการใหญ่จะผ่านด่านนี้ไปได้หรือเปล่า ไม่อย่างนั้นก็อาจจะดีใจเร็วเกินไปหน่อย!
ร้านค้าใหญ่ๆ แต่ละร้านได้ยินแล้วแอบร้องในใจ ต่อไปนี้จะต้องนำของมามอบให้เบื้องบนเพื่อแสดงความกตัญญูมากขึ้นแล้ว!
เหมียวอี้กวาดสายตามองคนนับพันจากร้านค้าหนึ่งร้อยร้านที่ถูกจับมา แล้วกล่าวอย่างเนิบนาบว่า “คุมตัวพ่อค้าที่ต้องสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับการร่วมมือก่อกบฏไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกให้หมด แล้วสอบสวนทันที ถ้ากล้ามีคนไม่สารภาพเรื่องพฤติกรรมออกนอกลู่นอกทางแต่โดยดี ประหาร! ส่วนร้านค้าร้านอื่นๆ ของตลาดสวรรค์ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการนี้ ต่างคนต่างไปสารภาพผิดต่อจวนผู้บัญชาการของเขตตัวเองทันที คนที่มายอมรับเองจะได้รับอภัยโทษ ส่วนคนที่ปิดบังไม่ยอมรายงาน ถ้าตรวจสอบแล้วเจอ โดนข้อหาวางแผนก่อกบฏอย่างลับๆ ประหาร!”
“รับทราบ!” พวกฝูชิงเอ่ยรับอีกครั้ง จากนั้นก็เรียกลูกน้องให้คุมตัวคนหนึ่งพันกว่าคนไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกทันที
ฆ่าคนไปมากมายขนาดนั้น ทั้งยังมี ‘คำสั่งประหาร’ ที่บ้าเลือดตามมาอีกเป็นชุด ทำเอาสมาชิกของร้านค้าที่มุงดูอยู่รอบๆ รู้สึกได้ถึงอันตราย แต่ละคนหวาดระแวงกลัว มีคนไม่น้อยแอบด่าพวกเย่สวินเกาว่าสมน้ำหน้าที่ไม่ตายดี พวกเจ้าตายก็ตายไปสิ ยังจะลากพวกเราลงน้ำไปด้วยอีก ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อควบคุมร้านค้าทุกร้านที่ตลาดสวรรค์อย่างเข้มงวด ทุกคนเลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้อิสระเหมือนเมื่อก่อน
สรุปว่าตั้งแต่ตำหนักสวรรค์ก่อตั้งตลาดสวรรค์ขึ้นมา นับว่านี่เป็นครั้งแรกที่กลุ่มผู้จัดการร้านค้าได้รัรู้ถึงผลลัพธ์ของการต่อต้านผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ สังหารจนโลหิตไหลกลายเป็นสายน้ำ! สะเทือนขวัญเกินไปแล้ว!
คนที่ก่อนหน้านี้นึกว่าตัวเองมีคนหนุนหลังอยู่บ้างนิดหน่อย ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าต่อให้คนหนุนหลังใหญ่กว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ อยู่ที่นี่มีดาบมาจ่อคอได้ทุกเมื่อ จะโดนปลิดชีวิตได้ทุกเมื่อ!
และนี่ก็คือมาดที่เหมียวอี้ตั้งใจจะแสดงออกมา สาเหตุหลักที่ลงโทษประหารแบบเปิดให้ทุกคนได้เห็น ก็เพราะต้องการให้ทุกคนข้าใจ ว่าอย่าคิดว่าการที่พวกเจ้ามีคนหนุนหลังแล้วข้าจะทำอะไรพวกเจ้าไม่ได้ ต่อให้ข้าต้องตายข้าก็จะดึงพวกเจ้ามารับกรรมด้วยกัน ถ้าข้าโดนกดดันให้จนตรอกเมื่อไร ก็คอยดูแล้วกันว่าใครที่จะซวย!
หลังจากถ่ายทอดคำสั่งชุดนี้เสร็จ เหมียวอี้ก็หันตัวเดินจากไป พอหันหน้ามาก็อึ้งไปชั่วขณะ
สาเหตุไม่ใช่เพราะอะไร ไม่รู้ว่าผู้การสองหลันเซียงโผล่ออกมาตั้งแต่เมื่อไร กำลังยืนอยู่ตรงประตู มองดูภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าซีดขาว
เหมียวอี้เอียงหน้ามองเป่าเหลียนที่ยังคงเหม่อลอย เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ต้องพูดเลย ทิ้งหลันเซียงไว้ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์คนเดียวโดยไม่สนใจ ถ้าเจ้าตัวไม่ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นก็แปลกแล้ว
เป่าเหลียนที่หันหน้ามองตามสีหน้าเปลี่ยนทันที พบว่าตัวเองเสียอาการจนสร้างปัญหาให้ผู้บัญชาการใหญ่แล้ว ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ!
เหมียวอี้ที่สีหน้าเย็นเยียบดุร้ายรีบเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้ม เดินก้าวยาวเข้าไปกุมหมัดคารวะ “ผู้การสอง ขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับ หนิวกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ไปต้อนรับไม่ทัน โปรดให้อภัยด้วย!”
นี่เรียกว่าปฏิบัติหน้าที่เหรอ? หลันเซียงโมโหจนตัวสั่นเล็กน้อย ตอนที่นางออกมา ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว เหมียวอี้ฆ่าคนไปหมดเกลี้ยงแล้ว!
แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้พูดผิด กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่จริงๆ แต่ปฏิบัติหน้าที่นี้มันสะเทือนขวัญไปหน่อย!
“เจ้า…” หลันเซียงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี นางชี้เขา พลางพยักหน้าด้วยความโมโหสุดขีด ทำท่าเหมือนบอกว่า นับว่าเจ้ากล้าหาญ!
ไม่พูดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว ก่อเรื่องจนมาถึงขั้นนี้ นางเองก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้เช่นกัน ถลันตัวออกไปทันที ไปที่ตำหนักคุ้มเมืองแล้ว
เหมียวอี้เอียงหน้ามองไปทางตำหนักคุ้มเมือง นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินก้าวยาวต่อไป
เป่าเหลียนเดินตามหลัง กล่าวอย่างหวั่นเกรงว่า “นายท่าน คือว่าข้า…ข้าเห็นอวี้ซวีเจินเหรินก็อยู่เหมือนกัน ตอนที่ข้ากังวลก็เลย…”
“ครั้งหน้าก็ระวังหน่อย!” เหมียวอี้กล่าวขณะที่หันหลังให้ ไม่ได้สืบสาวเอาความอีก
เรื่องบางเรื่องไม่ช้าก็เร็วที่จะต้องได้เผชิญหน้า ถ้าจะผลักเรื่องใหญ่ขนาดนี้ไปให้เป่าเหลียน ก็จะฟังดูเหลวไหลเช่นกัน เป่าเหลียนยังไม่มีคุณสมบัติที่จะรับผิดชอบเรื่องที่ใหญ่ใหญ่ขนาดนี้
แต่เป่าเหลียนกลับแอบตำหนิตัวเองแทบแย่ ฆ่าคนไปมากมายขนาดนั้น ฆ่าทาสของตระกูลผู้มีอำนาจไปมากมายขนาดนั้น นี่ต้องเป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตขนาดไหนกัน แผนที่ผู้บัญชาการใหญ่วางไว้อาจจะพังด้วยน้ำมือตนก็ได้ แบบนี้จะทำอย่างไรดี!
คนที่ล้อมดูอยู่นอกจวนผู้บัญชาการพากันทอดถอนใจ ทยอยกันแยกย้ายจากไปด้วยสภาพจิตใจที่ยังไม่มั่นคง
อวิ๋นจือชิวที่อยู่บนหลังคาสังเกตเห็นปฏิกิริยาของผู้การสองเมื่อครู่นี้แล้ว ขณะจ้องมองทิศทางที่ผู้การสองมุ่งไป สีหน้าและดวงตาก็เต็มไปด้วยความร้อนใจ หันกลับมาสั่งคนที่อยู่ข้างหลังว่า “สิ่งที่ควรเตรียมตัวก็ยังต้องเตรียม ไปกันเถอะ!”
กลุ่มคนทยอยกันแยกย้าย เหล่าทหารสวรรค์กำลังจัดการเก็บกวาดศพที่กองอยู่เต็มพื้น
ผ่านไปไม่นาน ปี้เยว่ฮูหยินนั่งไม่ติดที่แล้ว เหาะด้วยความเร็วสูงมายังจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกด้วยตัวเอง โดยมีผู้การสองหลันเซียงติดตามมาด้วย
ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง นางก็ไม่มีทางเชื่อว่าเหมียวอี้จะทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้
หลังจากได้เห็นกับตาตัวเอง สีหน้าก็ซีดลงทันที ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น ศพเกลื่อนเต็มพื้น! ฆ่าจนเลือดกลายเป็นแม่น้ำ!
ศีรษะหลายใบที่กลิ้งอยู่บนพื้น เมื่อวานนางยังเจออยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองอยู่เลย แต่ละคนยังฟ้องความผิดเหมียวอี้อย่างโอหังอวดดี ผลปรากฏว่าวันนี้เมื่อเจอกันอีกครั้ง ทุกคนก็กลายเป็นศพไปเสียแล้ว โดนเหมียวอี้ตัดหัวหมดแล้ว! พวกติงกุ้ยยังอยู่ระหว่างทางกลับจวนท่านโหวอยู่เลย คนที่มาร้องเรียนที่นี่ถูกคนที่ตัวเองร้องเรียนฆ่าทิ้งหมดเกลี้ยงแล้ว!
ภาพนี้ฉากนี้ ทำให้ร่างกายของปี้เยว่ฮูหยินโอนเอนครู่หนึ่ง ปวดเศียรเวียนเกล้าเล็กน้อย แบบนี้จะทำอย่างไรดี!
นางไม่มีทางจินตนาการถึงผลลัพธ์ของเรื่องนี้ได้เลย เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจมากมายขนาดนี้ แถมส่วนใหญ่ยังมีตำแหน่งสูงกว่าท่านโหวเทียนหยวนอีก ถ้าพวกนั้นร่วมมือกันมาเล่นงาน เหมียวอี้ย่อมสมควรตายอยู่แล้ว ถึงตอนนั้นแม้แต่นางก็จะหนีไม่พ้น อย่าว่าแต่นางเลย แม้แต่ท่านโหวเทียนหยวนสามีของนางก็จะได้รับผลเสียไปด้วยเช่นกัน สามารถกระตุกจากข้างบนลงมาข้างล่างได้เลย ทั้งข้างบนข้างล่างจะซวยต่อกันเป็นทอด!
มีจุดหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนมาก เห็นได้ชัดว่าเหมียวอี้อยู่ใต้หนังตานาง สร้างสถานการณ์ใหญ่โตขนาดนี้ เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ ประหารคนไปเป็นพันคน ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายก็จะบอกว่าทำไมนางไม่ออกมาห้าม จะให้บอกว่าไม่ทันสังเกตเห็นแล้วให้เรื่องผ่านไปเหรอ แบบนั้นใครจะเชื่อล่ะ!
ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายก็จะบอกว่า ความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้เกิดอยู่ใต้หนังตาแท้ๆ แต่เจ้ายังไม่สังเกตเห็น แล้วเจ้าจะไปนั่งทำมาหากินอะไรที่นั่น?
เมื่ออีกฝ่ายถามมาแบบนี้ แม้แต่แก้ตัวเจ้าก็ไม่มีทางแก้ตัวได้
คนเสียสติ! นี่ต้องเสียสติถึงขั้นไหนถึงจะทำเรื่องนี้ออกมาได้!
ปี้เยว่ฮูหยินหันหน้าหนี แล้วถลันตัวเข้าไปในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ทหารยามจะขวางนางได้เสียที่ไหนกัน
นางบุกตรงไปที่ลานบ้านด้านหลังของจวนเหมียวอี้ สิ่งที่ทำให้ปี้เยว่ฮูหยินอยากจะชูนิ้วให้ก็คือ เหมียวอี้ที่สวมเกราะรบและยังมีรอยเลือดติดรองเท้า ในตอนนี้กำลังเอามือไขว้หลังดมดอกดอกไม้ริมสระน้ำ ในความองอาจกล้าหาญเผยความสง่างามไปอีกแบบ
เหมียวอี้ที่ได้ยินเสียงและหันกลับมาแทบจะชนกับปี้เยว่ฮูหยิน ชั่วพริบตาเดียวทั้งสองก็แทบจะยืนชนหน้ากันแล้ว
“คำนับฮูหยิน!” ยืนใกล้กันเกินไป พอกุมหมัดคารวะมือก็เลยชนกับหน้าอกอิ่มเอิบที่เผยออกมาครึ่งหนึ่งของนาง เหมียวอี้รีบถอยหลังไปคำนับอีกรอบ “กำลังจะไปพบฮูหยินที่ตำหนักคุ้มเมืองพอดี นึกไม่ถึงว่าฮูหยินจะมาเยือนก่อนแล้ว ข้าน้อยขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับ!”
ปี้เยว่ฮูหยินที่ใบหน้าชมพูดระเรื่อเปลี่ยนเป็นซีดขาวเพราะความโมโห ตอนนี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วจริงๆ นางพ่นออกมาอย่างชัดเจนทีละคำว่า “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้าช่างใจกล้านัก! บังอาจปิดบังอำพรางการรับรู้ของฮูหยินคนนี้ สมควรจะโดนข้อหาอะไร!”
“ฮูหยินโมโหที่ข้าสังหารคนด้านนอกพวกนั้นเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลั้วหัวเราะ ในใจกำลังครุ่นคิดว่าต้องรีบระงับความโกรธของนาง ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำเรื่องอะไรขึ้นมา สำหรับเขาแล้ว นางต่างหากที่เป็นอันตรายที่อยู่ตรงหน้าสุด เขารีบเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยน โค้งเอวค้างไว้นานๆ แล้วกุมหมัดคารวะกล่าวปลอบโยน “ฮูหยินคิดมากไปแล้ว เรื่องนี้ดูเหมือนเสี่ยงอันตราย แต่ที่จริงแล้วไม่มีอะไรทั้งนั้น!”
“เหลวไหลเหมือนผายลม!” ปี้เยว่ฮูหยินด่าตรงๆ สตรีชั้นสูงที่งดงามหยาดเยิ้มเย้ายวนใจ ตอนนี้ถูกใครบางคนทำให้โมโหจนสบถคำหยาบคายแล้ว
“สามวัน!” เมื่อเห็นนางวู่วามจะลงไม้ลงมือ ตนใช่คู่ต่อสู้ของนางเสียที่ไหนกัน เหมียวอี้รู้สึกเครียดในใจ รีบรับมือให้นางสงบลง ชูสามนิ้วขึ้นมาอย่างแน่วแน่ พร้อมบอกว่า “ฮูหยิน ให้เวลาข้าแค่สามวันเท่านั้น หลังจากนี้สามวันก็จะทราบเหตุผล ถึงตอนนั้นฮูหยินจะไม่ใช่แค่จะไม่ผิดพลาด แต่กลับจะมีผลงานด้วย!”
จะทราบเหตุผลภายในสามวันคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาต้องพูดเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ต่อให้จะเป็นคำพูดเหลวไหลไร้สาระ แต่การทำให้ผู้หญิงคนนี้สงบลงก็คือเรื่องที่ต้องทำเป็นอันดับแรกเช่นกัน!
ที่จริงเขาเองก็ไม่มีความมั่นใจเลย ครั้งนี้เป็นการเดิมพันภายใต้ความโมโหเท่านั้น เดิมพันแล้วชนะก็ไม่เป็นไร สามารถทำให้ตนนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ได้อย่างมั่นคง แต่เดิมพันแพ้ก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ร้านค้าระดับบนของตลาดสวรรค์นับร้อยร้านถูกเขารีดไถจนหมดเกลี้ยง ถึงตอนนั้นหอบของหนีกลับพิภพเล็กก็ยังมีกินไปอีกหลายปี
อย่างไรเสีย ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาก็ขาดทุนอยู่ดี แล้วทำไมจะไม่ทำล่ะ? สรุปก็คือเขาไม่มีทางยอมรับการโดนพวกพ่อค้าควบคุมอยู่ตลอดตอนที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ เจ็บสั้นดีกว่าเจ็บยาว!
ส่วนปี้เยว่ฮูหยินจะพบปัญหาอะไรหลังจากที่เขาหนีไปแล้ว นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขากังวล ตั้งแต่เมื่อวานที่ปี้เยว่ฮูหยินพูดออกมาว่าให้เขาจัดการเรื่องของตัวเองให้ดี เขาก็รู้แล้วว่าผู้หญิงคนนี้ทิ้งเขา เช่นนั้นเขาก็ทำได้เพียงสนใจตัวเอว ถึงได้ตัดสินใจลงมืออย่างไม่ลังเล!
คำพูดนี้ค่อนข้างหลอกลวง แต่ก็ได้ผลพอสมควร! เมื่อเห็นเขาแน่ใจขนาดนี้ ถึงแม้ปี้เยว่ฮูหยินยังจะยังโมโห แต่อย่างน้อยไฟโกรธก็ไม่ได้พุ่งพล่านขนาดนั้นแล้ว นางอยากจะรู้เหตุผลเหมือนกัน หมัดที่ง้างขึ้นมาเล็กน้อยค่อยๆ วางลง กัดฟันถามว่า “ภายในสามวันจะไปหาเหตุผลมาจากไหน?”
สามารถคุยกันดีๆ ได้ก็พอแล้ว เขากลัวแค่ว่าจะไม่มีโอกาสได้คุยกันดีๆ !
เหมียวอี้ทำท่าเหมือนโน้มน้าวด้วยเจตนาดีทันที กุมหมัดกล่าวอีกครั้งว่า “ฮูหยิน! ถึงแม้ชีวิตหนิวโหย่วเต๋อจะไร้ค่า แต่ข้าก็เป็นคนรักชีวิตเช่นกัน จะนำชีวิตตัวเองไปล้อเล่นง่ายๆ ได้อย่างไร ฮูหยินได้โปรดตรวจสอบให้ชัดเจน!”
บทที่ 1078 เบื้องบนตื่นตระหนก
โดย
Ink Stone_Fantasy
อีกด้านหนึ่ง หลังจากมู่หรงซิงหัวรีบกลับไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือของตัวเอง เรื่องแรกที่ทำก็คือติดต่อกับเฉาว่านเสียงทันที
ไม่สนใจว่ารักหรือเกลียด ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในตอนนี้ทั้งสองก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าไม่บอกเฉาว่านเสียงสักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล ถ้าถ่วงให้เวลานานไปแล้วค่อยบอก เฉาว่านเสียงจะต้องตำหนิว่าทำไมนางไม่บอกตั้งแต่เนิ่นๆ ขณะเดียวกันก็อยากจะขอความคิดเห็นด้วย
ณ จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่ เฉาว่านเสียงกำลังนั่งสมาธิฝึกตน พอได้ยินข่าวก็ตะลึงค้างทันที!
ตอบกลับอย่างร้อนใจว่า : ฮูหยินเอ้ย จะเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นไม่ได้นะ จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง เจ้าอย่ามาทำให้ข้าตกใจสิ!
มู่หรงซิงหัว : ข้าจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นได้ยังไง มิหนำซ้ำเรื่อแบบนี้ก็ปิดบังได้ไม่นานด้วย ต่อให้ข้าไม่บอก ท่านก็จะได้รู้ในเร็วๆ นี้เช่นกัน
เฉาว่านเสียงร้อนรนทันที ถามด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า : ทำไมเจ้าไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้?
มู่หรงซิงหัว : ข้าเองก็โดนคนจับตาดูอยู่เหมือนกัน หาโอกาสบอกท่านไม่ได้!
เฉาว่านเสียง : ก่อนจะลงมือทำเรื่องนี้ ปี้เยว่ฮูหยินรู้หรือเปล่า?
มู่หรงซิงหัว : ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่านางรู้หรือเปล่า คาดว่ามีโอกาสสูงที่จะไม่รู้ ตอนนี้จะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี?
เฉาว่านเสียง : ข้าจะไปรู้เหรอว่าจะทำยังไง? หัวหน้าภาคเล็กๆ อย่างข้าจะทำอะไรได้? พวกเจ้าก็ซวยไปพร้อมกับข้าแล้วกัน!
เขาอาจจะซวย แต่มู่หรงซิงหัวกลับไม่แน่ โลกภายนอกต่างก็รู้ว่าเขาเป็นคนรั้งเหมียวอี้มาจากมือของโค่วเหวินหลาน ส่วนมู่หรงซิงหัวก็เป็นแค่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปฏิบัติตามคำสั่งเหมียวอี้เท่านั้น เมื่อฟ้าถล่มก็จะมีคนตัวสูงคอยค้ำให้ แต่เฉาว่านเสียงที่เป็นคนค้ำกลับเกิดปัญหาใหญ่แล้ว
จากนั้นไม่ว่ามู่หรงซิงหัวจะติดต่อเฉาว่านเสียงอย่างไรก็ไม่มีเสียงตอบกลับ เมื่อเป็นแบบนี้ มู่หรงซิงหัวก็ยิ่งเริ่มกระวนกระวายใจอยู่ไม่สุขแล้ว
เพล้ง! ขวดหยกใบหนึ่งแตกกระจาย
เฉาว่านเสียงที่โมโหจนกระหืดกระหอบราวกับเสียสติไปแล้ว จับอะไรได้ก็ทุ่มหมด พังข้าวของในห้องแตกกระจายเป็นกอง ต่อให้นอนฝันก็นึกไม่ถึงว่าจะประสบภัยอย่างไร้เค้าลางแบบนี้ เขาอยู่ในสภาพประสาทเสียเล็กน้อย เรียกได้ว่าแค้นท่านโหวเทียนหยวนกับปี้เยว่ฮูหยินมาก ที่จริงเรื่องของเหมียวอี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย แต่สองผัวเมียนั่นกลับยัดเขาให้ไปเป็นท่อนไม้อยู่ตรงกลาง ดึงเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตอนนี้จบกัน อย่านึกเลยว่าเขาจะปลีกตัวพ้น
ตอนนี้เขาอยากจะถ่ายทอดคำสั่งให้ฉีกร่างเหมียวอี้ให้แหลกเป็นชิ้นๆ แต่นั้นคือลูกน้องจองปี้เยว่ฮูหยิน ยังไม่ถึงคราวที่เขาจะควบคุม
“ไม่ได้!” หลังจากดึงผมเดินไปเดินมาอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ เฉาว่านเสียงก็หยุดฝีเท้า รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อท่านโหวเทียนหยวน พอติดต่อได้ คำแรกที่เอ่ยก็คือ “ช่วยชีวิตด้วย”
ที่จวนของเทียนหยวน ท่านโหวเทียนหยวนที่กำลังนั่งสมาธิฝึกตนได้รับข้อความที่ค่อนข้างประหลาด ย่อมต้องถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
หลังจากรู้สถานการณ์ชัดเจนแล้ว เทียนหยวนก็นั่งไม่ติดที่เช่นกัน ลุกพรวดขึ้นยืนทันที โมโหจนหน้าดำเป็นก้นหม้อ ถามว่า : เจ้าแน่ใจนะว่าสถานการณ์เป็นแบบนี้?
เฉาว่านเสียงแทบจะเป็นลมแล้ว สงสัยเมียเจ้าก็คงไม่รู้เรื่องเหมือนกัน! เขายังกอดความหวังสุดท้ายเอาไว้ หวังให้นี่เป็นการเตรียมการของท่านโหวเทียนหยวน ไม่อย่างนั้นผู้บัญชาการใหญ่ตัวเล็กๆ คนเดียวจะใจกล้าคับฟ้าทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร แต่ใครจะคิด…
จบเห่แล้ว! เฉาว่านเสียงรู้สึกเหมือนฟ้าหมุนแผ่นดินพลิก ใช้มือข้างหนึ่งยันเสาเอาไว้ ใช้มือข้างหนึ่งถือระฆังดาราตอบ : คงจะจริงขอรับ เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ฮูหยินของข้าบอกมา…ท่านโหว…ท่านโหว…
ไม่มีเสียงตอบกลับจากท่านโหวเทียนหยวน ไม่ว่าเขาจะเรียกอย่างไรก็ไม่มีการตอบกลับ
เทียนหยวนกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องอย่างโมโห เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ จะมีอารมณ์จากไหนมาสนใจเฉาว่านเสียง
“แผนลับ! แผนลับ! ต้องเป็นแผนลับของใครบางคนแน่นอน! ตระกูลโค่วเหรอ? ไม่อย่างนั้นผู้บัญชาการใหญ่คนเดียวจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร…” เทียนหยวนที่เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมากำลังพึมพำวิเคราะห์ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม สุดท้ายก็หยุดฝีเท้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพึมพำอีกว่า “ใช่แล้ว! ผู้บัญชาการใหญ่แค่คนเดียวจะทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง? แม้แต่ร้านค้าที่มีตระกูลโค่วหนุนหลังก็ยังถูกจับไปด้วย ทำไมถึงทำเรื่องแบบนี้ได้…”
บนใบหน้าฉายแววฉงนใจก่อน จากนั้นก็ฉายแววระแวงสงสัย เอามือลูบเคราใต้ปาก ครุ่นคิดอย่างช้าๆ แววตาวูบไหวไม่หยุดนิ่ง
ชั่วพริบตาเดียวก็นึกขึ้นได้ว่าพลาดเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งไป ลืมหาหลักฐานพิสูจน์จากปี้เยว่ฮูหยิน จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที
ดาวเทียนหยวน ตลาดสวรรค์ ในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกยังคงคุมเชิงกันอยู่
“ตรวจสอบให้ชัดเจนบ้าอะไรล่ะ!”
ปี้เยว่ฮูหยินพอออ้าปากก็พ่นคำหยาบ ไม่พ่นก็แปลกแล้ว ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ยังจะให้นางตรวจสอบให้ชัดเจนอีก จะให้นางตรวจสอบให้ชัดเจนอย่างไร? ครอบครัวของนางโดนลากลงน้ำไปด้วยแล้ว ตอนนี้เรียกได้ว่าอยากจะฆ่าเขาให้ตาย ถ้าไม่ใช่เพราะรู้ว่าฆ่าเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ นางก็คงลงมือไปแล้ว
“นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ข้าอยากฟัง!” นางตะคอกอย่างโมโห
“ฮูหยินผ่อนผันให้ข้าสามวันได้หรือไม่ แค่สามวัน” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้มเจื่อน
“สามวัน?” ปี้เยว่ฮูหยินโมโหจนหัวเราะออกมา “ให้ข้าผ่อนผันให้เจ้าสามวันเหรอ? ถ้าเบื้องบนถามข้าว่าเพราะอะไร แล้วข้าให้คำอธิบายไม่ได้ ใครจะมาขยายเวลาให้ข้าสามวัน? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ…” เสียงพูดหยุดชะงัก แล้วหยิบระฆังดาราออกมา
ผู้ที่ส่งข้อความมา นอกจากท่านโหวเทียนหยวนก็ไม่มีใครแล้ว เป็นอย่างที่ปี้เยว่ฮูหยินคาดไว้ ผู้ชายของนางรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่แล้วจริงๆ ขณะที่โดนสอบถาม นางแยกตัวออกจากเหมียวอี้ เดินไปตอบข้อความอีกด้าน : มีเรื่องนี้จริงๆ!
เทียนหยวน : ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้?
ปี้เยว่ฮูหยิน : ถ้าข้ารู้ตั้งแต่แรกจะมีเรื่องให้บอกเหรอ? ข้าก็ต้องห้ามไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ให้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้หรอก ที่สำคัญคือหนิวโหย่วเต๋อสร้างสถานการณ์ตบตาข้า ทำให้ข้าเพิ่งจะรู้เรื่องราว ตอนนี้ข้ากำลังอยู่กับเขา เตรียมจะคิดบัญชีกับเขา!
เทียนหยวน : เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โดยรวม เจ้าอย่าทำซี้ซั้วเชียวนะ ต่อให้เจ้าฆ่าเขาทิ้งตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์! เขาทำเรื่องนี้เพราะมีเจตนาอะไร?
ปี้เยว่ฮูหยิน : เขายังไม่ออกอะไร เอาแต่ปิดบังอำพราง ขอให้ข้าผ่อนผันเวลาให้สามวัน บอกว่าหลังจากสามวันนี้ก็จะรู้เอง!
เทียนหยวน : ได้ยินว่าคนจากร้านค้าสิบหกร้านที่ฟ้องร้องเขา รวมทั้งสองร้อยยี่สิบเอ็ดร้านที่เกี่ยวข้องถูกฆ่าทิ้งหมดเลยสามพันกว่าคน ทั้งยังจับคนจากร้านค้าร้อยอันดับแรกไปพันกว่าคน แม้แต่คนของร้านค้าสมาคมวีรชนกับคนของร้านค้าที่ตระกูลโค่วหนุนหลังก็จับไปด้วย มีเรื่องแบบนี้จริงหรือเปล่า?
ปี้เยว่ฮูหยินอึ้งเล็กน้อย นางยังไม่รู้รายละเอียดชัดเจน ประเด็นสำคัญคือผู้การสองหลันเซียงก็โดนตบตาเหมือนกัน กลับไปรายงานได้ไม่ชัดเจนเท่าไร จึงหันกลับมาถามเหมียวอี้ทันทีว่าเป็นแบบนี้หรือไม่
เรื่องนี้ไม่มีทางปิดบังได้ เหมียวอี้เองก็ไม่อยากจะปิดบังเช่นกัน เขาตอบว่าใช่!
ปี้เยว่ฮูหยินตอบทันที : ใช่!
เทียนหยวน : ตอนที่พวกติงกุ้ยไปตรวจสอบ เจ้าได้ปกป้องหนิวโหย่วเต๋อรึเปล่า?
ปี้เยว่ฮูหยิน : ข้าก็ต้องปกป้องอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้ามีแรงกดดันนิดหน่อยแล้วข้าวางมือไม่สนใจ พวกเราสองสามีภรรยาจะเอาหน้าไปไว้ไหน? ถึงแม้จะรู้ว่าจะปกป้องไม่ไหว แต่ก็ยังต้องลำเอียงเข้าข้างสักหน่อย แต่ในเมื่อเขาสู้กับคนพวกนั้นแล้ว คาดว่าเขาก็คงรู้เหมือนกันว่าจะไม่มีจุดจบที่ดี ข้าแขะเกลี้ยกล่อมให้เขาจัดการเรื่องของตัวเองให้ดี แต่ใครจะคิดว่าเขาจะทำเรื่องแบบนี้ได้…นี่มันเวลาไหนแล้ว เจ้ายังมีกะจิตกะใจมาถามเรื่องนั้นอีกเหรอ? จะผ่านด่านที่อยู่ตรงหน้าไปได้ยังไง เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว!
ท่านโหวเทียนหยวนที่กำลังถือระฆังดาราไว้ในมือทำสีหน้าครุ่นคิด ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วตอบว่า : ปี้เยว่! เจ้าน่ะเจ้า จะให้ข้าว่าเจ้ายังไงดี! เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาของเขาแท้ๆ ต่อให้เจ้าปกป้องเขาไม่ได้ แต่เจ้าไปแสดงความคิดตัวเองให้เขารู้ได้ยังไงว่าเจ้าจะทิ้งเขา? เจ้าจะให้ลูกน้องคิดยังไง? ขนาดเจ้ายังหนุนหลังให้เขาไม่ได้เลย เขาก็ต้องหาวิธีปกป้องตัวเองสิ ตัวเจ้าอยู่ที่นั่นแท้ๆ อย่าบอกนะว่าดูไม่ออกว่าหนิวโหย่วเต๋อกำลังคิดหาทางปกป้องตัวเอง? ช่างเถอะ เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่งแล้ว ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น แกล้งทำเป็นไม่รู้ต่อไป!
ปี้เยว่ฮูหยิน : เจ้าล้อเล่นใช่มั้ย! เรื่องที่เกิดใต้หนังตาข้า จะเสแสร้งต่อไปได้เหรอ? อีกประเดี๋ยวถ้ามีการถามหาความรับผิดชอบ ข้าต้องไม่รอดตัวแน่!
เทียนหยวน : ผลลัพธ์ในตอนนี้พูดยาก คอยดูไปก่อน! ถ้ามีเรื่องขึ้นมา ข้าจะหาทางผลักเฉาว่านเสียงออกมารับผิดชอบ
เมื่อได้ยินว่าเขามีหนทาง ปี้เยว่ฮูหยินก็สงบใจลงเล็กน้อย ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะเจ้าชู้ลับหลังนาง แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่นางแน่ใจได้ นั่นก็คือเขายังเห็นความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ไม่ทอดทิ้งนางเอาไว้โดยไม่สนใจ แต่ก็ยังถามเพิ่มอีกว่า : เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ อย่าบอกนะว่ายังมีผลลัพธ์อีกอย่าง?
เทียนหยวน : สมองเจ้าไปงอกบนหน้าอกหมดแล้ว ใช้เวลาประเดี๋ยวเดียวก็อธิบายให้เจ้าเข้าใจไม่ได้หรอก สรุปว่าข้ายังยืนยันอะไรไม่ได้ ยังต้องรอดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน จำไว้นะ! เจ้าไม่ต้องเข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้ แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไรต่อไป ถ้ามีเรื่องอะไรก็บอกข้าล่วงหน้า อย่าเข้าไปก้าวก่ายซี้ซั้ว อย่าช่วยแล้วทำให้เรื่องยุ่งกว่าเดิม!
ชัดเจนว่ากำลังด่านางว่าหน้าอกใหญ่แต่ไร้สมอง! ปี้เยว่ฮูหยินก้มหน้ามองหน้าอกขาวอิ่มเอิบที่โผล่ออกมาครึ่งหนึ่งของตัวเอง แล้วจตอบว่า : ไปตายไป๊!
เมื่อเลิกติดต่อกันแล้ว ปี้เยว่ฮูหยินก็หันกลับมาจ้องเหมียวอี้ครู่หนึ่ง
เหมียวอี้ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะ แต่ใครจะคิดว่าปี้เยว่ฮูหยินกลับตะคอกว่า “พวกเรากลับ!”
นางพาผู้การสองหลันเซียงกลับไปแบบนี้เสียเลย ทำเอาเหมียวอี้ยืนงงอยู่ที่เดิม นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? คำพูดหลอกลวงที่เขาครุ่นคิดขึ้นมา ยังไม่ทันได้พูดออกมาด้วยซ้ำ
ผ่านไปไม่นาน เป่าเหลียนก็มาแล้ว ในมือถือกำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งมายื่นให้เขา คนที่ตามหลังนางมายังมีหวงฝู่จวินโหรวด้วย ผมงามยุ่งสยาย บนกระโปรงเปื้อนฝุ่นดินและรอยเลือด สูญเสียความสง่าภูมิฐานหมือนในวันเก่าๆ ดูค่อนข้างสะบักสะบอม
เหมียวอี้ดูกำไลเก็บสมบัติในมือนิดหน่อย แล้วบอกเป่าเหลียนด้วยรอยยิ้มว่า “ไปผู้บัญชาการฝูแล้วคุยเรื่องอวี้ซวีเจินเหรินสักหน่อยเถอะ ฝูชิงรู้ว่าควรจะจัดการอย่างไร”
“ค่ะ!” เป่าเหลียนพยักหน้าซ้ำๆ แล้วรีบออกไป ไม่อย่างนั้นก็กลัวว่าพวกลูกน้องจะไม่บันยะบันยังทำให้อวี้ซวีเจินเหรินได้รับความลำบาก
ในลานบ้านเหลือคนอยู่แค่สองคน เหมียวอี้มองสำรวจหวงฝู่จวินโหรวที่สภาพสะบักสะบอมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ส่วนหวงฝู่จวินโหรวก็ทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันราวกับไฟจะลุกออกจากดวงตา กล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ช่างมีความเด็ดขาดในการตัดสินใจ พอสั่งคำเดียว ศีรษะคนก็ตกลงพื้นหลายพัน พวกเราอุตส่าห์ยอมให้จับมาแต่โดยดี ช่างน่าเกรงขามจริงๆ!”
เหมียวอี้กลับถามด้วยรอยยิ้มว่า “เขียนคำให้การว่าสมคบคิดกันหรือยัง?”
หวงฝู่จวินโหรวแสยะยิ้ม “ดาบจ่ออยู่ที่คอข้า ข้าจะกล้าไม่เขียนเหรอ? หนิวโหย่วเต๋อ วันนี้ข้านับว่าเห็นชัดแล้วว่าเจ้าเป็นคนยังไง ไม่มีความเป็นมนุษย์เลยสักนิด ไม่นึกถึงความรักใคร่ต่อกันเลยสักนิด!”
“ดีกว่าที่เจ้าให้ปีศาจโลหิตมาสังหารข้าหรอกน่า? อย่างน้อยข้าก็ไม่ได้เอาชีวิตเจ้า ครั้งนี้นับว่าบุญคุณความแค้นของพวกเราจบลงแล้ว!” เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้มือกดบ่านาง คลายผลึกพลังอิทธิฤทธิ์ให้นาง จากนั้นเผยกำไลเก็บสมบัติออกมา “คืนของให้เจ้า ข้าไม่ได้แตะต้องของข้างในเลยสักอย่าง ข้ามีน้ำใจพอมั้ยล่ะ?”
หวงฝู่จวินโหรวแย่งกลับมา รีบตรวจดูครู่หนึ่ง เมื่อประเมินแล้วว่าไม่มีอะไรหายไป ถึงได้นำกลับมาสวมไว้บนข้อมือ “ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่ว่าใครก็ปิดบังไว้ไม่อยู่หรอก ข้าจะดูว่าครั้งนี้เจ้าจะตายยังไง!”
“เจ้าไม่ต้องลำบากมาเป็นห่วงหรอก!” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ “เห็นแก่ไมตรีเก่า เจ้าสามารถพาพนักงานของร้านเจ้ากลับไปด้วยได้!”
“เจ้าคิดจะไล่ข้ากลับไปอย่างนี้เหรอ? ร้านค้าของข้าที่โดยสั่งปิด ของที่ยึดจากร้านค้าข้าไปล่ะยึด!” หวงฝู่จวินโหรวตะคอก
“ร้านค้าน่ะ เวลาที่ควรจะเปิดก็ย่อมเปิดได้ โรงเตี๊ยมที่ตลาดสวรรค์ไม่ขาดที่ให้เจ้าพักหรอก ส่วนของที่ยึดไว้ ก่อนที่จะสืบเรื่องนี้ให้รู้ชัดอย่างถึงที่สุด พวกนั้นล้วนเป็นของโจร ตอนนี้ยังเอากลับคืนไปไม่ได้!” เหมียวอี้ส่ายหน้า เมื่อเห็นนางทำท่าจะเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ ก็เอาสองมือไขว้หลังแล้วขู่ไปเสียเลยว่า “ถือโอกาสพาพนักงานของเจ้ากลับไปก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ ถ้าช้ากว่านี้จะได้เอากลับไปแต่หัวนะ หัวไม่กี่พันหัวยังดับไฟโกรธในใจข้าไม่ได้เลย ข้าไม่ถือสาที่จะฆ่าเพิ่มอีกสักหน่อย!”
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน หวงฝู่จวินโหรวก็คงจะพูดว่า “เจ้ากล้าเหรอ” แต่วันนี้หลังจากได้เห็นภาพศีรษะคนปลิวว่อนฟ้า นางก็ไม่สงสัยเลยว่าเจ้าคนเสียสตินี่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ นางไม่กล้าเอาชีวิตลูกน้องมาเสี่ยงอันตราย ทำได้เพียงกล่าวอย่างเคียดแค้นว่า “วันนี้เจ้าบังคับให้ข้าคุกเข่ารับความอัปยศ วันหลังข้าจะคืนให้เจ้าแน่!” แล้วกันหน้าเดินจากไป
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น