องครักษ์เสื้อแพร 1072-1073
ตอนที่ 1072 เหลียวกั๋วกงนั่งสนทนา
Ink Stone_Fantasy
ตอนนี้หลานเส้นทางรอบนอกจวนเหลียวกั๋วกงล้วนเจริญ คหบดีร่ำรวยแดนใต้ต่างมากันที่นี่ ล้วนมาเยี่ยมเยือนโดยเฉพาะ นับว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์
ที่พักคหบดีแดนใต้ไม่ค่อยได้เห็นถนนสายกว้างเช่นนี้นัก ถนนเป็นระเบียบเรียบร้อย เทียบกับซอยเล็กที่เต็มไปด้วยสีสันหลากหลายแล้ว สีถนนเส้นนี้เรียกได้ว่าเป็นสีใกล้เคียงกัน ถนนล้วนปูลาดด้วยก้อนหิน ไม่มีการแกะสลักและลวดลายใด แต่เช่นนี้ทำให้ดูยิ่งใหญ่เคร่งขรึมไม่น้อย เป็นความงามอีกแบบหนึ่ง
สองข้างทางไม่มีการตกแต่งหน้าประตู มีแต่ประตูใหญ่ดำสนิท ประตูใหญ่ด้านบนล้วนแขวนป้าย เขียนเลขที่ เขียนชื่อร้าน หน้าประตูยังมีคนงานกับผู้คุ้มกันยืนเฝ้าเข้มงวด สองข้างมีที่จอดรถม้ากับที่ผูกม้าเฉพาะ
ร้านค้าเหล่านี้หากอยู่ที่อื่น ล้วนเป็นร้านใหญ่มีชื่อ ป้ายชื่อก็ต้องเขียนให้ตัวใหญ่ให้คนเห็นแล้วน่าเกรงขาม แต่คนงานที่นี่สีหน้าล้วนไร้รอยยิ้ม มีความนิ่งเงียบหลายส่วน หากมีแขกมาถึง พวกเขาจึงจะต้อนรับอย่างไม่เย่อหยิ่งไปและไม่ถ่อมตัวไป
เดินบนถนนสายนี้ คนที่เหิมเกริมอย่างไรก็ล้วนต้องรู้สึกกดดัน เดินถนนสายนี้ล้วนย่อมเปลี่ยนเป็นย่องเบาๆ กลัวว่าจะทำให้คนข้างๆ ตกใจ แสดงถึงตนไร้ธรรมเนียม
มีคนจากเมืองหลวงเป็นขุนนางมาก่อน เห็นอะไรมามาก แอบคุยกันในงานเลี้ยงว่าถนนเหล่านี้มีบรรยากาศเหมือนกับประตูเมืองหลวงแผ่นดินหมิง คนนั้นยังบอกว่าไม่เกินเลย คิดแล้วร้านค้าบนถนนหลายสายพวกนี้ทุกปีย่อมทำกำไรไม่น้อย เป็นตัวเลขที่น่าตกใจ มีบรรยากาศเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเกินไปนัก
ความจริงนั้นตอนเริ่มแรกไม่ใช่เช่นนี้ แต่หวังทงเคยเห็นภาพการค้าในยุคนั้นมาก่อน ประตูร้านเครือข่ายสามธาราจึงให้ตกแต่งเช่นนี้ คนนอกที่มาทำการค้าบนถนนหลายสายพวกนี้ได้ย่อมเป็นบุคคลระดับแนวหน้าสุดในแผ่นดินหมิง เห็นบรรยากาศนี้แล้วก็ย่อมเลียนแบบสักหน่อย
นอกถนนสายหลักเหล่านี้จึงจะพอมีร้านสุราร้านอาหารหลากหลาย ถึงกับมีหอคณิกาชั้นสูง ล้วนไว้คุยการค้าสร้างไม่ตรีกัน ทุกคนมักอยู่ในที่เหล่านี้เพื่อเจรจาการค้า
หวังทงมักจะไปนั่งสบายๆ ที่ร้านน้ำชา ร้านน้ำชานี้เครือข่ายสามธาราแทบจะสร้างเพื่อหวังทง มีสวนดอกไม้ขนาดกำลังดีอยู่ด้านหน้า ภาพงดงามไม่เลว หวังทงส่วนใหญ่นั่งอยู่ห้องเดี่ยวจิบชาชมทิวทัศน์
ร้านน้ำชานี้ตั้งในเขตพื้นที่ที่ระดับหรูหราที่สุด ส่วนใหญ่มีแต่พ่อค้าส่งคนระดับเบอร์หนึ่งเบอร์สองมา จึงจะสามารถมาจิบชาสนทนาที่นี่ได้ ทุกคนล้วนคุยกันเบาๆ บอกอีกสักคำว่า ร้านน้ำชานี้ต้องมีบัตรสมาชิก จ่ายเงินเข้าไม่ได้ ต้องมีป้ายจึงได้ ป้ายนี้ดูแลโดยธนาคารสามธาราสาขาหลัก องครักษ์เสื้อแพรรับหน้าที่ตรวจสอบ มีป้ายนี้ ก็แสดงถึงสถานะในเมืองซงเจียง
ปลายเดือนสาม ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 20 หวังทงเกือบทุกวันต้องใช้เวลาสองชั่วยามที่นี่ พบปะกับบรรดาแขก คุยสนทนากันอยู่นาน
แขกที่เชิญเหล่านี้กลับไม่ใช่พวกเชี่ยวชาญทางการค้าหรือว่าขุนนาง ล้วนเป็นพวกพ่อค้าทะเลที่เข้าเทียบท่าเมืองท่าซงเจียง โดยเฉพาะที่เคยไปประเทศวัวกับเกาหลีมามากที่สุด พ่อค้าทะเลเหล่านี้ถูกหวังทงเชิญมาสอบถาม สำหรับพวกเขาแล้ว ล้วนมีเกียรติอย่างมาก
เนื้อหาที่ถามง่ายมาก ก็คือสภาพเกาหลีกับญี่ปุ่น คนและภูมิประเทศ ไปจนถึงการเมืองการปกครอง ไม่มีอันใดไม่ถาม ขอเพียงเกี่ยวข้อง หวังทงล้วนต้องการรู้
แต่เจ้าทะเลและพ่อค้าทะเลก็แค่ไปทำการค้าเท่านั้น ที่พวกเขาเข้าใจก็แค่เรื่องเมืองท่า ที่ทำให้หวังทงคาดไม่ถึงก็คือ เรือไม่น้อยล้วนมีลูกเรือเกาหลีและชาวประเทศวัวทำงาน ทำให้ยิ่งสะดวก ถามคนพื้นที่ตรงกว่า
แต่ทว่าลูกเรือเหล่านี้ รู้อะไรไม่มาก รอนแรมออกทะเลทำงานใช้แรงงาน เดิมก็เป็นคนระดับล่างในสังคมจะไม่รู้มากได้อย่างไร
“…เกาหลีทางนั้นยากจนมาก ที่เพาะปลูกได้ล้วนอยู่ในมือตระกูลลีกับตระกูลคิม เรียกว่าสองขั้วบุ๋นบู๊ เจ้าหากไม่อยู่ในสองขั้วตระกูลนี้ ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่อาจเป็นขุนนางใหญ่ได้…”
“…ชีวิตพระราชาเกาหลีก็ไม่อาจสู้พ่อค้าร่ำรวยเทียนจินได้ ที่เกาหลีการที่สามารถได้กินข้าวขาวทุกมื้อนั้น ล้วนเป็นพวกมากอำนาจวาสนาเท่านั้น…”
“…ทหารเกาหลี สู้กับทหารเพาะปลูกแผ่นดินหมิงก็ไม่ได้ ราวกับลิงทะเล ตอนนั้นที่อินชอนใช้กำลังร้อยคนก็สามารถขับไล่ทหารเกาหลีหลายพันหนีกระจายราวกับแพะน้อย มีแต่พวกบนท้องทะเลเท่านั้นที่พอจะต่อสู้เป็น ล้วนปลอมตัวเป็นโจรสลัดวัวโค่ว ทำงานให้บรรดาเจ้าทะเล…”
“…เกาหลีให้ความสำคัญกับบุ๋นมากว่าบู๊มาก บนแผ่นดินหมิง ขุนนางบู๊ยังพอมีหน้ามีตา แต่ที่เกาหลีหากพี่น้องสองคนในบ้าน คนหนึ่งเรียนบุ๋น คนหนึ่งเรียนบู๊ คนที่เรียนบุ๋นก็จะได้เรียนในห้องเรียน แต่คนที่เรียนบู๊กลับต้องทำงานราวกับทาส…”
“…ข้าน้อยเมื่อก่อนยังเคยไปทำการค้าที่เมืองโซอุลมา คุ้นเคยกับพ่อค้าใหญ่ที่นั่นหลายคน ราชสำนักเล็กเกาหลีของพวกเขาแก่งแย่งกันรุนแรงมาก มักจะมีตระกูลรุ่งเรืองได้สองสามเดือน เดือนถัดมาก็ถูกประหารทั้งตระกูล การค้าข้าน้อยไม่น้อยต้องขาดทุนตามไปด้วย…”
“…พูดถึงเกาหลีกับโจรสลัดวัวโค่ว เกาหลีทางใต้พูดไม่น่าฟังก็คือแหล่งเสบียงของไดเมียวคิวชูกับไซโกกุ พูดให้เกียรติหน่อยก็ว่าเอาเงินไปซื้อ หน้าไม่อายก็ไปปล้นเลยตรงๆ…”
ข่าวแต่ละแหล่งรวบรวมมาได้ หวังทงพอจะเข้าใจเกาหลีแล้วว่าเป็นพื้นที่เช่นไร เป็นประเทศยากจนจริง และยังเรียกได้ว่าเละเทะดูไม่ได้เลยทีเดียว ประเทศเช่นนี้ไม่ควรโจมตีแม้แต่น้อย
แต่ทว่าต่อไปนี้ไม่เหมือนที่กล่าวไว้เดิม ที่นั่นไม่เหมือนกับเกาหลี หวังทงรู้สึกตนเองได้เปิดโลกทัศน์ เริ่มแรกเชิญคนมาเพื่อสอบถามงานเพื่อทางการ สุดท้ายหวังทงพบว่าตนเองเริ่มสนใจที่นี่มาก
“…โจรสลัดวัวโค่ว หากบอกว่าไม่เคยเห็นโลกกว้างก็คงเช่นนั้น กระเบื้องหยาบๆ แผ่นดินหมิงขนไปก็ขายได้ราคาสูงมาก แต่ทว่าพื้นที่นั้นพวกเขากับพวกฟะรังคียังมีพวกฮอลันดามากันมาก เห็นโลกภายนอกไม่น้อย…”
“…ล้วนว่าเป็นบัญชาสวรรค์ ข้าน้อยว่า โทโยโตมิ ฮิเดโยชิก็คือฟ้าของประเทศวัว ค่อยๆ ก้าวมาสู่สถานะนี้ เป็นคนโชคดีจริง!”
“…ชาวประเทศวัวทางนั้นใช้เงินก้อนหย่งเล่อ แต่ทว่า ข้าน้อยกล้าบอกได้เลย กั๋วกงเองก็รู้ว่าเป็นเช่นไรกระมัง…”
“…ชาวประเทศวัวมีเงิน เรียกว่าภูเขาเงินทะเลทองคำเลย ประเทศวัวมีที่เช่นนี้จริง พื้นที่อำเภอหนึ่งถึงกับเป็นเหมืองทองและเหมืองเงิน และไม่ใช่แค่เขาลูกเดียว พวกเขายังทำเหรียญทองแดง ผุยๆ สมบัติกับเหรียญทองแดง พวกเขามีหมด…”
“…ต่อหน้ากั๋วกงคุยก็เหมือนเอาเรื่องเก่ามาเล่าให้ขายหน้า ข้าน้อยรู้ไม่มาก แต่การขนน้ำตาลผ้าไหมกับไหมดิบไป หลายอย่างล้วนราคางามมาก ค่าเงินประเทศวัวก็ถูกมาก ไปๆ มาๆ กำไรยิ่งมาก…”
“…ทหารชาวประเทศวัว ข้าน้อยก็เคยเห็นอยู่ ปืนและปืนใหญ่ล้วนมี แต่ล้วนติดตั้งบนกำแพงเมือง พวกเขายังมีปืนที่เรียกว่า ‘กระบอกใหญ่’ สองคนอุ้มไว้แล้วจุดยิง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นปืนใหญ่เหล็ก ชื่อก็ว่าใหญ่ ความจริงนั้นเป็นแค่ปืนไฟ ข้าน้อยความรู้น้อย ไม่กล้ากล่าวอันใดมาก ชาวประเทศวัวใช้ปืนใหญ่แบบนี้มาเทียบกับปืนไฟกั๋วกงพอได้ ขนาดไม่ต่างกันมากนัก…”
“…ชาวประเทศวัวตรงไปตรงมา แผ่นดินหมิงเคลื่อนกำลังทหารว่าเจ็ดหมื่น แต่ความจริงนั้นแสนกว่า จากนั้นตอนรบก็ใช้แค่หมื่นสองหมื่น ประเทศวัวก็ชอบคุยโว พวกเขาหากเคลื่อนกำลังแสนจริง จะบอกว่าแสน ก็มีแต่ตามนั้น…”
“…ชาวประเทศวัวไม่มีเรือ แม้แต่ตะปูยังใช้ของไม่ดี เรือพวกเขา ข้าน้อยเดาว่าเหมือนที่แล่นกันในทะเลสาบไท่หูเรา ท่านเมี่ยวถล่มพวกเขาได้เลย ไม่ต้องอาศัยเรือรบหมิง กั๋วกง แม้แต่เจ้าเสิ่นหวั่ง ว่ากันว่าไปเป็นใหญ่ที่ชิเซ็นอะไรนั่นแล้ว…”
เทียบกับเกาหลีแล้ว ข่าวจากญี่ปุ่นยังมากกว่ามาก หวังทงรู้สึกได้ความรู้ไม่น้อย แต่ทว่าวาจาต่างๆ ของบรรดาเจ้าทะเลและพ่อค้าทะเล ทำให้หวังทงวิเคราะห์ข้อสรุปได้ เช่นว่า เกาหลีน่าจะรับมือญี่ปุ่นได้ไม่นาน
ข่าวเหล่านี้ บวกกับการวิเคราะห์ของหวังทงเอง หยางซือเฉินรวบรวมเขียนฎีกาม้าเร็วไปยังเมืองหลวง นอกจากนี้ยังมีม้าเร็วไปเทียนจินในเวลาเดียวกัน เอกสารทางการไปถึง ไม่ว่าพ่อค้าใดล้วนห้ามติดต่อการค้ากับเสิ่นหวั่ง ไม่เช่นนั้นมีโทษสมคบคิดโจรสลัดวัวโค่ว
ตอนนี้เมืองท่าที่มีการค้ากับประเทศวัวมากมีสองแห่ง เทียนจินกับเมืองซงเจียง สินค้าส่วนใหญ่เข้าออกที่นี่ สองแห่งนี้ล้วนอยู่ในการควบคุมของหวังทง คิดจะตัดเส้นทางการค้าก็ย่อมง่ายมาก
และทหารนำข่าวไปยังนำวาจาหวังทงไปด้วย ก็คือให้จัดการคนของเสิ่นหวั่งที่เทียนจิน ให้พวกเขาหนีและให้แอบซื้อตัวไว้
นี่ไม่ใช่เพื่อทำการค้า แต่เพื่อใช้สายเสิ่นหวั่งสืบข่าวประเทศวัว หวังทงรู้เรื่องนี้อ่อนไหว ดังนั้นในจดหมายลับก็แจ้งไปทางเมืองหลวง
การตัดสินใจของหวังทง ในวังไม่ได้มีเหตุคัดค้าน ความผิด ‘สมคบคิดโจรสลัด’ เป็นความผิดร้ายแรงบนแผ่นดินหมิงที่ไม่อาจอภัยโทษได้เด็ดขาด ลงโทษอย่างไรล้วนไม่เกินไป
พอพลส่งข่าวกลับมาก็ต้นเดือนห้า นำข่าวใหม่สุดของเมืองหลวงมาด้วย เกาหลีแต่ละเมืองล้วนตกในภาวะคับขันแล้ว พระราชาเกาหลีหนีไปเปียงยางแล้ว แม้แต่ทูตเกาหลีที่ขอความช่วยเหลือก็มีท่าทีเศร้าสลดมาก คิดว่าเปียงยางต้านทานไว้ได้อีกไม่นานแล้ว
สถานะทูตเกาหลี สถานะพระราชาเกาหลี เรื่องพวกนี้เป็นที่รับรองแล้ว จากนั้นกองทัพญี่ปุ่นโจมตีก็พอคาดเดาได้…
อ่านจดหมายจากเมืองหลวงแล้ว หวังทงอึ้งไป ทูตเกาหลีบอกว่าทหารญี่ปุ่นไม่ถึงสี่หมื่น หากไม่เข้าใจเรื่องนี้ หวังทงเองยังคิดว่าคนเกาหลีสมคบคิดโจรสลัดวัวโค่วเตรียมบุกแผ่นดินหมิง แค่สี่หมื่นไม่ถึง สี่หมื่นรุกจากปูซานไปยังเปียงยาง เจ้าอย่างไรก็ประเทศ ทำไมไม่รู้จักรักหน้าตาบ้าง
ในใจหวังทงพอเดาได้ ก็เพราะการกล่าวว่าโจรสลัดวัวโค่วอ่อนแอ จะทำให้ทหารแผ่นดินหมิงนำทัพไป หากบอกว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่ง อาจทำให้กองกำลังหมิงลังเล
“ประเทศวัวบัดซบจริง ตระกูลลีเกาหลีเองก็ไม่ใช่คนดีอันใด!”
หวังทงให้ข้อสรุป
ตอนที่ 1073 ทหารเก่าถูกปลด
Ink Stone_Fantasy
ต้นเดือนสี่ ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 20 แผ่นดินหมิงค่อยๆ เริ่มเคร่งเครียด กองกำลังหู่เวยรอบๆ เมืองหลวงเพิ่มกำลังฝึกซ้อม ไช่หนานยังต้องไปโรงช่างกับโกดังอาวุธตรวจนับอาวุธ
ปฏิบัติการนี้ทุกคนล้วนเข้าใจดี เพิ่มการฝึก ตรวจนับอาวุธ ก็เพื่อเตรียมการรบ หากยังไปติดต่อโรงช่างสามธาราซื้อหาอีก ยังมีเรื่องรถใหญ่อีก ก็ยิ่งเข้าใจ
กองกำลังหลวงกับกองกำลังเมืองหลวงล้วนกำลังปฏิบัติงานเงียบๆ เมืองหลวงหลายแห่งกำลังล้วนเพิ่มเติม สำนักบูรพากับองครักษ์เสื้อแพรล้วนส่งคนไปตรวจที่เหลียวหนิง ล้วนเป็นคดีผู้ว่าโกงกิน ผู้ใดไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร
เมืองเซวียนฝู่ เมืองจี้โจวเองก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้นมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักส่วนพระองค์ สำนักอาชาหลวงกับกรมทหารพากันส่งคนไปยังเหลียวหนิงตรวจนับทหาร สามผู้บัญชาการเหลียวหนิงล้วนยุ่งกันหัวหมุน
แม้ว่าโจรสลัดวัวโค่วที่อยู่เกาหลีมีแค่สี่หมื่น แต่ก็นับเป็นภัย อย่างไรก็เกาหลีมายังเมืองหลวงก็ไม่ไกล ตอนนั้นโจรสลัดหลายพันก่อเกิดแรงสั่นสะเทือนทั่วตะวันออกเฉียงใต้ สี่หมื่นนี่แน่นอนต้องให้ความสำคัญ
เกาหลีทางนั้นอย่าเห็นว่าไม่มีความสามารถในการรบ แต่การขอความช่วยเหลือนั้นทำได้ดี ทุกวันมาไม่หยุด จากข่าวแต่ละวันสามารถวิเคราะห์ได้เช่นนี้ ทัพใหญ่ประเทศวัวเริ่มเข้าใกล้เขตแดนแผ่นดินหมิงขึ้นทุกวัน
กับพื้นที่ใต้อาณัติอื่นไม่เหมือนกัน เพราะตั้งแต่เกาหลีเริ่มมอบบรรณาการแก่แผ่นดินหมิง ก็อ่านเรื่องราวคนมีสถานะแผ่นดินหมิงกันมาก หนึ่งเพื่อจะได้มาขอความช่วยเหลือทางการได้ถูก สองสามารถนำเงินทองมาเข้าหาขันทีในวัง ไปถึงขุนนางราชสำนัก และไปถึงพวกสำนักตรวจสอบ แม้แต่ตระกูลเจิ้งก็มี เรียกได้ว่าคนที่มีสิทธิ์ออกความเห็นล้วนได้รับการขอร้องหมด
การประชุมราชสำนักตอนนี้ล้วนหารือเรื่องพวกนี้ พวกเซวียนเว่ยสื่อเดิมในพื้นที่เสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจวจำนวนมากไม่ถูกปราบก็ส่งมอบคืนอำนาจ มีขุนนางใหม่ได้รับแต่งตั้งไปจำนวนมาก การจัดการคนไปก็เป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนต้องคิดมาก แต่ตอนนี้ส่วนกลางไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว ทุกวันเอาแต่หารือเรื่องเกาหลีกับญี่ปุ่น
เทียบกับเมืองหลวงที่เคร่งเครียดแล้ว แดนใต้ผ่อนคลายกว่ามาก ทุกคนที่ไปเมืองท่าซงเจียงเห็นกองเรือสามธารา ล้วนมั่นใจในความสงบสุขพื้นที่นี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลูซอน กองเรือแข็งแกร่งเช่นนี้ โจรสลัดวัวโค่วจะสักเท่าไรกัน
เมืองหลวงกำลังจัดทัพ เมืองซงเจียงกำลังผ่อนคลาย หวังทงเริ่มออกคำสั่งกับบรรดาเจ้าทะเลที่เป็นพันธมิตร ให้ทิ้งลูกเรือมีฝีมือและเรือดีไว้ที่เมืองซงเจียง แต่ละกลุ่มไม่ได้ขอกำลังมาก แต่ต้องส่งมา พวกเขาที่เมืองซงเจียงก็ไม่ได้ปล่อยว่าง แต่ไม่ให้วิ่งการค้าไกล
เดือนหก เรือการค้าโปรตุเกสสามลำมาถึงเมืองซงเจียง เรือเหล่านี้เป็นเรือมาจากอาหรับ พวกเขานำสินค้ามานอกจากของจากที่นั่นแล้ว ยังมีทาสสาวเปอร์เซีย ทำให้แดนใต้เกิดแรงกระเพื่อม ตามคำของลูกน้องชาวผิวขาวหวังทง ชาวผิวขาวนำทาสสาวเหล่านี้มาไม่แน่ว่าล้วนเป็นชาวเปอร์เซีย อาจเป็นชาวยุโรปก็ได้
อาณาจักรออตโตมันในยูเรเซียยิ่งใหญ่เกรียงไกร วังหลังออสมานลี[1] ล้วนเป็นฮาเร็มทาสสาว พวกขุนนางชนชั้นสูงมีความเคยชินเช่นกัน ดังนั้นการค้ามนุษย์ในออตโตมันจึงรุ่งเรืองมาก คนมากมายถึงจำมาขายที่นี่
แน่นอน ไม่ใช่สตรีทุกคนล้วนสามารถเข้าวังหรือเข้าจวนชั้นสูง หลายคนนำพวกนางไปขายที่ต่างๆ คนมีเงินขอบอะไรที่เหมือนๆ กัน ไม่เพียงแต่สุราเงินทอง เมืองซงเจียงกับเทียนจินร่ำรวยเช่นนี้ คนโปรตุเกสแน่นอนรู้ จึงคิดจะนำมาขายเช่นกัน
ซื้อมาจากตลาดค้ามนุษย์แล้ว ก็ต้องส่งไปพักที่มาเก๊าให้ฟื้นตัวก่อน จากนั้นบรรดาทาสสาวก็จะยิ่งงดงาม จากนั้นค่อยส่งมายังเมืองซงเจียง
ทาสสาวเหล่านี้มาถึงก็เกิดกระแสทันที พวกเสเพลต่างเมืองก็ชอบของแปลกใหม่ มีไว้ที่บ้านอวดบารมีสักคนก็ดี พวกการค้าบนแม่น้ำฉินไหวเหอที่หยางโจวซูโจวหังโจวก็ล้วนมีหัวทางการค้า รีบเร่งไปซื้อตัวมา เพื่อเสริมการค้าตน ยังมีพวกบัณฑิตพากันเขียนบทกวีวาดรูป ทุกคนล้วนสำราญกัน แดนใต้ยามนี้ราวแดนสวรรค์ ผู้ใดจะไปสนใจเหตุการณ์วิกฤตเกาหลีกัน
***************
หวังทงทางนี้นอกจากจัดการการข่าวแล้ว ยังมีเรื่องอื่นอีก ตอนนี้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ใกล้คลอดแล้ว เรื่องต่างๆ ในจวนก็ล้วนมุ่งกันแต่เรื่องนี้ ยุ่งกันมาก ความยุ่งนี้หวังทงไม่อาจข้องเกี่ยว หวังทงเองก็ไม่อยากกลับไปว่างอีก ทุกวันจึงไปอยู่ห้องหนังสือกับสนามฝึกยุทธเป็นส่วนใหญ่
เช้าวันที่ 5 เดือนหก หวังทงมาเป็นเพื่อนหวังเซี่ยออกกำลังกาย หวังเซี่ยตัวเท่าเด็กอายุ 7-8 ขวบ ร่างกายกำยำมาก หวังทงเห็นแล้วดีใจมาก
อย่างไรก็เป็นคุณชายชนชั้นสูง แต่เล็กกินดีอยู่ดี กอปรกับหวังทงแข็งแรง หานเสียก็เป็นลูกหลานทหาร ร่างกายก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงว่าแข็งแรงเพียงใด เห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นพวกฝึกยุทธ
“เจ้าเด็กน้อย ฝึกยุทธล่ะชอบ เรียนหนังสือไม่ยอมเรียน หากหนีไปเล่นอีก ระวังข้าจะเอาไม้ตีเจ้า!”
หวังทงหน้าเข้มสั่งสอน ในมือหวังเซี่ยมีไม้พลองยาว วางกระบวนท่าให้มาตรฐานแทงไปด้านหน้า เด็กน้อยสามารถฝึกได้ดี แต่ไม่อาจเรียนหนังสือได้ หวังทงสั่งสอนเช่นนี้ไม่ใช่แค่ครั้งแรกแล้ว
ขณะกำลังสอนอยู่นั้น ด้านนอกทหารติดตามเข้ามารายงานว่ามีคนมาจากหนิงเซี่ย
หวังทงว่างได้ก็เมื่อสองปีนี้ มีโอกาสอยู่เป็นเพื่อนภรรยาและลูก แน่นอนการกระทำของเขาเป็นที่ซุบซิบกันในบรรดาคหบดีร่ำรวยแดนใต้ ในบรรดาภรรยาและบุตรของตระกูลใหญ่ ทุกวันล้วนมีธรรมเนียมในการอยู่ร่วมกัน แต่หวังทงไม่สนใจธรรมเนียมเช่นนี้ ทว่าหวังทงไม่สนใจ คนอื่นๆ ก็ไม่กล้ามากล่าวอันใด
สภาพการณ์เช่นนี้ ทหารติดตามหวังทงล้วนเห็นด้วย กั๋วกงกำลังมีความสุขกับครอบครัว เรื่องงานไม่จำเป็นก็เอาไว้ค่อยทำทีหลัง เหลียวกั๋วกงแต่ไรไม่เคยชักช้าในการงาน ไม่ต้องกังวลว่าจะเสียการงาน
ทหารติดตามทำเช่นนี้ หวังทงเองก็ปิดตาข้างหนึ่ง ดังนั้นการมารายงานนี้ทำให้เขาแปลกใจอยู่ หนิงเซี่ยไปมาหาสู่กับเมืองซงเจียงไม่น้อย แต่ก็แค่ราวสิบวันมีรายงานมาครั้ง จดหมายไปมา คนส่งไม่ต้องพบ ตอนนี้กลับมีคนมาพบ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องใดกัน?
“เป็นทหารที่ขุนพลซุนไล่ออก ส่งพวกเขามาให้กั๋วกงหางานให้ทำ!”
ทหารติดตามรายงานอย่างระมัดระวัง เขาเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อ หวังทงขมวดคิ้วแน่น เอ่ยถามขึ้น
“ชื่ออะไรบ้าง?”
“เรียนกั๋วกง หนึ่ง กวนเฉิง อีกหนึ่ง ไป๋ต้าอู่”
ได้ยินชื่อแล้วหวังทงก็อึ้งไป สองคนนี้เขารู้จัก ตอนเป็นนายกองธงใหญ่เมืองหลวงซื้อตัวมา 50 คน นับว่าเป็นคนในสายงานตรง ทำไมสองคนถูกซุนซิงขับไล่ส่งมา
แม้ตอนนี้กองกำลังหู่เวยแต่ละกองหัวหน้ากองล้วนประจำคนละแห่ง แต่ละคนล้วนมีเครือข่ายตน แต่ทหารเบื้องหน้าถูกปลด ความจริงนั้นหัวหน้าแต่ละกอง โดยเฉพาะคนที่หวังทงส่งเสริมขึ้นมา หัวหน้ากองกับรองหัวหน้ากองไม่อาจแตะต้องได้ หากมีความผิดจริง ก็ย่อมลงโทษทางวินัยได้ไม่มีผู้ใดว่า แต่จัดการเช่นนี้ก็ต้องแจ้งหวังทงก่อน หากไม่เช่นนั้น ก็ย่อมไม่ถูกต้องตามธรรมเนียม แน่นอนหากทำอย่างไร้หลักการ ก็ย่อมยิ่งไม่ได้
หัวหน้ากองเป็นผู้ใดส่งเสริมมา เจ้าเป็นใหญ่ได้ไม่กี่วันก็คิดจะไม่เห็นแม่ทัพใหญ่ในสายตา เจ้ายังเป็นคนกองกำลังหู่เวยหรือไม่กัน เรื่องนี้หากไปถึงฮ่องเต้ว่านลี่ก็ล้วนไม่อาจไกล่เกลี่ย เรื่องไร้น้ำใจให้กันเช่นนี้ จงรักภักดีอย่างไร ก็น่าสงสัย
เรื่องพวกนี้จะไปถึงฮ่องเต้ได้หรือไม่ก็อีกเรื่อง ตั้งแต่ไช่หนาน เจ้าจินเลี่ยงไปถึงโจวอี้ ขันทีใหญ่แต่ละคน เจ้าเห็นว่าตั้งโชว์เฉยๆ หรือไร?
อย่างไรก็อยู่ในวงการขุนนางที่ต้องไว้หน้ากัน หัวหน้ากองกำลังแต่ละคนล้วนรู้ดี เข้าใจสถานะตนเองตอนนี้ดีว่ามาจากไหน เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่มี ลี่เทามาจากตระกูลใหญ่ย่อมเข้าใจมากกว่าคนอื่น ไม่ต้องพูดถึง
หากเป็นลี่เทาไล่ออก หวังทงก็พอเตรียมใจไว้หลายส่วน คิดไม่ถึงเป็นซุนซิง ทำให้เขายิ่งรู้สึกแปลกใจ สองคนนี้ก่อนถูกปลดก็ไม่แจ้งสักคำ หวังทงลุกขึ้นมาตบท้ายทอยหวังเซี่ยสองที่ ตะโกนให้ทหารติดตามพาหวังเซี่ยไปส่งที่หยางซือเฉินเรียนหนังสือ ตนเองเดินเข้าไปยังโถงกลาง
พอเข้าไปถึง ก็เห็นชายแต่งกายสามัญชนคุกเข่าโขกศีรษะนอบน้อม ด้านหลังมีทหารหกนายคุกเข่าอยู่ด้วย
“ข้าน้อยคารวะแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพใหญ่สบายดี”
ได้ยินคำเรียกขาน ในใจหวังทงที่เดิมทีโมโหอยู่ก็สงบลงไม่น้อย โบกมือกล่าวว่า
“ไม่ได้กุมอำนาจทหารแล้ว เรียกแม่ทัพใหญ่อันใดกัน พวกเจ้าสองคนทำผิดอันใด ถึงกับถูกสั่งปลดได้?”
สองคนดูสภาพจิตใจไม่เลว สวมเสื้อผ้าเรียบร้อย แต่ดูภาพรวมก็ยังเหมือนหน้าดำไม่ได้พักผ่อนมา ได้ยินก็หันไปมอง ทหารหกคนโขกศีรษะอีก คนเป็นหัวหน้ากล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ ขุนพลซุนสั่งข้าน้อยมา คุมสองคนมาส่งที่แม่ทัพใหญ่ สองคนนี้หากกล่าวอันใด ข้าน้อยไม่อาจได้ยิน ข้าน้อยขอตัวก่อน”
ได้ยินเขากล่าวอย่างหนักแน่น หวังทงยิ่งแปลกใจ พยักหน้าให้พวกเขาออกไป เงียบไปครู่หนึ่ง โบกมือกล่าวว่า
“ล้วนถอยออกไปก่อน เรื่องที่นี่ไม่ต้องการให้ผู้ใดได้ยิน”
ทหารติดตามรอบๆ ล้วนถอยออกไป คำสั่งก็คือทุกคนที่ได้ยินต้องออกจากห้องไปไกลสักระยะหนึ่ง ทหารติดตามแน่นอนเข้าใจ คำนับรับคำสั่ง
“ว่ามาได้!”
ถึงขั้นนี้แล้ว หวังทงเองย่อมเข้าใจว่ามีเรื่องลับปิดบัง พอถามขึ้น สองคนเบื้องหน้าสบตากัน ถอนหายใจจากใจ กล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่ พวกข้าน้อยติดตามขุนพลซุนรบเสฉวนสะใจ มีหน้ามีตากลับมายังหนิงเซี่ย ทุกคนดีใจ ข้ากับเหล่าไป๋ก็ร่วมดื่มกันไปหลายแก้ว…”
“อยู่เมืองหลวงนี่พวกเจ้าวาจาไร้สาระไม่น้อยนะ พูดมาตรงๆ!”
หวังทงรำคาญตบโต๊ะ วาจาเร่งของเขา ทำเอาบรรยากาศผ่อนลงไม่น้อย รีบโขกศีรษะกล่าวว่า
“แม่ทัพใหญ่โปรดอภัย พวกข้าน้อยรบที่เสฉวนไม่น้อย พวกทหารแม้วทหารเย้าถูกทหารพื้นที่สามมณฑลพูดราวกับปีศาจ แต่สู้กับพวกเราแล้ว ก็พวกว่าแค่สุนัข ไม่ควรแก่การสู้เลย ข้าน้อยกับเหล่าไป๋ดื่มไปก็พูดไปเช่นนี้ ทหารสามมณฑลนั่นราวกับเศษสวะ…”
[1] พระนามของสุลต่านผู้สถาปนาอาณาจักรออตโตมัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น