ลำนำบุปผาพิษ 1071-1074

 บทที่ 1071 รับมือกับเขาต่อไป


และในยามนี้เอง แสงสีขาวที่ฝ่ามือของตี้ฝูอีได้ครอบลงบนกระหม่อมนางแล้ว นัยน์ตานางฉายแววหวาดหวั่น สำแสงสีขาวเสมือนก่อตัวเป็นคมมีดสายหนึ่งที่แทงเข้าสู่กรหม่อมนางโดยตรง!


 ขณะนี้กู้ซีจิ่วรู้สึกเพียงว่าตรงกระหม่อมคล้ายถูกตะปูยาวเล่มหนึ่งแทงเข้าไป ‘ตะปู’ เล่มนั้นแทงลึกว่าสู่สมองของเธอ จากนั้นก็แล่นพล่านอยู่ด้านในไม่หยุด แล่นไปถึงตรงไหน ตรงนั้นราวกับถูกผ่าออกทั้งที่ยังเป็นๆ อยู่ทั้งสิ้น!


ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะได้รับการฝึกฝนด้านความอดทนมาแล้ว  แต่ยังไม่เคยประสบพบพานความเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อนเลย! การแล่เนื้อเถือกระดูกก็ยังไม่ถึงเพียงนี้เลย!


เธอหน้าซีดเผือด ตอนแรกยังพอทนได้ แต่ทนได้ไม่ถึงครั้งนาทีก็ทนไม่ไหวร้องครวญครางออกมา หยาดเหงื่อหยดย้อยลงมา


“จ…เจ็บ…เจ็บ…ไม่เอาแล้ว…” ลำคอที่แหบแห้งยิ่งนักของเธอ เริ่มเปล่งเสียงออกมาได้แล้ว


เธอคิดจะดิ้นรนคิดจะหลีกหนี แต่ลำแสงสีขาวของตี้ฝูอีไม่เพียงแต่ทำให้เธอเจ็บปวดทรมาน ยังมีคุณสมบัติในการสะกดร่างเธอไว้ด้วย เธอขยับเขยื้อนไม่ได้เลย ทำได้เพียงทนทรมานอยู่ตรงนั้น


เกรงว่าการปีนภูดาบลงกระทะทองแดงของนรกขุมที่สิบแปดยังจะดีกว่านี้อีก


นี่มันใช่เจ็บนิดหน่อยอย่างที่เขาว่าเสียที่ไหน? นี่มันเจ็บจนทำให้คนเสียใจที่กำเนิดออกมาชัดๆ! แทบจะเข้าโลงได้ทุกเมื่อ!


ดวงตาของตี้ฝูอีมองดูนาง ไม่หยุดแสงสีขาวที่ฝ่ามือ ซ้ำยังไม่ลืมที่จะเอ่ยปลอบใจนาง “ดูสิ ถึงแม้วิธีรักษาของข้าจะทำให้เจ้าเจ็บปวดไปบ้าง แต่กลับรักษาไม่มีเสียงของเจ้าหายแล้ว แถมยังมีประสิทธิภาพมากด้วย”


กู้ซีจิ่วเจ็บจนแทบสิ้นสติแล้ว! เจ็บจนอยากแยกวิญญาณออกมาจากร่างโดยไม่แยแสสิ่งใดทั้งนั้น!


ถึงแม้เธอจะขยับไม่ได้ แต่ทั้งร่างกลับสั่นสะท้านปานเป็นไข้จับสั่น ในที่สุดก็ฝืนกล่าวประโยคหนึ่งออกมาจนจบได้ “ย…หยุดมือ! ข้า…ข้าไม่ต้อง…ไม่ต้องการให้เจ้ารักษา…ไม่เอาแล้ว!” นางเจ็บจนโทนเสียงเปลี่ยนแล้ว ประโยคที่กล่าวออกมาไม่พียงแต่ติดอ่างเท่านั้น ยังโหยหวนปานเสียงคร่ำครวญของภูตผีอีกด้วย


ตี้ฝูอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ดูสิ เจ้าพูดติดกันเป็นประโยคได้แล้ว ได้ผลมากจริงๆ”


กู้ซีจิ่วร้อนรนแล้ว “เหยียนนั่ว[1]…เจ้าอย่า…อย่าทำเช่นนี้โดยพลการ พาข้าไปหาท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เขา…เขาจะต้องมีวิธีอื่นแน่”


ตี้ฝูอีมองนางครู่หนึ่ง ในที่สุดก็หยุดมือ


วิธีรักษาเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าสิ้นเปลืองพลังวิญญาณของเขายิ่งนัก สีหน้าของเขาจึงดูซีดขาวอยู่บ้างเช่นกัน เขาถอนหายใจคราหนึ่ง “อันที่จริงข้าก็ทราบเช่นกันว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีฝีมือ แต่ตอนนี้มิใช่ว่าติดต่อเขาไม่ได้ชั่วขณะหรอกหรือ? แถมเจ้ายังอาการสาหัสไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายได้ ข้าจึงทำได้เพียงลองพยายามดูอย่างสุดความสามารถ ความจริงการทำเช่นนี้ก็สิ้นเปลืองพลังวิญญาณของข้ามากเช่นกัน…”


กู้ซีจิ่วหวาดผวาว่าเขาจะลงมืออีกครั้ง จึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้า…รู้แล้ว…ว่าเจ้าหวังดี เมื่อกลับไปพบฝูอี…จะต้องกล่าวถึงคุณงามความดีของเจ้าสักหลายประโยคแน่นอน เจ้า…ให้ข้า…พักผ่อนเพียงลำพังสักครู่เถิด พักผ่อนสักครู่อาจจะ…ดีขึ้น”


ตี้ฝูอีพยักหน้าเล็กน้อย หยิบโอสถขวดหนึ่งออกมาจากร่างตน เทยาลูกกลอนออกมาจากขวดเม็ดหนึ่งให้นางกลืนลงไป “กินเข้าไปสิ มีประโยชน์ต่อร่างกายเจ้า”


ยามนี้กู้ซีจิ่วย่อมขัดขืนไม่ได้ คาดว่าเขาคงไม่ทำร้ายตน จึงกลืนยาเม็ดนั้นลงไป


“ยานี้ช่วยบำรุงได้ดียิ่ง ทำให้บาดแผลเจ้าสมานเร็วขึ้น เพียงแต่จะเจ็บปวดเล็กน้อย เจ้าทนไปสักระยะเดี๋ยวค่อยยังชั่วขึ้นแล้ว” ตี้ฝูอีลุกขึ้นยืน พลางเอ่ยถึงสรรพคุณของโอสถชนิดนี้ ด้วยเหตุนี้สีหน้าที่เพิ่งมีสีเลือดขึ้นมาเล็กน้อยของนางจึงซีดเผือดลงอีกครา…


“เจ้าพักฟื้นให้ดีก่อนเถิด ข้าจะออกไปเดินดูข้างนอก ถือโอกาสเก็บเกี่ยวตัวยาอย่างหนึ่งมาให้เจ้าด้วย เจ้าอย่าได้ขยับเขยื้อนวุ่นวาย รออยู่ที่นี่” เขากำชับนางอีกหลายประโยค แล้วหันหลังเดินออกไปด้านนอก


————————————————————————————-


บทที่ 1072 ถูกสับเปลี่ยน


กู้ซีจิ่วมองแผ่นหลังของเขา สุดท้ายก็ถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่ “ที่นี่…ที่นี่ปลอดภัยใช่ไหม? หากว่ามีสัตว์ร้ายโผล่มา แล้วเจ้าไม่อยู่…”


“วางใจเถอะ ถ้ำภูเขาแห่งนี้ลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก แม้กระทั่งลิงก็หาไม่พบ ไม่เกิดปัญหาขึ้นหรอก อดทนรออยู่ที่นี่เถิด” ตี้ฝูอีไม่แม้ต่จะหันกลับไป ก้าวออกจากถ้ำไปเลย


เมื่อเขาเดินพ้นจากถ้ำสีหน้าก็เย็นชาลงอย่างสิ้นเชิง!


เมื่อครู่เขาใช้วิชาสืบวิญญาณตรวจสอบดู ในร่างนางมีวิญญาณเพียงดวงเดียว! ไม่มีดวงวิญญาณอื่นอยู่ด้วย


ดวงวิญญาณของกู้ซีจิ่วหายไปแล้ว…


ดูเหมือนมีดนั้นของเย่หงเฟิงจะมีลูกไม้อยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ ที่นางแทงหัวใจกู้ซีจิ่วมิใช่หายจะเอาชีวิตนางอย่างเดียว พิษบนมีดก็มิใช่เพียงทำให้นางเจ็บปวดเท่านั้น ใช้อาการไข้สูงเปลี่ยนแปลงร่างกายนาง แถมยังเคลื่อนย้ายดวงวิญญาณนางอีกด้วย


ร่างกายของกู้ซีจิ่วนอกจากตี้ฝูอีที่เป็นเทพโดยกำเนิดแล้ว ผู้อื่นไม่อาจยึดครองได้ ต่อให้ยึดครองได้การเคลื่อนไหวก็จะแข็งทื่อปานผีดิบ


แต่ยามนี้สังขารนี้ของนางเห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว และมีความเป็นได้เกือบสิบส่วนว่าผู้ที่สลับมาคือเย่หงเฟิง!


เรื่องนี้พูดให้กระจ่างคือมีดนั้นที่เย่หงเฟิงแทงกู้ซีจิ่วมิใช่มีดธรรมดา บนมีดน่าจะมีพิษบางอย่างที่ไม่มีอยู่ในสารบบของโลกนี้ พิษชนิดนี้เปลี่ยนแปลงร่างกายของกู้ซีจิ่ว ทำให้ร่างของนางสามารถรับคำสั่งจากดวงวิญญาณอื่นได้


และมีดนั้นก็ทำร้ายดวงวิญญาณของกู้ซีจิ่ว ฝังคำสาปบางอย่างไว้บนดวงวิญญาณของนาง ทำให้นางออกจากร่างตนอย่างมิอาจควบคุมตัวเองได้…


ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ดวงวิญญาณในร่างของนางถูกสับเปลี่ยนไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว


ดวงวิญญาณของเย่หงเฟิงอยู่ที่นี่ เช่นนั้นดวงวิญญาณของกู้ซีจิ่วไปอยู่ที่ไหนกัน?


ตี้ฝูอีกังวลใจ จึงใช้วิชาเรียกวิญญาณเรียกนางดูรอบหนึ่ง เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ แม้แต่สักกระผีกวิญญาณก็เรียกมาไม่ได้


ด้วยนิสัยของหลงซือเย่ มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะนำกู้ซีจิ่วไปอยู่ข้างกายเขา และไม่ปล่อยให้ดวงวิญญาณของนางแยกกระจัดกระจายไป เช่นนั้นมีความเป็นไปได้แปดเก้าส่วนว่าดวงวิญญาณของกู้ซีจิ่วในยามนี้จะอยู่ในร่างโคลนนิ่งร่างนั้น!


ถึงแม้ว่ากันตามเหตุผลแล้ว กู้ซีจิ่วไม่น่าจะสิงสู่อยู่ในร่างอื่นได้อีก เนื่องจากนี่คือชาติสุดท้ายของนางแล้ว แต่ก็มักจะมีเรื่องเหนือความคาดหมายบางอย่างเกิดขึ้นเสมอ โดยเฉพาะหลงซือเย่ที่มาจากยุคปัจจุบันผู้นี้ ทราบวิชาแพทย์ของยุคปัจจุบันมากมาย แถมยังมีหลงฟั่นที่เคยสร้างกู้ซีจิ่วขึ้นมาผู้นั้นด้วย บางทีหลงฟั่นผู้นี้อาจมีวิธีเปลี่ยนแปลงดวงวิญญาณของกู้ซีจิ่ว แล้วทำให้นางเกิดใหม่ในร่างโคลนนิ่งอีกครั้งก็ได้…


วี่แววหลายอย่างชี้ชัดว่าหลงซือเย่และหลงฟั่นรวมถึงมารสวรรค์ตนนั้นจะต้องมีความเชื่อมโยงนแน่นอน และมีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนว่าตัวกลางที่เชื่อมโยงก็คือเย่หงเฟิงผู้นั้นที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากโลงน้ำแข็งอย่างน่าประหลาด!


การฟื้นคืนชีพของเย่หงเฟิงเกรงว่าจะเป็นมารสวรรค์ตนนั้นกับหลงฟั่นที่เล่นเล่ห์อยู่เบื้องหลัง เริ่มจากส่งเย่หงเฟิงมาอยู่ข้างกายหลงซือเย่ค่อยๆ สร้างผลกระทบให้เขา เปลี่ยนแปลงนิสัยของเขา ใช้ตัวยาบางอย่างขยายจิตมารของเขา ทำให้เขายอมเข้าร่วมกับกับพวกเขาด้วยความเต็มใจ


จิตมารของหลงซือเย่คือการถูกกู้ซีจิ่ว ‘หักหลัง’ เมื่อความหวาดระแวงถูกขยายขึ้น ประกอบกับมีเย่หงเฟิงผู้นี้คอยโหมกระพือเชื้อไฟอยู่เรื่อยๆ หลงซือเย่จึงเริ่มมุดเข้าสู่กับดักของพวกเขา ร่วมมือกับพวกเขาเพื่อเล่นงานกู้ซีจิ่วอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว…


ตี้ฝูอียังคงเป็นบุคคลที่ปราดเปรื่องยิ่งนักผู้หนึ่ง วิเคราะห์อยู่ในสมองครู่หนึ่ง ก็วิเคราะห์ภาพรวมของความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนนี้ได้กระจ่างแล้ว


สูดหายใจเบาๆ คราหนึ่ง เขาชอบกู้ซีจิ่วที่ข้ามภพมามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าเกลียดพ่อลูกแซ่หลงยิ่งนัก! โดยเฉพาะเมื่อสองพ่อลูกแซ่หลงใช้ทักษะที่วิปริตมากมายถึงเพียงนี้! ประกอบกับมีมารสวรรค์ที่มีใจทะเยอะทะยานตนหนึ่งคอยบงการอยู่เบื้องหลังด้วย…


นัยน์ตาของตี้ฝูอีมีประกายเฉียบคมพาดผ่านแวบหนึ่ง!


————————————————————————————-


[1]  คำว่าเหยียน (言) ในชื่อของอิงเหยียนนั่วแปลว่าคำพูด แต่ตอนนี้กู้ซีจิ่วกลับเรียกเป็นตัวเหยียน (严) ที่แปลว่าเข้มงดกวดขันแทน


บทที่ 1073 ค่าตอบแทนของการยั่วยุตี้ฝูอีคืออะไร!


ถ้าคนเหล่านี้วางแผนปองร้ายตัวเขาตี้ฝูอีก็ไม่เป็นไรหรอก เขาก็แค่รับมือตรงๆ แล้วหาความรื่นเริงใส่ตัวสักหน่อย


แต่ยามนี้พวกเขากลับลงมือกับกู้ซีจิ่ว! นี่เป็นการท้าทายขีดจำกัดของเขาแล้ว!


เขาจะทำให้พวกเขาได้รู้ว่า ค่าตอบแทนของการยั่วยุตี้ฝูอีคืออะไร!


เรื่องล้างแค้นเอาไว้ว่ากันทีหลัง ยามนี้ภารกิจที่สำคัญเป็นอันดับหนึ่งคือพาดวงวิญญาณของกู้ซีจิ่วกลับมา


ตอนนี้เย่หงเฟิงครอบครองสังขารของกู้ซีจิ่วอยู่ มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนที่เย่หงเฟิงผู้นี้จะเป็นคนของมารสวรรค์ การที่นางเสิงร่างได้สำเร็จก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเวทวิชาเฉพาะตัวของมารสวรรค์ นางจะต้องรายงานให้มารสวรรค์รู้แน่นอน


ก่อนที่จะพาดวงวิญญาณของกู้ซีจิ่วกลับมาได้ ตี้ฝูอีต้องไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น


ดังนั้นถึงเมื่อเมื่อครู่ตี้ฝูอีจะมองออกว่าผู้ที่ถือครองสังขารนั้นเปลี่ยนเป็นเย่หงเฟิงแล้ว ก็ยังคงเล่นตามเกมของอีกฝ่ายต่อ แสร้งทำเป็นมองไม่ออก ทำให้นางตายใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน


ตั้งแต่ ‘กู้ซีจิ่ว’ ฟื้นขึ้นมาหลังจากมีไข้สูง อารมณ์ของตี้ฝูอีก็ขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายครั้งดั่งนั่งรถไฟเหาะก็มิปาน แต่สีหน้ากลับเรียบเฉยอยู่ตลอด ทำให้ ‘กู้ซีจิ่ว’ ที่จ้องเขาอยู่ตลอดมองอะไรไม่ออกเช่นกัน


เขาสาวเท้าก้าวออกมา พลางสั่งการมู่เฟิงสองสามประโยค ให้เขาจับตาดูอยู่ที่นี่ต่อไป ส่วนตัวเข็เรียกอาชาเวหามา เหินฟ้าจากไป…


เมื่อครู่มู่เฟิงติดต่อมู่เตี่ยนผ่านป้ายหยกสื่อสารแล้ว มู่เตี่ยนจึงมาถึงอย่างรวดเร็วนักยามที่มาถึงมู่เตี่ยนได้แปลงโฉมเป็นรูปลักษณ์ในปัจจุบันของตี้ฝูอี เข้าไปทำให้ ‘กู้ซีจิ่ว’ ตายใจต่อ ด้วยเหตุนี้ตี้ฝูอีเลยจากไปอย่างวางใจยิ่ง


ภายในถ้ำ


หลังจาก ‘กู้ซีจิ่ว’ เห็นเงาหลังตี้ฝูอีหายลับไป ถึงได้ฝืนยกมือขึ้น ทำมุทราพิสดารอย่างหนึ่ง จากนั้นก็หลับตาลง ใช้วิชาห้วงจิตติดต่อคนผู้หนึ่ง ‘นายท่าน ทุกอย่างราบรื่นดีเจ้าค่ะ’


‘เหยียนนั่วผู้นั้นไม่สงสัยไม่ใช่ไหม?’ เสียงคนผู้นั้นประหนึ่งเสียงโลมา มีทำนองประหลาดอย่างหนึ่ง


‘ไม่เจ้าค่ะ ร่างกายเขาฟื้นฟูสู่สภาพปกติแล้ว เขารับปากข้าว่ารอให้อาการบาดเจ็บของข้ามั่นคงกว่านี้สักหน่อยจะพาข้าไปส่งให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย’


‘ดีมาก!’ คนผู้นั้นหัวเราะน้อยๆ ‘เย่หงเฟิง เจ้ารับมือกับเขาต่อไป’


‘เจ้าค่ะ!’ เย่หงเฟิงตอบรับ แล้วตัดการเชื่อมต่อกับคนผู้นั้น


ถึงแม้วิชาห้วงจิตนี้สามารถใช้ติดต่อกับกับคนผู้นั้นห่างไกลกันถึงเพียงนั้นได้ แต่ก็สิ้นเปลืองพลังต้นกำเนิดมาก ด้วยเหตุนี้เมื่อเธอรายงานอย่างรวบรัดได้ใจความจบแล้ว ก็รีบยุติวิชานี้ทันที


เธอเหนื่อยจนเหงื่อโซมศีรษะ ในใจสบถด่ามารดาคราหนึ่ง หลังจากเธอเข้าครองร่างนี้ ดูเหมือนจะหนักหนากว่าที่คิดไว้ มือเท้าราวกับลากของหนักๆ ไว้ ขยับเพียงเล็กน้อยก็เหงื่อออกไปทั้งตัว


ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ หลังจากตี้ฝูอีใช้วิชารักษาให้เธอ บาดแผลบนร่างเธอก็เจ็บยิ่งกว่าเดิมอีก แถมยังมีทีท่าว่าจะเจ็บขึ้นเรื่อยๆ ด้วย…


เห็นทีว่ายาที่ตี้ฝูอีให้เธอไว้ก่อนที่จะออกไปได้ออกฤทธิ์แล้ว!


ความเจ็บปวดนั้นเจ็บปวดเสมือนยามที่ให้กำเนิดบุตร เกร็งเป็นพักๆ แต่ล่ะพักก็เจ็บปวดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เธอเจ็บจนแทบจะเกลือกกลิ้งแล้ว! แต่ยามที่ตี้ฝูอีออกไปคงจะต้องการใหเธอพักผ่อนดีๆ เลี่ยงไม่ให้กระทบกระเทือนบาดแผล ดังนั้นจึงสกัดจุดเธอไว้ ตอนนี้เธอสามารถขยับแขนคอและศีรษะได้แค่ไม่กี่ทีเท่านั้น ส่วนอื่นๆ เสมือนตายไปแล้ว ขยับเขยื้อนไม่ได้เลย ดังนั้นต่อให้เจ็บปวดแค่ไหนเธอก็ทำได้เพียงทนรับความทุกข์ทรมาน…


เธอไม่มีความอดทนต่อความเจ็บปวดเป็นพิเศษ แถมความเจ็บปวดนั้นยังทำให้เจ็บปวดเหลือคณาด้วย ทำให้เธอแทบแหลกสลาย!


ยามที่แทงกู้ซีจิ่วเธอเกรงว่าจะแทงได้ไม่ลึกและไม่โหดเหี้ยมพอ ยามนี้ตัวเองต้องมาอยู่ในร่างนี้ ลิ้มรสความทุกข์ทรมานที่อยู่มิสู้ตายจากน้ำมือตน ในที่สุดก็สำนึกเสียใจแล้ว!


ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้เธอร้องโหยหวนออกมา ความเจ็บปวดนี้ยาวนานเป็นพิเศษ เธอทนทุกข์อยู่เกือบหนึ่งชั่วยามเต็ม ในที่สุดก็มีเสียงฝีเท้าแว่วมาจากด้านนอก นางรีบหุบปากทันที ฝืนข่มความเจ็บปวดช้อนตามอง พบว่าเหยียนนั่วกลับมาแล้ว


————————————————————————————-


บทที่ 1074 ความสุกเอาเผากินของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์


ราวกับเธอได้พบดาวช่วยชีวิต เอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นเครือ “เหยียนนั่ว สิ่งนี้…เจ็บปวดเกินไปแล้ว! มียาระงับความเจ็บปวดบ้างหรือไม่?”


เหยียนนั่วผู้นี้ย่อมเป็นมู่เตี่ยนที่แปลงโฉมมา เขาถูกตี้ฝูอีเรียกตัวกลับมาอย่างเร่งด่วนยิ่ง จากนั้นก็ถูกบังคับให้แปลงโฉมเป็น ‘เหยียนนั่ว’ในยามนี้อีกครั้ง เข้ามาหลอกล่อกู้ซีจิ่วตัวปลอมผู้นี้…


ตี้ฝูอีรีบจากไปอย่างร้อนรนใจ เพียงแต่ก่อนจะจากไปได้เล่าเรื่องราวส่วนใหญ่กับมู่เฟิงแล้ว มู่เฟิงก็น้ำประเด็นสำคัญมาบอกแก่มู่เตี่ยนแล้ว ดังนั้นมู่เตี่ยนจึงทราบคร่าวๆ แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น


เขามองกู้ซีจิ่วตัวปลอมผู้นี้อย่างขุ่นเคืองแวบหนึ่ง ทว่าใบหน้ากลับเรียบเฉย เลียนแบบกริยาท่าทางของเหยียนนั่วทุกกระเบียดนิ้ว ดังนั้นจึงเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนจริงใจ “ถึงแม้ยานี้จะเจ็บปวดไปบ้าง แต่มีประโยชน์ต่อบาดแผลเจ้าแน่นอน ทนต่อไปอีกหน่อยนะ”


เย่หงเฟิงพูดไม่ออกแล้ว


….


อาชาเวหาของตี้ฝูอีเป็นสัตว์พาหนะที่บินได้ว่องไวที่สุดในโลกนี้ ระยะทางหลายร้อยลี้เขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อก็มาถึงแล้ว


ถึงแม้ค่ายกลป้องกันหุบเขาของเขาถามสวรรค์จะร้ายกาจยิ่งนัก แต่ไม่มีทางขัดขวางตี้ฝูอีผู้ชำนาญด้านค่ายกลได้ เขาเข้าไปในเขาถามสวรรค์แห่งนี้ประหนึ่งเข้าสวนหลังบ้านของตนก็มิปาน


เขามาถึงด้านนอกห้องหลอมโอสถของหลงซือเย่อย่างรวดเร็วยิ่ง มู่เหล่ยรายงานให้เขาทราบ หลังจากหลงซือเย่พาเย่หงเฟิงเข้าไปก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย น่าจะยังอยู่ด้านใน


ตี้ฝูอีพยักหน้า เขามองอาคมหวงหามด้านนอกห้องหลอมโอสถแห่งนี้ก่อน หาวิธีทำลายพบอย่างรวดเร็ว


ด้วยเหตุนี้มู่เหล่ยจึงติดตามเจ้านายของบ้านตนเลาะซ้ายป่ายขวาในอาคมหวงห้ามอยู่หลายรอบ เดินหน้าถอยหลังอยู่หลายก้าว เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ประตูใหญ่ของห้องหลอมโอสถก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว!


ประตูบานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นประตูกลไก จานหมุนเหล็กไหลอยู่อันหนึ่ง บนจานหมุนมีตัวเลขยิบย่อย จากหนึ่งถึงร้อย เรียงแถวกันเป็นยันต์แปดทิศ หนำซ้ำตัวเลขเหล่านี้ยังมีสีสันต่างกันไปอีกด้วย ดูลายพร้อยจนทำให้คนตาลาย


มู่เหล่ยไม่นึกเลยว่าหลงซือเย่ที่เย็นชาเสมอมาจะสร้างสิ่งของพิกลเช่นนี้ออกมา ประตูกลในใต้หล้านี้เขาพบเห็นมานับไม่ถ้วนแล้ว เพิ่งเคยเห็นประตูกลเช่นนี้เป็นครั้งแรก


เขามองเจ้านายของตน ตี้ฝูอีกลับสูร่างที่แท้จริงแล้ว สวมอาภรณ์ม่วงพราวระยับ หน้ากากเงินบนใบหน้าทอประกายเยียบเย็นอยู่ท่ามกลางราตรี


ถึงแม้วรยุทธ์ของเขาในยามนี้ยังไม่ฟื้นกลับมาอย่างสมบูรณ์ ร่างกายก็ยังไม่กลับสู่สภาพเดิมอย่างแท้จริง แต่เขาสามารถใช้วิชาแปลกายได้แล้ว การแปลงกายให้เป็นรูปลักษณ์ดั้งเดิมของตนนั้นเป็นเรื่องที่เวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น เพียงการการใช้วิชาแปลงกายนี้ค่อนข้างสิ้นเปลืองพลังวิญญาณ หากไม่ถึงคราวจำเป็นเขาก็จะไม่ใช้


มู่เหล่ยติดตามอยู่ข้างกายตี้ฝูอีมานานหลายปี และเป็นมือดีด้านการแก้กลไก เขากำลังจะเข้าไปลองแก้ประตูกลบานนี้ดู ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นประตูกลเช่นนี้มาก่อน แต่เขาก็มีประสบการณ์ยิ่งนัก ให้เวลาเขาสักครึ่งชั่วยามเขาน่าจะแก้แล้วเปิดได้


นึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีที่มักจะคอยวางแผนสั่งการยู่เบื้องหลังเสมอมากลับโบกมือไปทางเขา ให้เขาหลบไปอยู่ด้านข้าง จากนั้นก็ใช้ลำแสงสีขาวที่ร้อนแรงสายหนึ่งผ่าเข้าไปโดยตรง!


มู่เหล่ยตกตะลึง ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เริ่มกระทำเรื่องราวอย่างสุกเอาเผากินแล้ว!


ลำแสงสีขาวสายนี้ของตี้ฝูอีทำลายได้ทุกสิ่ง หลอมละลายได้ทุกอย่าง ลำแสงสีขาววนเป็นวงอยู่บนประตูรอบหนึ่ง พริบตาเดียวก็เกิดรูที่พอให้คนตัวโตๆ ผู้หนึ่งมุดเข้าไปได้ขึ้น จากนั้นเรือนกายตี้ฝูอีพลันไหววูบ มุดเข้าไปข้างในทันที


มู่เหล่ยก็รีบตามเข้าไปเช่นกัน


หลังจากเข้ามาแล้วเขาก็ตะลึงงัน


ห้องหลอมโอสถของหลงซือเย่ขนาดไม่เล็กเลย ตรงกลางคือเตาหลอมโอสถใบหนึ่ง บนผนังรอบข้างมีชั้นวางรูปทรงประหลาดอยู่ บนชั้นวางมีอุปกรณ์บางอย่างที่เรียกชื่อไม่ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ แถมยังมีขวดโหลที่มีขนาดแตกต่างกันไปอยู่ด้วย ขวดโหลเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนโปร่งใส ด้านในบรรจุของเหลวหลากสีสันไว้ ในของเหลวเหล่านี้แช่บางสิ่งเอาไว้…


————————————————————————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)