พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1069-1072

 บทที่ 1069 สอบสวนต่อหน้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

เป่าเหลียนก้าวขึ้นมายยื่นมือส่งแขกทันที!


เย่สวินเกาที่ไม่ต่างอะไรกับการโดนตบบ้องหูแรงๆ พลันยืนขึ้น ในฐานะที่เป็นขุนนางของเทพประจำดาวฟ้าเถาะ เคยได้รับความอับอายขนาดนี้ต่อหน้าคนนอกเสียเมื่อไรกัน จึงเลิกเกรงใจทันที กล่าวด้วยสีหน้าดำมืดว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้ามาหาเจ้าพร้อมความจริงใจ หวังว่าจะได้คุยกันดีๆ สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์ ถึงตอนนั้นถ้ามานึกเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว!”


“ไสหัวไป!” เหมียวอี้พ่นคำนี้ออกมาอีกรอบ ในน้ำเสียงเผยเจตนาสังหารหลายส่วน ยื่นคำขาดสุดท้ายแล้ว ถ้ายังไม่ไสหัวไปก็เกรงว่าจะไม่ต้องเกรงใจกันแล้ว


“เฮอะ!” เย่สวินเกาทำเสียงฮึดฮัด สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปแล้ว


ส่วนเหมียวอี้ก็เก็บกลั้นไฟโกรธเอาไว้ในใจเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ภูมิหลังของอีกฝ่าย ไม่สามารถทำซี้ซั้วโดยไร้เหตุผลได้ ตอนนี้เขาคงจะปลิดชีพอีกฝ่ายไปแล้ว


ตอนที่ลุกขึ้นเดินอ้อมไปที่โถงด้านหลังก็อึ้งนิดหน่อย เห็นอวิ๋นจือชิวกำลังยืนอยู่ที่โถงด้านหลังพร้อมมองเขาด้วยสีหน้ากังวล เห็นได้ชัดว่าได้ฟังบทสนทนาเมื่อครู่นี้แล้ว


นี่ไม่ใช่สถานที่ที่นางจะพูดอะไรได้ นางตามเหมียวอี้กลับไปที่ชัยภูมิถ้ำสวรรค์ หลังจากนั่งลงในศาลาถึงได้ถามว่า “มันเรื่องอะไรกัน? ทำไมเบื้องบนส่งคนมาตรวจสอบเจ้า?”


“จะมีเรื่องอะไรได้อีกล่ะ นอกเสียจากจะมีคนจับจ้องตำแหน่งผู้บัญชาการใต้สังกัดข้า…” เหมียวอี้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังรอบหนึ่ง


“เจ้า…” อวิ๋นจือชิวไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี  นางถามอย่างหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกว่า “ในเมื่อเจ้าไม่อยากช่วยพวกเขาจัดการธุระ แล้วเจ้าจะรับของขวัญของพวกเขาทำไม?”


เหมียวอี้ตอบว่า “ข้าจะรับของขวัญจากพวกเขาหรือไม่ก็ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือถ้าแม่แต่กลุ่มผู้จัดการร้านพวกนั้นยังวิ่งมาขู่คุกคามข้าที่นี่ได้ ถ้าข้าก้มหัวให้ ต่อไปจะเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์นี้ได้ยังไง? อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการใหญ่อย่างข้าต้องโดนผู้จัดการร้านพวกนั้นบงการ?”


อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “พยายามเอาชนะเรื่องแบบนี้มีความหมายเหรอ? เจ้าเองก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรอยู่ดี มีแต่จะสร้างความยุ่งยากให้ตัวเอง ทำไมไม่ลองเปลี่ยนมุมมองความคิดดูบ้าง ว่าหลังจากรับลูกหลานของตระกูลพวกนั้นไว้แล้ว เวลาเจ้าจัดการเรื่องต่างๆ จะสะดวกขนาดไหน ให้พวกฝูชิงหลีกทางตำแหน่งผู้บัญชาการให้ชั่วคราวก็ไม่เป็นอะไรเสียหน่อย ยอมถอยก้าวหนึ่ง เรื่องทุกอย่างก็จะราบรื่น รอให้เจ้าได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นอีก ยังจะกลัวว่าใต้บังคับบัญชาจะไม่มีตำแหน่งดีๆ จัดให้พวกเขาอีกเหรอ? คุยกับพวกฝูชิงให้ชัดเจน พวกเขาก็จะเข้าใจได้เหมือนกัน!”


ขณะที่พูดก็ถือโอกาสรินน้ำชาให้เหมียวอี้ “หนิวเอ้อร์ ขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังสักหน่อยนะ ก็เป็นอย่างที่บอก เจ้าน่ะมีความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ก็ยังมีจุดอ่อน เวลาทำอะไรมักจะไม่คิดถึงผลระยะยาว ตอนนี้เจ้าไปทำให้กลุ่มคนที่มีภูมิหลังไม่พอใจ ถ้าต่อไปมีคนมาหาเรื่องเจ้า เจ้าจะทำยังไง?”


เป็นคำพูดที่ฟังไม่เข้าหูจริงๆ เหมียวอี้ทำสีหน้าเคร่งขรึม โบกมือบอกว่า “การวางแผนรอบคอบคิดการณ์ไกลเป็นเรื่องสำหรับคนอย่างหยางชิ่ง ข้าเองก็ไม่มีความสามารถนั้น เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก ข้ามีวิธีการรับมือของข้าเอง!”


เพล้ง! ถ้วยน้ำชาในมืออวิ๋นจือชิวตบลงบนโต๊ะ “เจ้าทำสีหน้าอะไรใส่ข้า? สิ่งที่ข้าพูดไปก็เพราะหวังดีกับเจ้าไม่ใช่เหรอ!”


ไฟโกรธสุมในอกเหมียวอี้แล้ว เขายกมือสองข้าง แล้วกล่าวอย่างค่อนข้างตรงไปตรงมาว่า “งั้นเจ้าจะให้ข้าทำยังไง? จะให้ข้าเชิญเย่สวินเกากลับมาแล้วขอโทษ ก้มหัวยอมรับผิด แล้วแสดงออกว่าข้ายินดีเชื่อฟังเขางั้นเหรอ? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องพวกนี้ข้าสามารถประนีประนอมได้ แต่ข้าไม่ยอมให้เกิดเรื่องจาบจ้วงเบื้องบนกับข้าเด็ดขาด!”


อวิ๋นจือชิวโมโหจนลุกขึ้นยืน เบิกตาโพลงมองเขา แต่จะพูดอะไรตอนนี้ก็สายไปแล้ว เพราะเหมียวอี้ได้ทำไปแล้ว ถ้าตอนนี้ก้มหน้าให้เย่สวินเกาอีกก็ไม่ต่างอะไรกับการสร้างความอัปยศให้ตัวเอง  แบบนั้นก็ไม่มีทางเป็นผู้บัญชาการใหญ่ได้แล้วจริงๆ


โดนเหมียวอี้ทำท่าดุใส่ นางเองก็โมโหเหมือนกัน หันตัวเดินจากไปทันที


เหมียวอี้ที่กระดกน้ำชากรอกปากไปคำหนึ่งชะงักงัน ตะโกนถามว่า “เจ้าจะไปไหน?”


“ไปดูตัวสักหน่อยว่าผู้ชายบ้านไหนดี ถ้าเจ้าโดนเล่นงานจนตายขึ้นมา ข้าจะได้พาพวกอนุภรรยาของเจ้าไปแต่งงานใหม่ได้สะดวก!” อวิ๋นจือชิวหันหลังให้และโบกมือตอบเขา


“…” เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกทันที รู้ว่านางพูดไปเพราะอารมณ์โกรธ


กำลังพลที่ได้รับร้องเรียนให้มาตรวจสอบ หลังจากนั้นไม่กี่วันมาถึงแล้วเช่นกัน พวกเขามากันทั้งหมดสามสิบกว่าคน กระบวนทัพไม่ใช่เล็กๆ เป็นช่วงเวลาที่ตำหนักสวรรค์เปลี่ยนแปลงทิศทางการพัฒนาพอดี การกระทำแบบนี้ของท่านโหวเทียนหยวนก็เพื่อแสดงการเอาจริงเอาจังเช่นกัน


เมื่อกำลังพลมาถึง ติงกุ้ยที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็ไปคำนับฮูหยินของท่านโหวที่ตำหนักคุ้มเมืองก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงว่ามาสืบคดีบนอาณาเขตของฮูหยินท่านโหว อย่างน้อยสถานะของฮูหยินของท่านโหวก็เห็นๆ กันอยู่


ที่สวนดอกไม้ด้านหลังของตำหนักคุ้มเมือง เป็นสถานที่ที่ปี้เยว่ฮูหยินมักใช้พบปะแขก ติงกุ้ยกำลังยืนเงียบๆ อยู่ที่นั่น


ผ่านไปครู่เดียว ปี้เยว่ฮูหยินก็อุ้มปีศาจจิ้งจอกสีชมพูออกมา เดินเนิบนาบออกมาโดยมีผู้การสองหลันเซียงและหญิงรับใช้สองคนคอยติดตาม


“ติงกุ้ยคำนับฮูหยิน!” ติงกุ้ยก้มหน้ากุมหมัดคำนับ


“ไม่ต้องมากพิธี!” ปี้เยว่ฮูหยินขานรับพลางนั่งลง จากนั้นหรี่ตายิ้มถามว่า “ติงกุ้ย เจ้ามาไกลขนาดนี้ด้วยธุระอะไร?”


เจ้าเข้าใจดีอยู่แล้วแต่ยังแกล้งโง่ไม่ใช่เหรอ! ติงกุ้ยพำพำในใจ เขาไม่เชื่อหรอกว่าปี้เยว่ฮูหยินจะไม่รู้


แน่นอน ภายนอกเขาก็ยังต้องสุภาพนอบน้อมและอธิบายเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียด


“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ!” ปี้เยว่ฮูหยินทำท่าประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้มั้ง! ข้ารู้จักการวางตัวของผู้บัญชาการใหญ่หนิวดี ไม่ถึงขั้นทำเรื่องแบบนี้หรอก มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือเปล่า?”


ติงกุ้ยยิ้มสู้ “ในเมื่อมีคนร้องเรียนแล้ว ท่านโหวก็กำชับลงมาด้วย ตรวจสอบสักหน่อยก็ดีเหมือนกันขอรับ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรจะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้สะดวก”


“พูดจามีเหตุผล!” ปี้เยว่ฮูหยินพยักหน้า “ข้าเดาว่าคงไม่มีเรื่องอะไรหรอก ไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ป้องกันไม่ให้เรื่องนี้แพร่ออกไปแล้วเกิดผลกระทบไม่ดี ผู้บัญชาการใหญ่หนิวคนนี้เดิมทีควรจะพักอยู่ที่ตำหนักหน้าของตำหนักคุ้มเมือง แต่หญิงชายมิควรอยู่ใกล้ชิดกัน ถึงอย่างไรข้าก็พักอยู่ที่นี่ เพื่อไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย เขาจึงพักอยู่ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกมาโดยตลอด…ถ้าพวกเจ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่ต้องไปที่จวนผู้บัญชาการเขตมืองตะวันออกแล้ว ไปหาพยานคำพูดจากร้านค้าที่ร้องเรียนให้ชัดเจนก่อน แล้วค่อยสืบสวนหนิวโหย่วเต๋ออีกที ถึงตอนนั้นข้าจะเรียกหนิวโหย่วเต๋อมาที่นี่ พวกเจ้าคิดว่ายังไง?”


เจ้าพูดถึงขนาดนี้แล้วว ข้ายังจะพูดอะไรได้อีก? ติงกุ้ยค่อนข้างพูดไม่ออก ดูจากท่าทีของฮูหยินท่านโหว ชัดเจนมากว่าต้องการจะเข้าข้างลูกน้องตัวเอง! จึงตอบพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ ทันทีว่า “ค่ะ! จัดการตามความประสงค์ของฮูหยินแล้วกัน”


“ดูพูดเข้าสิ จะเรียกว่าจัดการตามความประสงค์ของข้าได้อย่างไร? พวกเจ้าควรจะตรวจสอบอย่างไรก็ตรวจสอบไปเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่ไปก้าวก่าย เอาตามนี้แล้วกัน!” ปี้เยว่ฮูหยินพูดจบแล้วยืนขึ้นเดินออกไป


ติงกุ้ยกุมหมัดน้อมส่ง…


ดังนั้น พนักงานสืบคดีจึงรีบไปค้นหาหลักฐานจากร้านค้าที่ร้องเรียน งานยุ่งติดต่อกันหลายวัน ทว่าแม้แต่ประตูบ้านของเป้าหมายหลักที่จะมาสอบสวนลงโทษก็ไม่ได้เข้าไปเลย


ทว่าเรื่องแบบนี้ ต่อให้อยากจะปิดบังก็ปิดบังไม่ไหวเหมือนกัน ภายใต้การจงใจแพร่ข่าวของใครบางคน ข่าวที่ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์โดนเบื้องบนตรวจสอบเพราะรับสินบนก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองราวกับพายุฝน ทำให้เกิดข่าวลือต่างๆ ขึ้นมาทันที มีคนไม่น้อยที่จับจ้องที่นี่ รอให้เหมียวอี้ลงจากตำแหน่ง


แม้แต่ในบรรดาทหารสวรรค์ใต้สังกัดเหมียวอี้เอง ก็ยังมีคนไม่น้อยที่ทอดถอนใจด้วยความปลง ถ้าไม่มีอำนาจและภูมิหลังอะไร ก็เป็นเรื่องยากที่จะนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้อย่างมั่นคง เกรงว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวคงจะพ้นภัยครั้งนี้ไปได้ยาก


ข่าวลือแพร่ไปถึงหูของสองพี่น้องโอวหยางแล้ว พวกนางก็กังวลมากเช่นกัน วิ่งไปหาอวิ๋นจือชิวอยู่บ่อยครั้ง


แต่เหมียวอี้กลับหลบอยู่ในจวนผู้บัญชาการเขตมืองตะวันออก ไม่ออกนอกประตูใหญ่ ไม่ล่วงข้ามประตูสอง ไม่พบหน้าใครทั้งนั้น


มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานที่ร้อนรนกระวนกระวายมาขอเข้าพบหลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธให้อยู่นอกประตูทั้งคู่


หวงฝู่จวินโหรวมาหาหลายครั้ง แต่ก็ถูกกันไว้เช่นกัน


หลังจากนั้นหลายวัน จนกระทั่งตำหนักคุ้มเมืองเรียกพบ เหมียวอี้ถึงได้สวมเกราะรบเหมือนจะไปมีเรื่องกับใคร สวมเกราะม่วงหนึ่งแถบที่ตำหนักสวรรค์มอบให้อย่างดี แต่งเนื้อแต่งตัวเป็นพิเศษ ก้าวออกจากประตูอย่างน่าเกรงขามเพื่อไปที่ตำหนักคุ้มเมือง


พอเข้ามาในตำหนัก แค่มองปราดเดียวเหมียวอี้ก็เห็นเย่สวินเกาที่กำลังจ้องตนด้วยสีหน้าแสยะยิ้ม ทั้งยังมีกลุ่มผู้จัดการร้านคนอื่นๆ ที่ทำท่าเหมือนมาดูตัวตลกด้วย


เหมียวอี้เพียงกวาดมองคนกลุ่มนี้ด้วยสายตาเย็นเยียบ นับจำนวนคนพวกนี้เอาไว้คร่าวๆ แล้วร่างที่สวมเกราะรบสีม่วงทั้งตัวก็ก้าวยาวเข้าไปที่ตำหนักหลังอย่างมั่นใจในตัวเอง


ในสวนดอกไม้ด้านหลังที่ปี้เยว่ฮูหยินชอบใช้รับแขก เจ้านายกำลังนั่งอุ้มจิ้งจอกสีชมพูอยู่ในศาลา มือข้างหนึ่งกำลังถือพยานคำพูดที่พวกติงกุ้ยไปสืบค้นมา


ส่วนติงกุ้ยก็นำลูกน้องหลายคนยืนอย่างเคร่งขรึมอยู่ด้านข้าง สายเหลือบมองคนที่เดินดุจพยัคฆ์ดุจมังกรมาจากด้านนอก  ถึงแม้จะไม่เคยเห็นหน้ากัน แต่กลับเดาออกแล้วว่าผู้ที่มาเป็นใคร ในใจแอบชื่นชม องอาจผึ่งผาย สมกับเป็นบุคคลที่ได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบ ท่วงท่างดงามจริงๆ!


เหมียวอี้ที่เดินก้าวยาวมาถึงนอกศาลาพลันหยุดเดิน แล้วกุมหมัดคำนับ “ผู้บัญชาการใหญ่ตลาดสวรรค์ของดางเทียนหยวนคำนับท่านแม่ทัพภาค!”


ปี้เยว่ฮูหยินเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย สายตาที่เหลือบลงเหลือบขึ้นอีกครั้ง นางมองเหมียวอี้อีกครั้งด้วยความตะลึงงัน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเหมียวอี้ตั้งใจแต่งตัวเต็มยศ ช่างสง่าโดดเด่นจริงๆ เผยพลังอำนาจของผู้บัญชาการใหญ่ออกมาจนหมดอย่างไม่ต้องสงสัย!


แม้แต่จิ้งจอกสีชมพูในอ้อมกอดนางก็ยังเงยหน้าจ้องตาไม่กะพริบ


“แค่กๆ!” ปี้เยว่ฮูหยินไอแห้งๆ “ไม่ต้องมากพิธี! ผู้บัญชาการใหญ่ มีคนฟ้องว่าเจ้าอาศัยอำนาจข่มขู่ขอสินบนกับร้านค้าใหญ่ๆ เจ้ามาดูเองแล้วกัน!”


“ขอรับ!” เหมียวอี้ก้าวยาวเข้ามาในศาลาทันที ใช้สองมือรับแผ่นหยก ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอ่าน ขณะที่ดูคำให้การแต่ละฉบับคร่าวๆ ก็จดจำชื่อร้านค้าต่างๆ เอาไว้เช่นกัน มีทั้งหมดสิบหกร้าน!


ติงกุ้ยที่อยู่ข้างๆ พูดไม่ออกมาก มีอย่างที่ไหนกันที่เอาคำให้การของพยานมาให้ผู้ต้องสงสัยที่ต้องโดนสอบสวนอ่านล่วงหน้า ตอนหลังยังจะสอบสวนอะไรได้อีก? แต่ปี้เยว่ฮูหยินดึงดันจะทำอย่างนี้ เขาจะทำอย่างไรได้อีก?


หลังจากอ่านเสร็จ เหมียวอี้ก็ใช้สองมือวางแผ่นหยกลงบนโต๊ะ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “เป็นการใส่ร้ายทั้งนั้น ไม่มีเรื่องแบบนี้เลยจริงๆ!”


ตอนนี้ปี้เยว่ฮูหยินถึงได้บอกติงกุ้ยว่า “เจ้าต้องการจะซักถามแบบต่อหน้าไม่ใช่เหรอ? เรียกผู้จัดการของร้านค้าเหล่านั้นมาสิ ข้าจะคอยดูอยู่ตรงนี้ จะไม่พูดอะไรทั้งนั้น”


“รัขอรับ!” ติงกุ้ยเอ่ยรับ หลังจากเก็บแผ่นหยกที่อยู่บนโต๊ะ ก็เอียงศีรษะให้สัญญาณลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ ทันที


ผ่านไปไม่นาน เย่สวินเการวมทั้งผู้จัดการทั้งสิบหกร้านก็เข้ามาพร้อมกัน มายืนคำนับพร้อมกัน “ผู้น้อยคำนับท่านแม่ทัพภาค คำนับผู้ตรวจสอบติง!”


ปี้เยว่ฮูหยินหรี่ตายิ้มพลางโบกมือ “ไม่ต้องมากพิธี! ติงกุ้ย เริ่มเลยสิ”


ติงกุ้ยพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ถือแผ่นหยกพร้อมจ้องเหมียวอี้ “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว! ร้านค้าในสังกัดของเจ้าร้องเรียน ว่าหลังจากเจ้าได้ขึ้นรับตำแหน่ง ก็ข่มขู่กดดันให้ร้านค้าใหญ่ๆ ติดสินบนเจ้า มีเรื่องแบบนี้หรือเปล่า?”


“ไม่มีเรื่องแบบนี้จริงๆ เป็นการใส่ร้ายป้ายสีทั้งนั้น!” เหมียวอี้ตอบเสียงเรียบ


เขาถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรมจริงๆ ถึงแม้เขาจะรับของขวัญไว้ แต่ไม่ได้กดดันให้ร้านค้าใหญ่ๆ ติดสินบนแน่นอน


ติงกุ้ยอ่านเนื้อหาในแผ่นหยก แล้วเอียงหน้ามองผู้จัดการร้านทุกคนที่ยืนอยู่นอกศาลา “ผู้จัดการร้านหวง หวงลี่สิ้ง ผู้บัญชาการใหญ่หนิวไม่ยอมรับเรื่องนี้ เจ้ามีอะไรจะพูดมั้ย?”


ชายชราอ้วนที่สวมชุดสีเหลืองทั้งตัวลุกขึ้นยืน กุมหมัดคารวะกล่าว่า “ท่านผู้ตรวจสอบ ผู้บัญชาการใหญ่หนิวกำลังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ…”


ยังพูดไม่ทันจบ เหมียวอี้ก็ตะคอกตัดบทแล้วว่า “โจรเฒ่า! อย่ามาพูดจาซี้ซั้วเรื่อยเปื่อย ถ้าอยากจะใส่ร้ายข้าก็ต้องหาหลักฐานมา ข้าจะยอมให้เจ้าใส่ร้ายป้ายสีปากเปล่าตามอำเภอใจได้อย่างไร!”


เขาอ่านคำให้การล่วงหน้าแล้ว รู้ว่าคนพวกนี้ไม่มีหลักฐาน ส่วนของที่นำมามอบให้เขา เขาก็เอาไปซ่อนไว้ตั้งนานแล้วด้วย ในเมื่อหาหลักฐานไม่ได้ เขาก็ย่อมมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม


ติงกุ้ยกวาดสายตาเย็นเยียบ แอบด่าในใจว่า นี่เจ้าหรือข้ากันแน่ที่เป็นคนสอบสวน?


แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่มีปี้เยว่ฮูหยินอยู่ด้วย ทั้งยังแสดงออกชัดเจนว่าลำเอียง เขาจึงไม่สะดวกจะพูดอะไร ทำได้เพียงถามตามไปว่า “หวงลี่สิ้ง เจ้ามีหลักฐานหรือเปล่า?”


…………………………


บทที่ 1070 อำนาจในการดูหมิ่น

โดย

Ink Stone_Fantasy

หวงลี่สิ้งกุมหมัดคารวะทันที “ท่านผู้ตรวจสอบ ตอนแรกที่โดนบังคับให้มอบของขวัญ คนงานในร้านค้าของข้าก็ไปด้วยกัน พวกเขาสามารถเป็นพยานได้”


ปรากฏว่าเหมียวอี้พูดแทรกขึ้นมาโดยไม่รอให้ถาม “ล้อเล่นอะไรของเจ้า? ให้คนงานในร้านเจ้ามาเป็นพยานงั้นเหรอ? งั้นใต้สังกัดข้าก็สามารถเรียกกำลังพลนับร้อยมาเป็นพยานได้เหมือนกันว่าข้าไม่ได้รับของจากเจ้า จะแข่งกันมั้ยล่ะว่าพยานของใครเยอะกว่า?”


ติงกุ้ยรู้สึกนิดหน่อยว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน ในใจกลัดกลุ้มอยู่บ้าง ถามเสียงเรียบว่า “หวงลี่สิ้ง มีพยานคนอื่นอีกหรือเปล่า?”


“ท่านผู้ตรวจสอบ ผู้บัญชาการใหญ่กำลังแก้ตัวน้ำขุ่นๆ” หวงลี่สิ้งกล่าว


ในขณะนี้เอง เย่สวินเกาก็ก้าวขึ้นมากุมหมัดพร้อมกล่าวว่า “ท่านผู้ตรวจสอบ สามารถทำการตรวจค้นผู้บัญชาการใหญ่ได้ขอรับ! ตอนแรกที่โดนเขาบังคับให้มอบสินบน ด้วยความโมโหชั่ววูบของข้า ข้าจงใจประทับตราไว้บนของขวัญที่มอบให้เขา ขอเพียงตรวจค้นเจอสิ่งของ ก็จะใช้เป็นหลักฐานที่แน่นหนาได้!”


เหมียวอี้กวาดสายตาเย็นเยียบมองมาทันที รู้สึกแค้นจนกัดฟันกรอดนิดหน่อย เจ้าชาติสุนัขนี่มันเตรียมแผนสำรองไว้สู้กับข้าตั้งแต่แรกแล้ว เดี๋ยวพวกเรามาคอยดูกัน!


เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นติงกุ้ยหรือปี้เยว่ฮูหยิน ต่างก็ขมวดคิ้วทันที ไม่มีขุนนางตำหนักสวรรค์คนไหนชอบคนประเภทนี้ ถ้าเจอคนประเภทนี้มามอบของขวัญให้ จะไม่เป็นการโดนวางกับดักให้อยู่ในอันตรายตลอดเวลาหรอกเหรอ


ติงกุ้ยมองเหมียวอี้ “ผู้บัญชาการใหญ่กล้ารับการตรวจค้นนี้หรือไม่!”


“ถ้าค้นบนตัวข้าแล้วไม่เจอของที่เจ้าบอก เจ้าจะทำอย่างไรล่ะ?” เหมียวอี้ถามเย่สวินเกา


“ถ้าของไม่ได้อยู่บนตัว บางทีก็อาจจะซ่อนไว้ที่จวนผู้บัญชาการก็ได้” เย่สวินเกาตอบ


เขาเองก็ไม่หวังว่าจะค้นเจอของอะไรบนตัวเหมียวอี้ แล้วก็ไม่ได้เล่นตุกติกอะไรบนสิ่งของด้วย เขาจะกล้าทำเรื่องต้องห้ามแบบนี้ได้อย่างไรกัน นี่เป็นเพียงการล้อเหมียวอี้เล่นเท่านั้น ขอเพียงเหมียวอี้ถูกค้นตัว หรือจวนผู้บัญชาการถูกค้นทั่วทุกซอกทุกมุม ไม่นานข่าวก็จะแพร่จนคนรู้กันทั้งตลาดสวรรค์ ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือต้องการทำให้เหมียวอี้ดูแย่


ทว่าเหมียวอี้เอาแต่จ้องเขา “ถ้าค้นไม่เจออะไร เจ้าควรจะรับผิดชอบยังไง?”


เย่สวินเกากุมหมัดคารวะติงกุ้ย “ถึงตอนนั้นแล้วแต่ท่านผู้ตรวจสอบจะจัดการ!”


เขาไม่มีอะไรให้กลัว อาศัยภูมิหลังของเขา เดี๋ยวกลับไปก็มีคนคุยให้ เขาเชื่อว่าติงกุ้ยก็ไม่กล้าทำอะไรเขาเช่นกัน


ที่จริงก็ไม่ใช่แค่เขา ผู้จัดการร้านกลุ่มนี้ไม่มีใครที่หวาดกลัวเลย ทั้งหมดล้วนมีอำนาจที่แข็งแกร่งหนุนหลัง ไม่อย่างนั้นจะกล้าต่อกรกับบุคคลสำคัญอันดับหนึ่งของตลาดสวรรค์ได้อย่างไร ถ้าเปลี่ยนเป็นโค่วเหวินหลานก็คงไม่มีทางเกิดสถานการณ์แบบนี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ ถ้าไม่เลือกคนที่มีภูมิหลังมานั่งตำแหน่งนี้ ก็ไม่มีทางคุมร้านค้าทั้งเล็กทั้งใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ได้เลย ต่อให้เป็นบุคคลที่เก่งกาจกว่านี้ แต่ก็ทนไม่ไหวหากมีพวกชนชั้นสูงร่วมมือกันรังแกอยู่เบื้องหลัง


ที่อวิ๋นจือชิวบอกว่าเหมียวอี้ก็ใช่ว่าจะมี่มเหตุผล เรื่องราวปรากฏอย่างชัดแจ้งอยู่แล้ว เหมียวอี้ไม่สามารถต้านทานชนชั้นสูงมากมายขนาดนี้ไหวเลย!


ปี้เยว่ฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย นางนับว่าดูออกแล้ว ว่าทาสของบุคคลที่มีอำนาจอิทธิพลพวกนี้ไม่เห็นเหมียวอี้อยู่ในสายตาเลย นางสามารถจินตนาการได้เลย ว่าต่อให้เหมียวอี้จะผ่านด่านนี้ไปได้ แต่ชีวิตที่ตลาดสวรรค์ต่อจากนี้ก็เกรงจะมีปัญหาเข้ามาพัวพันไม่หยุด ยากที่จะทำอะไรได้!


ต้องทราบไว้ว่าหากอำนาจที่หนุนหลังคนพวกนี้ร่วมมือกันขึ้นมา แม้แต่นางเองก็ยังต้องหลีกทางให้! ตอนนี้นางนึกเสียใจทีหลังนิดหน่อยที่ให้เหมียวอี้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ เป็นเพราะตอนแรกนางนึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะแข็งข้อกับคนกลุ่มนี้ ไม่อย่างนั้นการที่มีนางหนุนหลังให้ ก็ใช่ว่าเหมียวอี้จะเป็นผู้บัญชาการใหญ่ต่อไปไม่ได้!


แต่มีหรือที่เหมียวอี้จะยอมให้อีกฝ่ายสมดังใจ กุมหมัดคารวะติงกุ้ยเช่นกัน “ถึงตอนนั้นถ้าตรวจค้นแล้วไม่เจออะไร ก็ไม่ต้องรบกวนท่านผู้ตรวจสอบหรอก ส่งประชาชนเจ้าเล่ห์นี่มาให้ข้าน้อยจัดการก็พอแล้ว!”


ล้อเล่นอะไรกัน ถ้าส่งให้เจ้าจัดการจะไม่เป็นการหาเหาใส่หัวข้าหรอกเหรอ! เย่สวินเกาโต้กลับทันที “ผู้บัญชาการใหญ่ เจ้าพูดแบบนี้มันน่าสงสัยนะว่าเจ้าทำเกินหน้าที่ ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ถูกสอบสวน ก็ควรจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย ไม่อย่างนั้นใครจะไปรู้ว่าเจ้าจะอาศัยอำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัวหรือเปล่า!”


อาศัยอำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัว? เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ เจ้าก็กลัวการอาศัยอำนาจส่วนรวมล้างแค้นส่วนตัวเหมือนกันเหรอ? เขาบอกว่า “จากความหมายที่เจ้าสื่อ ประชาชนเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าสามารถเหยียบย่ำขุนนางผู้นี้ได้ตามใจชอบ แต่ขุนนางตำหนักสวรรค์อย่างข้ากลับทำอะไรเข้าไม่ได้งั้นเหรอ?”


“ข่าไม่ได้พูดอย่างนั้นเสียหน่อย เหตุใดผู้บัญชาการใหญ่ต้องสาดโคลนใส่ตัวข้า!” เย่สวินเกากล่าวกลั้วหัวเราะ


เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูก “ถ้าตรวจค้นเจอว่าข้ามีปัญหาจริงๆ หนิวคนนี้ก็จะยอมรับบทลงโทษทุกอย่าง แต่ถ้าตรวจไม่พบว่าข้ามีปัญหา ข้าก็จะเอาหัวเจ้า! เย่สวินเกา ในเมื่อเจ้าแน่ใจแล้วว่าจะค้นเจอของ เจ้ากล้าตอบตกลงมั้ยล่ะ!”


เย่สวินเกาจะยอมเดิมพันแบบนี้ได้อย่างไรกัน ขนาดคนโง่ยังรู้เลยว่าจะค้นไม่เจออะไรบนตัวเหมียวอี้ จึงกุมหมัดบอกติงกุ้ยว่า “ท่านผู้ตรวจสอบ ขอบังอาจถามสักคำ นี่ท่านกำลังสืบคดี หรือว่าผู้บัญชาการใหญ่ที่ถูกสอบสวนเป็นคนสืบคดี?” พูดจบก็หันไปมองคนที่อยู่ข้างหลังทางซ้ายและขวา


ผู้จัดการร้านสิบกว่าคนกุมหมัดขานรับพร้อมกันทันที “ท่านผู้ตรวจสอบได้โปรดตัดสินอย่างยุติธรรม!” พวกเขากำลังเป็นตัวแทนอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเพื่อรวมตัวกันกดดันติงกุ้ย


“พอแล้ว! เถียงอะไรกันนักหนา!” ปี้เยว่ฮูหยินตบโต๊ะยืนขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ไม่ยอมให้พ่อค้าพวกนี้มาล้มคนที่นางเลื่อนตำแหน่งขึ้นมากับมือต่อหน้าต่อตานาง เพิ่งจะขึ้นรับตำแหน่งได้ไม่นาน ต่อให้โดนกดดันจนต้องดึงเหมียวอี้ลงจากตำแหน่ง แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ท่านโหวเทียนหยวนสามีนางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน “ติงกุ้ย! ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ให้ความสำคัญกบหลักฐานทั้งนั้น ถ้ามีหลักฐานควรจะทำอย่างไรก็ทำไปเถอะ ถ้าไม่มีหลักฐานก็ถือโอกาสจบเรื่องเสียแต่เนิ่นๆ อย่ามายืดเยื้ออยู่ที่นี่!”


“ขอรับ!” ติงกุ้ยขานรับด้วยความเคารพ


คดีนี้ไม่มีทางสืบต่อได้แล้ว ถามพวกพ่อค้าว่ามีหลักฐานหรือไม่ ปากหลายปากก็ย่อมละลายทองได้ พอถามเหมียวอี้ เหมียวอี้ก็ปากแข็งไม่ยอมรับ แบบนี้ใครถูกใครผิดล่ะ?


ติงกุ้ยไม่รู้จะไปซ้ายดีหรือจะไปขวาดี เจ้าบอกว่าถ้าไม่มีหลักฐานก็แปลว่าคนพวกนี้ใส่ร้าย แต่เขาก็ไปมีเรื่องกับอำนาจที่หนุนหลังคนพวกนี้ไม่ไหว แถมฝั่งเหมียวอี้ก็มีปี้เยว่ฮูหยินคุ้มครองอีก เขาเป็นลูกน้องของท่านโหวเทียนหยวน มีหรือที่จะทำให้ปี้เยว่ฮูหยินไม่พอใจ


สุดท้าย เจ้าบ้านี่ก็ไม่ล่วงเกินใครทั้งนั้น ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า “สืบไม่เจอหลักฐานที่น่าเชื่อถือ รอขอคำชี้แนะจากเบื้องบนก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”


บทสรุปนี้ทำให้กลุ่มพ่อค้าประท้วงทันที


ติงกุ้ยกลับไม่อยากตกอยู่ในวังวนนี้อีก กล่าวอำลาปี้เยว่ฮูหยินเสียตรงนั้นเลย บอกว่าต้องกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงาน! นำคนหนีออกไปทันที ไม่อยากอยู่ต่อแม้เพียงครู่เดียว!


รอจนกระทั่งกลุ่มพ่อค้าที่กระฟัดกระเฟียดออกไปแล้ว เหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะปี้เยว่ฮูหยินทันที “ขอบคุณที่ฮูหยินดูแล!”


ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี บอกเพียงว่า “เจ้าจัดการเรื่องของตัวเองให้ดีเถอะ!” นางเดาว่ากลุ่มพ่อค้าพวกนั้นไม่หยุดแค่นี้แน่ ถ้าอำนาจที่หนุนหลังมากมายขนาดนั้นร่วมมือกันขึ้นมา แม้แต่นางเองก็ปกป้องเหมียวอี้ไม่ไหวเช่นกัน นางถอนหายใจ แล้วนำคนหันตัวเดินจากไป


พอออกจากตำหนักคุ้มเมือง เหมียวอี้ถึงได้พบว่ากลุ่มพ่อค้ายังไม่ไป แต่ยังรอเขาอยู่นอกตำหนักคุ้มเมือง เย่สวินเกาแสยะยิ้มใส่เขาแล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ การแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ไม่ใช่แผนที่ยั่งยืนหรอกนะ ขุนนางระดับเจ้าน่ะ พวกเราเห็นมาเยอะแล้ว แต่ไม่เคยเห็นใครอ่านสถานการณ์ไม่ออกอย่างเจ้ามาก่อนเลย! ข้าขอแนะนำสักคำ อย่านึกว่ามีปี้เยว่ฮูหยินหนุนหลังแล้วจะทำอะไรตามใจชอบได้ นี่เป็นแค่อาหารเรียกน้ำย่อย ละครดีๆ ยังอยู่ตอนท้าย ก้มหน้าสักครั้ง อ่อนน้อมสักครั้ง บางทีกลับไปทุกคนอาจจะพบว่าที่แท้แล้วนี่คือการเข้าใจผิดกันก็ได้  เรื่องนี้ก็จะผ่านไปเหมือนกัน แบบนี้จะดีกับเจ้ากับข้าแล้วก็ดีกับทุกคน ในเมื่อเป็นเรื่องน่ายินดีแบบนี้ แล้วทำไมยังไม่ทำ!”


เหมียวอี้ยังทำสีหน้าเรียบเฉย ไม่เถียงอะไรสักคำ ไม่มองพวกเขาแม้แต่หางตาด้วยซ้ำ เหาะขึ้นฟ้าไปโดยตรงเลย


“ถุย! ยังอวดดีซะด้วย สงสัยถ้าไม่เห็นโลงศพคงไม่หลั่งน้ำตา!” มีบางคนพูดเหน็บแนม


บางคนก็บอกว่า “ชัดเจนว่าเรื่องนี้มีปี้เยว่ฮูหยินหนุนหลัง อีกฝ่ายไม่เกรงกลัวอะไรเพราะมีคนหนุนหลัง!”


หวงลี่สิ้งหันกลับมามองที่ตำหนักคุ้มเมือง แล้วพูดดูถูกว่า “พวกเราแค่ไม่อยากทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไปเฉยๆ หรอก! ไม่อย่างนั้นก็มีทางจัดการกับเขาอยู่แล้ว ถ้ายังไม่รู้จักอ่านสถานการณ์อีก นางช่วยเหลือหนิวโหย่วเต๋อสุดกำลังแบบนี้ ถ้าเป็นเหมือนเฉาว่านเสียงกับมู่หรงซิงหัวขึ้นมา ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ถ้ามีข่าวสกปรกอะไรแพร่ออกไป งั้นก็จะมาโทษพวกเราไม่ได้แล้วนะ!”


มีบางคนหลุดขำ “นางเองก็ต้องการศักดิ์ศรีหน้าตาเหมือนกัน ไม่ว่ายังไงก็ต้องปกป้องไว้สักหน่อย ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนเลื่อนขั้นให้เองต่อหน้าฝูงชน เกรงว่าภายในช่วงเวลาสั้นๆ นี้นางจะยังไม่ยอมให้หนิวโหย่วเต๋อลงจากตำแหน่งหรอก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการตบหน้าตัวเอง!”


เย่สวินเกาแสยะยิ้มอีก “ช่างเถอะ! ถ้าไปทำให้ท่านโหวเทียนหยวนไม่พอใจจริงๆ มันก็อาจจะยุ่งยากอยู่บ้าง พวกเราว่ากันไปตามสถานการณ์ก็แล้วกัน ทำให้หนิวโหย่วเต๋อนั่นรู้ตัวก่อนว่าตัวเองเป็นใคร ไม่อย่างนั้น ค้างคาวที่เอาขนไก่มาเสียบบนตัวมันจะหลงนึกว่าตัวเองเป็นนกไปแล้วจริงๆ! ทุกคนไปติดต่อให้ทั่ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้ร้านค้าเล็กใหญ่ทั้งตลาดสวรรค์หยุดให้ผลประโยชน์และมอบของขวัญแสดงความกตัญญูให้กับทหารชั้นต่ำพวกนั้น ถ้าใครกล้าไม่ยืนฝั่งเดียวกับพวกเรา พวกเราก็จะทำให้มันไม่มีที่ยื่นในตลาดสวรรค์ รอให้ป่วนจนลูกน้องหนิวโหย่วเต๋อพากันบ่นร้องเรียน รอให้ทุกคนเอาใจออกห่างเขาหมด รอให้ลูกน้องของเขามาฟ้องร้องร่วมกับพวกเรา เมื่อไม่มีใครกล้าสนับสนุนเขา เจ้าว่าเขาจะยังเป็นผู้บัญชาการใหญ่ได้มั้ยล่ะ? ถ้าไม่มีหนังเสือนี้คลุมแล้ว พวกเราค่อยทำให้เขาทรมานจนอยากตาย!”


“ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็กุมอำนาจไว้มาก การที่พวกเราทำแบบนี้ ถ้าไปยั่วโมโหจนเขาจงใจหาโอกาสก่อเรื่องจะทำยังไงล่ะ?” บางคนถามอย่างกังวล


“ถ้ากล้าก่อเรื่อง นั่นจะไม่เป็นการนำหลักฐานมาส่งถึงมือพวกเราหรอกเหรอ!” หวงลี่สิ้งยิ้มตอบ


กลุ่มพ่อค้าพยักหน้าเห็นด้วยทันที ต่างก็รู้สึกว่าวิธีการนี้ไม่เลว เรียกได้ว่าปรึกษาเรื่องจัดการผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ที่นอกตำหนักคุ้มเมืองกันอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง จะไม่บอกว่ากำเริบเสิบสานก็ไม่ได้ แต่ก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อมีเงินและมีอำนาจในระดับหนึ่ง หลังจากคิดว่าตัวเองใหญ่ขึ้นแล้ว ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องการอำนาจในการดูหมิ่นกฏหมาย เป็นผู้กุมอำนาจที่อยากควบคุมและโอ้อวด เพื่อเติมเต็มความทะยานอยากของตัวเอง!


“ผู้บัญชาการใหญ่ เรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง?”


เมื่อถูกเรียกพบ สวีถังหรานที่มาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกและเห็นเหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามอย่างร้อนใจ


เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว สวีถังหรานก็รู้เช่นกัน มีคนอยากได้ตำแหน่งผู้บัญชาการที่ตลาดสวรรค์ จึงเกิดความขัดแย้งกับเหมียวอี้ กำลังจงใจเล่นงานเหมียวอี้


เขาก็กังวลใจเหมือนกัน! เพราะเขาไม่มีภูมิหลังอะไรเหมือนกัน! ถ้าเหมียวอี้ถูกถอดจากตำแหน่งขึ้นมา ตำแหน่งของเขาก็คงจะอยู่ได้ไม่นานเหมือนกัน สง่าราศีที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งก็ไม่อาจใช้ได้ผลตลอดไป โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ นั่นเป็นพวกที่แม้แต่ราชันสวรรค์ก็ยังต้องปวดหัว แล้วเขาจะต่อต้านได้อย่างไร ย่อมต้องร้อนใจอยู่แล้ว!


เหมียวอี้ถอดเกราะรบแล้ว นั่งดื่มน้ำชาอยู่ในศาลาอย่างปลอยภัยไร้กังวล ตอบอย่างสบายใจว่า “มีปี้เยว่ฮูหยินอยู่ด้วย ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก สืบไม่เจอหลักฐานที่น่าเชื่อถือ คนตรวจสอบก็ไปแล้ว”


“ผู้บัญชาการใหญ่ เรื่องนี้ไม่ได้จบง่ายๆ ขนาดนั้น ท่านอย่าไปมองนะว่ายามปกติเจ้าพวกนั้นมันสุภาพเกรงใจและเคารพเชื่อฟัง ถ้าไม่ได้ผลประโยชน์ที่ต้องการ พวกนั้นจะยอมเลิกราง่ายๆ ได้ยังไง!” สวีถังหรานกล่าวอย่างร้อนใจมาก


“จำเป็นต้องให้เจ้าเตือนด้วยเหรอ?” เหมียวอี้ถามกลับ


“ใช่ขอรับ!” สวีถังหรานรีบพยักหน้า “งั้นผู้บัญชาการใหญ่มีวิธีการรับมือแล้วเหรอ?” หลังจากผ่านเรื่องราวพร้อมกับเหมียวอี้มาหลายครั้ง ในตอนนี้เขายังมีความหวังสุดท้ายกับเหมียวอี้อยู่


เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้เป่าเหลียน เป่าเหลียนที่กำลังทำสีหน้ากังวลเข้าใจว่าเขาต้องการจะคุยธุระส่วนตัว จึงถอยออกไปทันที!


จากนั้นเหมียวอี้ก็นำขวดผลึกใสใบเล็กที่บรรจุของเหลวสีดำออกมา เป็น ‘ความปรารถนาร้าย’ ที่สวีถังหรานนำมาตบตาเขาครั้งก่อน เขาวางมันบนโต๊ะแล้วถามว่า “ของสิ่งนี้เจ้าหามาจากไหน? ปกติเจ้ารวบรวมไว้หลังจากใช้ลูกแก้วพลังปรารถนา?”


…………………………


บทที่ 1071 เพิ่มรายชื่อเข้าไปอีก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ยังจะเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกทำไม?


สวีถังหรานที่ทำสีหน้าไม่ถูกรู้สึกอับอายนิดหน่อย แต่หลังจากที่เสียเปรียบเพราะเหมียวอี้มาครั้งแล้วครั้งเล่า คิดไปคิดมาก็ไม่กล้าปิดบัง เพราะไม่รู้ว่าเหมียวอี้รู้มากน้อยแค่ไหน กลัวว่าถ้าโดนเปิดโปงจะยิ่งซวยกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็รู้สึกว่าเหมียวอี้ไม่น่าจะมาคิดบัญชีนี้กับตนในเวลานี้


หลังจากไตร่ตรองแล้ว สวีถังหรานก็ยิ้มแห้ง “ที่ตัวเองสะสมไว้ตอนฝึกตน ข้าจะกล้านำออกมาเสียที่ไหนกัน ตำหนักสวรรค์สั่งห้ามไม่ให้มีไว้ในครอบครอง เดี๋ยวตอนหลังจะไม่มีทางอธิบายได้ ของแบบนี้ตำหนักสวรรค์จะรับซื้อไว้ หลังจากใช้ลูกแก้วพลังปรารถนาเสร็จแล้ว มักจะมีคนนำมันไปขายในจุดที่ตลาดสวรรค์กำหนดให้ ซักถามตตรงประตูเมืองนิดหน่อยก็รู้แล้ว มีอยู่ครั้งหนึ่งข้าเห็นมีคนทำตัวเหมือนโจร ตอนสอบสวนจึงถือโอกาสสกัดยึดเอาไว้ ลืมไปชั่วขณะจึงไม่ได้ส่งมอบขึ้นมาให้”


ได้! ไม่ต้องถามเหมียวอี้ก็รู้เหมือนกัน เจ้าคนที่ถูกเรียกว่า ‘ทำตัวเหมือนโจร’ เมื่อเจอคนใจดำอำมหิตอย่างสวีถังหราน ก็เป็นไปได้สูงว่าจะไม่มีชีวิตเหลืออยู่แล้ว เกรงว่าของที่ ‘ลืมไปชั่วขณะจึงไม่ได้ส่งมอบขึ้นมาให้’ ก็คงไม่ได้มีแค่สิ่งนี้เหมือนกัน


แต่นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนี้ เหมียวอี้ชี้ไปยัง ‘ความปรารถนาร้าย’ ที่วางอยู่บนโต๊ะ “ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะใช้วิธีการอะไร ข้าให้เวลาเจ้าสามวัน เจ้าหามาให้ข้าอีกสิบหกชุด! จำไว้นะ จัดการเรื่องนี้ให้เชื่อถือได้หน่อย อย่าเผยพิรุธให้ใครรู้ว่าเจ้าเป็นคนนำของสิ่งนี้มา!”


“สิบหกชุด?” สวีถังหรานถามอย่างระแวงสงสัย “ผู้บัญชาการใหญ่ มันมากไปหน่อยหรือเปล่า นี่ถ้ามีข่าวหลุดออกไป มันจะเกิดปัญหาใหญ่ได้นะ! ผู้บัญชาการใหญ่ ท่าจะต้องการเยอะขนาดนั้นไปทำไม? ของแบบนี้ต่อให้ใส่เข้าไปในอาวุธ แต่ก็ไม่กล้านำออกมาใช้อยู่ดี! ไม่อย่างนั้นตำหนักสวรรค์ไม่ปล่อยไปง่ายๆ แน่!”


เหมียวอี้กวักมือเรียก ให้เขาเอาหูเข้ามาใกล้ๆ แล้วถ่ายทอดเสียงกระซิบบอกไม่กี่ประโยค


“หา!” หลังจากสวีถังหรานได้ฟัง ก็กล่าวด้วยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริด “เอ่อ…นี่มันไม่เหมาะสมมั้ง! ภูมิหลังของสิบหกร้านนั้นก็เห็นๆ กันอยู่ ถ้าอยากจะใช้วิธีปั้นเรื่องใส่ร้ายไปสู้ก็เกรงว่าจะไม่ง่าย เบื้องหลังจะต้องมีคนกระโดดออกมาชี้แจงเหตุผลให้แน่นอน ดีไม่ดีความซวยอาจจะตกมาอยู่ที่พวกเราด้วยซ้ำ”


เหมียวอี้พยักหน้า “เจ้าไม่ทำใช่มั้ย? ได้! ทำไมพวกเขาถึงมาหาเรื่องข้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าตอนนี้เจ้าจะไม่รู้สาเหตุ ข้าแตกคอกับพวกเขาก็เพื่อเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ทำ สงสัยข้าจะทำดีแต่กลับไม่ได้รับผลดีตอบ ก็ได้ ขนาดเจ้ายังไม่อยากได้ตำแหน่งนี้เลย แล้วข้ายังจะมีอะไรต้องพูดอีกล่ะ” เขาชี้ที่กำไลเก็บสมบัติบนมือสวีถังหราน “นำของที่สมควรต้องส่งมอบออกมาเถอะ สละตำแหน่งของเจ้าซะ ข้าจะได้ไปเจรจากับพวกเขา”


“ข้า…” สวีถังหรานทำสีหน้าขื่นขม กุมหมัดกล่าวว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความอย่างนี้ เพียงแต่อยากขอให้ผู้บัญชาการใหญ่ไตร่ตรองถึงผลที่จะตามมาให้ดี ทำแบบนี้ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อพวกเขาเลย พวกเขากระดูกแข็งเกินไป ใช้วิธีการนี้กัดไม่เข้าหรอก ถ้าเรื่องราวใหญ่โตขึ้นมา พวกเราจะต้องซวยมากแน่นอน!”


เหมียวอี้กล่าวอย่างไม่แยแส “ไม่กลัวว่าเรื่องราวจะใหญ่โตหรอก กลัวก็แต่เรื่องราวจะไม่ใหญ่โต ต้องใหญ่โตจนราชันสวรรค์รู้สิถึงจะดี ไม่อย่างนั้นใครจะยอมล่วงเกินชนชั้นสูงมากมายไปฟ้องราชันสวรรค์เพื่อตัวละครเล็กๆ อย่างพวกเราล่ะ? ต่อให้ไปขอร้องโค่วเหวินหลาน แต่ตระกูลโค่วก็ไม่ล่วงเกินคนมากมายขนาดนั้นเพื่อพวกเราหรอก”


สวีถังหรานชะงักทันที เอามือลูบคางทำท่าทางครุ่นคิด แล้วลองถามอีกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ทำแบบนี้จะได้ผลเหรอ?”


เหมียวอี้ตอบว่า “เจ้าไม่ต้องสนใจหรอกว่าจะได้ผลหรือไม่ได้ผล ต่อให้ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวาเจ้าก็ต้องซวยอยู่ดี เจ้าอยากจะทิ้งโอกาสสุดท้ายในการพลิกสถานะเหรอ? เจ้าเคยคิดถึงผลที่ตามมาหลังจากสูญเสียอำนาจไปหรือเปล่า? เจ้าอยู่ที่ตำหนักสวรรค์มานานขนาดนี้ คงเห็นภาพสุนัขจมน้ำโดนเหยียบมาไม่น้อยหรอกมั้ง? แล้วอีกอย่าง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นคนที่ซวยคนแรกก็คือข้า ข้าจะเอาชิตตัวเองมาล้อเล่นเหรอ?”


สวีถังหรานแวบตาวูบไหวอยู่พักหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็กัดฟัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตนเองและครอบครัว ยอมทุ่มสุดตัวแล้ว กุมหมัดตอบว่า “ผู้บัญชาการใหญ่วางใจได้ ไม่ต้องใช้เวลาสามวันหรอก ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยภายในครึ่งวัน!”


เหมียวอี้อึ้งอยู่บ้าง ยังกังวลว่าให้เวลาเขาสามวันแล้วจะไม่พอ ดังนั้นจึงออกคำสั่งเด็ดขาดว่าให้เวลาเขาเพียงสามวัน ใครจะคิดว่าเจ้าชาติสุนัขจะรับประกันว่าจะจัดการได้ภายในครึ่งวัน สงสัยเจ้าเวรนี่จะมีประสบการณ์ในการทำเรื่องแบบนี้จริงๆ! แต่ก็ยังต้องเตือนอีกครั้งว่า “เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ทำให้เชื่อถือได้หน่อย อย่าให้อุดปากถ้ำฝั่งนี้แล้วมีโพรงถ้ำฝั่งโน้นโผล่ออกมาอีก จะอุดก็อุดไม่ไหว ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ระวังว่าข้าจะเอาหัวเจ้าไปอุดแทน”


“ข้าน้อยรู้ชัดอยู่แก่ใจ ผู้บัญชาการใหญ่รอข่าวดีจากข้าได้เลย!” สวีถังหรานพูดจบแล้วเดินออกไปอย่างเด็ดเดี่ยว


เหมียวอี้แอบเดาะลิ้นหลายครั้ง ตอนนี้พอมาลองคิดถึงคำพูดอวิ๋นจือชิวแล้ว ถึงแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไร แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของอวิ๋นจือชิวมีเหตุผลอยู่หลายส่วน เก็บพวกพวกลักเล็กขโมยน้อยไว้ข้างกายก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เห็นได้ชัดว่าสวีถังหรานเหมาะสมที่จะทำเรื่องน่าไม่อายแบบนี้ที่สุด อีกฝ่ายมีประสบการณ์โชกโชน นอกจากง่ายดายสบายมือแล้ว เวลาทำขึ้นมาก็ไม่รู้สึกหนักใจด้วย นี่คือการใช้ประโยชน์ได้ในเวลาที่จำเป็น!


จากนั้น เหมียวอี้ก็รีบเรียกฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋มาร่วมกันวางแผนลับ การเตรียมตัวถอยกลับพิภพเล็กหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นคือสิ่งที่ขาดไม่ได้


หลังจากวางแผนลับเสร็จแล้ว สำหรับเรื่องที่เหมียวอี้ดึงดันจะทำให้ได้ ทั้งสองค่อนข้างจนใจ เดิมทีทั้งสองเตรียมจะสละตำแหน่งตัวเองแล้ว ถอยหนึ่งก้าวเพื่อให้เรื่องราวราบรื่น ในภายหลังยังมีโอกาส แต่เหมียวอี้ไม่ยอมถอยแม้แต่นิดเดียว จะประลองกับกลุ่มพ่อค้าพวกนั้นให้ได้ จะพิสูจน์ให้ได้ว่าใครมีอำนาจตัดสินใจที่ตลาดสวรรค์ ทั้งสองจึงทำได้เพียงให้ความร่วมมือ


เมื่อคิดหน้าคิดหลังแล้ว อิงอู๋ตี๋ก็กล่าวอย่างกังวลอยู่บ้างว่า “ให้สวีถังหรานไปทำเรื่องนี้ เขาจะไม่ทำข่าวหลุดเหรอ? ถ้าเขาเห็นท่าไม่ดีขึ้นมา จะไปขอพึ่งพิงพ่อค้าพวกนั้นเพื่อปกป้องชีวิตตัวเองหรือเปล่า?”


“ไปพึ่งพิงพ่อค้าพวกนั้นก็แปลว่าจะปกป้องตำแหน่งของเขาได้เหรอ? ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้ว่าพ่อค้าพวกนั้นต้องการอะไร แล้วอีกอย่าง ในมือข้าก็มีจุดอ่อนของเขาอยู่ ต่อให้เขาไปพึ่งพิงอีกฝ่ายแล้วยังไงล่ะ?” เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ในศาลาลุกขึ้นยืน แสยะยิ้มแล้วแสยะยิ้มอีก “ถ้าเขากล้าทำแบบนั้นจริงๆ ข้าก็จะจัดการเขาก่อน แล้วค่อยถือหัวเขาไปล้างเลือดตลาดสวรรค์!”


ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋มองหน้ากันเลิกลั่ก แม้แต่คำว่าล้างเลือดตลาดสวรรค์ก็ยังพูดออกมาได้ สงสัยเจ้าห้าจะตัดสินใจแล้วว่าจะเปิดฉากสังหารที่ตลาดสวรรค์!


ที่ประตูเขตเมืองตะวันตก ทหารสวรรค์ที่เฝ้าประตูมองดูสวีถังหรานที่จู่ๆ ก็โผล่อยู่บนหอประตูเมืองและกำลังเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมา พวกเขาสงสัยนิดหน่อย ไม่รู้ว่าท่านผู้บัญชาการโผล่ออกมาทำอะไรในเวลานี้…


ทว่าสวีถังหรานบอกไว้ว่าใช้เวลาครึ่งวัน ก็ใช้เวลาครึ่งวันจริงๆ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งวันก็รีบร้อนมาที่ผู้บัญชาการใหญ่แล้ว


พอเห็นเขามา เหมียวอี้ก็โบกมือให้เป่าเหลียนทันที บอกใบ้ให้นางถอยไปก่อน


ถึงแม้เป่าเหลียนจะถอยออกไปแล้ว แต่ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจ ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ได้เห็นนางเป็นคนของตัวเองหรอกเหรอ


เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครแล้ว สวีถังหรานก็ไม่พดพร่ำทำเพลง นำขวดผลึกใบเล็กที่บรรจุ ‘ความปรารถนาร้าย’ สีดำขึ้นมากองบนโต๊ะ ในจำนวนนั้นยังมีหลายใบที่เป็นวดขนาดใหญ่ด้วย “ผู้บัญชาการใหญ่ นำของมาแล้ว มีทั้งเล็กทั้งใหญ่ยี่สิบสองขวด พอใช้รึเปล่า?”


เหมียวอี้ตรวจสอบครู่หนึ่ง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด เขาก็รู้สึกพูดไม่ออกนิดหน่อย เจ้าชาติสุนัขนี่มันคล่องจริงๆ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็ทำภารกิจสำเร็จสำเร็จแบบเกินจำนวนแล้ว ไม่พูดไม่ได้แล้วว่าเขาประเมินเจ้านี่ต่ำไป


“นี่คือรายชื่อร้านค้าสิบหกร้าน…” เหมียวอี้โยนแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้เขา แล้วถ่ายทอดเสียงสั่ง


สวีถังหรานพยักหน้า หลังจากจำได้แล้วก็รีบเก็บขวดทั้งใบเล็กใบใหญ่ แล้วก้าวยาวออกไป!


เห็นได้ชัดเจนมาก ขอเพียงไม่ใช่เรื่องต่อสู้เข่นฆ่า ลักษณะการทำงานของสวีถังหรานก็รวดเร็วเด็ดขาดมาก!


หลังจากสวีถังหรานไปได้ไม่นาน ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็มาอีกครั้ง


“เจ้าห้า สืบมาชัดเจนแล้ว! ร้านค้าที่เกี่ยวข้องหรือเป็นเจ้าของอยู่เบื้องหลังร้านค้าสิบหกร้านนี้ มีทั้งหมดสองร้อยห้าร้าน รวมกับสิบหกร้านนั้นด้วยก็เป็นสองร้อยยี่สิบเอ็ดร้าน!” ฝูชิงยื่นแผ่นหยกให้เหมียวอี้


“เงินเยอะแล้วเสียงดังกว่าคนอื่นจริงๆ ด้วย!” หลังจากเหมียวอี้รับมาอ่านในมือแล้ว ก็ถามอีกว่า “ในเวลานิดเดียวแค่ก็รู้ชัดแล้วเหรอ? พี่รอง มีอะไรตกหล่นหรือเปล่า?”


ฝูชิงตอบว่า “ร้านค้าพวกนี้อยู่ที่ตลาดสวรรค์มาหลายปีแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างกันก็เปิดเผยโจ่งแจ้ง พวกเราก็แค่รวบรวมข้อมูลนิดหน่อย ไม่มีผิดพลาดหรอก นอกเสียจากจะยังแอบซ่อนอะไรเอาไว้ไม่ให้คนอื่นรู้อีก ถ้ามีจริงๆ อีกฝ่ายจงใจปิดบังแบบนี้ นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะสืบได้ภายในเวลาสั้นๆ”


“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วมองทั้งสองพร้อมบอกว่า “พี่รอง พี่สาม เอาตามนี้แล้วกัน พรุ่งนี้หลังจากฟ้าสางแล้วมารวมตัวกันที่นี่ ก่อนหน้านั้นอย่าปล่อยข่าว ป้องกันไม่ให้รู้กันหลายปากแล้วข่าวหลุด!”


ทั้งสองเอ่ยรับแล้วออกไป


เป่าเหลียนที่เฝ้าอยู่ด้านนอกรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าการที่พวกผู้บัญชาการเข้าออกที่นี่บ่อยขนาดนี้หมายความว่าอะไร ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ยังไม่เคยเห็นผู้บัญชาการพวกนี้เข้าออกที่นี่ซ้ำไปซ้ำมาภายในวันเดียว เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยปกติ กอปรกับสถานการณ์ใช่ช่วงนี้ นางรู้สึกได้รางๆ ว่ากำลังจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น


พอตกเย็น เหมียวอี้ที่กำลังฝึกตนอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ได้รับข้อความจากอวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์  มาหาข้าที่นี่สักรอบ


เหมียวอี้ตอบว่า : ข้ามีธุระ ไปไม่ได้ มีเรื่องสำคัญอะไร?


อวิ๋นจือชิว : มีคนจากสมาคมร้านค้ามาบอกข้า มาเตือนว่าตั้งแต่นี้ไปให้ข้าเลิกมอบผลประโยชน์และมอบของขวัญทุกอย่างกับขุนนางทหารที่เฝ้าเมือง ไม่อย่างนั้นสมาคมร้านค้าก็มีหนทางที่จะสู้กับพวกเราแน่ หลางหลางกับหวนหวนก็ได้รับข่าวนี้เหมือนกัน สงสัยคนพวกนั้นคงจะเริ่มลงมือกับเจ้าแล้ว!


เหมียวอี้ : ไม่ต้องคิดมากแล้ว เดี๋ยวจะมีคนออกหน้ามาแก้ปัญหาให้! ไม่คุยแล้ว ข้ายังมีแขก


ไม่ได้พูดอะไรมากอีก และไม่ได้ไปหาด้วย เหมียวอี้กลัวว่าอวิ๋นจือชิวจะเผยเบาะแสเสียก่อน ทั้งสองมีแนวคิดในการทำงานไม่ค่อยเหมือนกัน ถ้าปล่อยให้อวิ๋นจือชิวรู้ นางจะต้องห้ามไว้แน่ ดังนั้นจึงเตรียมจะปิดบังไว้ เตรียมจะทำก่อนแล้วค่อยบอก


ไม่ใช่แค่อวิ๋นจือชิวที่มาฟ้อง ท่าวแม่สวีแห่งหอกลิ่นสวรรค์และหวงฝู่จวินโหรวก็ทยอยสั่งให้คนนำจดหมายที่ปิดผนึกแน่นมาส่งเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้ทั้งสองสะดวกจะไปมาหาสู่กับเหมียวอี้โดยตรง พอเหมียวอี้ฉีกจดหมายอ่าน ก็เป็นอย่างที่คาดไว้ เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวบอก กำลังพูดถึงเรื่องนั้นเช่นกัน


“หึหึ!” เหมียวอี้แสยะหัวเราะ พลิกฝ่ามือเผาจดหมายทิ้งในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นเอามือไขว้หลังเดินมาตรงประตู “เป่าเหลียน เชิญผู้บัญชาการฝูมาที่นี่หน่อย!”


“ค่ะ!” เป่าเหลียนเอ่ยรับแล้วออกไป


ผ่านไปไม่นาน ฝูชิงก็มาถึงแล้ว ภายนอกก็ทำความรพผู้บัญชาการใหญ่ แต่พอเดินขึ้นบันไดไปแล้วก็ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้าห้า นี่มันเรื่องอะไร?”


เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตอบว่า “พี่รอง นอกจากรายชื่อเมื่อตอนกลางวัน ช่วยร่างราชื่อให้ข้าอีกสักฉบับ ร้านค้าร้อยอันดับแรกของตลาดสวรรค์ อย่าให้ขาดไปแม้แต่ร้านเดียว เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งร้อยร้าน!”


ฝูชิงตกใจ “พื้นที่กว้างเกินไปหรือเปล่า ร้านค้าหนึ่งร้อยอันดับแรก…นี่เจ้าต้องล่วงเกินชนชั้นสูงทั้งหมดของตำหนักสวรรค์เลยนะ! ตระกูลโค่วก็อยู่ในนั้นเหมือนกัน ถึงตอนนั้นเกรงว่าแม้แต่คนช่วยเจ้าพูดสักคนก็จะไม่มี!”


เหมียวอี้ตอบเพียงคำเดียวว่า “ตอนนี้ข้ายังต้องกลัวว่าเรื่องราวจะไม่ใหญ่โตเกินไปอีกเหรอ? พี่รอง นำรายชื่อมาให้ข้าก่อนฟ้าสว่าง”


“เฮ้อ!” ฝูชิงถอนหายใจ แล้วพยักหน้าเดินออกไป…


หลังจากฟ้าสาง ฝูชิง อิงอู๋ตี๋ สวีถังหราน มู่หรงซิงหัว ผู้บัญชาการของเขตเมืองทั้งสี่มาถึงจวนผู้บัญชาการใหญ่แล้ว


เมื่อก้าวเข้ามาในจวนผู้บัญชาการใหญ่ ก็เห็นเหมียวอี้เอามือไขว้หลังยืนอยู่ลำพังบนหลังคาที่โค้งขึ้นสวยงาม เงยหน้ามองแสงแดดยามเช้าที่อ่อนโยน สีหน้าเรียบเฉย ชุดคลุมปลิวสะบัดเบาๆ อยู่ท่ามกลางสายลมอ่อน ทำให้คนรู้สึกว่าอยู่บนที่สูงแต่ไม่หนาว บางทีอาจเป็นเพราะตอนนี้สภาพจิตใจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ จึงเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา


มู่หรงซิงหัวย่อมรู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่ดีต่อเหมียวอี้ นางมองไปที่อีกสามคน ไม่รู้ว่าทำไมผู้บัญชาการใหญ่จึงเรียกพบในเวลานี้ ทว่าไม่พบคำตอบใดๆ จากใบหน้าของทั้งสามคนเลย


ทั้งสี่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ในลานบ้าน แล้วกล่าวทำความเคารพพร้อมกัน “คำนับผู้บัญชาการใหญ่!”


…………………………


บทที่ 1072 ยามอาทิตย์สาดส่องจากที่สูง

โดย

Ink Stone_Fantasy

เหมียวอี้ที่ยืนอยู่บนหลังคาไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ เหมือนเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าพวกเขามาถึงแล้ว


เมื่อหายเหม่อลอย และมองทั้งสี่อยู่ในลานบ้าน เขาก็ลอยตัวลงมาแล้วกวักมือเรียก “เข้ามาเถอะ!”


จากนั้นทั้งสี่ก็เดินตามเขาเข้าไปที่โถงหลักด้านในของจวนผู้บัญชาการใหญ่


เหมียวอี้ที่เดินมาถึงตำแหน่งของตัวเองยังไม่ได้นั่งลง แต่พลันหันขวับมามองทั้งสี่คน แล้วโบกมือโยนแผ่นหยกสี่แผ่นให้ทั้งสี่คน


ทั้งสี่คนรับมาอ่านในมือ ทั้งหมดเป็นร้านค้าในอาณาเขตของทั้งสี่ ร้านค้าบางร้านยังถูกวงไว้ด้วยกันด้วย แสดงให้เห็นว่าต้องเน้น ‘ดูแล’ เป็นพิเศษ


อีกสามคนที่เหลือยังดีหน่อย ต่างก็มีข้อมูลอยู่ในใจแล้ว เพียงแต่สวีถังหรานแปลกใจว่าทำไมร้านค้าสิบหกร้านจึงกลายเป็นจำนวนมากขนาดนี้ได้ แค่ในแผ่นหยกบนอาณาเขตของตนคนเดียวก็นับได้เกินสิบหกร้านแล้ว


ส่วนมู่หรงซิงหัวก็งุนงงเหมือนโดนหมอกลงสมอง ไม่เข้าใจว่านี่มันสถานการณ์อะไรกันแน่ เมื่อนับจำนวนร้านค้าบนแผ่นหยก ก็นับได้เกือบแปดสิบร้านแล้ว นี่มันสถานการณ์อะไรกัน? นางเงยหน้าถาม “ผู้บัญชาการใหญ่ มีเจตนาอะไรเหรอ?”


เหมียวอี้ตอบด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “มีร้านค้าบางร้านไม่อยู่ในความสงบ! นึกว่าตัวเองมีเงินมีอำนาจมีคนหนุนหลัง จึงกล้าฝ่าฝืนอำนาจของตำหนักสวรรค์ ดูหมิ่นขุนนางตำหนักสวรรค์ ต่อต้านผู้บัญชาการใหญ่ที่คุมที่นี่อย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย กำเริบเสิบสานจริงๆ! ข้าเองก็ไม่มีเวลามาเล่นลิ้นคุยเรื่องเส้นสายภูมิหลังกับพวกเขา ในเวลาจำเป็นก็ต้องใช้วิธีการที่เหมือนฟ้าผ่า ข้าเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าคอของพวกเขาแข็ง หรือว่าดาบของผู้บัญชาการใหญ่คนนี้จะแข็งกว่า หนึ่งคนไม่ยอมก็ฆ่าหนึ่งคน สองคนไม่ยอมก็ฆ่าสองคน ถ้าหนึ่งกลุ่มไม่ยอม…ผู้บัญชาการใหญ่คนนี้ก็ไม่ถือสาที่จะฆ่าให้หมดสิ้น!”


“…” มู่หรงซิงหัวฟังออกถึงเจตนาสังหารในคำพูดเขา ริมฝีปากแดงอ้าค้างด้วยความอึ้ง ในดวงตาฉายแววเหลือเชื่อ เจ้าคนบ้านี่คิดจะทำอะไร?


จนกระทั่งเหมียวอี้อธิบายแผนออกมาทั้งหมดอย่างไม่รีบร้อน ขณะที่คำพูดแต่ละคำที่เหมือนย้อมด้วยกลิ่นคาวเลือดกรอกเข้าหู ดวงตางามทั้งคู่ของมู่หรงซิงหัวก็เบิกกว้าง แล้วก็มองดูรายชื่อในมือของตัวเองอีกครั้ง คนที่หนุนหลังร้านค้าพวกนี้เป็นใครบ้างล่ะ?


นางคุมเขตเมืองเหนือมานานมาก แค่มองปราดเดียวก็ย่อมรู้ถึงเครือข่ายเส้นสายที่อยู่เบื้องหลังร้านค้าพวกนี้ ไม่มีร้านไหนธรรมดาเลย นี่ยังเป็นแค่ร้านค้าบนอาณาเขตของตนนะ พอเงยหน้ามองแผ่นหยกในมือคนอื่นอีก นี่ต้องการจะลงมือกี่ร้านกัน?


โอ้สวรรค์! มู่หรงซิงหัวร้องในใจอย้างบ้าคลั่ง ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าบ้านี่ต้องการจะเปิดฉากสังหารร้านค้าของชนชั้นสูงที่ตลาดสวรรค์ บ้าไปแล้ว! บ้าไปแล้ว! เจ้าเวรนี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ!


“ผู้บัญชาการใหญ่ไตร่ตรองดูให้ดีนะ!” พอเหมียวอี้พูดจบ มู่หรงซิงหัวก็กุมหมัดกล่าวอย่างร้อนใจทันที “ทำเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เบื้องหลังร้านค้าพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นบุคคลสำคัญที่สามารถเข้าร่วมประชุมขุนนางที่ตำหนักสวรรค์ได้ ถ้าทำเรื่องนี้ออกมาจริงๆ ถึงตอนนั้นต่อให้ผู้บัญชาการใหญ่จะมานึกเสียใจทีหลังก็ไม่ทันแล้ว! ข้าน้อยวิงวอนจากใจ…”


“ผู้บัญชาการมู่หรง!” เหมียวอี้พูดตัดบทด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ถึงอย่างไรก็เห็นแก่หน้าหัวหน้าภาคเฉา ถ้าเจ้ารู้สึกว่าไม่สะดวกจะลงมือ ข้าเองก็ไม่บังคับ เจ้าให้รองผู้บัญชาการสองคนของตัวเองทำแทนเถอะ! แต่ก่อนที่เรื่องนี้จะถูกแก้ไข ก็ขอให้เจ้าให้ความร่วมมือสักหน่อย พักอยู่ในผู้บัญชาการใหญ่นี้ชั่วคราวก่อน!”


ตอนที่เพิ่งรับตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ เขาก็จับราชาปีศาจของทะเลดาวนักษัตรสองคนเข้าไปเป็นรองผู้บัญชาการของมู่หรงซิงหัวแล้ว ปล่อยคนของตัวเองเข้าไป ก็เพื่อกันไว้ดีกว่าแก้ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีคนนำเคลื่อนกองกำลังของเขตเมืองเหนือ


นี่ก็คือข้อดีของการมีคนของตัวเองอยู่ใต้บังคับบัญชา ไม่อย่างนั้นต่อให้มีกำลังพลมากกว่านี้ เหมียวอี้ก็ไม่มีทางปฏิบัติการตามแผนครั้งนี้ได้เลย


มู่หรงซิงหัวได้ยินแล้วรีบมองฝูชิง อิงอู๋ตี๋และสวีถังหรานที่อยู่ทางซ้ายและขวา เดิมทีอยากจะโน้มน้าวอีกสามคนให้ช่วยกันเกลี้ยกล่อมผู้บัญชาการใหญ่ ผลก็คือพบว่าทั้งสามกำลังจ้องนาง ราวกับไม่ตกใจกับการตัดสินใจของผู้บัญชาการใหญ่เลยแม้แต่น้อย มีแต่นางคนเดียวที่มีท่าทางกระวนกระวายมาก


ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็ไม่เป็นไรหรอก ทำไมแม้แต่คนที่รักตัวกลัวตายอย่างสวีถังหรานก็ไม่กลัวล่ะ? นี่…มู่หรงซิงหัวชะงักงัน นางเข้าใจแล้ว เจ้าสามคนนี้รู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้ว


ขนาดสวีถังหรานยังไม่กลัว พอนึกดูอีกก็พบว่าเหมียวอี้ไม่ใช่คนบุ่มบ่าม นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นตัวเองก็แค่ปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่เชื่อมโยงมาถึงตัวนาง ต่อให้ฟ้าถล่มก็ยังมีคนตัวสูงคอยคุ้มกะลาหัวให้ ตนก็มมีอะไรต้องกลัวเหมือนกัน!


ที่จริงนางก็ไม่กลัวหรอก เพียงแต่กังวลแทนเหมียวอี้เท่านั้น ไม่อยากให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขา แต่ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว…มู่หรงซิงหัวเม้มริมฝีปากแน่น แล้วกุมหมัดกล่าวว่า “ผู้บัญชาการใหญ่คิดมากไปแล้ว ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่ถ่ายทอดคำสั่งลงมา ไม่ว่าข้าน้อยจะเป็นเฉาฮูหยินหรือไม่ แต่ก็ควรเชื่อฟังคำสั่งเหมือนกัน ไม่ฝ่าฝืนคำสั่งแน่นอน!”


เหมียวอี้ส่งสายตาให้ฝูชิงทันที ฝูชิงพยักหน้าเล็กน้อย เข้าใจความหมายที่เขาสื่อ นี่เป็นการป้องกันเหตุไม่คาดคิด อีกประเดี๋ยวให้รองผู้บัญชาการทั้งสองของมู่หรงซิงหัวคอยจับตาดูมู่หรงซิงหัวให้ดี เมื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ให้ติดต่อที่นี่ทันที


“ดีมาก!” เหมียวอี้ที่ได้ข้อคิดเห็นเป็นเอกฉันท์พยักหน้า แล้วกเตือนอย่างจริงจังอีกครั้ง “สินค้าในร้านค้าทุกร้านบนรายชื่อ ให้กำหนดเป็นของผิดกฎหมายที่ต้องยึดทั้งหมด แม้แต่ขนเส้นเดียวก็ห้ามเหลือไว้! พนักงานทุกคนในร้านค้าให้กำหนดเป็นผู้ต้องสงสัยที่ต้องจับกุมให้หมด ถ้ามีใครขัดขืน ก็ให้ประหารตรงนั้นทันที! สั่งปิดร้านค้าทั้งหมดบนรายชื่อให้ข้า ยึดทรัพย์เป็นของทางการให้หมด!”


“รับทราบ!” ทั้งสี่คนที่ค่อนข้างอกสั่นขวัญแขวนกุมหมัดเอ่ยรับ เล่นใหญ่เกินไปจริงๆ


“ผู้บัญชาการใหญ่…” หลังจากได้รับคำสั่ง สู่ๆ สวีถังหรานก็เรียกด้วยเสียงอ่อนปวกเปียก ก่อนหน้านี้เขานึกไม่ถึงว่าจะเล่นใหญ่ขนาดนี้ ใหญ่เกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้ไกลมาก จากสิบหกร้านเปลี่ยนเป็นเยอะขนาดนี้ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยทำเรื่องบ้าบิ่นขนาดนี้มาก่อนเลย


เหมียวอี้กวาดสายตาเย็นเยียบมองมา พร้อมถามเสียงเย็น “เจ้ายังมีความเห็นอะไรอีก?”


“ไม่ใช่ขอรับ! เพียงแต่อยากจะถามสักหน่อย” สวีถังหรานแผ่แผ่นหยกที่อยู่ในมือ “ร้านขายของชำซื่อตรง ผู้บัญชาการใหญ่มาจากที่นั่น จะตรวจสอบและสั่งปิดเหมือนกันเหรอ?”


ร้านขายของชำซื่อตรงในตอนนี้ผ่านการพัฒนามาหลายปีแล้ว ด้วยศักยภาพที่มีสามารถจัดให้อยู่ในร้อยอันดับแรกของตลาดสวรรค์ได้ ดังนั้นจึงอยู่บนรายชื่อที่ต้องตรวจสอบ


เหมียวอี้ไม่สะทกสะท้าน ตอบเพียงว่า “จัดการตามนั้น!”


“แล้ว…ร้านค้าสมาคมวีรชนล่ะ?” สวีถังหรานถามหยั่งเชิงอีก ถ้าจำไม่ผิด และไม่มีทางที่จะจำผิด ครั้งก่อนตอนที่ชิงตัวเสวี่ยหลิงหลง ท่านนี้ก็เคยออกหน้าให้เพราะหวงฝู่จวินโหรวไปหา อย่าก่อเรื่องแล้วมาระบายความโกรธกับข้าอีกนะ


ร้านค้าสมาคมวีรชนกับร้านขายของชำซื่อตรงอยู่บนพื้นที่เขตเมืองตะวันตกของเขาทั้งคู่


แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว การก่อเรื่องในครั้งนี้จะไม่แตะต้องร้านค้าสมาคมวีรชนไม่ได้ มีเพียงการแตะต้องร้านค้าสมาคมวีรชนเท่านั้น เรื่องนี้จึงจะไปถึงหูราชันสวรรค์อย่างรวดเร็ว สวีถังหรานไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่อยู่ในนั้น แต่กลับเข้าใจชัดเจน ดังนั้นหวงฝู่จวินโหรวจึงผ่านภัยครั้งนี้ไปได้ยาก!


ยิ่งไปกว่านั้น นโยบายใหญ่ก็ถูกร่างออกมาแล้ว ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ง่ายๆ รายชื่อในหนึ่งร้อยอันดับแรก ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยไปสักร้าน ไม่มีหลักการเลือกที่รักมักที่ชัง


กลุ่มร้านค้าอยากจะร่วมมือกันต่อต้านไม่ใช่เหรอ? เช่นนั้นก็ทำให้คนทั้งตลาดสวรรค์ได้เห็นสักหน่อยว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่ามหาอำนาจ ให้คนทั้งตลาดสวรรค์ได้เห็นชัดๆ ว่าใครกันแน่ที่มีอำนาจตัดสินใจที่นี่ แค่กลุ่มพ่อค้ากระจอกไ ยังคิดจะมาพลิกฟ้าอีกเหรอ!


ดังนั้น…เหมียวอี้จึงกล่าวด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยวว่า “ปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน!”


“รับทราบ!” สวีถังหรานกุมหมัดเอ่ยรับ ไม่มีคำถามแล้ว


เหมียวอี้ออกคำสั่ง “กลับไปเรียกรวมกำลังพลแล้ววางแผนเดี๋ยวนี้ หลังจากนี้ครึ่งชั่วยาม ดวงอาทิตย์ก็น่าจะส่องสว่างจากที่สูงแล้วเหมือนกัน ถึงตอนนั้นกำลังพลของสี่เขตเมืองเคลื่อนไหวพร้อมกัน ต้องทำอย่างรวดเร็ว กวาดล้างร้านค้าทั้งหมดบนรายชื่ออย่างรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด เคลื่อนพล!”


“รับทราบ!” ทั้งสี่เอ่ยรับคำสั่งแล้วรีบออกไป


ในห้องโถงที่ว่างเปล่า มีเพียงเหมียวอี้ที่ยืนหลับตาเงียบๆ อยู่คนเดียว


จนกระทั่งในจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกมีเสียงเกราะรบเคลื่อนไหว ทั้งยังมีเสียงระดมกำลังดังอึกทึกครึกโครม เหมียวอี้ถึงได้พลันลืมตาสองข้าง เดินเข้าไปในลานบ้าน แล้วเอนกายลงบนเก้าอี้ใต้เพิงเถาวัลย์ หลับตพักผ่อนร่างกายอยู่อย่างนั้น


ผ่านไปไม่นาน เป่าเหลียนที่หวาดระแวงกลัวก็เข้ามาในลานบ้าน มารายงานอยู่ข้างกายเข้าว่า “นายท่าน ฝูชิงผู้บัญชาการเหมือนจะระดมกำลังพลของเขตเมืองตะวันออกค่ะ”


“อืม! ข้าได้ยินแล้ว ไม่มีอะไรหรอก! เจ้าไปรินน้ำชามาให้ข้าหน่อย” เหมียวอี้โบกมืออย่างสงบเยือกเย็น


เป่าเหลียนนำน้ำชาร้อนๆ มาส่งถึงมืออย่างรวดเร็ว เหมียวอี้ลืมตามองนางพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าติดตามอยู่กับข้ามาหลายปีแล้ว นั่งลงเถอะ เรามานั่งคุยกันสักหน่อย”


หลังจากเป่าเหลียนนั่งลงบนม้านั่งยาวใต้รั้วของเพิงเถาวัลย์ตามที่เขาบอก เหมียวอี้ที่จิบน้ำชาไปคำหนึ่งถึงได้ยิ้มพร้อมบอกว่า “ครั้งก่อนรับปากว่าจะไปสำนักลมปราณแต่ก็ไม่มีเวลาเลย หวังว่าเจ้าจะช่วยอธิบายกับเจ้าสำนักอวี้หลิงแทนสักหน่อย”


“ท่านปู่ของข้าก็รู้สถานการณ์ทางนี้ ผู้บัญชาการใหญ่มีธุระตลอดจึงปลีกตัวไปไม่ได้” เป่าเหลียนพยักหน้า


เหมียวอี้พยักหน้าแล้วถอนหายใจ “เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ นะ! นึกถึงตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรก เจ้าน่ะปลิ้นปล้อนอันธพาลมาก ถือกระบี่มากดดันให้ข้าประลองด้วย”


“ตอนนั้นเป่าเหลียนไม่รู้ความ หวังว่าผู้บัญชาการใหญ่จะไม่ถือสา” เป่าเหลียนกล่าวอย่างอับอายเล็กน้อย


“มันผ่านไปแล้ว จะไปคิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้ได้ยังไง เพียงรู้สึกว่าตอนนั้นที่อยู่สำนักลมปราณสงบสุขมาก ไม่ได้มีเรื่องน่ารำคาญใจมากมายมาหาถึงประตูบ้าน ไม่อาจทำตามใจตัวเองได้!” เหมียวอี้กล่าวอย่างจนใจพลางโบกมือ จากนั้นนำป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งออกมา แล้วยื่นให้ “นี่คือป้ายคำสั่งสำหรับเปิดใช้งานชัยภูมิถ้ำสวรรค์ของข้า อีกประเดี๋ยวอาจจะมีคนของตำหนักคุ้มเมืองมาหาข้า เจ้าเชิญแขกเข้ามานั่งในชัยภูมิถ้ำสวรรค์ได้เลย…”


ที่ประตูเมืองของเขตเมืองตะวันออก เงาคนคนหนึ่งเหาะจากฟ้ามาเหยียบลงบนหอประตูเมือง ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหูเฟยที่สวมเกราะรบสีทอง


เมื่อหัวหน้าที่เฝ้ากำแพงเมืองเห็นนาง ก็รีบเข้ามาคำนับทันที แต่คาดไม่ถึงว่าหูเฟยจะชูมือโยนแผ่นหยกให้ แล้วแสยะยิ้มพร้อมตวาดเสียงแหลม “ผู้บัญชาการฝูมีคำสั่ง ให้ปิดประตูเมืองตะวันออกเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ ไม่ว่าใครก็ห้ามเปิดประตูเมืองโดยพลการ ใครฝ่าฝืนคำสั่ง ประหาร!”


หลังจากหัวหน้าได้ตรวจอ่านเนื้อหาในคำสั่ง ก็กุมหมัดคารวะทันที “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งของผู้บัญชาการ!”


จากนั้นก็ถลันตัวไปโบกมือตะโกนสั่งลูกน้องที่อยู่ข้างกำแพง “ผู้บัญชาการมีคำสั่ง ปิดประตูเมืองตะวันออกเดี๋ยวนี้ ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกโดยพลการ ใครขัดคำสั่ง ประหาร!”


ทหารที่เฝ้าอยู่นอกประตูเมืองรับคำสั่งทันที ทำไล่คนที่เข้าออกประตูให้กระจัดกระจายไปอย่างรวดเร็ว ประตูใหญ่ปิดลงพร้อมเสียงดังครืน


ค่ายกลของทั้งประตูเมืองกับค่ายกลที่ปิดตลาดสวรรค์เชื่อมติดกัน พอประตูเมืองปิด ค่ายกลที่อยู่ตรงปากทางเข้าออกจองประตูเมืองตะวันออกก็ปิดตามไปด้วย


หูเฟยที่สวมเกราะหนักทั้งตัวเดินส่ายเอวไปมาอยู่บนหอประตูเมือง นางรับผิดชอบเฝ้าที่นี่


บนหอประตูเมืองของเขตเมืองตะวันตก ราชาปีศาจทะเลครามเหาะลงมาจากฟ้า เผยคำสั่งพร้อมประกาศว่า “ผู้บัญชาการสวีมีคำสั่ง ปิดประตูเมืองตะวันตกเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ ไม่ว่าใครก็ห้ามเปิดทางเข้าออกที่ประตูเมืองโดยพลการ ใครฝ่าฝืนคำสั่ง ประหาร!


ในขระเดียวกันนี้เอง บนหอประตูเมืองของเขตเมืองเหนือ ราชาปีศาจกระดูกขาวเหาะลงมาจากฟ้า แล้วเผยคำสั่ง “ผู้บัญชาการมู่หรงมีคำสั่ง ปิดประตูเมืองฝั่งเหนือเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการ ไม่ว่าใครก็ห้ามเปิดทางเข้าออกที่ประตูเมืองโดยพลการ…”


บนฟ้ามีกลุ่มทหารสวรรค์กระจายกันไปสี่ทิศ


เขตเมืองใต้ อิงอู๋ตี๋ที่ใบหน้าดุร้ายและจมูกงุ้มเหมือนเหยี่ยวสวมเกราะทองเหาะลงมาจากฟ้า นำกำลังพลเหาะมาเหยียบลงที่ประตูของร้านค้าร้านหนึ่งด้วยตัวเอง


สวนเทพเซียน! อิงอู๋ตี๋เงยหน้ามองป้ายที่อยู่ตรงประตูร้านด้วยแววตาเย็นเยียบ


“ผู้บัญชาการอิง เอ่อคือ…” พนักงานคนหนึ่งวิ่งออกมาถาม


ตุ้บ! ยังพูดไม่ทันขาดคำ อิงอู๋ตี๋ไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่อธิบายแม้แต่ประโยคเดียว เตะพนักงานไปหนึ่งที เป็นความรวดเร็วอันไร้ที่เปรียบ เตะโดนหน้าอกเข้าอย่างจัง


อั้ก! พนักงานกระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ยังไม่ทันจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร เป็นเพราะอิงอู๋ตี๋ลงมือรวดเร็วมากจริงๆ ทั้งตัวกระเด็นเข้าไปในร้านโดยตรง ตกกระแทกลงในโต๊ะคิดเงินด้านใน เสร็จแล้วถึงได้ส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา


“ค้น!” อิงอู๋ตี๋สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบพร้อมโบกมือ กำลังพลพุ่งตัวเข้าไปอย่างดุร้ายราวกับเสือและหมาป่าทันที


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)