ลำนำบุปผาพิษ 1065-1070

 บทที่ 1065 ถ้าเขายอมเป็นที่สองคงไม่มีผู้ใดกล้าเป็นที่หนึ่ง


ถึงแม้ว่าการแสดงออกของหลงซือเย่จะคล้ายปกติยิ่ง ทว่าเขามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าอีกฝ่ายแปลกไปเล็กน้อย เพียงแต่ยังยังจับจุดที่แน่ชัดไม่ได้เท่านั้น


ความคิดของตี้ฝูอีเคลื่อนไปว่องไวนัก ใครครวญเพียงแวบเดียวก็ทราบแล้วว่าส่วนนี้มีปัญหา


เขานึกถึงจักรพรรดิซวนที่เคถูกคนใช้ยาเสพติดควบคุม เริ่มสงสัยว่าหลงซือเย่ก็โดนแบบเดียวกันเข้าให้แล้ว…


ต่อมาก็นึกถึงมารสวรรค์ตนนั้น หากว่ามารสวรรค์ตนนั้นลงมือกับหลงซือเย่ ทราบว่าหลงซือเย่มีจิตมาร ต่อมาจึงใช้ยาหรือว่าสิ่งของจำพวกกู่ขยายจิตมารของเขาให้มากขึ้น…


เช่นนั้นไม่ว่าเขาจะกระทำเรื่องใดล้วนมีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น!


เนื่องจากนึกถึงสิ่งเหล่านี้ ตี้ฝูอีจึงร้อนใจขึ้นมาอีกครั้ง รีบเรียกอาชาเวหาของเขามาทันที บินมาที่ภูเขาสัชฌะเทวะ…


ความจริงพิสูจน์แล้วว่าเขาคิดถูก ช่วยเหลือกู้ซีจิ่วในยามที่คับขันที่สุดไว้ได้


วรยุทธ์ของตี้ฝูอีฟื้นฟูคืนเพียงราวๆ หนึ่งในสิบของยามปกติ หากปะทะกับหลงซือเย่ซึ่งๆ หน้า เขาต้องสู้กับเขาอย่างน้อยสามสิบสี่สิบกระบวนท่าถึงจะซัดเขาให้หมอบได้ แต่อาการบาดเจ็บของกู้ซีจิ่วอันตรายยิ่ง ไม่อาจล่าช้าได้แม้ชั่วครู่ ดังนั้นเขาเลยโจมตีเย่หงเฟิงให้บาดเจ็บหนักเท่านั้น จากนั้นก็ฉวยตัวกู้ซีจิ่วแล้วหลบหนีทันที


โชคดีที่เขาคุ้นเคยกับภูมิประเทศแถบนี้ยิ่งนัก รีบหาถ้ำแก้วผลึกแห่งนี้เพื่อทำการรักษานาง


อาการบาดเจ็บของกู้ซีจิ่วไม่เพียงแต่เป็นบาดแผลแทงทะลุเท่านั้น ยังบาดเจ็บที่หัวใจอีกด้วย หากเป็นคนทั่วไปโดนขนาดนี้คงสิ้นชีพไปนานแล้ว! เคราะห์ดีที่กู้ซีจิ่วจิตใจกล้าแกร่ง มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะอยู่รอด ประกอบกับพลังวิญญาณของนางใกล้บรรลุขั้นแปดแล้ว ถึงทำให้นางยืนหยัดมาถึงตอนนี้ได้


แน่นอนว่าวิชาแพทย์ของตี้ฝูอีล้ำเลิศเหนือธรรมดานัก ถ้าเขายอมเป็นที่สองคงไม่มีผู้ใดกล้าเป็นที่หนึ่ง


ถึงแม้อาการบาดเจ็บของกู้ซีจิ่วจะวิกฤตอย่างยิ่ง ก็ยังถูกเขารักษาสำเร็จทันกาล ฝืนยื้อชีวิตนี้ของนางกลับมาได้…


เมื่อตี้ฝูอีเล่าออกมาเช่นนี้แล้ว ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เข้าใจ


ยามที่เขาเล่าอยู่ตรงนั้น นางแทบจะไม่ปริปากพูดอะไรเลย แต่ดวงตายังคงมองเขาอย่างจริงจังยิ่งนัก ฟังเขาพุดอย่างตั้งใจ ดูมีชีวิตชีวาไม่เลว


ทว่าประสาทสัมผัสอันเฉียบคมของตี้ฝูอีกลับสัมผัสได้ว่าความจริงแล้วนางกำลังฝืนอยู่ ถึงนางจะพยายามทำเป็นมีชีวิตชีวาอย่างสุดกำลัง แต่ดวงหน้าน้อยๆ ก็ยังคงขาวซีดอยู่


ท่าทางเช่นนี้ของนางไม่สมบูรณ์นักเนื่องจากบาดแผลฉกรรจ์บนร่าง ซ้ำยังได้รับความกระทบกระเทือนด้านจิตใจด้วย


เหตุผลที่ทำให้นางฝันร้ายถึงทะเลโลหิตแห่งนั้นก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย


ตี้ฝูอีทราบว่าครั้งนี้นางได้รับความสะเทือนใจอย่างหนัก ดังนั้นหลังจากเล่าจบ จึงลูบศีรษะเธอเบาๆ “เด็กดี เจ้าเหนื่อยมากแล้ว หลับสักงีบเถอะ ข้าจะเฝ้าเจ้าอยู่ตรงนี้…” น้ำเสียงอ่อนโยนดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิที่โบกพลิ้ว


กู้ซีจิ่วก็เหนื่อยล้ายิ่งนักเช่นกัน แต่เธอยังคงป็นกังวลอยู่บ้าง เพิ่งหลับตาลงไปก็ลืมขึ้นมาอีกครั้ง


ราวกับตี้ฝูอีทราบความคิดในใจของเธอได้ “วางใจเถอะ พลังยุทธ์ของข้าฟื้นฟูคืนมาสองในสิบแล้ว ต่อให้มีคนคิดจะมาลอบทำร้ายอีก ข้าก็มีวิธีที่จะทำให้เขาเดินเข้ามาทว่าต้องนอนออกไป! อีกอย่างนอกถ้ำยังมีมู่เฟิงคอยเฝ้าอยู่ด้วย ไม่เกิดอุบัติเหตุอันใดหรอก”


คนผู้นี้เป็นพยาธิในท้องเธอจริงๆ เธอยังไม่ได้พูดอะไรเขาก็คาดเดาความในใจของเธอได้กระจ่างแล้ว!


ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็วางใจแล้ว หลับตาลง


ในถ้ำแห่งนี้ล้วนเป็นแก้วผลึกทั้งสิ้น แก้วผลึกเป็นสิ่งที่อุดด้วยพลังวิญญาณเป็นที่สุด มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนยิ่งนัก


ถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ในส่วนลึกของหุบเขา หลบซ่อนอยู่วับซ้อนเหนือธรรมดา เป็นถ้ำที่มู่เฟิงพบเข้าโดยบังเอิญ เขารู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นจึงจดไว้แล้วรายงานให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ทราบเมื่อไม่นานมานี้ ตี้ฝูอียังไม่ทันได้ปรึกษาหารือกับกู้ซีจิ่ว ก็เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาเสียก่อน


ถ้ำแห่งนี้จึงได้ใช้ประโยชน์จริงๆ


————————————————————————————-


บทที่ 1066 คิดจะสังหารนางให้ตายจริงๆ!


กู้ซีจิ่วผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วยิ่ง ตี้ฝูอีนั่งอยู่ข้างกายนางมองใบหน้าที่หลับใหลอย่างไม่สงบของนาง ทราบว่านางยังคงเจ็บแผลอยู่


บาดแผลเช่นนี้ถ้าต้องการรักษามันให้หายดี ไม่อาจใช้วิธีให้ยาชาเพื่อระงับความเจ็บปวดได้ ทำได้เพียงสกัดจุดบางส่วนบนร่างนางที่มีความสัมพันธ์กัน ทำให้เส้นประสาทรอบบาดแผลนางไวต่อสัมผัสน้อยลง บรรเทาความเจ็บปวดได้เล้กน้อย ต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่สามารถขจัดไปอย่างสมบูรณ์ได้ ความเจ็บปวดนี้จะติดอยู่กับนางเป็นเวลาหนึ่งวัน นึกไม่ถึงว่าหลงซือเย่จะลงมือกับนางอย่างโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้!


คิดจะสังหารนางให้ตายจริงๆ!


นัยน์ตาของตี้ฝูอีทอประกายมืดมน มือพลันกำแน่น เขาจะไม่ยอมเรื่องจบแค่นี้! จะอย่างไรก็ต้องทวงความยุติธรรมให้กับนาง


ป้ายหยกตรงหว่างเอวเรืองแสงขึ้นมา เขายกมือทำการเชื่อมต่ ใบหน้าของมู่เหล่ยปรากฏขึ้นบนป้ายหยก “เรียนนายท่าน หลงซือเย่พาเย่หงเฟิงกลับไปที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นก่อน หลังจากวนอยู่ในโรงเตี๊ยมรอบหนึ่งไม่ได้พูดอะไรก็กลับเขาถามสวรรค์ไปทันที หลังจากกลับไปที่เขาถามสวรรค์เขากับเย่หงเฟิงก็เข้าไปในห้องหลอมโอสถด้วยกัน ในห้องหลอมโอสถห้องนั้นของเขาติดตั้งเขตแดนไว้หนาแน่น ข้าน้อยยังไม่มีวิธีทำลายเขตแดนโดยไม่ให้คนในห้องรู้ตัวได้ ยามนี้จึงตระเวนอยู่รอบนอก อย่างอื่นยังไม่เห็นอะไรที่ผิดปกติขอรับ”


มู่เหล่ยรับคำสั่งจากตี้ฝูอีให้ไปตรวจสอบหลงซือเย่โดยตรง ยามนี้จึงนำสิ่งที่พบเห็นมารายงาน


ตี้ฝูอีใคร่ครวญเล็กน้อย เขาทราบเกี่ยวกับห้องหลอมโอสถของหลงซือเย่ ถึงแม้รอบๆ ห้องหลอมโอสถห้องนี้จะติดตั้งอาคมหวงห้ามร้ายแรงไว้ แต่สำหรับคนอย่างตี้ฝูอีแล้ว ไม่นับว่าเป็นสิ่งใด สามารถทำลายอย่างเงียบๆ ได้ไม่คณามือ ถ้าเขาคิดจะเข้าไปก็ยกเท้าก้าวเข้าไปได้เลย


เขาให้มู่เหล่ยใช้ป้ายหยกส่องรอบนอกของห้องหลอมโอสถนั้น พบอย่างฉับไวว่ากลไกของเขตแดนตรงนั้นเปลี่ยนไปหมดแล้ว มีหลายสิ่งที่แม้แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน


เขาหรี่ตาลงนิดๆ


สถานที่อันล้ำค่าของหลงซือเย่เคยมีอยู่สองแห่ง หนึ่งคือตำหนักที่วางโลงน้ำแข็งไว้ สองคือห้องหลอมโอสถห้องนี้


ยามนี้คนในโลงน้ำแข็งฟื้นคืนชีพแล้ว สถานที่แห่งนั้นย่อมไม่สำคัญอีกต่อไป


แต่หนนี้เขาติดตั้งกลไว้ที่ห้องหลอมโอสถแห่งนี้มากเกินไปหรือเปล่า? เขาซ่อนสิ่งใดที่ให้ผู้คนพบเห็นไม่ได้ไว้ในห้องหลอมโอสถงั้นหรือ?


ด้วยความสามารถของมู่เหล่ย หากว่าฝืนทำลาย กลไกรอบห้องหลอมโอสถน่าจะขวางเขาไว้ไม่อยู่ แต่เช่นนั้นจะทำให้คนทั้งเขาถามสวรรค์รู้ตัว และหลงซือเย่ที่อยู่ในห้องก็จะรู้ตัวด้วย ดูเหมือนจะใช้วิธีแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ได้


ดังนั้นตี้ฝูอีจึงสั่งการให้มู่เหล่ยลอบจับตามองอยู่รอบนอกชั่วคราว ไม่จำเป็นต้องเข้าไปดู


เมื่อปิดป้ายหยกสื่อสารแล้ว ตี้ฝูอีก็ใคร่ครวญแผนการอยู่ครู่หนึ่ง เรื่องการตรวจสอบห้องหลอมโอสถของหลงซือเย่คงต้องรอหลังจากตนฟื้นฟูแล้วค่อยไปด้วยตัวเอง ต้องดึงปูมหลังทั้งหมดของหลงซือเย่ออกมาให้จงได้!


ผ่านไปอีกรู่หนึ่ง ก็มีลูกน้องส่งข่าวมาอีก แจ้งว่าเรื่องการไต่สวนมือสังหารโพกหน้าทั้งสี่คนจากหอเงาราตรีได้ผลออกมาแล้ว สี่คนนั้นรับภารกิจมาจากเบื้องบนของหอเงาราตรี และตามที่บุคคลเบื้องบนของหอเงาราตรีแจ้งมา ผู้ที่จ้างวานพวกเขาคือเด็กสาวคลุมหน้านางหนึ่ง รูปร่างคล้ายเย่หงเฟิงยิ่งนัก…


มือของตี้ฝูอีเคาะหินแก้วผลึกเบาๆ นำข่าวที่ได้รับเหล่านี้มาวิเคราะห์แจกแจงตามลำดับ ได้ข้อสรุปอย่างง่ายดาย


หลงซือเย่วางแผนการครั้งนี้ไว้นานแล้ว เรื่องจ้างวานมือสังหารน่าจะเป็นหลงซือเย่ที่สั่งการเย่หงเฟิง


หลงซือเย่มีใจริษยาอาฆาตมาดร้าย คิดจะสังหารเขา ดังนั้นจึงหาข้ออ้างกันกู้ซีจิ่วออกไป


และเห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ปล่อยวางกู้ซีจิ่ว ดังนั้นเลยคิดจะยืมมือเย่หงเฟิงสังหารนาง


หากไม่มีอะไรเหนือจากที่คิดไว้ หลงซือเย่คงคิดจะทำให้กู้ซีจิ่วคืนชีพขึ้นมาในร่างโคลนนิ่งนั้น ส่วนเย่หงเฟิงที่ครองร่างอยู่ คาดว่าคงถูกเขาใช้คาถาขับไล่ออกไป


————————————————————————————-


บทที่ 1067 แผนการของหลงซือเย่สูญเปล่าแล้ว…


พอกู้ซีจิ่วเปลี่ยนร่างแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจเปลี่ยนความทรงจำบางส่วนของนางด้วย ทำให้นางหลงรักเขาอีกครั้ง ครองคู่โบยบินกับเขา


หากเขาคิดจะกระทำเรื่องนี้โดยไม่ให้ผู้รู้เห็น ก็ต้องสังหารเหยียนนั่วตัวน้อยที่ติดตามอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วเสียก่อน ดังนั้นเขาจึงจ้างวานมือสังหารสี่คนนั้นมา…


อย่างไรเสียในสายตาเขาเหยียนนั่วตัวน้อยก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่ง วรยุทธ์ก็ไม่นับว่าสูง แถมยังก่อกวนให้เขาเอือมระอาอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นสังหารเขาไปก็มีแรงกดดันทางจิตใจอันใด


ส่วนการที่กู้ซีจิ่วถูกสังหาร เขาสามารถผลักปัญหาที่จะตามมาในภายหลังลงบนร่างของสัตว์ร้ายเทพสัชฌะได้ บอกว่ากู้ซีจิ่วต้องการเอ็นของสัตว์ร้ายเทพสัชฌะทว่าโชคร้ายถูกสัตว์ร้ายเทพสัชฌะเขมือบไปแล้ว…


เช่นนี้เขาก็สามารถมอบคำอธิบายให้ตี้ฝูอีได้แล้ว และกู้ซีจิ่วตัวจริงก็จะรั้งอยู่ข้างกายเขาไปตลอดกาล


ดูเหมือนแผนการนี้จะรัดกุมยิ่งนัก!


และคล้ายกับรสนิยมของหลงซือเย่


หากว่ากันตามภาพรวมแล้วหลงซือเย่ก็นับว่าเป็นคนดี คู่ควรกับคำว่าสานุศิษย์สวรรค์ห้าคำนี้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจเมตตาอย่างถึงที่สุด ยามที่จำเป็นก็อำมหิตยิ่งนัก วางแผนสังหารคนโดยไม่ชดใช้หนี้ชีวิต ในอดีตเพื่อจะก่อตั้งสำนักถามสวรรค์แห่งนี้ขึ้น ไม่รู้ว่าใช้กลอุบายกับผู้อื่นไปมากน้อยเพียงใด เหยียบย่ำโครงกระดูกของผู้ที่ปราชัยเหล่านั้นไปหลายกองแล้ว


ตี้ฝูอีดำรงตำแหน่งเทพผู้ควบคุมความเป็นไปของโลกใบนี้ ไม่ค่อยสนใจเรื่องราวของเหล่ามนุษย์นัก ขอเพียงเรื่องที่สานุศิษย์สวรรค์เหล่านั้นกระทำมิได้กระตุ้นให้สวรรค์ขุ่นมนุษย์เคืองจนเกินไป เขาก็คร้านจะใส่ใจ ทุกเรื่องล้วนมีต้นสายปลายเหตุ วนเวียนใช้กรรมตามวัฏจักร


ตี้ฝูอีคร้านจะสนใจเรื่องพวกนี้ ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ทราบ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าใจการวางตัวของหลงซือเย่ยิ่งนัก


เรื่องราวที่หลงซือเย่เคยกระทำไว้ในอดีตมีหลายเรื่องที่ไร้คุณธรรมยิ่งกว่าเรื่องนี้เสียอีก ตี้ฝูอีไม่เคยสนใจเลย แต่ครั้งนี้คนที่เขาปองร้ายคือกู้ซีจิ่ว เรื่องนี้ถือเป็นการท้ายขีดจำกัดของเขาแล้ว


ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือครั้งนี้ดูเหมือนหลงซือเย่จะถูกบางอย่างควบคุมแล้ว ยากนักที่จะบอกได้ว่ามีมารสวรรค์ตัวนั้นคอยสอดเท้าอยู่เบื้องหลังหรือไม่…


พวกมู่เฟิงติดตามร่องรอยของมารสวรรค์ตนนั้นไปแล้ว ตามที่มู่เฟิงรายงาน มารสวรรค์ตนนั้นมิได้มีไอมารเฉกเช่นมารทั่วไป ดังนั้นพวกเขาจึงติดตามสืบหาได้ยากยิ่งนัก


การติดตามร่องรอยในหนึ่งวันมานี้ ลากตัวพวกมารปีศาจตัวเล็กตัวน้อยออกมาได้มากมาย เพียงแต่ไม่พบร่องรอยของมารสวรรค์ที่หนีไปตัวนั้นเลย ทำให้การสืบรอยเข้าสู่ทางตัน


พวกมู่เฟิงทราบว่าพลังยุทธ์ของเจ้านายตนยังไม่ฟื้นฟูกลับมา เกรงว่าผู้เป็นนายจะถูกคนปองร้าย ดังนั้นมู่เฟิงกับมู่แหล่ยสองในสี่ทูตจึงตรงกลับมาทันที ส่วนมู่อวิ๋นกับมู่เตี่ยนก็สืบหาร่องรอยต่อไป


ตอนนี้มู่เฟิงอารักขาอยู่นอกถ้ำ อย่าว่าแต่มือสังหารเลย ต่อให้มียุงตัวหนึ่งบินเข้ามาก็จถูกมู่เฟิงฟันแยกเป็นแปดซีก ดังนั้นยามที่ตี้ฝูอีช่วยชีวิตคนอยู่ในถ้ำจึงวางใจนัก


ยามนี้ช่วยคนช่วยคนไว้ได้แล้ว และนอนหลับอยู่ข้างกายตน ตี้ฝูอีรู้สึกสบายใจยิ่ง


เมื่อตรวจสอบบาดแผลของกู้ซีจิ่วดูอีกครั้ง บาดแผลนั้นดีขึ้นแล้วจริงๆ ปากแผลเริ่มสมานตัวแล้ว คิ้วที่ขมวดอยู่ตลอดของนางก็คลายออกไม่น้อยแล้ว นี่เป็นสัญญาณที่ดีอย่างหนึ่ง!หากเป็นเช่นนี้ต่อไป คาดว่าไม่ถึงสามวัน นางก็น่าจะลุกมากระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายเขาได้แล้ว กระฉับกระเฉงเต็มที่


แผนการของหลงซือเย่สูญเปล่าแล้ว…


เสี่ยวซีจิ่วยังคงมีชีวิตอยู่ในสังขารนี้ และจะมีชีวิตยืนยาวไปอีกนาน


เขายื่นมือไปจัดการเส้นผมที่ระเกะระกะอยู่หน้าผากนาง แล้วก้มลงไปจุมพิตริมฝีปากนางเบาๆ คราหนึ่งอย่างอดใจไว้ไม่อยู่


จากนั้นเขาก็เริ่มนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟู เขาจะต้องกลับเป็นปกติโดยเร็ว มิเช่นนั้นการถูกกระทำอยู่เสมอทำให้จิตใจของเขากระสับกระส่ายนัก เมื่อกลับสู่สภาพปกติแล้วเขาจะเป็นฝ่ายรุกเข้าโจมตีบ้าง


ยามที่นั่งสมาธิเวลาย่อมผ่านไปรวดเร็วยิ่ง พริบตาเดียวก็ล่วงมากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว


ตี้ฝูอีลืมตาขึ้นมา จู่ๆ ก็พบว่าท่าทางของกู้ซีจิ่วที่นอนอยู่ข้างกายดูเหมือนจะผิดปกติอยู่บ้าง!


————————————————————————————-


บทที่ 1068 สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?


ดวงหน้านางแดงก่ำ ตรงขมับมีเหงื่อผุดออกมาเป็นสาย มือที่อยู่ข้างลำตัวหงิกงอคล้ายเป็นตะคริว ปากจิ้มลิ้มเผยอออกนิดๆ ราวกับกำลังกรีดร้องอยู่…


นี่คือฝันร้ายอีกแล้วหรือ?!


ตี้ฝูอีใจหายวาบ ยื่นมือไปกุมมือนางไว้ก่อน


เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่านางเหงื่อออกโซมกาย ทว่ามือน้อยๆ กลับเย็นเฉียบ เสมือนแท่งน้ำแข็ง แรงกระตุกที่คล้ายอาการเป็นตะคริวทำให้มือของตี้ฝูอีที่กุมเอาไว้เจ็บไปหมดแล้ว!


ตี้ฝูอีจับชีพจรของนางก่อน พบว่าเลือดลมในร่างนางไหลเวียนรวดเร็วยิ่ง อุณหภูมิในร่างเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว


คล้ายการติดเชื้อยิ่งนัก ภูมิต้านทานในร่างนางแข่งกับเชื้อโรคอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ กำลังสู้กันอย่างดุเดือด…


นางมีไข้สูง! เกรงว่าจะมีอุณหภูมิถึงสี่สิบเอ็ดองศาแล้ว!


นอกเหนือจากมือน้อยๆ ของนาง ทั่วทั้งร่างล้วนร้อนผ่าวยิ่งนัก


เมื่อคนเราบาดเจ็บหนักจะมีไข้สูงเป็นปฏิกิริยาตามปกติของคนทั่วไป ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่มีอะไรน่าตกอกตกใจ แต่กู้ซีจิ่วต่างออกไป ร่างกายของนางพิเศษ อีกทั้งฝึกฝนจนพลังวิญญาณใกล้บรรลุขั้นแปดแล้ว ซ้ำยังได้รับยาสมานแผลที่ดีที่สุดของตี้ฝูอีแล้ว นางไม่ควรจะมีไข้เลย!


ตี้ฝูอีตรวจอาการให้นางอย่างรวดเร็ว นอกจากมีไข้สูงแล้วนางไม่มีความผิดปกติอย่างอื่นเลย ปากแผลก็ไม่มีวี่แววของการติดเชื้อ


สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น?


“ซีจิ่ว! เสี่ยวซีจิ่ว!” ขณะที่ตี้ฝูอีกำลังเรียกนาง ก็ถ่ายทอดพลังวิญญาณผ่านทางมือที่กุมกันอยู่ให้นางด้วย ระงับเลือดลมที่แทบจะซัดโหมอยู่ในร่างนาง…


ดวงตาของนางที่อยู่ภายตาเปลือกตากลอกไปมาอย่างสุดกำลัง คล้ายว่าอยากลืมตาขึ้นมายิ่งนัก ทว่าลืมขึ้นมาไม่ได้เลย


“ซีจิ่ว เจ้าใช้เคล็ดคุมจิตที่ได้รับจากข้ารักษาสิ เร็วเข้า!” เสียงของตี้ฝูอีผนึกกันเป็นเส้นบางๆ ลอดเข้าไปในหูนาง ต่อให้นางตกอยู่ในความฝันก็เชื่อว่าจะได้ยิน


ดวงตาของกู้ซีจิ่วที่อยู่ภายใต้เปลือกตายังคงกลอกไปมาอยู่เช่นเดิม ราวกับฟังคำพูดของเขาไม่เข้าใจเลย


เคล็กคุมจิตนี้เป็นเคล็ดวิชาที่ตี้ฝูอีเพิ่งถ่ายทอดให้กู้ซีจิ่ว สะกดข่มจิตมารได้ยอดเยี่ยมที่สุด กู้ซีจิ่วเรียนรู้ได้ไวนัก เคล็ดวิชานี้นางใช้จนคล่องแล้ว บางครั้งต่อให้ฝันอยู่นางก็สามารถโคจรเคล็ดนี้ได้


หากว่านางโคจรเคล็ดนี้ ประสานกับฝีมือการรักษาอันเป็นเอกของตี้ฝูอี น่าจะทำให้เลือดลมกลับสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว


แต่ตอนนี้นางไม่มีทีท่าว่าจะสอดประสานเลย ถึงแม้ตี้ฝูอีจะฉงนใจอยู่บ้าง แต่ยามนี้มิใช่เวลามาพินิจพิเคราะห์เรื่องยิบย่อยวุ่นวายเหล่านี้ มีเพียงต้องใช้พลังวิญญาณฝืนสะกดไว้ก่อน


ด้วยวิธีนี้ความเร็วจึงช้าลงมากนัก เดิมทีครึ่งชั่วยามก็สามารถฟื้นฟูได้แล้ว ทว่าตี้ฝูอีใช้เวลาถึงหนึ่งชั่วยามเต็ม


โชคดีที่ผลลัพธ์ยังนับว่าไม่เลว หนึ่งชั่วยามผ่านไปในที่สุดเลือดลมที่ผันผวนของนางก็กลับสู่สภาพปกติแล้ว อุณหภูมิในร่างกายที่สูงล้ำก็ลายลง ค่อยๆ ลดต่ำลงแล้ว ไม่สั่นสะท้านอยู่ในผ้าห่มประหนึ่งเป็นไข้จับสั่นอีกต่อไป


ตี้ฝูอีก็เหนื่อยจนเหงื่อออก เขาแยกออกมาร่ายคาถาชำระล้างให้ตัวเองและกู้ซีจิ่ว แล้วค่อยนั่งลงข้างกายนางอีกครั้ง หลุบตามองนางครู่หนึ่ง


ครั้งนี้คล้ายว่ากู้ซีจิ่วจะหลับอย่างสงบแล้ว หายใจล้ำลึก ดวงตาปิดพริ้ม ดูเหมือนจะไม่ฝันร้ายแล้ว


“ซีจิ่ว…”


“เสี่ยวซีจิ่ว…” เขากุมมือนางไว้ แล้วลองปลุกนางอีกสองสามครั้ง


เตรียมพร้อมว่าหากปลุกแล้วยังไม่ตื่นจะใช้วิชาเข้าฝันแล้วฝืนพานางออกมาอีกครั้ง


วิชาเข้าฝันนี้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณนัก หากว่าสามารถใช้วิธีอื่นเพื่อปลุกนางได้ เขาก็จะพยายามเลี่ยงไม่ใช้วิชานั้น


เคราะห์ดีที่หนนี้กู้ซีจิ่วมิได้ปลุกอย่างไรก็ไม่ตื่นอีก แพขนตานางสั่วไหวอยู่สองสามครา ในที่สุดก็ลืมตาขึ้นมา


ยามที่ดวงตคู่นี้ลืมขึ้นมาคราแรกค่อนข้างงุนงงอยู่บ้าง ถึงขั้นที่ค่อนข้างซื่อบื้อ แววตาถึงขั้นที่ค่อนข้างขลาดเขลาเลยด้วยซ้ำ นางกะพริบตาติดๆ กันหลายครั้ง ในที่สุดก็รวมสายตาได้ มองดูตี้ฝูอีนิ่งๆ ริมฝีปากเผยอออกนิดๆ คล้ายต้องการจะพูดอะไร ทว่าเปล่งเสียงไม่ออกชั่วขณะ


————————————————————————————-


บทที่ 1069 ประเดี๋ยวข้าจะมาดูเจ้าอีกครั้ง


โดยทั่วไปแล้วหลังจากมีไข้สูงเมื่อคนตื่นขึ้นมาจะค่อนข้างทึ่มทื่ออยู่บ้าง เพียงแต่การได้เห็นสีหน้าเช่นนี้จากใบหน้าของนางช่างพบเห็นได้ยากยิ่งนัก ตี้ฝูอียิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง “กระหายแล้วกระมัง? ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ” พลางพยิบน้ำผสมน้ำผึ้งถ้วยหนึ่งมาใช้ช้อนคันเล็กป้อนให้นาง


หลังจากมีไข้สูงจะกะหายน้ำง่ายยิ่งนัก ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงอ้าปากอย่างว่าง่ายปล่อยให้น้ำผสมน้ำผึ้งหวานชื่อไหลเข้าสู่ลำคอนาง…


นางสำลักออกมาในทันใด! สำลักอย่างรุนแรงจนทำให้นางพ่นน้ำทั้งหมดออกมา เกือบจะพ่นใส่หน้าตี้ฝูอีแล้ว


ตี้ฝูอีตะลึง


เพียงอาการไข้สูงเท่านั้น ทำให้คอนางใช้การไม่ค่อยได้เชียวหรือ? ไม่น่าเชื่อว่าดื่มน้ำแค่นี้ก็สำลักแล้ว ราวกับดวงวิญญาณนางยังประสานเข้ากับร่างกายไม่สมบูรณ์


ตี้ฝูอีฉงนใจขึ้นมา วางน้ำลง กุมมือนางไว้ทันที ถ่ายทอดพลังวิญญาณสายหนึ่งเข้าไป บรรเทาอาการสำลักให้นาง


หากว่านางสำลักตามปกติ แค่ลุกขึ้นหนังตบหลังไม่กี่ทีก็ใช้ได้แล้ว แต่ตอนนี้อาการบาดเจ็บของนางเหมาะจะนอนพักฟื้นอยู่บนเตียง ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว ดังนั้นตี้ฝูอีจึงต้องใช้พลังวิญญาณช่วยให้นางสงบลงโดยตรง นับว่าเป็นการใช้ดาบเชือดวัวสังหารไก่เสียแล้ว


ในที่สุดนางก็หยุดไอแล้ว การไออย่างรุนแรงย่อมสะเทือนถึงบาดแผลด้วย ทำให้นางเจ็บจนบนหน้าผากมีหยาดเหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายออกมาในชั่วพริบตา ครางแผ่วๆ ออกมาสองครา


ตี้ฝูอีที่กุมมือนางอยู่ชะงักไปเล็กน้อย “ซีจิ่ว?”


กู้ซีจิ่วหอบหายใจสองสามเฮือก ดวงตาใสกระจ่างคู่หนึ่งมองมาที่เขา ปากอ้าออกคล้ายอยากจะพูดอะไร ทว่าไม่ได้พูดออกมา ราวกับลำคอแหบแห้งไปแล้ว


ตี้ฝูอีมองนาง “เจ็บคอหรือ?”


กู้ซีจิ่วอ้าปากอีกครั้ง ยังคงพูดอะไรไม่ออกเหมือนเดิม ดูเหมือนนางจะรับรู้ถึงความผิดปกติได้แล้วเช่นกัน ยกมือสั่นๆ ขึ้นสัมผัสลำคอตน…


ท่าทางตอนที่นางยกมือก็ค่อนข้างแข็งทื่อเช่นกัน เพียงแค่การเคลื่อนไหวง่ายๆ เช่นนี้ก็ทำให้นางเหนื่อยจนเหงื่อออกอีกแล้ว


ดูเหมือนนางก็หวาดกลัวเช่นกัน ใบหน้าฉายแววร้อนรน ดวงตามองดูเขา ดวงตาคล้ายจะมีม่านน้ำเอ่อคลอ


ตี้ฝูอีจ้องกรเคลื่อไหวของนาง แล้วมองดวงตาใสกระจ่างที่มีน้ำตาหลั่งรินคู่นั้นของนาง หัวใจจมดิ่งลงเรื่อยๆ


อาการไข้สูงนี้แปลกประหลาด เมื่ออาการไข้สูงผ่านพ้นไปนางก็เริ่มแปลกไปเช่นกัน


ราวกับหลังจากอาการไข้สูงผ่านพ้นไป สังขารนี้ก็เปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว…


นางไข้ขึ้นสูงจนสมองรวน หรือว่าสังขารนี้เปลี่ยนผู้ถือครองแล้วจริงๆ?


ตี้ฝูอีมองนาง “อย่าขยับ! คงจะเป็นผลพวงจากการที่เจ้ามีไข้สูง บางครั้งก็เผาจนลไคอแหบแห้งไปก็มี เดี๋ยวข้าจะรักษาให้เจ้า ตอนนี้อยากพูดอะไร? เจ้าสามารถเขียนออกมาได้”


แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งกับพู่กันด้ามหนึ่งออกมาจากร่าง ส่งให้ถึงมือนาง


กู้ซีจิ่วฝืนจับไว้ มือนางสั่นเทาอย่างหนัก เขียนไม่ออกชั่วขณะเช่นกัน


นางร้อนรนทันที น้ำตาไหลพรากมากกว่าเดิม ย้อยลงจากหางตาของนาง


ตี้ฝูอีมองหยาดน้ำตาตรงหางตานาง ลอบกำหมัด กู้ซีจิ่วมิใช่เด็กสาวที่ขี้แยถึงเพียงนี้ บ่อยครั้งที่นางหลั่งโลหิตทว่าไม่หลั่งน้ำตา…


หัวใจเขาราวกับจมลงไปในธารน้ำแข็ง ทว่าใบหน้ากลับไม่แสดงสีหน้าอะไร ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ในเมื่อเขียนไม่ได้ เช่นนั้นก็พักผ่อนไปก่อนแล้วกัน หลังจากมีไข้สูงก้มีบ้างเช่นกันที่ไร้เรี่ยวแรง ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”


เขาตบมือน้อยของนางเบาๆ เป็นการปลอบขวัญ หันหลังหมายจะออกไป จู่ๆ ราวกับนึกอะไรขึ้นได้จึงหันกลับมาพูด “ใช่แล้ว ซีจิ่ว บาดแผลบนร่างเจ้าสาหัสเกินไป ข้าทำได้เพียงรักษาให้เจ้าอย่างคร่าวๆ ถ้าจะรักษาให้หายขาด ยังคงต้องให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายลงมือด้วยตัวเอง รอให้เจ้าค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย ข้าจะพาเจ้าไปพบเขา”


ดวงตากู้ซีจิ่วส่องประกายนิดๆ พยักหน้าเบาๆ


มือเท้าของตี้ฝูอีเย็นเฉียบไปหมดแล้ว!


กู้ซีจิ่วที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ไม่ทราบเลยว่าเขาก็คือตี้ฝูอี!


————————————————————————————-


บทที่ 1070 แทบจะเข้าโลงได้ทุกเมื่อ!


เหมือนว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก แสร้งทำเป็นถามอย่างไม่ตั้งใจ “อ่อ ใช่แล้ว บาดแผลบนร่างเจ้าสรุปแล้วเป็นหลงซือเย่แทงหรือว่าเป็นเย่หงเฟิงแทงกันแน่? เจ้ายังจำได้หรือเปล่า? หากเป็นหลงซือเย่ เจ้าก็กะพริบตาหนึ่งครั้ง หากเป็นเย่หงเฟิง เจ้าก็กะพริบตาสองครั้ง ข้าจะหาทางล้างแค้นให้เจ้า แทงผู้ที่แทงเจ้ากลับไป! ผู้ที่ทำร้ายเจ้าข้าจะเอาคืนมันสิบเท่าเลย!”


กู้ซีจิ่วพลันแข็งทื่อไปทั้งตัว นิ่งอยู่สักพัก กะพริบตาก่อนหนึ่งครั้ง แล้วกะพริบตาอีกหนึ่งครั้ง


ตี้ฝูอีถอนหายใจ “นี่สรุปว่าเจ้ากะพริบตาหนึ่งครั้งหรือว่าสองครั้งกันแน่?”


กู้ซีจิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กระพริบตาติดต่อกันสองครั้ง


ถึงยามนี้ตี้ฝูอีทราบเรื่องราวโดยรวมอย่างแจ่มแจ้งแล้ว!


นางมิได้ไข้ขึ้นสูงจนความจำเสื่อม แต่เป็นสังขารนี้เปลี่ยนผู้ถือครองแล้ว!


เขามองนางอีกแวบหนึ่ง “พักผ่อนให้ดีเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะมาดูเจ้าอีกครั้ง” ครั้งนี้หมุนกายเดินออกไปทันที


มู่เฟิงยังคงเฝ้าอยู่ด้านนอกอย่างทุ่มเทกายใจ เมื่อเห็นเขาออกมา ขณะที่กำลังจะเปิดปากเอ่ย ตี้ฝูอีก็ส่งกระแสเสียงหาเขาโดยตรง ‘อย่าพูดฐานะของข้า! เรียกข้าว่าเหยียนนั่วก็พอ’


มู่เฟิงตะลึงไปแวบหนึ่ง ไม่ทราบว่าเขาคิดอะไรอยู่


ตี้ฝูอีส่งกระแสเสียงหาเขาอีกครั้ง ‘เรียกมู่เตี่ยนกลับมาโดยด่วน ข้ามีเรื่องจะให้เขาทำ’


ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สั่งการผู้ใดน้อยครั้งนักที่จะคำว่า ‘โดยด่วน’ เห็นทีว่าเรื่องนี้จะเร่งด่วนยิ่งนัก


มู่เฟิงรีบไปทำตามคำสั่งทันที


ตี้ฝูอีออกห่างจากถ้ำแห่งนั้น จากนั้นก็ใช้ป้ายหยกติดต่อกับมู่เหล่ยที่ยังคงเฝ้าอยู่ที่สำนักถามสวรรค์ เห็นหน้าก็ถามเขาทันที “หลงซือเย่กับเย่หงเฟิงออกมาจากห้องหลอมโอสถหรือยัง?”


มู่เหล่ยตอบว่า “ยังขอรับ นับตั้งแต่พวกเขาเข้าไปก็ไม่ได้ออกมาอีกเลย เย่หงเฟิงผู้นั้นได้รับบาดเจ็บ บางทีหลงซือเย่อาจจะรักษานางอยู่ในห้องกระมัง?”


“เฝ้าอยู่ที่นั่นต่อไป ประเดี๋ยวข้าจะไป! ก่อนที่ข้าจะไปถึง ต่อให้มีแมลงวันสักตัวบินออกมาจากข้างในก็ต้องรายงานให้ข้าทราบ!”


“ขอรับ! ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”


ตี้ฝูอีสูดหายใจนิดๆ กลับไปที่ถ้ำอีกครั้ง กู้ซีจิ่วยังคงนอนอยู่ตรงนั้น กำลังมองยอดถ้ำอยู่ ไม่ทราบเช่นกันว่ากำลังคิดอะไร


เมื่อได้ยินเสียงเขาเข้ามา สายตาของนางก็หันเหมาที่เขาทันที


ตี้ฝูอีมองนาง สุ้มเสียงเป็นห่วงเป็นใย “ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่?”


กู้ซีจิ่วพยักหน้านิดๆ ตี้ฝูอีทอดถอนใจ “เย่หงเฟิง…”


นิ้วมือกู้ซีจิ่วพลันแข็งทื่อ ม่านตาหดตัวแวบหนึ่ง


ตี้ฝูอีกล่าวต่อไปว่า “มีดเล่มนั้นของเย่หงเฟิงเคลือบพิษที่ทำให้บาดแผลเกิดอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง ถึงแม้ข้าจะใช้โอสถวิญญาณของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายช่วยขจัดให้เจ้าส่วนหนึ่งแล้ว แต่พิษหลักยังไม่ถูกขจัดออก ถ้าต้องการขจัดออกอย่างสมบูรณ์ต้องใช้วิธีการอย่างหนึ่ง”


กู้ซีจิ่วมองเขาดวงตายเผยแววสงสัย


ตี้ฝูอีกล่าวไปว่า “เพียงแต่วิธีนี้ค่อนข้างเจ็บปวด อีกเดี๋ยวยามที่ข้าดำเนินการให้เจ้าเจ้าต้องอดทนไว้นะ”


กู้ซีจิ่วตัวเกร็งทันที ปลายจมูกมีเหงื่อผุดออกมา ดูเหมือนนางจะกลัวเจ็บ ดวงตามีแววขัดขืนวาบผ่าน ส่ายหน้าไม่หยุด


เห็นได้ชัดว่าตี้ฝูอีที่อยู่ตรงหน้าไม่เข้าใจภาษากายของนาง ยิ้มอย่างปีติแวบหนึ่ง “เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่กลัวเจ็บใช่ไหม? เพียงอยากจะดีขึ้นเร็วหน่อยใช่หรือไม่? ข้ารู้แต่แรกแล้วว่าเจ้าเป็นแม่นางผู้ทรหดคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เจ็บปวดถึงเพียงนั้นก็ยังไม่ร้องออกมาสักคำเลย”


กู้ซีจิ่วนิ่งงัน ในที่สุดนางก็ไม่ส่ายหน้าอีกแล้ว


เขาลากหินแก้วผลึกก้อนหนึ่งมานั่งลงตรงข้ามนาง มองนางอย่างอ่อนโยร “เพื่อจะได้หายดีในเร็ววัน อดทนหน่อยได้ไหม?”


ฝ่ามือค่อยๆ ยกขึ้น มีแสงสีขาวผุดวาบออกมาจากฝ่ามือเขา ครอบลงที่ศีรษะนาง


สีหน้ากู้ซีจิ่วแปรเปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง หดตัวตามสัญชาตญาณ แต่การหดนี้สะเทือนถึงบาดแผลบนร่างอีกครั้ง เจ็บจนนางทนไม่ไหวร้องออกมาเบาๆ


————————————————————————————-

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)