องครักษ์เสื้อแพร 1064-1066

 ตอนที่ 1064 เรื่องครอบครัว เรื่องงาน เรื่องประเทศชาติ

Ink Stone_Fantasy

ต้นปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 เงียบสงบเป็นปกติ  แต่ชนชั้นสูงเมืองหนานจิงกลับมีข่าวหนึ่งแพร่ออกมา เมืองซงเจียงเหลียวกั๋วกงสั่งการองครักษ์เสื้อแพรเมืองหนานจิงจับคน ให้จับหญิงมีอายุหลายคนที่เปิดเรือสำราญริมแม่น้ำฉินไหวเหอไปยังเมืองซงเจียง


สาเหตุนี้ทุกคนเข้าใจ เรือสำราญพวกนี้เป็นเรือของพวกบรรดาศักดิ์ ภรรยาน้อยเหลียวกั๋วกงคนหนึ่งก็มาจากเรือสำราญเช่นนี้


รับนางรำจากแม่น้ำฉินไหวเหอเป็นน้อย เป็นเรื่องไม่เรียกว่าฉาวโฉ่ในพื้นที่แดนใต้ แต่กลับเป็นคำลือที่ดีถึงความรักสำราญของชายหนุ่ม  ตอนนั้นเรือสำราญลำงามของผู้มีบรรดาศักดิ์ถูกเผาไป  คนก็มอบให้ไปด้วย ก็นับว่าเหมาะ  และเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า เหลียวกั๋วกงเองก็นำเงินมา สองฝ่ายสายสัมพันธ์ไม่เลว  เหตุใดอยู่ๆ เกิดเรื่องเช่นนี้ได้?


เหลียวกั๋วกงอิทธิพลอำนาจล้นฟ้า ทุกคนล้วนรู้ดีแก่ใจ การเคลื่อนไหวนี้หรือว่าเจ้าของเรือสำราญนั่นแย่แล้ว ทุกคนล้วนคาดเดากันไป แต่ทว่าไม่นานก็พบว่าการจับตัวไปไม่ได้ต้องการเอาเรื่องเจ้าของเรือ


แล้วเพื่ออะไรกัน ข่าวแพร่มาช้ามาก ตอนนั้นทุกคนไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้แล้ว เป็นไจ๋ซิ่วเอ๋อร์คิดอยากรู้ว่าตอนนั้นให้นางกินยาอันใดไป


แม่น้ำฉินไหวเหอเพื่อให้สตรีสามารถทำกำไรให้เรือสำราญได้นาน มักจะให้นางดื่มยา ยานี้หลักๆ แล้วทำให้สตรีไม่อาจตั้งครรภ์ มีคนผลเสียกับร่างกายหรือไม่ก็ไม่แน่ใจนัก


ตำรับยาส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างกันนัก ทุกร้านมีความต่างกันเล็กน้อย ดังนั้นปรุงยาใดให้ดื่ม ก็จำต้องรู้ตำรับยา


ต้นเดือนสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 ซ่งฉานฉานตั้งครรภ์แล้ว หวังทงอายุน้อยแข็งแรง ทั้งวันทุ่มเท แน่นอนย่อมเห็นผล แต่ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์กลับไม่มีข่าว คนอื่นไม่พูด ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์เองร้อนใจแล้ว


หมอดังแดนใต้ทั้งหมดถูกเชิญมาหมด ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ไม่เหมือนกับบรรดาภรรยาอื่นของหวังทง  นางมาจากแดนใต้ ล้วนคุ้นเคยกับพวกหญิงในตระกูลอำนาจวาสนาแดนใต้ ก็ไม่แปลกตอนนั้นแม่น้ำฉินไหวเหอมีสตรีไม่น้อยที่แต่งเป็นน้อยให้ตระกูลใหญ่ ตอนนี้หวังทงเช่นนี้ แน่นอนมีคนอยากคบหากับสตรีในจวนใกล้ชิด  สตรีเหล่านี้พบปัญหาไม่ต่างกัน จึงพากันออกความคิด


มีคนแนะนำหมอดีมาในทันที ปรุงยาเฉพาะให้ ตำรับยาทำลายสุขภาพตอนนั้นต้องรู้ก่อนว่ามีอันใดบ้างจึงจะได้


การจะรู้ได้ก็เป็นเรื่องง่ายมาก ก็ให้ไปถามคนในตอนนั้นให้หมด  แต่ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์หลายปีนี้เริ่มทำให้โมโหมากแล้ว จึงลงมือไปจับตัวมาทันที เรื่องนี้หวังทงไม่คิดอันใดนัก ให้นางได้ระบายอารมณ์บ้างก็ดี จับก็จับ


ผลปรากฏเป็นเรื่องดี  รู้ตำรับยา หมอก็พากันคิดเรื่องหน้าตาตระกูลใหญ่ ไม่อาจพูดกระจ่างนัก แต่หมอก็ยังมั่นใจ รับประกันว่า ยาตอนนั้นไม่แรงนัก ตอนนั้นสามารถบำรุงขจัดได้ ง่ายมาก


ได้ยินข่าวนี้ ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์อารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย ซ่งฉานฉานความจริงนั้นเป็นภรรยาที่งานยุ่งที่สุดคนหนึ่ง ตอนนี้ดีกว่าตอนนั้น เพราะหานเสียกับจางหงอิงสามารถดูแลงานในจวนได้แล้ว  นางจึงเพียงแค่ดูแลงานนอกจวนอย่างเดียว หานเสียพอตั้งครรภ์ ซ่งฉานฉานสีหน้ายิ้มแย้มสนับสนุนช่วยเหลือ ยังเคยคุยปลอบใจไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ไม่ต้องร้อนใจไป ครั้งนี้ตนตั้งครรภ์  ก็ตั้งใจมาก ไม่กล้าละเลยประมาทแม้แต่น้อย


เช่นเรื่องงานนอกตอนนี้ต้องมอบให้คนอื่นทำแทน คนรู้เรื่องจวนเหลียวกั๋วกงล้วนรู้ ซ่งฉานฉานดูแลงานนอกจวน  เช่น เงินที่ส่งเข้ามา ต้องผ่านมือนาง  ไม่เพียงเช่นนี้ เครือข่ายการข่าวหวังทงในเมืองหลวงก็เป็นซ่งฉานฉานดูแล ถึงกับยังมีจดหมายติดต่อกับภายนอกหลายแห่ง ก็เป็นซ่งฉานฉานจัดการ


เลือกเวลามาแล้วก็มานั่งปิดม่านกั้นอยู่ในห้องหนังสือ หวังทงก็อยู่ สื่อชีกับซาตงหนิงล้วนมากัน ให้ซ่งฉานฉานส่งมอบงานทีละอย่าง


สำหรับเรื่องจดหมายติดต่อ ยกให้ไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ดูแลชั่วคราว ความรู้สตรีหวังทงนั้น ก็มีแต่ซ่งฉานฉานกับไจ๋ซิ่วเอ๋อร์ที่ทำงานลับเช่นนี้ได้


ไม่พูดเรื่องนี้  ติดตามมาจากนอกด่านอย่างซุนเผิงจวี่ตอนนี้เป็นผู้คุ้มกันหวังทงก็น่าเบื่อมาก ตอนนั้นเดิมทีล้วนมีตำแหน่งรองนายกองพัน ผลปรากฏพอกลับไป ครั้งนี้กลับมา ก็ต้องมาแย่งกับคนหนุ่มใหม่ๆ มากมาย ต้องดูความสามารถ ต้องอย่าลืมว่าตอนนั้นซาตงหนิง สถานะไม่ได้สูงกว่าเขามากนัก


****************


เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าใกล้สองปีแล้ว เพราะมีเทียนจินเป็นต้นแบบ มีแดนใต้กับลุ่มน้ำแยงซีเกียงร่ำรวยรุ่งเรืองเป็นแรงสนับสนุน ก็เริ่มเป็นรูปร่างอย่างรวดเร็ว ตามความคิดหวังทง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 น่าจะไม่มีไรต้องทำแล้ว แต่ทว่าเขาคิดผิด


พอถึงเดือนสอง ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 เสฉวน หูกว่าง เจียงซี เจ้อเจียง ฮกเกี้ยนถึงกับยังมีกวางตุ้ง บรรดาพ่อค้าพากันมาเมืองซงเจียง ทยอยกันมาคารวะเหลียวกั๋วกง


ตอนนี้ ‘กลุ่มพ่อค้า’ คำนี้เริ่มมีบันทึกในหนังสือ แม้แต่คนเรียนหนังสือล้วนรู้ตอนนี้พ่อค้าแต่ละที่สมาพันธ์กัน  แต่ละคนมีอิทธิพลอำนาจ กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงกับเทียนจินถูกคนอื่นนำไปเลียนแบบ เป็นกลุ่มที่ทำให้ทุกคนพัฒนาไปด้วยกัน ได้ส่งและเสริมกันและกน เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ใหญ่ที่สุดมา ซานซีกับเขตปกครองเหนือ และเหลียวหนิงล้วนเรียนรู้ไว  ที่อื่นๆ กำลังเลียนแบบ ปรับเปลี่ยนไปตามพื้นที่ตน


ทุกคนมีหน่วยกำลังมาก เสียงแน่นอนย่อมดัง  คนที่เสนอขึ้นมาเป็นหัวหน้า หวังทงก็ต้องได้พบ นี่ก็เพื่อการพัฒนาเมืองซงเจียง


หวังทงกับพ่อค้าเหล่านี้คุยงาน มีเรื่องหนึ่งที่ต้องเน้นย้ำ ก็คือเมืองซงเจียงต้องเสียภาษี ไม่อาจหลีกเลี่ยงคดโกง ที่ควรจ่ายก็ต้องจ่าย อย่างไรราชสำนักก็ยังอาศัยเงินทองก้อนนี้ หวังทงเองก็อาศัยก้อนนี้  หากไม่จ่าย ก็เท่ากับตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นได้สวม พ่อค้าได้ประโยชน์ไปฝ่ายเดียว


พ่อค้าแผ่นดินหมิงหนีภาษีกันเก่งอันดับหนึ่ง ถึงกับมีบัณฑิตเขียนส่งเสริมว่าไม่ควรเก็บภาษีการค้า เป็นการกระทำของผู้ดี แต่กับหวังทงแล้วไม่ได้


ดีที่กลุ่มพ่อค้าจากที่ต่างๆ ล้วนเข้าใจ พ่อค้าอย่างไรก็ไล่ตามกำไร สามารถทำกำไรก้อนโตได้ ภาษีแค่นี้ไม่ใช่ว่ารับไม่ได้ ถึงกับคิดว่าจะจ่ายมากขึ้นด้วยตนเอง แน่นอน เรื่องนี้ก็เพื่อขอสัดส่วนเพิ่ม


ทุกคนเริ่มคุยกันเรื่องน้ำตาลก่อน เมืองซงเจียงเข้าร่วมตลาดน้ำตาลเป็นเรื่องใหญ่สำหรับลุ่มน้ำแยงซีเกียงและเมืองซงเจียงที่จะผ่านทางน้ำและทะเลไปยังที่ต่างๆ  ผลประโยชน์มหาศาลไม่ว่า หากใช้เส้นทางน้ำขนส่ง การขนส่งทางคลองส่งน้ำก็ง่ายมาก การค้านี้ได้กำไรมาก แต่หากคุยกันไม่ดีอาจทำให้บางกลุ่มกำไรไม่ได้มาก บางกลุ่มอาจล้มละลายไปเลยก็ได้


 ดังนั้นทุกคนจึงต้องการให้หวังทงออกหน้าจัดการ แต่ละแห่งให้แบ่งสรรสัดส่วน ไม่กล่าวเรื่องอื่น หากทำไม่ดี พื้นที่เหนือแม่น้ำแยงซีเกียงในเขตปกครองใต้  แดนใต้กับเจ้อเจียงในเขตปกครองใต้  เจียงซีกับหูกว่าง พื้นที่เหล่านี้แอบลักลอบกันก็ยุ่งยากใหญ่แล้ว ทุกคนจัดการแบ่งสรรพื้นที่ จึงจะรับประกันได้ว่าทุกคนล้วนกำไร


 ในเมื่อมาขนน้ำตาล  เช่นนั้นทุกคนย่อมล้วนนำสินค้ามาขายเมืองซงเจียงด้วย  แต่ระหว่างทางก็ขายไปยังแดนใต้ด้วย  และยังอาจจะใช้เส้นทางน้ำขนไปยังพื้นที่เหนือแม่น้ำและที่อื่นๆ อีก  พอมาแล้วก็ใช่ว่าจะแค่น้ำตาล  ยังต้องขนอย่างอื่นกลับไปด้วย


เรื่องพวกนี้ก็ต้องแบ่งสรร ทุกคนมีสินค้าใกล้กัน ในกลุ่มพ่อค้าหนึ่งก็ต้องจัดสรรปันส่วนกัน ไม่เช่นนั้น สินค้าตนเองก็อาจเกิดเหตุราคาขัดแย้งกันได้


 มีการตั้งร้านน้ำตาลที่เมืองซงเจียงเฉพาะ แน่นอนเป็นร้านน้ำตาลสามธารา  รับหน้าที่ค้าขายน้ำตาลเป็นหลักและแบ่งสรรให้แต่ละแห่ง อีกเรื่องร้านสามธารากับร้านค้าใหญ่แดนใต้ ซานซี หูกว่าง ก็มีสถานะเดียวกัน รับหน้าที่ตัดสินใจเรื่องราคาสินค้าไปมา เพื่อให้พอมีขอบเขต ไม่ให้เกิดเหตุวุ่นวายเกินไปนัก


นอกจากนี้ ตั๋วเงินเครือข่ายสามธาราก็เริ่มใช้กันในขอบเขตภายในที่กำหนด พ่อค้าใหญ่ที่มากันเหล่านี้เดิมก็เป็นระดับแนวหน้าของระบบการค้าในท้องที่ ย่อมพอเข้าใจกันและกัน แน่นอนยอมรับได้เป็นเรื่องดี แต่ละเจ้าล้วนคิดจะให้ตนเองออกตั๋วได้บ้าง แต่ตนเองออกตั๋วไม่แน่ว่าร้านค้าสาขาตนเองจะยอมรับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้างนอก สามธาราเป็นกิจการเครือใหญ่ ตั๋วเงินจึงเป็นที่เชื่อถือของทุกคน


ตั๋วเงินทุกคนล้วนคิดออกเอง แต่ตอนนี้ใช้ได้อย่างวางใจที่สุดก็คือของสามธารา อย่างไรก็ต้องใช้ของสามธารา แต่เครือข่ายสามธาราออกตั๋วพวกนี้ เดิมก็เพื่อใช้กันเอง อย่างน้อยก็กล่าวกับคนนอกเช่นนี้ ดังนั้นกลุ่มพ่อค้าแต่ละแห่งจึงขอให้หวังทงอำนวยความสะดวกเรื่องนี้


เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เครือข่ายสามธาราต้องการอยู่แล้ว ก็แค่รับปาก  และยังให้แต่ละแห่งตั้งสาขา  ลงมือกันยกใหญ่ แต่ข้อเรียกร้องของกลุ่มพ่อค้าแต่ละแห่ง เรื่องพวกนี้ล้วนไม่ได้ยุ่งยาก อย่างน้อยก็ง่ายมาก


แต่ทว่าเหรียญทองกับเหรียญเงินนั้น ทุกคนยังต้องรอบคอบให้มาก นี่เป็นเรื่องทำง่ายยิ่งกว่าตั๋วเงิน มีเตาหลอมผู้ใดล้วนทำได้ เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องนี้หากคุมสมดุลไม่ได้ย่อมเกิดเรื่อง  มีพ่อค้าเพียงสามเจ้าที่กล่าวหารือเรื่องนี้กับหวังทง ว่าอยากขอรับหน้าที่นี้


‘พวกมากอำนาจวาสนาแดนใต้ยามนี้มารวมกันที่เมืองซงเจียง’ วาจานี้ไม่รู้ผู้ใดกล่าวออกมา แต่กล่าวได้จริงแท้ พวกที่สามารถมีการค้าใหญ่ในแผ่นดินหมิง และกล้าออกนอกพื้นที่ก็ล้วนมาทำการค้าที่เมืองซงเจียง ผู้ใดจะมาตัวเปล่ากัน เบื้องหลังคนเหล่านี้ก็ย่อมมีคนหนุนหลัง


จากข่าวที่หวังทงได้มา อ๋องครองพื้นที่ต่างๆ ระดับจวิ้นอ๋องก็มีกิจการมาไม่น้อย สายสัมพันธ์หลายคนยังเกี่ยวพันถึงเสนาบดีต่างๆ ในเมืองหลวง สำหรับผู้บัญชาการแต่ละแห่งส่วนใหญ่ล้วนมีกิจการ แดนใต้ไม่ต้องพูดถึง พ่อค้าหลายคนหาสืบลงไป ยังมีตำแหน่งขุนนางหลายคน


พวกมีเงินและสถานะหลายคนมาอยู่เมืองซงเจียง ก็ย่อมคึกคักไม่ธรรมดา สายสัมพันธ์ระหว่างกันก็ย่อมเชื่อมต่อให้ดี อีกเรื่อง แดนใต้เรื่องสำราญมีมาก มาครั้งหนึ่งก็ย่อมหาความสำราญก่อนกลับ


ชนชั้นสูงเมืองหนานจิงในเมืองเองล้วนวางสถานะตนลง  เรื่องดีเช่นนี้ต้องมาร่วมวงคึกคักจึงจะดี รู้จักคนให้มากอีกหน่อยก็มีเส้นทางทำมาหากินเพิ่มอีกเส้นทาง  นับประสาอันใดกับเบื้องหลังคนเหล่านี้ล้วนเป็นพวกขุนนางใหญ่ จะว่าไปแล้ว แม้ไม่คิดทำการค้า ไปเมืองซงเจียงชมความคึกคักก็ดี ปีใหม่นี้หลายคนยังฉลองไม่หนำใจ!


บนแม่น้ำฉินไหวเหอ ในเมืองหยางโจว ที่หาความสำราญไม่อาจปล่อยตนล้าสมัย พากันมายังเมืองซงเจียง ร้านอาหารร้านสุรา การค้าต่างๆ ล้วนพากันมายังเมืองซงเจียง พากันร่วมผสมโรงคึกคัก


ความสำราญอย่างไรก็เป็นเรื่องรอง งานหลักทุกคนก็ต้องทำ  ร้านน้ำตาล ธนาคาร และแต่ละการค้าก็ย่อมตั้งสาขากันที่เมืองซงเจียง ล้วนพยายามจัดตั้งให้เร็วที่สุดได้เป็นดี


หลายแห่งไม่ใช่ร้านค้าจิปาถะที่ทุกวันจะมีคนมา และก็มีพ่อค้าตนเข้าออก  เป็นที่สำคัญ เรื่องอื่นไม่ว่า เอกสารกระดาษและเงินทองจำนวนมากต้องเก็บที่นี่ ดังนั้นต้องดูภูมิฐานและปลอดภัย


เลือกไปเลือกมา หลายแห่งในเมืองซงเจียง อย่างไรก็รอบจวนเหลียวกั๋วกงเหมาะที่สุด มีทหารเหลียวกั๋วกงอารักขา ยังใกล้เมืองท่าที่มีทหารน้ำสามารถมาช่วยได้ตลอด ธนาคารสามธาราจึงตั้งอยู่ตรงแถวจวนเหลียวกั๋วกง ให้เป็นศูนย์กลางก็เหมาะที่สุด สะดวกที่สุด


ในเมื่อกำหนดแล้ว  ก็ย่อมเริ่มสร้างบนถนนสายนี้  ทุกคนล้วนเข้าใจแล้วว่านี่เป็นวันหน้าของเมืองซงเจียง ถึงกับเป็นศูนย์กลางการค้าในวันหน้าเลยทีเดียว  ใกล้กับที่นี่เท่าไร พื้นที่นั่นก็ยิ่งดี ย่อมเป็นว่าแต่ละร้านค้า  คนเหนือใต้ต่างพากันมาซื้อหาพื้นที่และลงมือก่อสร้าง


หวังทงตั้งกฎไว้นานแล้วว่า ห้ามก่อสร้างเละเทะให้ยุ่งยาก แต่ทว่าการก่อสร้างรอบบริเวณจวนเหลียวกั๋วกง จะรอบคอบอย่างไร ก็ย่อมมีเสียงดังอึกทึกและฝุ่นฟุ้งกระจาย เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้  สตรีและลูกเล็กในจวน ยังมีที่ตั้งครรภ์ จะทนสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้อย่างไรกัน


ดีที่เมืองซงเจียงมีบ้านพักตากอากาศไม่น้อย หวังทงจึงย้ายออกไป เพื่อให้ครอบครัวได้สงบสุข


****************


เดือนสาม ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 หลี่ฮั่วหลงผู้ตรวจการใหญ่เสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจว สามมณฑลยื่นฎีกาโอรสสวรรค์ ขอให้ส่งกองกำลังหลวงส่านซีไปปราบจลาจลที่เสฉวนจรดกุ้ยโจว


ตระกูลหยางเมืองปัวโจวในสมัยถังก็มาปกครองที่นี่แล้ว เพราะที่นี่เป็นพื้นที่ซับซ้อน  หลายชนเผ่ามารวมตัวกัน  ปกครองแล้วก็ไม่ได้ผลประโยชน์ใด ดังนั้นราชสำนักแต่ละสมัยมาล้วนรับการสวามิภักดิ์จากตระกูลหยาง แต่งตั้งตระกูลหยางเป็นขุนนางที่เรียกว่า เซวียนเว่ยสื่อ ให้พวกเขาปกครองชนเผ่าที่นี่ไปเอง ไม่เก็บภาษี


นั่งปกครองที่ใดนานไป รู้หน้าที่ก็ดี แต่หากมีใจคิดคด  นั่งปกครองนานไปนั่นเองทำให้คิดก่อการกบฏขึ้นมาได้


ตระกูลหยางอยู่ในสบพื้นที่สามมณฑล เข้าใจสถานการณ์เสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจวอย่างมาก ทางการท้องที่และทหารทางการล้วนอ่อนแอไร้กำลัง ชาวฮั่นมีกำลังก็แยกกันอยู่ ไม่อาจรวมตัวกันได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ชาวฮั่นมีกำลังทั้งวันเอาแต่หาเรื่องตระกูลหยาง


ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 17 ตระกูลหยางก็เริ่มก่อการ ที่เรียกว่าก่อการ ก็คือสังหารปล้นชิง และยังมีหัวหน้าเผ่าต่างๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ร่วมวงปล้นวางเพลิงด้วย ชาวฮั่นที่มีอำนาจก็เริ่มจับปลาในน้ำขุ่นด้วย เรื่องก็เริ่มบานปลายใหญ่ขึ้น


แต่เมืองปัวโจวไม่เหมือนที่อื่น  รอบๆ  มีขุนนางท้องที่ปกครอง พูดให้ถูกก็คือหัวหน้าเผ่าเล็กเผ่าใหญ่ต่างๆ พวกเขาสังหารกันเอง ทางการขี้เกียจสนใจ ตระกูลหยางเมืองปัวโจวมีที่ปรึกษาหลายคนล้วนเรียกได้ว่ามีความคิดแยบยล ตระกูลหยางขยายพื้นที่ไป ก็ส่งคนไปขอสำนึกผิดกับทางการไปอีกทาง บอกว่าตนเองยอมออกเงินออกแรงเพื่อสำนึกผิดนี้


เริ่มแรกราชสำนักคิดว่าเขามีใจสำนักผิด ขุนนางท้องที่ก็จะให้อภัยยอมรับ  และเตรียมจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไป แต่หลายครั้งเป็นเช่นนี้ ทุกคนไม่ใช่คนโง่ ก็เริ่มเข้าใจตระกูลหยางนี่คิดทำอะไรกันแน่


หรือว่าปราบ หรือว่าให้ผลประโยชน์ตระกูลหยางยิ่งมาก เสฉวนยังตัดสินใจไม่ได้  ก็แอบยอมรับกันไปว่าให้เขายึดครองขยายพื้นที่ไป แต่พอปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 18 สถานการณ์ยังคงไม่หยุด แต่ละแห่งล้วนเริ่มร้อนใจแล้ว…


ตอนที่ 1065 เรื่องแทรกในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19

Ink Stone_Fantasy

แผ่นดินหมิงใช้กำลังทหารทางตะวันตกเฉียงใต้ไม่เหมือนกับทางเหนือ ทางเหนือถูกมองโกลกดขี่มานาน ยังมีการค้าทำให้รู้จักออมชอมกัน แต่ตะวันตกเฉียงใต้เรียกได้ว่ารบอย่างเดียว


ตระกูลหยางเมืองปัวโจวก่อเรื่องมานาน ขุนนางแผ่นดินหมิงทำเลอะเลือนก็เพราะกลัวยุ่งยาก อย่างไรก็เป็นพื้นที่ยากจน พวกชาวเผ่ากันเองรบกันเองก็ปล่อยเขาไป รู้จักหนักเบาบ้างก็พอ ตระกูลหยางกลับไม่รู้ ถึงกับลงมือในพื้นที่ชาวฮั่นสังหารขุนนางท้องที่ เรื่องนี้ย่อมไม่อาจเพิกเฉยต่อแล้ว


รอบเมืองปัวโจว ขุนนางต่างรู้แก่ใจ ทหารเสฉวน กุ้ยโจวกับหูกว่างสามแห่งนี้กำลังรบอ่อนแอมาก หากรวมกำลังเร่งด่วนไปปราบ ถูกทหารตระกูลหยางตีพ่ายมา ทัพใหญ่แตกกระจัดกระจาย ไม่ต้องพูดถึงการที่ตระกูลหยางได้อาวุธจากทางการ รับเชลยมาเป็นพวกขยายอิทธิพลอำนาจ คนผู้นี้คิดก่อการย่อมเป็นเรื่องยุ่งยากที่สุด


ตอนนี้ กบฏตระกูลหยางยังไม่ได้เป็นที่เปิดเผย ขุนนางท้องที่รายงานราชสำนักก็คิดว่ากำลังเตรียมการ แต่หากพ่ายใหญ่มา คนรับผิดชอบล้วนต้องเข้าคุก


ดังนั้นตั้งแต่ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 18 เรื่องแดงขึ้น ตระกูลหยางในเวลากระชั้นชิดก็ไม่สามารถพอที่จะรบออกมานอกพื้นที่เมืองปัวโจว ที่นั่นพื้นที่ค่อนข้างมีกำบังธรรมชาติเยอะ เช่นนั้นก็เป็นการขัดขวางทางการเสฉวน กุ้ยโจวและหูกว่างรวมกำลังเช่นกัน  จึงไปเคลื่อนไหวกันที่เมืองหลวงแทน


พวกสายสัมพันธ์อันดับหนึ่งจริงก็ย่อมได้ย้ายออกไปที่อื่น พวกสายสัมพันธ์อ่อน ก็ย่อมร้องทุกข์ไปแล้วก็รายงานสถานการณ์จริงไปยัง


เสฉวน กุ้ยโจว หูกว่าง ถึงกับบริเวณโดยรอบ ระบบการเมืองแผ่นดินหมิงที่นี่ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ค่อยได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกันนัก ยังคงเป็นพื้นที่ปกครองขุนนางบุ๋น  กล่าวเช่นนี้จะดูแปลกไปบ้างก็ตาม


คณะเสนาบดีใหญ่และขุนนางใหญ่หกกรมกองอยู่ในศูนย์กลางการบริหารมานาน ล้วนมองกระจ่างถึงเบื้องหลังเอกสารเป็นลายลักษณ์พวกนี้ของทางการ ตามวาจาหวังซีเจวี๋ยกล่าวว่า


“…หากยังไม่ส่งคนไปอีก เกรงว่าจะเอาสถานการณ์ไม่อยู่แล้ว…”


การส่งคนไป ก็ไปตามธรรมเนียมเดิม ส่งขุนนางบุ๋นไปจัดการเรื่องนี้ ครั้งนี้เป็นหลี่ฮว่าหลง เป็นผู้ตรวจการทหารเสฉวน กุ้ยโจว หูกว่าง สามมณฑล


หลี่ฮว่าหลงแม้ว่าเป็นบัณฑิตจิ้นซื่อ แต่ทว่าตอนนั้นดวงไม่ดี ไม่มโอกาสอยู่ทำงานเมืองหลวง ไปเป็นผู้ว่าท้องถิ่น จากนั้นค่อยๆ ก้าวขึ้นมา มายังเมืองหนานจิงได้ตำแหน่งนายกองกรมโยธา ส่งไปเป็นผู้ว่าการมณฑลเหลียวตงเป็นอยู่หลายปี จึงได้กลับมายังเมืองหนานจิง


อย่างไรก็ไม่ได้เข้าประจำเมืองหลวง แต่สะสมประสบการณ์เช่นนี้นานปี ยังได้ทำงานที่ได้ทำงานจริงๆ หลายเรื่อง ขุนนางเช่นนี้หาได้ยาก เสฉวนเกิดเหตุเช่นนี้  เหมาะที่จะส่งขุนนางเช่นนี้ไป


เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเมืองชายแดนรู้การทหารไม่น้อย หลี่ฮว่าหลงนับว่ารู้มากเข้าใจมาก ไปยังเสฉวนแล้วกลับพบว่าสถานการณ์ลำบากกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก


เสฉวน หูกว่างกับกุ้ยโจวไม่มีทหารสามารถรบ ความจริงนั้นทหารที่รบได้มีอยู่มาก แต่คนเหล่านี้ล้วนเรียกว่าเป็นทหาร แม้ว ก็คือเป็นทหารราบที่เป็นชาวบ้านที่เป็นชนเผ่าแม้วตะวันตกเฉียงใต้  ทหารเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าทหารตามค่ายทหารมาก


แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่อาจใช้กำลังเหล่านี้ เพราะทหารแม้วเหล่านี้ถูกปกครองโดยชาวท้องถิ่นนานแล้ว และเมืองปัวโจวก็เท่ากับเมืองปกครองโดยท้องถิ่น หากเคลื่อนกำลังแม้วไปปราบ ไม่ต้องพูดถึงว่าถูกพวกตระกูลหยางเมืองปัวโจวซื้อตัวไปแล้ว อาจทำให้เกิดภัยหายนะได้ กลายเป็นกำลังฝ่ายตรงข้ามแทน


ความจริงนั้น หัวหน้าชนเผ่าไม่น้อยใกล้เมืองปัวโจวก็ขอนำกำลังออกปราบ เพราะตระกูลหยางรุกรานผลประโยชน์พวกเขา  แม้ว่าร่วมชนเผ่า แต่อย่างไรก็ไม่อาจยอมรับได้


ผู้ตรวจการหลี่ฮว่าหลงรอบคอบไว้ก่อน ไม่ได้ไม่คิดใช้ แต่กำลังเสฉวน หูกว่างกับกุ้ยโจวที่ใช้ได้เรียกว่าน้อยไปจริงๆ หากเกิดปัญหาแม้เล็กน้อย คนมีใจเป็นอื่นๆ ก็ล้วนพังกันทั้งหมด แน่นอนต้องรอบคอบ ไม่กล้าให้เกิดความผิดพลาดแม้แต่น้อย


หลี่ฮว่าหลงด้านหนึ่งส่งคนไปแกล้งสอบถามตระกูลหยาง ทุกคนแกล้งทำเป็นถามและขอรับผิดกันไป แต่อีกทางก็ส่งคนไปรวบรวมกำลังโดยรอบพื้นที่


เมืองปัวโจวตระกูลหยางอย่างไรก็เป็นพื้นที่แคบ  กำลังเคลื่อนมาได้มากก็แค่นั้น รอบๆ เมืองปัวโจวถูกเขาปราบยึดไปได้หลายป้อมหลายหมู่บ้าน  รวมแล้วเกือบร้อย แต่ก็แค่รอบๆ ออกไปด้านนอก ทหารสามมณฑลยังคงรบแพ้ชนะกับเขาอยู่ ดึงสถานการณ์ไว้ได้อยู่


หลี่ฮว่าหลงทำงานไปตามขั้นตอน รวบรวมกำลังทหารแต่ละแห่งมาไว้ที่อำเภอเหอเจียง ตุนเสบียง รับชาวบ้านมาเป็นทหาร  รอกำลังได้เปรียบก่อน ค่อยโจมตีพร้อมกัน


 เมืองปัวโจวพื้นที่อันตราย ตระกูลหยางกับทหารแม้วที่เป็นพันธมิตรกันรวมกำลังแข็งแกร่ง  ดังนั้นต้องเตรียมการให้ดีพอ ก็หมายความว่าต้องมีความมั่นใจยิ่งมากก่อน ‘ความมั่นใจ’ ยิ่งมากนี้ คนของผู้ตรวจการและผู้ว่าการมณฑลต่างๆ ล้วนรู้ หากยังไม่มีทหารถึงแสน ไม่มีเสบียงสำหรับทหารแสนนายใช้หนึ่งปี ก็ไม่อาจทำการพลการ


การรวบรวมคนและเสบียงนี้ ต้องใช้ความพยายามให้มากที่สุดที่จะไม่ให้เมืองหลวงกับท้องที่รู้ ไม่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อม อย่างน้อยก็ต้องสามปี


พูดตรงๆ เวลาสามปีไม่มาก โดยเฉพาะรับมือศัตรูเช่นนี้ ที่หลี่ฮว่าหลงทำนับว่าทำไปตามขั้นตอนกระบวนการ เป็นวิธีการที่เหมาะสมมาก


แต่เตรียมการมาถึงปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 สหายหลี่ฮว่าหลงในเมืองหลวงก็เขียนจดหมายมา จดหมายตรงไปตรงมามาก เริ่มจากเล่าถึงเรื่องการรบที่เมืองกุยฮว่าเฉิงไปจนนอกด่านหลายครั้ง ใช้เวลาไม่เกินเดือน เคลื่อนทหารไม่ถึงแสน ก็ทำลายศัตรูได้รับชัยชนะ หากเมืองปัวโจวแค่นี้ยังต้องใช้เวลาและใช้เงินมากมายเพียงนี้ วันหน้าหากมีคนเอ่ยถึง เกรงว่าจะถูกคนหาว่าไร้สามารถมายื่นฎีกาได้


พอได้รับจดหมายนี้ หลี่ฮว่าหลงท่าทีไปต่อไม่ถูก ลองนั่งนิ่งคิดตรึกดู การเตรียมการของเขาก็เป็นไปตามขั้นตอน ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ล้วนต้องกล่าวว่าทำการได้รอบคอบ แต่จดหมายกล่าวมาก็เป็นความจริง ชัยชนะกองกำลังหลวงยิ่งใหญ่เกินไป เทียบกันแล้ว ที่อื่นๆ ไม่อาจทำได้


ไม่กล่าวถึงชัยชนะใหญ่  ระยะนี้กองกำลังหลวงที่ส่านซีก็มีชัยหลายครั้ง  จบศึกเร็ว ผลการรบยิ่งใหญ่ หากตนเองจบศึกเช่นนี้ วันหน้าย่อมมีภัย


กองกำลังหลวงไปทุกแห่ง ก็เท่ากับโอรสสวรรค์คุมแน่นทุกแห่งแล้ว ขุนนางบุ๋นท้องที่มีสิทธิ์กล่าวอันใดได้น้อยมาก เช่นว่า ส่านซีกับซานซี การค้าเดิมเหมือนไม่มี แต่ตั้งแต่กองกำลังหลวงไปตั้ง ในวังส่งขันทีไปเก็บภาษี ไม่ต้องใช้วิธีการขูดรีด ก็เก็บภาษีได้ตามธรรมเนียม


 กองกำลังหลวงนำกำลังมาตั้งอยู่ ขุนนางท้องถิ่นล้วนไม่อาจแสดงท่าทางเป็นผู้องอาจเช่นแต่ก่อน แต่ละคนยอมจ่ายภาษีแต่โดยดี ผลของการไม่จ่ายก็คือเลือดตกยางออก ทุกคนล้วนได้เห็นแล้ว


หลี่ฮว่าหลงรู้ คณะเสนาบดีใหญ่ส่งตนมายังพื้นที่นี้ปราบโจร ก็เพื่อไม่อยากให้กองกำลังหลวงเข้าแทรกแซง แต่สถานการณ์เช่นนี้ อาศัยอะไรมาให้ตนแบกรับความผิดนี้ ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ตอนเองกลายเป็นตัวตลก ดีไม่ดียังอาจทำให้ถูกเป็นข้อพิพาทโจมตีได้อีก


ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลเหลียวตงแล้ว หลี่ฮว่าหลงก็คิดจะก้าวหน้า อย่างไรก็มาถึงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลแล้ว คิดจะก้าวหน้าไปอีกขั้นก็เป็นเรื่องปกติ


ที่ทำให้หลี่ฮว่าหลงตัดสินใจมาทำหน้าที่ที่เสฉวนกับหูกว่าง ก็เพราะบรรดาพ่อค้าเดือนสองกรูกันไปยังเมืองซงเจียง หลี่ฮว่าหลงแน่นอนรู้ ในกลุ่มนี้ยังมีพ่อค้ามีสายสัมพันธ์กับเขา เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึง แม้แต่พ่อค้าเองล้วนไม่สนใจเรื่องถูกเก็บภาษี พากันไปเอาใจกองกำลังหลวง ตนเองไยต้องลำบากให้ตนเองแบกรับความผิดนี้เองด้วยเล่า


ขอกองกำลังหลวงมาช่วย ให้กองกำลังหลวงมาปราบ ชนะขึ้นมา ตำแหน่งตนก็มีความชอบ หากแพ้ ตนเองไม่ต้องรับผิดชอบหลัก


ในวงการขุนนางมีธรรมเนียมสำคัญหนึ่งก็คือเข้าใจกันและกัน หลี่ฮว่าหลงส่งฎีกาไปยังเมืองหลวง คณะเสนาบดีใหญ่หกกรมกองไม่รู้ทำเช่นไร ได้แต่ยอมรับ เรื่องนี้จากมุมมองส่วนรวมแล้ว อย่างไรก็เป็นการปราบจลาจลบนแผ่นดินหมิงยิ่งเร็วก็ยิ่งดี ในส่วนตัวคุยกันนั้น หน่วยต่อสู้กองกำลังหลวงเหล่านี้ล้วนเคยต่อสู้บนทุ่งหญ้ากับที่ราบมา พื้นที่เมืองปัวโจวไม่เหมือนที่อื่น ยังมีแต่หมอกควันหนาและชื้น กองกำลังหลวงใช้ปืนเป็นหลัก ไปแล้วไม่แน่อาจเสียเปรียบก็ได้


ตระกูลหยางเมืองปัวโจวก็แค่เมืองป่าเถื่อน ในสายตาขุนนางใหญ่ราชสำนักไม่เท่าไร แต่ที่สำคัญตอนนี้ก็คือให้กองกำลังหลวงที่นับวันยิ่งขยายอิทธิพลได้เสียทีเสียบ้าง ก็เป็นเรื่องไม่เลว


ขุนนางในคณะเสนาบดีใหญ่ไม่มีคนค้าน ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ่งทรงมั่นใจในกองกำลังหลวง  เถียนอี้กับโจวอี้สำนักส่วนพระองค์ล้วนเข้าใจกองกำลังหลวง หากไปยังพื้นที่นี้เปิดศึกปราบกบฏนั้นหมายความว่าอย่างไร ฮ่องเต้ก็ยิ่งครองพื้นที่ยิ่งมาก อำนาจในวังก็ยิ่งขยาย  สามารถส่งขันทีในวังออกไปได้อีกหนึ่งพื้นที่เพิ่มขึ้น ทำให้ในวังมีตำแหน่งกับเส้นทางเพิ่มอีกทาง


ทุกคนล้วนเห็นพ้องกัน เช่นนั้นจากนี้ก็คือตัดสินใจว่าจะส่งผู้ใดไป กองกำลังหลวงมีหลายหน่วย พูดให้ถูกก็คือมีหลายเมือง ใกล้เสฉวนที่สุดก็ย่อมเป็นส่านซี


 หนิงเซี่ยเป็นพื้นที่ปกครองส่านซี ส่านซีกินพื้นที่กว้างใหญ่ ในมือลี่เทาแม้ว่ามีทหารสี่หน่วย กอปรกับทหารเก่งกล้าอีกสามหมื่น สามารถป้องกันพื้นที่ได้กว้างใหญ่  หนิงเซี่ยเป็นพื้นที่ใกล้ลุ่มน้ำ กลุ่มพ่อค้าติดอาวุธกำลังมากเพียงพอ สามารถส่งกำลังออกมาช่วยกองกำลังหลวงได้


ตามเหตุผลแล้ว ซุนซิงกองกำลังหลวงเมืองหนิงเซี่ยจึงได้รับเลือก สำหรับตระกูลลี่คิดถึงเรื่องพื้นที่เมืองปัวโจวซับซ้อน กองกำลังหลวงไปอาจเสียเปรียบ ดังนั้นจึงคิดการให้ซุนซิงไป  นี่ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดรู้


กองกำลังหลวงหนิงเซี่ยนำกำลังออกไปสองหน่วย กำลังหลวงส่านซีนำกำลังกองปืนใหญ่ 300 ยังมีทหารเก่งกล้าจากหนิงเซี่ยกับส่านซีอีก 1,000 นาย ยังมีกำลังกลุ่มพ่อค้าติดอาวุธที่เรียกว่าทหารม้า ‘ผู้กล้า’ อีก 500 นาย รวมแล้วก็ 6,700 นาย เข้าสู่ส่านซี ใช้เส้นทางตอนกลางเจ้าสู่เสฉวนปราบกบฏ


สำหรับกำลังทหารหลักส่านซีกับในมณฑลนั้นไม่ค่อยเกี่ยวข้องกันนัก สำหรับเสฉวนแล้ว นี่คือกำลังทหารนอกพื้นที่มาช่วย ยังมีสายสัมพันธ์ลี่เทา เสบียงก็ย่อมสะดวกมาก


นับประสาอันใดกับกำลัง 6,000 กว่า เสบียงแม้ไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่จำนวนที่มากเกินไปนัก ในพื้นที่สามารถรวบรวมมาได้อยู่ เสฉวนเองจึงมีคนรับหน้าที่จัดเตรียมโดยเฉพาะ


กองกำลังไม่จำเป็นต้องรับหน้าที่จัดหาเสบียง ที่พักและข้าวของที่ต้องใช้ก็ล้วนได้รับมาระหว่างเดินทาง กองกำลังหลวงย่อมเดินทางได้เร็ว ทหารจากที่ต่างๆ ที่ตามมาสมทบก็ไม่ช้า  ตั้งแต่ยื่นฎีกาไปจนตัดสินใจราชสำนักจนมีราชโองการก็ใช้เวลาไม่นาน กลางเดือนห้า กองกำลังหลวงก็เข้าสู่เสฉวน ไปถึงเมืองปัวโจว


ไม่ใช่หวังทงเป็นแม่ทัพ ธรรมเนียมราชสำนักไม่อาจแก้ไข ตามหลักก็เป็นขุนนางบุ๋นคุม ผู้ตรวจการหลี่ฮว่าหลงรับหน้าที่นี้ สำหรับขันทีคุมกำลัง เจ้าจินเลี่ยงกำลังออกปฏิบัติงานตรวจอยู่พอดี ก็รับหน้าที่นี้ไป


ในวังดูแล้ว นี่เป็นฝ่าบาทกับโจวอี้โจวกงกงให้ความสำคัญกับเจ้ากงกงอย่างที่สุด เจ้าจินเลี่ยงเจ้ากงกงอายุเท่านี้ ก็ได้รับภารกิจสำคัญในวังหลายอย่าง นี่ยังไม่เท่าไร ยังต้องออกนอกวังไปสั่งสมประสบการณ์อีก ครั้งนี้ไปคุมกำลัง ก็ย่อมเป็นความชอบอีกอย่าง


ซุนซิงเป็นคนนิ่ง โตกว่าคนในวัยเดียวกันที่หาได้ยาก นิสัยเช่นนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่ยามคับขันมักขาดแรงกระตุ้น ก็คือแรงปะทะและตัดสินใจ เช่นในเวลานี้ เขากลัวว่าตนเองจะไม่คุ้นเคยพื้นที่เมืองปัวโจว กองกำลังหลวงชนะไม่เพียงแต่เป็นบารมีทางทหาร แต่ยังมีหลายเรื่องเกี่ยวพัน เขารับผิดชอบไม่ไหว แน่นอนโอรสสวรรค์เลือกขุนพลแล้ว เขาไม่อาจมีเหตุผลไม่ไป


ไม่สบายใจทำอะไรได้ ตอนก่อนออกเดินทาง ซุนซิงส่งม้าเร็วไปขอความเห็นหวังทง ขอหวังทงออกความเห็น หวังทงตอบจดหมายตอนซุนซิงเข้าสู่เขตเสฉวน จดหมายง่ายมาก แผ่นดินหมิงไม่มีศัตรูที่สามารถต่อกรกับกองกำลังหู่เวยได้ ที่เจ้าต้องทำก็คืออย่าดูแคลนศัตรู อย่าบุ่มบ่าม ต้องทำไปตามขั้นตอน ค่อยๆ เข้าทลายรังศัตรูก็พอ….


จดหมายทำให้ซุนซิงนิ่งลง หวังทงยังมีจดหมายส่วนตัวไปยังเจ้าจินเลี่ยง กล่าวไว้ง่าย ๆ ว่า แผ่นดินหมิงให้สิทธิพิเศษพวกหัวหน้าเผ่าทางตะวันตกเฉียงนานไปแล้ว ต้องให้พวกเขารู้จักเกรงกลัวบ้าง ครั้งนี้ไปไม่กลัวสังหารทิ้ง  จักต้องสร้างบารมีข่มให้เพียงพอ จากนั้นค่อยแสดงพระเมตตา


หลี่ฮว่าหลงทางนั้น หวังทงไม่ได้มีจดหมายส่วนตัวไป แต่พ่อค้าเสฉวนกับหูกว่างออกไปหาหลี่ฮว่าหลงเอง ยอมให้กำลังสนับสนุน ลงแรงทุกอย่างที่ทำได้


ที่ว่าให้กำลังสนับสนุน เมื่อก่อนก็คือให้เงินและอาหาร แต่พ่อค้าเหล่านี้กลับยังให้ข่าวกองกำลังหลวง เมืองปัวโจวไม่ใช่แดนสนธยา คิดจะดำรงอยู่ก็ต้องติดต่อกับภายนอก อย่างน้อยเกลือก็ต้องซื้อจากด้านนอก พ่อค้าแถบนั้นรับซื้อและขายได้กำไรงาม


ไปเมืองซงเจียงครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ต้องแสดงความปรารถนาดีเอาใจหวังทง กองกำลังหลวงนี้เป็นการแสดงความปรารถนาดีได้ดีที่สุดเส้นทางหนึ่ง ทุกคนจึงเอื้อเฟื้อสายสัมพันธ์ที่เคยมีมาหมด ความจริงนั้นอย่าเห็นว่าตอนนี้ทางการเริ่มเก็บเงียบ แต่แต่ไรมาก็มีพ่อค้าขายอาวุธและเกลือให้ตระกูลหยาง  เบื้องหลังพ่อค้าก็มีพวกขุนนางทางทั้งนั้น ไม่เสียกำไร ทุกคนล้วนรับรู้ในเรื่องนี้ว่าเป็นจลาจลเล็กๆ กบฏเล็กๆ


กองกำลังหลวงปราบตระกูลหยางเปิดศึกแรกไม่ได้ต่อสู้กับตระกูลหยาง และไม่ใช่ทหารแม้วที่เป็นพันธมิตรกับตระกูลหยาง ไม่ใช่โจรที่ร่วมวงก่อการ หากปราบพ่อค้าเกลือเถื่อนในพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดก่อน


ปริมาณเกลือที่เสฉวนมีมาก พ่อค้าเกลือเสฉวนย่อมสร้างเครือข่ายตนเอง พวกเขานอกจากพื้นที่หูกว่างแล้ว กำไรยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือขายไปยังเผ่าต่างๆ ในตะวันตกเฉียงใต้ เผ่าต่างๆในภูเขาล้วนขาดแคลนเกลือ ราคาก็ย่อมสูงลิ่ว


ตระกูลหยางเมืองปัวโจวก่อกบฏแรกสุดก็ซื้อเกลือมาปริมาณมากก่อน จากนั้นก็ขายราคาสูงและตั้งธรรมเนียมกับพ่อค้าเกลือเถื่อน ทำให้ได้เกลือมาไม่ขาด  อาศัยเรื่องนี้ทำให้มีหมู่บ้านชาวเผ่าแม้วและเผ่าเย้าไม่น้อยมายอมรับใช้พวกเขา  ข่าวนี่แต่ไรทุกคนรู้กันดี แต่เพียงทำเป็นไม่รู้เท่านั้น หากเมื่อกองกำลังหลวงมาถึง ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม พ่อค้าใหญ่เสฉวนรีบนำข่าวนี้ไปขาย  คนของพ่อค้าเกลือเถื่อนมีกำลังถึง 3,000 ยากต่อกร แต่กองกำลังหลวงเพียงแค่เคลื่อนกำลังครึ่งหน่วยไปรบ


ทุกคนในเสฉวน ตั้งแต่หลี่ฮว่าหลงลงไปถึงบรรดาพ่อค้าเบื้องหน้า ล้วนรู้สึกว่าดูแคลนศัตรูเกินไปแล้ว…


ตอนที่ 1066 จัดการเมืองปัวโจว

Ink Stone_Fantasy

หนึ่งหน่วย 1,600 คน ครึ่งหน่วย 800 คนรับมือพ่อค้าเกลือเถื่อนกำลังเกือบสามพัน  ทุกคนในเสฉวนพากันคิดว่ากองกำลังหลวงหลงตัวเองเกินไปแล้ว


“แม้เป็นเหลียวกั๋วกงมาเอง ทำเช่นนี้ก็นับว่าเสี่ยงเกินไป ขุนพลซุนอายุน้อยกำลังฮึกเหิม หากเจออุปสรรคนี้ วันหน้าย่อมไม่เป็นผลดี!”


หลี่ฮว่าหลงแอบคุยกับคนสนิทเช่นนี้ คนสนิทเองก็เข้าใจอย่างมาก จึงรีบส่งคนไปบอกแก่ซุนซิง  คนระดับสูงพูดจากันก็ย่อมไม่กล่าวไปทั้งหมด ต้องเก็บไว้สามส่วน แต่คนสนิทไปกล่าวกลับกล่าวตรงไปตรงมามาก


“หากเป็นทหารไร้ระเบียบ 3,000 ขุนพลซุนนำทหาร 800 ไปจัดการได้ตามสบาย แต่พวกพ่อค้าเกลือเถื่อนนี่เป็นโจรในพื้นที่ โจรสามพันล้วนเป็นเครือญาติ ยากจะจับเคี้ยวเล่นได้….”


วาจานี้ช่างทำให้คนอยากยิ้มก็ไม่ออก  อยากร้องไห้ก็ไม่ได้ ทหาร 3,000 ให้โจมตีได้ตามสบาย  แต่โจร 3,000 กลับต้องคิดให้มาก เพราะกำลังการต่อสู้ไม่เลว ความจริงนั้นก็เป็นเรื่องจริง ทหารท้องที่ล้วนราวกระสอบหญ้า ไม่อาจต่อสู้อะไรได้จริงๆ แต่พวกเกลือเถื่อนไม่เหมือนกัน


สามารถขนเกลือไปขายเมืองปัวโจวทำกำไรได้ พวกค้าเกลือเถื่อนเช่นนี้ อิทธิพลอำนาจย่อมล้นฟ้า  ในวงการสายนักเลงก็ไม่อาจทำได้เช่นนี้ พวกค้าเกลือเถื่อนเป็นคนใหญ่คนโตในพื้นที่ ครอบครัวมีบัณฑิตจวี่เหรินมีความชอบสองคน สายสัมพันธ์ขุนนางก็แข็งแกร่งมาก ว่ากันว่าถึงระดับผู้ว่าการมณฑล


แต่ทว่าเมืองปัวโจววุ่นวาย ความผิดหนักมาก องครักษ์เสื้อแพรเสฉวนตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว ก็รีบตัดสัมพันธ์ทันที ไม่เหลือสายสัมพันธ์อีก


พวกค้าเกลือเถื่อนคนใหญ่คนโตในท้องที่มีกำลังส่วนตัวมากเช่นนี้ ก็เพราะขนเกลือให้ชนเผ่าพื้นเมืองต่างๆ  ไม่แน่อาจมีคนมาปล้น  อันตรายมาก หากพบการตรวจสอบจากทางการที่ไม่รู้จักดูให้ดี บางทียังลงมือสังหารกลับไป พวกคนเหล่านี้ หนึ่งมีสายสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน สองล้วนอาศัยเงินเลี้ยงดู สามอย่างไรก็เคยสังหารกับพวกแม้วพวกเย้ามาก่อน ล้วนมีประสบการณ์ กองกำลังเช่นนี้ก็เกือบเท่ากับระดับทหารมณฑล ย่อมต่อสู้เก่งกล้ามาก


ซุนซิงไม่สนใจคำเตือนของคนอื่น เจ้ากงกงที่อายุน้อยก็กลับไม่ฟังเช่นกัน ทุกคนได้แต่ทอดถอนใจ รวบรวมกำลังกันไป


ยังไงก็จะเอา 800 สู้ 3,000  รับมือพวกเกลือเถื่อนเช่นนี้ นิรโทษกรรมก็ได้ไม่ใช่หรือ? หากไม่ได้ ก็ขอผู้บัญชาการเสฉวนรวมกำลังมา จะสู้ไม่ได้ได้อย่างไร


ทว่าการต่อสู้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและง่ายดายมาก กองกำลังหลวง 800 ปืนไฟ 300 ยิงสองรอบ  อีกฝ่ายยิงธนูโดนกวาดเรียบ  จากนั้นกองกำลังหลวงรวมกำลังกันตั้งเป็นแถวทัพบุกเข้าไปยังกองกำลังอีกฝ่าย  บุกทะลุกลางกองกำลังอีกฝ่าย จากนั้นก็วนทะลุกลับมาสองรอบ


พวกค้าเกลือเถื่อนไม่อาจต้านทานได้ พริบตาก็แตกกระเจิง ผลการต่อสู้ทำให้หลายคนมองกันตาค้าง  แต่พอเห็นกองกำลังหลวงท่าทางปกติคิดกันว่าเป็นเรื่องที่ควรเป็น  พวกคนที่ตามมาชมการต่อสู้จึงได้รู้ความร้ายกาจที่แท้จริงของกองกำลังหลวง


พวกค้าเกลือเถื่อนเดิมทียังคิดต้านทานไว้ ให้ทางการเสียที จากนั้นค่อยเจรจาเงื่อนไขนิรโทษกรรมก็ไม่เลว เขารู้ว่าเสฉวนนั้นทหารล้วนย่ำแย่เต็มที ยังคิดว่าทหารมารับมือพวกตระกูลหยาง ตนเองอาจได้ออกแรงช่วยบ้าง คิดไม่ถึงกองกำลังหลวงจัดการได้ไวเพียงนี้ ฝีมือต่อสู้ร้ายกาจเพียงนี้ ได้แต่ยอมจำนนด้วยตนเอง ขอไว้ชีวิต


กองกำลังหลวงปราบพวกค้าเกลือเถื่อนเป็นการข่มบารมี ทุกคนล้วนเข้าใจหลักการนี้ คิดไม่ถึงกองกำลังหลวงข่มบารมียิ่งใหญ่เพียงนี้ รวดเร็วเพียงนี้


พวกค้าเกลือเถื่อนกองกำลังใหญ่ล้วนถูกปราบราบคาบ คนอื่นๆ ไหนเลยยังกล้าก่อการ หลี่ฮว่าหลงกับผู้ว่าการมณฑลเสฉวนจัดการออกคำสั่งห้ามมาสองปี ยังมีคนทำการค้ากับเมืองปัวโจว แต่หลังจากครั้งนี้ คำสั่งห้ามออกไป ทุกคนล้วนไม่กล้าเคลื่อนไหว


ก่อนตระกูลหยางเมืองปัวโจวก่อความวุ่นวาย ก็สะสมเสบียงไว้เพียงพอ  เป็นเหตุให้สามารถรวมกำลังชาวบ้านจากหมู่บ้านต่างๆ มาได้ แต่ของสะสมเพียงพอไม่ได้หมายความว่าไม่ต้องขนไป


ทุกคนล้วนเข้าใจดี หากไม่มีของจากภายนอกมาสมทบ ด้วยพื้นที่เช่นเมืองปัวโจว ก็ย่อมตายสถานเดียว ตอนนี้ยังมีหลายที่ยังหาทางตีฝ่าออกไปไม่ได้ หากถูกล้อมเอาไว้ จุดจบก็ย่อมเป็นว่าค่อยๆ สิ้นเปลืองของที่สะสมไว้จนหมด จากนั้นก็แตกกระเจิงรอความตาย


ตระกูลหยางเองก็เข้าใจหลักการนี้ วันที่ห้าหลังตัดเส้นทางขนเกลือ ตระกูลหยางก็รวบรวมกำลังและทหารที่อื่นมาเกือบ 15,000  นายโจมตีอำเภอเหอเจียง  หากตีฝ่าไปได้ ไปยังเฉิงตูได้ ไปยังพื้นที่สมบูรณ์ที่สุดของเสฉวนได้ ได้เสบียงมาเพิ่ม อะไรก็ล้วนสะดวก


 กองกำลังหลวง 6,000 นายและทหารสองหมื่นจากเสฉวนขวางหน้าพวกเขา ทหารเสฉวนก็เป็นเพียงแต่หน่วยกองบริการ รบจริงๆ ก็ต้องอาศัยกองกำลังหลวง


 การต่อสู้นี้ถึงกับให้ซุนซิงไม่ได้รู้สึกพอใจอันใดนัก ในการรบนั้น ปืนใหญ่ตูมไปสองที ทัพศัตรูก็เริ่มสั่นคลอน  เห็นศัตรูใกล้แตกพ่าย หากศัตรูแตกกระจัดกระจายมากไปไม่อาจปราบได้หมด จึงหยุดยิงปืนใหญ่ ปล่อยให้ศัตรูบุกเข้ามา


ผลปรากฏปืนไฟยิงไม่ถึงห้ารอบ ศัตรูก็ไม่อาจรวมกำลังบุกเข้ามาได้อีก ซุนซิงออกคำสั่งบุกอย่างเสียไม่ได้


ขบวนทัพม้าตีกองกำลังศัตรูแตกพ่ายทันที ตระกูลหยางก็มีทหารม้า แต่ทว่าม้ายูนนานและเสฉวนตัวเตี้ยเล็ก  ไม่อาจมีแรงบุกปะทะอันใด ทหารม้าตะวันตกเฉียงเหนือล้วนตัวสูงใหญ่  ความแตกต่างม้ามีมาก ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงเกราะกับอาวุธที่แตกต่างกันอีก  ทหารม้าตะวันตกเฉียงใต้กล่าวว่าเป็นทหารม้า ไม่สู้กล่าวว่ามาแค่เติมจำนวนเท่านั้น ทหารม้าตะวันตกเฉียงเหนือนั้นเรียกได้ว่าวันๆ อยู่แต่บนหลังม้า


ทหารม้าเมืองปัวโจวถูกตีพ่าย จากนั้นถูกไล่ต้อนกลับไป ทหารม้าที่ตระกูลหยางคิดว่าเป็นกำลังหลักกลับมาเหยียบกองกำลังตนเอง เดิมที่กำลังแตกตื่นกันแล้วก็ยิ่งแตกกระเจิง


สถานการณ์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ทหารม้าชอบดูที่สุด ไล่ต้อนทหารพ่ายศึก ให้พวกเขาเหยียบย่ำกันเอง  ให้สังหารกันเอง  สามารถขยายผลการรบไปได้ต่อเนื่อง ทหารราบก็ให้ศัตรูเก็บกวาดกันเองก็พอ ไม่ต้องใช้กำลังสิ้นเปลืองแรงมากนัก


ยังคงเป็นเสฉวนที่ไม่มีพื้นที่ราบกว้างนัก ไม่เช่นนั้นหากเปิดทางให้ทหารม้าเข้ากวาดล้างได้ล่ะก็ ผลการรบย่อมยิ่งใหญ่กว่านี้ ซุนซิงไม่พอใจผลการรบก็คือเรื่องนี้


แต่ทว่าเขาไม่พอก็ส่วนไม่พอใจ หลี่ฮว่าหลงกับขุนนางเสฉวนและกุ้ยโจวพากันลิงโลดยิ่ง หนึ่ง รวบรวมความชอบทางการทหาร สอง หาคนเขียนฎีกาสวยหรูรายงานไปยังเมืองหลวง


ตอนนี้ขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ในเสฉวน หูกว่างและกุ้ยโจวรู้แล้วว่ากองกำลังหลวงมีกำลังการต่อสู้เช่นไร เมื่อก่อนได้ยินมาก็มักจะรู้สึกว่าเกินจริง เมื่อก่อนตัดหัวพวกนอกด่านได้ชัยชนะใหญ่ เจ้าหวังทงนั่นก็แน่ พริบตาได้มาหลายพันหลายหมื่นหัวรายงานความชอบ  ช่างน่าอายเสียจริง  หลังการต่อสู้ที่อำเภอเหอเจียง พวกเขาจึงได้เข้าใจว่าที่แท้ไม่ได้เกินเลยไป กองกำลังหลวงถึงกับสังหารกองกำลังศัตรูเรือนพันได้อย่างผ่อนคลาย ตัดหัวทิ้งราวกับหั่นผัก


จากนี้ไปก็ไล่ล่าจับตัว ตระกูลหยางเมืองปัวโจวเดิมปักหลักมั่นที่นี่มา 800 ปีแล้ว  การพ่ายแพ้ครั้งนี้เพราะยกกำลังออกไป เช่นนั้นก็รักษาพื้นที่ไว้ไม่ไปไหน ที่นี่พื้นที่ซับซ้อน อย่างไรพวกเจ้าก็เข้ามาไม่ได้  ยืนหยัดไว้ระยะหนึ่ง ก็ขอรับผิด จากนั้นก็โยนพวกลูกหลานที่สายสัมพันธ์ใกล้หน่อยออกไปรับผิด เรื่องราวก็อาจจะผ่านไป


เทียบกับก่อนหน้าการต่อสู้หวังทงไม่ได้มีจดหมาย แต่พอมีชัยแล้ว หวังทงกลับมีจดหมายมาบอกกล่าวมามาก


ในนั้นกล่าวถึง ต้องไม่เหลือรากแห่งความชั่วไว้ ต้องให้ทหารในพื้นที่ช่วยเหลือให้มาก ไม่อาจเหลือไว้ก็คือต้องไล่ล่าสังหารโจรให้หมดสิ้น  ให้ทหารในพื้นที่ช่วยในเรื่องนี้ หวังทงให้คำอธิบาย แต่วาจาก็ต้องเก็บไว้สามส่วน จดหมายเมืองซงเจียงถึงเสฉวนไปมายุ่งยากมาก ย่อมเสียเวลา


ทางการท้องที่ปราบโจร ไม่สู้กล่าวว่าพวกเขาเองก็เป็นโจร พอเข้าเขตแดนมารู้สึกเหมือนมีกระแสลมพัด พื้นที่ถูกทำลายมาก แต่ที่ต้องการก็คือการถูกทำลายเช่นนี้ เมืองปัวโจวแห่งนี้ ราชสำนักแต่งตั้งตระกูลหยางแต่ละรุ่นเป็นผู้ปกครองพื้นที่ชนกลุ่มน้อยดำรงตำแหน่งเซวียนเว่ยสื่อ ความจริงนั้นตระกูลหยางก็ราวกับฮ่องเต้ท้องถิ่น ชาวพื้นเมือง หมู่บ้านบนเขา ล้วนรู้เพียงตระกูลหยาง ไม่รู้ว่ามีราชสำนัก ให้ขุนนางท้องที่ส่งทหารไป ‘จัดระเบียบ’ สักรอบ จากนั้นให้อพยพราษฎรเข้ามา  ก็เป็นการทำให้พื้นที่ราชสำนักมั่นคง


ซุนซิงนำกำลังรบชำนาญมาก หลายเรื่องไม่ได้วิเคราะห์เอง แน่นอนล้วนใช้แบบหวังทงเป็นหลัก หลี่ฮว่าหลงเห็นแล้ว แม้ว่ารู้สึกอึดอัด แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่า ความคิดหวังทงล้วนคิดเพื่อส่วนรวมแห่งราชสำนัก จึงไม่อาจกล่าวอันใด


สำหรับขุนพลทหารเสฉวนแล้ว กองกำลังหลวงแม้ว่าเก่ง  หากยังรู้จักวางตัว รู้แบ่งความชอบให้ทุกคน ทุกคนร่วมกันร่ำรวย เมืองปัวโจวไม่อาจเทียบกับเฉิงตู  แต่หากปล่อยให้แย่งชิงได้ล่ะก็ ก็ย่อมมีไม่น้อย โอกาสเสพสุขก็มาก


ขุนพลทหารล้วนตั้งสติมั่น ทุกคนรับคำสั่งอย่างดี นำเสบียงอาหารมอบให้กองกำลังหลวงเป็นการรับประกันไว้ก่อน ให้พวกเขามีชัยมา จากนั้นก็จะได้ฉลองกัน


การรบลำบากแท้จริงก็คือวันที่สามในก่อนการเข้าสู่ศูนย์กลางเมืองปัวโจว ที่ตั้งค่ายกองกำลังหลวงมั่นคง ด้านหลังยังมีทหารทางการในพื้นที่อีกกองใหญ่ ถึงกับยังมีพวกชาวพื้นเมืองที่ไม่ถูกกับตระกูลหยางมาช่วย  คิดจะลอบโจมตีคนมีแต่ต้องเลือดตกยางออกกลับไปแทนแล้ว แต่ทว่าเห็นการคุกคามมาถึงพื้นที่ตนเช่นนี้ ตระกูลหยางก็ไม่อาจไม่หลั่งเลือดต่อสู้


โอกาสอยู่ในวันที่สาม เดินทัพอยู่นั้นฝนก็ตกหนัก เดือนหกในเสฉวนร้อนอบอ้าว ฝนตกหนักเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ทว่าท่ามกลางฝนตกหนักเช่นนี้ ไม่ว่าปืนไฟหรือของที่ต้องการความแห้งทำอย่างไรดี ปืนใหญ่กับปืนคาบชุด[1]ล้วนยากยิง สำหรับพวกที่กำลังรอโอกาสอย่างตระกูลหยางแล้ว นับเป็นโอกาสที่หาได้ยาก


เมืองปัวโจวอย่างไรก็เป็นพื้นที่เขา กำลังตระกูลหยางอยู่ในเขาอย่างไรก็ปรับตัวได้ดีกว่าคนอื่น  การรบกลางสายฝนเป็นเช่นนี้เอง ยิ่งสำคัญไปกว่าก็คือ กองกำลังหลวงค่อยๆ บีบให้เมืองปัวโจวเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ ล้วนตัดสินใจจะสู้ตาย  อันดับแรกก็ต้องวิเคราะห์ว่ากองกำลังเมืองปัวโจวย่อมเข้าตีหน้าฝน


การต่อสู้ยามฝนตก ปืนไม่อาจยิงได้ ธนูเองยังมีอานุภาพ ท่ามกลางสายฝน ทหารทางเหนืออาจยันไม่อยู่  ลำบากใจยิ่ง


ผลการปะทะครั้งนี้ไม่น้อย กองกำลังหนุนด้านหลังเริ่มแตกพ่ายถอยร่น กองกำลังหลวงเพียงแต่ตั้งแถวเรียบร้อย ทหารหนิงเซี่ยกับส่านซีสองพันกว่าก็ได้แต่รวมตัวเป็นกลุ่ม ถึงกับไม่อาจตั้งแถวรับศึก


ปืนใหญ่กับปืนไฟล้วนไม่อาจยิงได้ ไม่มีทางยิงได้จริง ๆ  พลปืนไฟไม่ก็หยิบไม้ง่ามตั้งปืน ไม่ก็คว้าดาบประจำตัวออกมาสู้


ทหารหนิงเซี่ยกับส่านซีถูกสังหารแตกกระเจิงอย่างรวดเร็ว พวกเขาถูกฝนเปียกชุ่ม ไม่สบายตัวยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงสภาพพื้นที่ดินโคลนที่กำลังปะทะกับอีกฝ่าย หลังแตกกระจัดกระจาย  กองกำลังเมืองปัวโจวก็ล้อมสองหน่วยกองกำลังหลวงโจมตี


ไม่มีปืน กองกำลังหลวงยังมีวินัยทหาร ยังมีเกราะ ยังมีดาบทวน ซุนซิงเองก็อยู่แนวหน้า สวมเกราะถือทวน  ตะโกนคำสั่งดัง แม้แต่เจ้าจินเลี่ยงก็ยังถือดาบสั้นนำทหารติดตามออกศึก


แม่ทัพเป็นเช่นนี้ ความมั่นใจที่รบไม่เคยแพ้ก็ยังคงอยู่ สองหน่วยกองกำลังหลวงรบยืนหยัดไม่ถอยท่ามกลางสายฝนกระหน่ำสู้กับกองกำลังเมืองปัวโจว นายทหารถือทวนขวานกับพลปืนไฟถืออาวุธสั้นบุกสังหารกองกำลังเมืองปัวโจวกลับไป


ท่ามกลางสายฝน ธนูล้วนไม่อาจยิงแม่น ทำให้กอกกำลังเมืองปัวโจวรู้สึกยุ่งยากก็คือ เครื่องป้องกันอีกฝ่ายดีเยี่ยมมาก อาวุธตนเองไม่อาจทำร้ายอีกฝ่ายได้ อาวุธอีกฝ่ายกลับไม่ใช่เช่นนั้น แทงโดนตลอด


สถานการณ์นี้ไม่อาจคงอยู่ได้นานัก ทหารจากเหนือแม้ไม่คุ้นชินกับสภาพฝนตกและดินโคลน แต่สำหรับกำลังเมืองปัวโจวแล้ว ก็เป็นการสิ้นเปลืองแรงมากเช่นกัน คิดได้ก่อนก็เป็นกำลังปัวโจวเหล่านี้ พากันแตกกระเจิง รุกนานไม่ได้สักที ตนเองบาดเจ็บล้มตายยิ่งมาก กำลังเมืองปัวโจวจิตใจเริ่มหมดสิ้นความฮึกเหิมแล้ว


ทหารเก่งกล้าจากหนิงเซี่ยกับส่านซีล้วนเป็นกำลังหลักใต้บังคับของผู้บัญชาการทหาร หลังเมืองชายแดนปรับระบบ  ยังเก็บทหารชุดนี้ไว้ พวกเขาเดิมเลี้ยงดูด้วยเงิน  สามารถการรบ  เมื่อครู่ถูกตีพ่ายถอยร่น  กลับไม่ได้สูญเสียมากนัก สองหน่วยรบกองกำลังหลวงยันไว้ได้ พวกเขาครองสตินิ่งแล้ว ก็สังหารกลับไป


สองฝ่ายประสานกำลัง กองกำลังเมืองปัวโจวต้านทานไม่อยู่ ฝนตกหลายชั่วยาม แม้กองกำลังหลวงจะเป็นทหารที่ผ่านการรบมาโชกโชนเช่นนี้ก็ล้วนรู้สึกเหนื่อยล้า นับประสาอันใดกับกองกำลังเมืองปัวโจวที่ไร้ขวัญกำลังใจ


การต่อสู้ท่ามกลางสายฝน ทำลายพลังกายได้จนน่าตกใจ คิดจะถอยก็ไม่ได้ราบรื่นเหมือนที่อำเภอเหอเจียง ก่อนฟ้ามืด ฝนก็ซาลง การต่อสู้หยุดลง กองกำลังหลวงตั้งค่ายพัก ส่งคนไปติดต่อทหารเสฉวนที่กระเจิดกระเจิงให้กลับมา จากนั้นก็นับศพ


จำนวนศัตรูบาดเจ็บล้มตายบริเวณดินโคลนโดยรอบเหมือนกับการต่อสู้ที่อำเภอเหอเจียง  ความเสียหายใหญ่มาก เพราะศัตรูในการต่อสู้ครั้งนี้ทุ่มกำลังมาน้อยกว่าที่อำเภอเหอเจียง การเทียบอัตราส่วนนี้ทำให้รู้สึกน่าตกใจยิ่ง


ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หลังการต่อสู้นี้ ตระกูลหยางไม่มีกำลังสามารถออกรับศึกได้อีกแล้ว คนเมืองปัวโจวหมดสิ้นกำลังใจสิ้นเชิงแล้ว


กองกำลังหลวงครั้งนี้ตายไป 153 บาดเจ็บ 300 สำหรับกองกำลังหลวงเรียกว่าบาดเจ็บล้มตายมากแล้ว  อย่างไรก็ไม่ชำนาญการต่อสู้ทางใต้เช่นนี้ ดังนั้นจึงเป็นเช่นนี้ ซุนซิงโมโหมาก แต่นายกองตรวจการทัพกลับรู้งานมาก รีบกล่าวว่าทหารผู้กล้าเหล่านี้ล้วนเสียสละเพื่อความสงบของแผ่นดินตะวันตกเฉียงใต้  ท้องที่ย่อมตอบแทนอย่างมาก แน่นอนทหารเสฉวนกับหูกว่างบาดเจ็บล้มตายยิ่งมาก ไม่มีความผิดก็นับว่าไม่เลวแล้ว


การต่อสู้มาถึงตอนนี้ ใกล้ได้เวลาเก็บงานแล้ว ตระกูลหยางคิดตายไปพร้อมกันกับป้อมเมืองปัวโจว ดูว่าสามารถยืนหยัดต่อสู้จนตัวตายครั้งนี้ได้หรือไม่


ป้อมปราการแน่นหนา พื้นที่ซับซ้อน ทหารด้านในกับเสบียงก็มากพอ แต่ทว่า พอแท่นปืนใหญ่ตั้งขึ้น ทุกคนก็พากันสติแตก


…………………………………


[1] คือระบบกลไกปืนชนิดหนึ่งซึ่งใช้หลักการจุดชนวนด้วย “ชุด” ซึ่งทำมาจากเชือกชุบเชื้อไฟเพื่อให้เชือกเกิดการลุกไหม้อย่างช้า ๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)