พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1063-1066

 บทที่ 1063 บัตรเชิญงานแต่งงาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

พวกเขาสองคนกังวลเรื่องนี้ เหมียวอี้ก็กังวลเรื่องนี้เช่นกัน ปี้เยว่ฮูหยินให้อำนาจเขาอย่างเต็มที่ เขาเองก็อยากจะทดสอบว่าปี้เยว่ฮูหยินพูดจริงหรือเปล่า พอกลับมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เรื่องแรกที่เขาทำก็คือเลื่อนขั้นฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ให้เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกและผู้บัญชาการเขตเมืองใต้เสียเลย


เขาออธิบายสถานการณ์ให้ทั้งสองคนฟังด้วย ให้ทั้งสองครองตำแหน่งไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้ตอนหลังมีคนมาใช้เส้นสายกดดันถึงที่


ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋รู้สึกตื้นตันใจเล็กน้อย ไม่มีอะไรจะว่าน้องชายร่วมสาบานคนนี้แล้ว เมื่อมีผลประโยชน์อะไรก็คิดถึงพวกเขาเป็นคนแรกๆ


อิงอู๋ตี๋ถือคำสั่ง นำคนไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองใต้เพื่อรับช่วงต่องานในเขตเมืองใต้ทันที ทำตามที่เหมียวอี้บอก ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น ตำแหน่งที่สำคัญให้เปลี่ยนเป็นคนของตัวเองให้หมด


และตอนหลังมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็ถูกเหมียวอี้เรียกมาเช่นกัน ดำเนินการโยกย้ายกำลังพลของเขตเมืองทั้งสี่ จับบรรดาราชาปีศาจที่ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋พามาจากทะเลดาวนักษัตรัยดเข้าไปใต้สังกัดของมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหราน รองผู้บัญชาการใต้สังกัดของทั้งสองถูกเปลี่ยนหมดแล้ว


เหมียวอี้ไม่ปิดบังการเคลื่อนไหวของตัวเองเลย ควบคุมทั้งตลาดสวรรค์อย่างโจ่งแจ้ง เขาไม่ได้มีภูมิหลังใหญ่โตเหมือนโค่วเหวินหลานที่จะมา ‘หน้าใหญ่ใจโต’ ให้ลูกน้องจัดการเองตามเห็นสมควร มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานไม่ได้มีความเห็นแย้งอะไรต่อสิ่งนี้


ส่วนเล่าหนานซงกับกงอวี่เฟยรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองคน พวกเขาเป็นคนของปี้เยว่ฮูหยิน เหมียวอี้ยังไม่ได้แตะต้อง สาเหตุหลักเป็นเพราะในมือยังไม่มีกำลังคนที่ใช้งานได้มากมายขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงเปลี่ยนไปพร้อมกันแล้ว จะดูว่าที่ปี้เยว่ฮูหยินบอกว่าปล่อยอำนาจให้เขานั้นจริงหรือเปล่า


การปรับเปลี่ยนบุคลากรแบบทั้งชุดดำเนินการเสร็จเรียบร้อยภายใหนึ่งชั่วยาม เรียกได้ว่ารวดเร็วเด็ดขาดเหมือนฟ้าผ่าจริงๆ จากนั้นเหมียวอี้ก็ไปหาปี้เยว่ฮูหยินที่ตำหนักคุ้มเมืองเพื่อขอคำแนะนำทันที ปี้เยว่ฮูหยินเพียงอึ้งเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าจะรวดเร็วขนาดนี้ จึงแสดงความเชื่อใจอย่างเต็มที่อีกครั้ง ไม่แทรกแซง ให้เขาจัดการเองตามเห็นสมควร!


ตอนที่กลับมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกอีกครั้ง ก็มีแขกทยอยกันมาเยี่ยมคารวะแล้ว ผู้จัดการของร้านค้าใหญ่ๆ มาแสดงความยินดีอีกครั้ง


เหมียวอี้ปวดหัวกับสิ่งนี้มากจู้จี้จุกจิก น่ารำคาญมาก


ที่จริงผู้จัดการของร้านค้าใหญ่ๆ ก็ปวดหัวเช่นกัน ไม่ใช่เพราะกลัวความยุ่งยาก แต่การขยันส่งของขวัญมากเกินไปทำให้พวกเขารับไม่ไหวนิดหน่อย สิ่งที่ผู้จัดการร้านพวกนี้กลัวที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงบุคลากรแบบถี่ๆ ที่ตลาดสวรรค์ พอมีการเปลี่ยนแปลงก็ต้องส่งของขวัญแสดงความยินดี นี่เพิ่งจะส่งของขวัญไปได้ไม่นานเท่าไร ก็มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว อีกทั้งขอบเขตการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ก็ใหญ่มากด้วย


ส่วนเหมียวอี้ก็นับว่าเข้าใจแล้วถึงสิ่งที่เรียกว่ารับของขวัญจนมือไม้อ่อน รอบนี้ไม่ได้มีแค่คนของเขตเมืองตะวันออกมาแสดงความยินดีแล้ว แต่เป็นคนทั้งตลาดสวรรค์มาแสดงความยินดี


ผู้จัดการทั้งร้านเล็กร้านใหญ่ไม่สนว่าจะได้เจอเหมียวอี้หรือไม่ ต่างก็มามอบของขวัญแสดงความยินดีให้ ถ้าได้พบก็มอบให้แบบต่อหน้า ถ้าไม่ได้พบก็ให้ส่งต่อให้ ของขวัญที่มอบให้ผู้บัญชาการใหญ่กับของขวัญที่มอบให้ผู้บัญชาการย่อมคนละระดับอยู่แล้ว เป่าเหลียนช่วยเขารับของขวัญจนตกอกตกใจ


เขตเมืองทั้งสี่มีร้านค้าเกินแสนร้าน ของขวัญที่พ่อค้ามากมายขนาดนี้ส่งมาให้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าพอนำมารวมกันแล้วจะมีขนาดใหญ่โตขนาดไหน?


แม้แต่มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็แสดงน้ำใจนิดหน่อย ยาแก่นเซียนที่โค่วเหวินหลานมอบให้พวกเขา ทั้งสองแบ่งมามอบเป็นของขวัญคนละห้าล้านเม็ด


“มากขนาดนี้เชียวเหรอ?”


ผู้บัญชาการใหญ่เหมียวพบปะเข้าสังคม ยุ่งจนปลีกตัวออกมาไม่ได้ อวิ๋นจือชิวจึงพาสองพี่น้องโอวหยางมาด้วยกัน แสร้งเป็นมามอบของขวัญแสดงความยินดี เหมียวอี้นำของขวัญที่ได้รับโยนให้เมียผู้จัดการตรวจนับ สรุปรวบยอด และนำไปจัดการ อวิ๋นจือชิวเห็นแหวนเก็บสมบัติที่กองเป็นภูเขาแล้วอุทานอย่างตกตะลึงเช่นกัน


เหมียวอี้นั่งลงและรับนำชาที่โอวหยางหลางยกมาให้ หลังจากดื่มไปคำหนึ่ง ก็ยิ้มเจื่อนพร้อมบอกว่า “มิน่าล่ะที่ใครๆ ก็บอกว่าตำแหน่งที่ตลาดสวรรค์มั่งคั่ง ยังไม่ทันจะทำอะไร ก็มีของขวัญมากมายมาส่งให้เองถึงที่ เมื่อเทียบกับของขวัญพวกนี้แล้ว รายรับประจำตำแหน่งก็น้อยนิดประหนึ่งขนเส้นเดียวบนวัวเก้าตัว”


“ไม่เยอะหรอก ไม่เยอะ มีที่ให้ใช้เงินตั้งเยอะ เจ้าแต่งงานกับพวกเราก็ต้องเลี้ยงดูด้วยสิ! ยามปกติก็ช่วยปรนนิบัติให้เจ้าจนผ่อนคลายสบายตัว คงจะปรนนิบัติให้เฉยๆ ไม่ได้หรอกใช่มั้ย?” อวิ๋นจือชิวเล่นหูเล่นตาใส่สองพี่น้องโอวหยาง “ยามปกตินายท่านไม่มีเวลามาอยู่กับพวกเรา พวกเราพี่น้องก็ต้องรู้จักรักตัวเอง เดี๋ยวพวกเราไปเดินตลาดกันสักหน่อยเถอะ ไปซื้อของที่โปรดปรานให้ตัวเองสักหน่อยดีกว่า ถึงอย่างไรนายท่านก็ร่ำรวย พวกเจ้าว่ามั้ยล่ะ?”


สองพี่น้องโอวหยางสบตากันแล้วยิ้ม แล้วกล่าวหยอกล้อพร้อมกันว่า “เชื่อฟังฮูหยินค่ะ”


เหมียวอี้กลอกตามองบน แต่เขาก็ขี้คร้านจะสนใจ เขาไม่ต้องกังวลใจในด้านนี้ อวิ๋นจือชิวรู้ดีกว่าเขาว่าตรงไหนควรจะจ่ายตรงไหนไม่ควรจะจ่าย ช่วยเขาจัดการอย่างเหมาะสมเรียบร้อยมาโดยตลอด


อวิ๋นจือชิวที่หน้าชื่นตาบานนำของเก็บไว้ ในฐานะที่เป็นเมียผู้จัดการเรื่องราวในบ้าน รายรับรายจ่ายปกติก็แทบจะอยู่ในมือของนางหมด นางย่อมรู้ดีว่าเหมียวอี้ก็มีรายจ่ายเยอะเหมือนกัน ถึงอย่างไรก็เลี้ยงคนไว้มากมายขนาดนั้น หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของนางตอนนี้ก็คือดูแลจัดการบัญชี


แต่จะว่าไปแล้ว ช่วงนี้ร่ำรวยติดต่อกันหลายครั้ง จะไม่ให้อวิ๋นจือชิวดีใจก็คงแปลก ก่อนหน้านี้เหมียวอี้ร่ำรวยมาจากสถานที่ไร้ระเบียบก้อนหนึ่ง นั่นต่างหากที่ทำให้นางตกตะลึงอย่างแท้จริง ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ลำพังแค่แค่เกราะรบลึกแดงร้อยกว่าชุด เด็กดี! ทำให้นางดีใจจนมีรอยยิ้มแขวนบนใบหน้าหลายวัน เกือบจะทำให้นางยิ้มค้างแล้ว


ผู้ชายคนนี้หาเงินเก่งเกินไปแล้ว แต่นางชอบมาก!


อวิ๋นจือชิวที่ได้ร่ำรวยอีกรอบรู้สึกหวานชื่นสุขใจ ถามสองพี่น้องโอวหยางว่า “พวกเจ้ายังไม่เคยเห็นเรือนพักด้านในของจวนผู้บัญชาการใช่มั้ย? ไปดูข้างหลังกันเถอะ”


“ค่ะ!” สองพี่น้องเอ่ยรับแล้วจูงมือกันเดินไปข้างหลัง รู้ว่าอวิ๋นจือชิวมีเรื่องจะคุยกับเหมียวอี้เป็นการส่วนตัว


ในด้านนี้อนุภรรยาไม่มีสิทธิ์ที่จะต่อว่าต่อขานอะไรกับภรรยาเอก ภรรยาเอกมีอำนาจตัดสินใจเรื่องในเรือนหลัง แม้แต่เหมียวอี้เองก็ยังไม่สะดวกจะพูดอะไร เรื่องหลงใหลอนุจนหลงลืมภรรยาเอก ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่บ้านไหนก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นแบบนี้ สองพี่น้องมีสิทธิ์แค่เชื่อฟัง


เมื่อไม่มีคนอื่นแล้ว อวิ๋นจือชิวก็เก็บใบหน้ายิ้ม นั่งลงข้างเหมียวอี้ แล้วขมวดคิ้วถามว่า “ให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”


“จะมีเรื่องอะไรได้อีกล่ะ นอกเสียจากจะอยากให้ข้าทำงานรับใช้นาง…” เหมียวอี้เล่าเรื่องที่คุยกับปี้เยว่ฮูหยินให้นางฟังทันที


อวิ๋นจือชิวฟังจบแล้วมองสำรวจเหมียวอี้ด้วยสีหน้าสงสัย มองจนเหมียวอี้อึดอัดไปทั้งตัว “ทำไมต้องมองข้าแบบนี้?”


“ผู้หญิงคนนั้นมีเจตนาอื่นหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวเลิกคิ้วถาม


เหมียวอี้พ่นเสียงทางจมูกแล้วบอกว่า “ก่อนหน้านี้ข้าก็สงสัย แต่พอลองคิดไปคิดมา อาศัยภูมิหลังและอำนาจของนาง ยังจะมาหวังอะไรจากข้าได้ล่ะ?”


“เจ้าว่านางหวังอะไรล่ะ? เจ้าอย่าลืมนะว่าผู้หญิงคนนั้นใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตลอด แม้แต่จิ้งจอกตัวเดียวก็ไม่ปล่อยไป…ใครจะไปรู้ว่านางจะเคยให้จิ้งจอกตัวนั้นแปลงร่างเป็นเจ้าหรือเปล่า แค่คิดก็สะอิดสะเอียนแล้ว” อวิ๋นจือชิวพูดจู้จี้จุกจิกอยู่พักหนึ่ง เรื่องที่เกี่ยวข้องกับปีศาจจิ้งจอกพันหน้า เหมียวอี้เคยเอ่ยถึงตอนที่สองสามีภรรยานอนร่วมเรียงเคียงหมอนกัน สุดท้ายก็พูดเสริมอีกว่า “นางคงไม่ได้ชอบเจ้าหรอกใช่มั้ย?”


เหมียวอี้ตะลึงนิดหน่อย ทำหน้านิ่งทื่อพร้อมบอกว่า “เจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว? ข้าก็ไม่ใช่ประเภทใครเห็นใครก็รักเหมือนที่เจ้าว่าหรอกมั้ง?” แต่หลังจากถูกเตือนแล้ว ในหัวก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงภาพที่ปีศาจจิ้งจอกเปลี่ยนร่างเป็นตัวเอง ภาพนั้นงดงามเกินไป เขาไม่ค่อยกล้าคิดต่อ


อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรเหมือนกัน! หนิวเอ้อร์ เจ้าฟังข้าไว้ให้ดีนะ ห้ามไปพักอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมือง อยู่กับผู้หญิงคนนั้นทุกวัน เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เข้า ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าเองก็มองไม่เห็นด้วย เจ้าคงไม่กลายเป็นหยางไท่คนที่สองหรอกใช่มั้ย?”


“เกินไปแล้วล่ะมั้ง ที่เจ้าพูดน่ะ?” เหมียวอี้ยิ้มอย่างขื่นขม


อวิ๋นจือชิวถลึงตา ทำท่าเหมือนจะปรี๊ดแตก “หมายความว่าเจ้าจะอยู่กับนางให้ได้เลยใช่มั้ย?”


ดูพูดเข้าสิ ที่บอกว่าจะอยู่กับนางให้ได้คืออะไร! เหมียวอี้อ้าปากค้างพูดไม่ออก สุดท้ายก็กล่าวอย่างจนใจว่า “ได้ เชื่อฟังเจ้า ทางตำหนักคุ้มเมืองก็ไม่สะดวกจะขุดทางใต้ดินจริงๆ จะโดนคนอื่นจับได้ง่าย ข้าอยู่ที่นี่ต่อก็แล้วกัน จะได้ไปเจอพวกเจ้าได้สะดวก ทำแบบนี้เจ้าคงวางใจแล้วใช่มั้ย?”


“แบบนี้ก็พอไหว!” อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างเบิกบานใจทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปข้างหลังเขา บีบนวดไหล่สองข้างให้เขา “คืนนี้ไปหาข้าสิ ข้าจะชดเชยให้เจ้า”


เหมียวอี้ขมวดคิ้ว ตาเป็นประกายนิดหน่อย เขาคว้ามือนางไว้ พร้อมฉวยโอกาสเสนอเงื่อนไข “ฮูหยินจ๋า! หรือว่าคืนนี้จะอยู่กับหลางหลาง หวนหวนด้วยกันเลย!” เขาเฝ้ารอให้เกิดฉากนั้นมาก เขารอโอกาสนี้มานานแล้ว เพียงแต่หาโอกาสเหมาะที่จะเอ่ยปากไม่ได้เลย


ปรากฏว่าประโยคนี้ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมาแล้ว ชั่วพริบตาเดียวอวิ๋นจือชิวก็อับอายจนโมโห จับหูเหมียวอี้แล้วออกแรงบิดทันที พร้อมสบถด่าว่า “เจ้าหน้าไม่อาย แต่ข้ายังอายเป็นนะ ถ้าให้ไปทำแบบนั้นร่วมกับพวกเจ้าจริงๆ หลังจากนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกนาง ฮูหยินอย่างข้าจะยังมีอำนาจบารมีเหลืออยู่มั้ย? จะเป็นนายของบ้านนี้ได้ยังไง! ไอ้เวรนี่…”


จากนั้นเหมียวอี้ก็ร้องขอชีวิตอยู่พักหนึ่ง


ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำให้นางหยุดมือได้ เหมียวอี้รีบหาเรื่องอื่นมาเบี่ยงเบนความสนใจ “ฮูหยิน ข้ารับปากทางเวยเวยแล้วว่าจะกลับไปหานาง แล้วก็ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ด้วย ข้ากะว่าจะพาพวกเขากลับไปสักเที่ยว พวกเขาไม่ได้โผล่หน้าไปที่ทะเลดาวนักษัตรนานแล้ว ทำให้หกปราชญ์สงสัยแล้ว ควรจะกลับไปโผล่หน้าให้ลูกน้องเห็นสักหน่อย”


อวิ๋นจือชิวทำเสียงฮึดฮัด แต่ก็ถูกเบี่ยงเบนความสนใจแล้วจริงๆ จัดชุดกระโปรงที่ยับยุ่งให้เรียบร้อย กลับไปนั่งที่ตัวเอง หลังจากลังเลนิดหน่อย ก็ถามว่า “แม้แต่ชิงอวี้หลางที่วรยุทธ์บงกชทองขั้นแปดเจ้ายังฆ่าได้ มี่ความมั่นใจที่จะสู้กับหกปราชญ์รึเปล่า?”


เหมียวอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้าตอบช้าๆ ว่า “ฆ่าชิงอวี้หลางได้เป็นเพราะโชคช่วยแท้ๆ เลย ข้าเองก็ไม่เคยสู้กับหกปราชญ์แบบจริงจัง ไม่รู้ว่าศักยภาพที่แท้จริงของพวกเขาเป็นยังไงกันแน่ แต่เคล็ดวิชาที่พวกเขาฝึกถูกเรียกว่าหกเคล็ดวิชาพิเศษ คาดว่าคงจะมีจุดที่โดดเด่น…เจ้าอยากให้ข้าเผยไพ่ประลองกับพวกเขาตอนนี้เหรอ?”


อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “พิภพเล็กต้องอยู่ในกำมือพวกเรา ข้าถึงจะสงบใจได้! เจ้านำเกราะรบผลึกแดงกลับไปหนึ่งร้อยกว่าชุด ให้กลุ่มปีศาจที่ทะเลดาวนักษัตรใส่ไว้ ก็จะกวาดล้างหกแดนได้อย่างไม่มีปัญหา กลัวก็แต่ว่าหกปราชญ์จะร่วมมือกันสู้กับเจ้า ถ้าเจ้าต้องการจะพยายามช่วงชิงบัลลังก์พิภพเล็ก เกรงว่าท่านปู่ข้าก็คงจะไม่เกรงใจเจ้าเหมือนกัน ถึงตอนนั้นหกปราชญ์จะต้องร่วมมือกันแน่…ช่างเถอะ รออีกหน่อยดีกว่า รอให้วรยุทธ์เจ้าสูงกว่านี้อีกหน่อย รอให้เยารั่วเซียนหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรออกมาก่อน รอให้มั่นใจอีกหน่อยค่อยลงมือแล้วกัน”


ต้องแปรพัตร์กับท่านปู่ของนาง เหมียวอี้เองก็จนใจเหมือนกัน “ได้ แต่ช่วงหลายวันนี้ข้าจะพาฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋กลับไปสักรอบหนึ่งก่อน”


อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ไม่ต้องรีบ! รออีกสักสองสามเดือน รอให้ถึงตอนที่ข้าส่งส่วยแล้วกลับไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเอ่ยปากให้พวกเขาเข้าไปในกระเป๋าสัตว์ไม่สะดวก เรื่องนี้ให้ข้าทำจะเหมาะกว่า รู้จักบันยะบันยังไว้บ้าง พวกเขาจะได้เคยชิน ต้องสร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมา…”


ดังนั้น ผู้บัญชาการใหญ่อย่างเหมียวอี้จึงให้ปี้เยว่ฮูหยินใช้ตำหนักคุ้มเมืองคนเดียว ให้เล่าหนานซงกับกงอวี่เฟยนั่งรักษาการณ์แทน เขาจะอยู่ที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกต่อไป ส่วนฝูชิงที่เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกก็พักร่วมอยู่ในพื้นที่เดียวกัน


เดิมทีปรึกษากับอวิ๋นจือชิวไว้ว่าจะกลับไปด้วยกันตอนส่งส่วย ทว่ามีเรื่องที่ไม่ได้คาดหมายมารบกวน ในที่สุดมู่หรงซิงหัวก็ได้สมปรารถนาแล้ว ส่งบัตรเชิญงานแต่งงานมาแล้ว!


เฉาว่านเสียงถอดเถาฮวาฮูหยินออกแล้ กำลังจะแต่งงานกับมู่หรงซิงหัวอย่างเป็นทางการ


…………………………


บทที่ 1064 วิธีสร้างความร่ำรวยของสวีถังหราน

โดย

Ink Stone_Fantasy

มู่หรงซิงหัวมาส่งบัตรเชิญงานแต่งงานด้วยตัวเอง และมาขอลาหยุดด้วย ทางจวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าชวดอี่ส่งคนมารับนางไปเตรียมตัวแล้ว!


ในลานบ้านของจวนผู้บัญชาการใหญ่ มู่หรงซิงหัวนั่งนิ่งอยู่ในศาลา ลักษณะท่าทางมีเสน่ห์โดดเด่น รอบข้างเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่ง


ผู้บัญชาการใหญ่เหมียวนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย พลิกดูบัตรเชิญงานแต่งงานที่อยู่ในมือ รู้สึกอึ้งอยู่บ้าง นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเร็วขนาดนี้ เถาฮวาฮูหยินโดนถอดจากตำแหน่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เปลี่ยนเป็นผู้ชายคนไหนก็คงทนพฤติกรรมของเถาฮวาฮูหยินไม่ได้ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่ามู่หรงซิงหัวจะจัดการเฉาว่านเสียงได้เร็วขนาดนี้ เบื้องหลังเกิดอะไรขึ้นบ้างเหมียวอี้ก็ไม่รู้ ไม่สะดวกจะถามเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย


หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็สายหน้าเบาๆ แล้วเงยหน้าถามด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ตัดสินใจจะแต่งงานกับเฉาว่านเสียงจริงเหรอ?”


“ถ้าไม่แต่งกับเขาแล้วจะยังแต่งกับใครได้อีก? ไม่ว่าจะแต่งงานกับใคร มันก็เป็นการแต่งงานเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” มู่หรงซิงหัวถามกลับด้วยรอยยิ้ม


เหมียวอี้ตอบกลับด้วยความเงียบๆ แต่ก็ยังถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “ที่จริงก็มีข่าวลือเรื่องเถาฮวาฮูหยินกับหยางไท่มานานแล้วนะ ก่อนหน้านี้เฉาว่านเสียงไม่เคยรู้เลย?” เขากำลังถามว่า อย่าบอกนะว่าต้องรอให้เจ้าปล่อยข่าวเอง เฉาว่านเสียงถึงจะรู้?


มู่หรงซิงหัวยิ้มแล้วตอบว่า “เรื่องแบบนี้ ถ้าไม่เปิดโปง คู่กรณีก็จะรู้เป็นคนสุดท้ายเสมอ ก็เหมือนตัวข้าในเมื่อก่อน ข้านึกว่าทุกคนไม่รู้เรื่องระหว่างข้ากับเฉาว่านเสียง จนกระทั่งหลังจากโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเปิดโปงข้าถึงได้เข้าใจ ที่จริงทุกคนรู้ตั้งนานแล้ว แต่กลับเป็นข้าเองที่แสร้งทำตัวเหมือนไม่มีอะไรราวกับคนโง่ กลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะในสายตาคนอื่น”


เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ จึงยืนขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ยินดีด้วย! สุรามงคลนี้ข้าไม่พลาดแน่นอน”


“ถ้าไม่มีอย่างอื่นจะกำชับ ข้าน้อยขอตัวก่อน!” มู่หรงซิงหัวถอยออกไปพร้อมรอยยิ้มที่สงบนิ่ง


เหมียวอี้มองนางคล้อยหลังไป ถือบัตรเชิญงานแต่งงานพร้อมเอามือไขว้หลัง พิงรั้วถอนหายใจเบาๆ คนเรามักจะใช้ชีวิตซับซ้อนแบบนั้นเสมอ…


แผนที่จะกลับพิภพเล็กถูกทำให้ปั่นป่วนไปหมดแล้ว งานแต่งงานของมู่หรงซิงหัวตรงกับเวลาส่งส่วยพอดี ทำได้เพียงบอกอวิ๋นจือชิวว่าปีนี้กลับไม่ได้ เลื่อนเป็นตอนส่งส่วยปีหน้าค่อยกลับ ให้อวิ๋นจือชิวกลับไปบอกฉินเวยเวยให้ด้วย


ตอนที่เหมียวอี้เตรียมตัวจะเดินทางไปร่วมงานแต่งงานของมู่หรงซิงหัวที่จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่ ก็มีแขกมาเยี่ยมอีกแล้ว!


“ฮ่าๆ!”


บนหอประตูเมืองของเขตเมืองตะวันออก สวีถังหรานหัวเราะเสียงดัง เหาะมาขวางคนสามคนที่กำลังจะเข้าเมือง


สามคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นปานเยว่กงกับภรรยาและหวงเสี้ยวเทียน เป็นเพราะสวีถังหรานรู้จักทั้งสามคน เพื่อที่จะลดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น เหมียวอี้จึงให้เขาไปต้อนรับด้วยตนเอง


“ผู้บัญชาการสวี!” ทั้งสามคารวะทักทาย


“…” สวีถังหรานอึ้งเล็กน้อย ส่วนหวงเสี้ยวเทียนก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงแล้ว นั่นคือคนรู้จักกัน เพียงแต่ปานเยว่กงและภรรยาที่ถอดเครื่องปลอมตัวแล้วดูค่อนข้างแปลกตา แปลกตาไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ดูจากรูปร่างก็พอจะจำได้คร่าวๆ เขาแค่รู้สึกว่าชิงเหมยหน้าคุ้นๆ ด้วยเหตุนี้จึงแปลกใจเล็กน้อย ไม่เคยเจอกันแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน เขากุมหมัดคารวะพร้อมถาม “เป็นพี่โหย่วไฉกับภรรยาเหรอ?”


“ใช่แล้ว!” ปานเยว่กงและภรรยารายงานตัวตนที่แท้จริง “ปานเยว่กง ชิงเหมยคำนับผู้บัญชาการสวี!”


“ที่แท้นี่ก็คือตัวตนที่แท้จริงของพวกเจ้า ปานเยว่กง…” สวีถังหรานนึกอะไรขึ้นได้แล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมชิงเหมยดูคุ้นๆ ตา เพราะเคยเห็นบนภาพวาดของนักโทษหลบหนี ปานเยว่กงกับชิงเหมยก็คือคู่สามีภรรยาที่ป่าลืมทุกข์ไม่ใช่เหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกัน? เขาชี้ไปที่ทั้งสองคน พลางพูดติดอ่างว่า “พวกเจ้า…” เขาอยากจะพูดว่าพวกเจ้ากล้ามาที่นี่ได้ยังไง ใจกล้าเกินไปหน่อยรึเปล่า


ปานเยว่กงยิ้มเจื่อน “ผู้บัญชาการสวีได้โปรดให้อภัย สถานการณ์ในตอนนั้นพวกเราจำใจจริงๆ พวกเราสองสามีภรรยาได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการหนิวให้สร้างผลงานชดเชยความผิด!”


หลังจากได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของทั้งสอง หวงเสี้ยวเทียนก็ตกใจมากเหมือนกัน เขานึกว่าสวีถังหรานรู้แล้ว แต่สงสัยจะยังไม่รู้เหมือนกัน


“อ๋อๆ อย่างนี้นี่เอง!” สมองของสวีถังหรานคิดตามไม่ค่อยทัน แต่ในเมื่อเป็นแผนของผู้บัญชาการหนิวใหญ่ เขาก็ไม่สะดวกจะซักถามข้อสงสัยอะไร ได้แต่หันตัวและยื่นมือเชิญ “ผู้บัญชาการใหญ่ให้ข้ามาต้อนรับทั้งสามด้วยตัวเอง เชิญ!”


ทั้งสามเดินตามเข้ามาในเมือง แล้วหวงเสี้ยวเทียนก็ถามอย่างแปลกใจว่า “ท่านไหนคือผู้บัญชาการใหญ่?”


สวีถังหรานหันกลับมามองแวบหนึ่ง รู้ว่าเขาอยากเปลี่ยนประเด็นสนทนา จึงยิ้มพร้อมตอบว่า “ผู้บัญชาการหนิวได้เลื่อนขั้นแล้ว ตอนนี้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่คุมทั้งตลาดสวรรค์ เป็นผู้บังคับบัญชาของสวีคนนี้แล้ว!”


พวกปานเยว่กงมองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนหน้าที่จะได้รับข่าวจากเหมียวอี้ว่าให้มา ทั้งสามก็รู้เรื่องที่เหมียวอี้ได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าเหมียวอี้ได้เลื่อนตำแหน่ง


“ผู้บัญชาการมู่หรงล่ะ?” หวงเสี้ยวเทียนถาม


สวีถังหรานส่ายหน้า “เกรงว่าครั้งนี้ทั้งสามจะไม่ได้เจอผู้บัญชาการมู่หรงแล้ว…ก็มีแค่สวีคนนี้ที่ไม่ค่อยก้าวหน้า ทั้งสามมาผิดเวลาแล้ว ผู้บัญชาการมู่หรงกำลังจะกลายเป็นฮูหยินของหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่ นางไปเตรียมงานแต่งงานที่จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่แล้ว อีกไม่กี่วันข้ากับผู้บัญชาการใหญ่ก็ต้องตามไปแสดงความยินดีเหมือนกัน ถ้าพวกเจ้ามาช้ากว่านี้อีกสักสองสามวัน เกรงว่าคงจะต้องรอพวกเรากลับมาก่อนถึงจะได้พบ”


เรื่องราวในโลกมนุษย์แปรเปลี่ยนอยู่เสมอ จังหวะชีวิตของคนในแดนฝึกตนค่อนข้างช้า นึกไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่โตขนาดนี้


ย่อมไม่ต้องพูดถึงว่าเดินชื่นชมความเจริญรุ่งเรืองของตลาดสวรรค์แห่งดาวเทียนหยวนมาตลอดทาง ทั้งสามฝึกตนมานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาในจวนของขุนนางตำหนักสวรรค์ ค่อนข้างระแวดระวังตัวอยู่บ้าง


เหมียวอี้มายืนต้อนรับอยู่หน้าประตูจวนด้วยตัวเอง เมื่อเห็นพวกเขาก็กุมหมัดทักทายตั้งแต่ไกลๆ “พี่ปาน ปานฮูหยิน พี่หวง ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ”


“ไม่กล้ารบกวนให้ผู้บัญชาการใหญ่ไปรับตั้งแต่ไกลๆ หรอก!” ทั้งสามรีบก้าวขึ้นมาคารวะตอบ เมื่อเห็นเหมียวอี้ยังเป็นกันเองและไม่ถือตัวเหมือนอย่างเคย ทั้งสามก็โล่งใจลงบ้างแล้ว สำหรับคนที่มีสถานะอย่างพวกเขา บรรยากาศของที่นี่ทำให้พวกเขาอึดอัดนิดหน่อย เรียกได้ว่าไม่กล้ารีบร้อนไม่ดูตาม้าตาเรือ


ต้อนรับทั้งสามเข้ามาด้านใน เจ้าบ้านและแขกนั่งลงในโถงหลัก เป่าเหลียนนำน้ำชามาวาง


หลังจากทักทายปราศัยกันตามมารยาท เหมียวอี้ก็หยิบแผ่นหยกที่งดงามละเอียดอ่อนออกมาแผ่นหนึ่ง “พี่ปาน เรื่องคดีของพวกท่านสองสามีภรรยา ผู้บัญชาการใหญ่โค่วจัดการให้พวกท่านเรียบร้อยแล้ว นี่คือคำสั่งอภัยโทษของตำหนักสวรรค์ ทั้งคู่เชิญอ่านดูคร่าวๆ!” ขณะที่พูดแผ่นหยกก็ลอยเข้าไป


หลังจากปานเยว่กงหยิบมาอ่าน ในดวงตาก็ฉายแววดีใจ แล้วก็ส่งต่อให้ชิงเหมยอ่านอีก


ถึงแม้ก่อนมาจะได้ข่าวจากเหมียวอี้มาแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่าจัดการเรื่องนี้สำเร็จแล้ว แต่เมื่อได้เห็นคำสั่งอภัยโทษของตำหนักสวรรค์อย่างเป็นทางการ ชิงเหมยก็ยังน้ำตาไหลทันที ดีใจจนร้องไห้ออกมา สองสามีภรรยาลุกขึ้นยืน แล้วโค้งตัวค้างไว้พร้อมกัน “ซาบซึ้งในบุญคุณอันใหญ่หลวงของผู้บัญชาการใหญ่!”


“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาประคอง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ต่อไปนี้ทั้งสองเป็นอิสระแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย”


สองสามีภรรยายังคงขอบคุณซ้ำๆ สวีถังหรานกลับเข้าใจในทันที สงสัยเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับโค่วเหวินหลานด้วย มิน่าล่ะถึงดึงตัวนักโทษหลบหนีมารับใช้ได้


การเลี้ยงอาหารสักมื้อเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากจบงานเลี้ยง หวงเสี้ยวเทียนกลับส่ายหางวิ่งตามสวีถังหรานไปแล้ว


เมื่อมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก หลังจากหวงเสี้ยวเทียนพูดประจบพักหนึ่ง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องเก่าๆ “ผู้บัญชาการสวี เรื่องร้านค้าที่เจ้าบอกไว้ตอนแรก ไม่รู้ว่า…” เรียกได้ว่าทำสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวัง


“เรื่องร้านค้าน่ะเหรอ!” เมื่อไม่ได้อยู่ข้างกายเหมียวอี้ สวีถังหรานก็กลับมาวางมาดผู้บัญชาการเหมือนเดิม เขายกถ้วยน้ำชา ยกขาขึ้นนั่งไขว้ห้าง แล้วเหล่ตาพูดว่า “สหายหวง! เจ้าเองก็รู้ ร้านค้าของตลาดสวรรค์ไม่ได้หามาง่ายๆ ขนาดนั้น”


“ใช่ๆๆๆ!” หวงเสี้ยวเทียนพยักหน้าโค้งตัว “ถ้าหามาได้ง่ายๆ ก็คงไม่ต้องรบกวนผู้บัญชาการสวีหรอก”


สวีถังหรานที่กำลังวางมาดกล่าวเสียงเรียบว่า “ที่ข้าออกหน้าหาร้านค้าให้เจ้า ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว พอดีว่าที่เขตของข้ามีร้านค้าสองสามร้านที่ทำผิดกฎแล้วโดนสั่งปิด แต่ร้านค้านั่นก็ไม่ใช่ของข้าเหมือนกัน รายการนี้ต้องบันทึกลงบัญชีของหลวง ดังนั้นเงินซื้อร้านค้าร้านนี้ เจ้าก็ยังต้องควัก”


หวงเสี้ยวเทียนราวกับใบหน้าโดนตะคริวกิน คิดในใจว่า เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะหาให้ข้าสักร้านโดยไม่ต้องจ่าย ทำไมกลายเป็นว่าข้าต้องควักเงินล่ะ? เขาลองถามว่า “ราคาเท่าไรเหรอ?”


สวีถังหรานเสนอราคาไปส่งแดช หวงเสี้ยวเทียนนิ่งเงียบในชั่วพริบตาเดียว ตัวเองเป็นนักพรตอิสระ ไร้อำนาจไร้อิทธิพล จะหาเงินมาจากไหนมากมายขนาดนั้น? ไม่อย่างนั้นตอนแรกคงไม่ขอค่าถามทางกับพวกเจ้าหรอก


แต่จะว่าไปแล้ว ต่อให้มีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ได้ ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าในภายหลังจะหามาได้หรือเปล่า หวงเสี้ยวเทียนแข็งใจตอบทันที “ได้! เพียงแต่รบกวนให้ท่านช่วยเหลือไว้ให้ข้าสักร้าน ให้เวลาข้าสักหน่อย ให้ข้าไปคิดวิธีการหาเงินก่อน มีร้านค้ามาปูพื้นไว้แล้ว คาดว่าคงขอยืมเงินได้ไม่ยาก แต่ถ้าเป็นร้านค้าที่ขนาดพื้นที่ใหญ่เกินไป ข้าก็ซื้อไม่ไหวแน่ เหลือร้านเล็กๆ ไว้ให้ข้าก็แล้วกัน”


“ตระหนี่ถี่เหนียว ข้าแนะนำว่าถ้าเจ้าจะซื้อ เจ้าก็ควรซื้อร้านใหญ่ๆ หน่อย” สวีถังหรานพูดดูถูก


หวงเสี้ยวเทียนกล่าวด้วยใบหน้าขื่นขม “ข้าก็อยากได้ร้านใหญ่ๆ อยู่แล้ว แต่ข้ากังวลว่าจะขอยืมเงินได้ไม่มากขนาดนั้น!”


สวีถังหรานจึงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “แต่ข้ามีวิธีที่ช่วยให้เจ้าประหยัดเงินไม่น้อยเลยนะ ไม่รู้ว่าเจ้าจะอยากฟังรึเปล่า”


หวงเสี้ยวเทียนตาเป็นประกายทันที “ผู้น้อยจะลางหูรอฟัง”


สวีถังหรานกวักมือเรียก หวงเสี้ยวเทียนรีบเข้ามาใกล้ทันที


สวีถังหรานกล่าวเสียงต่ำว่า “เดี๋ยวข้าจะหาทางดำเนินการสักหน่อย จะลดราคาให้เจ้าส่วนหนึ่ง จะให้เจ้าจ่ายในราคาเก้าส่วน แต่หนึ่งส่วนที่ขาดไปไม่ใช่เงินน้อยๆ ข้าก็ช่วยเจ้ามากไม่ได้เหมือนกัน แล้วเก้าส่วนที่เหลือ เจ้าเองก็ไม่ต้องออกเงินเลย เจ้าแค่ต้องหาคนมาร่วมหุ้นเพื่อรวบรวมเงินมาซื้อ สามารถร่วมหุ้นกันซื้อร้านค้าได้สักร้าน จะต้องมีคนมาหุ้นกับเจ้าแน่นอน เงินส่วนนี้คงหามาได้ไม่ยาก รอให้เจ้าพาหุ้นส่วนพวกนั้นมาที่ตลาดสวรรค์ก่อน แล้วเจ้าค่อยหาทางซ่อนของผิดกฎหมายไว้ในร้านสักหน่อย แล้วเจ้าค่อยแจ้งข้าล่วงหน้าอีกครั้ง ข้าจะสั่งให้คนไปตรวจสอบ ขอเพียงมีหลักฐานจริงๆ ข้าก็จะจัดการคนที่มาร่วมหุ้นกับเจ้าทันที ถึงตอนนั้นพวกเขาก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้แล้ว พอเข้ามาอยู่ในคุกใหญ่แล้วก็เลิกคิดได้เลยว่าจะรอดชีวิตออกไปได้อีก ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้ร้านค้าไปโดยไม่ต้องจ่ายเงินสักส่วน!”


“…” หวงเสี้ยวเทียนมองเขาอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ดวงตาสองข้างเบิกกว้าง รู้สึกเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ถามด้วยสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน “แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?”


สวีถังหรานกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ที่สำคัญคือต้องหาคนที่จะมาร่วมหุ้นให้ดี อย่าหาคนที่มีภูมิหลังอะไรมาก็พอ จะได้ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวเอง นอกจากนี้ รอให้เจ้าเปิดร้านค้าขึ้นมาแล้ว มีข้าคอยดูแล ก็จะไม่มีใครมาหาเรื่องเจ้า ดังนั้นข้าจะไม่ขออะไรมากหรอก ขอหุ้นจากร้านของเจ้าครึ่งหนึ่งก็พอแล้ว เจ้าเองก็รู้นี่ ว่าสถานะอย่างข้าไปบริหารร้านค้าเองโดยตรงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นข้าก็เก็บร้านค้าไว้เองแล้ว จะเหลือไว้ให้เจ้าได้ยังไง แล้วอีกอย่าง ข้าก็จะดูแลเจ้าเป็นพิเศษเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อน คนอื่นจะได้เจอเรื่องดีๆ แบบนี้ซะที่ไหนกัน ข้าช่วยเจ้าทำเรื่องแบบนี้ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงเหมือนกัน”


ก่อนหน้านี้มอบของขวัญราคาสูงให้เหมียวอี้เพื่อแสดงความยินดีกับการเลื่อนตำแหน่ง ทั้งยังต้องให้ของขวัญมู่หรงซิงหัวเพื่อแสดงความยินดีกับการแต่งงานอีก เขาต้องคิดหาทางอื่นเพื่อตักตวงกลับมาทั้งต้นทั้งดอก


………………………


บทที่ 1065 เฉาว่านเสียงแต่งงานครั้งที่สอง

โดย

Ink Stone_Fantasy

แต่จะว่าไปแล้ว การที่ตัวเองได้ผลประโยชน์มากขนาดนี้โดยไม่ต้องออกเงิน ก็ไม่มีอะไรไม่ดีเหมือนกัน อย่างมากก็แค่วิ่งเต้นหลอกลวงคนไปทั่วก็เท่านั้นเอง


สุดท้ายหวงเสี้ยวเทียนก็รีบปากแล้ว เพียงแต่ตอนหลังอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ มีอำนาจมีอิทธิพลมันก็ร่ำรวยได้ง่ายแบบนี้!


เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ว่าต่อไปนี้จะกอดขาสวีถังหรานและติดตามสวีถังหรานไปหากิน ขุนนางสุนัขหน้าด้านไร้ยางอายขนาดนี้ จะต้องยังมีโอกาสอื่นให้ร่ำรวยอีกแน่นอน ไม่ได้กินเนื้อแต่ได้กินน้ำก็ยังดี!


ส่วนปานเยว่กงและภรรยา เหมียวอี้ที่นั่งดื่มชาอยู่ในศาลาด้วยกันเริ่มเป็นห่วงอนาคตของทั้งสองแล้ว “แล้วทั้งสองวางแผนจะทำอะไรในอนาคต?”


ปานเยว่กงยิ้มตอบ “ไม่ได้วางแผนจะทำอะไร ต่อไปนี้ชิงเหมยไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ก็พอแล้ว”


เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเลนิดหน่อย “ถ้าพวกเจ้าทั้งสองเต็มใจ ข้าสามารถหาทางดึงพวกเจ้าเข้าตำหนักสวรรค์ได้ มาทำงานใต้บังคับบัญชาของข้า ไม่ทราบว่าคิดอย่างไร?” เขาตั้งใจจะรับเข้าทำงานจริงๆ ชอบในพลังอภินิหารของปานเยว่กง ประสบการณ์ที่เกือบจะติดกับดักในป่าลืมทุกข์ทำให้เขาลืมไม่ลง


สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วชิงเหมยส่ายหน้าปฏิเสธว่า “พวกเราสองคนซาบซึ้งในเจตนาดีของผู้บัญชาการใหญ่ เพียงแต่นายท่านก็รู้ถึงพื้นเพของชิงเหมย ชิงเหมยนับว่าเคยพบเห็นรู้จักคนของตำหนักสวรรค์มาไม่น้อย ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องอีกแล้วจริงๆ โดนงูกัดครั้งเดียว ก็กลัวเชือกหย่อนบ่อไปสิบปี ชิงเหมยกลัวแล้ว!”


“ในเมื่อต้องการอย่างนี้ งั้นข้าก็ไม่ฝืนใจแล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วก็บอกอีกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน! ข้าจะหาร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ให้พวกเจ้าสักร้าน จะได้มีรายรับสักทาง ดีกว่าอยู่ที่ป่าลืมทุกข์นั่นอยู่แล้ว”


ต่างกับสวีถังหราน เขาไม่ได้พูดเรื่องเงิน เตรียมจะออกเงินซื้อเองแล้วมอบให้สองสามีภรรยา เขาเป็นคนวางตัวแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงๆ เรื่องที่ควรช่วยก็ช่วยอย่างเต็มที่มาตลอด ไม่เสนอเงื่อนไขอะไร ยิ่งไปกว่านั้นอาศัยกำลังทรัพย์ของเขาในตอนนี้ การซื้อร้านค้าสักร้านก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยอะไร


นี่คือความแตกต่างในการวางตัวระหว่างเขากับสวีถังหราน คนหนึ่งอยากจะมุ่งหาผลกำไรให้ทุกคน คนหนึ่งอยากจะมุ่งหาผลกำไรให้ตัวเอง ทั้งสองได้กำหนดรูปแบบที่ต่างกัน และกำหนดความสำเร็จในอนาคตระหว่างทั้งสองด้วย!


ปานเยว่กงดีใจมาก กำลังจะตอบตกลง แต่กลับถูกชิงเหมยกดมืออยู่ใต้โต๊ะ ชิงเหมยส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง “บุญคุณของผู้บัญชาการใหญ่ พวกเราสองสามีภรรยาไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร เพียงแต่พวกเราไม่ได้สนใจการค้าขายจริงๆ ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ต้องหักโหมทำงานหนักเพื่อพวกเราหรอก”


เหมียวอี้มองปานเยว่กงแวบหนึ่ง มองออกว่าปานเยว่กงมีความเห็นอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ฝืนใจเช่นกัน ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบปฏิเสธ พวกเจ้าสองคนไปคิดดูให้ดี ถ้าอยากได้ก็ติดต่อข้ามาได้ตลอดเวลา”


สองสามีภรรยากล่าวขอบคุณอีกครั้ง


ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ สถานที่แบบนี้ก็ไม่สะดวกจะให้คนนอกตำหนักสวรรค์อยู่พัก เหมียวอี้ให้เป่าเหลียนเตรียมที่พักให้แขกที่โรงเตี๊ยมข้างนอกแล้ว


หลังจากสองสามีภรรยาไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยม เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ปานเยว่กงก็ถามทันทีว่า “ฮูหยินไม่อยากเข้าตำหนักสวรรค์ข้าพอเข้าใจได้ แต่กับเรื่องร้านค้า นั่นคือเรื่องดีๆ ที่คนอื่นอยากได้แต่ไม่ได้ เหตุใดฮูหยินจึงปฏิเสธ?”


ชิงเหมยจับมือเขาพร้อมกล่าวโน้มน้าวอย่างอดทน “ท่านสามี ท่านรับประกันได้มั้ยว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะอยู่ที่ตำหนักสวรรค์ได้อย่างราบรื่นตลอดไป? ข้าเคยเห็นเหตุการณ์ที่คนตำแหน่งสูงสิ้นอำนาจมาเยอะเกินไป เมื่อวานยังมีหน้ามีตาไร้ที่สิ้นสุด แต่ชั่วพริบตาเดียวก็โดนค้นบ้านยึดทรัพย์แล้ว ร้านค้าถึงแม้จะดีกว่าหน่อย แต่ก็ทำให้คนอิจฉาตาร้อนได้เหมือนกัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ร้านค้าที่พวกเรามีก็จะถูกพัวพันไปด้วย ยามเผชิญหน้ากับตำหนักสวรรค์ ถึงตอนนั้นตัวเจ้ากับข้าอยู่ที่ตลาดสวรรค์ แม้แต่จะหนีก็หนีไม่ทันแล้ว เจ้ารู้รึเปล่าว่าตลาดสวรรค์ที่อยู่ในสังกัดของตำหนักสวรรค์ ในแต่ละปีมีร้านค้าถูกสั่งปิดไปกี่ร้าน? อยู่ที่ป่าลืมทุกข์ก็ไม่มีอะไรไม่ดี อย่างมากก็แค่วรยุทธ์สูงขึ้นช้าหน่อย การได้อยู่อย่างสงบสุขนั้นดีกว่าอะไรทั้งนั้น!”


ปานเยว่กงเงียบไป ไม่พูดอะไรอีกแล้ว…


เมื่อรู้ว่าพวกเหมียวอี้ต้องไปร่วมงานแต่งงานที่น่านฟ้าชวดอี่ ปานเยว่กงกับภรรยาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน หลังจากอยู่ไม่กี่วันก็ออกไปแล้ว


ส่วนหวงเสี้ยวเทียนก็กลับไปตั้งแต่วันที่มาแล้ว ไปหา ‘หุ้นส่วน’ เพื่อรวมเงินมาซื้อร้านค้าแล้ว เจ้าบ้านี่ใจร้อนอยากจะร่ำรวยมาก ไม่แปลกใจที่ในปีนั้นแค่ถามทางก็ยังจะเรียกเก็บเงิน อยู่กับสวีถังหรานก็เรียกได้ว่าวมหัวกันทำความชั่ว รสนิยมตรงกัน…


จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่ ดอกท้อที่ปลูกไปทั่วบริเวณถูกกำจัดร่องรอยทิ้งไปหมดแล้ว ถูกถอนรากถอนโคน ในตอนนี้ทุกที่ล้วนประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม บรรยากาศการเฉลิมฉลองเข้มข้นมาก


ไม่ใช่แค่เหมียวอี้กับสวีถังหรานที่มาถึงแล้ว ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ที่เป็ผู้บัญชาการเขตเมืองใต้และเขตเมืองตะวันออกก็มาถึงแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรก็กลายเป็นเพื่อนร่วมงานระดับเดียวกับมู่หรงซิงหัวแล้ว ย่อมได้รับบัตรเชิญจากมู่หรงซิงหัว ที่มาด้วยกันยังมีเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่หรงซิงหัวด้วย


คนกลุ่มนี้ตามปี้เยว่ฮูหยินมา ให้ปี้เยว่ฮูหยินเดินนำหน้า ปี้เยว่ฮูหยินนับว่ามาแสดงความยินดีโดยเป็นตัวแทนของท่านโหวเทียนหยวน ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนของผู้ใต้บังคับบัญชาของเฉาว่านเสียงด้วย ครั้งแรกที่เฉาว่านเสียงแต่งงานกับเถาฮวาฮูหยิน ท่านโหวเทียนหยวนก็มาแสดงความยินดีด้วยตัวเอง แต่นี่เป็นการแต่งงานครั้งที่สอง ไม่จำเป็นต้องมาอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นเวลาลูกน้องแต่งงานรับอนุภรรยา เขาก็ไม่รู้ว่าต้องถ่อมาอีกกี่รอบ


เมื่อเป็นแบบนี้ เฉาว่านเสียงจึงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ที่ออกมาต้อนรับด้วยกันก็มีมู่หรงซิงหัวด้วย เมื่อเห็นผู้หญิงที่ยิ้มเรียบๆ คนนี้อีกครั้ง เหมียวอี้กับสวีถังหรานก็แอบทอดถอนใจ


เพียงแต่ภาพที่ทั้งสองฝ่ายคำนับกันค่อนข้างแปลก เฉาว่านเสียงและภรรยาคำนับปี้เยว่ฮูหยินที่มาเป็นตัวแทนท่านโหว ส่วนพวกเหมียวอี้ก็คำนับพวกเขาสองสามีภรรยา เฉาว่านเสียงเป็นผู้บังคับบัญชาของปี้เยว่ฮูหยินแท้ๆ ส่วนเหมียวอี้ก็เป็นผู้บังคับบัญชาของมู่หรงซิงหัว รู้สึกสับสนวุ่นวายนิดหน่อย


คนกลุ่มนี้มอบของขวัญแสดงความยินดีให้แล้ว เหมียวอี้นำยาแก่นเซียนออกมาสิบล้านเม็ด ครั้งก่อนมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานมอบยาแก่นเซียนให้เขาคนละห้าล้านเม็ด ตอนนี้ส่งกลับคืนให้มู่หรงซิงหัวอีกแล้ว ที่นำมาด้วยก็ยังมีน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของปานเยว่กงและภรรยาด้วย


แขกที่มาจากดาวเทียนหยวนได้พักในเรือนรับรองแขกที่ดีที่สุด ย่อมมุ่งเน้นมาที่สถานะของปี้เยว่ฮูหยินอยู่แล้ว คนอื่นๆ ได้อาศัยบารมีไปด้วย


ส่วนบรรดาเพื่อนร่วมงานของเฉาว่านเสียงที่มาร่วมแสดงความยินดี เมื่อได้ยินว่าปี้เยว่ฮูหยินมาแล้ว ก็ทยอยกันมาคำนับไม่ขาดสาย ทำเอาปี้เยว่ฮูหยินอยู่ไม่สงบ


วันแต่งงานคือวันพรุ่งนี้ ทุกคนนับว่ามาก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความล้าช้าระหว่างทาง


ตอนค่ำวันถัดมาที่เดิมทีเป็นฤกษ์มงคล ใครจะคิดว่าฟ้าดินไม่เป็นใจ ไม่น่าเชื่อท้องฟ้าจะมืดครึ้ม มีฝนตกลงมาเล็กน้อย ในจวนหัวหน้าภาคมีคนหลายคนเหาะขึ้นมาบนฟ้าทันที ดันทุรังร่ายอิทธิฤทธิ์ไล่เมฆฝนบนท้องฟ้าออกไป


“การแต่งงานครั้งที่สองไม่ได้อลังการเหมือนการแต่งงานครั้งแรกจริงๆ ด้วย เรียบง่ายขึ้นเยอะเลย”


บนพื้นราบนอกจวนหัวหน้าภาค เหมียวอี้มาดูพิธีการเป็นเพื่อนปี้เยว่ฮูหยินและติดตามอยู่ข้างกายนางตลอด พอได้ยินนางถ่ายทอดเสียงมา เขาก็มองไปยังโคมไฟและผ้าที่ประดับรอบๆ ก็เหมือนจะไม่ได้แย่เท่าไร เป็นเพราะเขาไม่ได้เห็นภาพการแต่งงานครั้งแรกของเฉาว่านเสียง เห็นได้ชัดว่าปี้เยว่ฮูหยินเคยไปเข้าร่วมมาก่อน


แต่ถ้าจะให้พูดความจริง งานแต่งงานของเฉาว่านเสียงก็อลังการไม่เท่างานแต่งงานของเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวในปีนั้น ทางแดนโพ้นสวรรค์จัดงานให้เขาอย่างหรูหราที่สุด เหมียวอี้ยังจำภาพความอลังการยามนกสาลิกาปากดำบินเหมือนเป็นดาวตกเต็มท้องฟ้าในปีนั้นได้ อวิ๋นจือชิวในตอนนั้นงดงามไร้ที่เปรียบ วันนั้นนางมีความสุขมากจริงๆ!


นับว่าได้อาศัยบารมีปี้เยว่ฮูหยินแล้ว ท่ามกลางกลุ่มพี่ใหญ่ที่มาจากจวนหัวหน้าภาคและจวนท่านโหว เหมียวอี้เป็นผู้ติดตามของปี้เยว่ฮูหยิน ทำให้มีโอกาสยืนดูพิธีอยู่ตรงแถวหน้าสุด เพียงแต่เหมียวอี้เหลือบมองปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่อยู่ในอ้อมกอดปี้เยว่ฮูหยินหลายครั้ง กำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของอวิ๋นจือชิวมาตลอด ไม่รู้ว่าปีศาจจิ้งจอกพันหน้าตัวนี้เคยเปลี่ยนร่างเป็นตนหรือเปล่า


เสียงดนตรีดังขึ้นพร้อมกัน หลังจากพิธีแต่งงานเริ่มขึ้น พิธีการจุกจิกหยุมหยิมก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อได้เห็นมู่หรงซิงหัวที่แต่งตัวงดงามยิ่งกว่าดอกไม้กำลังคำนับฟ้าดินกับเฉาว่านเสียงที่เตี้ยล่ำ เหมียวอี้ก็ได้แต่ทอดถอนใจด้วยความหดหู่ คำพูดของมู่หรงซิงหัวก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นอะไรบางอย่างแล้ว นางไม่ได้ชอบเฉาว่านเสียงจึงแต่งงานด้วย เพียงแต่ในสังคมที่มีค่านิยมแบบนี้ ถ้านางไม่แต่งงานกับเฉาว่านเสียงแล้วยังจะแต่งงานกับใครได้อีก? จะมีสักกี่คนที่เต็มใจแต่งงานกับผู้หญิงที่เคยเป็นเมียน้อยคนอื่นมาก่อนโดยไม่กลัวบรรพบุรุษเสียหน้า?


พิธีการของที่นี่กับพิธีการตอนที่เหมียวอี้อยู่พิภพเล็กมีจุดที่ต่างกัน หลังจากเฉาว่านเสียงกับมู่หรงซิงหัวไหว้คำนับฟ้าดินเสร็จแล้ว ก็ไขว้แขนดื่มสุรากันท่ามกลางเสียงตะโกนยินดีของฝูงชน แต่ไม่ได้ส่งตัวเข้าห้องหอในทันที แค่ถอดชุดเข้าพิธีตัวนอกที่หนักและรายละเอียดเยอะออก แล้วก็ออกมารับแขกด้วยกัน


เหมียวอี้ไม่มีสิทธิ์นั่งร่วมโต๊ะกับปี้เยว่ฮูหยิน หลังจากดูพิธีการจบ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปนั่งโต๊ะของตัวเองตามฐานะตำแหน่ง เหมียวอี้กลับมานั่งรวมกับกลุ่มคนของดาวเทียนหยวน


ส่วนเฉาว่านเสียงกับมู่หรงซิงหัวก็วนดื่มสุราฉลองและขอบคุณทีละโต๊ะ ดื่มกับเพื่อนร่วมงานระดับเดียวกันไปหลายจอก ส่วนที่โต๊ะของลูกน้องคนอื่นๆ ก็แค่ดื่มพอเป็นพิธีทีละโต๊ะ ตอนที่วนมาถึงโต๊ะของเหมียวอี้ หลังจากสองสามีภรรยาดื่มคารวะทุกคนแล้ว เฉาว่านเสียงกับมู่หรงซิงหัวก็ขอสุราแยกอีกจอก เฉาว่านเสียงคล้องแขนเหมียวอี้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ต่อไปภรรยาข้าอยู่ใต้บังคับบัญชาผู้บัญชาการใหญ่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ มานี่! ซิงหัว เรามาดื่มคารวะผู้บัญชาการใหญ่ด้วยกันสักจอก!”


“มิบังอาจ มิบังอาจ!” เหมียวอี้รีบกล่าวถ่อมตัวตามมารยาท แต่สุราจอกนี้จะไม่ดื่มก็ไม่ได้


ทว่าตอนที่ยกจอกสุราขึ้นมา เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวที่สวมชุดแต่งงานบังเอิญสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แววตาของมู่หรงซิงหัวเหมือนจะเป็นประกายจนน่าตกใจ ไม่เคยสดใสแบบนี้มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเหมียวอี้มองอะไรออกจากสายตาของมู่หรงซิงหัว จู่ๆ ก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย บอกไม่ถูกว่ามู่หรงซิงหัวมองเขาด้วยสายตาที่สื่ออารมณ์แบบไหน ทำให้คนที่เห็นเศร้าใจตามอย่างหาเหตุผลไม่ได้


หลังจากดื่มหมดจอก เฉาว่านเสียงก็หรี่ตายิ้มพร้อมตบบ่าเหมียวอี้ “ไม่เลว!”


จากนั้นก็นำมู่หรงซิงหัวไปยังโต๊ะต่อไป เหมียวอี้กุมหมัดน้อมส่ง


หลังจากนั่งลง เหมียวอี้ก็แอบส่ายหน้าในใจอีก ที่เฉาว่านเสียงบอกประมาณว่าต่อไปมู่หรงซิงหัวจะอยู่ใต้บังคับบัญชาเขาและขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย หมายความว่าอะไร? เห็นได้ชัดว่ากำลังบอกว่าจะไม่ย้ายมู่หรงซิงหัวไปไว้ข้างกายตัวเอง อย่างน้อยก็ยังไม่ย้ายไปตอนนี้ สงสัยจะเป็นอย่างที่ตนพูดจริงๆ เฉาว่านเสียงคนนี้จะแยกกันอยู่กับภรรยาโดยดูตัวอย่างจากท่านโหวเทียนหยวน


พวกเขาสองสามีภรรยาจะแยกกันอยู่หรือไม่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะพิจารณาไตร่ตรอง เพียงแต่การนำฮูหยินหัวหน้าภาคมาเป็นลูกน้องทำให้เขาปวดหัวนิดหน่อย ไม่สะดวกจะปฏิบัติด้วยเหมือนลูกน้องทั่วไปได้ เฉาว่านเสียงกับปี้เยว่ฮูหยินก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ขนาดจะควบคุมยังควบคุมไม่สะดวกเลย…


พิภพเล็ก แดนโพ้นสวรรค์ ดวงตาหงส์ของใบหน้างามเลิศล้ำกำลังปิดลงเล็กน้อยอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง อวิ๋นจือชิวกำลังยืนหวีผมให้มู่ฝานจวินอย่างระมัดระวัง


“นางหนู! ได้ยินว่าผู้ชายของเจ้าไม่ได้โผล่หน้ามานานแล้ว เขาไม่ได้เมินเฉยต่อเจ้าใช่มั้ย?” จู่ๆ มู่ฝานจวินนิ่งเงียบก็โพล่งถาม


อวิ๋นจือชิวตอบพร้อมรอยยิ้มทันที “ตอบท่านปราชญ์ ตอนนี้ท่านสามีอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำต้อย เขาไม่มีธุระอะไร ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสฝึกตนอย่างเงียบสงบแบบนี้ เขาจึงจดจ่ออยู่กับการฝึกตน โผล่หน้าออกมาไม่บ่อยค่ะ”


มู่ฝานจวินตอบ ‘อ้อ’ แล้วบอกอีกว่า “ไม่ได้เจอเขามานานแล้ว ส่งส่วยปีหน้าเรียกเขามาด้วยกันเถอะ ถึงอย่างไรโอวหยางกวงกับอันหรูอวี้ก็เป็นพ่อตาแม่นายของเขา ลูกสาวฝาแฝดทั้งคู่ก็มอบให้เจ้าแล้ว ถ้าไม่มาเยี่ยมสักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล เจ้าคิดว่าอย่างไร?”


“ค่ะ! ปีหน้าข้าจะพาเขามาด้วย” อวิ๋นจือชิวเอ่ยรับ


ขณะที่พูดก็เพิ่งจะเกล้าผมให้มู่ฝานจวินเสร็จเช่นกัน ขณะที่อวิ๋นจือชิวกำลังจะย้ายมือออกจากศีรษะ จู่ๆ มู่ฝานจวินก็ยกมือไปที่ไหล่และคว้ามืออวิ๋นจือชิวเอาไว้อด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ทำเอาอวิ๋นจือชิวทำอะไรไม่ถูก


นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้อวิ๋นจือชิวตกใจที่สุด สิ่งที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ มู่ฝานจวินใช้พลังอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบวรยุทธ์ของนาง


แทบจะชั่วพริบตาเดียว ดวงตาหงส์ในกระจกก็พลันเบิกกว้างพร้อมฉายแววเย็นเยียบ มู่ฝานจวินจ้องอวิ๋นจือชิวผ่านกระจกอย่างสับสนอลหม่าน พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แทบจะไม่ปะปนด้วยความรู้สึกใดๆ เลย “บงกชทองขั้นสอง! นางหนู! วรยุทธ์เจ้าสูงขึ้นเร็วจริงๆ นะ!”


…………………………


บทที่ 1066 ก่อเรื่องแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

พูดก็ส่วนพูด มือยังไม่หยุดขยับ นางถือโอกาสร่ายพลังอิทธิฤทธิ์เข้าไปตรวจดูในกำไลเก็บสมบัติของอวิ๋นจือชิว


แต่ก็โชคดี ถึงแม้อวิ๋นจือชิวจะเป็นเมียที่จัดการเรื่องราวในบ้าน ทรัพย์สินในบ้านทุกอย่างล้วนถูกนางคุมหมด แต่นางก็เป็นคนที่ทำงานอย่างระมัดระวัง ไม่ตัดทางหนีทีไล่ของเหมียวอี้ ไม่ทำให้เหมียวอี้เงินขาดมือยามจำเป็นต้องใช้ ทุกครั้งก่อนจะกลับพิภพเล็กนางจะซ่อนทรัพย์สินในบ้านในจุดที่มีแค่นางและเหมียวอี้เท่านั้นที่หาพบ ทุกครั้งที่กลับมาเจอมู่ฝานจวินก็จะยิ่งระวังตัว ไม่อย่างนั้นครั้งนี้คงเกิดปัญหาใหญ่แล้ว


เมื่อหาไม่พบอะไรในกำไลเก็บสมบัติของอวิ๋นจือชิว มู่ฝานจวินก็คลายนิ้วออก ปล่อยนางแล้ว


เมื่อเห็นว่านางไม่กลั่นแกล้งตน อวิ๋นจือชิวก็โล่งอก ในใจกลับระแวงสงสัยนิดหน่อย ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ มู่ฝานจวินจึงทำแบบนี้ จึงตอบกลับไปว่า “ที่ข้าน้อยวรยุทธ์เพิ่มขึ้นเร็วขนาดนี้ ล้วนเป็นเพราะยาแก่นเซียนที่เหมียวอี้ได้มาจากเทพพยากรณ์ในตอนแรกค่ะ”


นี่คือคำพูดที่เหมียวอี้บอกมู่ฝานจวินในปีนั้น ตอนนี้นางทำได้เพียงตอบไปแบบนี้


มู่ฝานจวินได้ยินแล้วก็แค่ขานรับเสียงราบเรียบ ไม่ได้เผยเบาะแสใดๆ อีก โบกมือให้อวิ๋นจือชิวออกไป แล้วให้หญิงรับใช้อีกคนก้าวขึ้นมาวาดคิ้วให้มู่ฝานจวิน แต่งตัวให้กลายเป็นผู้ชาย


เมื่อออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้า อวิ๋นจือชิวก็ยังอกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย ยังคงคิดว่าทำไมจู่ๆ มู่ฝานจวินจึงทำแบบนั้น เป็นเพราะพบเบาะแสอะไรหรือเปล่า? เรียกได้ว่าออกจากแดนโพ้นสวรรค์ด้วยความระแวงสงสัย


หารู้ไม่ว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่บนตัวฉินเวยเวย ที่จริงจะโทษฉินเวยเวยก็ไม่ได้ ถ้าจะโทษต้องโทษเหมียวอี้ ก่อนหน้านี้เดิมทีเหมียวอี้เตรียมตัวจะกลับมา เขาบอกฉินเวยเวยล่วงหน้าตอนที่ติดต่อกัน ฉินเวยเวยที่ได้รับข่าวยืนยันจากเขาดีใจมาก ตอนนั้นลืมใช้โคลนซ่อนจิตปิดบังวรยุทธ์หลังจากอาบน้ำ ขณะที่กำลังเหาะร่อนด้วยความดีใจอยู่ที่ยอดเขาหยกนครหลวง ก็ได้เผยวรยุทธ์ระดับบงกชม่วงออกมา


ภายใต้การจงใจเตรียมป้องกันของอวิ๋นจือชิว มู่ฝานจวินก็ไม่รู้ว่าสองสามึภรรยาคู่นี้แอบเล่นไม่ซื่ออะไรลับหลัง แต่ไม่ได้แปลว่ามู่ฝานจวินจะไม่มีสายข่าวอยู่ในยอดเขาหยกนครหลวงเลย วรยุทธ์ของฉินเวยเวยไปถึงหูมู่ฝานจวินแล้ว ทำให้มู่ฝานจวินตื่นตัวทันที ทำไมวรยุทธ์ของพวกเหมียวอี้ถึงเพิ่มเร็วขนาดนี้พร้อมกันหมด?


แถมเหมียวอี้ก็ไม่โผล่หน้ามาหลายปีอีก!


แน่นอน สำหรับนักพรตแล้ว การไม่โผล่หน้ามาร้อยปีก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดพบเห็นได้ยากอะไร ไม่โผล่หน้าเป็นพันปีก็ยังเป็นเรื่องปกติมาก แต่ที่สำคัญคือมู่ฝานจวินได้ข่าวมาจากสายลับทางทะเลดาวนักษัตร พบว่าฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋รวมทั้งราชาปีศาจกลุ่มหนึ่งแทบจะไม่โผล่หน้าออกมาพร้อมกับเหมียวอี้เช่นกัน


ตอนหลังที่ได้รู้ว่าเหมียวอี้เลื่อนเวลากลับ ถึงแม้ฉินเวยเวยจะผิดหวังนิดหน่อย แต่ก่อนหน้านี้นางก็เผยพิรุธไปแล้วจริงๆ ถึงได้กระตุ้นให้มู่ฝานจวินบังคับตรวจวรยุทธ์ของอวิ๋นจือชิวอย่างกะทันหัน ผลก็คือพบว่าภายในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งร้อยปี วรยุทธ์ของอวิ๋นจือชิวก็เพิ่มขึ้นหนึ่งขั้นแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่ยาแก่นเซียนจำนวนน้อยๆ จะสามารถทำได้!


ในตอนนี้ หญิงรับใช้แต่งหน้าให้มู่ฝานจวินเรียบร้อยแล้ว แต่มู่ฝานจวินยังคงนั่งหลับตาอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคิดอะไรอยู่…


คนกลุ่มหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า ทหารยามเฝ้าประตูไม่กล้าขัดขวาง กลุ่มของปี้เยว่ฮูหยินที่ไปร่วมงานแต่งงานที่จวนหัวภาคของน่านฟ้าชวดอี่กลับมาแล้ว ใครจะกล้าขัดขวาง!


หลังจากเข้าเมือง ปี้เยว่ฮูหยินก็เรียกเหมียวอี้ “ผู้บัญชาการใหญ่ ตามข้ามาหน่อยสักรอบ”


“ขอรับ!” เหมียวอี้เอ่ยรับ แล้วโบกมือให้ลูกน้องคนอื่น บอกใบ้ว่าให้กลับไปก่อน


กลุ่มลูกน้องน้อมส่ง แล้วเหมียวอี้ก็เหาะตามปี้เยว่ฮูหยินไปทางตำหนักคุ้มเมือง


ในสวนดอกไม้ด้านหลัง ผู้การสองหลันเซียงเข้ามาต้อนรับ ปี้เยว่ฮูหยินนำสัตว์เลี้ยงวิญญาณที่กำลังอุ้มส่งต่อให้หลันเซียง แล้วลากกระโปรงนำเหมียวอี้เดินเล่นช้าๆ ด้วยกันในสวนดอกไม้ หลายครั้งที่หยุดเดินแล้วก้มหน้าดมดอกไม้สดที่ขึ้นเป็นกอติดกัน


เรือนร่างที่อวบอัดกลมกลึงของนางช่างทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ ให้ภรรยาที่สวยขนาดนี้เฝ้าบ้านอยู่ลำพังก็จะตำหนิไม่ได้เหมือนกัน เหมียวอี้พึมพำในใจ บางครั้งสายตาก็กวาดมองบนเรือนร่างที่เย้ายวนใจของปี้เยว่ฮูหยิน และแอบหันกลับมามองสำรวจปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่อยู่ในมือของผู้การสองหลันเซียงอยู่เป็นระยะ


เมื่อเดินวนในสวนดอกไม้ตามนางเงียบๆ ได้ครู่หนึ่ง เหมียวอี้ไม่รู้ว่านางมีเจตนาอะไร สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามก่อนว่า “ฮูหยินเรียกข้าน้อยมา ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับขอรับ?”


ปี้เยว่ฮูหยินค่อยๆ เก็บนิ้วงามที่ลูบบนกลีบดอกไม้กลับมา เอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า”ผู้บัญชาการใหญ่คิดว่าดอกไม้ในสวนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”


“ข้าน้อยเป็นคนหยาบๆ ไม่เข้าใจเรื่องของสวยงามพวกนี้ แต่ในเมื่อมีฮูหยินดูแลเอาใจใส่ ก็ย่อมต้องดีที่สุดอยู่แล้ว!” เหมียวอี้ตอบ


“คนหยาบเหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยินหัวเราะเบาๆ ตอนนี้หยุดชื่นชมดอกไม้แล้ว นางเดินต่อไปข้างหน้า แล้วถามเหมียวอี้ที่เดินตามอีกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่กำลังรังเกียจตำหนักคุ้มเมืองนี้เหรอ?  ทำไมไม่เข้ามาอยู่ที่ตำหนักคุ้มเมืองเสียที?”


“ไม่ได้รังเกียจขอรับ แต่ไม่อยากรบกวนความสงบของฮูหยิน ขอแค่ตัวยังอยู่ในตลาดสวรรค์ ที่จริงไม่ว่าจะพักที่ไหนก็เหมือนกัน” เหมียวอี้ตอบ


ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ไม่ได้ถามคำถามนี้ต่อแล้ว บอกว่า “อีกไม่กี่เดือนข้างหน้า การทดสอบของตำหนักสวรรค์ก็จะเริ่มขึ้นอีก ครั้งนี้เป็นการทดสอบในระดับที่สูงขึ้น คาดว่าเจ้าคงได้ยินมาบ้างแล้วเหมือนกัน”


“ขอรับ! ข้าน้อยได้ยินว่ามีการร่างรายชื่อออกมานานแล้ว” เหมียวอี้กล่าว


เขากำลังทดสอบหยั่งเชิง ได้ยินว่ารายชื่อผู้เข้าร่วมการทดสอบถูกกำหนดตั้งแต่ยังไม่ได้เลื่อนขั้นผู้บัญชาการใหญ่ จู่ๆ อีกฝ่ายก็เอ่ยถึงเรื่องนี้ ไม่ใช่ว่าการทดสอบของผู้บัญชาการใหญ่จะเกี่ยวข้องกับตนหรอกนะ?


ปี้เยว่ฮูหยินบอกว่า “ที่เรียกเจ้ามาก็เพราะอยากจะเตือนเจ้าอีกครั้ง ตำหนักสวรรค์เปลี่ยนทิศทางการพัมนาแล้ว แต่ตลาดสวรรค์แต่ละที่กลับสงบสุขมานาน ข้ากังวลว่าตำหนักสวรรค์จะมาปรับปรุงและจัดระเบียบที่ตลาดสวรรค์ใหม่ในไม่ช้าก็เร็ว เจ้าต้องเตรียมตัวล่วงหน้า ถึงแม้มู่หรงซิงหัวจะกลายเป็นฮูหยินหัวหน้าภาค จุดไหนที่เจ้าควรให้เกียรติก็ต้องให้เกียรติ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรเช่นกัน เจ้ามีข้าคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังในทุกๆ เรื่อง เข้าใจความหมายที่ข้าจะสื่อมั้ย?”


“ข้าน้อยเข้าใจ” เหมียวอี้เอ่ยรับ ต้องการจะปรับปรุงจัดระเบียบตลาดสวรรค์ในไม่น่าก็เร็วเหรอ? คำเตือนของปี้เยว่ฮูหยินได้เคาะกระดิ่งให้เขาแล้วจริงๆ จึงถามหยั่งเชิงว่า “ฮูหยิน ในสังกัดท่านโหวคงจะมียอดฝีมือมากมาย จะขอย้ายกำลังคนจากท่านโหวมาทางนี้สักหน่อยได้หรือไม่?”


“เฮ้อ!” ปี้เยว่ฮูหยินส่ายหน้าถอนหายใจ “ทดสอบต่อเนื่องกันแบบนี้ ทุกคนสังเกตเห็นหมดแล้วว่าแนวโน้มการพัฒนาของตำหนักสวรรค์เปลี่ยนไป ต่างก็เตรียมกำลังคนที่ใช้งานได้เอาไว้ ถ้าลูกน้องคนไหนพอจะใช้งานได้หน่อยก็ไม่อยากปล่อยไป ท่านโหวเองก็ขาดแคลนกำลังคนที่ใช้งานได้เหมือนกัน มิหนำซ้ำเรื่องแบบนี้ ท่านโหวก็ไม่สะดวกจะทำอย่างลำเอียงเกินไป ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา คนระดับล่างก็มีเหตุผลที่จะปัดความรับผิดชอบอยู่แล้ว ถึงอย่างไรตลาดสวรรค์ก็เป็นสถานที่ที่เงียบสงบ ท่านโหวทำได้เพียงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้การทดสอบเกิดขึ้นกับพวกเรา แบบนี้ก็นับว่าดูแลเป็นพิเศษแล้ว ถ้านำคนที่มีประโยชน์ย้ายจากกลุ่มกำลังพลเตรียมรบมาที่นี่อีก แบบบนั้นก็จะฟังไม่ขึ้นเหมือนกัน เข้าใจมั้ย?”


เมื่อนางพูดมาแบบนี้ เหมียวอี้ก็เข้าใจแล้ว ภายใต้ความเดือดดาลของราชันสวรรค์ แม้แต่อิ๋งเหย้าก็ยังฆ่าทิ้งได้ ทั้งยังอาศัยการทดสอบเพื่อจะลดขั้นพวกลูกหลานของตระกูลใหญ่ให้ไปเป็นพวกเทพเจ้าที่ ผีหลักเมืองอีก แล้วก็ห้ามเลื่อนตำแหน่งภายในสามพันปี เชือดไก่ให้ลิงดูแบบนี้ แถมจู่ๆ ก็จัดการทดสอบต่อไป ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมีคนมากมายเท่าไรที่โชคร้ายเพราะรับมือไม่ทัน มีคนมากมายเริ่มกลัวแล้ว ทุกคนเริ่มกอดเท้าพระพุทธเจ้าแล้ว


ตอนนี้เขาเองก็พอจะเดาได้แล้วว่าทำไมตัวเองจึงถูกรั้งไว้ให้อยู่ที่ตลาดสวรรค์


หลังจากคุยเป็นเพื่อนปี้เยว่ฮูหยินเกือบครึ่งชั่วยาม ตอนที่ออกจากจวนผู้บัญชาการ เหมียวอี้ก็ได้รับข้อความจากอวิ๋นจือชิว


พอหยิบระฆังดาราออกมา ก็ถูกอวิ๋นจือชิวสอบสวนทันที : เจ้าอยู่ที่ไหน?


ช่วงนี้อวิ๋นจือชิวจับตาดูเรื่องชู้สาวของท่านขุนนางเหมียวอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการป้องกันปี้เยว่ฮูหยินไว้ทุกขณะ เหมียวอี้เริ่มคิดไม่ตกแล้ว ทำไมชีวิตด้านความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงของเขาจึงทำให้ผู้หญิงคนนี้ไม่วางใจขนาดนี้? เดิมทีเขาอยากจะพูดว่าตัวเองอยู่ที่จวนขุนนาง แต่พอลองคิดอีกมุม การที่ผู้หญิงคนนี้ถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน เป็นเพราะไปถามพวกฝูชิงมาล่วงหน้าแล้วหรือเปล่า?


ถ้าถูกเปิดโปงแล้วยังโกหก เกรงว่ายิ่งแก้ตัวก็จะยิ่งมีความผิด ผู้หญิงคนนั้นจะยิ่งประสาทเสีย ทำได้เพียงยอมรับอย่างซื่อสัตย์ : เพิ่งจะกลับมาจากตำหนักคุ้มเมือง! เจ้าจะกลับมาเมื่อไร?


เป็นอย่างที่คาดไว้ อวิ๋นจือชิวถามทันทีว่า : ไปตำหนักคุ้มเมืองอีกทำไม?


เหมียวอี้ : พวกเราเพิ่งกลับมาจากงานแต่งงานของมู่หรงซิงหัว ปี้เยว่ฮูหยินมีเรื่องจะสั่ง


อวิ๋นจือชิวไม่พอใจอย่างเห็ดได้ชัด : ผู้ชายที่มีประโยชน์ของตำหนักสวรรค์ตายกันหมดแล้วรึไง? ให้ผู้หญิงคนหนึ่งมาคุมดาวเทียนหยวน มันใช่เรื่องรึไง?


เหมียวอี้พูดไม่ออกมา แบบนี้มันหลักการอะไรกัน เขาขี้เกียจจะเถียงเรื่องนี้ ถามแค่ว่า : มีเรื่องอะไรรึเปล่า?


แน่นอนว่ามีเรื่องแล้ว อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะออกจากแดนโพ้นสวรรค์ ยังอยู่ระหว่างทางกลับสายมะโรง นางวกเข้าประเด็นหลัก เล่าถึงปฏิกิริยาที่ไม่ปกติของมู่ฝานจวินก่อนหน้านี้ให้เขาฟังทันที


สิ่งนี้ทำไมเหมียวอี้รู้สึกกลัดกลุ้มนิดหน่อย เห็นได้ชัดว่ามู่ฝานจวินสังเกตเห็นอะไรบางอย่างแล้ว ที่จริงต่อให้สังเกตเห็นก็ไม่เป็นอะไร ประเด็นสำคัญคือเจ้าสามถูกบีบอยู่ในมือมู่ฝานจวิน สิ่งนี้ทำให้เขาลูบหน้าปะจมูก…


ในเวลาต่อมา เหมียวอี้ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตว่างๆ อีกต่อไป มีผู้จัดการร้านค้าของตระกูลใหญ่ๆ มาหาอยู่เป็นระยะ ยังคงมามอบของขวัญให้ แต่จุดประสงค์ในการนำของขวัญมาให้กลับมุ่งไปที่ตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เขตเมืองตะวันตก เขตเมืองใต้ อยากจะให้เหมียวอี้เปิดทางสะดวกให้ ให้ใครบางคนมานั่งตำแหน่งนั้น ส่วนตำแหน่งที่เขตเมืองเหนือของมู่หรงซิงหัวก็ไม่มีใครคิดถึง ต่างก็รู้ว่าเป็นตำแหน่งของเมียเฉาว่านเสียง เหมียวอี้ก็ไม่มีอำนาจตัดสินใจเหมือนกัน


ตอนนี้ตำหนักสวรรค์เน้นลงมือกับตระกูลใหญ่ๆ พวกนั้นก่อน ตอนแรกที่ไปข้าร่วมการทดสอบเพราะพลอยเดือดร้อนไปกับโค่วเหวินหลาน เหมียวอี้จะยังรับลูกหลานของตระกูลใหญ่ๆ มาเป็นลูกน้องให้โดนตำหนักสวรรค์ร่างรายชื่ออีกได้อย่างไร เมื่อได้ผ่านการทดสอบครั้งก่อนมา เขาก็เข้าใจแล้วว่าการเลือกสุ่มเป็นแค่คำพูดเหลวไหล ไม่เกี่ยวอะไรกับการ ‘สุ่มเลือก’ เลย ชัดเจนว่าไม่ถูกชะตากับที่ไหนก็จะเลือกที่นั่น


แต่เหมียวอี้ก็ทำเรื่องนี้อย่างไม่จริงใจสักเท่าไร เขารับของขวัญไว้ แต่ไม่จัดการธุระให้ ผลักเรื่องทั้งหมดไปให้ปี้เยว่ฮูหยิน ส่วนปี้เยว่ฮูหยินก็ผลักไปให้เฉาว่านเสียงอีก


เมื่อได้คลุกคลีกับระดับที่สูงขึ้นมาหน่อย เหมียวอี้ก็นับว่าเข้าใจแล้ว หัวหน้าภาคอย่างเฉาว่านเสียงก็คือคนที่ท่านโหวเทียนหยวนจัดมาทำงานยากๆ ให้ปี้เยว่ฮูหยินนั่นเอง เขาจินตนาการได้เลยว่าเฉาว่านเสียงปวดหัวขนาดไหน เมื่อปี้เยว่ฮูหยินผลักความรับผิดชอบมาให้ เขาไม่เพียงแค่ต้องรับไว้ ทั้งยังไม่กล้าผลักต่อไปให้ท่านโหวเทียนหยวนอีก ครั้งนี้ไม่รู้ว่าทำให้คนมากมายเท่าไรไม่พอใจ


เหมียวอี้แค่รับของขวัญแต่ไม่จัดการธุระ ย่อมทำให้คนมากมายไม่พอใจ คนที่สามารถมาขอให้เขาจัดการธุระได้ก็ไม่ใช่เล่นๆ ไม่นานก็มีคนฟ้องขึ้นไปเบื้องบนแล้ว ฟ้องว่าเหมียวอี้รับสินบน!


“ทำอะไรของเจ้า? ในเมื่อเจ้าไม่อยากใช้งานคนที่พวกเขาแนะนำ แล้วทำไมต้องรับของขวัญจากพวกเขาด้วย ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้จักคนที่หนุนหลังร้านค้าพวกนั้นอยู่ นี่ไม่ใช่การหาเรื่องใส่ตัวหรอกเหรอ?”


ณ ตำหนักคุ้มเมือง ภายใต้แท่นที่ก่อตัวจากเถาวัลย์ พอข่าวส่งมาถึง ปี้เยว่ฮูหยินก็เรียกเหมียวอี้มาสอบถามตอนกลางคืน


ภายใต้แสงสลัวของโคมไฟ เหมียวอี้กล่าวตอบเสียงต่ำว่า “ข้าน้อยไม่ได้รับของจากพวกเขาจริงๆ คนพวกนั้นใส่ร้ายข้า!”


“เจ้าไม่ได้รับของจากพวกเขาจริงเหรอ?” ปี้เยว่ฮูหยินถาม


เหมียวอี้ตอบว่า “ถ้านับรวมของขวัญแสดงความยินดีที่ข้าน้อยได้เลื่อนตำแหน่งกับของแสดงความกตัญญูตอนปลายปี นั่นก็ถือว่ารับไว้จริงๆ แต่ของแบบนี้ใครจะไม่เคยรับบ้างล่ะ?”


“แบบนี้…” ปี้เยว่ฮูหยินขมวคิ้วมุ่น “งั้นคนพวกนั้นก็ทำเกินไปจริงๆ!”


“ถ้าผู้บัญชาการใหญ่โค่วยังอยู่ พวกเขาไม่กล้าทำแบบนี้แน่ เป็นเพราะข้าได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่โดยไม่มีใครหนุนหลัง คิดว่าขาโดนรังแกได้ง่ายๆ! เห็นข้าขวางทางพวกเขา อยากจะเตะข้าออกไป!” เหมียวอี้กล่าว


“รังแกกันเกินไปจริงๆ!” บนใบหน้าปี้เยว่ฮูหยินฉายแววขุ่นเคือง นี่ยังมีคนคิดว่าฉากที่คอยหนุนหลังให้เหมียวอี้อย่างนางยังไม่แข็งแกร่งพออีกเหรอ? หลังจากสีหน้าผ่อนคลายลง ก็เตือนว่า “มีคนนำเรื่องนี้เปิดเผยกับทางเทพประจำดาวแล้ว เบื้องบนให้ท่านโหวตรวจสอบอย่างเข้มงวด! ท่านโหวให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ส่งกระบวนทัพมาลาดตระเวนใหญ่มาก เจ้าเตรียมใจให้พร้อมเถอะ!”


ปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่อยู่ในอ้อมกอดนางตาเป็นประกาย จ้องเหมียวอี้เหมือนมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น


“ข้าน้อยตัวตรงไม่กลัวเงาเอียง!” เหมียวอี้ตอบเสียงต่ำ ในใจแสยะยิ้ม เขาต้องการอาศัยโอกาสนี้ก่อเรื่องอยู่พอดี!


นี่คือความเคยชินของเขา หรือพูดได้ว่าลักษณะการทำงานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เริ่มตั้งแต่ที่พิภพเล็ก ถ้าเขาเลื่อนขั้นแล้วไม่ก่อเรื่องสักหน่อยก็เรียกว่าแปลกแล้ว เขาได้นั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่อย่างแปลกประหลาดไร้เหตุผล สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกจิตใจไม่สงบ ถ้าไม่ทำให้จิตใจสงบ เขาก็มักรู้สึกว่านี่ไม่ใช่อาณาเขตของตัวเอง!


…………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)