องครักษ์เสื้อแพร 1061-1063
ตอนที่ 1061 เมืองซงเจียงร่ำรวยใหญ่ เมืองฮิราโดะ[1] ประเทศวัว
Ink Stone_Fantasy
ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 18 ต้นฤดูหนาวในเมืองหลวง หวังทงยุ่งมาก ร่วมงานเลี้ยงหลายตระกูล คุยเรื่องการค้ามากมาย ล้วนเจรจากกันอย่างครื้นเครง
งานเลี้ยงแรกๆ หลายครั้ง หลี่เหวินหย่วนแอบส่งคนมาแจ้งข่าวว่า ในวังส่งคนมาจับตา หวังทงไม่สนใจในเรื่องนี้ ตนเองไปมาหาสู่กับบรรดาชนชั้นสูงในเมืองหลวง ในวังไม่จับตาสิเป็นเรื่องแปลก ไยต้องสนใจ อย่างไรก็เป็นการค้าดีมีกำไร
มีขุนนางบุ๋นยื่นฎีกา จากนั้นฮ่องเต้ว่านลี่ทรงพระเมตตา ทูลเชิญไทเฮาฉือเซิ่งกลับวัง การกระทำเช่นนี้มีแต่คนชื่นชมสรรเสริญ คิดว่าฮ่องเต้ว่านลี่เป็นผู้มีความกตัญญูอันดับหนึ่ง
กระบวนการนี้ คนฉลาดล้วนรู้ว่าย่อมไม่ใช่เป็นเพราะขุนนางบุ๋นไม่อาจทนเห็นแม่ลูกเหินห่าง หากเป็นเมื่อก่อน เรื่องสร้างชื่อเช่นนี้ย่อมมีคนแย่งกันไปกราบทูลก่อน แต่ตอนนี้ทุกคนล้วนหวาดกลัวว่าหากพูดผิดไป ไม่ได้ถูกโบยสร้างชื่อแน่ ดีไม่ดี อาจหัวหลุดจากบ่าสิ้นชื่อก็เป็นได้ เรื่องนี้เบื้องหลังย่อมมีคนจัดการ
เดิมในวังเป็นห่วงที่สุดไม่ใช่งิ้วฉากนี้ถูกเปิดโปง หากเป็นไทเฮาฉือเซิ่งไม่ทรงกลับมา ไทเฮาฉือเซิ่งเป็นผู้มีอุปนิสัยยึดมั่น เรื่องต่างๆ เป็นเช่นนี้แล้ว ไม่มีเลวร้ายไปกว่านี้แล้ว พระนางคงไม่กลัวอันใดแล้ว
แต่คนเราอายุมาแล้ว หลายเรื่องก็ย่อมคิดตก ขันทีฝ่ายในไปยังจวนอู่ชิงโหว ติดต่อกับจวนอู่ชิงโหวได้ราบรื่นมาก จากนั้นก็เป็นฮ่องเต้ว่านลี่รับกลับเข้าวัง
ต้นฤดูหนาว ขุนนางราชสำนักเริ่มรู้สึกได้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่พระอารมณ์ดีมาก ในการประชุมขุนนางก็ไม่ทรงพระพักตร์เคร่งเครียด มักแย้มสรวล ฮ่องเต้อารมณ์ดี ไม่ทรงคาดคั้นอันใดมากนั้น ขุนนางใหญ่ทำงานได้ง่ายขึ้น คนเบื้องหน้าก็ทำงานกันง่าย เมืองหลวงอยู่ ๆ ก็มีบรรยากาศยินดี
ทุกคนพากันคาดเดา การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เพราะเหตุใด ตอนนี้หวังทงอยู่เมืองหลวง ยังเป็นคนไปรับเสด็จไทเฮาฉือเซิ่งกลับตำหนักฉือหนิงกง
ชนชั้นสูงเมืองหลวงที่มีสถานะพอจะเลี้ยงหวังทงเกือบทั้งหมดพากันขอเลี้ยงหวังทง ทุกคนการเมืองต่างค่ายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อก่อนมีความขัดแย้งหรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่การค้าทำกำไรนั้น เกี่ยวพันถึงลูกหลาน อย่างไรก็ต้องไม่พลาดโอกาสไปเพราะมัวแต่รักหน้าตา ที่ควรกล่าวก็ต้องเอ่ยปาก
เหลียวกั๋วกงก็เหมือนพูดด้วยง่ายกว่าเมื่อก่อนมาก รับคำเชิญ โอกาสตอนนี้มีมาก ขอเพียงแต่ละคนคิดทำ ยอมทุ่มเงิน เช่นนั้นก็สะดวกทุกเรื่อง ยังกล่าวว่าตอนนี้แต่ละแห่งขาดคน หากทุกท่านสามารถหาคนมาได้มากพอ ย่อมมีโอกาสได้ค่าตอบแทนคืนมาก
ชนชั้นสูงไม่มีอำนาจแท้จริง หากในการค้านั้น ราชสำนักอาจเปิดทางสะดวกได้ เงินทองไม่เคยขาด กำลังคนนั้นอาจยากสำหรับคนอื่น แต่สำหรับพวกเขา ช่างเป็นเรื่องง่ายดาย ล้วนง่ายมาก
หวังทงไปร่วมงานเลี้ยงสุดท้าย เมืองหลวงผู้ใดก็คาดไม่ถึง ถึงกับเป็นจวนอู่ชิงโหว ชนชั้นสูงอื่นยังดี ไทเฮาฉือเซิ่งกับอู่ชิงโหวเคยมีเรื่องปะทะกับหวังทงไม่น้อย บางเรื่องแทบเอาเป็นเอาตายกันเลยทีเดียว ถึงกับจัดเลี้ยง และหวังทงก็ยังไป
หรือว่าเป็นการแสดงให้เห็นให้ได้ว่าเมืองหลวงเกิดกระแสใหม่ คนที่สนใจเรื่องพวกนี้ก็สามารถสืบข่าวมาได้ จวนอู่ชิงโหวเหมือนว่าไม่ได้ต้องการปิดบังข่าวอันใด ข่าวก็สืบง่ายดายมาก
กล่าวว่าในงานเลี้ยง อู่ชิงโหวคำนับหวังทงสามครั้ง และยังคารวะสุรา เรื่องการค้าอย่างเป็นรูปธรรมนั้นไม่ได้กล่าวถึงอันใด
ตระกูลอู่ชิงโหวแม้ว่าจบสิ้นในเมืองหลวงราวกับเตามอดเย็นลง ด้วยถูกองครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาจับตาแน่นหนา แต่สายสัมพันธ์กับราชวงศ์ยังคงอยู่ อย่างไรก็เป็นน้าแท้ๆ ฮ่องเต้ ขันทีในวังคิดว่าอู่ชิงโหวจบสิ้นแล้ว รังแกได้แล้ว หักเบี้ยเลี้ยงได้แล้ว ผลปรากฏคนในจวนมาฟ้อง ขันทีผู้นั้นถูกตัดหัวทันที จากนั้นผู้ใดก็ไม่กล้าไร้มารยาท อู่ชิงโหวเกรงใจหวังทงเช่นนี้เพื่ออะไร
ตอนทุกคนคาดเดากัน ก็มีข่าวออกมา ข่าวในวังมีคนรู้ไว แพร่ข่าวออกมาว่าครั้งนี้ไทเฮาฉือเซิ่งได้กลับวัง ก็เป็นเพราะหวังทงกราบทูล ทุกคนได้ยินแล้ว ก็พากันอึ้งสนิท ท่าทีอู่ชิงโหวเช่นนั้นที่แท้เป็นเพราะเรื่องนี้นี่เอง น้ำใจเช่นนี้ ท่าทีเช่นนี้ นับว่าไม่เกินไปนัก
**************
หวังทงไม่คิดจะฉลองปีใหม่ในเมืองหลวง รับเลี้ยงตามมารยาทพวกนี้จบลง เจรจาการค้าเสร็จ ก็คิดรีบเร่งเดินทางกลับบ้าน ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาในเมืองหลวงต่อ
ตอนเขากำลังจะออกจากเมืองหลวง ทางเทียนจินก็มีข่าวมาว่า คนเสิ่นหวั่งจับคนพวกหนึ่งมาเทียนจิน มาโบยอยู่หน้าร้านประกันภัย บอกว่าคนเหล่านี้ที่คิดแต่ประโยชน์ตน คิดจะปล้นเรือการค้าที่ซื้อประกันภัยจากร้านประกันภัย เสิ่นหวั่งรู้แล้วก็โมโหมาก บอกว่าธรรมเนียมการค้าไม่อาจทำลายได้ ดีที่ยังไม่ได้ลงมือ ไม่ได้เป็นภัยสำเร็จ ดังนั้นจึงสั่งโบยต่อหน้าทุกคน นับว่าเป็นการลงโทษ
วาจานี้จริงเท็จว่าได้ยาก แต่คนวงในล้วนรู้ว่านี่เป็นการแสดงท่าที อย่างน้อยเสิ่นหวั่งวันหน้าระยะหนึ่งนี้ก็จะไม่สมคบกับพวกโจรสลัดทำอันใดบนท้องทะเล
เรื่องนี้เป็นไปตามคาดของหวังทง เสิ่นหวั่งมีสายสัมพันธ์ประเทศวัวลึกซึ้ง ตั้งแต่หนีจากเทียนจินไป สิ่งเดียวที่ยังรับประกันอิทธิพลอำนาจและกำไรเสิ่นหวั่งได้ก็คือการค้ากับประเทศวัว หากเพราะเรื่องโจรสลัดทำให้ทุกคนโมโห การค้าสูญสิ้น เขากลัวว่าหากเหลือแค่การค้าประเทศวัวไปทะเลใต้คงไม่ได้การ เพราะเป็นเส้นทางการค้าชาวผิวขาวที่แย่งกันเป็นตาย และยังมีกองเรือหวังทงคอยกั้นกลางอีก
ดังนั้นเสิ่นหวั่งจะต้องแสดงท่าที แสดงท่าทีว่าจากนี้ไปจะทำการค้าสงบเสงี่ยม ส่งคนไปร้านประกันภัยโขกศีรษะโบยรับโทษแล้ว กองเรือเสิ่นหวั่งยังซื้อประกันร้านประกันภัย นับเป็นการแสดงท่าที การค้าเขาจะอยู่ในระบบหวังทงทำการค้าต่อไป
แต่ทว่าเรื่องนี้กลับเตือนหวังทงเรื่องหนึ่ง เขาจึงออกคำสั่งไปยังโรงเรือกับโรงต่อเรือ เรือปืนใหญ่แบบตะวันตกให้เปลี่ยนรูปแบบการขาย กองเรือส่วนตัวตอนนี้ขายให้แค่กลุ่มผู้คุ้มกัน ก็หมายความว่า พ่อค้านอกเครือข่ายสามธาราสามารถซื้อเรือปืนใหญ่ได้ แต่คนบนเรือปืนใหญ่ ล้วนต้องเป็นกองเรือสามธารา เรือปืนใหญ่นี้เป็นของกองเรือสามธารา เป็นเพียงการคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่พ่อค้าที่ซื้อในระยะยาว เป็นการรับรองความปลอดภัยคุ้มกันพวกเขา จำกัดขอบเขตว่า ไม่ทำการรบและปล้นชิงเพื่อพ่อค้า เพียงแค่ไว้คุ้มครองพวกเขาเท่านั้น และจะไม่ทำการที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์และคำสั่งเครือข่ายสามธารา
สำหรับพ่อค้าแล้วไม่แตกต่างมากนัก หลังซื้อเรือปืนใหญ่ พวกเขาไม่กล้าใช้เรือปืนใหญ่มาทำการค้ากับโจรสลัด และไม่กล้าใช้เรือนี้มาแย่งชิงความเป็นใหญ่อันใดบนท้องทะเลกับกองเรือสามธารา
ที่หวังทงคิดก็คือ เรือปืนใหญ่เช่นนี้จะไปยังแผ่นดินหมิงที่ต่างๆ หรือไม่ ชาวผิวขาวทะเลใต้ไม่ขาดแคลนเรือนี้ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึง ที่เหลือก็เป็นประเทศวัว อย่าเห็นว่าโรงต่อเรือไปขายเป็นแค่เรือเล็กปืนใหญ่ 15 กระบอก แต่ปืนใหญ่รับมือกับไดเมียว[2]ประเทศวัวก็นับว่าเป็นอาวุธรุนแรงที่หาได้ยาก
จัดการเช่นนี้เสร็จ หวังทงก็ออกจากเมืองหลวงกลับไปยังเมืองซงเจียง
หากกล่าวว่าการมาตอนเหนือครั้งนี้มีอันใดเสียใจ ก็ย่อมเป็นไม่ได้พบกับเจ้าจินเลี่ยง ตอนหวังทงออกจากเมืองหลวงเจ้าจินเลี่ยงน่าจะตรวจงานอยู่ที่หนิงเซี่ย
ก่อนจาก ฮ่องเต้ว่านลี่ยังเรียกหวังทงเข้าเฝ้าหลายครั้ง ตอนนี้เมืองกุยฮว่าเฉิงทุกอย่างเข้าระบบแล้ว ในวังส่งขันทีไปไม่ต้องใช้ความสามารถบุกเบิกและตัดสินใจอะไรมาก ก็สามารถทำได้ดี และยังเป็นการดำเนินไปอย่างปกติ ที่แท้เมิ่งตั๋วเมืองกุยฮว่าเฉิงถูกฮ่องเต้ว่านลี่เตรียมส่งไปเมืองซงเจียง
ส่งเมิ่งตั๋วไปเมืองซงเจียง หวังทงรับรู้แล้ว โจวอี้ก็มาเยือน นำเรื่องที่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้ตรัสกระจ่างนักมา ไม่ใช่เมืองซงเจียงทุกอย่างล้วนดำเนินไปอย่างมั่นคงแล้วจึงทำเช่นนี้ แต่ที่ต้องส่งคนในวังไปรับหน้าที่ต่อ เพราะครั้งนี้หวังทงมาเมืองหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่รู้สึกว่าหวังทงอยู่เมืองหลวงจำเป็นกว่า จึงส่งคนไปทำหน้าที่แทนหวังทง ให้รูปแบบทุกอย่างเหมือนเมืองกุยฮว่าเฉิงตอนนั้น
ได้กลับมาเมืองหลวงเป็นเรื่องดี แต่ทว่าไม่กลับมาก็ไม่ได้ไม่ดีอันใด ท่าทีหวังทงต่อเรื่องนี้นั้นเรียกว่ามีหรือไม่มีก็ได้ ยิ้มรับคำกับโจวอี้ไปตามเรื่อง
หวังทงตอนไปถึงเขตซานตง มีคนหนึ่งไล่ตามหลังมา คนผู้นี้หวังทงคิดไม่ถึง ถึงกับเป็นซุนเผิงจวี่จากเหลียวหนิง ซุนโส่วเหลียนเป็นผู้บัญชาการเหลียวหนานแล้ว ครองพื้นที่ส่วนหนึ่ง ซุนเผิงจวี่ก็จากหวังทงกลับบ้านไป
เรื่องนี้ทุกคนก็ล้วนรู้กันเงียบๆ ซุนโส่วเหลียนเป็นผู้บัญชาการแล้ว การเป็นบุตรชายผู้บัญชาการย่อมมีผลประโยชน์หลายด้าน นี่เป็นเรื่องหนึ่ง อีกเรื่อง หวังทงสถานการณ์ตอนนั้นกำลังไม่แน่นอน ติดตามเขาไม่มีผลประโยชน์ใด กลับทำให้ยุ่งยาก เดิมก็เป็นสายสัมพันธ์ผลประโยชน์กันและกัน ดังนั้นจึงได้จากไป
แต่ครั้งนี้ฮ่องเต้ว่านลี่มีราชโองการให้หวังทงไปจัดพิธีศพจางเฉิง ในเมืองหลวงยังได้รับพระเมตตาเช่นนี้ อำนาจและสถานะหวังทงวันหน้านั้น ทำให้คนเริ่มวิเคราะห์ไปอีก ซุนโส่วเหลียนพอได้ข่าวก็ให้ซุนเผิงจวี่รีบตามมาขอเป็นทหารติดตามต่อ ก็เป็นเรื่องสมเหตุผล
การกลับมาของซุนเผิงจวี่ หวังทงไม่ได้รู้สึกอันใด ซุนเผิงจวี่ติดตามเขาได้ไม่นาน ไม่อาจเรียกได้ว่ามีน้ำใจต่อกัน แต่ทว่าสายสัมพันธ์ซุนโส่วเหลียนยังอยู่ ก็ย่อมรักษาเอาไว้
กลางเดือนสิบสอง หวังทงกลับถึงเมืองซงเจียง ทำให้ภรรยาทั้งหลายของเขาตกใจและยินดีปรีดามาก ทุกปีใกล้ปีใหม่ หวังทงมักมีงานต่างๆ ให้ต้องไปจัดการ ทำให้เริ่มชินกับบรรยากาศปีใหม่เช่นนั้นแล้ว
ภรรยาทั้งหลายของเขาตกใจและยินดีปรีดาเป็นเรื่องหนึ่ง หวังทงในเมืองซงเจียงยิ่งขยายอิทธิพล สิ่งที่ได้รับพระเมตตาในการไปเมืองหลวงครั้งนี้ แน่นอนข่าวย่อมส่งกลับมายังเมืองหนานจิงกับหลายแห่งในแดนใต้ หวังทงสถานะใดกันนั้น ทุกคนล้วนเข้าใจกระจ่างแจ้งแล้ว อย่างไรก็ต้องมาประจบเอาใจสร้างสัมพันธ์ใหม่สักหน่อย
อยู่เมืองหลวงยุ่งไม่ได้หยุด กลับมาเมืองซงเจียงก็ไม่ต่าง ตอนนี้เมืองซงเจียงค่อยๆ กลายเป็นศูนย์กลางการค้าแดนใต้ ใกล้ปีใหม่ แม่น้ำฉินไหวเหอกำลังคึกคัก แต่ทว่าตอนนี้สตรีมีชื่อและเรือสำราญ ล้วนมาจากเมืองซงเจียง
เพราะการค้ามากมายต้องตัดสินใจกันที่เมืองซงเจียง คหบดีใหญ่เจรจาการค้ากัน มักล้วนต้องอาศัยงานเลี้ยงสำราญ ในสถานที่หรูหราอลังการ ดังนั้นจึงมีกระแสเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เดิมซูโจว หยางโจว หนานจิง อาหารรสเลิศสามแห่งนี้และบรรดาสถานที่หรูหราไว้สำหรับคหบดีร่ำรวย ตอนนี้ล้วนพากันย้ายมายังเมืองซงเจียง
***************
เมืองฮิราโดะบนเกาะคิวชู ประเทศวัว ที่นี่เป็นเมืองท่าที่รุ่งเรืองที่สุดของประเทศวัวแห่งหนึ่ง แต่ทว่าที่ฮิราโดะนี่ จะบอกว่าเป็นชาวประเทศวัว ไม่สู้ว่าเป็นพ่อค้าทะเล
พ่อค้าทะเลพวกนี้ไม่เพียงแค่เจ้าทะเลแผ่นดินหมิง ยังมีพวกฮอลันดากับโปรตุเกส แน่นอนอิทธิพลอำนาจใหญ่สุดเป็นเจ้าทะเลแผ่นดินหมิง
มีเรือหลายพันลำ คนหลายหมื่นคนเช่นเจ้าทะเลแผ่นดินหมิง สำหรับบรรดาไดเมียวประเทศวัวแล้ว เป็นการมีอยู่ที่น่าหวาดกลัว ประเทศวัวเองก็มีโจรสลัดกับกำลังกองเรือ แต่ทว่าเรือเหล่านี้ใช้เคลื่อนไหวแค่ใกล้ชายฝั่ง ไม่อาจสู้เรือแผ่นดินหมิงของบรรดาเจ้าทะเลที่ลำใหญ่และแข็งแกร่งได้
กองเรือประเทศวัวโจรสลัดแต่ไรไม่อาจสู้กองกำลังบรรดาไดเมียว แต่กองกำลังบรรดาไดเมียวประเทศวัวเหล่านี้เทียบกับบรรดาเจ้าทะเลแล้วยังห่างไกล สำหรับอิทธิพลการค้ายิ่งไม่ต้องพูดถึง บรรดาไดเมียวส่วนใหญ่ล้วนได้แต่อาศัยขูดรีดชาวนาในพื้นที่ โชคดีที่มีเหมืองภูเขากับการค้าเมืองท่า แต่สิ่งเหล่านี้ เทียบกับบรรดาเจ้าทะเลแผ่นดินหมิงที่คุมการค้ามหาสมุทรไม่ได้ พูดให้ตรงก็คือ บรรดาไดเมียวผลิตได้และเก็บรายได้ ส่วนใหญ่ล้วนถูกบรรดาเจ้าทะเลแผ่นดินหมิงแย่งไปผ่านทางการค้า
ฮิราโดะเป็นขุมเงินขุมทอง ตามชื่อเป็นของตระกูลริวโซจิ และยังเป็นของตระกูลโคบายากาว่า และทุกคนรอบๆ ฮิราโดะล้วนรู้ว่าตระกูลมัตสึราชิทรงอิทธิพลอำนาจในฮิราโดะ และแน่นอนตอนนี้ทุกคนล้วนอยู่ใต้อำนาจคัมปะกุ[3]โทโยโตมิ ฮิเดโยชิแห่งโอซาก้า
ประเทศวัวไม่ว่าเป็นเอกสารทางการหรือว่าส่วนตัว ทุกคนไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ก็ตาม มักจะลืมการมีอยู่ของเจ้าทะเลแผ่นดินหมิง ตอนนั้นหวังจื๋อเป็นใหญ่ที่ฮิราโดะ ตั้งว่า ‘เมืองซ่ง’ จัดตั้งตำแหน่งขุนนางควบคุมการค้าที่ฮิราโดะ ถึงกับเก็บภาษีที่นารอบๆ เรื่องนี้ทุกคนในประเทศวัวทำเหมือนว่าไม่เคยมีมาก่อน
เช่นกัน เมื่อก่อนเสิ่นหวั่ง ซาต้าเฉิง กู้เหล่าหู่อยู่ที่ฮิราโดะก็ถูกทุกคนลืมเลือนไป พวกเขาเองรู้ หากว่ากันตามกำลังแล้ว บรรดาเจ้าทะเลอาจเป็นใหญ่ตัวจริงในเกาะคิวชูนี้ ไม่ใช่ตระกูลโอโตโมะหรือตระกลูชิมัสสึ
เคยมีช่วงเวลาหนึ่ง บรรดาเจ้าทะเลอยู่ๆ กลับคิดหันเหไปสนใจที่จะกลับไปยังแผ่นดินหมิงพวกเขา ไม่ได้สนใจฮิราโดะอีก กำลังคนและเรือก็ถูกนำกลับไปทั้งหมด
รู้สึกได้ว่าที่นี่อิทธิพลอำนาจเปลี่ยนแปลง กำลังแทรกซึมเข้าฮิราโดะอย่างระมัดระวัง คุมการค้าเมืองท่า แม้ว่าแค่การค้าส่วนหนึ่งเมืองท่า ก็เรียกว่าผลประโยชน์ยิ่งใหญ่แล้ว ไม่พูดถึงเรื่องอื่น แค่นำเข้าปืนใหญ่กับดินปืน ก็สามารถทำให้ตนเองเป็นใหญ่ ได้เปรียบไม่น้อยแล้ว
การแทรกซึมเช่นนี้ไม่กี่ปี เสิ่นหวั่งกลับมาอีกครั้ง ทุกคนล้วนมองออกว่า กำลังคนและเงินทองเสิ่นหวั่งเทียบกับตอนจากไปแล้วเหมือนจะขยายตัวอยู่มาก ทุกคนจึงพากันถอยอย่างระมัดระวัง หลายตระกูลทำกันจนเป็นที่สังเกตเห็นได้ ยังส่งคนมาขออภัยเสิ่นหวั่งด้วยตนเอง
การเปลี่ยนแปลงอิทธิพลอำนาจของเสิ่นหวั่งทำให้คิวชูกับไดเมียวละแวกใกล้กันพากันตกใจไม่น้อย ในสายตาพวกเขา กำลังเสิ่นหวั่งตอนนั้นยิ่งใหญ่นึกไม่ถึง ถึงระดับสูงสุดแล้ว เหตุใดเวลาไม่นานขยายเช่นนี้ได้ ทะเลแผ่นดินหมิงต้องสะสมเงินทองไว้มหาศาลเท่าใดกัน เป็นเรื่องไม่อาจคาดคิดได้จริง ๆ……
[1] จากตอนนี้ไปจะไม่ใช้ชื่อ ผิงฮู่ แต่เปลี่ยนเป็น ฮิราโดะ ซึ่งเป็นเมืองในจังหวัดนางาซากิของญี่ปุ่น เพื่อให้เข้ากับบริบทจากนี้ที่ดำเนินเรื่องในประเทศญี่ปุ่น มีคำศัพท์ถอดด้วยเสียงญี่ปุ่นอยู่มาก
[2] เป็นตำแหน่งเจ้าเมืองที่มีความสำคัญรองลงมาจากโชกุน และไดเมียวจากหลายตระกูลก็ได้เป็นโชกุนในเวลาต่อมา
[3] ผู้สำเร็จราชการแทนพระจักรพรรดิ ฮิเดโยชิได้รับการแต่งตั้งใน ค.ศ. 1586
ตอนที่ 1062 ฮิราโดะไม่ใช่เทียนจิน
Ink Stone_Fantasy
โจรดำรงชีวิตอยู่ในฮิราโดะที่ตั้งระหว่างจังหวัดฮิเซ็น[1]กับจังหวัดชิกูเซ็น มีกำลังพันกว่า มักคุกคามการคงอยู่ของฮิราโดะ โจรเหล่านี้ปล้นพ่อค้าบนท้องทะเล มักจะชนะกำลังไดเมียวในพื้นที่ ความจริงนั้นทุกคนล้วนเข้าใจดี โจรเช่นนี้มีซามูไรตระกูลโมริเป็นกำลังหลัก รับเอาทหารหนีทัพจากตระกูลโอโตโมะและโจรสลัดอื่น ก็เพื่อมารับมือพื้นที่เช่นฮิราโดะผืนนี้
ตระกูลโมริ[2] เป็นกลุ่มอิทธิพลอำนาจลงหลักปักฐานทางไซโกกุ แม้โทโยโตมิ ฮิเดโยชิครองอำนาจครอบคลุมประเทศวัวแล้ว ปราบไดเมียวทั่วคิวชูแล้ว แต่ตระกูลโมริคุมคิวชู ดังนั้นหากไม่อาจคุมมาถึงฮิราโดะ ก็ต้องไม่ปล่อยให้ฮิราโดะเจริญขึ้นได้
หลังเสิ่นหวั่งกลับมาฮิราโดะ เ รื่องแรกที่จัดการก็คือปราบโจรพวกนี้ พวกเสิ่นหวั่งคุ้นเคยพื้นที่ฮิราโดะมาก โจรกลุ่มนี้ถูกพบร่องรอยในเวลาไม่นาน จากนั้นก็ถูกล้อม
ซามูไรตระกูลโมริมีชื่อเสียงเกรียงไกรทั่วผืนแผ่นดินในยุครบกัน คิวชูนอกจากนักรบตระกลูชิมัสสึแล้ว อิทธิพลอำนาจที่เหลือล้วนไม่ได้ความ พวกเขายังเกรงกลัวกองโจรกลุ่มนี้มาก ไดเมียวกับหลายตระกูลประเทศวัว แม้ว่ารู้เจ้าทะเลอำนาจมาก แต่ในใจก็ยังมีความดูแคลนหลายส่วน คิดว่าโจรสลัดอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบได้กับซามูไรบนผืนแผ่นดิน
เสิ่นหวั่งส่งคนออกปราบโจรสลัด ไดเมียวแต่ละแห่งและคนในประเทศพากันรอดูเรื่องสนุก หากเสียเปรียบมา เช่นนั้นทุกคนก็ย่อมมาเจรจาเงื่อนไข
แต่ทว่าการต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว ซามูไรประเทศวัวที่นั่งดูผลพากันตกใจมาก คนของราชาไตรธาราเสิ่นหวั่งเชี่ยวชาญการต่อสู้ และการต่อสู้ยังใช้ปืนใหญ่ ทำให้โจรสลัดถูกทำลายราบคาบ
ไดเมียวในยุครบกันก็มีปืนใหญ่ แต่ก็เป็นปืนที่ประคองยิงด้วยสองมือ ถูกเรียกว่า ‘กระบอกใหญ่’ เรียกให้ถูกก็คือปืนใหญ่เสือหมอบฉบับอานุภาพด้อยประเภทหนึ่ง
ชาวผิวขาวถูกชาวประเทศวัวคิดว่าเป็นพวกป่าเถื่อนทางใต้ การค้ากับประเทศวัวก็มีมาก เมืองท่าหลายเมืองยังมีร้านค้าและโบสถ์ชาวผิวขาว และยังมีไดเมียว ‘คริสเตียน’ ก็คือพวกไดเมียวนับถือคริสต์นิกายคาทอลิค เช่นตระกูลโอโตโมะที่คิวชู
ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นเช่นนี้ ทำให้ปืนใหญ่แท้ๆ ประเทศวัวเองก็มี แต่มีไม่มาก ส่วนใหญ่ล้วนตั้งอยู่ตามกำแพงเมองเพื่อไว้ป้องกัน เช่นกำแพงเมืองของทางตระกูลโอโตโมะมีปืนใหญ่ขั้นเทพ ‘ทลายเมือง’ แต่ปืนใหญ่กระบอกนี้เป็นแค่ปืนกระสุนหกปอนด์เท่านั้น และยังล้าหลังมาก
พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าในการรบกลางสนามรบสามารถใช้ปืนใหญ่ได้ด้วย และยังเป็นปืนมีล้อ ใช้ม้าสองตัวลากมาก็เคลื่อนมาได้ จากนั้นยังยิงได้เร็ว
เดิมทีโจรกลุ่มนั้นคิดจะบุกปะทะ ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงตูมไปสองระลอก ทั้งกองกำลังล้วนก็ต้านทานไม่ไหว แตกกระเจิงไปหมด จากนั้นถูกลูกน้องเสิ่นหวั่งสังหารสิ้น
เรื่องเหนือความคาดหมายของทุกคน การต่อสู้ทำให้สะเทือนกลุ่มอิทธิพลอำนาจในเกาะคิวชู ข่าวที่เกี่ยวข้องไม่เพียงแต่มาจากไดเมียวคิวชู ยังถูกส่งไปยังโอซาก้าและเหอเป่ยอย่างรวดเร็ว
แต่ละคนล้วนคิดเช่นนี้ หากข้ามีอาวุธทรงอานุภาพเช่นนี้ได้ หรือหากข้าได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนจากเสิ่นหวั่ง เจ้าทะเลแผ่นดินหมิงผู้นี้ได้ ก็เท่ากับสามารถเป็นใหญ่ในผืนแผ่นดินใต้หล้านี้ได้แล้ว แน่นอนใต้หล้าที่ว่าก็คือประเทศวัว
ตระกูลริวโซจิกับตระกูลอาริมะไม่มีความทะเยอทะยาน พอใจอยู่ใต้บังคับบัญชาก็แล้วไป หากตระกลูชิมัสสึ ตระกูลโอโตโมะและตระกูลโมริ ตระกูลโคบายากาว่าล้วนมาสอบถาม ดูว่าจะสามารถได้รับการสนับสนุนจากเสิ่นหวั่งหรือไม่ อย่างน้อยก็ขอซื้อปืนใหญ่แบบนี้ไปบ้าง
แม้ประเทศวัวตอนนี้ยังมีไดเมียวหลายสิบ กลุ่มอิทธิพลอำนาจร่วมร้อยยังคงอยู่ แต่เหล่านี้ล้วนถูกโทโยโตมิ ฮิเดโยชิคุมไว้ได้แล้ว เผชิญหน้ากับกองกำลังนับพันนับหมื่น อิทธิพลอำนาจทหารนับพันหมื่นเช่นนี้ เสิ่นหวั่งก็ไม่กล้าเหิมเกริมเหมือนเมื่อก่อน
เรื่องผูกเป็นพันธมิตรนี้ล้วนถูกเขาปฏิเสธนุ่มนวล แต่เรื่องการซื้อขายปืนใหญ่กลับรับปาก อาวุธเช่นนี้ นักรบประเทศวัวล้วนยอมจ่ายเงินทองไม่จำกัดเพื่อซื้อหามาครอบครอง ปืนใหญ่กระบอกหนึ่งสามารถมาขายที่นี่ได้กำไรกว่าแผ่นดินหมิงหลายเท่า หลายสิบเท่า เงินที่เอามาจ่ายยังเป็นทองคำแท้ๆ
กำไรยิ่งใหญ่เช่นนี้เสิ่นหวั่งไม่อาจปฏิเสธ หลังประมูลกันในราคาสูงแล้ว เสิ่นหวั่งก็เริ่มรับค้าขายปืนใหญ่
ความจริงนั้นเสิ่นหวั่งขายปืนใหญ่นั้นมีแหล่งที่มาไม่มากนัก และที่พึ่งพาได้เพียงแห่งเดียวก็คือเทียนจิน ทางนั้นมีเรือรบเล็กขาย เรือที่มีปืนใหญ่ 10 กว่ากระบอก ล้วนถอดออกมาขายได้ ตามราคาประเทศวัวยอมจ่ายแล้ว ปืนใหญ่พวกนี้ถึงกับทำกำไรจนได้ค่าต้นทุนซื้อเรือคืนมาเลยทีเดียว
สำหรับปืนใหญ่ที่เสิ่นหวั่งใช้ต่อสู้กับโจรนั้น เขาซื้อมาจากโรงช่างสามธาราด้วยทองคำ ซื้อตัวคนดำเนินการแล้วก็ซื้อปืนใหญ่ที่ถูกลงทะเบียนว่าผลิตผิดพลาดมาได้สี่กระบอก จากนั้นก็ใช้กำลังคน ทำแท่นรถปืนใหญ่ ตั้งเป็นกองกำลังได้กองหนึ่งแบบไม่เป็นแบบแผนนัก
แต่ทว่าแผนการร่ำรวยเสิ่นหวั่งถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว หวังทงมีคำสั่งควบคุมเรือปืนใหญ่ เสิ่นหวั่งไม่อาจมีเส้นทางให้ได้มาซึ่งปืนใหญ่อีกแล้ว ที่อื่นๆ เขาเองก็ไม่มีหาซื้อมาได้
ความจริงนั้น เสิ่นหวั่งซื้อเรือปืนใหญ่ที่เทียนจินก็อ้อมไปอ้อมมาหลายทอด เขาอยู่เทียนจินมีลูกน้องที่ยังไม่เป็นที่รู้กันเปิดเผย มีสถานะเป็นพ่อค้าทะเล เทียนจินหลายเรื่องไม่เปิดทางให้เสิ่นหวั่ง แต่ผ่านลูกน้องเป็นตัวแทนซื้อมา จึงได้มาอย่างง่ายดาย หากตอนนี้ผู้ใดก็ไม่อาจซื้อได้
**************
“คืนเงินมัดจำพวกเขาไปให้หมด เจ้าไปเอง ตอนไปจะต้องนอบน้อมมีมารยาท วันนี้ที่นี่ยังมีหลายเรื่องที่ต้องอาศัยพวกเขา เจ้าเข้าใจไหม?”
ในจวนเสิ่นหวั่ง เสิ่นหวั่งสีหน้าเคร่งเครียดกล่าวกับลูกน้องคนสนิท ลูกน้องแต่งกายแบบชาวประเทศวัว รับฟังอย่างนอบน้อมยิ่ง ด้านนอกมีหีบไม้กองกันอยู่ ผู้คุ้มกันที่นำมากับชายแบกหามกำลังรออยู่
อากาศคิวชูอุ่นกว่าเมืองซงเจียงแผ่นดินหมิง ทุกคนสวมเสื้อชั้นเดียว มองดูหีบไม้พวกนั้น เสิ่นหวั่งสีหน้ายิ่งเคร่งเครียด เงินทองมาถึงมือยังต้องคายออกไป เขาจะไปดีใจได้อย่างไร
“ตอนนี้ไม่เหมือนวันวาน ไม่ใช่พวกเราตอนนั้น รังเกียจพวกเขาก็ย่อมทำให้ยุ่งยาก ต้องเก็บไว้ในใจ ตอนนี้พวกเขาเป็นนาย เจ้าเป็นบ่าว เข้าใจไหม?”
เสิ่นหวั่งยังคงกำชับ น้ำเสียงเริ่มไม่พอใจแต่ทำอะไรไม่ได้ ลูกน้องรีบรับคำ
กำลังสั่งอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากในจวนด้านใน เหมือนฟังไม่ค่อยชัดนัก เสิ่นหวั่งมีที่พักในฮิราโดะกว้างใหญ่ ได้ยินเสียงนี้ได้ คิดว่าเสียงร้องไห้ดังไม่น้อย
แม้ว่าได้ยินไม่ชัด แต่ทุกคนล้วนฟังออกว่าเป็นเสียงร้องไห้เด็กน้อย เสิ่นหวั่งสีหน้าดำสนิท เสียงเย็นกล่าวว่า
“มีอะไรอีกล่ะนี่?”
ทุกคนในห้องพากันก้มหน้า เสิ่นหยาง บุตรชายเสิ่นหวั่งถูกตามใจจนเคยตัว คนในสายเครือข่ายเสิ่นหวั่งล้วนรู้ สองปีนี้เจ้าทะเลเลี้ยงดูสตรีหลายคนไว้ที่ฮิราโดะ คิดจะมีลูกชายอีกสักคน นางเล็กๆ ก็เลี้ยงดูไว้ทั้งในประเทศวัวและแผ่นดินหมิงไม่น้อย
แต่ก็ช่างโชคร้าย เดิมทีสตรีประเทศวัวให้กำเนิดบุตรชายมาคน แต่ร้อยวันก็ตาย จากนั้นก็ไม่มีอีกเลย อาจเพราะเป็นเช่นนี้ ทายาทหาได้ยากเช่นนี้จึงราวกับแก้วในมือ แทบจะอมไว้ในปาก ตามใจเช่นนี้ คนของเสิ่นหวั่งแอบมองแล้วไม่เห็นด้วย แต่ล้วนรู้เสิ่นหวั่งต้องการมอบกิจการต่อให้บุตรชาย แต่ไร้สามารถราวเศษสวะเช่นนี้ จะมีความสามารถสืบทอดกิจการได้อย่างไร อย่าทำลายทิ้งก็นับว่าไม่เลวแล้ว
คนนอกกล่าวเช่นนี้ ในจวนเสิ่นหวั่งกลับไม่กล้ากล่าว พอเสิ่นหวั่งถามขึ้น ก็มีคนงานรีบวิ่งออกไป เสิ่นหวั่งยิ่งรำคาญใจ โบกมือขึ้นอย่างรำคาญมาก เป็นสัญญาณว่าให้ไปคืนเงินได้แล้ว
ไปนั่งนิ่งอยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง เสิ่นหวั่งก็ลุกเดินเข้าไปในจวนด้านใน พอก้าวเข้าไปด้านในชั้นสอง ก็เห็นคนงานวิ่งมา มาถึงตรงหน้ารายงานนอบน้อมยิ่งว่า
“นายท่าน นายน้อยว่าอยากกลับเทียนจิน…”
วาจายังกล่าวไม่จบ ก็ถูกตบหน้าไปอย่างแรง คนงานได้แต่กุมหน้ารีบคุกเข่าโขกศีรษะ ไม่กล้ากล่าวอันใดอีก เสิ่นหวั่งสบถเสียงเย็นก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปด้านใน
เพิ่งจะก้าวเข้าไป ก็ได้ยินเด็กน้อยส่งเสียงแผดร้องไห้ดัง
“ข้าจะกลับเทียนจิน ที่นี่ไม่มีอะไรสักอย่าง ถนนหนทางก็สกปรก ชื้นๆ ทั้งวัน….”
สำหรับลูกคนรวยที่ถูกเอาใจจนเคยตัวแล้ว จากเมืองเทียนจินแสนรุ่งเรืองมายังเมืองท่าฮิราโดะที่แสนธรรมดา ความแตกต่างกันมาก ทำให้เขาไม่อาจปรับตัวได้ ตั้งแต่มาฮิราโดะ วันๆ ก็เอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด
เสิ่นหวั่งหน้าดำคล้ำเดินเข้ามา เห็นภรรยาตนสีหน้าลำบากใจปลอบใจบุตรชาย เห็นตนเข้ามา เจ้าเด็กอ้วนราวกับลูกบอล เสิ่นหยาง ก็ร้องไห้ยิ่งดัง เสิ่นหวั่งเดินไปด้านหน้า เหวี่ยงเด็กน้อยลงพื้น ตบไปสองที เขาเป็นคนจับดาบ มือย่อมหนักไม่น้อย พอตบไปสองที เจ้าเด็กอ้วนนั่นปากก็มีโลหิตซึม
“ลูกยังเล็ก ท่านตบเขาอย่างนี้ได้อย่างไรกัน”
เด็กน้อยล้วนนิ่งอึ้งไปแล้ว เพราะเสิ่นหวั่งแต่ไรไม่เคยตีเขา ภรรยาเสิ่นหวั่งกลับร้อนใจแทน พออึ้งไปแล้ว เด็กน้อยก็แผดเสียงร้องดังยิ่งกว่าเดิม
“ร้องไห้บ้าอะไรกัน เจ้าตัวบัดซบไม่เชิดชูตระกูล วันหน้าเจ้าอยู่ฮิราโดะนี่ไปดีๆ อย่าได้คิดกลับไปอีกแล้ว!”
เสิ่นหวั่งตวาดเสียงดังลั่น สองแม่ลูกไม่ค่อยได้เห็นเขาดุร้ายเช่นนี้มาก่อน ล้วนพากันตกใจนิ่งไป เด็กอ้วนเสิ่นหยางเดิมไม่ได้ร้องไห้จริง ยามนี้กลับตกใจจนไม่กล้าส่งเสียงดัง
“เจ้าทะเล เจ้าทะเล มีเรื่องด่วนๆ!”
กำลังมีเรื่องในครอบครัว อยู่ ๆ ด้านนอกมีคนส่งเสียงตะโกนร้อนใจมา ในจวนด้านในเป็นพื้นที่ส่วนตัว คนงานสาวใช้มาตะโกนเช่นนี้ ไร้ธรรมเนียมตระกูลใหญ่ไม่ได้ คนที่มาตะโกนก็ย่อมเป็นชาวท้องทะเล และต้องมีเรื่องเร่งด่วนมาจึงได้กล้ามาตะโกนดัง
“ทำตัวดีๆ เรียนหนังสือฝึกยุทธให้ดี หากขี้เกียจ ข้าจะจับเจ้าแขวนบนเสาตากลม!!”
สั่งเฉียบขาดแล้ว เสิ่นหวั่งก็ก้าวออกไปทันที พอประตูปิด ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ด้านหลังแผดดัง เสิ่นหวั่งไม่สนใจ
“เจ้าทะเล ตระกูลโคบายากาว่าเคลื่อนกำลังแล้ว ปิดทางทุกทางแล้ว บอกว่ามีคนจากชิโกกุมา แต่ไม่รู้ว่าผู้ใด แต่อย่างน้อยมีซามูไรคุ้มกัน 400 เหมือนว่ามาจากเกาะฮอนชู”
“ซามูไรคุ้มกัน 400? คนเหล่านี้มาทำไมกัน? เรือเราและทางบกจัดการเตรียมพร้อม หรือว่าเป็นใต้เท้าใหญ่ท่านใด?”
ซามูไรคุ้มกัน 400 ซามูไรประเทศวัวล้วนสังกัดไดเมียว อาวุธและการฝึกล้วนยอดเยี่ยมที่สุด เป็นกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของไดเมียว ด้วยกำลังไดเมียว สามารถนำซามูไรคุ้มกัน 400 มาทีเดียวได้จะต้องเป็นใต้เท้ายิ่งใหญ่แน่นอน
แต่ทว่าเสิ่นหวั่งกำลังสงสัยอยู่ ตระกูลโคบายากาว่ากำลังหลักล้วนอยู่ฮอนชู ที่ฮิราโดะไม่มีคนมากเพียงนี้ แม้ว่าซามูไรคุ้มกัน 400 ก็ไม่ได้ทำให้เสิ่นหวั่งกลัว เสิ่นหวั่งสามารถจับพวกเขากินได้โดยง่าย ไม่จำเป็นต้องเปลืองกำลังอันใด คนเช่นนี้มาทำไมกัน
ความจริงนั้นไดเมียวกับชนชั้นสูงประเทศวัวล้วนเข้าใจเรื่องนี้ แต่ละตระกูลเก่าพยายามไม่มาฮิราโดะ พวกเขาเข้าใจ ที่ไม่ใหญ่เช่นที่นี่ไม่อาจมีคนสั่งการสองคนได้
“ส่งกำลัง 200 คนมาคุ้มกันที่นี่ ไปสั่งการพี่น้องเราที่ท่าเรือให้ระวังภัย ที่ฮิราโดะ ไม่อาจให้คนอื่นก่อเรื่องได้ ระวังไว้ก่อนเป็นดี”
เสิ่นหวั่งออกคำสั่งเสร็จ หัวหน้าที่มารายงานก็รีบออกไปทันที เสิ่นหวั่งเดินเข้าไปในห้องโถงด้านหน้า ด้านหลังฉากกำบังมีกล่องหนึ่ง คว้ามีดสั้นเล่มหนึ่งมาเสียบในรองเท้า จากนั้นก็คว้าปืนสั้นสองกระบอกมาบรรจุกระสุน และยังเตรียมจุดตะเกียงบนโต๊ะ ไว้เป็นที่จุดชนวนในเวลาเร่งด่วน
ปืนสั้นสองกระบอกนี้เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่โรงช่างสามธาราผลิตให้กับคนมีเงินพกกัน เสิ่นหวั่งเองก็ซื้อมาพกไว้ป้องกันตัว ปืนไฟโรงช่างสามธาราขายให้กับพวกนอกกำแพงเมืองกับคนออกทะเลทั่วไป ในมือเสิ่นหวั่งเองก็มีหลายร้อยกระบอกทั้งสั้นและยาว ปืนใหญ่ราคาค่อนข้างสูง ใช้เงินติดสินบนโรงช่างสามธารานำออกมาได้สี่กระบอกนั่นก็เสี่ยงภัยไม่น้อยแล้ว
เทียนจินมีสายสืบไม่น้อย โรงช่างสำคัญเช่นนี้ย่อมเข้มงวดมาก เสิ่นหวั่งนำปืนใหญ่มาได้ก็เรื่องแดงขึ้น คนโรงช่างถูกจำคุก ถูกจัดการถอนรากถอนโคนไปหมดข้อหาฉ้อฉล หากตอนนั้นซื้อมาได้มากกว่านี้หน่อย ตอนนี้ก็คงได้ผลประโยชน์ยิ่งมาก และอาศัยของพวกนี้ ซื้อหาน้ำใจจากชนชั้นสูงเพื่อการค้ากับประเทศวัวได้แล้ว มีผลประโยชน์กับตนเองวันหน้ายิ่งมาก
ตอนนี้คิดได้ดังนี้ก็สายไปเสียแล้ว เสิ่นหวั่งด่าในใจ ตอนนี้เขาจึงได้พบว่าตนเองไม่ว่าถูกบีบหรือยินยอมอยู่เทียนจินเอง ผลประโยชน์ล้วนได้เหมือนกัน ล้วนไม่ต่างกับตอนนี้ ซาต้าเฉิงไปสวามิภักดิ์ด้วยตนเองตอนนี้ไปกินพื้นที่ลูซอนแล้ว ตนเองหากออกตัวเองสักหน่อย ทะเลใต้นี่ใช่ว่าไม่มีที่สำหรับตน แต่สถานการณ์ตอนนี้ คิดถึงตรงนี้ เสิ่นหวั่งก็ยิ่งโกรธแค้นหวังทงมากขึ้น คิดไม่ถึง กิจการตนเพราะเทียนจินจึงได้ขยายอิทธิพลมาก มากจนทำให้คนประเทศวัวต้องตกตะลึง
จัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ พ่อบ้านชาวประเทศวัวจวนเสิ่นหวั่งก็มาพบ คนผู้นี้เป็นคนเก่งในพื้นที่นี้ การข่าวฉับไว เขาได้ยินเสียงด้านนอก ก็รีบมาบอกว่า
“นายท่าน คนที่มาครั้งนี้เพื่อมาตรวจสอบนายท่านครั้งก่อนต่อสู้กับโจรสลัด ตั้งแต่ใต้เท้าคัมปะกุประกาศว่า ‘ห้ามรบกันเอง’ แล้ว ก็จับตาดูเรื่องพวกนี้แน่นหนามาก”
เสิ่นหวั่งขมวดคิ้ว ยังไม่พูดอันใด ก็ได้ยินเสียงผู้คุ้มกันวิ่งมาอย่างเร่งด่วนกล่าวว่า
“เจ้าทะเล มีเทียบเชิญมา!”
[1] จังหวัดเก่าแก่ของญี่ปุ่นในพื้นที่ของจังหวัดซากะและนางาซากิ
[2] ตระกูลซามูไร
ตอนที่ 1063 รางวัล
Ink Stone_Fantasy
ชาวประเทศวัวไปมาหาสู่ย่อมมีธรรมเนียม แต่มีบุคคลมีสถานะมาพบเสิ่นหวั่ง อย่างไรก็ต้องส่งเทียบมาก่อน เพื่อทำตามธรรมเนียมให้ดี เสิ่นหวั่งเองบนแผ่นดินหมิงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ แต่พอออกต่างแดนก็สูงศักดิ์ขึ้นมาทันที
เหตุใดคนมาขอพบเสิ่นหวั่งไม่สนใจ แต่พอพ่อบ้านในจวนเขากล่าวถึงคำประกาศว่า ‘ห้ามรบกันเอง’ จึงทำให้เขาได้สติ
ชาวประเทศวัวตอนนี้ยังคงใช้อักษรแบบจีน แต่ทว่ารายละเอียดยังคงมีความต่างๆ ตัวอักษรที่ใช้ในคำประกาศนี้ไม่มีปรากฏใช้ในแผ่นดินหมิง
หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่ารับรองให้ทุกอย่างไร้ความวุ่นวาย ห้ามไดเมียวรบกันเอง
ประเทศวัวตั้งแต่เข้าสู่ยุครบกันมา แต่ไรก็เป็นไดเมียวกับไดเมียว ไดเมียวกับท้องถิ่น ท้องถิ่นกับท้องถิ่นที่ต่อสู้กันไม่หยุด พยายามกลืนกินกันกัน สังหารกันและกัน มาถึงยุคไดเมียวโอดะ โนบูนางะ ชาวบ้านหลายพัน ทหารหลายร้อยที่เคยสามารถเรียกได้ว่าเป็นเจ้านายในพื้นที่หนึ่งนั้นไม่มีอีกแล้ว
ตระกูลโอดะ ตระกูลทาเคดะ ตระกูลอูเอซูงิ ตระกูลโฮโจ ตระกูลโมริ ไดเมียวต่างๆ ปรากฏตัวขึ้น รบชิงกัน หลายหมื่นหลายแสนคนรบกันเห็นกันไม่น้อย
ต่อมาถึงสมัยโอดะ โนบูนางะถูกผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างอาเกจิ มิตสึฮิเดะสังหารที่วัดฮอนโนจิ โทโยโตมิ ฮิเดโยชิก็กลายเป็นไดเมียวที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศวัวที่มีกำลังแท้จริง หลังการรบและการรวบรวมกำลัง ไดเมียวล้วนแสดงท่าทีศิโรราบกับเขา
รบราวุ่นวายมาหลายปี โทโยโตมิ ฮิเดโยชิคิดว่าทุกอย่างล้วนเป็นระบบในความควบคุมเขาแล้ว การรบกันระหว่างไดเมียวทำให้อิทธิพลอำนาจเขาเสียหาย และทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่ควรเกิด ดังนั้นโทโยโตมิ ฮิเดโยชิจึงประกาศคำสั่งนี้ กล่าวให้กระจางก็คือ ‘หยุดการรบกันเอง’ ‘ขอใช้สถานะคัมปะกุข้าออกคำสั่ง ห้ามการรบกันเอง’
แม้คำสั่งเอ่ยถึงเพียงแค่พวกไดเมียว แต่ความจริงนั้นการต่อสู้คน 500 ขึ้นไปล้วนไม่อนุญาต แน่นอนเจ้าปิดบังเรื่องได้ก็แล้วไป แต่หากถูกรายงานขึ้นมา ก็ต้องเจรจากับใต้เท้าคัมปะกุ ไม่เช่นนั้นไดเมียวพื้นที่ก็ต้องลงมือกับเจ้าก่อน หากไม่ลงมือ ก็เท่ากับฝ่าฝืนคำสั่งใต้เท้าคัมปะกุ ไม่คว้านท้องตนก็ต้องออกบวช ช่างเป็นภัยหายนะโดยแท้
ห้าปีก่อน ในสายตาเสิ่นหวั่งยังไม่มีโทโยโตมิ ฮิเดโยชิผู้นี้ ก็แค่ขุนพลทหาร แต่ตอนนี้ ไม่อาจไม่ให้ความสำคัญ หลายปีก่อน ยกทัพใหญ่โจมตีตระกูลโฮโจที่ภูมิภาคภูมิภาคคันโต[1] และเป็นกำลังทัพใหญ่ที่คนมากกว่าสองแสนคนเลยทีเดียว
ประเทศวัวเป็นประเทศกำลังคนราวแสนกว่า ผู้ปกครองที่ปกครองประเทศเช่นนี้ เสิ่นหวั่งต่อหน้าคนเช่นนี้ก็ย่อมต้องก้มหัว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เสิ่นหวั่งตอนนี้อาศัยการค้าระหว่างประเทศวัวกับแผ่นดินหมิงเป็นหลัก หากเพราะฝ่าฝืนกฎมีเรื่องกับพวกประเทศวัว ก็ย่อมยุ่งยากใหญ่
หรือว่าการจัดการกวาดล้างโจรสลัดกลุ่มนั้นถูกพวกทางโอซาก้ารู้เข้าแล้ว คิดถึงตรงนี้ ในใจเสิ่นหวั่งก็เริ่มร้อนใจ คิดถึงตอนนั้นตนเป็นเจ้าทะเลยิ่งใหญ่บนท้องทะเลทำอะไรก็ได้ ไดเมียวประเทศวัวคิดจะได้อาวุธดีก็ต้องอาศัยเขา ราชาทะเลใต้กับชาวผิวขาวคิดอยากได้สินค้าใดก็ต้องผ่านเขา ตอนนั้นเขาเป็นดังราชาแห่งท้องทะเล แต่ตอนนี้กลับได้แต่หัวหด ทำอะไรก็ต้องระวังตัวให้มาก
หลายคนในห้องโถง ไม่ว่าเป็นชาวประเทศวัวหรือเป็นชาวฮั่น ล้วนรู้อารมณ์เสิ่นหวั่งดี เห็นสีหน้าเคร่งเครียดกำลังคิดอะไรก็ไม่กล้ารบกวน
“มัทซูอูระ เจ้าไปในโกดังเอาชุดน้ำชากระเบื้องจิ่งเต๋อเจิ้นออกมาชุดหนึ่ง เจ้าบ้านตระกูลโคบายากาว่าตอนนี้ เจ้าว่า…”
เรื่องถึงตอนนี้ก็ได้แต่มอบของขวัญเพื่อให้พ้นภัยแล้ว ผู้คุ้มกันที่นำเทียบเข้ามาก็ก้าวเข้ามาสองสามก้าว ก่อนจะเสียงดังขึ้นอีกนิดว่า
“เจ้าทะเล มีแขกมาขอพบ”
หันไปไหนมีแต่อุปสรรค เหตุใดลูกน้องจึงไม่รู้จักมีตามองบ้าง เสิ่นหวั่งโมโหควันลุก กำลังจะคำรามด่า ก็มองเห็นชื่อบนเทียบ
เป็นตำแหน่งยาวมาก แต่ทว่าชื่อสุดท้ายคือ ‘โทโยโตมิ ฮิเดนากะ’ เสิ่นหวั่งอึ้งไป ก่อนได้สติทันที โทโยโตมิ ฮิเดนากะเป็นผู้ใด ตอนนี้เป็นน้องชายแท้ๆ คัมปะกุโทโยโตมิ ฮิเดโยชิประเทศวัว เขามาพบตนเองเพราะเหตุใด พอได้สติ ก็ตบหน้าคนนำเทียบเข้ามา ตวาดด่าดังว่า
“เจ้าตัวบัดซบ ทำไมไม่พูดก่อน รีบไป ไม่สิ มัทซูอูระ เจ้าให้แขกรอก่อนสักครู่ ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
เดินไปสองสามก้าว เสิ่นหวั่งยังหันกลับมาอีก ตะโกนเรียกมัทซูอูระไว้ กล่าวติดๆ กันว่า
“ไม่ต้องละ ๆ ข้าไปรับเอง ๆ”
โทโยโตมิ ฮิเดนากะเป็นผู้ใด ชาวประเทศวัวย่อมรู้ โทโยโตมิ ฮิเดนากะเป็นน้องชายแท้ๆ ของโทโยโตมิ ฮิเดโยชิอันดับหนึ่งในประเทศวัวตอนนี้ คนเช่นนี้เท่ากับระดับอ๋องในแผ่นดินหมิง แน่นอนสถานะสูงส่ง
แต่ในสายตาเสิ่นหวั่งที่คุ้นเคยกับประเทศวัวแล้ว โทโยโตมิ ฮิเดนากะผู้นี้ตอนนั้นชื่อว่า ฮาชิบะ โคอิชิโร่ ไม่ใช่แค่น้องชายฮิเดโยชิ เขายังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาอันดับหนึ่งของฮิเดโยชิด้วย ขุนพลอันดับหนึ่ง โทโยโตมิ ฮิเดนากะสำหรับฮิเดโยชิแล้วเท่ากับอำมาตย์คนหนึ่งเลยทีเดียว
โทโยโตมิ ฮิเดนากะชำนาญการจัดการเงินทอง ชำนาญการบริหารการเมืองภายใน ชำนาญการจัดการระหว่างไดเมียว เทียบกับโทโยโตมิ ฮิเดโยชิที่นิสัยมุทะลุใจร้อนแล้ว ฮิเดนากะนิสัยนุ่มนวลกว่ามาก ไดเมียวหลายคนล้วนรู้สึกดีกับเขามาก ในด้านกำลังทหาร ตั้งแต่โทโยโตมิ ฮิเดโยชิมีความโดดเด่นและสามารถกว่าลูกน้องใดของโอดะ โนบูนางะโทโยโตมิ ฮิเดนากะก็เป็นกำลังสำคัญคอยส่งเสริมพี่ชายเขาคนหนึ่ง ต่อมาในหลายเหตุการณ์หลายครั้งรบชนะไดเมียว
ไดเมียวประเทศวัวล้วนมองว่าฮิเดนากะเป็นดัง ‘ผู้มีความสามารถดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์’ คนระดับเช่นนี้ กล่าวว่าเป็นอันดับสองประเทศวัวตอนนี้ก็ไม่เกินไปนัก
เสิ่นหวั่งเข้าใจความเป็นไปในประเทศวัวมาก โทโยโตมิ ฮิเดนากะผู้นี้เสิ่นหวั่งแต่ไรก็รู้สึกว่าเขากับคนหนึ่งเหมือนกันมาก แม้ความคิดยังแปลก แต่คนผู้นั้นในสายตาไม่อาจยอมรับเม็ดทรายเข้าตาได้แม้สักเม็ด โทโยโตมิ ฮิเดนากะกลับใจกว้างกว่าหน่อย คนผู้นั้นทำสงครามกับการค้ามีความสามารถสูงกว่าหน่อย
ที่แท้เป็นโทโยโตมิ ฮิเดนากะมายังฮิราโดะ มิน่าตระกูลโคบายากาว่าจึงวางกำลังป้องกันรักษาการณ์แน่นหนา ยังมีกำลังซามูไร 400 แต่กำลังเหล่านี้ใช้กับโทโยโตมิ ฮิเดนากะ ถึงกับน้อยไปสักหน่อย
แต่ทว่าหลังส่งครามปราสาทโอดาวาระ[2] โทโยโตมิ ฮิเดนากะก็ล้มป่วยระหว่างเดินทางกลับ มาที่นี่ได้อย่างไรกัน คนระดับนี้เหตุใดกำลังป่วยจึงมาที่นี่ได้
เสิ่นหวั่งคิดว่าสถานะสูง แต่ในใจก็เข้าใจ เขาอยู่แผ่นดินหมิงเป็นจอมโจรท้องทะเล อยู่ประเทศวัวสถานะมากสุดก็พ่อค้าใหญ่ ก็ไม่ได้ดีไปกว่าอยู่แผ่นดินหมิงเท่าไร ก็แค่มีอิทธิพลอำนาจในมือก็เท่านั้น โทโยโตมิ ฮิเดนากะสูงส่งเพียงนี้ จะมาเยี่ยมเยือนเขาทำไม่กัน
**************
นักรบ ไดเมียว ขุนนางใหญ่ประเทศวัว เสิ่นหวั่งล้วนเคยพบมาหมด แม้ตอนยุครบในหลายร้อยปีจะตายไปไม่น้อย ตอนนี้นับว่าสงบแล้ว คนแต่งกายเป็นพวกชั้นสูงก็นับวันยิ่งมาก ล้วนเริ่มเลียนแบบพวกขุนนางมีความรู้กันแล้ว เสิ่นหวั่งแต่ไรก็ดูแคลนในเรื่องนี้ เห็นชัดว่าเป็นการวางตัวแบบพวกไม่ได้เรื่อง
แต่ทว่าเสิ่นหวั่งเองก็รู้มากจากทางสายสัมพันธ์เก่าของเขา ใต้หล้าตอนนี้โทโยโตมิ ฮิเดโยชิชอบแต่งกายเช่นนี้ที่สุด แอบกล่าวเยาะกับเสิ่นหวั่งว่า ชาติกำเนิดก็แค่คนเลี้ยงม้า แต่งกายเป็นเจ้านายทำไมกัน เรื่องนี้ก็แค่แอบคุยกันส่วนตัวเท่านั้น
เดิมคิดว่าโทโยโตมิ ฮิเดนากะจะเหมือนกัน คิดไม่ถึงโทโยโตมิ ฮิเดนากะแต่งกายเพียงชุดผ้าสีเขียวแบบประเทศวัว บนเนื้อผ้าก็ไม่ได้ปักลวดลายอะไร ล้วนเป็นการแต่งกายแบบคนธรรมดา ใบหน้าก็ไม่ได้ปะแป้งขาวอันใด หากยังดูซีดขาวมาก คนสนิทสองคนประคองเข้ามา
โทโยโตมิ ฮิเดนากะรูปร่างไม่สูง ผิวหน้าก็หย่อนยานสักหน่อย ดูแล้วคนผู้นี้เคยอ้วนมาก่อน แต่ผอมเร็วไป
เสิ่นหวั่งต่อหน้าคนผู้นี้ ก็ไม่อาจวางท่าทางราชาไตรธารา เขากลับเปลี่ยนท่าทีเป็นพ่อค้าใหญ่ชาวประเทศวัว
กำลังรอพบอย่างนอบน้อม
โทโยโตมิ ฮิเดนากะนำคนที่พูดภาษาจีนได้มาด้วย เสิ่นหวั่งคำนับแล้ว เขาก็เรียกเสิ่นหวั่งลุกขึ้น ยิ้มกล่าวว่า
“ท่านเสิ่นไม่ใช่คนญี่ปุ่น ไม่จำเป็นต้องคำนับข้าเช่นนี้ ท่านก็คิดเสียว่าข้าเป็นแขกที่ไม่ได้เชิญมาเยี่ยมเยือนก็พอ!”
วาจาสุภาพเช่นนี้ ยิ่งทำให้เสิ่นหวั่งลำบากใจ แต่เสิ่นหวั่งก็นับว่าผ่านอะไรมามาก สองฝ่ายเริ่มด้วยวาจาตามมารยาท
“…ตอนนี้ใต้หล้าสงบ ทุกคนล้วนสามารถมีความสุขได้ เพียงแต่ไม่รู้ข้ากับพี่ชายจะอยู่ดูได้อีกนานเท่าไร….”
“ใต้เท้ากับใต้เท้าคัมปะกุอย่างไรก็ต้องดูแลได้อีกห้าปี ไยกล่าววาจาไม่เป็นมงคลเช่นนี้เล่า”
“ท่านเสิ่นช่างรู้จักพูดจา พูดไปแล้ว คนท่านเสิ่นมีเรือใหญ่มากเช่นนี้ มีกิจการบนท้องทะเลมากเช่นนี้ แต่อยู่แผ่นดินหมิงไร้สถานะ ในใจก็คงไม่อาจยอมรับได้กระมัง?”
วาจาตามมารยาทกล่าวไปสองสามคำ โทโยโตมิ ฮิเดนากะอยู่ ๆ ก็เปลี่ยนบทสนทนา เสิ่นหวั่งสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ได้แต่ยิ้มแหะๆ กล่าวว่า
“บนท้องทะเลแผ่นดินแม่ไม่สนใจคนของตน ไร้รากไร้ที่มา เพียงแค่นั่งเรือออกทะเลทำมาหากินเท่านั้น ใต้เท้าฮิเดนากะไม่ใช่ไม่รู้สถานการณ์แผ่นดินหมิง ไม่มีอันใดไม่อาจไม่ยอมรับ นี่เป็นชะตากำหนด!”
เสิ่นหวั่งราวกับปล่อยวางได้ แต่น้ำเสียงคับแค้นก็ยังเผยออกมาไม่น้อย เขามาฮิราโดะแล้วก็ไม่อาจระงับอารมณ์ในใจได้ แต่ไรก็มีแต่ความคับแค้นใจที่ไม่อาจระงับได้
โทโยโตมิ ฮิเดนากะยิ้มน้อยๆ พยักหน้า กล่าวว่า
“แผ่นดินหมิงร่ำรวยกว่าญี่ปุ่นเราหมื่นเท่า แผ่นดินหมิงสงบ ญี่ปุ่นรบกันวุ่นวาย แตกต่างกันมากเหลือเกิน หากเป็นเมื่อก่อน ข้าไม่กล้ามาเตือนท่านเสิ่นให้จากเมืองแห่งอำนาจวาสนานั่นมา แต่ทว่าตอนนี้ญี่ปุ่นเราสงบแล้ว ท่านเสิ่นอยู่ที่นี่ก็จะได้เสวยความสุขแห่งความสงบ”
พูดถึงตรงนี้ โทโยโตมิ ฮิเดนากะก็หยุดไป ก่อนกล่าวว่า
“ญี่ปุ่นเราไม่ถามชาติกำเนิด วีรบุรุษล้วนมีสถานะตนได้ ท่านเสิ่นหากยอมเป็นญี่ปุ่น อำนาจวาสนาย่อมไม่น้อย ครอบครองพื้นที่ห้าแสนสือก็ย่อมได้”
ได้ยินเช่นนี้ เสิ่นหวั่งก็หวั่นไหวทันที จำนวนห้าแสนสือนี้สำหรับประเทศวัวแล้วเรียกว่าเป็นดังเจ้าผู้ครองแผ่นดินผืนหนึ่งเลยทีเดียว เป็นได้ถึงไดเมียวระดับกลาง หากพื้นที่ห้าแสนสือนี้เทียบแผ่นดินหมิงก็เท่ากับหนึ่งเมืองเลยทีเดียว มีสถานะนี้ ตนเองไม่เป็นหัวหน้าโจรสลัดแล้ว หากเป็นขุนนาง อยู่ประเทศวัว มีสถานะขุนนางบู๊สามารถสืบทอดให้ลูกหลานได้ พูดให้ไม่น่าฟังนักก็คือสถานะนี้แม้ว่าไปถึงแผ่นดินหมิง ก็เป็นแขกต่างชาติมีเกียรติ…
เสิ่นหวั่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นในใจทันที แต่ทว่าเขาเองก็ไม่ใช่เด็กน้อย รู้ว่าอีกฝ่ายสถานะนี้มาพบตน ยังให้เงื่อนไขที่ดีเช่นนี้ ย่อมไม่ง่ายเช่นดังว่า เสิ่นหวั่งเริ่มสงบใจได้ เอ่ยถามขึ้น
“เมื่อวานเหมือนมีลางดี วันนี้ใต้เท้าฮิเดนากะมาพบข้าและมอบวาสนาใหญ่ให้เช่นนี้ แต่ทว่าไร้ความชอบไม่อาจรับไว้ ใต้เท้าฮิเดนากะต้องการให้ข้า…”
****************
ฮิเดนากะอยู่ในจวนเสิ่นหวั่งไม่นานไม่สั้น ตอนจากไป ในจวนที่สนิทกับเสิ่นหวั่งก็พบว่านายท่านตนอยู่ ๆ ผ่อนคลายลงมาก อารมณ์ดีไม่น้อย
เสิ่นหวั่งไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับคนอื่น แต่เขาทำให้ภรรยาที่คลอดบุตรชายมาอยู่ฮิราโดะไร้ญาติขาดมิตร ถึงกับในจวนและคนใช้ก็ไม่คุ้นเคยกัน จึงเป็นผู้ฟังที่เหมาะสม
สำหรับเสิ่นหวั่ง ไม่ต้องการให้คนมาหารือกับเขา เขาคิดหาคนๆ หนึ่งมาคุยเท่านั้น
“เราจากฮิราโดะไปเทียนจิน จากที่นั่นกลับมา มีเรือมากมาย มีคนมากมาย เหตุใดเรามักถูกคนไล่ไปไล่มา ก็เพราะไม่ได้ลงหลักปักฐาน ฮกเกี้ยนกับกวางตุ้งพวกนั้น เรือไม่ได้มากกว่าเรา คนไม่ได้มากกว่าเรา แต่ทำไมยิ่งนานวันก็ยิ่งร่ำรวย นั่นเป็นเพราะมีท่าเรือส่วนตัว อาศัยคนอื่นทำงาน….”
ผู้หญิงฟังแล้วก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็รู้ว่าตนเพียงฟังก็พอแล้ว เสิ่นหวั่งยิ่งเล่าก็ยิ่งตื่นเต้น
“ไม่นาน พวกเราก็จะมีเมืองท่า ถึงตอนนั้นสถานการณ์ก็จะไม่เป็นเช่นตอนนี้แล้ว ถึงตอนนั้นแม้แต่เหลียวกั๋วกงก็ต้องเกรงใจเรา ข้านำลูกหยางกับเจ้ามา จะทำให้พวกเจ้าได้กลับไปอย่างทรงเกียรติ
*****************
ใกล้ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 แล้ว เมืองซงเจียงในจวนทั้งหลายต่างมีบรรยากาศเฉลิมฉลอง บรรยากาศเห็นได้ชัดว่าอลังการกว่าแต่ก่อนมาก
เมืองซงเจียงหลายคน ไม่ว่าคนท้องที่หรือคนนอกท้องที่ หลายคนร่ำรวยจากการเปิดท่าการค้า หลายคนมีชีวิตที่ดีขึ้น เมืองซงเจียงในเดือนสิบสอง เมืองท่าล้วนปกติทุกอย่าง หลายคนไม่ไปทำการค้า หากคิดฉลองปีใหม่ให้ดีสักปี
เทียบกับเทียนจินแล้วดีกว่ามาก ที่นี่เรืองอำนาจวาสนามาเกือบ 15 ปี ทุกคนชินเสียแล้ว เรื่องร่ำรวยแล้วฉลองปีใหม่ให้ดีๆ กันนั้นเป็นเรื่องไม่ตื่นเต้นแล้ว แต่เมืองซงเจียงไม่เหมือนกัน แม้แดนใต้ร่ำรวย แต่คนจนอย่างไรก็มาก
สำหรับสตรีในจวนเหลียวกั๋วกงแล้ว หวังทงอยู่จวนฉลองปีใหม่ ไม่ออกไปทำสงคราม เรียกว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ยิ่ง ทำให้บรรยากาศเทศกาลในจวนถึงกับคึกคักยิ่งกว่าในเมืองซงเจียงเสียอีก
สตรีในจวนดีใจไม่ว่า หวังเซี่ยยิ่งดีใจเป็นพิเศษ เขาเด็กน้อยพูดจายังไม่ชัด เพียงแค่แสดงอาการตื่นเต้นดีใจเท่านั้น
หวังทงยากจะมีเวลาว่าง เขาตามช่างมาหลายคน จ่ายเงินไปมากเพื่อทำของเล่นให้ลูกๆ แต่ก็ไม่ได้เป็นของที่ล้ำเกินยุคสมัยอันใด หวังทงเองก็ไม่ได้จำได้มากนัก ก็แค่ทำรถเข็นให้หวังเซี่ยเข็นเล่น ใช้ไม้มาทำเป็นทหารเด็กเล่น ยังให้ช่างหนังกับช่างตุ๊กตาไม้มาแสดง แสดงเรื่องอะไรนั้นล้วนหวังทงแต่งเอง ทำให้ลูกๆ สนุกกันอย่างมาก
หวังหลันกับหวังจงก็มีของเล่น หวังทงใช้วัสดุชั้นดี วาดรูปเอง ทำเป็นของเล่นใหญ่ อย่าว่าแต่เด็กน้อยชอบมาก แม้แต่บรรดาภรรยาเขาก็ยังมองอย่างไม่เคยเห็น ทุกคนต้องการคนละหลายชิ้น
คนเย็บผ้าปิดภายนอกเครื่องกลย่อมเห็นการทำงานภายใน ขอยอมไม่เอาค่าแรง แต่ขอหวังทงอนุญาตให้พวกเขาเรียนวิธีทำได้ ทำกำไรได้แน่นอน!
เดือนหนึ่งปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 19 มาถึงอย่างรวดเร็ว…
[1] ภูมิภาคคันโต คือภูมิภาคที่อยู่ทางตะวันออกของเกาะฮอนชู ประกอบด้วย 8 จังหวัด ได้แก่ มหานครโตเกียว จังหวัดอิบะระกิ จังหวัดโทชิงิ จังหวัดกุมมะ จังหวัดชิบะ จังหวัดไซตะมะ จังหวัดคะนะงะวะ และจังหวัดยะมะนะชิ
[2] ใน ค.ศ. 1590 คัมปะกุฮิเดโยชิได้ส่งทัพไปปราบปรามตระกูลโฮโจไดเมียวที่ทรงอำนาจเพียงตระกูลเดียวหลงเหลืออยู่ในภูมิภาคคันโตทางตะวันออก ใช้แผนด้วยการพังเขื่อน ทำให้น้ำไหลทะลักเข้าท่วมปราสาท
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น