ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 106-109
ตอนที่ 106 ข่าว
โดย
Ink Stone_Fantasy
อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ย่อมขานรับกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง “ทราบ!”
“ดี! ได้เวลาอันสมควรแล้ว ข้าควรจะประกาศการประลองเพื่อจัดอันดับศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกในวันพรุ่งนี้ได้แล้ว” ประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้า แล้วเหาะออกไปจากลานหยกประกาศรายชื่อศิษย์แกนนำสิบอันดับแรก และเรื่องราวอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการประลองจัดอันดับในวันพรุ่งนี้
แต่ในขณะนั้นเอง พลันมีเสียงสะเทือนเลือนลั่นดังมาจากท้องฟ้านอกเขาหิน จากนั้นไอหมอกอันหนาแน่นก็แยกออกจากกัน นกห้าสีแปลกประหลาดขนาดลำตัวยาวหลายจั้งบินออกมาจากในนั้น หัวมันดูคล้ายกับอีแร้ง แต่ขนตรงหางกลับยาวเป็นอย่างมาก และยังมีกรงเล็บยักษ์แปลกประหลาดสีแดงสดราวกับเลือด
พอนกตัวนี้ปรากฏมันก็บินพุ่งมายังเขาหิน ทำให้ศิษย์จำนวนมากฮือฮาขึ้นมาในทันที
“ไม่ตกตื่นตระหนกไป นี่เป็นนกจิตวิญญาณของอาจารย์ปู่เยี่ยนของพวกเจ้า” พอประมุขนิกายเห็นนกประหลาดนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่ครู่เดียวก็กล่าวออกมาด้วยเสียงอันดัง
น้ำเสียงของเขาดังก้องฟ้าและสะท้อนกลับมาอยู่ไม่หยุด ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างเข้าใจในฉับพลัน แล้วก็ใช้สายตาที่ดูเคารพ และยำเกรงมองไปยังนกประหลาดห้าสีที่กำลังบินใกล้เข้ามา
ในนิกายยังมีอาจารย์ปู่ผู้มีพลังมหาศาลผู้หนึ่ง ซึ่งศิษย์ทุกคนต่างก็เคยได้ยินเรื่องราวของเขา
แต่อาจารย์ปู่ผู้นี้กลับไม่เคยโผล่หน้าออกมาให้เห็นเลย แม้แต่อาจารย์จิตวิญญาณในนิกายก็มีน้อยมากที่ได้เจอหน้าเขา ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้ผู้อาวุโสสูงส่งของนิกายท่านนี้ดูลึกลับมากขึ้นกว่าเดิม
ผ่านไปชั่วครู่ นกประหลาดก็บินมาถึงเหนือลานหยก หลังจากมันบินวนหนึ่งรอบแล้วก็ปล่อยกรงเล็บสีแดงของมันออกมา แผ่นหยกสีเขียวชิ้นหนึ่งหล่นออกมาจากในนั้น จากนั้นก็หมุนตัวบินกลับไปยังทิศทางที่บินมา
พอประมุขนิกายปีศาจเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไป แผ่นหยกสีเขียวก็พุ่งเข้ามาในมือเขา และเขาวางมันไว้บนหน้าผากอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมาแผ่นหยกสีเขียวก็เปล่งแสงจางๆ ออกมา สีหน้าประหลาดใจของประมุขนิกายปีศาจก็หายไปอย่างรวดเร็วเปลี่ยนเป็นอาการสะดุ้งตกใจอย่างสุดขีด
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
“ศิษย์พี่ท่านประมุข เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฉู่ฉีรอจนประมุขนิกายปีศาจหยิบแผ่นหยกออกจากหน้าผาก แล้วถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“อาจารย์อาเยี่ยนออกคำสั่งมาว่า ไม่ต้องดำเนินการประลองการจัดอันดับในวันพรุ่งนี้แล้ว ให้ศิษย์แกนนำทั้งสิบคนรีบออกเดินทางไปเกาะสยบมังกรในวันพรุ่งนี้” ประมุขนิกายปีศาจสงบอารมณ์ได้แล้ว จึงได้กล่าวประโยคที่ทำให้ทุกคนต่างก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“อะไรนะ ทำไมอาจารย์อาเยี่ยนถึงได้ออกคำสั่งเช่นนี้ ทั้งยังให้เฉียนเอ๋อร์ และศิษย์คนอื่นๆ ไปทำอะไรที่เกาะสยบมังกร?” ฉู่ฉีถามด้วยความตกใจอย่างสุดขีด
“อาจารย์อาเพิ่งจะได้รับจดหมายจากผู้อาวุโสหมิงอวี้ ในนั้นบอกว่าตอนที่ผู้อาวุโสระดับผลึกของนิกายจันทราสวรรค์ และหอสายธารโลหิตตามล่ามังกรแดงนั้น ค้นพบว่าสถานที่ที่ไฟใต้พิภพระเบิดออกมามีทางเข้าแดนลึกลับที่ไม่ทราบชื่อ แต่ทางเข้านี้ถูกมังกรแดงตัวนั้นทำลายจนพังทลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ตอนนี้มีแต่ศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้นที่เข้าไปได้ และเพื่อคุ้มครองไม่ให้ทางเข้านี้พังทลายลงมายังจำเป็นต้องให้ผู้อาวุโสระดับผลึกของแต่ละนิกายลงมือช่วยจึงจะประคองไว้ได้ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่อาจารย์อาเยี่ยน และผู้อาวุโสท่านอื่นๆ ได้ปรึกษากันแล้ว จึงได้ตัดสินใจให้ทำการทดสอบความเป็นความตายก่อนกำหนด โดยให้ศิษย์แกนนำทั้งสิบคนของแต่ละนิกายเข้าไปในนั้น และจะตัดสินลำดับของพวกเขาจากของล้ำค่าที่หาได้ในนั้น ด้วยเหตุนี้เราจะเสียเวลาไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องพาศิษย์ทั้งสิบคนไปเกาะสยบมังกรให้เร็วที่สุด” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยท่าทีที่ร้อนรนเป็นอย่างมาก
“อะไรนะ ค้นพบทางเข้าแดนลึกลับที่ไม่รู้จัก!”
“มีพื้นที่เท่าไหร?”
“เคยมีคนเข้าไปไหม?”
“มีผนึกจำกัดหรือไม่?”
ฉู่ฉี กุยหรูฉวน ชายฉกรรจ์แซ่เหลย ได้ยินเช่นนี้ก็เหมือนจะอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจระคนดีใจ ในขณะเดียวกันน้ำเสียงของพวกเขาก็แฝงไปด้วยความหวาดกลัว
มิน่าเล่าพวกเขาถึงเป็นเช่นนี้!
แดนลึกลับที่กล่าวถึง แท้จริงแล้วเป็นแดนที่ไม่เคยมีคนค้นพบมาก่อน ซึ่งมีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบ รูปแบบแรกมันเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งนั้นถูกสร้างโดยมนุษย์ที่มีพลังแข็งแกร่ง
ภายในแดนลึกลับแบบแรกเต็มไปด้วยของล้ำค่าอย่างสมุนไพรจิตวิญญาณ หินจิตวิญญาณ ซึ่งสถานที่แบบนี้จะมีอันตรายค่อนข้างน้อย ส่วนอีกแบบหนึ่งจะซ่อนของล้ำค่าที่ตกทอดต่อๆ กันมา แต่ในนั้นจะอันตรายเป็นอย่างมาก และไม่รู้ว่ามีกับดักอันน่ากลัวที่ทำให้สูญสิ้นคนไปมากมายเท่าไหร่
ไม่ว่าจะเป็นแดนลึกลับแบบไหนก็ตาม พอมีคนหาผลประโยชน์ในนั้นออกมาได้ มันก็มากพอทำสำหรับใช้ทั้งนิกายหรือหลายนิกาย แม้กระทั่งเคยมีนิกายเล็กๆ บางนิกายที่โชคดีได้รับชุดวิชาที่ยอดเยี่ยมจากในแดนลึกลับบางแห่ง จากนั้นก็ใช้เวลาภายในไม่กี่ร้อยปีก็สามารถประกาศตัวเป็นใหญ่ในบริเวณแคว้นแถบนั้นได้
แน่นอนว่าวิกฤตกับโอกาสล้วนเป็นของคู่กัน มีบางนิกายที่เคยเป็นนิกายใหญ่แต่เพื่อที่จะตั้งตัวเป็นใหญ่ จึงส่งกำลังทั้งหมดที่มีเข้าไปแดนลึกลับสุดท้ายก็โดนทำลายจนย่อยยับ จนถูกลบชื่อออกไปจากโลกแห่งการฝึกฝน
ตอนนี้แดนลึกลับที่ถูกค้นพบมีอยู่น้อยมาก ทางเข้าบางแห่งปรากฏอยู่ได้ไม่นานแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ทางเข้าแดนลึกลับบางแห่งต้องใช้วิธีการเปิดที่รุนแรง และมีข้อจำกัดในเรื่องของระยะเวลาในการเปิด ยิ่งไปกว่านั้นแดนลึกลับบางแห่งยังถูกวางกับดักอันลึกลับไว้ โดยที่นิกายทั่วไปไม่สามารถทำลายมันได้ทำได้เพียงมองดูแล้วทอดถอนใจเท่านั้น
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ทุกครั้งที่มีการค้นพบก็ก่อให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดกันอีกรอบ
เพื่อที่จะได้ครอบครองทางเข้าแดนลับแห่งใหม่ แต่ละนิกายต่างก็ลงมือกันอย่างรุนแรง
ครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าทางเข้าแดนลึกลับแห่งใหม่ได้พังทลายลงมาจนไม่สามารถยึดครองได้เอง เชื่อว่าทางนิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิตคงไม่บอกนิกายอื่นๆ อย่างแน่นอน และคงจะเก็บข่าวนี้ไว้แล้วเข้าไปสำรวจเองอย่างเงียบๆ
“ศิษย์น้องทั้งหลาย ที่พวกเจ้าถามมาทั้งหมดนั้นข้าเองก็ไม่ค่อยชัดเจนมากนัก อาจารย์อาเยี่ยนกล่าวถึงเรื่องนี้แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้ท่านอาจจะไปเกาะสยบมังกรก่อนแล้ว ดังนั้นพรุ่งนี้เช้าข้าจะนำศิษย์แกนนำทั้งสิบนี้ตามไปด้วยตนเอง ศิษย์พี่หวง ศิษย์น้องจาง ท่านทั้งสองค่อนข้างเข้าใจเกี่ยวกับค่ายกลกับดักพรุ่งนี้ก็ไปพร้อมกับข้าเถอะ! อาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นก็อยู่เฝ้านิกายรอฟังข่าวอยู่เงียบๆ ก็พอ ข้าทำตามคำสั่งของอาจารย์อาเยี่ยน ศิษย์น้องทุกท่านต่างก็ทำในสิ่งที่ตนเองต้องทำให้ดี ระยะเวลาอันสั้นนี้อย่าปล่อยให้เรื่องนี้รั่วไหลไปได้” ประมุขนิกายปีศาจหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วสั่งกำชับอีกรอบ
“ทราบ! ศิษย์พี่ท่านประมุข ข้าทั้งสองจะกลับไปเตรียมตัวให้ดี จะต้องไม่ทำให้เสียการใหญ่อย่างเด็ดขาด” ผู้อาวุโสแซ่หวงกับอาจารย์อาจางตอบรับด้วยความยินดี
ถึงแม้ฉู่ฉี หญิงแซ่หลิน และคนอื่นๆ จะรู้สึกไม่พอใจบ้าง แต่เมื่อประมุขนิกายปีศาจอ้างชื่อของอาจารย์อาเยี่ยนออกมา พวกเขาก็จำเป็นต้องเชื่อฟังอย่างช่วยไม่ได้
ขณะนี้ ประมุขนิกายปีศาจเหาะออกจากลานหยก แล้วประกาศไปยังศิษย์ด้านล่างด้วยเสียงอันดังกังวาน
“ผลศิษย์แกนทั้งสิบในการประลองใหญ่ครั้งนี้ได้ออกมาแล้ว ซึ่งได้แก่หยางเฉียน เฟิงฉาน …… หลิ่วหมิง เหลยเจิ้น รวมทั้งหมดสิบคน แต่เป็นเพราะสาเหตุสำคัญบางอย่าง การประลองของศิษย์แกนนำทั้งสิบในวันพรุ่งนี้จะถูกยกเลิกชั่วคราว และจากนี้ไปนิกายเราจะปิดเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในระหว่างเวลานี้ผู้ที่ไม่ได้รับคำสั่งจากนิกายห้ามออกไปจากนิกายโดยพลการเด็ดขาด ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกขับไล่ออกจากนิกาย เอาล่ะ! นอกจากหยางเฉียนและศิษย์แกนนำทั้งเก้าแล้ว คนอื่นๆ ก็กลับไปยังที่พักเถอะ!”
ได้ยินประกาศเช่นนี้แล้ว ศิษย์หลายคนต่างก็ตกใจจนจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ภายใต้สายตาที่มองลงมาอย่างเข้มขวดของประมุขนิกายปีศาจพวกเขาย่อมไม่กล้าแสดงความเห็นใดๆ ออกมา
จากนั้นบรรดาศิษย์ต่างก็ค่อยๆ ทยอยกันออกไปจากเขาหิน พริบตาเดียวบนยอดเขานั้นก็เหลือเพียงหลิ่วหมิง และศิษย์แกนนำทั้งเก้าเท่านั้น พวกเขาต่างก็มองหน้ากันด้วยความงุนงง
“พวกเจ้าไม่ต้องตกใจไป ที่ข้าให้พวกเจ้าอยู่ต่อก็เพราะว่าจะต้องอธิบายสาเหตุให้พวกเจ้าฟังอย่างแน่นอน เรื่องมันเป็นแบบนี้ อาจารย์ปู่เยี่ยนของพวกเจ้า…….” ประมุขนิกายปีศาจค่อยๆ เล่าเรื่องเกี่ยวกับแดนลึกลับ และเรื่องการเลื่อนการทดสอบความเป็นความตายเข้ามาก่อนให้ฟังอย่างคร่าวๆ
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินก็เบิกตาอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
“เพราะว่าเรื่องมันกะทันหันจนเกินไป ก็เลยไม่มีเวลาจัดการท้าสู้ชิงอันดับให้พวกเจ้า พวกเจ้าต้องไปที่ทางเข้าแดนลึกลับให้เร็วที่สุด เข้าไปทดสอบความเป็นความตายในนั้นกับศิษย์นิกายอื่นๆ ซึ่งเป็นงานที่ควรจะจัดขึ้นในหนึ่งปีให้หลัง ในขณะเดียวกันคะแนนของการทดสอบในครั้งนี้จะเป็นตัวตัดสินอันดับบนแผ่นศิลาจันทราของพวกเจ้า ส่วนกฎต่างๆ พอถึงที่นั่นอาจารย์ปู่จะอธิบายให้พวกเจ้าอย่างละเอียดเอง สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำในตอนนี้ก็คือกลับไปสะสมพลังให้ดีๆ พอพรุ่งนี้เช้าก็ออกเดินทางพร้อมกับข้า ขอเพียงแค่นิกายของเราเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการทดสอบความเป็นความตายนี้ได้มากพวกเจ้าจะต้องได้รับรางวัลอย่างงาม นอกจากนี้ข่าวนี้ยังถือเป็นความลับจะต้องไม่บอกกับศิษย์ผู้อื่นโดยเด็ดขาด” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงและศิษย์แกนนำทั้งหลายฟังจบแล้วจึงได้เข้าใจในฉับพลัน ถึงแม้แต่ละคนจะคิดเห็นต่างกันแต่ก็โค้งตัวตอบรับแต่โดยดี
ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้า จากนั้นก็หมุนตัวเหาะกลับไปยังลานหยกปรึกษาหารือเรื่องแดนลึกลับกับอาจารย์จิตวิญญาณท่านอื่นๆ ต่อ
ศิษย์แกนนำทั้งสิบก็ค่อยๆ ทยอยออกจากเขาหินไป
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงก็กลับมาถึงที่พักของตนเอง แล้วเริ่มคิดไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องแดนลึกลับ
เรื่องนี้อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นแบบเหนือความคาดหมาย
เดิมทีเขาคิดว่าจะมีเวลาปีกว่าๆ ในการฝึกฝน แล้วถึงจะเข้าร่วมการทดสอบความเป็นความตายที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งนั้น แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเลื่อนเข้ามาก่อนกำหนด ทั้งยังต้องเข้าไปในแดนลึกลับที่ไม่รู้ว่ามีสิ่งดีหรือสิ่งร้ายอยู่ในนั้น
ในแดนลึกลับที่ไม่รู้จักนี้ เกรงว่าพลังที่ฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญรองลงมา ที่สำคัญคือความสามารถในการรับรู้และวินิจฉัยอันตรายต่างๆ ที่อาจเข้ามา ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ตอนอยู่บนเกาะมฤตยูเขามีประสบการณ์ต่อสู้ที่ผ่านความเป็นความตายมาหลายปี ในด้านนี้เขาคงได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ มาก
และพอหลิ่วหมิงนึกถึงของล้ำค่าต่างๆ ที่ผู้ฝึกฝนได้รับจากแดนลึกลับ และพอออกมาจากในนั้นก็ฝึกฝนก้าวหน้าเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ทำให้เขาอดใจเต้นโครมครามไม่ได้
ถึงแม้ว่าของล้ำค่าต่างๆ ที่ได้รับจากแดนลึกลับจะยึดตามเคยชินเดิมคือกว่าครึ่งหนึ่งต้องมอบให้กับนิกาย แต่ขอเพียงรักษาได้เพียงส่วนเล็กๆ ในนั้น เกรงว่าคงเพียงพอที่จะใช้แลกกับทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าอาจจะต้องสูญเสียชีวิตกับอันตรายในแดนลึกลับนั้น ตอนอยู่บนเกาะมฤตยูเมื่อหลายปีก่อนเขาผ่านเส้นความเป็นความตายมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เขาจึงไม่ได้สนใจในเรื่องนี้
ความร่ำรวยใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ไม่เสี่ยงตายก็จะไม่ได้มา ยิ่งกลัวตายก็ยิ่งเป็นเหตุให้ตายเร็ว ข้อเท็จจริงเรื่องนี้เขาเข้าใจดีกว่าผู้ใดมาตั้งแต่เด็ก
อันตรายจะมากเพียงใดเขาก็ไม่สนใจ ขอแค่มองเห็นว่ามีทางได้รับผลประโยชน์ก็คุ้มค่าที่จะเอาชีวิตเข้าแลกสักครั้ง
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่เงียบๆ และไม่สามารถหาเหตุผลที่จะหลีกเลี่ยงการทดสอบความเป็นความตายในครั้งนี้ได้ จากนั้นเขาก็ปิดเปลือกตาลงด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบ แล้วเริ่มฟื้นฟูพลังเวทย์ที่สูญเสียไปในการประลองใหญ่ครั้งนี้
……………………………………….
ตอนที่ 107 คืนนัดหมาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอใกล้จะถึงยามสาม หลิ่วหมิงก็ลืมตาทั้งสองขึ้นแล้วออกจากห้องไปโดยไร้สุ้มเสียง และขี่เมฆเหาะออกไปจากเขาเก้าทารก
ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ร่อนลงมายังผืนป่าแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากยอดเขาหลักของนิกายปีศาจสามลี้
บนพื้นที่โล่งกว้างผืนหนึ่งที่อยู่ห่างจากเขาไม่ไกล อาจารย์อาหร่วนยืนเอามือไขว้หลังอยู่ที่นั่น
“ศิษย์คารวะอาจารย์อา!” หลิ่วหมิงโค้งตัวคารวะด้วยความนอบน้อม
“เจ้ามาได้เร็วดีนี่ แต่ต้องรออีกสักครู่ก่อน!” อาจารย์อาหร่วนกล่าวอย่างราบเรียบ
“ทำไมล่ะ! อาจารย์อานัดหมายผู้อื่นด้วยหรือ?” หลิ่วหมิงตะลึงเล็กน้อย
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาคือผู้ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำเหมือนกับเจ้า แน่นอนว่าฝึกฝนก่อนหน้าเจ้าหลายปี ระดับความรู้ลึกซึ้งกว่าที่เจ้าจะเทียบได้” ผู้อาวุโสร่างท้วมหัวเราะกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตะลึง แต่ก็พยักหน้าโดยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงดังมาจากท้องฟ้า เมฆเทาอีกก้อนร่อนลงมา และมีคนผู้หนึ่งกระโดดลงมาจากในนั้น
“เป็นเจ้า!”
พอคนผู้นี้เห็นใบหน้าหลิ่วหมิงชัดเจนสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในฉับพลัน ไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นชายฉกรรจ์หัวล้านที่สู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับหลิ่วหมิงเมื่อตอนกลางวัน
“ที่แท้ก็คือศิษย์พี่กู่ ช่างบังเอิญเสียจริง” หลิ่วหมิงเองก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมากเช่นกัน ขณะเดียวกันก็เข้าใจในฉับพลัน
มิน่าล่ะเมื่อตอนกลางวันถึงได้รู้สึกถึงกลิ่นไออันคุ้นเคยจากฝ่ายตรงข้าม ที่แท้ก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาเดียวกันนี่เอง
“ที่ท่านบอกว่าจะให้ข้าพบกับคนอีกคนที่ฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำเหมือนกัน ที่แท้คนผู้นั้นก็คือศิษย์น้องไป๋นั่นเอง” กู่เจวี๋ยสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมาในทันที แล้วหันหน้าไปถามอาจารย์อาหร่วน
“ถึงแม้เจ้าจะฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำเร็วกว่าเขาหลายปี แต่หลังจากผ่านการประลองเมื่อตอนกลางวันแล้วคงจะรู้ว่าพลังของตนเองยังไม่เท่าศิษย์น้องไป๋ผู้นี้” ผู้อาวุโสร่างท้วมหัวเราะกล่าวออกมา
“ฮึ! นั่นเป็นเพราะว่าในมือของข้าไม่มีอาวุธจิตวิญญาณ ถ้าข้ามีอาวุธจิตวิญญาณล่ะก็ ทำไมจะต้องใช้พลังเวทย์จำนวนมากในการกระตุ้นกระบี่กระดูกโลหิตปีศาจเล่มนั้นด้วยเล่า และคงไม่พ่ายแพ้ไปอย่างง่ายดายเช่นนี้” กู่เจวี๋ยเอามือลูบศีรษะแล้วกล่าวอย่างไม่ยอมรับ
ดูจากน้ำเสียงของเขาแล้ว ดูเหมือนจะไม่ค่อยเคารพและยำเกรงผู้อาวุโสร่างท้วมมากนัก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยืมแบบจืดๆ แต่ในใจกลับรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“อาวุธจิตวิญญาณของศิษย์น้องไป๋ก็ไม่ใช่ของที่ทางนิกายมอบให้ เจ้ามีความสามารถก็ไปหาเก็บเอาเอง เอาล่ะ! จะไม่พูดเรื่องไร้สาระแล้ว เจ้าคงจะรู้ว่าครั้งนี้ข้าเรียกเจ้าออกมาทำไม”
“ท่านคงอยากถามข้าเกี่ยวกับวิชาควบคุมกระดูกล่ะสิ ไม่คาดคิดว่าเคล็ดวิชากระดูกดำจะสามารถควบคุมกระดูกปีศาจได้ สิ่งนี้ข้าค้นพบมันโดยไม่ตั้งใจหลังจากที่ได้ทดลองไปหลายครั้ง มิเช่นนั้นข้าคงไม่คิดที่จะเข้าไปอยู่ในศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกของการประลองใหญ่ครั้งนี้หรอก แต่คิดไม่ถึงว่าถูกศิษย์น้องไป๋ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำเหมือนกันขัดขวางเข้า แต่มันก็ไม่เลว ข้าถูกคนเข้าใจผิดว่าฝึกฝน ‘วิชาควบคุมกระดูก’ คิดว่าต่อไปก็คงได้ลิ้มรสชาติของการถูกให้ความสำคัญแล้ว” กู่เจวี๋ยกล่าวแบบไม่แยแส
“ฮึ! เจ้าคิดว่าตัวเองค้นพบเรื่องเคล็ดวิชากระดูกดำสามารถควบคุมกระดูกปีศาจได้เป็นคนแรกหรือ? ขอแค่ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำขั้นที่สี่จนมั่นคง และชำนาญแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่ฝึกวิชานี้ก็สามารถเจอกับผลลัพธ์เช่นนี้ได้” อาจารย์อาหร่วนทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“อะไรนะ ข้าไม่ใช่คนแรกที่ค้นพบเรื่องนี้ แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยมีคนที่มีความสามารถเช่นโผล่ออกมาเลย” กู่เจวี๋ยได้ยินก็รู้สึกแปลกใจมาก
หลิ่วหมิงก็รู้สึกอึ้งจนอ้าปากค้าง
ความชำนาญในการควบคุมกระดูกปีศาจของฝ่ายตรงข้ามนั้น ไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นผลพลอยได้มาจากพลังขั้นที่สี่ของเคล็ดวิชากระดูกดำ เช่นนี้ก็หมายความว่าถ้าเขาเริ่มฝึกฝนในขั้นนี้ก็สามารถทำเช่นนี้ได้เหมือนกัน
“หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้ว รู้สึกปวดเมื่อยกระดูกไปทั่วร่างใช่ไหม จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติล่ะสิ” อาจารย์อาหร่วนไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับถามกลับไปด้วยสีหน้าอึมครึม
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ทำไมล่ะ! ข้าแค่พักผ่อนสักสองสามวันก็คงจะไม่เป็นไรแล้ว” กู่เจวี๋ยรู้สึกได้ลางๆ ว่ามันไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังคงดึงดันถามออกไป
“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ เจ้าจะวิตกเช่นนี้หรือ นี่ก็เป็นเพราะว่าหลายวันก่อนข้ารีบเก็บตัวฝึกฝนเลยลืมบอกเรื่องนี้ให้เจ้าก่อน ศิษย์ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำก่อนหน้านี้ไม่ได้แสดงพลังนี้ออกมาก็เพราะว่าถ้ายังไม่สามารถฝึกฝนขั้นที่สี่จนมั่นคงก่อนล่ะก็ มันจะก่อให้เกิดการสูญเสียเนื้อหนัง และอายุขัยได้ เพราะพลังนี้เดิมทีก็ใช้เนื้อหนังที่สมบูรณ์แบบถึงจะแสดงพลังออกมาได้ วันนี้เจ้าใช้พลังอย่างดุเดือดเช่นนี้ แม้แต่กระบี่กระดูกโลหิตปีศาจก็เกาะตัวออกมาแล้ว เกรงว่าอย่างน้อยอายุไขก็ลดไปสิบปี ถ้าหากว่าเจ้าเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ ข้าจะบอกกับแม่ของเจ้าอย่างไร” สีหน้าของผู้อาวุโสร่างท้วมเปลี่ยนไปจากนั้นก็กล่าวตำหนิออกมา
“ก็แค่ลดอายุไขไปสิบปีเท่านั้น นี่ไม่นับประสาอะไรหรอก ส่วนทางด้านของแม่ข้าท่านไม่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว อีกอย่างถ้าปีนั้นข้าไม่ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำที่ท่านน้าถ่ายทอดให้คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้” ชายฉกรรจ์หัวล้านนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากมองหน้าหลิ่วหมิงแล้วถึงหัวเราะอย่างขมขื่น และกล่าวออกมา
“เจ้ารู้ก็ดี! วันนั้นข้าถูกบีบให้ถ่ายทอดเคล็ดวิชากระดูกดำชุดนี้ให้เจ้าอย่างไม่มีทางเลี่ยง ก็เพื่อที่จะช่วยชีวิตเจ้าไว้ ไม่ใช่ให้เจ้านำมาใช้ต่อสู้กับคนอื่นๆ นอกจากนี้จะบอกให้อีกรอบว่าเคล็ดวิชากระดูกดำชุดนี้มีข้อบกพร่องอยู่ไม่น้อย ขณะที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้นั้น เจ้าห้ามทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณเด็ดขาด เจ้ากลับไปก่อนเถอะ! ข้ามีเรื่องที่ต้องคุยกับศิษย์หลานไป๋เพียงลำพัง” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นมา
ครั้งนี้ชายฉกรรจ์หัวล้านกลับเชื่อฟังอย่างง่ายดาย หลังจากพยักหน้าแล้วก็ทำท่ามือแสดงวิชาทะยานฟ้าเหาะจากไป
หลิ่วหมิงกลับยังคงยืนอยู่ที่เดิมด้วยอาการตกตะลึงเล็กน้อย
“ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับกู่เจวี๋ยคิดว่าเจ้าคงจะเข้าใจแล้ว คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก” ในที่สุดสายตาของผู้อาวุโสร่างท้วมก็ตกมายังบนตัวหลิ่วหมิง และกล่าวอย่างสงบ
“ความสัมพันธ์ระหว่างกู่เจวี๋ยกับท่านข้าย่อมเข้าใจแล้ว แต่ปัญหาเรื่องข้อบกพร่องของเคล็ดวิชากระดูกดำนี้คือเรื่องอะไรกัน? อาจารย์อาคงไม่ได้ตั้งใจพูดมันออกมาต่อหน้าข้าหรอกนะ?” หลิ่วหมิงหัวเราะขมขื่นกล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! ข้ารู้อยู่แล้วศิษย์หลานไป๋เป็นคนฉลาด ถูกต้อง! คืนนี้ข้าตั้งใจเรียกพวกเจ้าทั้งสองคนออกมาพร้อมกันจะได้ถือโอกาสรู้จักกันด้วย เพราะตอนนี้ทั้งนิกายมีแค่พวกเจ้าสองคนที่ฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำเท่านั้น และในเมื่อเจ้าก็ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำจนถึงขั้นที่สี่เช่นกัน ข้าเองก็ควรจะบอกเรื่องราวเหล่านี้แก่เจ้า อธิบายความให้กระจ่างแก่เจ้าก่อน มิเช่นนั้นถ้าเจ้าหลับหูหลับตาทะลวงเขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็มันอาจทำให้เจ้าเสียชีวิตได้” ผู้อาวุโสร่างท้วมหัวเราะกล่าวออกมา
“ขออาจารย์อาโปรดชี้แนะ!” หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา
ตั้งแต่ที่เขารู้ว่าการฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำในขั้นก่อนหน้านั้นไม่เจอปัญหาคอขวดใดๆ นั้น เขาก็รู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้องแล้ว
ถ้าหากเคล็ดวิชานี้โดดเด่นจริงๆ ทางนิกายคงจะผลักดันให้ศิษย์ต่างๆ ได้ฝึกฝนกันแล้ว และฝ่ายตรงข้ามคงไม่ต้องแอบถ่ายทอดให้ตนเองอย่างลับๆ
“ข้าจะบอกที่มาของเคล็ดวิชากระดูกดำนี้ให้กับเจ้าก่อน เคล็ดวิชานี้เป็นสิ่งที่ปรมาจารย์ลิ่วยินได้มาโดยบังเอิญ และทิ้งไว้ให้กับนิกายเรา ในสมัยนั้นท่านได้ใช้สติปัญญา และกำลังแปลมาได้ถึงแค่ขั้นที่สาม ขั้นที่สี่นั้นผู้อาวุโสในนิกายเราที่สนใจได้แปลไปส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือข้าใช้สติปัญญาและกำลังในการแปลเป็นเวลาหลายสิบปีถึงแปลได้สำเร็จ และเพื่อที่จะทดสอบวิชานี้ เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนข้าก็เริ่มถ่ายทอดให้กับศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณไปหลายคน และให้พวกเขาแอบฝึกฝน ศิษย์เหล่านี้ก็เหมือนกับเจ้า ส่วนมากก็ฝึกจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายที่สมบูรณ์แบบได้ก่อนอายุสามสิบ แต่ขณะที่ทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณนั้นร่างกายกลับระเบิดออกมาจนเสียชีวิต” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดไปพักหนึ่ง
“ร่างระเบิดออกมาจนเสียชีวิต!” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
“เจ้าไม่ต้องกังวลไป ตัวอย่างการล้มเหลวเหล่านี้ข้าย่อมศึกษาสาเหตุของมันอย่างละเอียด จนเมื่อหลายปีก่อนถึงค้นพบว่าเงื่อนไขหนึ่งในการฝึกฝนวิชานี้คือต้องมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง มิเช่นนั้นตอนแรกข้าก็คงไม่ถ่ายทอดวิชานี้ให้เจ้าหรอก” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวอย่างราบเรียบ
“เช่นนี้ก็หมายความว่าก่อนหน้านี้ยังไม่มีผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำที่ก้าวเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณได้ ถึงแม้พลังจิตของข้าจะแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่อาจารย์อาหร่วนก็ไม่สามารถรับรองได้ว่าข้าจะบรรลุระดับอย่างปลอดภัย” หลิ่วหมิงรู้สึกว่าน้ำเสียงตนเองขมขื่นเป็นอย่างมาก
“เจ้าวางใจเถอะ เคล็ดวิชากระดูกดำขั้นสี่ที่ข้าถ่ายทอดให้เจ้านั้น ถูกปรับแต่งหลายครั้งจนสมบูรณ์แบบแล้ว ถึงแม้ข้าไม่อาจรับรองได้ว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นกับเจ้า แต่ด้วยพลังจิตที่แข็งแกร่งของเจ้า ถึงแม้จะล้มเหลวในการทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณเจ้าก็ไม่ถูกทำลายจนเสียชีวิต อย่างมากก็แค่โดนทำลายพลังภายในบ้างก็เท่านั้น ที่ร่างของศิษย์ก่อนหน้านั้นระเบิดออกมา ส่วนมากก็เป็นเพราะว่าในช่วงจุดสำคัญของการทะลวงเขตแดนนั้นพลังจิตไม่สามารถควบคุมพลังเวทย์ทีประทุขึ้นมาอย่างฉับพลัน ถึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นถ้าข้าทายไม่ผิดล่ะก็พลังเวทย์ของเจ้าอยู่ในระดับที่บริสุทธิ์กว่าศิษย์โดยทั่วไปมาก ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็เจ้าก็ควบคุมพลังเวทย์ได้ง่ายขึ้น เช่นนี้แล้วเจ้าก็ไม่ต้องกังวัลกับปัญหาอันใดแล้ว” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อาจารย์อาทราบเรื่องพลังเวทย์ของศิษย์บริสุทธิ์ได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงมีสีหน้าประหลาดใจอีกครั้ง
“อาวุธจิตวิญญาณกระบี่จันทราหยกในมือเจ้าเล่มนั้น ปีก่อนข้าเคยสัมผัสกับมันตอนงานชมของล้ำค่า ข้ารู้จักอานุภาพของการกระตุ้นชั้นจำกัดที่สามของมันดี การสำแดงอานุภาพการโจมตีอย่างเหนือชั้นจนทำให้กู่เจวี๋ยพ่ายแพ้ได้นั้น นอกจากผู้ที่พลังเวทย์บริสุทธิ์กว่าศิษย์ทั่วไปแล้ว ข้าก็หาเหตุผลอื่นมาอธิบายไม่ได้อีก” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ศิษย์ก็มีแค่คำถามเดียวแล้ว ทำไมอาจารย์อาถึงบอกเรื่องทั้งหมดแก่ศิษย์ในคืนนี้ ยอมให้ศิษย์ฝึกฝนมั่วๆ ต่อไปมันจะไม่สบายใจกว่าหรือ? อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะท่านรู้สึกผิดถึงได้ทำเช่นนี้” หลิ่วหมิงพยักหน้าแล้วถามด้วยตาที่เป็นประกาย
“รู้สึกผิด? ทำไมถึงเป็นเหตุผลอันน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ล่ะ ถ้าไม่ใช่ว่าตอนนั้นข้าถ่ายทอดเคล็ดวิชากระดูกดำนี้ให้เจ้า เจ้าคิดว่าจะอาศัยคุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายโดยไม่มีปัญหาคอขวดใดๆ หรือ? จะบอกให้นะ ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณโดยทั่วไปจะติดค้างอยู่ที่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางจนไปถึงขั้นต้น ผู้ที่ฝึกฝนจนถึงขั้นปลายนั้นมีน้อยมากมีแค่ไม่กี่คนเอง และตามที่บันทึกไว้ในเคล็ดวิชากระดูกดำฉบับตั้งเดิมกล่าวว่า ขอแค่ใช้วิธีการฝึกฝนที่เหมาะสม และเตรียมตัวอย่างเต็มที่แล้ว มันก็มีโอกาสทะลวงเข้าสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณมากกว่าวิชาอื่นมากนัก ที่ข้าเรียกเจ้ามาคืนนี้ และบอกทุกอย่างกับเจ้านั้น ที่จริงแล้วข้าคิดที่จะมอบเคล็ดวิชากระดูกดำในส่วนที่ต่อเนื่องกับบันทึกประสบการณ์ที่ข้าศึกษาเคล็ดวิชานี้มาหลายปีให้กับเจ้า จากนั้นข้าก็จะเก็บตัวฝึกฝนอย่างแท้จริงเพื่อเตรียมที่จะทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว” ผู้อาวุโสร่างท้วมถอนหายใจกล่าวออกมา
……………………………………….
ตอนที่ 108 ออกเดินทาง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อาจารย์อาหร่วน ถึงแม้ท่านจะต้องการเก็บตัวทะลวงคอขวด แต่คงไม่ถึงกับต้องนำสิ่งของเหล่านี้มาให้ข้าน้อยหรอกมัง” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจ และถามด้วยความหวาดระแวงอย่างอดไม่ได้
“การเก็บตัวครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ตอนที่ข้ายังหนุ่มเคยถูกศัตรูทำลายชีพจรจนได้รับบาดเจ็บ เดิมทีถูกลิขิตให้หยุดฝึกฝนอยู่ที่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางเท่านั้น ต่อมาเมื่อได้ทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชากระดูกดำถึงได้พบกับวิธีทะลวงปัญหาคอขวดในขั้นต้นได้ แต่วิธีการนี้อันตรายเป็นอย่างมาก ถ้าหากข้าฝืนทะลวงล่ะก็มีโอกาสรอดชีวิตแค่หนึ่งในสามส่วนเท่านั้น อีกสองส่วนที่เหลือก็จะเป็นแบบศิษย์ที่ฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำแล้วทะลวงคอขวดเพื่อเข้าสู่เขตแดนอาจารย์อาจารย์วิญญาณเหล่านั้น ซึ่งผลลัพธ์คือร่างระเบิดจนเสียชีวิต ข้าทุ่มเทไปกับเคล็ดวิชากระดูกดำ และอักขระมรกตมืดมาหลายสิบปี ข้าไม่อยากให้มันไร้ผู้สืบทอดและหายไปอย่างไร้ร่องรอย และในชาตินี้ข้ายังไม่เคยรับใครเป็นศิษย์ติดตามเลย เดิมทีเจวี๋ยเอ๋อร์ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว แต่เสียดายที่พลังจิตของเขาธรรมดามาก ชาตินี้คงถูกกำหนดให้หยุดอยู่แค่เขตแดนศิษย์จิตวิญญาณ และไม่อาจกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ด้วยเหตุนี้เจ้าคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นผู้สืบทอดเหล่านี้ ถ้าหากข้ารอดชีวิตเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณระดับกลางได้ ทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว แต่ถ้าหากข้าไม่สามารถรอดชีวิตมาได้ล่ะก็ เจ้าก็แค่ทำให้สิ่งนี้มีผู้สืบทอดก็พอแล้ว” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวเหมือนกับว่ากำลังมอบหมายงานให้หลิ่วหมิง เขาเผยความจริงใจออกมาในน้ำเสียงเป็นครั้งแรก
“อาจารย์อาหร่วนวางใจเถอะ! ศิษย์หลานจะพยายามทำอย่างสุดความสามารถ” หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว จนเมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาใดๆ ก็ตอบรับก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ดีมาก แผ่นหยกชิ้นนี้ข้าหลอมสร้างขึ้นมาเอง ทุกอย่างถูกบันทึกไว้ในนี้ เจ้าสามารถเอามันไปวางไว้ที่หน้าผากแล้วใช้พลังจิตกวาดดูคร่าวๆ ดูว่ายังมีปัญหาอะไรอีกหรือเปล่า?”
ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวจบก็หยิบแผ่นหยกสีขาวน้ำนมออกมาชิ้นหนึ่ง และลูบมันอย่างเสียดาย จากนั้นจึงส่งไปให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงโค้งตัวรับแผ่นหยกแล้วนำมันมาวางไว้บนหน้าผาก
เมื่อจิตของเขาพุ่งไปยังแผ่นหยก พลันรู้สึกถึงความหนักอึ้ง แสงกลมสีม่วงขาวปรากฏขึ้นมาในศีรษะเขา
เขานำจิตแตะไปยังลูกแสงสีม่วงกลมๆ เล็กน้อย อักขระโบราณสีเขียวก็พุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก แล้วเรียงตัวกันกลายเป็นคัมภีร์หนึ่งหน้า
มันคือเคล็ดวิชากระดูกดำแบบดั้งเดิมที่ใช้อักขระมรกตมืดเขียนขึ้นมา แต่เมื่อหลิ่วหมิงกวาดดูแล้วก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
เมื่อพลังจิตของเขาแตะไปยังแสงกลมๆ สีขาว อักขระมรกตมืดกับอักขระทั่วไปก็ผสมปนเปกันออกมาเป็นคัมภีร์
มันคืออักขระมรกตมืดที่ผู้อาวุโสร่างท้วมทุ่มเทเวลาหลายปีแปลออกมา
หลิ่วหมิงเพียงแค่ดูทั้งสองสิ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอนจิตออกมาจากแผ่นหยก
“อาจารย์อาหร่วน ทำไมมีเคล็ดวิชากระดูกดำถึงมีแค่ห้าขั้น ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็มันมีทั้งหมดเก้าขั้นไม่ใช่หรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยความแปลกใจ
“ตอนที่ปรมาจารย์ของนิกายเราได้รับเคล็ดวิชานี้ มันมีวิธีการฝึกฝนแค่ห้าขั้นแรกเท่านั้น ส่วนอีกสี่ขั้นหลังอยู่ที่ใดนั้นไม่อาจรู้ได้ แต่มีแต่แค่สี่ขั้นแรกก็เพียงพอแล้ว ปีนั้นข้าแปลแค่ขั้นที่สี่ก็ใช้เวลาไปหลายสิบปี ถ้าหากศิษย์หลานไป๋สามารถทำความเข้าใจและแปลขั้นที่ห้าได้ ก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านอักขระมรกตมืด ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำอีกต่อไป และสามารถเปลี่ยนไปฝึกฝนวิชาระดับสูงอื่นๆ ที่เหมาะสมกับเจ้าได้เลย แค่เคล็ดวิชากระดูกดำสี่ขั้นแรกก็สร้างพื้นฐานอันแข็งแกร่งให้กับเจ้าแล้ว และหากเจ้าอยากจะฝึกฝนวิชาขั้นสูงล่ะก็ วิชาของสาขาฝึกศพกับสาขาหยินทนทรมานต่างก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูเหมือนที่อาจารย์อาพูดว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปฝึกวิชาอย่างอื่นนั้นเป็นแค่คำพูดหลอกหลวงเท่านั้น” หลิ่วหมิงแสยะปากขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ฮ่าๆ! อันนี้…ถ้าตอนนั้นข้าไม่พูดเช่นนี้ คงจะต้องเสียเวลาในการพูดจาหว่านล้อมไปไม่น้อย” ผู้อาวุโสร่างท้วมหัวเราะออกมาแต่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงได้ยินก็พูดอะไรไม่ออกมา
“ใช่สิ! ถ้าหากว่าข้าทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางไม่สำเร็จ และถ้าต่อไปเจ้าสามารถเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณได้ล่ะก็ ฝากช่วยข้าดูแลกู่เจวี๋ยด้วย เขาเป็นญาติของข้าเพียงไม่กี่คนบนโลกใบนี้” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ถ้าหากศิษย์มีความสามารถจริงๆ ล่ะก็ จะต้องทำตามที่ท่านสั่งอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ดีมาก! ตอนนี้ยังมีเวลาอีกหน่อย ถ้าหากมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำก็ถามข้ามาได้เลย ถ้าสามารถตอบได้ล่ะก็ ข้าจะพยายามตอบอย่างสุดความสามารถ”ผู้อาวุโสร่างท้วมได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ขอบคุณอาจารย์อา ศิษย์มีปัญหาเกี่ยวกับเคล็ดวิชากระดูกดำบางส่วน จนถึงบัดนี้แล้วก็ยังทำความเข้าใจไม่ได้”
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงก็ขี่เมฆเหาะออกไปจากป่าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
และผู้อาวุโสร่างท้วมยังคงยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม พร้อมกับหรี่ตาจ้องมองไปยังเมฆเทาที่ค่อยๆ เหาะจากไป
หลังจากที่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เขาถึงได้กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ และรวดเร็ว
“ศิษย์พี่ท่านประมุข ท่านมานานขนาดนี้แล้วใยต้องมาหลบซ่อนด้วยเล่า”
หลังกล่าวจบเขาก็เหลือบมองไปยังต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น
“ศิษย์น้องหร่วนสมกับเป็นศิษย์ติดตามของอาจารย์อาเยี่ยน วิธีการซ่อนตัวนี้ไม่อาจพ้นสายตาเจ้าไปได้” เสียงราบเรียบดังมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ พอมีเงาร่างสั่นไหว ผู้อาวุโสชุดเหลืองก็เดินออกมาจากในนั้นด้วยรอยยิ้มจางๆ เขาก็คือประมุขนิกายปีศาจ
“ศิษย์พี่ท่านประมุขเห็นข้ามอบสิ่งของให้ศิษย์หลานไป๋ แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าท่านจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้” ผู้อาวุโสร่างท้วมหัวเราะกล่าวออกมา
“ในเมื่อศิษย์หลายไป๋เป็นผู้เดียวที่ยังฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำอยู่ และยังมีโอกาสที่จะก้าวเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ อีกอย่างของที่เอาไปเป็นแค่เคล็ดวิชากระดูกดำฉบับคัดลอกเท่านั้น ฉบับจริงยังถูกเก็บอย่างดีที่หอเก็บคัมภีร์ ดังนั้นข้าย่อมไม่มีเหตุผลที่คัดค้านเรื่องนี้ ที่จริงตอนที่ข้าเห็นว่าศิษย์หลานไป๋มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ แต่สามารถใช้ระยะเวลาอันสั้นในการก้าวเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ ข้าก็พอจะเดาได้ว่าวิชาที่เขาฝึกคือเคล็ดวิชากระดูกดำ เพียงแต่เรื่องที่กู่เจวี๋ยเป็นหลานของเจ้า และฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย รวมทั้งมีความสามารถอย่างปาฏิหาริย์ที่คล้ายกับวิชาควบคุมกระดูกนั้น ข้าเพิ่งจะรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก” ประมุขนิกายปีศาจถอนหายใจเบาๆ และกล่าวออกมา
“เรื่องนี้ท่านอย่าได้ใส่ใจเลย เมื่อครู่ท่านก็ได้ยินแล้วว่าการฝึกฝนของเขาไม่เพียงพอ ทุกครั้งที่กระตุ้นพลังในการควบคุมกระดูกจะสูญเสียอายุขัยไปเป็นจำนวนมาก” ผู้อาวุโสร่างท้วมรีบกล่าวอย่างระมัดระวัง
“เฮ่อๆ! ศิษย์น้องวางใจเถอะ! ในเมื่อข้ารู้สภาพที่แท้จริงของเจ้าเด็กนี่ ดังนั้นการที่จะมอบสิ่งของหลายอย่างในนิกายให้เขาควบคุมนั้นข้าย่อมไม่อาจวางใจได้ แต่ถ้าศิษย์หลานไป๋สามารถก้าวเข้าสู่อาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ มอบให้เขาควบคุมคงจะไม่มีปัญหาอะไรมากนัก” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“อืม! ถ้าหากศิษย์หลานไป๋กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ก็จะไม่เกิดเรื่องที่ร่างกายถูกทำลายจนเสียหายแล้ว ให้เขาควบคุมสิ่งของหลายอย่างนั้นนับว่าค่อนข้างเหมาะสม” ครั้งนี้ผู้อาวุโสร่างท้วมพยักหน้าเห็นด้วย
“ดีมาก! ถึงแม้ว่าศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณที่มีพลังจิตแข็งแกร่งนั้นจะหาได้ยาก แต่ถ้าตั้งใจหาก็ยังพอจะหาได้สองสามคน ขอแค่ศิษย์น้องไป๋ใช้เคล็ดวิชากระดูกดำทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณได้อย่างราบรื่นล่ะก็ ข้าก็จะเรียนบอกอาจารย์อาเยี่ยนให้หาศิษย์เหล่านี้มาฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำโดยเฉพาะ เช่นนี้แล้วศิษย์น้องเองก็นับว่าได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้กับนิกายเรา” ประมุขนิกายปีศาจตบมือหัวเราะใหญ่
“ท่านคิดจริงๆ หรือว่าแค่หาศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณที่มีพลังจิตแข็งแกร่งเล็กน้อย ก็สามารถอาศัยเคล็ดวิชากระดูกดำก้าวเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณได้แล้ว?” ผู้อาวุโสร่างท้วมได้ยินกลับแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา
“อะไรกัน! หรือว่าคำพูดของศิษย์น้องในก่อนหน้านี้ล้วนเป็นแค่คำหลอกลวง” ประมุขนิกายปีศาจรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา
“มันไม่นับว่าเป็นคำหลอกลวง เพียงแต่พูดเรื่องอันตรายของการทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณน้อยไปหน่อย ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ ถ้าหากว่าล้มเหลวในการทะลวงเข้าสู่อาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ เกรงว่ามีโอกาสครึ่งหนึ่งที่ร่างกายจะระเบิดออกมา อีกอย่างพลังจิตอันแข็งแกร่งของเขาก็ห่างจากที่ท่านคิดไว้มาก ตอนแรกที่ข้าตรวจสอบก็ค้นพบว่าพลังจิตของศิษย์หลานไป๋แข็งแกร่งกว่าศิษย์ทั่วไปมากกว่าหนึ่งเท่า และหลังจากผ่านการฝึกฝนหลายปี ความแตกต่างเหล่านี้นับวันก็ยิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม”
“อะไรนะ! แข็งแกร่งมากกว่าหนึ่งเท่า!” ครั้งนี้ประมุขนิกายปีศาจหลุดปากพูดออกมา
“เฮ่อๆ! ตอนนี้ศิษย์พี่ท่านประมุขเข้าใจที่ข้าพูดเช่นนี้แล้วใช่ไหมล่ะ! ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าตอนที่เขาทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณจะมีโอกาสรอดถึงครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่าถ้าพลังจิตของเขายิ่งแข็งแกร่ง และพลังเวทย์ยิ่งบริสุทธิ์ด้วยล่ะก็ ความหวังที่จะก้าวเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณก็ย่อมมีมากขึ้น” ผู้อาวุโสร่างท้วมหัวเราะกล่าวออกมา
“ข้าเข้าใจแล้ว ดูท่าเคล็ดวิชากระดูกดำของศิษย์น้องชุดนี้คงไม่อาจหาคนมาฝึกฝนได้โดยง่าย คงได้แต่ปิดผนึกรักษาไว้ชั่วคราว รอหาคนที่เหมาะสมได้จริงๆ ค่อยว่ากันอีกที” ประมุขนิกายปีศาจลังเลเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้าด้วยความผิดหวัง
“ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ล่ะก็ ข้าคงจะเรียนอาจารย์ตั้งนานแล้ว ใยต้องปิดบังจนถึงบัดนี้ด้วยเล่า” ผู้อาวุโสร่วมท้วมกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ประมุขนิกายปีศาจก็ได้แต่ยิ้มขมขื่นไม่หยุด
“ใช่สิ! ศิษย์น้องหร่วน เจ้าจะเก็บตัวทะลวงเข้าสู่ระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นกลางจริงๆ หรือ? ข้าคิดว่ามันค่อนข้างจะอันตรายไปหน่อย!” ประมุขนิกายปีศาจนึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามด้วยความเป็นห่วง
“เรื่องนี้ข้าได้พูดกับอาจารย์นานแล้ว ถึงแม้ข้าจะยังมีอายุขัยยี่สิบถึงสามสิบปี แต่หลายปีมานี้ยังคงสามารถรักษาสภาพร่างกายจนถึงจุดสูงสุดไว้ได้ ถ้าผ่านพ้นช่วงนี้ไปแล้ว ต่อให้ข้ามีใจที่จะเสี่ยงอันตรายเพื่อทะลวงเขตแดนต่อไป แต่ก็คงไม่มีพลังแล้ว ขอแค่ข้าทำสำเร็จก็จะมีอายุขัยอีกร้อยกว่าปี ถึงแม้จะมีโอกาสเพียงหนึ่งในสาม แต่ก็เพียงพอที่ข้าจะลองเสี่ยงดู” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อศิษย์น้องตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่พูดอะไรมาก ได้แต่หวังว่าการเก็บตัวฝึกฝนของศิษย์น้องหร่วนจะสำเร็จไปด้วยดี และทะลวงผ่านระดับที่สูงขึ้นไปได้!” ดูเหมือนว่าประมุขนิกายปีศาจจะเห็นถึงการตัดสินใจอันเด็ดขาดของผู้อาวุโสร่างท้วมแล้ว จึงไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อมแต่อย่างใด
เวลาที่เหลือทั้งสองก็พูดคุยกันเรื่องที่ประมุขนิกายปีศาจพาศิษย์แกนนำไปแดนลึกลับกันเล็กน้อย จากนั้นก็รีบกล่าวลา และพากันออกจากป่าไป
เช้าวันที่สอง มีไอดำพวยพุ่งที่ตรงประตูทางเข้านิกาย ในนั้นมีเรือกระดูกยักษ์ขนาดยาวยี่สิบกว่าจั้งอยู่ลำหนึ่ง
ประมุขนิกายปีศาจ ผู้อาวุโสแซ่หวง อาจารย์อาจาง และหลิ่วหมิงกับศิษย์แกนนำทั้งเก้ายืนอยู่บนเรือลำนั้นแล้ว
ภายใต้การสั่งของประมุขนิกายปีศาจ เรือกระดูกสั่นไหวขึ้นมาทันที จากนั้นมันก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้า และเหาะออกไปท่ามกลางไอสีดำพวยพุ่งที่ปกคลุมอยู่
……………………………………….
ตอนที่ 109 อาจารย์ปู่เยี่ยน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตลอดการเดินทาง ประมุขนิกายปีศาจกับนักพรตวัยกลางคน และผู้อาวุโสแซ่หวงต่างก็พูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับแดนลึกลับอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงและศิษย์แกนนำทั้งเก้าก็แยกกันอยู่ตามแต่จุดของเรือกระดูก บ้างก็นั่งทำสมาธิ บ้างก็ฝึกฝน โดยไม่มีการพูดคุยกันเลยแม้แต่น้อย
คิดไปคิดมามันก็เป็นเรื่องปกติ!
ผู้ที่สามารถเข้ามาเป็นศิษย์แกนนำทั้งสิบได้ ย่อมเป็นผู้ที่มีความหยิ่งทะนงสูง และก็ไม่เข้าพวกกับใครง่ายๆ
แต่หลิ่วหมิงเพียงแค่หันศีรษะไปเล็กน้อย ก็เห็นเกาชงที่นั่งขัดสมาธิห่างจากเขาไกลๆ กำลังจ้องมองเขาด้วยสายตาอันเยือกเย็น
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ไม่ได้แสดงอาการแปลกใจแต่อย่างใด แต่ในใจกลับมีจิตสังหารผุดลอยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
แต่หากว่ามีโอกาสจัดการปัญหานี้ได้ในแดนลึกลับ เขาก็คงจะไม่ยอมละทิ้งไปอย่างแน่นอน
เห็นได้ชัดว่าเรือกระดูกลำนี้เป็นอาวุธเหาะจิตวิญญาณที่คุณภาพไม่ด้อยเลย ดูเหมือนว่าระดับความเร็วมันจะเร็วกว่าเรือเหาะหยกจิตวิญญาณที่หลิ่วหมิงเคยนั่ง
ระหว่างที่มันเหาะอยู่ ไอดำที่พวยพุ่งที่กระตุ้นมันอยู่ไม่หยุด พริบตาเดียวก็ทำให้มันเหาะไปได้ไกลถึงร้อยกว่าจั้ง
เจ็ดวันต่อมา เรือกระดูกก็พาพวกเขาเหาะมาอยู่เหนือทะเลสาบที่หลิ่วหมิงเคยมาในตอนนั้น แต่พอมันเหาะไปข้างหน้าอีกสักพักใหญ่ๆ ตำแหน่งเดิมที่เคยมีเกาะสยบมังกรในตอนนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว มันแทนที่ด้วยภูเขาไฟสีขาวเทาที่ผุดขึ้นมาจากก้นทะเลสาบ
ภูเขาไฟลูกนี้โผล่ออกมาจากทะเลสาบแค่ร้อยกว่าจั้ง และมีควันสีดำพุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟอยู่ไม่หยุด ดูราวกับว่ามันสามารถพ่นหินละลายออกมาได้ตลอดเวลา
และบนพื้นผิวทะเลสาบบริเวณปล่องภูเขาไฟ ขี้เถ้าที่พ่นออกมาจากปล่องภูเขาไปก่อนหน้านั้นได้ก่อตัวเป็นหินโสโครกขนาดต่างๆ เล็กสุดมีขนาดไม่เกินจั้งกว่าๆ ใหญ่สุดกลับมีขนาดหลายร้อยจั้งราวกับเป็นเกาะเล็กๆ
บนหินโสโครกขนาดใหญ่สุดสองสามแห่งนั้น มีหอหินสร้งขึ้นแบบง่ายตั้งอยู่ และมีคนบางส่วนเคลื่อนไหวอยู่บนนั้น
เรือกระดูกส่งเสียงดังกระหึ่ม จากนั้นก็ร่อนลงไปยังหินโสโครกแห่งหนึ่ง
ประมุขนิกายปีศาจพาทุกคนลงจากเรือกระดูก
“ประมุขนิกายปีศาจ สหายทุกท่าน พวกท่านมาช้านะ ศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ หอสายธารโลหิต และหุบเขาเก้าช่องของเรามาถึงกันหมดแล้ว เหลือแค่คนของนิกายวาตอัคคีที่ยังมาไม่ถึง” ไอสีเขียวสายหนึ่งลอยขึ้นมาจากหินโสโครกขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณใกล้ๆ หลังจากที่มันสั่นไหวชั่วครู่ก็ลอยมาอยู่เหนือหินโสโครกที่พวกหลิ่วหมิงอยู่ และปรากฏร่างชายชุดเขียวที่มีใบหน้าราวกับหยก และเขาก็กล่าวลงมาด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นสหายเจ้าเฮยหู่จากหุบเขาเก้าช่องนั่นเอง นิกายเราไม่เหมือนหุบเขาเก้าช่องของพวกท่านที่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่มาก ย่อมต้องใช้เวลาในการเดินทางเล็กน้อย ส่วนนิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิต ในเมื่อแดนลึกลับเป็นสิ่งที่พวกเขาค้นพบ พวกเขาจะมาเร็วกว่าพวกข้าสักหน่อยก็เป็นเรื่องธรรมดา” ประมุขนิกายปีศาจสังเกตดูชายชุดเขียวบนอากาศเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้ากล่าวออกมา
“มันก็ถูกของท่าน แท้จริงแล้วนิกายข้าก็มาถึงก่อนนิกายท่านแค่วันเดียวเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ ศิษย์พี่ท่านประมุขของนิกายข้าอยากจะให้สหายทุกท่านมาปรึกษาหารือเกี่ยวกับแดนลึกลับด้วยกัน” เจ้าเฮยหู่กล่าวขึ้นด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง
“เข้าใจแล้ว! รอข้าจัดการกับศิษย์ในนิกายข้าก่อน อีกสักครู่จะพาศิษย์น้องทั้งสองไปเยี่ยมเยียนประมุขนิกายของท่าน” ประมุขนิกายปีศาจย่อมฟังความหมายของอีกฝ่ายออก และรีบตอบรับด้วยสีหน้าที่ดูปกติ
เจ้าเฮยหู่ได้ยินก็ดีใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็กล่าวอย่างนอบน้อมไม่กี่ประโยค แล้วกลายเป็นไอสีเขียวเหาะกลับไปยังหินโสโครกเดิม
ขณะนี้ประมุขนิกายปีศาจให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ สร้างหอหินขึ้นมาหลังหนึ่ง และให้อาจารย์อาจาง ผู้อาวุโสแซ่หวง สร้างผนึกจำกัดง่ายๆ ไว้บริเวณหินโสโครก
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไปทุกอย่างก็เสร็จสรรพ ประมุขนิกายปีศาจกำชับศิษย์ทั้งหลายเล็กน้อย แล้วก็พาอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองเหาะไปยังหินโสโครกที่หุบเขาเก้าช่องอยู่
ศิษย์กว่าครึ่งหนึ่งเจ้าไปนั่งฝึกฝนอยู่ในหอหินที่สร้างขึ้นใหม่ บางส่วนเดินสำรวจบนหินโสโครกอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่มุมหนึ่งภายในหอหิน
ประมุขนิกายปีศาจและอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองไปเกือบครึ่งวัน ตอนที่พวกเขาเหาะมาจากทางด้านหุบเขาเก้าช่องนั้น มีผู้อาวุโสชุดเทามัดมวยผมสามจุกกลับมาด้วย
ผู้อาวุโสท่านนี้ดูหน้าตาธรมมดา แขนทั้งสองมีขนาดใหญ่กว่าปกติ มีถุงหนังสีเขียวอ่อนห้อยอยู่บนเอว กลิ่นไอเขาดูแตกต่างจากคนอื่นเป็นพิเศษ หลังจากที่เขาเดินเข้ามาในหอหินพร้อมกับประมุขนิกายปีศาจ ก็รีบนั่งเก้าอี้ตัวกลางอย่างไม่เกรงใจ
และหลังจากที่ประมุขนิกายปีศาจออกคำสั่ง ศิษย์ทั้งหมดก็รีบมารวมตัวกันตรงกลางหอทันที
“พวกเจ้าโชคดีไม่น้อยที่วันนี้ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอาจารย์อาเยี่ยน ยังไม่รีบทำความเคารพอีก! อาจารย์อาท่านเพิ่งกลับมาจากปากทางเข้าแดนลึกลับ มีคำพูดบางอย่างอยากจะชี้แนะพวกเจ้า” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวกับบรรดาศิษย์โดยไม่ต้องคิด
พอได้ยินเช่นนี้ หยางเฉียนและคนอื่นๆ ต่างก็พอจะเดาได้ทั้งหมด และยังคงรู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็รีบไปคารวะผู้อาวุโสชุดเทา
“ลุกขึ้นเถอะ! พวกเจ้านับว่าเป็นศิษย์ที่โดดเด่นสุดของนิกายปีศาจเรา เดิมทีควรจะได้ฝึกฝนอีกหนึ่งปีแล้วค่อยให้พวกเจ้าเข้าร่วมทดสอบความเป็นความตาย แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแดนลึกลับบังเกิดขึ้น ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่ได้ยินประมุขนิกายปีศาจพูดว่าพลังของพวกเจ้าเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าศิษย์ที่ทำการประลองใหญ่ในหลายครั้งก่อนมาก ถ้าเช่นนี้ล่ะก็ข้าเองก็โล่งใจไปมาก” ผู้อาวุโสชุดเทาพินิจดูหลิ่วหมิงและศิษย์คนอื่นๆ ครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้าแสดงความพึงพอใจออกมา
“อาจารย์อา พวกเขาทั้งสิบเป็นกลุ่มศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในรอบหกสิบปีอย่างแน่นอน ประจวบกับค้นพบแดนลึกลับพอดี ไม่แน่นี่อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้นิกายของเราผงาดขึ้นมา” ประมุขนิกายยืนอยู่ข้างผู้อาวุโสชุดเทา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ข้ากับสหายไม่กี่ท่านได้ใช้วิชาตรวจดูแดนลึกลับแห่งนี้คร่าวๆ แล้ว คาดการณ์ได้เบื้องต้นว่าเป็นแดนลึกลับที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่พบเจอได้น้อยมาก ในนั้นคงจะไม่มีกับดักอะไร ดังนั้นอันตรายก็ลดลงไปมาก มิเช่นนั้นข้าคงจะไม่ยอมเห็นด้วยกับการใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ทดสอบความเป็นความตายหรอก แน่นอนถึงแม้จะเป็นแดนลึกลับที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ก็ย่อมมีอันตรายอยู่ และสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือค้นหาทรัพยากรหายากต่างๆ ในแดนลึกลับแห่งนี้ให้ได้มากที่สุด และใช้ความสามารถกับวิธีการต่างๆ ได้โดยไม่มีข้อจำกัด! เพราะว่าผลประโยชน์ในครั้งนี้มีมากยิ่งนัก ดังนั้นนิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิตได้แอบเป็นพันธมิตรกันแล้ว และเพื่อที่จะรับมือกับเรื่องนี้ นิกายเรากับหุบเขาเก้าช่องก็ได้เจรจาร่วมมือกันเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าร่วมมือก็เป็นเรื่องของความร่วมมือ เมื่อพบกับของดีควรจะทำอย่างไรก็ให้ทำตามนั้น ไม่ต้องสนว่าคู่ต่อสู้เป็นศิษย์นิกายไหน ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ข้าจะรับผิดชอบเอง” อาจารย์ปู่เยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง
“แดนลึกลับตามธรรมชาติ!”
“ช่างดีจริงๆ!”
“ร่วมมือกับหุบเขาเก้าช่อง?”
ความประหลาดใจ ตกใจ ตื่นเต้นและความรู้สึกต่างๆ ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของศิษย์แต่ละคน ทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่คาดไม่ถึง
อาจารย์ปู่เยี่ยนกล่าวต่อราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจในเรื่องเหล่านี้
“แต่พวกเจ้าก็อย่าได้วางใจไป แดนลึกลับตามธรรมชาติอาจมีอันตรายกว่าที่พวกเจ้าคาดคิดไว้มาก เช่นอาจมีปีศาจอสูรอยู่ในนั้น หรืออาจมีบรรยากาศอันเลวร้ายที่ทำให้คนธรรมดาไม่อาจอยู่ในนั้นได้” ประมุขนิกายปีศาจเองก็กล่าวเตือนเช่นกัน
เมื่อศิษย์ทั้งหลายได้ยินเช่นนี้ ก็เริ่มรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา
“ทั้งหมดนี้เป็แค่ปัญหารอง ปัญหาสำคัญคือเจ้ามังกรแดงที่หนีเข้าไปในแดนลึกลับนั้น!” อาจารย์ปู่เยี่ยนพูดประโยคที่ทำให้ทุกคนตกใจขึ้นมา
“อะไรนะ! มังกรแดงตนนั้นหนีเข้าไปในแดนลึกลับแห่งนี้แล้ว? อาจารย์อา ท่านคงไม่ล้อเล่นหรอกนะ ถ้าอย่างนั้นศิษย์แต่ละนิกายที่ส่งเข้าไปข้างในไม่เท่ากับว่าส่งเนื้อเข้าปากเสือหรอกหรือ?” ครั้งนี้อาจารย์อาจางผู้นั้นรีบกล่าวออกมาด้วยท่าทีที่ลนลาน
“ฮึ! เจ้าคิดว่าอาจารย์ปู่จะล้อเล่นเรื่องแบบนี้ได้หรือ! แต่พวกเจ้าวางใจเถอะ มังกรแดงตนนั้นถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ต่อให้หลบหนีเข้าไปในแดนลึกลับได้ ตอนนี้ก็คงจะหายใจแขม่วๆ อยู่ในนั้น คงจะไม่มีแรงกระทำการใดๆ อีก มิเช่นนั้นคงไม่ให้เด็กอย่างพวกเจ้าออกโรงหรอก ผู้อาวุโสอย่างพวกข้าไม่กี่คนก็สามารถเก็บทรัพยากรในนั้นให้หมดเกลี้ยงได้ แล้วถือโอกาสสังหารมังกรร้ายตัวนี้แล้ว จะว่าไปแล้วมังกรแดงตัวนี้ถึงจะเป็นของล้ำค่าที่สุดในแดนลึกลับแห่งนี้” อาจารย์ปู่เยี่ยนทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์หลานมิกล้าคิดเช่นนี้ ขออาจารย์อาอย่าได้เข้าใจผิด!” อาจารย์อาจางเพิ่งจะนึกได้ว่าอาจารย์อาเยี่ยนผู้นี้รักศักดิ์ศรีมาก เขาจึงรีบยิ้มกล่าวขอโทษ
“แต่ว่าก็โชคดีที่เป็นเช่นนี้ มิเช่นนั้นเกรงว่านิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิตคงจะเก็บงำเรื่องแดนลึกลับนี้ไว้โดยไม่บอกกับนิกายอื่น อาจารย์อา จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องดี” ผู้อาวุโสแซ่หวงก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“เรื่องนี้ก็ดูมีเหตุผล แต่จะว่าไปแล้วดูเหมือนว่าเกาะสยบมังกรที่นักพรตสยบมังกรทิ้งไว้แห่งนี้ นิกายเรากับหุบเขาเก้าช่องเป็นผู้ค้นพบก่อน ช่างใช้ไม่ได้จริงๆ เห็นชัดๆ ว่าเป็นคนพบเจอสถานที่นี้ก่อน แต่กลับยอมให้นิกายจันทราสวรรค์กับหอสายธารโลหิตค้นพบทางเข้าแดนลึกลับนี้ได้” ผู้อาวุโสชุดเทากล่าวด้วยสายตามองบน
“ศิษย์น้องจูเองก็ไม่คิดว่ามีทางเข้าแดนลึกลับซ่อนอยู่ในไฟใต้พิภพนี้ อีกอย่างตอนที่มังกรร้ายตนนั้นปรากฏตัวออกมา พวกเขาเองก็หลบเกือบไม่ทัน ไหนเลยจะมีเวลาตรวจสอบบริเวณนี้อย่างละเอียด” ประมุขนิกายปีศาจอธิบายออกมา
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร จูชื่อและเจ้าหนูจงนั้นก็ผิดอยู่ดีที่ยอมให้นิกายอื่นแย่งโอกาสอันดีนี้ไปก่อน รอเสร็จเรื่องนี้แล้วข้าจะตำหนิตักเตือนพวกเขาเอง” อาจารย์ปู่เยี่ยนยังคงกล่าวด้วยดวงตาทั้งคู่ที่ดูถมึงทึง
น้ำเสียงอันรุนแรงเช่นนี้ทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่ได้ยินต่างก็ตกตะลึงจนตาค้าง และประมุขนิกายปีศาจกับอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองก็ได้แต่สบตากันด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ดีที่พวกเขารู้ว่าอาจารย์อาของพวกเขาท่านนี้เป็นคนปากแข็งใจอ่อน มิเช่นนั้นคงจะกลุ้มใจแทนจูชื่อและนักพรตจงไม่น้อย
“ใช่สิอาจารย์เยี่ยน! ตอนนี้ทางเข้าแดนลึกลับเป็นอย่างไรบ้าง จะประคับประคองไว้ได้นานแค่ไหน?” ประมุขนิกายปีศาจถามด้วยความกังวล
“สภาพการณ์ตรงทางเข้าไม่ค่อยดีมากนัก เห็นได้ชัดว่ามังกรแดงตนนั้นรู้ว่าทางเข้านี้เปราะบาง แม้กระทั่งมันอาจจะเข้าออกในนั้นไปมากกว่าหนึ่งครั้ง ดังนั้นการโจมตีในครั้งนั้นทำให้ทางเข้าพังทลายลงมา ที่มันยังมั่นคงอยู่ได้เพราะว่าอาศัยพลังจากผู้อาวุโสอย่างพวกข้าผลัดกันใช้ของล้ำค่าประคองไว้ แต่สถานการณ์เช่นนี้สามารถประคับประคองไว้ได้นานสุดแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น ถ้าหากนับรวมกับแรงสั่นไหวที่ศิษย์แต่ละนิกายเข้าออกไปด้วยล่ะก็ คงจะเหลือเวลาอีกแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น” ในที่สุดอาจารย์ปู่เยี่ยนก็กล่าวด้วยท่าทีจริงจัง
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น