องครักษ์เสื้อแพร 1058-1060

 ตอนที่ 1058 จางเฉิง

Ink Stone_Fantasy

เป็นกองเรือปะทะโจรสลัดจริง แต่ทว่าพวกลูกเรือและเจ้าของเรือในเครือข่ายสามธาราส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกโจรสลัดมาก่อน เรื่องใดบนท้องทะเลล้วนเข้าใจมาก


โจรสลัดเข้าใกล้ปลอมตัวเป็นคนอื่น แต่ทุกคนล้วนตาแหลมคมราวเนตรเพลิงเทพเห้งเจีย จะถูกหลอกได้อย่างไร  ตอนนั้นจึงได้ลากปืนใหญ่ออกมาเตรียมลงมือ


เห็นการป้องกันแน่นหนา อีกฝ่ายไม่กล้าเข้าปะทะ สองฝ่ายเท่ากับแล่นสวนกันบนท้องทะเลไป ต่างจ้องมองกันจากริมเรือ ทุกคนล้วนอยู่บนท้องทะเลกันมานาน คนเสิ่นหวั่งอยู่เทียนจินทำการค้านานปี สองฝ่ายอย่างไรก็พอรู้จักกัน ถูกคนจำได้ว่าเป็นเรือของเสิ่นหวั่ง


เสิ่นหวั่งจากเทียนจินไป แม้ไม่ได้ประกาศ แต่บนท้องทะเลที่ควรรู้ก็ย่อมล้วนรู้ ทุกคนเดิมระมัดระวังกันอยู่แล้ว เห็นเช่นนี้จะไม่เข้าใจว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรได้อย่างไรกัน


จางซื่อเฉียงกับซุนต้าไห่เคร่งเครียดกันทันที หนึ่งส่งคนไปแจ้งกองเรือที่ต่าง ๆ สองรีบม้าเร็วมาแจ้งหวังทง บนท้องทะเลไม่สงบ ร้านประกันภัยต้องเตรียมเงินให้มากพอ ไม่เช่นนั้นหากต้องชดใช้ให้จริง รับมือไม่ทันจะกระทบความน่าเชื่อถือได้


“เสิ่นหวั่งให้หน้ากลับไม่รับจริงๆ!”


หวังทงอดไม่ได้แค่นยิ้มเสียงเย็นกล่าวขึ้นเช่นนี้ในจวน ไม่ว่าอย่างไรใจคิดร้ายก็ไม่เปลี่ยน หากเป็นเมื่อก่อนยังพอทนได้ แต่ตอนนี้เครือข่ายหวังทงบนท้องทะเลล้วนมุ่งไปสู่ทะเลใต้ ไม่อาจมีกำลังพอมารับมือเขา ความสงบชั่วคราวอย่างไรก็ต้องรักษาไว้


“ตอนนี้ไปตามทังซานมา ให้เขานำวาจาไปบอกเสิ่นหวั่ง ข้ากล่าวเช่นนี้ หากบนท้องทะเลไม่ว่าเรือข้าหรือเรือแขวนธงร้านประกันภัยถูกเสิ่นหวั่งแตะต้องแม้เพียงลำเดียว การค้าใดข้าก็ไม่ทำแล้ว จะรวมกำลังบรรดาเจ้าทะเลทำลายเจ้าให้ราบคาบก่อน หากไม่กลัว ก็ลองดู”


วาจาเป็นคำเตือน เป็นคำเตือนสุดท้าย หวังทงปล่อยวาจาออกไป อย่างไรก็ต้องลองดูว่าเสิ่นหวั่งจะคิดผลได้ผลเสียได้หรือไม่  ต่อหน้าหวังทงผู้ได้เปรียบทุกอย่างบนท้องทะเลนี้ ได้หรือเสียย่อมวิเคราะห์ไม่ยาก


ทังซานแม้ว่ามีตำแหน่งขุนนางทางการ แต่สถานะไม่เหมือนกัน มีสายสัมพันธ์กับบนท้องทะเลมากมาย เสิ่นหวั่งแม้ว่าหายตัวไปไร้ร่องรอย แต่อย่างไรก็ย่อมส่งข่าวไปถึงได้ เกิดเหตุปล้นบนท้องทะเลไม่สำเร็จครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ถูกคนลืมเลือนไป


 บนท้องทะเลแสนสงบต่อ ไม่ได้ยินว่าเสิ่นหวั่งทำเรื่องผิดกฎหมายอีกเลย


พวกเขาเหมือนว่ายอมรับชะตากรรมแล้ว ได้แต่ทำใจวิ่งเส้นทางเทียนจินไปประเทศวัว และอีกสองสามเส้นทางที่เมื่อก่อนพวกเขาเคยควบคุมไว้ สงบเสงี่ยมมาก


คดีที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกโจรท้องทะเลจากประเทศวัว ไม่ก็พวกเดนตาย จุดจบล้วนอนาถยิ่ง  เรื่องนี้ไม่ต้องให้พูดมาก


***********


เข้าสู่เดือนแปด คนในจวนเหลียวกั๋วกงล้วนยุ่งกับเทศกาลไหว้พระจันทร์ ยามนี้ ที่พักระหว่างทางไปเมืองหลวงมายังเมืองซงเจียงสร้างเสร็จแล้ว คนและม้าก็มีพอแล้ว  ร้านค้าตามทางกับคนมีอำนาจล้วนทุ่มเทใจใส่ในเรื่องนี้มาก เพื่อถือเป็นโอกาสประจบเอาใจหวังทงเพื่อเปิดทางร่ำรวยให้ตนเอง


วันที่ 5 เดือนแปด ข่าวแรกสำคัญก็มาถึง หัวหน้าสำนักส่วนพระองค์ขันทีจางเฉิงป่วยจากไปที่เทียนจิน


คนตำแหน่งสูงลงจากอำนาจ ความชราก็มักจะมาเยือนอย่างรวดเร็ว เฝิงเป่าเป็นเช่นนี้ จางจิงเป็นเช่นนี้ จางเฉิงก็เป็นเช่นนี้


จากตำแหน่งศูนย์กลางอำนาจไปแล้ว คนเหล่านี้ก็มักแก่ตายอย่างรวดเร็ว จางเฉิงนั้นกล่าวว่าตนเองปล่อยวางได้แล้ว แต่ในใจก็ยังคงรู้สึกสูญเสีย คิดแล้วไม่อาจไม่รู้สึก


จางเฉิงเพิ่งจะก้าวพ้นอายุ 70 ในยุคนี้นับว่าอายุยืนมากแล้ว กลางเดือนเจ็ดสุขภาพยังไม่เลว แต่พอคืนหนึ่ง อยู่ ๆ เป็นหวัด สุขภาพก็ทรุดลงอย่างรวดเร็ว เมืองหลวงถึงกับจะส่งหมอหลวงมา เพิ่งมีราชโองการ จางเฉิงก็ทนไม่ไหวแล้ว


ก่อนจากไป ไช่หนานกับหลี่หู่โถว ยังมีหลานห่างๆ อีกสองคนอยู่ข้างเตียง นับว่าเป็นการส่งจากลูกหลานแล้ว ในจดหมายเนื้อหาไม่มา เอ่ยเพียงจางเฉิงยามไม่ได้สติ สีหน้ายังคงมีรอยยิ้มพึงจากไป


หวังทงกับคนอื่นๆ หลายคนล้วนเคยมีสายสัมพันธ์กับจางเฉิง  หวังทงมีวันนี้ได้ ก็เป็นเพราะจางเฉิงสนับสนุนและช่วยเหลือมา สำหรับหวังทงที่ไร้บิดามารดาแล้ว จางเฉิงก็เหมือนญาติผู้ใหญ่เขาคนหนึ่ง


แต่ไรมาหวังเซี่ยก็เป็นเด็กร่าเริง แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เขาเพียงรู้สึกว่าในจวนเงียบลงไปมาก ความกะทันหันทำให้เด็กน้อยรู้สึกตื่นตกใจ วิ่งไปที่ห้องหนังสือหวังทงก็พบว่าบรรยากาศก็ผิดปกติ เมื่อก่อนเห็นเขา บิดาก็มักมีรอยยิ้ม แต่วันนี้สีหน้าน่าแปลกมาก


หวังเซี่ยแต่ไรไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ บอกไม่ถูกว่าพึงใจหรือไม่พึงใจ แต่ก็เงียบมาก หวังเซี่ยยิ้มแล้วก็รู้สึกกดดัน คิดจะวิ่งออกไป


หวังทงส่ายหน้า เด็กไม่รู้อะไร ไร้กังวล เขาเดินเข้าไปอุ้มหวังเซี่ยขึ้นมา กล่าวว่า


“ลูกเซี่ย ต้องตั้งใจเรียนให้ดี อย่าได้เสียเวลาอนาคตเจ้า เพราะมีคนมากมายช่วยเหลือ  ตระกูลหวังเราจึงได้มีวันนี้ได้ อย่าได้ทำลายเสียเปล่า!”


หวังเซี่ยไม่ค่อยเข้าใจวาจาหวังทง แต่ทว่ากลับรู้ว่าต้องพยักหน้ารับคำ หวังทงเองรู้ว่าบุตรชายยังเล็ก ได้แต่ยิ้ม วิ่งไปอุ้มเด็กน้อยออกไปเดินเล่นในลานด้านหน้า


****************


ไม่รู้เริ่มแต่เมื่อไร ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มออกว่าราชการวันเว้นวัน ขุนนางราชสำนักพูดไม่ออก ถึงกับแอบยอมรับว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้าย  ฮ่องเต้ไม่อยู่  ก็เป็นคณะเสนาบดีใหญ่จัดการงานแผ่นดิน ก็ยิ่งสะดวก แต่ตอนนี้ไม่เหมือนวันวาน พวกเขาจัดการได้ไม่น้อย แต่ใต้หล้านี้เรื่องสำคัญมากกว่าเมื่อก่อนมาก  เปิดท่าการค้า บุกเบิกอาณานิคม การค้านอกผืนทะเล ยังมีระบบทหารหลวง เดิมคณะเสนาบดีใหญ่อาจกระทบต่อระบบงานในวัง แต่ตอนนี้ในวังจัดการไว้ในกำมือได้แล้ว


เรื่องพวกนี้เหมือนเป็นเรื่องเกิดใหม่  ไม่ก็เมื่อก่อนมี แต่ตอนนี้เปลี่ยนไป  ภาษีที่นานับวันยิ่งหด เรื่องพวกนี้กลับนำทรัพย์สินเงินทองกับสินค้ามายิ่งมาก


มีเงิน มีทหาร มีอำนาจ สิ่งใหม่ที่เกิดพัฒนาไปอย่างคึกคัก  ราชวงศ์และในวังทรัพย์สินเงินทองก็ยิ่งมาก อำนาจก็ยิ่งมาก เริ่มคุกคามการดำรงอยู่ของบรรดาขุนนางราชสำนักและคณะเสนาบดีใหญ่


ยิ่งทำให้รู้สึกเสียไม่ได้ก็คือ พวกบัณฑิตจะไปร่วมเพาะปลูกกับเขาด้วย ไม่ร่วมทำการค้าออกทะเลด้วย พยายามไปทำการค้าที่เมืองท่าการค้าด้วย แต่พวกเขาค่อนข้างหัวโบราณ รอเข้าร่วมก็มักสายไปเสียแล้ว ได้แต่รอฟังคำสั่งและทำตามที่พวกพ่อค้าใหญ่สั่ง


หากเป็นการค้าปกติ บรรดาขุนนางบุ๋นคิดจะยื่นมือเข้าไปก็ง่ายมาก พ่อค้าจะเหิมเกริมเพียงใด ก็ยังไม่กล้ากับทางการ อย่างไรก็ต้องยอม ๆ กัน แต่ทุกเรื่องที่เกิดใหม่ตอนนี้ไม่อาจยื่นมือเข้าไปโดยง่าย กองกำลังหู่เวยกับกองกำลังหลวง และฝ่ายใน ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสมดุลตนเข้าไปได้


เมืองหลวงเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายครั้ง สุดท้ายล้วนเป็นทหารหลวงมาจัดการ หัวหน้าที่ก่อเรื่องก็มีจุดจบอนาถ นี่เป็นการสั่งสอนที่เพียงพอแล้ว


 เพราะสถานการณ์เช่นนี้ อำนาจฮ่องเต้ว่านลี่จึงเหมือนกุมไว้ผู้เดียว ทรงไม่ต้องการให้เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องผ่านการประชุมราชสำนักมาตัดสิน มีเวลาได้ผ่อนคลาย ไม่ก็บอกว่า ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเบื่อราชกิจ คิดจะเสพสุข


สายสัมพันธ์จางเฉิงกับฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ธรรมดา กล่าวว่าโอรสสวรรค์ไร้บิดามารดา  ฮ่องเต้หลงชิ่งฮ่องเต้กับไทเฮาฉือเซิ่งยังไม่ได้มีความรักแบบบิดามารดาต่อบุตรให้มากนัก คนที่ดูแลชีวิตประจำวันพระองค์มาก็ล้วนเป็นจางเฉิง ค่อยเติบใหญ่เจริญชันษามา เรียนรู้วัฒนธรรมมา จัดการปัญหาราชกิจมา ทุกสิ่งล้วนเป็นจางเฉิงคอยชี้แนะ ความจริง ฮ่องเต้ว่านลี่มีอันใดไม่เข้าใจ หรือคิดไม่พอใจสิ่งใด ก็มักไปตรัสกับจางเฉิง


เทียบกับฮ่องเต้หลงชิ่งกับไทเฮาฉือเซิ่งแล้ว ระหว่างจางเฉิงกับฮ่องเต้ว่านลี่ มีสายสัมพันธ์ดังบิดาและบุตรอยู่ และเกรงว่ายังลึกซึ้งยิ่ง


ข่าวจางเฉิงป่วยหนักมาถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่รีบทรงให้หมอหลวงที่ดีที่สุดรีบไปเทียนจิน แต่ทว่าพอป่วยก็ราวกับภูเขาล้ม สำนักเครื่องใช้ในวังเฟ้นหาสมุนไพรสูงค่าจากนอกด่านเฟ้นมา หมอหลวงกำลังจะเร่งออกจากเมืองหลวง ข่าวป่วยจากไปก็มาถึง


พอฮ่องเต้ว่านลี่ได้ยิน ก็ยังคงจัดการราชกิจ สั่งการให้โจวอี้ไปจัดการงานศพให้จางเฉิง ในวังมีอันใดประทานให้ได้ ก็ต้องไม่ให้จางเฉิงไม่มี ฮ่องเต้ว่านลี่ยังทรงรักษาพระอารมณ์นิ่งได้ สีพระพักตร์ไม่ได้แสดงอาการอันใด


ตกค่ำก็เสด็จยังตำหนักเฉียนชิงกงเพื่อเสวยพระกระยาหาร มุมโอษฐ์มีเม็ดข้าวติด ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้ ย่อมไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ฮองเฮาเจิ้งเองก็ชินกับการเช็ดให้ฮ่องเต้ว่านลี่ ฮ่องเต้ว่านลี่เสวยต่อ ขยับตะเกียบสองสามที ขันทีและนางกำนัลในห้อง รวมทั้งฮองเฮาเจิ้งก็ต้องตกใจเมื่อมองเห็นฮ่องเต้ว่านลี่หลั่งพระอัสสุชล


เห็นสีหน้าทุกคน ฮ่องเต้ว่านลี่รีบยกพระหัตถ์เช็ดออก ราวกับว่าทรงไม่ได้เช็ดน้ำตา  เช็ดป้ายไปมา ยกชามข้าวเสวยต่อ แต่ก็ยังคงหลั่งพระอัสสุชลไม่หยุด ฮ่องเต้ว่านลี่วางชามลง ก่อนจะยกสองหัตถ์ปิดพระพักตร์ ฮองเฮาเจิ้งมองไปยังทุกคนในห้อง ขันทีกับนางกำนัลพากันถวายบังคมถอยออกไป


ฮ่องเต้ว่านลี่ยกสองหัตถ์ปิดพระพักตร์ ไร้เสียงสะอื้น แต่ไหล่ทั้งสองสั่นเทา ฮองเฮาเจิ้งไม่รู้ทำเช่นไร ไม่รู้ทำอย่างไรดี เวลาไม่นานนัก แต่ทว่าฮองเฮาเจิ้งรู้สึกนานมาก ฮ่องเต้ว่านลี่ยกสองหัตถ์ปิดพระพักตร์ลง ขอบพระเนตรแดงก่ำ  พระอัสสุชลยังคงนองอยู่ เห็นชัดว่าทรงกรรแสงมา แต่สีพระพักตร์ยังคงนิ่ง มองดูท่าทางตกใจของฮองเฮาเจิ้ง ฮ่องเต้ว่านลี่ก้มพระพักตร์ลงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ด ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบพร่า


“จางปั้นปั้นจากไปแล้ว…”


****************


เดือนแปดปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 18   องครักษ์เสื้อแพรม้าเร็วจากเมืองหลวงไปเมืองซงเจียง ราชโองการให้เหลียวกั๋วกงหวังทงไปเทียนจินจัดการงานศพแทนโอรสสวรรค์ เซ่นไหว้จางเฉิง ปลอบใจวิญญาณขุนนางภักดี


ข่าวไม่เป็นความลับ สำหรับจางเฉิงแล้ว นับว่าเป็นเรื่องทรงเกียรติมาก  สำหรับขันทีที่ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้ว โอรสสวรรค์ย่อมไม่ส่งขุนนางคนสำคัญไปจัดการงานศพให้เช่นนี้ การให้เกียรติยศเช่นนี้ ตั้งแต่ปฐมฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หมิงจูหยวนจางมาถึงตอนนี้ ไม่มีผู้ใดเคยได้


สำหรับหวังทงแล้ว ฮ่องเต้ทำเช่นนี้แสดงให้เห็นสถานะเขาอีกครั้ง ว่าการไปเมืองซงเจียงของหวังทงแท้จริงแล้วสูญเสียอำนาจหรือไม่ ครั้งนี้บอกได้ดีที่สุด


แตบรรดาขุนนางบุ๋นไม่พอใจ ในใจพวกเขา ฮ่องเต้ว่านลี่หากจะทรงส่งผู้ใดไป อย่างไรก็ต้องเลือกขุนนางบุ๋นไป คณะเสนาบดีใหญ่กับหกกรมกองไม่มีน้ำหนักพอหรือไรกัน? แน่นอนว่า หากฮ่องเต้ว่านลี่เลือกขุนนางบุ๋นไปจริง คนที่ได้รับเลือกก็ย่อมไม่พอใจ คิดว่าเป็นดูถูก ข้าร่ำเรียนตำราปราชญ์มา ลำบากอ่านตำรามานานปี เป็นชุนนางส่วนกลาง จะไปจัดงานศพให้ขันทีไร้ความเป็นชายได้อย่างไรกัน แต่ไปไม่ไปก็อีกเรื่องหนึ่ง เลือกไม่เลือกก็อีกเรื่องหนึ่ง


บางทีอาจคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยังมีขุนนางยื่นฎีกาว่า โอรสสวรรค์ส่งคนไปจัดงานศพ ไม่ส่งขุนนางบุ๋นไป ไม่เหมาะสม


ฎีกานี้ถูกส่งไปถึงพระหัตถ์ฮ่องเต้ว่านลี่ทันที ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงปาฎีกาทิ้ง ในเรื่องนี้ อย่างไรก็พวกขุนนางก็ค่อนข้างจุดยืนชัดเจน รีบจัดการหาข้อบกพร่องจับผิด จากนั้นใช้การโบย


ว่ากันว่าหลังโดนโบยก็จะเป็นคนมีราคาเพิ่ม จะมีชื่อเสียงทันที แต่ครั้งนี้ไม่โชคดีเช่นนั้น ขุนนางผู้นี้ถูกโบยหน้าหน้าประตูวังแผ่นดินหมิง  นอกประตูวังหมิงเป็นเส้นทางต้องผ่านการเข้าเฝ้า เป็นที่หลายหน่วยงานเข้าออกย่อมได้เห็น ทุกคนล้วนตกใจเมื่อได้เห็นขุนนางถูกโบยตายไปต่อหน้าต่อตา


ต้นเดือนเก้า หวังทงจากเมืองซงเจียงเร่งเดินทางถึงเทียนจิน หวังทงกลับมาเทียนจิน มีความหมายไม่ธรรมดา ทั้งเทียนจินเกิดกระแสยกใหญ่ พวกพ่อค้าใหญ่ที่มีสถานะพอล้วนคิดมาคารวะ ขุนนางท้องที่แน่นอนไม่ต้องพูดถึง แต่ทว่าช่วงเวลานี้ไม่เหมาะจะมาคารวะ เหลียวกั๋วกงครั้งนี้มาปฏิบัติภารกิจ


แต่ทางเมืองซงเจียง ทางลูซอน ล้วนเป็นภูเขาเงินทะเลทองคำ คิด ๆ แล้ว ภาพตอนนี้น่าจะก้าวเกินเทียนจิน ผู้ใดไม่หวั่นไหวกัน ทุกคนล้วนมีเงิน และสนิทกับสายหวังทง อย่างไรก็สะดวก ไม่ไปหวั่นไหวด้วยย่อมเป็นไปไม่ได้


ไม่อาจเอิกเกริก แต่ไม่อาจไม่ไปพบ ผลปรากฏคนสนิทแต่ละสายล้วนถูกส่งมาเฝ้าที่พักหวังทงไว้ รอให้เรื่องจัดการเสร็จ


เริ่มแรก องครักษ์เสื้อแพรเทียนจินถึงกับตกใจ คิดว่ามีการสมคบคิดอันใดกัน ผู้คุ้มกัน เครือข่ายสามธาราพากันมาตรวจสอบ จากนั้นพบว่าตกใจเสียเปล่า


หม่าซานเปียวเร่งมาจากเมืองหลวง โจวอี้เองก็มา สำนักบูรพานายกองพันเซวียจานเยี่ยก็มา เจ้าจินเลี่ยงตอนนี้เพิ่งถึงส่านซี ไม่มีทางมาทัน ขุนพลทหารรอบเทียนจินหลี่หู่โถว หานกังก็มา


โจวอี้เป็นบุตรบุญธรรม ไช่หนานเป็นหลานบุญธรรม พวกเขาสองคนนับเป็นคนสนิทจางเฉิง รับหน้าที่ดูแลต้อนรับแขก แน่นอนว่า ทุกคนออกเงินออกแรง อย่างไรก็เลี่ยงไม่ได้


ร้านสามธาราแทบจะวางงานในมือลง ไม่เครื่องใช้หรือค่าใช้จ่าย หรือกำลังคนก็นำมาใช้งานหมด


****************


ณ ที่พักเดิมหวังทง ตกค่ำไช่หนานก็มาเยือน สองคนทักทายกันเสร็จก็พบว่าไร้วาจาจะเอ่ยต่อ นั่งนิ่ง ใต้แสงตะเกียง จางเฉิงสำหรับพวกเขาสองคนแล้วมีควาสำคัญมาก อยู่ ๆ จากไป ทำให้พวกเขาสองคนรู้สึกไม่ชิน และไม่รู้พูดอย่างไรดี


ผ่านไปนานสักพัก ไช่หนานจึงไดประสานมือน้ำเสียงแหบพร่ากล่าวว่า


“กั๋วกง จางกงกงก่อนจากไปเป็นข้าอยู่ข้างกาย หู่โถวยังให้ออกไป จางกงกงกล่าวกับข้าว่าอย่างไรต้องกล่าวกับท่านเพียงผู้เดียว”


ตอนที่ 1059 เข้าเฝ้า

Ink Stone_Fantasy

กล่าวขึ้นแล้ว ไช่หนานก็สบตาหวังทง หวังทงอึ้งไป เสียงดังว่า


“ถอยออกไป!”


ด้านนอกมีเสียงรับคำ หลังเสียงฝีเท้าไปไกล  มีคนตะโกนบอกจากที่ไกลๆ คนนอกห้องทั้งหมดถูกให้ถอยออกไปไกล ไช่หนานอยู่ข้างกายหวังทง แน่นอนเข้าใจธรรมเนียมนี้


หวังทงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน จางเฉิงก่อนจากไปมีวาจาต้องการกล่าวกับตน ต้องการกล่าวอันใด สายสัมพันธ์สองฝ่ายแม้ว่าชิดใกล้ แต่ในสภาพการณ์นี้ จะกล่าวอันใดกัน เขาคิดไม่ออก


“จางกงกงบอกว่า ท่านสร้างความชอบใหญ่ แต่ความชอบมากไป ยังต้องรู้จักถอยให้เป็น ชีวิตไม่แน่นอน ลูกหลานอย่างไรก็มีอนาคตได้สืบทอดตำแหน่งเว่ยกั๋วกง หากไม่ทำเช่นนี้ ระวังภัยมาถึงตัว!”


“ข้าทำอะไรไปมากมาย กลับ….”


หวังทงเอ่ยขึ้น กล่าวไม่ทันจบก็ไม่กล่าวต่อ สีหน้าแค่นยิ้ม ไช่หนานไม่กล่าวต่อ ความจริงนั้นวาจานี้เป็นจางเฉิงคุยส่วนตัว แต่ไยใช้วาจาเป็นทางการ ความหมายไม่มากนัก วาจานี้หวังทงตอนอยู่เทียนจินมีคนเตือนเช่นนี้แล้ว คิดไม่ถึงจางเฉิงก่อนจากไปยังกล่าวเช่นนี้


นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง หวังทงกระแอมไอเอ่ยขึ้นว่า


“ข้ายกทัพปราบเจี้ยนโจวตะวันออกแล้วก็ไปเมืองซงเจียง ตอนนี้อยู่เมืองซงเจียงก็เพียงแค่ทำการค้ามีกำไรอยู่บ้าง จางกงกงก่อนจากไปกล่าวเช่นนี้ก็เหมือนเป็นการเตือนที่สำคัญยิ่ง หวังทงต้องจดจำให้ขึ้นใจ ที่หวังทงทำตอนนี้ล้วนเป็นไปตามกระบวนการ ยุ่งกับเรื่องพวกนี้ก็เพื่อลูกหลานวันหน้าเท่านั้น!”


ไช่หนานมองหน้าหวังทง แม้เขาเป็นเหลียวกั๋วกง สูงสุดบนแผ่นดินหมิง ชื่อของเขาย่อมมีคนกล่าวถึงมากกว่าสิบปีขึ้นไปจากนี้ แต่หวังทงยังคงเป็นคนหนุ่มอายุไม่ถึง 30 วาจานี้ พูดแล้วเหมือนคนแก่อายุ 70 ใกล้ฝั่ง


ชั่วขณะหนึ่งนั้น ไช่หนานเองก็ไม่รู้กล่าวอันใดดี ได้แต่ยิ้มเจื่อน กล่าวว่า


“ไหนเลยแค่นี้….”


หวังทงกลับไม่กล่าวอันใด สองฝ่ายนั่งกันนิ่งเงียบ หวังทงสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ในใจมีความระวังตัวขึ้นอีหลายส่วน วาจาไช่หนานเป็นการลองใจ คำตอบตนกับท่าทีคงต้องรายงานเข้าวัง


****************


การมาเยือนค่ำคืนนี้น่าเบื่อยิ่ง ปกติหวังทงกับไช่หนานสนิทกันมาก มักคุยเรื่องนั่นเรื่องนี่ เรื่องงานราษฎร์งานหลวง คุยกันสนุกสนาน แต่คืนนี้เหมือนว่าไร้วาจาจะสนทนา


ไช่หนานนั่งอยู่สักครู่ก็ขอตัวกลับ กลับไปยังห้องตนเองแล้ว ก็ให้คนรับใช้ออกไป ตนเองไปนั่งนิ่งบนโต๊ะหนังสือ คิดอยู่นาน  เทียนใกล้มอดจึงได้ได้สติ ลังเลครู่หนึ่ง ก็ควักเอากระดาษหนึ่งออกมา บนนั้นมีอักษร อ่านไปมารอบหนึ่ง เหมือนว่าจะจดจำเนื้อหาไว้ให้แม่นมั่น ก่อนจะจ่อกับเทียนเผาทิ้ง


เช้าวันรุ่งขึ้น โจวอี้มาหาถึงที่ เปิดประเด็นถามขึ้นตรงๆ ว่า


“จางกงกงเหลือเพียงวาจาเดียวหรือ?”


ไช่หนานต่อหน้าโจวอี้ไม่กล้าเพิกเฉยรอช้า รีบเขามานอบน้อม


“จางกงกงทูลฝ่าบาทได้รายงานแล้ว ข้าไม่กล้ามีสิ่งใดปิดบัง!”


โจวอี้โบกมือ เอ่ยถามขึ้น


“ไม่ใช่เรื่องนั้น เรื่องที่กล่าวเช่นกันกับเหลียวกั๋วกง ส่วนตัวมีเพียงวาจานี้หรือ?”


เห็นไช่หนานสีหน้าแปรเปลี่ยน โจวอี้ส่ายหน้าอธิบายว่า


“เหลียวกั๋วกงพูดเอง เจ้าอย่าได้คิดมาก จางกงกงทำงานแต่ไร้ไม่เคยมีช่องโหว่ ส่วนตัวสั่งไว้แค่วาจานี้หรือ?”


“บิดาบุญธรรม แค่วาจานี้เท่านั้น”


ได้ยินไช่หนานตอบ โจวอี้ยังรู้สึกน่าแปลก ส่ายหน้าพึมพำกับตนเอง เหมือนถามตัวเอง ยังเหมือนถามไช่หนาน เบาๆ ว่า


“ตามนิสัยบิดาบุญธรรม ไม่ควรเป็นเช่นนี้!”


ไช่หนานยืนนอบน้อมเงียบ โจวอี้รับใช้จางเฉิงมานานหลายปี การทำงานของจางเฉิงย่อมเข้าใจมาก ไช่หนานเทียบไม่ได้


*****************


โจวอี้เป็นขันทีสำนักส่วนพระองค์ ไช่หนานสถานะขันทีสำนักอาชาหลวง หวังทงเป็นเหลียวกั๋วกง พวกเขาสามคนมาจัดงานศพให้จางเฉิงที่เทียนจิน ส่งขันทีชรา พิธีนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


หลี่หู่โถว หม่าซานเปียว จางซื่อเฉียง ซุนต้าไห่ กู่จื้อปิน เหรินย่วนพวกคนมีตำแหน่งในเทียนจินล้วนเข้าร่วมงาน


ไม่เพียงแค่พวกเขา ยังมีท่าทีของฮ่องเต้ว่านลี่เช่นนี้ คนในวังกับสำนักขันทีแต่ละแห่งใต้หล้า อย่างไรก็ต้องส่งคนมา ไม่ก็นำสารอาลัยมา เมืองหลวงกับเขตปกครองเหนือ ซานตง ขุนนางใหญ่ทั้งหลายก็ต้องส่งสารอาลัยมา


เห็นพวกเขาเช่นนี้ พ่อค้าใหญ่เมืองหลวงและเทียนจินไม่รอช้า อย่างน้อยต้องส่งคนไป ให้ได้เข้าไปกราบไหว้ศพด้านใน นับว่าเป็นหน้าเป็นตาตนเอง นับว่าได้แสดงน้ำใจแล้ว และยังได้แสดงท่าทีต่อหน้าหวังทง


งานศพยิ่งใหญ่ พิธีก็อลังการ นับว่าให้ใต้หล้าได้เห็นถึงความอาลัยที่ฮ่องเต้ว่านลี่มีต่อจางเฉิง จัดการเรื่องนี้เสร็จ หวังทงรู้สึกว่าตนเองเหนื่อยยิ่งกว่าผ่านสมรภูมิรบมาเสียอีก


เขาอยู่เทียนจินเกือบสิบปี แน่นอนไม่ใช่ไม่คุ้นเคยพื้นที่ ที่นี่แน่นอนได้พักผ่อนเพียงพอ แต่ทว่ากลับไม่อาจพักผ่อน ปลายเดือนเก้าเสร็จพิธีศพ ตามคำสั่งเสียจางเฉิง ให้ฝังที่เขาลูกหนึ่งในเทียนจิน จากนั้นหวังทงเร่งเดินทางไปเมืองหลวง เพราะฮ่องเต้ว่านลี่รอพบเขา


โอรสสวรรค์คิดพบหวังทง และยังเป็นการเร่งด่วน  ใต้หล้ายอมรับอีกครั้งว่าเหลียวกั๋วกงเป็นที่โปรดปรานยิ่ง  ยังคาดคะเนไปต่างๆ นานา


 ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ออกว่าราชการหลายวันแล้ว แต่เรียกพบหวังทงในการประชุมขุนนาง หลังเลิกประชุมขุนนางก็ยังพระราชทานเลี้ยงในวัง นี่เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ ขุนนางคณะเสนาบดีใหญ่สบตากันส่ายหน้า ทำอะไรไม่ได้


ฮ่องเต้และขุนนางพบหน้ากัน เดิมทีควรเป็นดังเพื่อนเก่าได้พบกัน แต่เพิ่งจะเสร็จจากงานศพ ทำให้สองคนจิตใจยังคงหดหู่มาก ฮ่องเต้ว่านลี่เองไม่รู้ว่าจะตรัสอันใด นิ่งไปนานก่อนจะถอนหายใจตรัสว่า


“น่าให้เสี่ยวเลี่ยงไปเทียนจิน จางปั้นปั้นเห็นเขาเหมือนลูกหลาน คิดไม่ถึงก่อนจากไปจะไม่ได้พบหน้า”


“ฝ่าบาททรงเข้าใจจิตใจจางกงกงเช่นนี้ จางกงกงในปรภพย่อมซาบซึ้งพระทัย”


หวังทงตอบไปตามมารยาท ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายพระพักตร์ คว้าเอาจอกทรงสูงดื่มเหล้าองุ่นไปคำหนึ่ง ตอนนี้ในวังของกินของใช้ล้วนเรียกได้ว่าไม่ธรรมดา  ระยะนี้สินค้าตะวันตกและประเทศต่างๆ มาจากเทียนจิน ไม่ว่ามีอันใดแปลกใหม่ ก็ล้วนซื้อหาเข้าวังมาโดยขันที หากโอรสสวรรค์พอพระทัย ครั้งหน้ายังจะส่งใบสั่งไปอีก จากนั้นก็มีชนชั้นสูงเมืองหลวงตามกระแสทันที เทียนจินตอนนี้ทำการค้าพวกนี้โดยเฉพาะ ได้กำไรมากมายมหาศาล


“เจ้าตอนนี้มีลูกสาวสองลูกชายหนึ่ง ไม่เลวๆ แต่ยังสู้เราไม่ได้ เรามีลูกชายสามลูกสาวเจ็ดแล้ว เรามักจะพาไปเดินเล่นที่ถนนทักษิณ พาพวกเขาไปกินเนื้อน้ำแดง เด็กๆ ยิ่งกินยิ่งอ้วน ตอนนี้เราเลยนำพวกเขาออกกำลังกายด้วย”


ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัส บรรยากาศผ่อนคลาย ตรัสไปๆ หวังทงก็ยังนิ่ง ฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มหมดอารมณ์ แกว่งจอกเงินในพระหัตถ์ไปมา พึมพำตรัสว่า


“ตอนนั้นเสด็จแม่และท่านจางให้เราประหยัด คิดกินเนื้อให้สะใจก็ทำไม่ได้ เป็นจางปั้นปั้นพาเราออกจากวังไปกิน และก็เป็นเจ้าที่เปิดหอเลิศรส…เรา….”


พูดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจ แกว่งจอกเหล้าต่อ เหล้าในนั้นล้วนกระฉอกออกมาแล้ว ดูเหมือนว่าไม่รู้พระองค์ หวังทงยามนี้รู้สึกว่าลำคอเริ่มตีบตัน  นั่งนิ่งไม่รู้กล่าวอันใดดี  นี่นับเป็นความทรงจำวัยเด็ก  ตอนนั้นทุกคนยังไม่มีความคิดระแวง


แต่อารมณ์หวังทงกลับเป็นปกติรวดเร็ว  เขาสังเกตคำว่า ‘เสด็จแม่’ กับ ‘ท่านจาง’ คำนี้ หวังทงยังจำได้ว่าตนเองตอนยังไม่จากเมืองหลวงลงใต้  ฮ่องเต้ตรัสถึงสองคนนี้ ล้วนเรียกว่า ‘ไทเฮา’ กับ ‘จางจวีเจิ้ง’ เหมือนเป็นสองคนที่ไม่อยากทรงเกี่ยวข้องด้วย ตอนนี้สุรเสียงเปลี่ยนไปแล้ว


คนเราอารมณ์เวลาหนึ่งเป็นแบบหนึ่ง ผ่านเวลานานไปก็เปลี่ยนไป ผ่านอะไรมามาก ความรู้สึกเดิมก็ย่อมแปรเปลี่ยน


หวังทงนั่งลังเลครู่หนึ่ง ก็ลุกขึ้นมา คุกเข่าถวายคำนับทูลว่า


“ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องทูลขอ ขอฝ่าบาททรงอนุญาต”


ฮ่องเต้ว่านลี่หยุดแกว่งจอกเหล้าในพระหัตถ์ จิบไปคำหนึ่งก่อนจะแย้มสรวลตรัสถามว่า


“เมืองซงเจียงอยู่ไม่สบาย คิดจะกลับมาหรือ?”


หวังทงคุกเข่าอยู่ ไม่ได้เห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ เขากล่าวเพียงว่า


“ฝ่าบาท ไทเฮาฉือเซิ่งตอนนี้ยังอยู่นอกวัง ฝ่าบาททรงดีกับจางกงกงเช่นนี้ ไทเฮาฉือเซิ่งคิดแล้วก็น่าจะทรงอุ่นพระทัย”


วาจานี้ไม่ต่อเนื่องกัน และยังมีความขัดแย้ง ฮ่องเต้ว่านลี่วางจอกเงินในพระหัตถ์ลงบนโต๊ะ ตกลงในภวังค์ความคิด ทรงเงียบไปนานสักพัก ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงยืนขึ้น เข้าไปประคองหวังทงลุกขึ้น มองสีหน้านิ่งสงบของหวังทง พยักพระพักตร์ตรัสว่า


“เจ้าเป็นขุนนางภักดี เจ้าเป็นขุนนางภักดีจริง!”


ตอนนี้อำนาจอยู่ในมือฮ่องเต้ว่านลี่ผู้เดียวแล้ว ขุนนางบุ๋นและชนชั้นสูงอื่นไม่อาจมาสมดุลอำนาจได้แล้ว ไทเฮาฉือเซิ่งไม่มีอิทธิพลมากในวังนอกวังอีกแล้ว ครั้งนี้จางเฉิงจากไป ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงเสียพระทัยมาก ส่งคนไปจัดการงานศพ ไม่มีอันใดผิดพลาด แม้แต่บ่าวยังได้รับความสำคัญเช่นนี้  มารดาตนยังอยู่บ้านท่านน้าอยู่ เป็นเรื่องที่ทำให้คนปากมากได้


จางเฉิงอายุมากแล้ว ต้องลมเป็นหวัดจากไป  ไทเฮาฉือเซิ่งพลานามัยไม่ดีนัก หากสิ้นพระชนม์นอกวังไป คุณธรรมฮ่องเต้ว่านลี่ก็จะเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ให้ยุ่งยากมาก แต่ฮ่องเต้ว่านลี่แต่ไรไม่เคยมีท่าทีในเรื่องนี้ก็มีสาเหตุ การตัดสินใจยังคงเป็นพระองค์ เก็บคืนดำรัสยุ่งยากอยู่บ้าง เพราะทรงกุมอำนาจไว้มั่นผู้เดียว ไม่ก็มีขุนนางถูกโบยตายไปก่อนหน้าก็ได้ ทำให้ผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยถึง


พูดให้ถูกก็คือฮ่องเต้ว่านลี่ตอนนี้ต้องการบันไดลง ต้องการให้มีใครเอ่ยขึ้น หวังทงมองทะลุเรื่องนี้  ฮ่องเต้ว่านลี่แน่นอนทำตาม ย่อมไม่ใช่เพราะขุนนางคนโปรดทูลจึงได้กระทำ อย่างไรก็ต้องให้ขุนนางบุ๋นหารือกันอีก ต้องไปตามกระบวนการขั้นตอนให้จบ”


“เจ้าไม่อยู่เมืองหลวง เรามีเรื่องก็ไม่มีคนให้คำปรึกษา ไม่มีคนคุยเรื่องการแผ่นดินกับเรา น่าเบื่อมาก รอเจ้าจัดการเมืองซงเจียงเปิดท่าการค้าเสร็จก่อน กลับมาเมืองหลวงละกัน เราได้จะได้ร่วมกันหารือการงาน”


หลังเสนอขึ้นแล้ว ท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่ก็ใกล้ชิดกับหวังทงอีกไม่น้อย ก่อนหน้าแน่นอนไม่ใกล้ชิด สามารถมารับพระราชทานเลี้ยงในวังได้  คุยกันส่วนตัวได้ ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสายสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่หวังทงหลังเสนอความเห็น ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย


บางทีความเห็นนี้อาจทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่แก้ปัญหาในพระทัยได้ จากนั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เห็นได้ว่าผ่อนคลายลงมาก ก่อนหน้าที่บรรยากาศอึมครึมก็มลายสิ้นไป


“เจ้าไม่อยู่เมืองหลวง ทำให้เราวุ่นวายใจยิ่ง หลายวันก่อน มักมีคนมาบอกเราว่า หู่โถวอำนาจมากไป สายสัมพันธ์กับเทียนจินแน่นแฟ้นไป หู่โถวชาติกำเนินต่ำต้อย  ยากจะรับมือกับเรื่องคุณธรรมใหญ่ เห็นแล้วไม่เข้าใจ ให้เราเลือกคนที่เหมาะสมกว่าไปดำรงตำแหน่ง”


ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่กล่าวเช่นนี้  หวังทงเองก็เผยสีหน้าตกใจ เรื่องนี้หวังทงตอนอยู่เมืองซงเจียงไม่ได้ข่าว ก็แสดงว่าไม่ได้มาทางปกติหรือมาทางเส้นทางทางการ น่าจะเป็นชนชั้นสูง ไม่ก็ในวังกระพือกระแส


“หู่โถวจงรักภักดีต่อฝ่าบาทอย่างยิ่ง หู่โถวแม้ว่าอายุน้อย แต่เป็นผู้ใหญ่ ผ่านอะไรมามาก ทำงานล้วนรอบคอบ เรื่องนี้ขอฝ่าบาทวางพระทัยได้”


เรื่องหลี่หู่โถว หวังทงแน่นอนรู้ว่าควรแสดงท่าทีเช่นไร ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ แต่ทว่าฮ่องเต้ว่านลี่ยังตรัสไม่จบ  วาจอกสุราลงบนโต๊ะ สีพระพักตร์ปรากฏรอยแย้มสรวลฝืนๆ  ตรัสว่า


“เจ้ารู้เป็นผู้ใดฝากคนมาสร้างกระแสเรื่องนี้ไหม? เป็นตระกูลลี่!”


ได้ยินเช่นนี้ หวังทงเหมือนตั้งสติไม่ทัน ตระกูลลี่แน่นอนเป็นตระกูลลี่เทา ลี่เทาเป็นกองกำลังหู่เวยที่มีฝีมือ ไปนั่งตำแหน่งสำคัญอยู่ที่ส่านซี เหตุใดจึงมากล่าวให้ร้ายหลี่หู่โถวลับหลัง


“เราเองรู้ ใครก็ล้วนคิดอยากไปลงหลักเมืองหลวงและเทียนจิน หรือที่อื่นไม่ใช่แผ่นดินหมิง จะว่าไป พวกเขากับเรามีอันใดไม่อาจกล่าว วกไปเลี้ยวมาหาคนมาเอ่ยแทน ไม่สนใจหมด”


ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสอย่างเสียไม่ได้ การกระทำนี้ของลี่เทา ทำให้หวังทงตกใจมาก แต่ก็เข้าใจได้ว่าแท้จริงเขาต้องการสิ่งใด


ลี่เทามีความชอบ แต่ทะเยอทะยาน ตอนนี้โอรสสวรรค์อายุยังน้อย หากได้มาอยู่ใกล้เมืองหลวง  อาศัยเมืองหลวง วังหลวงใกล้หน่อย วันหน้าย่อมได้เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ใหญ่ อีกเรื่อง ตอนนี้ใต้หล้าหากพูดถึงรุ่งเรืองร่ำรวยแล้ว เช่นนั้นที่ใดจะเหนือไปกว่าเมืองหลวงและเทียนจิน ส่านซีทางนั้นลำบากอยู่สักหน่อย


อีกเรื่องหนึ่งคือ หวังทงไปเมืองซงเจียง หลี่หู่โถวกับหวังทงสายสัมพันธ์ใกล้ชิดมาก จะถูกระแวงหรือไม่ ไม่ก็อาจส่งคนมายุ ก็ทำให้เกิดความระแวงได้  ล้วนเป็นไปได้ หากคนกันเองอาจไม่ทำ แต่ลี่เทาเป็นคนประเภทที่สามารถลงมือกระทำเรื่องพวกนี้ได้


แน่นอนเรื่องราวย่อมมี การกระทำของลี่เทาก็แค่คิดอยากให้ตนกับหลี่หู่โถวได้เปลี่ยนตำแหน่งกัน ไม่คิดทำร้ายกันจริง บรรดาหัวหน้ากองกำลัง หลี่หู่โถว ลี่เทา ซุนซิงล้วนมาจากลานฝึกหู่เวย เคยเป็นทหารติดตามฮ่องเต้ว่านลี่ ได้แต่งตั้งไปประจำที่ต่างๆ  ที่ใดดีกว่าที่ใด สถานะสูงหรือต่ำ แน่นอนมีความแตกต่าง ไม่มีหวังทงคุมด้านบน ความขัดแย้งแน่นอนย่อมเกิด


ลี่เทามีตระกูลลี่หนุนหลัง มีที่มาไม่เหมือนขุนพลทหารอื่น


“…เหลวไหลจริง…”


หวังทงเองไม่รู้กล่าวอันใดดี เป็นนานกว่าจะเอ่ยออกมาเช่นนี้


ตอนที่ 1060 ล้วนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว

Ink Stone_Fantasy

ตอนหวังทงอยู่ ทุกคนในกองกำลังหู่เวยล้วนให้เขาเป็นหัวหน้า แม้สถานะหัวหน้ากองไม่เหมือนกัน  แต่ต่อหน้าหวังทงก็ได้แต่รับคำสั่งทำตาม


ตอนนี้กองกำลังหลวงเท่ากับอยู่ภายใต้การสั่งการของโอรสสวรรค์โดยตรง ตั้งแต่หลี่หู่โถวไปจนถึงหานกัง ตำแหน่งระดับขุนนางและสถานะสูงต่ำแตกต่าง แต่สถานะระหว่างกันเรียกว่าเท่าเทียม ระหว่างพวกเขาไม่แตกต่างกัน


หลี่หู่โถวไม่มีครอบครัวหนุนหลัง ไม่มีคนใหญ่คนโตอันใด บิดาหลี่เหวินหย่วนสถานะยังไม่สูงเท่าเขา  เขากับหานกังนับเป็นสายหวังทง ลี่เทากลับเป็นสายขุนพลอันดับหนึ่ง บิดาและพี่ชายล้วนเป็นขุนพลทหารผู้บัญชาการ มีอำนาจไม่ธรรมดา ซุนซิงนั้นค่อนข้างคุ้นเคยดีกับทหารกองกำลังหลวง ส่วนฉีอู่นั้นแม้เป็นทหารติดตามหวังทง แต่เขามีเมืองจี้โจวหนุนหลัง ถานปิงที่ซานซี ก็มีพวกขุนพลตระกูลถาน หลายปีมานี้กลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงกับกลุ่มพ่อค้าซานซีล้วนมีสายสัมพันธ์กับเขาแน่นแฟ้น ให้การสนับสนุนต่างๆ ได้มากมาย


เบื้องหลังเหล่านี้กับสายสัมพันธ์ไม่ใช่ระดับธรรมดา แต่ละหน่วยขยายตัว ขุนพลทหารแต่ละระดับเลื่อนขั้น หัวหน้ากองแต่ละคนอย่างไรก็ต้องส่งเสริมพวกที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับตน


เรื่องนี้เข้าใจได้อยู่ บนสนามรบผู้ใดล้วนหวังให้ลูกน้องเชื่อฟัง บัญชาการแล้วก็สามารถมั่นใจได้


หวังทงเองก็แอบยอมรับการกระทำเช่นนี้ เพราะทหารแกนหลักแต่ละหน่วยล้วนเป็นคนเก่าแก่จากกองกำลังหู่เวย เขาไม่ต้องเป็นห่วงว่าตนเองสั่งการไม่ได้  การปล่อยให้คนพวกนี้ทำอะไรบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี


ในเรื่องนี้ เด็กหนุ่มจากลานฝึกหู่เวยไม่น้อยล้วนเป็นกำลังสำคัญของกองกำลังหู่เวย ลี่เทานำทหารเมืองเซวียนฝู่ แน่นอนย่อมเป็นกำลังเขา ซุนซิงนำกำลังเมืองหลวงเองก็เช่นกัน สองฝ่ายล้วนยกให้ซุนซิงกับลี่เทาเป็นแกนนำ


สองหน่วยของลี่เทากับซุนซิงเป็นกองกำลังหู่เวยหน่วยรบสองและสาม  มีคนเก่าแก่มาก ความสามารถในการรบแบบกองกำลังหู่เวยก็ดีเยี่ยม


ตอนอยู่ลานฝึกหู่เวย ลี่เทากับซุนซิงสายสัมพันธ์ธรรมดา ต่อมามาเป็นคนหวังทงด้วยกัน แม้ใกล้ชิดไม่น้อย แต่ก็นับว่ามีพื้นที่ของตนเอง ตอนสองฝ่ายมีความขัดแย้ง ความใกล้ชิดนี้ก็ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่งไป


อย่าว่าแต่พวกเขาสองคน แม้ว่าเป็นทหารติดตามที่เหลือของหวังทงได้ไปเป็นหัวหน้ากองกำลัง ระหว่างกันก็ย่อมมีความใกล้ชิดและเหินห่างที่ต้องแยกกันให้ดี


หวังทงแน่นอนรู้เรื่องพวกนี้ดี แต่ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่อาจกล่าวกับฮ่องเต้ว่านลี่ได้ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้ด้วยพระองค์เองย่อมดีที่สุด หากไม่แล้วก็ไม่อาจกล่าวอันใดได้ หากมองจากมุมคนนอก ระบบกองกำลังหู่เวยแต่ละหน่วยไม่เป็นหนึ่งกันนัก บางทีฮ่องเต้ว่านลี่อาจต้องการให้เป็นเช่นนี้มากกว่า


ดังนั้นที่หวังทงพูดได้ ก็มีแต่คำว่า ‘เหลวไหล’ เท่านั้น เห็นท่าทางฮ่องเต้ว่านลี่ เรื่องนี้ทรงไม่สังเกตเห็นจริง เพียงแต่เป็นเรื่องสนทนาทั่วไปเท่านั้น


****************


การคุยกันครั้งนี้ก็คุยไปถึงเวลาปิดประตูวังหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่เห็นได้ว่าทรงคุยอย่างออกรส หวังทงไปแล้ว ในวังในราชสำนักไม่มีคนคุยกับพระองค์นานนัก


ในนั้นพูดถึงมหาอำมาตย์เซินสือหังคณะเสนาบดีใหญ่ที่ดำรงตำแหน่งมหาอำมาตย์มาแปดปีแล้ว แม้เซินสือหังไม่พูดไม่จา ไม่ใช่แค่ในราชสำนัก แม้แต่ชีวิตส่วนตนก็ยังเรียบง่าย แต่มหาอำมาตย์อย่างไรก็เป็นมหาอำมาตย์ อยู่ในสถานะนี้ อิทธิพลย่อมขยายออกไป แทรกซึมเข้าไปในหลายด้านอย่างไม่รู้ตัวแล้ว


ตอนนี้ราชสำนักตำแหน่งสำคัญมากมายล้วนเป็นคนของเขา ในท้องที่ก็เป็นศิษย์เซินสือหังครองอำนาจใหญ่ บ่าวในจวนก็เป็นเช่นดังอิ๋วชีในตอนนั้น


ดำรัสฮ่องเต้ว่านลี่แสดงให้เห็นชัดว่า ไม่ทรงคิดให้เซินสือหังครองไปถึงสิบปี ตามความคิดฮ่องเต้ว่านลี่ ตำแหน่งมหาอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่นี้ครองนานไป กุมอำนาจราชสำนักได้ ก็ย่อมเป็นการคุกคามต่อพระราชอำนาจ ตั้งแต่เซี่ยเหยียน เหยียนซง สวีเจี้ย จางจวีเจิ้งล้วนเป็นเช่นนี้ ทรงไม่ยอมให้เซินสือหังมีโอกาสเช่นนี้


แต่ไม่ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นไร หวังทงตอนอยู่เมืองซงเจียงก็เข้าใจแล้วจากข่าวหลายทาง เซินสือหังเองก็คิดจะลาออกจากตำแหน่ง ครองตำแหน่งมหาอำมาตย์คณะเสนาบดีใหญ่นานไป มีจุดจบที่ดีนั้นยาก ตัวอย่างก่อนหน้าล้วนแสดงให้เห็นแล้ว ทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด


หลังเซินสือหัง ผู้ใดควรมารับตำแหน่งมหาอำมาตย์ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องแย่งชิงโต้แย้งกัน คณะเสนาบดีใหญ่มีรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ย มีชื่อเสียงชื่นชมสนับสนุนเพียงพอ  คำวิจารณ์จากขุนนางส่วนกลางล้วนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


เมื่อก่อนฮ่องเต้ว่านลี่เลือกมหาอำมาตย์ ยังต้องมาถามความเห็นหวังทง ตอนนี้ฮ่องเต้ว่านลี่ได้ตัดสินพระทัยด้วยพระองค์เองก่อนแล้ว แค่มาคุยกับหวังทงเป็นเรื่องสนทนาทั่วไปเท่านั้น


ยังเอ่ยถึงเรื่องหนึ่ง  พานจี้ซวิ่นเคยเป็นเสนาบดีกรมโยธา ยามนี้พิมพ์หนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนี้เขียนเกี่ยวกับการจัดการแม่น้ำแยงซีเกียง ชื่อว่า “งานจัดการแม่น้ำแยงซีเกียง”


พานจี้ซวิ่นผู้นี้เป็นหนึ่งในขุนนางใหญ่ที่ตอนนั้นจางซื่อเหวยส่งเสริมมา ล้วนขัดแย้งกับเซินสือหังและหวังทง การโต้แย้งในราชสำนักมีความขัดแย้งไม่น้อย ล้วนเป็นคนผู้นี้ แต่ทว่าคนผู้นี้มีใจคิดจัดการแม่น้ำแยงซีเกียงอยู่มาก เป็นขุนนางสามารถที่หาได้ยาก


สมัยหมิงนี้การจัดการแม่น้ำใช้เงินไม่น้อย ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการก่อสร้างบนลำน้ำแยงซีเกียง ล้วนเป็นงานที่มีเงินทองตกถึงมือมาก แต่ทว่าพานจี้ซวิ่นทำงานมีวินัยมาก ในฐานะเสนาบดี หากกล่าวว่าบ้านยากจนก็ยากจะลวงผู้อื่นได้ แต่ครอบครัวพานจี้ซวิ่นอย่างมากก็เป็นแค่คนพอมีเงินเท่านั้น


ยุคสมัยนี้การจะพิมพ์หนังสือสักเล่ม ใช้เวลาและแรงงานไม่น้อย  เสียเงินทองยิ่งมาก ไม่ใช่ที่พานจี้ซวิ่นจะแบกรับค่าใช้จ่ายไหว หากมีพ่อค้าร่ำรวยใจดีออกเงินพิมพ์หนังสือนี้ให้


ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเป็นบทสนทนาทั่วไป หวังทงเองก็ร่วมวงสนทนาไปด้วย ความจริงนั้นหนังสือพานจี้ซวิ่นเล่มนี้เขียนเมื่อห้าปีก่อน แต่ทว่าเนื้อหามีการปรับเปลี่ยนใหญ่ เหตุใดมีการปรับเปลี่ยนใหญ่ ก็เพราะพานจี้ซวิ่นใช้เส้นทางกรมโยธาได้รับรู้เรื่องราวการก่อสร้างของทางการที่เทียนจิน


ขุนนางกรมโยธาอย่างเหรินย่วนดูแลโรงผลิตอาวุธ ความสามารถในการผลิตและเทคนิคนั้นไม่อาจสู้กับโรงช่างสามธาราได้ แต่ก็ไม่ได้ต่างมากนัก  เพราะเหรินย่วนมักรู้จักเรียนรู้ปรับปรุงอยู่เสมอ นำสิ่งใหม่ๆ จากโรงช่างสามธารามาปรับใช้ในในโรงช่างหลวง


เหรินย่วนแต่ไรไม่เคยหักเงินช่าง ในการทำงานหลวงก็ยังสามารถทำของส่วนตัวได้ ผลตอบแทนได้ดีกว่าที่อื่น บรรดาช่างต่างรู้สึกดี ทำงานกันขยันขันแข็ง


ตามบันทึกกรมโยธา โรงช่างใต้หล้า มีเพียงเทียนจินที่ผลิตอาวุธได้คุณภาพดีสุด ได้มาตรฐานที่สุด แต่ละเมืองชายแดน กองกำลังต่างอยากใช้ของที่ทำจากเทียนจิน ถึงกับยอมจ่ายเงินเพิ่ม ไม่พูดเรื่องอื่น อาวุธกองกำลังหลวงใช้กันกับปืนก็ล้วนเป็นของที่ผลิตจากเทียนจิน


คุณภาพได้มาตรฐานยังเกี่ยวข้องกับปริมาณ เสนาบดีกรมโยธาพานจี้ซวิ่นเข้าใจการทำงานมาก โรงช่างหลวงบนแผ่นดินหมิง ของดีมักผลิตได้ไม่มาก ผลิตได้มากก็มักไม่สนใจคุณภาพ แต่ไม่รู้ว่าเทียนจินเหตุใดจึงทำได้เช่นนี้


อย่างไรก็ต้องส่งคนไปเทียนจินสำรวจเสียหน่อย  ได้ผลสรุปไม่ได้ซับซ้อนอันใด ก็แค่เหรินย่วนสร้างระบบได้ดี แต่ไรไม่หักเงิน ยังมีหน่วยน้ำหนักวัดและหน่วยขนาดความยาวที่มาตรฐานเดียว ยังมีวิธีการแบบตะวันตกอีกไม่น้อย


ของพวกนี้ดูแล้วง่าย แต่ทำนั้นไม่ง่าย  ทำให้พานจี้ซวิ่นเกิดแรงบันดาลใจ งานก่อสร้างบนแม่น้ำแยงซีเกียวสามารถทำได้เช่นกัน


เพราะได้รับการจุดประกายนี้ พานจี้ซวิ่นจึงได้เรียบเรียงเป็นหนังสือ เขียนเนื้อหาสำคัญเจ็ดส่วน และยังส่งคนไปเทียนจิน ไปเมืองซงเจียงสอบถามหลายครั้ง อย่างไรข้างกายหวังทงก็มีช่าง ‘แนวใหม่’ พวกนี้มากมายที่สุด สามารถนำประสบการณ์มาให้คำแนะนำได้มาก


แม้ว่าแนวทางการเมืองไม่ลงรอยกัน แต่เรื่องงานกับเทคนิคพวกนี้ หวังทงย่อมให้การสนับสนุน แต่ไรมาก็ให้การส่งเสริมไม่ขัดขวาง ไม่เคยหาเรื่องให้ลำบากใจหรือปฏิเสธใด


ความจริงนั้นหนังสือ ‘งานจัดการแม่น้ำแยงซีเกียง’ ตีพิมพ์ออกมา ก็เกี่ยวพันกับการสนับสนุนของหวังทง แน่นอน หลังจากจากเมืองหลวงไป หวังทงไม่อาจนำเงินส่งมาช่วยเอิกเกริก อย่างไรก็ต้องอาศัยชื่อพ่อค้า  ‘เมืองหลวง’ ออกหน้า


เสียงระฆังและกลองเตือนว่าประตูเมืองจะปิดดังขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่กำลังคุยสนุก แต่หวังทงกลับขอทูลลา ตอนนี้ไม่ใช่วันวาน ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ว่าผิดหวังแต่ก็ไม่อาจรั้งไว้


ตอนหวังทงกำลังทูลลา ฮ่องเต้ว่านลี่เงียบไปครู่หนึ่งกล่าวว่า


“ให้เจ้าไปเมืองซงเจียงจัดการเรื่องเปิดท่าการค้า เจ้าจัดการได้ไม่เลว รอให้ทุกอย่างเป็นรูปร่าง มีธรรมเนียมแล้ว เราจะส่งคนในวังที่ไว้ใจได้ไปจับตา เจ้าก็กลับมาได้แล้ว เราสองมาอยู่เมืองหลวงสร้างชื่อให้จารึกในประวัติศาสตร์ดีกว่า เราสองยังอายุน้อย วันเวลายังอีกยาวไกล”


ได้ยินดำรัสนี้แล้ว อย่างไรก็ต้องถวายบังคมขอบพระทัย แต่ทว่าดำรัสเหล่านี้แฝงความนัยไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว


****************


หวังทงมีจวนที่เมืองหลวง จวนเดิมล้วนมีคนรับใช้ดูแล อย่างไรเขายังมีกิจการและคนอยู่เมืองหลวง แน่นอนมีบางคนไปป่าวประกาศแทน


กลับถึงเมืองหลวง เข้าเฝ้าโอรสสวรรค์ย่อมเป็นเรื่องที่ควร จากนั้นงานเลี้ยงก็จัดตั้งแต่เดือนสิบไปถึงเดือนสิบเอ็ด ทุกวันล้วนมีคนมาขอเลี้ยง ทุกวันมีแต่ร่วมทานอาหาร


เมื่อก่อนหวังทงเป็นขุนนางโดดเดี่ยว อิทธิพลอำนาจเพียงคนเดียว กับเมืองหลวงอิทธิพลอำนาจแต่ละฝ่ายล้วนมีแต่ความขัดแย้ง ขุนนางระดับสูงและชนชั้นสูงเมืองหลวง ไม่มีความขัดแย้ง ก็หลบคำครหา ล้วนไม่อยากใกล้ชิด


ตอนนี้ไม่เหมือนเดิม หวังทงไปเมืองซงเจียงแล้ว ตอนนี้หวังทงเป็นคนโปรดฮ่องเต้ เป็นดังเทพเงินตราและเทพแห่งโชคในเทียนจิน เมืองซงเจียง เมืองกุยฮว่าเฉิงและนอกด่านล้วน อาศัยโอกาสนี้ ทุกคนใกล้ชิดกับเขา ดูว่ามีโอกาสอันใดอีกบ้าง


หวังทงไม่อาจพบทุกคน แต่ทว่าล้วนตอบไปตามมารยาท ต้องไว้หน้าทุกคนไว้เป็นดี อย่างไรเขาตอนนี้ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว


ไม่รู้เรื่องนี้น่าสนใจหรือว่าไร้ทางเลือก พอหวังทงกลับถึงเมืองหลวง ยังต้องไปทำงานที่สำนักองครักษ์เสื้อแพร อย่างไรเขาก็ยังคงดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพร ที่เมืองซงเจียงยังดี แต่พอกลับถึงเมืองหลวง อย่างไรก็ต้องทำงาน


จัดงานศพจางเฉิง รับพระราชทานเลี้ยงจากโอรสสวรรค์  สองเรื่องนี้แสดงให้เห็นแล้วว่าอำนาจหวังทงเหมือนเก่า สำนักองครักษ์เสื้อแพรไม่กล้าปฏิบัติต่อเขาอย่างไร้มารยาท


แต่การทำงานนี้ก็แค่ไปตามกระบวนการ สองวันต่อมา หวังทงก็ว่าง ข้าวมื้อแรกแน่นอนไปกินที่บ้านนางหม่า


พูดแล้วก็บังเอิญ หม่าซานเปียวแต่งกับบุตรีจางฉุนเต๋อ ตอนนั้นฝ่ายหญิงแต่งมาพร้อมบุตรสาวติดมาด้วย ต่อมาหม่าซานเปียวกับนางมีเอง เกิดหลังหวังเซี่ยบุตรชายคนโตหวังทงได้ราวครึ่งปี เป็นหญิง หวังทงตอนนั้นยังรู้ว่านางหม่าไม่พอใจเรื่องนี้มาก ยังคิดให้หม่าซานเปียวแต่ภรรยาน้อย บุตรคนที่สองเป็นชาย จึงทำให้หญิงตระกูลจางดำรงตำแหน่งสถานะมั่นคงในตระกูลหม่าต่อไปได้


งานเลี้ยงครั้งนี้ นางหม่าคิดอยากพบหวังทง นางอายุมากแล้ว หากยังคิดอยู่เรื่องหนี่ง อยากให้บุตรสาวหม่าซานเปียวได้แต่งกับบุตรชายหวังทง หวังเซี่ย ตระกูลหม่าตอนนั้นจากแม่หม้ายลูกหนึ่งมาถึงตอนนี้เรืองอำนาจวาสนาได้ ล้วนเพราะหวังทง นางหม่าคิดอย่างให้สายสัมพันธ์ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น


ลูกอายุยังน้อยก็จะต้องมีพันธะแต่งงงาน หวังทงรู้นางหม่าตัดสินใจแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกไม่สบายใจนัก ได้แต่ยิ้มกล่าวว่า


“ไม่รีบๆ  รอให้ลูกๆ โตอายุ 10 ขวบก่อน เราค่อยมาวางแผนกันก็ไม่สาย”


นี่ไม่นับว่าปฏิเสธ และยังมีเหตุผล นางหม่ารู้จักหนักเบา ไม่กล่าวอันใดต่อ  ทำให้หม่าซานเปียวลอบถอนใจเฮือก  ใช่ว่าเขาไม่อยากให้บุตรสาวได้แต่กับบุตรชายหวังทง  แต่คิดว่าเด็กอายุยังน้อย เกี่ยวกันไปตอนนี้ย่อมยุ่งยาก


พอไปถึงตระกูลหม่า   รองเจ้ากรมหลี่ว์วั่นไฉกับนายกองพันองครักษ์เสื้อแพรหลี่เหวินหย่วนสำนักรักษาความสงบมาร่วมงานเลี้ยงก็สมควรอยู่


ทุกคนล้วนคนกันเอง ในงานเลี้ยงจึงคุยกันเปิดเผย สถานะหลี่เหวินหย่วนตอนนี้ไม่ควรแสดงความสนิทกับหวังทงมากไป ไม่เพียงเพื่อตัวเขาเอง ยังเพื่อหลี่หู่โถว


วาจาเหล่านี้เป็นหลี่ว์วั่นไฉกล่าว หวังทงรู้สึกเกินไปอยู่บ้าง ทุกคนล้วนรู้หลี่เหวินหย่วนพ่อลูกมีสายสัมพันธ์กับตน ไยต้องทำคิดมากเช่นนี้ แต่หลี่ว์วั่นไฉกล่าวเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจกล่าวอันใดได้ หลี่เหวินหย่วนเป็นคนไม่ค่อยพูดจา แต่ก็รู้ว่าหนักเบาอยู่มาก ดื่มไปหลายแก้วแล้วก็พูดเรื่องตนเองก่อนจะขอตัวจากไป


“กั๋วกง ท้องทะเลกว้างแม้มีที่ทางไร้ขอบเขต แต่ทะเลอย่างไรก็เป็นทะเล ไม่ใช่แผ่นดินหมิง บนแผ่นดินหมิงเป็นกั๋วกง มีบรรดาศักดิ์ เทียบกับหัวหน้าพวกป่าเถื่อนบนท้องทะเลแล้วยังดีกว่ามากหลายเท่า!”


ได้ยินวาจาหลี่ว์วั่นไฉ หวังทงก็เข้าใจว่าทำไมก่อนหน้างานเลี้ยง หลี่ว์วั่นไฉต้องกล่าวกับหลี่เหวินหย่วนเช่นนั้น ที่แท้ก็เพื่อมาคุยเรื่องนี้ส่วนตัวกับตน


หวังทงส่ายหน้ายิ้ม กล่าวว่า


“หัวหน้าท้องทะเลอันใดกัน ทางนั้นยึดมาก็เพื่อทำกำไร ให้เมืองซงเจียงได้ลงใต้ไปอีก อย่างไรก็มีเมืองท่าไว้พัก จะว่าไป ทางนั้นมีเงินทองและของไม่น้อย ไยต้องปล่อยให้พวกต่างชาติตะวันตกยึดครองไปด้วย”


“กั๋วกง เมืองหลวงทางนี้ควรเป็นที่รากฐานของกั๋วกง กั๋วกงวันนั้นทูลขอไปเมืองซงเจียงเอง ก็เพื่อถอยไว้รอรุก เป็นอุบายดี แต่ไปแล้วยังต้องคิดกลับมา ไม่อยู่เมืองหลวง ไม่อยู่ข้างพระวรกาย ช้าเร็วก็ย่อมมีอันตรายมาถึงตัว”


วาจาหลี่ว์วั่นไฉกล่าวไม่ผิด  ฐานอำนาจเป็นเช่นไรนั้น ยังต้องดูท่าทีฮ่องเต้ วาจาหลี่ว์วั่นไฉฟังแล้วปวดใจ แต่ก็เป็นความจริง


“ดูท่าลูซอนเรื่องนี้ ใต้หล้าคงรู้กันหมดแล้ว!”


หวังทงไม่ตอบหลี่ว์วั่นไฉกลับยิ้มกล่าวขึ้น พิชิตลูซอนมีคนรู้ไม่เป็นไร ขอเพียงไม่ได้มีข้อพิสูจน์ว่าตนเองไปร่วมวงก็พอ


ได้ยินหวังทงกล่าวไม่กระจ่างในเรื่องนี้ หลี่ว์วั่นไฉเคาะพัดจีบกับฝ่ามือ ไม่ว่าพูดอย่างไร หลี่ว์วั่นไฉอย่างไรก็ยังรอคำตอบ ไม่อาจไม่ตอบ หวังทงนิ่งไปก่อนจะเอ่ยขึ้น


“ไม่รีบ ยังไม่ถึงเวลา”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)