พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1057-1062
บทที่ 1057 ชิงตัวบนถนน
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อได้คำตอบจากเขาแล้ว เป่าเหลียนก็ดีใจมาก ออกไปตอบอวี้หลิงเจินเหรินแล้ว ทว่าเพิ่งจะออกไปได้ไม่นานก็กลับมาอีก มาแจ้งเหมียวอี้ว่ามีแขกมาหา บรรดาผู้จัดการจากร้านใหญ่ๆ ของเขตเมืองตะวันออกมาแสดงความยินดี
เหมียวอี้ถือระฆังดาราไว้ในมือ เพิ่งจะมาถึงอวิ๋นจือชิวก็ส่งข้อความมา ถามว่าเมื่อไรเขาจะไปที่นั่น
เดิมทีเขาคิดว่าจะไปที่นั่นทันที แต่ดูจากสภาพการณ์แล้วเกรงว่าจะยังไปไม่ได้ ผู้จัดการร้านร้านค้าใหญ่ๆ ที่สามารถมาแสดงความยินดีได้ก่อนใครล้วนมีอำนาจหนุนหลัง ไม่สะดวกจะไปล่วงเกินให้ไม่พอใจ ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายก็มาแสดงความยินดี แสดงว่าจะต้องมีของขวัญติดไม้ติดมือมาแน่นอน จึงออกไปพบโดยพุ่งเป้าไปที่ของขวัญ
เขาจึงเกาศีรษะอย่างจนใจพร้อมบอกว่า “เชิญเข้ามา!”
เป่าเหลียนเพิ่งจะเดินออกไป เขาก็ร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าระฆังดาราบอกอวิ๋นจือชิวอีก : ตอนนี้ยังไปไม่ได้ ผู้จัดการของร้านค้าต่างๆ มาหาแล้ว เจ้าจะอาศัยข้ออ้างนี้มาหามั้ย?
อวิ๋นจือชิว : ข้าไม่ไปแล้วกัน เสร็จงานแล้วเจ้าค่อยกลับมา ข้าเรียกสองพี่น้องโอวหยางมาด้วยแล้ว ตอนค่ำกินข้าวด้วยกันทั้งครอบครัว
เหมียวอี้ : ตอนค่ำไม่ได้ ผู้การสองบอกว่าต้องจัดงานเลี้ยงที่ตำหนักคุ้มเมือง
อวิ๋นจือชิว : งั้นรอให้เจ้าว่างค่อยมาก็แล้วกัน
ตรงนี้เพิ่งจะติดต่อกันเสร็จ ผู้จัดการของร้านค้าต่างๆ ก็ทยอยกันมาถึงแล้ว การทักทายปราศัยตามมารยาทเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
ส่งแขกกลับไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เพิ่งกลับมาถึงก็งานยุ่งสุดๆ แต่แบบนี้ไม่เป็นอะไรเลย ในเมื่อทำมาหากินที่นี่แล้ว นั่งยังนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ การเข้าสังคมบ้างเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ที่ยุ่งยากก็คือคนที่ไม่อยากเจอที่สุดมาหาอีกแล้ว
เป่าเหลียนมาแจ้งมา “ผู้จัดการร้านหวงฝู่ของร้านค้าสมาคมวีรชนมาขอพบค่ะ”
ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้จักจบจักสิ้นใช่มั้ย? เหมียวอี้ปฏิเสธไปตรงๆ ว่า “ไม่พบ! บอกไปว่าข้ามีธุระ งดรับแขกชั่วคราว ถ้ามีแขกมาอีกให้ไล่ไปพบฝูชิงด้วยเหมือนกัน”
เป่าเหลียนย่อมไปตอบแขกตามคำสั่ง
ด้านนนอกจวนผู้บัญชาการ คนงานหามเกี้ยวที่ได้รับคำตอบเดินกลับมารายงานข้างๆ เกี้ยว
หวงฝู่จวินโหรวที่นั่งอยู่ในเกี้ยวแค้นจนกัดฟันกรอด กัดฟันตอบว่า “กลับ!”
ตอนค่ำ ตำหนักคุ้มเมืองจัดงานเลี้ยงฉลอง เหมียวอี้ สวีถังหรานและมู่หรงซิงหัวมาถึงงานเลี้ยงอย่างตรงเวลา ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ก็พามาด้วย คนอื่นๆ ก็พารองผู้บัญชาการของตัวเองมาด้วยเช่นกัน
แต่เรื่องที่น่าบังเอิญก็คือ พอเข้ามาในสวนดอกไม้ที่ตำหนักหลังของตำหนักคุ้มเมือง แค่มองปราดเดียวเหมียวอี้ก็ได้เห็นคนที่ไม่อยากเห็น หวงฝู่จวินโหรว!
ทำไมไปที่ไหนก็เจอแต่ผู้หญิงคนนี้! ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าผู้การสองหลันเซียง เหมียวอี้ก็บุ่มบ่ามหันหน้าเดินหนีไปแล้ว
แต่หวงฝู่จวินโหรวกำลังยืนคุยอยู่กับหลันเซียง เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาคำนับ หลันเซียงย่อมกล่าวทักทายตามมารยาท หวงฝู่จวินโหรวกลับกล่าวเหมือนอมยิ้มว่า “ผู้บัญชาการหนิว ขอคุยด้วยเป็นการส่วนตัวได้ไหม!”
นางเอ่ยปากต่อหน้าผู้การสองอย่างสง่าผ่าเผย เหมียวอี้แสร้งกล่าวอย่างไม่รู้ไม่ชี้ “มีธุระอะไรที่พูดหน้าผู้การสองไม่ได้ล่ะ มีอะไรก็พูดกันตรงนี้ได้” เขาเองก็อยากจะอาศัยผู้การสองเพื่อหลบเลี่ยงความยุ่งยากเช่นกัน
“อย่าบอกนะว่าผู้บัญชาการหนิวกลัวข้าจะกิน? มีธุระส่วนตัวจะขอคำแนะนำสักหน่อย ไว้หน้าข้าสักครั้งไม่ได้เหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินว่าเป็นธุระส่วนตัว ผู้การสองก็ยิ้มและเป็นฝ่ายหลบเลี่ยงไปเอง “พวกเจ้าคุยกันไปเถอะ!”
รอจนกระทั่งทางซ้ายและขวาไม่มีคนแล้ว เหมียวอี้ก็หน้าเครียดขรึมลงเล็กน้อย แอบถ่ายทอดเสียงถามว่า”หวงฝู่จวินโหรว เจ้าจะเอายังไงกันแน่?”
“คืนนี้ไปหาข้าสิ มีเรื่องจะคุยกับเจ้า” หวงฝู่จวินโหรวกล่าวเสียงเรียบ
“มีเรื่องอะไรก็คุยกันตรงนี้” เหมียวอี้ปฏิเสธอย่างแน่วแน่ เคยได้รับบทเรียนจากผู้หญิงคนนี้มาแล้ว ไปที่นั่นแล้วไม่มีเรื่องดีอะไรหรอก เขาไม่อยากพัวพันอยู่กับนางอย่างคลุมเครือแล้วจริงๆ
หวงฝู่จวินโหรวจ้องมองมาด้วยสายตาเย็นเยียบทันที ถามเสียงเย็นว่า “เจ้าจะไปหรือไม่ไป?”
“ไม่ไป!” เหมียวอี้หันหน้าหนีเตรียมจะเดินออกไป
“เจ้าก็ลองไม่ไปดูสิ เจ้าเชื่อมั้ยว่าข้าจะบอกอวิ๋นจือชิวถึงความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคน ดูซิว่าเจ้ายังจะจีบนางอีกได้ยังไง!” หวงฝู่จวินโหรวขู่ทันที
เหมียวอี้หยุดฝีเท้า หันกลับมามองพร้อมแสยะยิ้ม “เจ้าอย่ามาใช้มุกนี้เลย ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไปก็จะไม่เกิดผลดีอะไรกับเจ้าเหมือนกัน!”
“เจ้าไม่ต้องใช้อุบายนี้มาขู่ข้าหรอก ต่อให้ข้าบอกเรื่องของเจ้ากับข้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ แต่เจ้าคิดว่านางจะกล้านำเรื่องของข้าไปเผยแพร่ซี้ซั้วเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวถาม
ที่นางพูดนั้นไม่ผิด อวิ๋นจือชิวรู้แล้วต้องไม่แพร่ข่าวนี้ซี้ซั้วแน่ และเหมียวอี้ก็ไม่กลัวด้วยว่าถ้าอวิ๋นจือชิวรู้แล้วจะจีบนางติดหรือไม่ เพราะเขาไม่ต้องจีบนาง เดิมทีตำแหน่งฮูหยินภรรยาเอกก็เป็นของนางอยู่แล้ว แต่ประเด็นสำคัญคือเขาไม่กล้าให้อวิ๋นจือชิวรู้
เรื่องบางเรื่องก็เป็นแบบนี้ ถ้านำเรื่องนี้ไปบอกอวิ๋นจือชิวตั้งแต่แรกก็จบแล้ว แต่ประเด็นสำคัญคือเขาหลอกลวงอวิ๋นจือชิวมานานมาก ถ้าให้อวิ๋นจือชิวรู้ว่าเขาหลอกนางมาตลอด เช่นนั้นผลลัพธ์สุดท้ายก็ ‘งดงามเกินไป’ เหมียวอี้ไม่กล้าจินตนาการถึง
“ข้าไม่ตกหลุมพรางนี้หรอก!” เหมียวอี้หันหน้าเตรียมจะเดินออกไปอีกครั้ง
“ได้! นี่เจ้ากดดันข้าเองนะ ข้าไม่เข้าร่วมงานนี้แล้ว ข้าจะไปหาอวิ๋นจือชิวเดี๋ยวนี้เลย!” หวงฝู่จวินโหรวโมโหแล้วเช่นกัน หันหน้าเดินจากไปทันที
“หยุดนะ!” เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงตะโกน สีหน้าค่อนข้างแย่ โดนอีกฝ่ายบีบจุดอ่อนอย่างจริงจังแล้ว เขาพูดเน้นย้ำทีละคำว่า “ตอนนี้ข้ายังหาทางไปเจอเจ้าไม่ได้ รอให้งานเลี้ยงจบข้าค่อยไป!” แบบนี้เท่ากับแสร้งทำเป็นยอมอ่อนข้อ แค่หาบันไดให้ตัวเองลงจากเรื่องนี้เท่านั้น
สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์! หวงฝู่จวินโหรวทังโมโหทั้งอยากขำ ในใจเรียกได้ว่าเกิดความคับแค้นใหม่อีกรอบ การที่สามารถนำเรื่องนี้มาบีบจุดอ่อนอีกฝ่ายได้ ก็แสดงว่าอีกฝ่ายชอบเถ้าแก่เนี้ยคนนั้นจริงๆ จะให้นางทนความรู้สึกได้อย่างไร!
เหมียวอี้ที่กลับเข้ามาหากลุ่มคนรู้สึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก ตอนนี้ถึงได้เข้าใจว่าไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะไปแตะต้องได้ ไปล่วงเกินผู้หญิงพวกนี้ไม่ได้เลย แค้นใจที่ตอนนั้นไม่สามารถควบคุมของที่อยู่ในเป้ากางเกงได้ ตอนนี้โดนเกาะแกะพัวพันไว้แล้ว อยากจะสลัดก็สลัดไม่หลุด ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเกรงว่าสักวันคงจะเกิดเรื่อง
ผ่านอุปสรรคอันตรายมาได้มากมายขนาดนั้น ถ้าจะมาจบเห่บนหนังท้องของผู้หญิงคนเดียว แบบนั้นมันใช่เรื่องเหรอ?
“น้องหนิว เป็นอะไรไป?” มู่หรงซิงหัวเดินมาถึงข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พบว่าเหมียวอี้สีหน้าดูไม่ดี จึงเหลือบมองหวงฝู่จวินโหรวแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “ผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรรึเปล่า?”
เหมียวอี้ถอนหายใจเบาๆ “เรื่องเล็กๆ น่ะ ไม่เป็นไรหรอก!”
จนกระทั่งตอนที่งานเลี้ยงเริ่ม ในสวนดอกไม้ก็มีคนนั่งเต็มโต๊ะ ผู้การสองเป็นเจ้าภาพกล่าวคำปราศัยเล็กน้อย ทุกคนยกจอกสุราทันที ผลัดกันมาดื่มสุราฉลองให้ขุนนางผู้มีคุณูปการทั้งสาม นางรำของหอกลิ่นสวรรค์ที่อยู่บนเวทีก็ร้องระบำเพลงรักแล้วเช่นกัน
เมื่อถึงตอนที่เสวี่ยหลิงหลงขึ้นเวที สวีถังหรานที่ยกจอกสุราขึ้นมาก็เริ่มหรี่ตาเล็กน้อย จิบน้ำสุราช้าๆ จ้องมองเสวี่ยหลิงหลงไม่ละสายตาด้วยแววตาหิวกระหาย มุมปากยกยิ้มเจ้าเล่ห์…
หลังจากงานเลี้ยงเลิก ตอนที่หวงฝู่จวินโหรวเดินผ่านข้างกายเหมียวอี้ ก็แอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “ข้าจะกลับไปรอเจ้าก่อน ถึงแล้วค่อยบอก ข้าจะได้ปิดค่ายกลป้องกัน”
เหมียวอี้กระตุกมุมปากเล็กน้อย นี่นางกำลังจะให้ตนปีนกำแพงกลางดึก
“ผู้บัญชาการ เป็นอะไรไป?” เมื่อเห็นคนแยกย้ายกันแล้ว แต่เหมียวอี้ยังอยู่นอกตำหนักคุ้มเมืองและไม่มีท่าทีว่าจะกลับ อิงอู๋ตี๋จึงเอ่ยถาม
“พวกท่านกลับไปก่อนเลย ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย” เหมียวอี้ตอบ
อิงอู๋ตี๋ไม่ได้ถามอะไรมากอีก กลับไปกับพวกฝูชิงก่อนแล้ว
ส่วนเหมียวอี้ก็หาโรงน้ำชาแห่งหนึ่งที่ตลาดสวรรค์ เช่าห้องเดียวห้องหนึ่ง หลังจากปลอมตัวแล้วก็ทิ้งเหรียญผลึกไว้นิดหน่อย แล้วก็ออกมาข้างนอก
เมื่อมาถึงนอกร้านค้าสมาคมวีรชน ก็ฉวยโอกาสตอนไม่มีใครสังเกตเห็น ปีนกำแพงเข้าไปในชั่วพริบตาเดียว เมื่อเข้ามาที่สวนด้านหลังของร้านค้าสมาคมวีรชน ก็หลบเลี่ยงสายตาของคนในร้านค้าสมาคมวีรชนตามที่หวงฝู่จวินโหรววางแผนไว้ล่วงหน้า วิ่งเข้าไปในตึกแล้ว…
ณ ตำหนักคุ้มเมือง คณะนางรำของหอกลิ่นสวรรค์เก็บของเสร็จเรียบร้อย เมื่อรับค่าตอบแทนกับเงินรางวัลแล้วถึงได้กลับไป
ใครจะคิดว่าพอมาถึงครึ่งทาง จู่ๆ ก็มีคนมาขวางอาชามังกรที่ลากรถม้า ท่านแม่สวีแหวกผ้าม่านรถ ยื่นศีรษะออกมาดูพร้อมถามว่า “เป็นอะไรไป?”
แววตาฉายแววตะลึงงันไปชั่วขณะ พบว่าผู้ช่วยผู้บัญชาการหลี่ฉางแห่งจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกนำกำลังคนมาขวางทาง ท่านแม่สวีรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที ยามปกติไม่มีใครมาขวางทางพวกนางได้ที่ตลาดสวรรค์
“อ้าว! ที่แท้ก็เป็นขุนพลหลี่!” ท่านแม่สวีรีบกระโดดลงจากรถ บิดเอวอันชดช้อยมีเสน่ห์ของหญิงวัยกลายคนเดินเข้าไป เจียดรอยยิ้มออกมาเต็มใบหน้า โบกผ้าเช็ดหน้าในมือพร้อมถามว่า “ขุนพลหลี่ ดึกขนาดนี้ยังมาลาดตระเวนด้วยตัวเองอีก ลำบากท่านแล้วจริงๆ! น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หาที่พักดื่มน้ำชาสักหน่อยเถอะ!” นางยัดแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งใส่มือ
หลี่ฉางยกมือห้าม แล้วเดินไปข้างรถม้า ยื่นมือแหวกผ้าม่านมองเข้าไปข้างในแวบหนึ่ง เมื่อเห็นเสวี่ยหลิงหลงที่เรือนร่างอ้อนแอ้นนั่งนิ่งอยู่ในนั้น ก็เผยรอยยิ้มแปลกๆ ออกมา พอปิดผ้าม่าน ก็หันตัวมาพูดกับท่านแม่สวีว่า “ท่านแม่สวี เมื่อครู่นายท่านผู้บัญชาการได้เห็นดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์ร้องระบำที่ตำหนักคุ้มเมือง รู้สึกติดลมยังไม่หายอยาก เลยตั้งใจให้ข้ามาเชิญเสวี่ยหลิงหลงไปร้องเพลงให้ฟังเป็นการส่วนตัว!”
พูดจบกฌโบกมือเบาๆ มีทหารสวรรค์สองคนกระโดดขึ้นรถม้าทันที ผลักคนขับรถม้าหนึ่งที บังคับให้คนขับรถม้าออกจากขบวน และเลี้ยวไปทางจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก
ท่านแม่สวีร้อนรนทันที รีบไล่ตาม แต่กลับโดนทหารสวรรค์สองแถวที่คุ้มกันรถม้าชี้อาวุธออกมา กดดันจนนางไม่กล้าเข้าใกล้รถม้า
ท่านแม่สวีทำได้เพียงเร่งฝีเท้าตามไปดึงแขนหลี่ฉาง แล้วกล่าวขอความเมตตาว่า “ขุนพลหลี่ ฟ้ามืดแล้ว ไม่สะดวกจะไปรบกวนผู้บัญชาการจริงๆ พรุ่งนี้ได้มั้ย?”
หลี่ฉางที่เดินเอามือไขว้หลังโบกแขนสะบัดนางออกไป แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ไม่รบกวนหรอก ตราบใดที่นายท่านผู้บัญชาการมีอารมณ์สุนทรีก็พอแล้ว”
“งั้นข้าจะจัดนักดนตรีให้ร่วมเดินทางไปด้วย!” ท่านแม่สวีรีบโบกมือเรียกกลุ่มคนข้างหลังที่กำลังมองหน้ากันเลิกลั่ก “ยังมัวเหม่ออะไรกันอีก นายท่านผู้บัญชาการอยากชมการร้องระบำ ยังไม่รีบตามมาอีก!”
“ไม่ต้องแล้ว!” หลี่ฉางตะโกนห้าม “นายท่านผู้บัญชาการอยากฟังเสียงร้องชัดๆ ท่านแม่สวีเชิญกลับไปเถอะ เดี๋ยวจะจ่ายเงินให้ท่านไม่ขาดแน่” พูดจบก็เอียงหน้าส่งสัญญาณ มีคนหลายคนพุ่งเข้ามาทันที ขัดขวางไม่ให้ท่านแม่สวีตามมา
คนที่สัญจรไปมาบนถนนเห็นฉากนี้แล้วไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ต่อให้รู้ก็ไม่กล้ายุ่ง ถ้าทำแบบนั้นแปลว่าเบื่อหน่ายไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว
ขณะที่มองเสวี่ยหลิงหลงที่นั่งอยู่ในนั้นโดนพาตัวไป ท่านแม่สวีก็ร้อนใจจนกระทืบเท้า มันใช่เรื่องเงินเสียที่ไหนกัน นางทำมาหากินอยู่ในแวดวงบันเทิงมานาน มีหรือที่จะดูไม่ออกว่าผู้บัญชาการท่านนั้นอยากจะบังคับขืนใจ คืนนี้วางแผนไว้แล้วว่าจะเด็ดดอกไม้ที่เป็นดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์!
แบบนี้จะทำอย่างไรดี! เสวี่ยหลิงหลงเกี่ยวข้องกับยี่ห้อของหอกลิ่นสวรรค์ ถ้าจะพูดให้ไม่น่าฟังหน่อยก็คือ ถ้าหอกลิ่นสวรรค์ไม่มีเสวี่ยหลิงหลงแล้ว ก็จะตกต่ำกลายเป็นโรงศิลปะระดับสามทันที ถ้าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำการแสดงด้วยราคาสูงลิบลิ่วอีก คนทั้งหอกลิ่นสวรรค์เรียกได้ว่าทำมาหากินโดยฝากความหวังไว้ที่เสวี่ยหลิงหลง
ท่านแม่สวีเองก็ไม่ใช่คนโง่ ก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการสวีถังหรานแห่งเขตเมืองตะวันตกไม่กล้าแตะต้องเสวี่ยหลิงหลง แต่วันนี้จู่ๆ ก็แข็งกร้าวขนาดนี้ ส่งคนมาชิงตัวกลางตลาด ชัดเจนว่ากำลังอาศัยวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ของราชันสวรรค์ เขาสร้างผลงานใหญ่กลับมา ตอนนี้ไม่อยากมีใครไปผิดใจกับขุนนางผู้มีคุณูปการที่ราชันสวรรค์แต่งตั้ง ไม่มีใครอยากทำให้สวีถังกรานไม่พอใจเพียงเพราะคนเต้นกินรำกินคนเดียว ภายใต้อานุภาพที่ยังหลงเหลือจากวาจาของราชันสวรรค์ การนอนกับผู้หญิงเต้นกินรำกินสักคนจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร? ถ้าพูดแบบน่าเกลียดหน่อยก็คือคิดเสียว่านี่เป็นรางวัล เกรงว่าแม้แต่หวงฝู่จวินโหรวก็คงขัดขวางไม่ไหว หรือว่าหวงฝู่จวินโหรวยังจะกล้าดันทุรังบุกเข้าจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก!
…………………………
บทที่ 1058 ใส่ร้ายป้ายสีจริงๆ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถึงอย่างไรหวงฝู่จวินโหรวก็ไม่ใช่คนของทางการ ถ้าบุกเข้าจวนผู้บัญชาการก็จะเป็นการทำผิดกฎสวรรค์ ต่อให้หวงฝู่จวินโหรวจะมีภูมิหลังและเส้นสาย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตั้งตัวเป็นศัตรูกับกฎสวรรค์ ต่อให้เชิญหวงฝู่จวินโหรวมา แต่ถ้าสวีถังหรานตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พบนาง หวงฝู่ก็ไม่มีหนทางเหมือนกัน
มีใครไม่รู้ว่าบ้างว่าเสวี่ยหลิงหลงมีหวงฝู่คุ้มครองอยู่ แต่ที่สวีถังหรานกล้าแตะต้องในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้กังวลฝ่ายหวงฝู่จวินโหรวเลย
แต่ก็ไม่มีทางเลือก ในเวลานี้นอกจากไปขอความช่วยเหลือหวงฝู่จวินโหรว ท่านแม่สวีก็ไม่รู้ว่าจะไปหาใครที่ไหนแล้ว นางเองก็รู้จักผู้การสองที่ตำหนักคุ้มเมืองเช่นกัน แต่นางไปมาหาสู่อยู่ระหว่างขุนนางตำแหน่งสูงพวกนี้มาหลายปี เข้าใจวิธีคิดของพวกนี้ดีเกินไป ก็ยังเป็นอย่างที่บอก ขุนนางผู้มีคุณูปการที่ราชันสวรรค์แต่งตั้งเองอยากจะนอนกับผู้หญิงเต้นกินรำกินสักคน ถึงแม้ผู้การสองจะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่ก็ทำได้เพียงปิดตาข้างเดียว
ทำได้เพียงรักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น ท่านแม่สวีหยิบระฆังดาราออกมา รีบติดต่อกับหวงฝู่จวินโหรว หวังว่านางจะมีทางช่วยเหลือ
และหวงฝู่จวินโหรวในตอนนี้ก็กำลังอยู่ห้วงรักของชายหญิงต่างที่ต่างก็มีใจให้กัน นอกจากบังคับเหมียวอี้ให้มาหา นางยังจะทำอะไรได้อีก เป็นเพราะเกิดความเปลี่ยวเหงาหลังจากได้ลิ้มลองรสชาติอร่อย จึงเฝ้าคอยจะที่จะพลอดรักกับชายคนรัก
ที่จริงเหมียวอี้ถูกนางทำให้กลัวแล้ว เมื่อเจอกับผู้หญิงที่พัวพันไม่เลิกแบบนี้ ไม่ให้กลัวก็คงไม่ได้ ถ้าเขาตัวคนเดียวก็ยังไม่เป็นไร แต่ประเด็นสำคัญคือเขาเป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว
แต่ชายหญิงที่อยู่ในห้องเดียวกันตามลำพังสองต่อสอง ภายใต้การจงใจยั่วยวนของหวงฝู่จวินโหรว กอประกับเรือนร่างและหน้าตาที่เป็นต้นทุน นางมีจุดที่ดึงดูดเหมียวอี้จริงๆ มิหนำซ้ำเหมียวอี้ก็ไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้มาหนึ่งร้อยปี ล่อลวงง่ายๆ ก็อดใจไม่ไหวแล้ว สุดท้ายก็ยังกลิ้งอยู่บนเตียงด้วยกัน
พวกเขาอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าทั้งคู่แล้ว ขณะที่ลูกธนูกำลังขึ้นสายเต็มเหนี่ยวและเหมียวอี้กำลังจะควบม้าทะยาน หวงฝู่จวินโหรวที่ถูกส่งข้อความมารบกวนก็โมโหนิดหน่อย ไม่รู้ว่าใครมาทำลายเรื่องดีๆ ของนางแล้ว นางร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูในกำไลเก็บสมบัติ พบว่าท่านแม่สวีส่งข้อความมา
นางเองก็รู้ดี ว่าถ้าไม่มีธุระสำคัญ ท่านแม่สวีก็จะไม่ส่งข่าวมารบกวนนางตอนดึก
นางทำได้เพียงผละออกจากเหมียวอี้อย่างไม่เต็มใจ หลังจากหยิบระฆังดาราขึ้นมาและรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางก็ตกใจมากเช่นกัน
นางเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าสวีถังหรานจะลงมือกับเสวี่ยหลิงหลงในเวลานี้ พอลองใช้สมองคิดดูนิดหน่อย ก็รู้ว่าเจอปัญหายุ่งยากแล้ว เกรงว่าเสวี่ยหลิงหลงจะปกป้องตัวเองไม่ได้แล้ว!
สวีถังหรานกล้าลงมือในเวลานี้ ต่อให้นางไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ยอมให้เข้าจวนผู้บัญชาการไปพบหน้าสวีถังหรานเป็นเรื่องโกหกทั้งนั้น ผลของการละเลยกฎสวรรค์บุกเข้าจวนผู้บัญชาการนั้นร้ายแรงมาก แม้แต่คนที่มีภูมิหลังอย่างเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็ยังต้องเจอบทเรียน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ไม่ได้เป็นขุนนางอย่างนางเลย
ถ้ารอให้สวีถังหรานจัดการเสวี่ยหลิงหลงจนข้าวสวยกลายเป็นข้าวสุกไปแล้ว ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะพูดอะไรก็สายเกินไป สวีถังหรานในตอนนี้สร้างผลงานใหญ่กลับมา หลังจากไม้หลายเป็นเรือแล้ว ต่อให้ไปฟ้องร้องกับใครก็ไร้ประโยชน์ หรือจะให้ผู้บังคับบัญชาของสวีถังหรานถอดสวีถังหรานออกจากตำแหน่งเพื่อผู้หญิงเต้นกินรำกินเพียงคนเดียวล่ะ? นั่นคือเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับความจริง มิหนำซ้ำราชันสวรรค์ก็เพิ่งเอ่ยปากยกย่องเขาไป!
ถ้าหากนอนด้วยกันไปแล้ว อย่างมากถ้าเห็นแก่หน้าหวงฝู่จวินโหรว ก็แค่ให้สวีถังหรานรับผิดชอบเท่านั้น ผลสุดท้ายก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ให้สวีถังหรานแต่งงานรับเสวี่ยหลิงหลงเป็นอนุภรรยา เห็นได้ชัดว่าสอดคล้องกับเจตนาของสวีถังหรานพอดี ช่างเป็นการยกประโยชน์ให้สวีถังหรานไปเปล่าๆ
เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนจากเบื้องบนบังคับให้สวีถังหรานแต่งงานรับนางคริกามาเป็นภรรยาเอก แบบนั้นไม่สอดคล้องกับค่านนิยมในสังคม ที่จริงแล้วนางคณิกาในยุคนี้ก็ไม่ได้สูงส่งกว่าพี่สาวน้องสาวของโสเภณีสักเท่าไร ก็แค่ขายศิลปะแต่ไม่ได้ขายร่างกายเท่านั้นเอง กดดันให้ผู้บัญชาการตำหนักสวรรค์แต่งงานรับผู้หญิงที่เต้นกินรำกินมาเป็นภรรยาเอกมันใช่เรื่องเสียที่ไหน
เรื่องแบบนี้อย่าว่าแต่ผู้บังคับบัญชาของสวีถังหรานที่จะไม่ทำ ต่อให้เป็นผู้หญิงทั้งโลกก็ไม่ตอบตกลงเหมือนกัน ให้นางคณิกาคนหนึ่งมีฐานะสูงกว่าผู้หญิงจากตระกูลดีๆ อย่างนั้นเหรอ ล้อเล่นอะไรกันอยู่ ต่อไปเวลาผู้ชายบ้านตัวเองไปเที่ยวเล่นที่หอโคมเขียวแล้วถูกนางจิ้งจอกที่ไหนยุยงเข้าสักหน่อยจะไม่แย่หรอกเหรอ! เดิมทีผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ไม่ถูกชะตากับนางคณิกาพวกนั้นอยู่แล้ว หวังให้นางคณิกาพวกนั้นทำได้แต่ขายตลอดไป ทั้งชีวิตนี้ไม่อาจพลิกสถานะได้ถึงจะดี อย่าลืมนะว่าดาวเทียนหยวนนี้มีผู้หญิงคุม!
ตอนนี้หวงฝู่จวินโหรวก็ร้อนใจแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรเสวี่ยหลิงหลงก็เป็นเพื่อนสาวที่นางรู้จักมาหลายปี แต่เจ้าคนต่ำทรามสวีถังหรานนั่นดันเลือกลงมือในเวลานี้ ถ้านางรู้จักไปเตือนสวีถังหรานไว้ล่วงหน้าสักหน่อย สวีถังหรานก็คงไม่ถึงขั้นหักหน้านางขนาดนี้
ถ้ารอให้นอนด้วยกันไปแล้ว ถ้าสวีถังหรานแกล้งทำเป็นเลอะเลือน เจ้าก็โวยวายอะไรกับเขาไม่ได้สักนิด ดีไม่ดีต่อไปยังต้องส่งของขวัญราคาแพงให้อนุภรรยาด้วย
พอมีเรื่องรบกวนแบบนี้ นางก็เอาแต่กลุ้มใจอยู่อย่างนั้น ส่วนเหมียวอี้ก็อารมณ์สงบลงแล้ว อยากจะตบปากตัวเองสักที รีบลุกจากเตียงแล้วเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา
หวงฝู่จวินโหรวกำลังเปลือยร่างกายที่ทำให้คนเห็นเลือดลมสูบฉีด นางกำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนและกวาดสายตามองมาแวบหนึ่ง ตอนที่หยุดมองเหมียวอี้นางก็ตาเป็นประกาย หนทางแก้ปัญหากำลังนั่งแก้ผ้าอยู่ข้างๆ ตนแล้วนี่ไง ตอนอยู่ที่งานเลี้ยงนางสังเกตเห็นว่าเวลาสวีถังหรานทำเรื่องต่างๆ จะมองสายตาเหมียวอี้ก่อนตลอด เห็นได้ชัดว่าสวีถังหรานกับมู่หรงซิงหัวยกให้เหมียวอี้เป็นหัวหน้า
นางจึงโผเข้ามาทันที เรือนร่างขาวเด้งเต่งตึงซบอยู่ที่แผ่นหลังของเหมียวอี้ ใช้แขนคล้องคอเหมียวอี้เอาไว้ไม่ยอมปล่อย “เจ้าจะไปไหน?”
“เจ้ามีธุระ ข้าไม่รบกวนแล้วกัน” เหมียวอี้อยากจะฉวยโอกาสหนีออกไป
เหมือนเป็นเนื้อที่มาถึงปากแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ไม่อยากจะปล่อยเขาไป ตอนนี้มีเรื่องขึ้นก็ยิ่งไม่อยากปล่อยเขาไป กอดเขาไว้แน่นพร้อมพูดออดอ้อนว่า “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าเจอปัญหาแล้ว เจ้าช่วยข้าสักครั้งได้มั้ย”
เหมียวอี้วรยุทธ์ไม่สูงเท่านาง ดึงแขนสองข้างของนางอย่างไรก็ดึงไม่ออก จึงกล่าวอย่างจนใจทันทีว่า “ล้อเล่นอะไรของเจ้า ถ้าเจ้าประสบปัญหาจริงๆ ขนาดอาศัยเส้นสายของเจ้าแล้วยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ แล้วข้าจะช่วยอะไรเจ้าได้ล่ะ”
“บางทีเจ้าอาจจะเหมาะสมที่สุดที่จะช่วยเหลือเรื่องนี้”
“อย่ามาล้อเล่น” เหมียวอี้ยังคงดิ้นรนอยากจะหนีไป
หวงฝู่จวินโหรวออกแรงจับเขานอนลง ขึ้นไปนอนหมอบบนตัวเขา พร้อมกล่าวอย่างจริงจังว่า “เสวี่ยหลิงหลงเจอปัญหาแล้ว ตอนเพิ่งออกจากตำหนักคุ้มเมืองเพื่อกลับมา นางโดนสวีถังหรานส่งคนไปดักชิงตัวกลางทาง ถูกชิงตัวไปที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกแล้ว”
เหมียวอี้งงมาก ตอนแรกยังคิดตามไม่ทัน “ชิงตัวนางไปทำไม? พวกเขาไม่ได้มีความค้นต่อกันนี่นา?”
เมื่อเห็นว่าเขาทำท่าเหมือนไม่ได้แกล้งไม่รู้ หวงฝู่ก็ทั้งโมโหทั้งอยากขำ ยามฉลาดคนคนนี้ก็ปราดเปรื่องมาก แต่ความฉลาดทางอารมณ์ต่ำจนน่าสงสาร นางจึงหยิกเขาพร้อมแสยะยิ้ม “ผู้ชายคนหนึ่งชิงตัวผู้หญิงคนหนึ่งกลับไปตอนดึกดื่น เจ้าคิดว่าเขาจะทำอะไรได้อีกล่ะ?”
“…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ ในที่สุดก็เข้าใจกระจ่างแล้ว จึงกล่าวกลั้วหัวเราะทันที “สวีถังหรานตาถึงเหมือนกันนะเนี่ย ความงามของเสวี่ยหลิงหลงนี่ไม่ตองพูดถึงแล้ว ทั้งยังมีความสามารถด้วย”
เขาคิดว่าสวีถังหรานรู้ว่าตัวเองกำลังจะย้ายออกไปพร้อมโค่วเหวินหลาน เนื้อที่ควรจะกินก็ต้องถือโอกาสกัดเข้าปากไว้ก่อน
“เจ้ายังหัวเราะออกอีกเหรอ! เจ้ากับสวีถังหรานต้องมีระฆังดาราไว้ติดต่อกันแน่นอน รีบบอกเขา บอกให้เขาหยุดเดี๋ยวนี้ ถ้าช้ากว่านี้จะไม่ทันแล้ว”
“สายไปแล้วก็สายไปสิ!” เหมียวอี้เอามือผลักนางออก แล้วลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง “ชายยังโสดหญิงยังโสด ทั้งสองต่างก็ยังไม่ได้แต่งงาน อยากทำอะไรก็ทำไปสิ ข้าเป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก จะให้ไปก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกมันก็ฟังไม่ขึ้น อย่างมากก็ให้พี่สวีแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงก็สิ้นเรื่องแล้ว ข้าว่าสวีถังหรานต้องยินดีมากแน่นอน”
“ไม่ได้! ถ้าเสวี่ยหลิงหลงจะต้องแต่งงานจริงๆ นางคงไปเป็นอนุภรรยาของคนระดับหัวหน้าภาคตั้งนานแล้ว จะตกมาถึงมือผู้บัญชาการเล็กๆ คนหนึ่งได้อย่างไร”
“ถ้าเจ้าดูถูกผู้บัญชาการเล็กๆ แล้วเจ้ายังจะมาหาข้าทำไมล่ะ” เหมียวอี้พูดดูถูก แล้วถือโอกาสสะบัดเสื้อผ้าในมือเตรียมจะใส่ ชัดเจนว่าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ช่วยเหลือเรื่องนี้
หวงฝู่จวินโหรวกลับดึงเสื้อผ้าในมือเขาโยนทิ้ง “ถือว่าข้าพูดผิดไปแล้วตกลงมั้ย? ถือเสียว่าช่วยข้าสักครั้ง ตกลงมั้ย?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากจะช่วยเจ้านะ แต่เรื่องนี้ข้าช่วยไม่ได้ ครั้งนี้สวีถังหรานเก็บชีวิตกลับมาจากการทดสอบได้ จะนอนกับผู้หญิงเต้นกินรำกินสักคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่เกินไปหรอกมั้ง? ไม่ได้ไปชิงตัวผู้หญิงจากตระกูลดีๆ อะไรสักหน่อย เดิมทีก็มีไว้ขายอยู่แล้ว สุดท้ายไม่ว่าจะไปกับใครก็ต้องไปเหมือนกัน สวีถังหรานจะผ่อนคลายสักหน่อย ไม่ว่าใครจะห้ามก็ห้ามไม่อยู่หรอก แล้วอีกอย่าง เสวี่ยหลิงหลงคงจะร้องเพลงเลี้ยงชีพไปทั้งชีวิตไม่ได้หรอกมั้ง ถึงอย่างไรสวีถังหรานก็มีฐานะตำแหน่งอยู่บ้าง…ข้าจะแย้มให้เจ้ารู้สักหน่อยก็ได้ สวีถังหรานอาจจะได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่เร็วๆ นี้ ถ้าแต่งงานกับเสวี่ยหลิงหลงแล้ว ก็ไม่นับว่าทำให้นางอับอายหรอก อยู่กับสวีถังหรานก็ได้เงินไม่น้อยกว่าที่นางขายศิลปะเลย ต่อไปนี้ไม่ต้องโผล่หน้าไปประจบเอาใจคนอื่นแล้ว นี่เป็นเรื่องดีนะ! มีอะไรน่าขัดขวาง”
แนวคิดทั่วโลกก็เป็นแบบนี้ เหมียวอี้เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้ย ยามปกติเขาไม่ไปหอโคมเขียวเพราะอะไรล่ะ? เดิมทีก็ดูถูกคนในนั้นอยู่อยู่ เหมือนกับการตัดสินของคนทั่วไป เสวี่ยหลิงหลงมีฐานะสูงกว่าผู้หญิงในหอโคมเขียวพวกนั้นไม่เท่าไร
แล้วอีกอย่าง เขากับเสวี่ยหลิงหลงก็ไม่ได้สนิทอะไรกันเลย เคยเจอหน้ากันหลายครั้ง แต่ไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ ไม่ได้สนิทสนมกัน! ไม่จำเป็นต้องทำลายเรื่องดีๆ ของสวี่ถังหรานเพื่อเสวี่ยหลิงหลงคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ถึงอย่างไรก็เคยผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน เขาไม่ไปช่วยเหลือสวีถังหรานก็นับว่าดีแล้ว จะไปทำให้เสียเรื่องได้อย่างไร
“อย่าพูดสิ่งที่ไร้ประโยชน์พวกนั้น ข้าถามเจ้าคำเดียวว่าช่วยหรือไม่ช่วย?”
“ไม่ช่วย!”
“ได้! งั้นข้าจะให้อวิ๋นจือชิวมาช่วยขอร้องเจ้า” หวงฝู่จวินโหรวโมโหจนหยิบระฆังดาราออกมา
เหมียวอี้ทำสีหน้าไม่ถูก คว้าข้อมือนางเอาไว้ทันที “เจ้าอย่าทำเกินไปนักเลย!”
“เสวี่ยหลิงหลงเป็นเหมือนน้องสาวข้า ถ้าเปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้าจะมองดูน้องสาวตัวเองประสบปัญหาโดยไม่สนใจได้เหรอ? เจ้าจะช่วยหรือไม่ช่วย?” หวงฝู่จวินโหรวถาม
ณ จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก หลังจากรถม้าถูกคุมเข้าไปในประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการ ผู้ช่วยผู้บัญชาการหลี่ฉางก็จัดคนเพิ่มอีกสิบกว่าคนมาเฝ้าประตูใหญ่เอาไว้ พร้อมกำชับเสียงต่ำว่า “นายท่านผู้บัญชาการมีคำสั่ง ถ้ามีใครมาหาก็ไม่ให้พบทั้งนั้น ถ้าใครกล้าปล่อยคนเข้ามาโดยพลการ ระวังหัวตัวเองเอาไว้ด้วย!”
“รับทราย!” กลุ่มทหารเอ่ยรับคำสั่ง แล้วปิดประตูใหญ่ไว้อย่างแน่นหนาทันที
บนบันไดหน้าประตูใหญ่ของจวนขุนนาง สวีถังหรานเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดลำลอง ยืนเอามืไขว้หลัง มองดูรถม้าที่ถูกควบคุมมาพร้อมหรี่ตายิ้ม
หลี่ฉางถลันตัวเข้ามาก่อน แล้วกุมหมัดกล่าวประจบสอพลอ “นายท่าน ข้าน้อยทำภารกิจสำเร็จแล้ว เชิญดาวเด่นของหอกลิ่นสวรรค์มาให้แล้ว”
สวีถังหรานพยักหน้าเบาๆ เมื่อเห็นรถม้าหยุด ก็ตะคอกว่า “เฉยชาได้อย่างไร ยังไม่รีบเชิญมาอีก!”
หลี่ฉางถลันตัวไปข้างรถม้าทันที เปิดผ้าม่านออก พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นางเสวี่ย นายท่านผู้บัญชาการเชิญ!”
เสวี่ยหลิงหลงไม่ใช่คนโง่ เดาออกแล้วว่ามีเรื่องอะไรกำลังรอตัวเองอยู่ ประสานสองมือที่สั่นเทิ้มไว้ด้วยกัน กัดริมฝีปากแน่น แล้วสุดท้ายก็แข็งใจมุดออกมาจากรถม้า เดินมาคำนับตรงตีนบันได ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คำนับนายท่านผู้บัญชาการ!”
“ไม่ต้องมากพิธี!” สวีถังหรานถลันตัวมาตรงหน้านาง ยื่นสองมือจะไปประคองด้วยตัวเอง
เสวี่ยหลิงหลงกลับรีบถอยหลังก้าวหนึ่ง หลบเงื้อมมือมารของใครบางคน นางหวังเพียงถ่วงเวลาต่อไปให้ได้มากที่สุด หวังว่าคนที่ช่วยเหลือนางจะมา นางฝากความหวังนี้ไว้ที่ตัวหวงฝู่จวินโหรวที่นางนับถือเป็นพี่สาว
เมื่อแตะต้องไม่ได้ สวีถังหรานก็กวาดมองดวงหน้างามล่มเมืองของนางแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่เก็บมาใส่ใจ หัวเราะเบาๆ แล้วเบี่ยงตัวยื่นมือเชิญ “เชิญด้านใน!”
เสวี่ยหลิงหลงไม่กล้าไม่ไว้หน้าเขา ร่างที่สวมชุดกระโปรงขาวเดินตามหลังเขาไปอย่างช้าๆ เขาไปในจวนขุนนางแล้ว
สวีถังหรานเองก็กลัวว่าเวลายิ่งยาวนาน อุปสรรคก็ยิ่งมีมาก ต้องฉวยโอกาสกินเข้าปากตัวเองก่อนถึงจะนับว่าเป็นของตัวเอง นำเสวี่ยหลิงหลงเดินผ่านลานบ้านที่งามประณีตมาเสียเลย มุ่งตรงมายังห้องนอนของตัวเอง
พอเดินมาถึงหน้าห้องนอน เสวี่ยหลิงหลงก็ไม่กล้าเดินเข้าไปแล้ว นางหยุดเดินพร้อมบอกว่า “นายท่านจะฟังเพลงไม่ใช่เหรอคะ? ในลานบ้านนี้สภาพแวดล้อมไม่เลวเลย”
“อ้อ! ร้องเพลงในห้องก็เหมือนกันนั่นแหละ” สวีถังหรานขี้คร้านจะเสแสร้งต่อไป พอหันตัวกลับมาก็ต้องการจะจับมือนาง
เสวี่ยหลิงหลงพลันถอยหลังหลบ ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่ง พร้อมกล่าวปฏิเสธว่า “นายท่าน ผู้น้อยขายศิลปะไม่ได้ขายตัว!”
สวีถังหรานหัวเราะเบาๆ เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว “แม่นางมีหน้าตางดงามล่มเมือง ผู้บัญชาการคนนี้จะตัดใจให้เจ้าไปขายตัวได้อย่างไร เจ้าไม่ต้องห่วง ถ้าผ่านคืนนี้ไปแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องไปเผยโฉมในที่สาธารณะอีก มาเป็นอนุภรรยาของข้าเถอะ ข้าไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบแน่” พูดจบ ก็จะเข้าไปจับมือนางอีก
“นายท่านกรุณาสำรวมด้วย!” เสวี่ยหลิงหลงถอยหลังอีกครั้ง
สวีถังหรานสีหน้าดำมืดแล้ว “ถ้ากดดันจนผู้บัญชาการคนนี้ใช้ไม้แข็งก็จะไม่สนุกแล้ว มาถึงที่นี่แล้วเจ้ายังจะหนีพ้นอีกเหรอ?” เขายื่นมือไปอีกครั้ง
ชวิ้ง! เสวี่ยหลิงหลงพลันหยิบมีดสั้นออกมา จ่ออยู่บนคอตัวเอง พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าโศก “ผู้บัญชาการใหญ่ได้โปรดปล่อยผู้น้อยไป ไม่อย่างนั้นผู้น้อยยอมตายดีกว่า!”
“เฮอะ! สุราคำนับมิยอมดื่ม ต้องดื่มสุราทัณฑ์ ถ้าอยากตายก็ง่ายมาก ผู้บัญชาการคนนี้จะลากเพื่อนๆ ของเจ้าให้ตายไปเป็นเพื่อนเจ้าด้วย!” สวีถังหรานเอามือไขว้หลัง แล้วตะโกนว่า “เด็กๆ!”
หลี่ฉางถลันตัวเข้ามาจากด้านนอกทันที มองการกระทำของเสวี่ยหลิงหลงอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะแกร่งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรีขนาดนี้ เขากุมหมัดคารวะ “นายท่านมีอะไรจะกำชับ?”
สวีถังหรานกล่าวเสียงต่ำว่า “ผู้บัญชาการคนนี้จะฟังเพลงอยู่ที่นี่ แต่มีคนเจตนาจะลอบสังหารข้า! ข้าสงสัยว่าหอกลิ่นสวรรค์จะเป็นแหล่งรวมกลุ่มโจรกบฏ เจ้าเรียกรมกำลังพลไปล้อมปราบหอกลิ่นสวรรค์ไว้เดี๋ยวนี้ ใครกล้าต่อต้าน ก็ฆ่าตรงนั้นได้เลย!”
“รับทราบ!” ขณะที่หลี่ฉางเอ่ยรับอย่างเด็ดเดี่ยว ก็พึมพำในใจว่า ใส่ร้ายป้ายสีกันจริงๆ!
“นายท่าน!” เสวี่ยหลิงหลงร้องเรียกอย่างเศร้าโศก คลายมีดสั้นในมือแล้ว มีดตกลงพื้นเสียงดังแกร๊ง ยืนก้มหน้าอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลอาบแก้ม
ชัดเจนมากแล้วว่าหมายความว่าอย่างไร เลิกขัดขืนแล้ว!
สวีถังหรานเลิกคิ้ว แล้วยกมือเบาๆ “สงสัยข้าจะเข้าใจผิดแล้ว อย่ามารบกวนเวลาข้าฟังเพลง!”
“รับทราบ!” หลี่ฉางเหลือบมองเสวี่ยหลิงหลงแวบหนึ่ง แล้วรีบถอยออกไป
ตอนที่สวีถังหรานเดินมาตรงหน้าเสวี่ยหลิงหลงที่น่าสงสารอีกครั้ง ขณะกำลังจะยื่นมือไปช้อนคางที่อ่อนนุ่มของนาง จู่ๆ สวีถังหรานก็หยุดชะงัก ระฆังดาราในกำไลเก็บสมบัติก็ดังแล้ว
เขาไม่อยากจะสนใจเลย มีคนมาหาในเวลาแบบนี้ได้ เกรงว่าคงจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงคนนี้
แต่ก้ยังร่ายอิทธิฤทธิ์ดูว่าใครส่งข้อความมา ถ้าเป็นโค่วเหวินหลานขึ้นมา ก็คงไม่ดีหากจะไม่รับ
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเหมียวอี้ สวีถังหรานเกาศีรษะ รู้สึกปสดประสาทนิดหน่อย เจ้าคนโหดนั่นคงไม่ได้มาขอร้องเพื่อผู้หญิงคนนี้หรอกใช่มั้ย?
เขากะว่านอกจากข้อความของโค่วเหวินหลาน คืนนี้ก็จะไม่รับข้อความจากใครแล้ว รอให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่เขาเดาว่าต่อให้โค่วเหวินหลานจะไม่ช่วยให้เขาสมปรารถนา แต่ก็คงไม่ทำลายเรื่องดีๆ ของเช่นกัน ต่อให้คนอื่นไปหาโค่วเหวินหลานก็ไม่มีประโยชน์ แต่ต่อให้พิจารณาดีอย่างไร แต่ก็ลืมนึกถึงเหมียวอี้ไปได้
ในเวลาแบบนี้ เขาเองก็ไม่อยากสนใจเหมียวอี้ แต่เขาไม่กล้าหรอก เจ้าไปยั่วโมโหเจ้าบ้านั่นขึ้นมา เขาเองก็รับมือไม่ไหว อีกประเดี๋ยวอีกฝ่ายอาจจะมาด้วยตัวเองก็ได้ แบบนั้นตนก็ทำเรื่องนี้ไม่เสร็จอยู่ดี! ตนจะกล้าฟ้องหรือไงว่าเขาบุกเข้าจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก?
ภายใต้ความจนใจ เขาทำได้เพียงหยิบระฆังดาราออกมาถาม : น้องหนิว มีธุระอะไร?
เหมียวอี้ตอบเพียงว่า : เจ้าแม่งเป็นบ้าไปแล้วรึไง? หาเรื่องยุ่งยากให้ข้าซะแล้ว!
สวีถังหรานถามอย่างกินปูนร้อนท้อง : ทำไมน้องหนิวพูดแบบนั้น?
เหมียวอี้ : อย่ามาเล่นลูกไม้นี้กับข้า ปล่อยเสวี่ยหลิงหลงเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจเจ้า!
…………………………
บทที่ 1059 ข่าวลือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
มาเพื่อผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ ด้วย นี่เป็นเนื้อที่มาถึงปากแล้วแท้ๆ!
เขาชำเลืองมองใบหน้างามล่มเมืองที่กำลังกัดริมฝีปากและร้องไห้จนเหมือนดอกสาลี่เปียกฝน ทั้งยังมีเรือนร่างบางที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งนั่นอีก ชั่วพริบตาเดียวก็นึกเชื่อมโยงถึงเสน่ห์อันอ่อนช้อยงดงามยามนางขยับแขนขาและเรือนกายอย่างนุ่มนวลอยู่บนเวที กำลังจะปล่อยให้ตนครอบครองได้ตามใจชอบแล้วแท้ๆ ล้มเลิกแบบนี้น่าเสียดายเกินไปแล้ว
สวีถังหรานรู้สึกไม่ยอมเป็นอย่างมาก ยังอยากจะพยายามอีกสักหน่อย : น้องหนิว ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะเก็บชีวิตกลับมาได้ ข้าอยากจะหาผู้หญิงสักคนเพื่อมีทายาทไว้สืบสกุล เผื่อวันไหนตายขึ้นมาจะได้ป้องกันไม่ให้ไม่มีทายาททิ้งไว้สักคน เจ้าคงไม่มาก้าวก่ายแม้แต่เรื่องแบบนี้หรอกใช่มั้ย? แล้วอีกอย่าง ผู้หญิงเต้นกินรำกินคนเดียวจะสร้างความยุ่งยากอะไรให้เจ้าได้? ปกติก็ไม่ได้ยินว่าเจ้ากับผู้หญิงคนนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันนี่นา!
เหมียวอี้ : เจ้าว่าปัญหายุ่งยากอะไรล่ะ? เจ้าไม่รู้เหรอผู้หญิงคนนี้มีหวงฝู่จวินโหรวคุ้มครองอยู่?
สวีถังหราน : ข้าก็ต้องรู้อยู่แล้ว! น้องหนิว หวงฝู่ผู้หญิงคนนั้นน่ะ อย่าไปสนใจนาง ถ้ากลัวนางวันนี้ก็ไม่ต้องเล่นแล้ว เจ้าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ก็พอแล้ว ข้าไม่สร้างความยุ่งยากให้เจ้าแน่นอน
เหมียวอี้ : เหลวไหล! เจ้าก็ต้องไม่มียุ่งยากอยู่แล้วล่ะ เจ้าตัวมาหาข้าถึงที่แล้ว! เจ้าทำเรื่องน่าไม่อายอยู่ที่นั่น แต่กำลังเช็ดก้นให้เจ้าอยู่ที่นี่ แบบนี้นี้มันใช่เรื่องเหรอ? ถ้าเจ้าอยากจะทำก็ทำเรื่องนี้ให้มันสะอาดเรียบร้อยหน่อย อย่าให้คนรู้ว่าเจ้าทำ ชิงตัวอย่างโจ่งแจ้งท่ามกลางสายตาประชาชี เจ้าบ้าไปแล้วรึไง? เคยเห็นคนน่าไม่อายมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครน่าไม่อายเท่าเจ้าเลย ผู้บัญชาการอย่างพวกเราเสียหน้าเพราะเจ้าหมดแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงรึไง?
สวีถังหราน : น้องหนิว อย่าเป็นแบบนี้เลย เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าจัดการผู้หญิงคนนั้นที่ร้านโฉมเมฆา เรื่องเสวี่ยหลิงหลงเจ้าอย่าเข้ามายุ่งเลย!
เหมียวอี้ : ไสหัวไป! ร้านโฉมเมฆาข้าจัดการเองได้ ไม่ต้องยุ่ง ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องแม้แต่ปลายนิ้วข้าก็จะหั่นนิ้วเจ้า! ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ ปล่อยเสวี่ยหลิงหลงออกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าวันนี้เจ้ากล้าแตะต้องนาง กลับไปอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่ไมตรีเก่า ในใต้หล้ามีผู้หญิงตั้งมากมาย ต่อไปนี้อย่าแตะต้องนาง อย่าสร้างความยุ่งยากให้ข้าเยอะนัก!
พอพูดจบก็หยุดการติดต่อ ไม่ว่าสวีถังหรานจะตอบสนองอย่างไรก็ไม่สนใจ
พอเก็บระฆังดาราแล้ว ก็มองคนสวยเลิศล้ำที่อยู่ตรงหน้า สวีถังหรานกัดฟันอยู่พักหนึ่ง เป็นการตัดใจแยกจากที่ยากลำบากจริงๆ แต่กลับต้องข่มความเจ็บปวดพร้อมตะโกนเสียงดังว่า “ทหาร!”
หลี่ฉางถลันตัวเข้ามาอีกครั้ง แล้วมองดูเสวี่ยหลิงหลง ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก เพิ่งจะกุมหมัดคารวะเสร็จ ยังไม่ทันพูดอะไรออกมา สวีถังหรานก็หันตัวมาโบกมือแล้ว “ส่งตัวกลัวไป!”
เขาไม่ได้ให้เหตุผลอะไรทั้งนั้น เพียงเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าห้องไป
หลี่ฉางกำลังงุนงง แล้วก็ทำท่าครุ่นคิดทันที คาดว่าคงมีคนยื่นมือมาช่วยผู้หญิงคนนี้ไว้แล้ว คนที่แม้แต่กับนายท่านผู้บัญชาการก็กล้ามีเรื่องด้วย เขาย่อมไม่กล้าล่วงเกินอีกฝ่ายอีก จึงยื่นมือเชิญทันที “แม่นางเสวี่ย เชิญกลับเถอะ!”
ในตึกของร้านค้าสมาคมวีรชน เหมียวอี้ที่เก็บระฆังดาราแล้วบอกหวงฝู่จวินโหรวว่า “เจ้ารีบไปรับคนเถอะ!”
“สวีถังหรานตอบตกลงจะปล่อยคนแล้วเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวที่หมอบอยู่บนบ่าเขาเอ่ยถาม
“ไม่ได้ตอบตกลง!” เหมียวอี้ตอบแบบส่งๆ
หวงฝู่จวินโหรวกัดฟันถาม “ไม่ตอบตกลงแล้วเจ้าจะให้ข้าไปรับคนได้ยังไง?”
ไม่ได้กลับมาหนึ่งร้อยปี พอกลับมาแล้วก็ไม่ไปหาเมียตัวเอง วิ่งมาลักลอบอยู่กับหญิงชู้มันใช่เรื่องเสียที่ไหนกัน เหมียวอี้ใจร้อนอยากปลีกตัวออกจากนาง ขยับตัวดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของนางพร้อมบอกว่า “ให้เจ้าไปรับคน เจ้าก็แค่ไปรับคนก็พอ ถ้าไปรับคนกลับมาไม่ได้ ก็อย่ามาถามหาความรับผิดชอบจากข้านะ”
เขาเดาว่าสวีถังหรานคงไม่กล้าไม่ปล่อยคน ด้วยนิสัยอย่างเจ้านั่น เขาเข้าใจชัดเจนเกินไปแล้ว
“เจ้าจะไปไหน?” หวงฝู่จวินโหรวดึงแขนเขาเอาไว้ ดึงกลับมาบนเตียงโดยตรง “สามารถปล่อยคนได้ก็พอแล้ว ไม่ต้องให้ข้าไปรับหรอก ให้ท่านแม่สวีไปรับเองก็พอ” นางหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อท่านแม่สวีทันที
หลังจากติดต่อแล้ว เรือนร่างที่ทำให้คนเห็นเลือดลมสูบฉีดก็คนท่านขุนนางเหมียวให้พลิกตัวลงอย่างดุดันราวกับเสือ
เหมียวอี้ผลักแขนสองข้างของนาง สบสายตากับนาง พร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้ารับปากแล้วว่าต่อไปจะไม่พัวพันอยู่กับข้าอีก! ถ้าเจ้ากลืนคำพูดตัวเอง เชื่อมั้ยว่าสวีถังหรานก็จะกลับคำพูดเหมือนกัน?”
“ครั้งสุดท้าย! หวงฝู่จวินโหรวกล่าวด้วยความรักใคร่
ปกติคำพูดนี้มาจากปากเหมียวอี้ แต่ครั้งนี้เปลี่ยนคนพูดแล้ว ทำเอาท่านขุนนางเหมียวพูดไม่ออก…
นอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกมีคนสัญจรไปมา ที่จริงท่านแม่สวีกำลังรออยู่ข้างนอกอย่างกระวนกระวาย พอได้ยินว่าหวงฝู่จวินโหรวสั่งให้นางมารับคน ในที่สุดนางก็โล่งใจแล้ว คาดว่าใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านี้ เสวี่ยหลิงหลงคงไม่ถึงขั้นถูกสวีถังหรานทำลายความบริสุทธิ์
ผ่านไปครู่เดียว รถม้าที่ถูกควบคุมให้วิ่งมาก่อนหน้านี้ก็ออกมาแล้ว ท่านแม่สวีรีบเปิดท่านเข้าไปในดูในรถม้า เห็นร่องรอยที่เสวี่ยหลิงหลงเพิ่งร้องไห้มาอย่างชัดเจน จึงรีบจับมือนางมาถามทันที “หลิงหลง เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”
เสวี่ยหลิงหลงส่ายหน้า แต่ชั่วพริบตาเดียวก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา โผเข้าอ้อมกอดนาง “ท่านแม่ ข้าไม่อยากทำอาชีพนี้แล้ว!”
ครั้งนี้เจอกับคนที่ไม่ไว้หน้าหวงฝู่จวินโหรว ทำให้นางตกใจแล้วจริงๆ
“เฮ้อ!” ท่านแม่สวีโอบนางพลางถอนหายใจ “ถ้าไม่ทำอาชีพนี้ เจ้านึกว่าทำอาชีพอื่นแล้วจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเหรอ? เจ้าทำงานอยู่ในอาชีพนี้ มีคนตั้งมากมายเท่าไรที่อิจฉาเจ้า แล้วก็มีนักพรตมากมายที่ดูภายนอกแล้วมีหน้ามีตา แต่ลับหลังแล้วใช้ชีวิตแสนสาหัสยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก เรื่องที่มู่หรงซิงหัวผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือเป็นเมียน้อย เจ้าเองก็เคยได้ยินมาแล้ว หวงฝู่นางเด็กนั่นดูมีหน้ามีตาใช่มั้ยล่ะ แต่ข้ามีพื้นเพมาจากหอโคมเขียว มองปราดเดียวก็รู้ว่านางก็เสียตัวแล้วเหมือนกัน ตอนอยู่ต่อหน้าข้าปิดบังไม่ได้หรอก ไม่เห็นนางจะกล้าพูดสักคำว่าใครทำ คนเราน่ะ เกิดมาก็ไม่มีใครได้ทำตามใจตัวเองสักคนหรอก คนฐานะต่ำต้อยก็มีความทุกข์ใจของคนฐานะต่ำต้อย คนตำแหน่งสูงก็มีความทุกข์ใจของคนตำแหน่งสูง สวีถังหรานเองก็อาจจะไม่ได้มีชีวิตราบรื่นก็ได้ การมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นั้นดีกว่าอะไรทั้งนั้น รอให้เจ้าพบที่พึ่งพิงที่ดีจริงๆ ท่านแจะไม่ขัดขวางเจ้า…”
เช้าตรู่วันต่อมา เหมียวอี้ทำตัวลับๆ ล่อๆ แอบออกมาจากร้านค้าสมาคมวีรชน
เมื่อกลับมาถึงจวนขุนนาง ก็พักผ่อนฟื้นฟูร่างกายทันที จากนั้นก็ได้รับข้อความจากอวิ๋นจือชิว ถามว่าเมื่อไรเขาจะไปหา เขาอ้างว่ามีธุระ ภายในสามวันนี้ยังไปหาไม่ได้
เป็นเพราะเมื่อคืนถูกหวงฝู่บีบเค้นอย่างรุนแรงจริงๆ ถ้ากลับไปเจออวิ๋นจือชิวอาจจะไม่มีอารมณ์ก็ได้ ถ้าปรนนิบัติไม่ได้ก็อาจจะเกิดปัญหา เขายังจำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะไปเข้าร่วมการทดสอบได้ ตอนนั้นอวิ๋นจือชิวสังเกตเห็นความผิดปกติจึงเตะเขาเก้าอี้ล้มและซ้อมอย่างบ้าคลั่งยกหนึ่ง
ในขระที่กินปูนร้อนท้อง เขารู้สึกว่าหลบหลีกสักหน่อยจะดีกว่า
แต่พอผ่านไปครึ่งเช้า ก็มีแขกมาหาอีกแล้ว ท่านแม่สวีนำเสวี่ยหลิงหลงมาแล้ว มาเพื่อแสดงความขอบคุณ ทั้งสองได้ฟังเรื่องราวจากหวงฝู่จวินโหรว เมื่อคืนถ้าไม่ใช่เพราะเหมียวอี้ยื่นมือเข้ามา หวงฝู่จวินโหรวก็อาจจะปกป้องเสวี่ยหลิงหลงไว้ไม่ได้
เหมียวอี้รับน้ำใจไว้แล้ว จะต้องการคำขอบคุณนี้ไปทำไม อยู่ดีๆ ก็ไปทำลายเรื่องราวดีๆ ของสวีถังหราน ดีไม่ดีในใจเจ้าบ้านั่นจะแอบเคียดแค้นตนแล้ว
หลังจากส่งท่านแม่สวีกับเสวี่ยหลิงหลงกลับไป เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็ติดต่อกับมู่หรงซิงหัวดีกว่า ไปหาสวีถังหรานที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกด้วยกัน
ลานบ้านไกลและลึก ภูเขาจำลองจัดวางรวมกันดูน่าสนใจ เมื่อเจอหน้ากัน มู่หรงซิงหัวก็พบว่าสีหน้าของว่าสวีถังหรานค่อนข้างแปลกไป จึงถามอย่างสงสัยว่า “น้องสวี สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดี คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่มั้ย?”
เหมียวอี้พูดหยอกล้ออยู่ข้างๆ “ข้าไปทำลายเรื่องดีๆ ของเขา! หลังจากจบงานเลี้ยงที่ตำหนักคุ้มเมืองเมื่อคืนนี้ เจ้าบ้านี่ดันชิงตัวเสวี่ยหลิงหลงของหอกลิ่นสวรรค์ต่อหน้าฝูงชนกลางถนน เตรียมจะบังคับขืนใจนาง หวงฝู่จวินโหรวจึงมาหาข้า กดดันจนข้าไม่มีทางเลือก ข้าจึงทำได้เพียงเข้าไปก้าวก่าย เจ้าบ้านี่คงแค้นข้าแล้ว ข้าไปทำลายเรื่องดีๆ ของเขา!”
มู่หรงซิงหัวขมวดคิ้วทันที ในฐานะที่เป็นผู้หญิง นางย่อมรู้สึกไม่พอใจกับพฤติกรรมของสวีถังหรานอยู่แล้ว เพียงแต่นางเองก็ไม่ได้ขาวสะอาด จึงไม่มีสิทธิ์ไปตำหนิอะไร บอกเพียงว่า “สวีถังหราน ถ้าเจ้าชอบนาง ก็ไปสู่ขอที่บ้านตรงๆ เลยสิ แต่งงานเป็นอนุภรรยาก่อนแล้วค่อยรับเข้าห้องนอนก็สิ้นเรื่องแล้ว ถ้าไม่สำเร็จทุกคนค่อยมาคิดหาวิธีด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงตัวเองแบบนี้ จะทำให้ชื่อเสียงป่นปี้เหมือนข้าถึงจะพอใจเหรอ?”
สวีถังหรานรู้สึกอับอาย เพราะเขาติดหนี้น้ำใจมู่หรงซิงหัว โดนนางว่าแต่โวยวายอะไรไม่ได้ เขาย่อมเข้าใจว่าผู้หญิงรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งนี้
ส่วนเหมียวอี้ก็ก้าวขึ้นมาตบบ่าเขาพร้อมบอกว่า “พี่สวีเอ๊ย! อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าเลยนะ ข้าเหมือนได้ช่วยชีวิตเจ้าไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นตอนหลังเจ้าเกิดปัญหาใหญ่แน่”
“หมายความว่ายังไง?” ดวงตาสวีถังหรานฉายแววสงสัย
เหมียวอี้ถอนหายใจ “เจ้าไม่ลองคิดดูบ้างล่ะ ถ้าเจ้าเป็นหวงฝู่จวินโหรว เจ้าจะผิดใจกับขุนนางชั้นสูงคนอื่นๆ เพื่อผู้หญิงเต้นกินรำกินครั้งแล้วครั้งเล่าทำไม จะห้ามคนอื่นมาแตะต้องเสวี่ยหลิงหลงทำไม? ทำไมขุนนางที่ยศสูงกว่าเจ้าถึงไม่กล้าแตะต้องเสวี่ยหลิงหลง? เจ้าต้องคิดดูให้ดีถึงเรื่องราวที่อยู่ภายใน เมื่อคืนโชคดีนะที่ข้าไปห้ามไว้ทัน หึหึ! ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเสวี่ยหลิงหลงจริงๆ เจ้าได้เจอดีแน่”
ที่จริงเขากำลังพุ่งเป้าไปที่นิสัยของสวีถังหราน แอบเปลี่ยนวิธีการคิดให้โดยเอาใจเขามาใส่ใจเรา
แต่สวีถังหรานก็ยังตกหลุมพรางนี้แล้วจริงๆ ถ้าเปลี่ยนตัวเองเป็นหวงฝู่จวินโหรว เขาก็จะคิดแบบนี้เหมือนกัน เขาไม่มีทางไปผิดใจกับขุนนางชั้นสูงมากมายขนาดนั้นเพื่อผู้หญิงเต้นกินรำกินเพียงคนเดียวหรอก ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดระแวงกลัว
แต่เขาก็ไม่ลองคิดดูบ้าง ว่าสวีถังหรานก็คือสวีถังหราน เป็นคนที่รักตัวกลัวตาย ถึงได้ไปร้องห่มร้องไห้กอดขาคนอื่นได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นหวงฝู่จวินโหรว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำแบบเดียวกับเขา ลองคิดในทางตรงกันข้าม นี่ก็เป็นหลักการเดียวกัน คนที่ภูมิหลังต่างกันและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันก็ย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เงื่อนไขที่ใช้ในการตบตาคนของเหมียวอี้ เดิมทีก็มีปัญหาอยู่แล้ว
สวีถังหรานกลับกลับแววตาวูบไหว ดึงแขนเหมียวอี้เอาไว้ พลางถามอย่างหวาดระแวงกลัวว่า “น้องหนิวหมายความว่า เสวี่ยหลิงหลงคนนี้อาจจะมีประวัติความเป็นมาอย่างอื่นเหรอ?”
“กับคนบางคนข้าก็ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว ดังนั้นข้าจึงไม่สะดวกจะพูด เจ้าคิดเอาเองแล้วกัน! ข้าไม่ได้กินอาหารฝีมือเจ้ามานานแล้ว ถ้าอยากจะขอบคุณข้าจริงๆ เจ้าก็ไปลงมือทำอาหารมาสักโต๊ะ” เหมียวอี้ตบบ่าเขา
สวีถังหรานทำท่าครุ่นคิด เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว จึงประสานมือคารวะเหมียวอี้ โค้งกายค้างไว้ยาวๆ เพื่อแสดงคำขอบคุณ แสดงทุกอย่างออกมาโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็บอกว่า “ทั้งสองนั่งรอสักครู่ ข้าจะลงครัวด้วยตัวเอง!” พูดจบก็รีบเดินออกไป
มู่หรงซิงหัวที่ยื่นมือไปเด็ดใบไม้ใบหนึ่งกลับโค้งมุมปากยิ้มหยอกล้อ นางเหล่ตาจ้องเหมียวอี้ เหมียวอี้หันมาโดยบังเอิญ เมื่อทั้งสองสอบตากัน จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาโดยไม่พูดอะไร ทุกคนรู้อยู่แก่ใจกพอแล้ว
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน มู่หรงซิงหัวก็คงจะเชื่อเหมียวอี้ไปแล้ว แต่หลังจากเปลี่ยนสภาพจิตใจเป็นต้นมา วิธีการมองปัญหาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน สังเกตเห็นได้ว่าเหมียวอี้กำลังหลอกตบตาสวีถังหราน
แต่ในใจกลับแอบนับถือเหมียวอี้ ทำลายเรื่องดีๆ ของอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ยังทำให้อีกฝ่ายประสานมือขอบคุณได้อีก เหมือนเป็นการนำอีกฝ่ายไปขายแล้วยังให้อีกฝ่ายช่วยนับเงินให้อีก แบบนี้มีเหตุผลเสียที่ไหนกัน
วางเรืองพวกนี้ไว้ก่อน บางทีมู่หรงซิงหัวเองก็อาจจะไม่รู้ตัว ว่าตอนนี้นางมองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่สื่ออารมณ์หลากหลาย บางครั้งนางก็จะแอบพูดในใจ เงยหน้ามองดาวเงียบๆ เพียงลำพัง แต่กลับเข้าใจดี ว่าเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ สุดท้ายก็ยังเป็นไปไม่ได้…
หลังจากนั้นสามวัน เหมียวอี้ที่ร่างกายและจิตใจฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติถึงได้ไปหาอวิ๋นจือชิวผ่านทางใต้ดิน
พอลงมาในทางใต้ดิน เหมียวอี้ก็พบความผิดปกติในทางใต้ดินอย่างรวดเร็ว มีเส้นทางที่เมื่อก่อนไม่เคยมีเพิ่มขึ้น จึงไปหาผีจวินจื่อที่กำลังฝึกตนอยู่ในทางใต้ดินทันที ถามว่า “ทางใต้ดินที่ขุดออกมาอีกทางนั่นผ่านไปทางไหน? ขุดมั่วไปทั่วไม่กลัวคนอื่นจะจับได้เหรอ?”
ผีจวินจื่อหัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เถ้าแก่เนี้ยสั่งไว้ ถ้าเจ้ากลับมาจากการทดสอบไม่ได้ พวกเราก็จะออกจากเขตเมืองตะวันออกโดยเปลี่ยนเส้นทางใต้ดิน หนีออกไปผ่านประตูเมืองอีกแห่ง ส่วนเหตุผลเพราะอะไรข้าก็ไม่รู้ชัด ถึงอย่างไรเถ้าแก่เนี้ยก็สั่งให้ขุด ข้าก็เลยขุดไปแล้ว”
“ออกจากเขตเมืองตะวันออกผ่านทางใต้ดิน? เขตเมืองตะวันออกเป็นอาณาเขตของข้า…” เหมียวอี้พลันหยุดตั้งคำถาม ยืนขมวดคิ้วอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างอับจนปัญญา แล้วหันตัวเดินจากไปเงียบๆ
เมื่อเจออวิ๋นจือชิวกับอนุภรรยาของตัวเองอีกสองคน ท่านขุนนางเหมียวอี้ก็เรียกได้ว่ารู้สึกเหมือนเป็นคู่แต่งงานใหม่ ความสุขสันต์หรรษาที่อยู่ในนั้นย่อมไม่ต้องบอกให้คนภายนอกรับรู้เลย…
หลังจากผ่านไปช่วงหนึ่ง จู่ๆ ที่ตลาดสวรรค์ก็มีข่าวลือ เหมียวอี้ที่ได้ยินข่าวลือยืนเงียบอยู่ในจวนขุนนางเพียงลำพัง
บังเอิญว่าสวีถังหรานก็มาหาเขาเพื่อบอกข่าวพอดี เชิญเขาไปดื่มสุราด้วยกัน
เหมียวอี้ยังคงพูดคำเดิม : เจ้าลงครัวด้วยตัวเองหรือเปล่า? กินฝีมือเจ้าจนชินแล้ว พอไปกินที่คนอื่นทำรู้สึกไม่คุ้น
เจ้าหมอนี่กำลังฝึกเลี้ยงให้สวีถังหรานเป็นพ่อครัวของเขาโดยเฉพาะเลย ตัดสินใจแล้วว่าจะฝึกให้สวีถังหรานเกิดความเคยชิน ที่จริงเขาชอบอาหารที่อวิ๋นจือชิวทำเองมากกว่า อวิ๋นจือชิวรู้จักรสนิยมของเขาดีที่สุด
สวีถังหรานก็เหมือนจะเคยชินแล้วจริงๆ : ได้! ข้าขอเตรียมตัวก่อน อีกหนึ่งชั่วยามเจ้ามาหาข้าได้
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ก็มาถึงตามที่นัดไว้ นั่งดื่มสุราตรงข้ามสวีถังหรานอยู๋ในลานบ้านของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก
หลังจากดื่มไปไม่กี่จอก เหมียวอี้ก็ถามว่า “มีเรื่องอะไร? ยังคิดถึงเสวี่ยหลิงหลงอยู่อีกเหรอ?”
“เฮ้อ! เรื่องนี้ผ่านไปแล้วจะพูดถึงทำไมอีก” สวีถังหรานโบกไม้โบกมือ เหลือบมองไปรอบๆ แล้วถามเสียงต่ำอย่างลับๆ ล่อๆ ว่า “ได้ยินข่าวลืออะไรนั่นรึเปล่า?”
เหมียวอี้ยกจอกสุราขึ้นมาตรงปาก แล้วแสร้งถามเหมือนไม่รู้ “ข่าวลืออะไร?”
“เจ้าอย่ามาแกล้งไม่รู้เลย เขาลือกันครึกโครม เจ้ายังไม่เคยได้ยินอีกเหรอ?” สวีถังหรานมองบนใส่เขา ยังคงถามอย่างลับๆ ล่อๆ อีก “ตอนนี้ลือกันไปทั่ว เรื่องของเมียเฉาว่านเสียงกับลูกบุญธรรมหยางไท่โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเปิดโปง ตามหลักการแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอยู่ห่างกันขนาดนี้แล้วข่าวแพร่มาได้ไง อย่างน้อยที่นี่ก็คืออาณาเขตของเฉาว่านเสียง ใครกันที่กล้าแพร่ข่าวลือไปทั่ว เรื่องนี้มีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังไงล่ะ เจ้าคิดว่าเป็นใคร?”
เหมียวอี้ยังคงแกล้งโง่ “ข้าเองก็ทำนายเหตุการไม่เป็น จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ถึงยังไงก็ไม่ใช่ข้าแล้วกัน”
“คนอื่นไม่รู้ชัด แต่เจ้ากับข้ารู้ดีว่ามู่หรงกำลังวางแผนอะไร?” สวีถังหรานโน้มตัวเล็กน้อย รินสุราให้เขาพร้อมกระซิบเสียงเบา “ใครเป็นคนลงมือเจ้ากับข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ! นี่ไม่ใช่การเล่นชู้ธรรมดา นี่เล่นกับลูกชายบุญธรรมตัวเองเชียวนะ นี่มันมั่วกันเองในครอบครัวชัดๆ! ตามจังหวะขั้นตอนแบบนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เฉาว่านเสียงจะไม่ถอดเถาฮวาฮูหยินออก นี่ไม่ใช่แค่การสวมเขาสามีแล้ว จะโดนฆ่าทิ้งรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย! นึกไม่ถึงจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่านางจะลงมือจากที่นี่ การบุกเข้าไปแบบนี้โหดใช้ได้เลย! เรื่องราวแพร่ออกไปแบบนี้แล้ว เถาฮวาฮูหยินเลิกคิดจะกลับตัวไปได้เลย!”
ในเมื่อเปิดโปงออกมาแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ปิดบังอีก ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “นี่มันปณิธานแน่วแน่ไง! สงสัยอีกไม่นานพวกเราจะได้เรียกนางว่าฮูหยินหัวหน้าภาคแล้ว”
สวีถังหรานกลับแอบขำ “น่าเสียดายที่เจ้ากับข้าต้องติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไปแล้ว อาจจะไม่ได้เห็นวันนั้น ไม่อย่างนั้นจะมีแต่ผลดีทั้งกับเจ้าและข้า ทางเฉาว่านเสียงมีคนช่วยคุยให้พวกเราแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ดีขนาดไหน!”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “ต่อให้ทำสำเร็จ แต่ข้าว่าการได้กลายเป็นปี้เยว่ฮูหยินคนที่สองจะมีความเป็นไปได้มากกว่า ฮูหยินท่านโหวแล้วยังไงล่ะ ต้องเฝ้าอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไม่ใช่เหรอ!”
“เฮ้อ!” สวีถังหรานถอนหายใจ “ไม่ว่าจะยังไง สุดท้ายนางก็ได้สมปรารถนาแล้ว จะได้อยู่โดดเดี่ยวลำพังหรือเปล่า มู่หรงคงไม่สนใจหรอก ที่นางต้องการก็คือฐานะนั้นเฉยๆ! ไม่พูดแล้ว แต่ละคนมีโชคชะตาเป็นของตัวเอง ต่อไปก็ต่างคนต่างรักษาตัวดีๆ แล้วกัน ดื่มสุรา!”
…………………………
บทที่ 1060 ยากจะฝ่าฝืนคำสั่งเบื้องบน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในขณะที่ข่าวลือกำลังว่อนไปทั่วฟ้า ยิ่งพูดถึงก็ยิ่งดุเดือด ปี้เยว่ฮูหยินก็หลับมาที่ดาวเทียนหยวนแล้ว พอกลับมาถึงก็เรียกพบเหมียวอี้ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานทันที
ประการแรก นางย่มอกล่าวชมเชยและให้รางวัลทั้งสามสำหรับการทดสอบหนึ่งร้อยปี หลังจากให้รางวัลแล้วน้ำเสียงก็พลันเปลี่ยนไป นางกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ช่วงนี้มีข่าวลือที่ไม่ค่อยดีต่อนายท่านหัวหน้าภาค ลือกันไปทั่วทุกที่ นายท่านหัวหน้าภาคโมโหมาก! ทั้งน่านฟ้าชวดอี่ต่างก็เริ่มเคลื่อนไหวหาตัวคนปล่อยข่าวลือ ทำไมในอาณาเขตของพวกเจ้ากลับไม่มีความเคลื่อนไหว ปล่อยให้มีข่าวลือไปทั่ว?”
เดิมทีนางคิดจะอยู่ที่จวนท่านโหวอีกสักระยะ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับไปใช้ชีวิตสามีภรรยาจะกันสักครั้ง แต่ข่าวลือของทางนี้กลับทำให้นางต้องกลับมาล่วงหน้า
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “ตอบฮูหยิน ผู้บัญชาการใหญ่ไม่อยู่ ไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการขอรับ! มิหนำซ้ำเรื่องแบบนี้ก็หยุดยั้งได้แค่ภายนอก ทุกคนแอบเผยแพร่กันอย่างลับๆ จึงไม่มีทางไปห้ามปรามได้ ถ้านายท่านหัวหน้าภาคร่างกายตรงก็ไม่ต้องกลัวว่าเงาจะเอียง จะกลัวข่าวลือเล็กๆ นี่ได้อย่างไร”
สวีถังหรานแอบมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ชัดเจนว่ากำลังพูดอ้างอย่างขอไปที เขาไม่กล้าพูดหลอกลวงต่อหน้าปี้เยว่ฮูหยิน มีแค่คนโหดคนนี้เท่านั้นที่กล้าพูดแบบนี้ แต่ในใจก็รู้สึกขำเหมือนกัน ที่จริงก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ทุกคนกำลังจะติดตามโค่วเหวินหลานไปอยู่แล้ว ทางโค่วเหวินหลานส่งข่าวมาแล้วว่ากำลังจะได้เลื่อนขั้น ให้พวกเขาเตรียมส่งต่องานทางนี้ เดี๋ยวจะกลับมาพาทุกคนไปด้วยกัน
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ทั้งสองที่รู้เรื่องอยู่แก่ใจย่อมต้องแอบช่วยมู่หรงซิงหัว แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร ปล่อยให้ข่าวลือแพร่ไปให้เต็มที่ ไม่มีท่าทีว่าจะให้ลูกน้องออกหน้าไปควบคุมเลย
มู่หรงซิงหัวที่ยืนอยู่ข้างๆ เงียบงันและทำสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจก็รู้เช่นกัน ว่าเจ้าสองคนนั้นกำลังแอบให้ความร่วมมือกับตน
ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้างามก็เย็นเยียบลงในชั่วพริบตาเดียว จ้องเหมียวอี้ด้วยแววตาที่คมกริบราวกับมีด ในใจทั้งโมโหทั้งอยากขำ
นางนับว่าดูออกแล้ว ว่าเจ้าหมอนี่อาศัยที่ตัวเองกำลังจะจากไปก็เลยไม่เกรงใจอะไร! ดี! พวกเราค่อยๆ ดูไปแล้วกัน ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะหนีไปที่ไหนได้!
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็ค่อยๆ เก็บสำรวมแววตาที่คมกริบ “ต่อให้หยุดข่าวลือไม่ได้ แต่ภายนอกก็ต้องทำอะไรบ้างสิ? สถานที่ที่ไกลขนาดนั้น คนที่เข้าร่วมการทดสอบในตอนนั้นก็มีแค่พวกเจ้า พวกเจ้ารู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น ต่อให้ข่าวลือจะแพร่มาถึงที่นี่ได้ แต่เรื่องระดับนี้เหมือนจะไม่มีค่าพอให้ฮือฮาขนาดนี้นะ ทำไมสถานการณ์ถึงคึกโครมขนาดนี้ได้? หรือว่าข่าวลือนี้เกี่ยวข้องกับหนึ่งในพวกเจ้า? มู่หรงซิงหัว เจ้าคิดว่ายังไง?”
มู่หรงซิงหัวกุมหมัดคารวะตอบ “ไม่ใช่ข้าน้อยค่ะ ข้าน้อยก็เป็นผู้เสียหายเหมือนกัน ในข่าวลือก็พูดกันตามอำเภอใจว่าข้าน้อยเป็นหญิงชู้ของนายท่านหัวหน้าภาค ข้าน้อยก็โกรธมากเช่นกัน”
เจ้าจะโกรธอะไร? ที่จริงเจ้าก็เป็นอยู่แล้ว! ปี้เยว่ฮูหยินพูดดูถูกในใจ เดิมทียังสงสัยนางอยู่บ้าง แต่พอได้ฟังคำพูดนี้แล้วคิดตาม นางก็เห็นด้วยเช่นกัน ถ้าเป็นนางจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ชื่อเสียงตัวเองฉาวโฉ่ ไม่มีผู้หญิงคนไหนรับกับสิ่งนี้ได้
เหมียวอี้ไม่สะทกสะท้าน สวีถังหรานแอบขำในใจ เพราะรู้ว่ามู่หรงซิงหัวไม่แยแสกับชื่อเสียงฉาวโฉ่เรื่องหญิงชู้ตั้งนานแล้ว ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่ามู่หรงซิงหัวจะอยากแทนที่เถาฮวาฮูหยิน นางเปิดเผยคำพูดของเซี่ยโห้วหลงเฉิงออกมาทั้งหมด ทำให้ตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย เห็นได้ชัดว่าทำไปเพื่อให้ตัวเองไม่ตกเป็นที่ต้องสงสัย วิธีการนี้โหดใช้ได้เลย!
สายตาปี้ของเยว่ฮูหยินไปหยุดที่ตัวเหมียวอี้กับสวีถังหรานอีก ทั้งสองรีบปฏิเสธทันที
“ไม่เกี่ยวกับข้าน้อย!” สวีถังหรานกล่าว
เหมียวอี้แก้ตัวเช่นกันว่า “ถ้าพวกเราสามคนทำแบบนี้ ก็จะมีแต่ผลเสียต่อพวกเรา! ข้าน้อยกำลังคิดว่า นายท่านหัวหน้าภาคอาจจะไปล่วงเกินใครไว้หรือเปล่า?”
ปี้เยว่ฮูหยินขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ลองคิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าทั้งสามเผยแพร่ข่าวลือประเภทนี้ ก็ไม่มีผลดีอะไรกับทั้งสามเลย ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องนี้ หลังจากเงียบไปครู่เดียวก็บอกอว่า “ไม่ว่าจะยังไง กลับไปพวกเจ้าต้องให้ลูกน้องเริ่มลงมือทันที อย่างน้อยภายนอกก็ต้องควบคุมการแพร่กระจายที่ตลาดสวรรค์ ถ้าถึงยามจำเป็นก็เชือดไก่ให้ลิงดูได้!”
“รับทราบ!” ทั้งสามเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
พอกลับมาทั้งสามก็ส่งคนไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที เพียงแต่การยับยั้งตอนนี้ก็เหมือนจะสายไปหน่อย ที่ตลาดสวรรค์มีกระแสผู้คนไปมาหาสู่มากขนาดนี้ ข่าวแพร่ออกไปตั้งนานแล้ว…
หลังจากนั้นไม่กี่วัน โค่วเหวินหลานก็กลับมาแล้วเช่นกัน พอกลับมาก็ได้ยินข่าวลือทางนี้ทันที เขาก็แค่ยิ้มตอบเท่านั้น ขี้คร้านจะควบคุม ถึงอย่างไรก็เตรียมตัวจะออกไปแล้ว
พวกเหมียวอี้ย่อมถูกโค่วเหวินหลานเรียกพบในทันที เพียงแต่เมื่อมาถึงจวนผู้บัญชาการใหญ่และได้พบกับโค่วเหวินหลาน พวกเขาก็แปลกใจอยู่บ้าง พบว่าข้างกายโค่วเหวินหลานมีสาวน้อยหน้าตางดงามคนหนึ่งเพิ่มมาด้วย ดวงตางกลมโตงดงาม สวมชุดสีม่วงที่ตัดเย็บอย่างประณีต เรือนร่างสะโอดสะอง เผยให้เห็นความรู้สึกสูงส่งโดยธรรมชาติ กำลังใช้สายกวาดมองทั้งสามอย่างไร้ความหวั่นเกรงใดๆ
“คำนับผู้บัญชาการใหญ่!”
ทั้งสามเพิ่งจะทำความเคารพ โค่วเหวินหลานที่กำลังผ่อนคลายสบายใจยังไม่ทันได้พูดอะไร สาวน้อยคนนั้นก็จ้องเหมียวอี้พร้อมถามว่า “เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”
“เอ่อ…” เหมียวอี้ไม่รู้ว่านางเป็นใคร จึงถามอย่างสงสัยว่า “แม่นางคือ? เหมือนพวกเราจะไม่เคยเจอกันมาก่อน แม่นางรู้จักผู้น้อยได้อย่างไร?”
สาวน้อยชุดม่วงชี้เขา แล้วก็ชี้ไปที่สวีถังหรานอีก นางหัวเราะคิกคักแล้วบอกว่า “คนที่สามารถช่วยให้พี่ชายข้าได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบได้ หน้าตาก็ต้องมีมาดของวีรบุรุษอยู่หลายส่วน ท่านนี้ดูไม่เหมือน ไม่ได้หน้าตาดีเท่าเจ้า ชัดเจนมากแบบนี้ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นเจ้า”
เหมียวอี้พูดไม่ออก สวีถังหรานก็ใบหน้าแข็งทื่อและอึ้งมากเช่นกัน พึมพำในใจว่า มารดาเจ้าเถอะ ขอแบบนี้ดูออกผ่านหน้าตาเหรอ? ข้าหน้าตาแย่ขนาดนั้นเลยรึไง?
เขาอยากจะถามมากว่าผู้หญิงที่พูดจาไร้มารยาทคนนี้เป็นใครกันแน่
“เหอะๆ!” โค่วเหวินหลานหัวเราะพลางยืนขึ้น “ไม่แปลกหรอก! นี่คือน้องสาวข้า โค่วเหวินจื่อ ปากไม่มีหูรูดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรจนติดเป็นนิสัยแล้ว ทุกคนอย่าถือสาเลย ครั้งนี้นางงอแงจะมาดูหน้ามหาวีรบุรุษที่ได้อันดับหนึ่งในการทดสอบให้ได้ นางตอแยจนข้าไม่มีทางเลือก ถึงได้พานางมาด้วย”
ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของเขา! ทั้งสามคำนับตามทันที “คำนับแม่นางโค่ว!”
โค่วเหวินจื่อหัวเราะคิกคักพลางโบกมือ “ไม่ต้องมากพิธี ราชันสวรรค์บอกแล้วว่าพวกเจ้าไม่ต้องทำความเคารพ ข้ารับไม่ไหวหรอก”
“เหวินจื่อ เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว!” โค่วเหวินหลานโบกมือ บอกใบ้ให้นางหลีกไปยืนข้างๆ เขายังมีธุระสำคัญต้องสั่งสามคนนี้
ก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แค่จะมาบอกทั้งสามว่าตัวเองกำลังจะออกจากที่นี่ไปรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่อื่น จึงรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับทั้งสาม หลังจากติดตามเขาไปแล้ว ทุกคนก็จะหนีตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ไปไม่พ้น ดังนั้นย่อมต้องถามมู่หรงซิงหัว “เรื่องราวก่อนหน้านี้ผ่านไปแล้วก็ช่างเถอะ การทดสอบครั้งนี้นับว่าเจ้ามีผลงาน รู้จักยอมรับผิดแล้วปรับปรุงตัวก็นับว่าดีแล้ว ข้าไม่ถือสา ไม่ทำเรื่องประเภทคิดบัญชีย้อนหลังหรอก เจ้าแน่ใจใช่มั้ยว่าจะติดตามข้าไปจริงๆ?”
มู่หรงซิงหัวเงียบไปครู่เดียว ก่อนจะกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยซาบซึ้งในความหวังดีของผู้บัญชาการใหญ่ ข้าน้อยอยากอยู่ที่นี่มากกว่า”
สวีถังหรานร้อนใจแทนนางนิดหน่อย เตือนว่า “มู่หรง ไตร่ตรองให้ดี! ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ใช่คนกลืนคำพูดตัวเอง ให้สัญญาต่อหน้าทุกคนแบบนี้แล้ว นี่คือโอกาสที่คนอื่นไขว่คว้าไม่ได้นะ!”
เหมียวอี้กลับทำสีหน้าเรียบเฉย รู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้หัวใจของมู่หรงซิงหัวไม่ได้กระโจนเข้ามาการเลื่อนตำแหน่งอีกแล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ มู่หรงซิงหัวส่ายหน้ายิ้มเรียบๆ “ขอบคุณในความหวังดีของผู้บัญชาการใหญ่กับน้องสวี มู่หรงซิงหัวขออวยพรให้ผู้บัญชาการใหญ่เดินทางราบรื่นล่วงหน้า!”
“เฮ้อ!” โค่วเหวินหลานถอนหายใจเบาๆ มู่หรงซิงหัวสามารถตัดใจทิ้งลาภยศได้ กลับทำให้เขามองนางสูงขึ้นอีกระดับ คนแบบนี้เขากลับยิ่งอยากรับไว้ทำงานด้วย เพียงแต่ว่า…เขาทำได้เพียงกล่าวอย่างเสียดาย “ก็ได้! ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็ไม่บังคับ”
จากนั้นก็หันไปมองเหมียวอี้กับสวีถังหราน “ก่อนจะไปข้าจะให้พวกเจ้าเตรียมตัวล่วงหน้า เตรียมตัวว่าจะพาใครไปกับพวกเจ้าด้วย ได้ร่างรายชื่อไว้หรือยัง?”
ทั้งสองนำแผ่นหยกออกมาทันที แล้วใช้สองมือยื่นให้พร้อมกัน
โค่วเหวินหลานรับมาอ่านดูคร่าวๆ แล้วเก็บไว้ “เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปรายงานขออนุมัติจากแม่ทัพภาค!”
ทั้งสามกล่าวอำลา แต่กลับมีคนมาประสมโรงเพิ่มอีกคน โค่วเหวินจื่อต้องการจะตามเหมียวอี้ไปให้ได้ อยากจะเห็นว่าสภาพแวดล้อมแบบไหนที่สร้างวีรบุรุษขึ้นมาได้
เหมียวอี้พูดไม่ออก แต่ก็ไม่มีทางปฏิเสธ ทั้งยังต้องพาคุณหนูท่านนี้ไปเดินดูจนทั่วจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับคำถามจุกจิกไร้สาระอีกเป็นกอง…
“เจ้ากับข้ากำลังจะได้อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว นั่งลงคุยกันเถอะ!”
ในศาลาของสวนดอกไม้ที่ตำหนักหลังของตำหนักคุ้มเมือง ปี้เยว่ฮูหยินหรี่ตายิ้มพลางบอกโค่วเหวินหลานที่ยืนอยู่เบื้องล่าง แขนข้างหนึ่งกำลังโอบอุ้มจิ้งจอก ส่วนมืออีกข้างกำลังถืออ่านแผ่นหยกที่โค่วเหวินหลานนำมารายงาน
โค่วเหวินหลานกล่าวขอบคุณ แต่ก็ยังไม่ได้นั่งลง ยังรักษาธรรมเนียมระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง
ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ไม่คิดวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ หลังจากอ่านรายชื่อบนแผ่นหยกแล้ว ก็วางลงบนตะเบาๆ แล้วถอนหายใจ “พาคนไปเยอะขนาดนี้ในรวดเดียวเลยเหรอ! เขตเมืองจะวันตกยังดีหน่อย แต่นักพรตบงกชทองของเขตเมืองตะวันออกเหมือนจะไปกันหมดแล้ว”
ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้ต้องพาพวกฝูชิงไปด้วยทั้งหมดอยู่แล้ว
โค่วเหวินหลานยิ้มพร้อมตอบว่า “ทั้งหมดนี้หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนรับมาเอง จะพาไปด้วยก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ฮูหยินได้โปรดอย่าถือสา”
“โค่วเหวินหลาน ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้านะ ตำหนักสวรรค์อาจจะขาดแคลนอย่างอื่น แต่ไม่ขาดคนที่อยากจะเป็นขุนนางหรอก ในเมื่อเจ้าเอ่ยปากแล้ว ที่จริงข้าก็ไม่ควรจะพูดอะไร เพียงแต่ว่า…” ปี้เยว่ฮูหยินส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วนำแผ่นหยกออกมาอีกแผ่น แล้วดันไปตรงหน้าเขา “ยากจะฝ่าฝืนคำสั่งเบื้องบน! เจ้าอ่านเอาเองแล้วกัน”
ยากจะฝ่าฝืนคำสั่งเบื้องบน มันเรื่องอะไรกัน? โค่วเหวินหลานขมวดคิ้ว ก้าวขึ้นมารับแผ่นหยกมาอ่าน ตอนยังไม่อ่านก็ไม่เป็นไร แต่พออ่านแล้วสีหน้าเปลี่ยนทันที
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคำสั่งที่เฉาว่านเสียงถ่ายทอดให้ปี้เยว่ฮูหยิน ในความสำคัญในนั้นก็คือ ถ้าโค่วเหวินหลานต้องการจะไป ก็ให้ไปได้ แต่ไม่ให้อนุญาตให้ลูกน้องของโค่วเหวินหลานตามไปด้วย
ไม่ใช่ปัญหาเรื่องพาคนไปจำนวนเท่าไร แต่ไม่ให้พาไปเลยสักคน!
โค่วเหวินหลานเองก็ไม่ได้โง่ ถึงแม้เฉาว่านเสียงจะเป็นผู้บังคับบัญชาของปี้เยว่ฮูหยิน แต่กล้าควบคุมปี้เยว่ฮูหยินเสียที่ไหนกัน แบบนั้นแปลว่าไม่อยากทำงานอยู่ใต้สังกัดท่านโหวเทียนหยวน下แล้ว เขาฝืนยิ้มพร้อมบอกว่า “ฮูหยินได้โปรดช่วยคุยกับท่านโหวสักหน่อย”
ในคำพูดนี้มีความหมายแอบแฝง ก็คือให้ปี้เยว่ฮูหยินไว้หน้ากันสักหน่อย
ปี้เยว่ฮูหยินส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าในใจเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านโหวจริงๆ ข้าจะขอพูดให้ชัดเจน ท่านโหวไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ เจ้าลองหาทางคุยกับตระกูลอิ๋งดูก็ได้ ขอเพียงตระกูลอิ๋งตอบตกลง หัวหน้าภาคเฉาก็จะต้องออกคำสั่งใหม่แน่นอน ข้าไม่มีความเห็นใดๆ ทั้งนั้น ต้องไว้หน้าเจ้าอยู่แล้ว!”
ถึงอย่างไรนางก็ปัดความรับผิดชอบ ข้างบนมีตระกูลอิ๋ง ข้างล่างมีเฉาว่านเสียง เรื่องผิดใจกับคนอื่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางทั้งนั้น
…………………………
บทที่ 1061 เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตระกูลอิ๋ง? โค่วเหวินหลานตกใจทันที ทำไมตระกูลอิ๋งถึงออกคำสั่งกับตัวละครที่ไม่สำคัญพวกนี้ อย่าบอกนะว่าเป็นเพราะการตายของอิ๋งเหย้า? แต่ถึงอย่างไรอิ๋งเหย้าก็ตายด้วยน้ำมือเกาก้วน ถ้าเกาก้วนไม่ฆ่า แล้วใครจะกล้าอิ๋งเหย้า ทำไมต้องกลั่นแกล้งตัวละครเล็กๆ ด้วย ใจแคบเกินไปแล้วมั้ง!
ทว่าปี้เยว่ฮูหยินพูดจาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าบีบบังคับต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ โค่วเหวินหลานทำได้เพียงขอตัวลาเพื่อไปคิดหาทางอื่น
ก่อนจะกลับมาที่จวนผู้บัญชาการใหญ่ โค่วเหวินหลานก็ติดต่อกับพ่อของตัวเองทันที เรื่องนี้อยู่นอกเหนือขอบเขตความสามารถของเขา…
ที่ร้านโฉมเมฆามีแขกคนสำคัญมาเยือน รบกวนให้ผู้บัญชาการเหมียวเดินเป็นเพื่อนด้วยตัวเอง เรื่องนี้ย่อมสะเทือนไปถึงเถ้าแก่เนี้ยอวิ๋นจือชิว
อวิ๋นจือชิวออกจากโถงด้านหลังมามองสำรวจหลังจากได้ข่าว ขณะที่มองดูโค่วเหวินจื่อที่กำลังตาลุกวาวเลือกสรรสินค้าอยู่หน้าโต๊ะยาวนางก็ค่อยๆ เดินมาอยู่ข้างกายเหมียวอี้ แล้วแอบถ่ายทอดเสียงบอกว่า “จุจุ หนิวเอ้อร์ มีสาวงามเดินเคียงข้าง ชีวิตช่างชุ่มฉ่ำเสียจริง เจ้าคงไม่ชอบผู้หญิงแก่อย่างข้าแล้วล่ะมั้ง สาวงามจากไหนกัน!”
พูดจาสองแง่สองง่าม ในคำพูดเผยรสชาติหึงหวง ไม่หึงคงไม่ได้ ตอนที่เห็นผู้ชายของตัวเองมาเดินตลาดกับสาวงาม ไม่ว่าผู้หญิงที่ไหนก็ทนไม่ไหวทั้งนั้น
เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก ตอบนางว่า “พูดจาเหลวไหล! นี่คือน้องสาวแท้ๆ ของโค่วเหวินหลาน ชื่อโค่วเหวินจื่อ ไม่อยากมาเดินเป็นเพื่อนก็ต้องมา!” เขาไม่กล้าบอกว่านางมาเพื่อมาดูเขา
“คำพูดนี้ ทำไมฟังดูถ่อมตัวนักล่ะ! ดูเรือนร่างของแม่นางน้อยที่สวยสดใสนั่นสิ ถ้าได้บีบผิวเนื้อแบบนั้นก็คงจะมีน้ำไหลออกมา มีผู้ชายคนไหนบ้างที่ไม่ชอบ เจ้าไม่ต้องเกรงใจหรอก ถ้าชอบก็หาทางนอนด้วยเสียเลยสิ ถ้าได้กอดขาใหญ่ๆ แบบนี้ รับรองว่าอนาคตเจ้ายาวไกลไร้ขอบเขตแน่!”
“หน้าอกไม่ใหญ่เท่าเจ้า ก้นไม่งอนเท่าเจ้า ไม่ถูกรสนิยมข้า”
“อย่ามาเล่นลูกไม้เลย! เจ้าตัวเดินเล่นที่ตลาด จะให้ใครเดินเป็นเพื่อนก็ได้ จำเป็นต้องให้เจ้าเดินเป็นเพื่อนด้วยตัวเองเลยเหรอ? เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าไม่ได้มีความคิดอย่างอื่น? ความคิดเจ้าชู้ของผู้ชายอย่างพวกเจ้าน่ะ คิดว่าข้าไม่รู้รึไง? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นอะไรล่ะ? ใครกันที่จะเอาฉินฉีซูฮว่ามาหาความสำราญพร้อมกันทีเดียวสี่คน? น่าไม่อาย อย่ามาแกล้งทำเป็นสุภาพบุรุษต่อหน้าข้าเลย!”
ทำไมผู้หญิงคนนี้รู้แม้กระทั่งเรื่องนี้? เหมียวอี้แอบปาดเหงื่อในใจ แต่ก็ยังต้องพูดแก้ตัว “ก็เจ้าเองไม่ใช่เหรอที่บอกข้าว่าอย่าเฉยเมยกับพวกนาง”
“แต่ก็ไม่ได้บอกให้เจ้าจัดการพร้อมกันสี่คนนี่นา? สองพี่น้องฝาแฝดยังไม่ถึงอกถึงใจใช่มั้ย? คนหน้าไม่อาย น่าสะอิดสะเอียนมั้ยล่ะ ต่อไปนี้อย่ามาแตะต้องตัวข้านะ!”
“ก็ข้าไม่มีเวลาไงล่ะ”
“ถ้ายังเถียงน้ำขุ่นๆ อีก เชื่อมั้ยว่าข้าจะตบปากเจ้า! บอกมา เจ้ากับผู้หญิงคนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกันแน่ มารดาเจ้าเถอะ ถึงขนาดสมคบคิดกันมาอยู่ต่อหน้าข้าแล้ว คิดว่าข้าถูกรังแกได้ง่ายๆ ใช่มั้ย?” อวิ๋นจือชิวจ้องเขาด้วยแววตาที่เหมือนจะมีไฟลุกออกมา ดูเหมือนมีอารมณ์ชั่ววูบที่จะตบเขาจริงๆ
เหมียวอี้ร้องทุกข์ไม่หยุด “แม่ทูนหัวของข้า ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันจริงๆ! เพิ่งจะเจอกันวันนี้เอง เจอกันเป็นครั้งแรก รู้จักกันได้ไม่ถึงสองชั่วยาม จะมีความสัมพันธ์กันได้ยังไง ก็โค่วเหวินหลานนำเครื่องประดับจากร้านเจ้ากลับไปให้พี่สาวน้องสาวของเขาไง พวกนางต่างก็ชมว่าสวยดี ครั้งนี้นางมากับโค่วเหวินหลาน ก็เพราะอยากจะมาเลือกเครื่องประดับที่ร้านเจ้าด้วยตัวเองนี่แหละ ถ้านางไปเขตอื่นก็พอปล่อยผ่านได้ ไม่ต้องให้ข้ามาเป็นเพื่อนเลย แต่ร้านของเจ้าอยู่ในอาณาเขตของข้าพอดีไงล่ะ ถ้าข้าไม่มากับนางก็จะฟังไม่ขึ้นแล้ว! แค่นี้เจ้าก็หึง ไร้เหตุผลเกินไปรึเปล่า?”
อวิ๋นจือชิวคลายความโกรธลงนิดหน่อย พ่นเสียงทางจมูกแล้วามว่า “เพิ่งเจอกันวันนี้จริงเหรอ?”
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงไม่เชื่อมั่นในตัวเขาในด้านผู้หญิงถึงขนาดนี้ จึงถอนหายใจแล้วบอกว่า “จริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้จริงๆ เจ้าได้ยินเมื่อไรว่าน้องสาวของโค่วเหวินหลานเคยมาที่นี่! ถ้าเคยมาจริงๆ เจ้าจะไม่ได้ยินข่าวสักนิดเลยเหรอ?”
อวิ๋นจือชิวบิดเอวเขาหนึ่งที ทิ้งขุนนางเหมียวเอาไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้ม หันตัวเดินไปข้างกายโค่วเหวินจื่อที่กำลังเลือกและลองใส่เครื่องประดับ แจ้งสถานะของตัวเอง แล้วก็ชี้ไปที่เหมียวอี้อีก พูดจาหยั่งเชิงอยู่พักหนึ่ง หลังจากรู้ว่าเพิ่งได้เจอกับเหมียวอี้จริงๆ รอยยิ้มบนใบหน้าถึงได้ดูมีความสุขยิ่งขึ้น
ใช้มุกเดิมอีกแล้ว ข้างในยังมีชิ้นที่สวยกว่านี้ ยังมีเครื่องประดับที่ยังไม่ได้นำออกมาวาง! อวิ๋นจือชิวใช้วิธีการเดิมเพื่อสานสัมพันธ์กับลูกค้าที่เป็นชนชั้นสูง พาโค่วเหวินจื่อเข้ามานั่งในห้องที่งดงามหรูหรา
เหมียวอี้กลอกตามองบน แล้วเดินตามเข้าไป
ตอนวางกล่องเครื่องประดับใบใหญ่ไว้บนโต๊ะเพื่อให้โค่วเหวินจื่อชื่นชม เหมียวอี้ก็แกล้งเข้ามาดูใกล้ๆ แต่มือข้างหนึ่งกลับอยู่ไม่สุข ลูบคลำบีบเค้นบนก้นของอวิ๋นจือชิวเงียบๆ ช่างใจกล้าคับฟ้าจริงๆ
อวิ๋นจือชิวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ดันอยู่ต่อหน้าโค่วเหวินจื่อจึงขัดขืนไม่ได้ นอกจากจะทนรับไปเงียบๆ แล้ว ยังต้องเจียดรอยยิ้มเพื่อสมาคมกับโค่วเหวินจื่ออีก
ไม่ใช่ว่าเหมียวอี้เป็นคนลามก แต่ใช้วิธีการหยอกล้อแบบนี้เพื่อระงับไฟโกรธของฮูหยิน แต่กลับไม่ได้ป้องกันตอนที่อวิ๋นจือชิวหันตัวมากระทืบบนเท้าอย่างแรง ทำให้เหมียวอี้เจ็บแต่ไม่กล้าร้องออกมา
ตอนที่จะออกจากร้าน โค่วเหวินจื่อก็สนิทกับอวิ๋นจือชิวแล้ว ทั้งสองพูดคุยกันปนเสียงหัวเราะ มีทั้งคล้องแขนทั้งจูงมือ สุดท้ายตอนจ่ายเงินก็ต้องให้ราคาพิเศษอย่างเลี้ยงไม่ได้
ก่อนจะออกจากร้าน เหมียวอี้ก็ส่งสายตาให้อวิ๋นจือชิว บอกใบ้ว่าให้มาหาในคืนนี้
อวิ๋นจือชิวขี้คร้านจะสนใจเขา เอาแต่ยิ้มและโบกมือส่งโค่วเหวินจื่อ…
ว่าตอนที่ส่งโค่วเหวินจื่อกลับถึงจวนผู้บัญชาการใหญ่ เหมียวอี้กลับได้รับข่าวที่ไม่ดีจากโค่วเหวินหลาน ย่อมเป็นเรื่องที่หัวหน้าภาคเฉาไม่ยอมปล่อยคนไป
ตอนที่ออกจากจวนผู้บัญชาการใหญ่ เหมียวอี้ก็ส่งข่าวบอกสวีถังหรานทันที แล้วทั้งสองก็ไปที่จวนผู้บัญชาการการเขตเมืองเหนือด้วยกัน ไปหามู่หรงซิงหัว ให้มู่หรงซิงหัวติดต่อเฉาว่านเสียงเพื่อถามถึงสถานการณ์ให้
และสิ่งที่เฉาว่านเสียงตอบมู่หรงซิงหัวก็มีเพียงความหมายเดียว ว่าไม่ต้องเข้ามายุ่ง นี่เจตประสงค์ของเบื้องบน
ท่าทีแบบนี้ได้พิสูจน์คำพูดของปี้เยว่ฮูหยินทางอ้อมแล้วว่าเกี่ยวข้องกับตระกูลอิ๋ง
มู่หรงซิงหัวยังดีหน่อย ถึงอย่างไรก็มีเฉาว่านเสียงคุ้มครอง แต่สวีถังหรานค่อนข้างตึงเครียด กังวลว่าตระกูลอิ๋งอยากจะล้างแค้น
เหมียวอี้ทำสีหน้าจริงจัง ชิงอวี้หลางถูกเขาสังหาร การตายของอิ๋งเหย้าก็เกี่ยวข้องกับเขาทางอ้อม ถ้าตระกูลอิ๋งจะล้างแค้นขึ้นมาจริงๆ อาศัยอำนาจอิทธิพลของตระกูลอิ๋ง เขาก็ไม่มีทางรับไหวเลยตอนนี้ทำได้เพียงรอให้โค่วเหวินหลานไปคุยกับตระกูลโค่วเพื่อหาผลลัพธ์ก่อน
ในคืนนั้น เหมียวอี้ไปร้านโฉมเมฆาผ่านทางใต้ดิน ไปหาอวิ๋นจือชิวเพื่อคุยเรื่องนี้ อวิ๋นจือชิวอาบ้นำหวีผมรออย่างสูญเปล่า ทั้งสองไม่มีอารมณ์จะทำเรื่องระหว่างชายหญิงแล้ว นอนเคียงกันบนเตียงและปรึกษาหารือแผนการที่จะรับมือกับเหตุไม่คาดคิด…
วันต่อๆ มา เหมียวอี้ย่อมไม่ได้อารมณ์ดีสักเท่าไร สวีถังหรานเองก็วิ่งมาหาเขาทุกวัน จะเห็นได้ถึงความกระวนกระวายภายในใจ
หลังจากนั้นหลายวัน โค่วเหวินหลานที่ในมือถือระฆังดาราก็นั่งถอนหายใจอยู่ในชัยภูมิถ้ำสวรรค์
โค่วเหมี่ยนผู้เป็นพ่อนับว่าช่วงชิงให้เขาอย่างเต็มที่แล้ว ถึงขั้นให้พี่ใหญ่โค่วเจิงออกหน้าเอง ฝั่งตระกูลอิ๋งรู้สึกบันเทิงทันที เดิมทีก็แค่อยากจะถือโอกาสทำให้ลูกหลานตระกูลโค่วมีผู้ช่วยที่มีฝีมือน้อยลง และก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรด้วย แค่หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวไม่ได้อยู่ในสายตาตระกูลอิ๋งเลย ใครจะไปคาดคิดว่าจะทำให้พี่น้องตระกูลโค่วออกหน้ามาคุยด้วยตัวเอง
ถ้าไม่ไปหาตระกูลอิ๋ง โค่วเหวินหลานก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะพาพวกเหมียวอี้ไปด้วยได้ การไปหาครั้งนี้…แน่นอน ตระกูลอิ๋งก็ไม่กล้าไม่ปล่อย หนิวโหย่วเต๋อคนเดียวไม่นับว่าสำคัญอะไร แต่ในเมื่อมาหาถึงที่แล้วก็ต้องมีการเจรจาเงื่อนไข
เพียงแต่เงื่อนไขที่เสนอนั้นโหดร้ายไปหน่อย เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลโค่วจะก้มหน้าให้ตระกูลอิ๋งเพื่อหนิวโหย่วเต๋อที่ต่ำต้อยคนเดียว หรือจะหลีกทางให้ผลประโยชน์ของตระกูลเพื่อหนิวโหย่วเต๋อคนเดียว สำหรับตระกูลโค่ว หนิวโหย่วเต๋อในตอนนี้ยัไม่มีค่าพอให้ตระกูลอิ๋งเสนอราคา เรื่องนี้ย่อมคุยไม่สำเร็จ
โค่วเหมี่ยนส่งข้อความมาบอกว่าช่างเถอะ ให้โค่วเหวินหลานยอมแพ้
โค่วเหวินหลานยังอยากจะพยายามอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็รับปากพวกเหมียวอี้ไว้แล้ว แล้วอีกอย่าง พวกเหมียวอี้ก็ช่วยให้เขาได้เลื่อนขึ้นตำแหน่งสูง ถ้าเขาหนีไปคนเดียวโดยไม่สนใจใคร แบบนั้นมันใช่เรื่องเสียที่ไหน? ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ก่อนอื่นคือเขาเสียหน้าไม่ไหว
โค่วเหมี่ยนส่งต่อคำพูดของโค่วเจิง : คนมีฝีมือที่ไม่เติบโตขึ้นมา ก็ไม่ใช่คนมีฝีมือที่จำเป็นต้องมี!
พูดชัดแล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อในตอนนี้ไม่มีค่าพอที่จะให้ตระกูลโค่วจ่ายผลประโยชน์ของตระกูลเพื่อแลกมา
พ่อของเขาพูดโน้มน้าวเขาแล้ว ว่าเดี๋ยวจะหาผู้ช่วยที่มีฝีมือคนอื่นๆ ให้ แน่นอนว่าสิ่งที่ควรจะจ่ายก็ยังต้องจ่าย สั่งโค่วเหวินหลานว่าตอนที่ตัวเองออกจากที่นี่ อย่าปฏิบัติกับพวกหนิวโหย่วเต๋ออย่างขาดความยุติธรรม ตระกูลโค่วไม่ปฏิบัติกับคนที่ทุ่มเททำงานให้ตระกูลโค่วอย่างขาดความยุติธรรม ท่านลุงใหญ่ของเขารับปากแล้วว่าจะจ่ายเงินชดเชยให้ สามารถไปเบิกที่ร้านค้าของตระกูลโค่วได้โดยตรง ทางนี้ได้ประสานงานให้แล้ว
ส่วนตระกูลอิ๋งจะล้างแค้นหรือไม่ โค่วเหมี่ยนบอกลูกชายตัวเองว่าคิดมากเกินไป ตระกูลอิ๋งยังไม่ถึงขั้นทำเรื่องประเภทนี้ หรืออย่างน้อยที่สุด ต่อให้ต้องการจะล้างแค้น แต่ก็คงไม่ลงมือกับคนที่ราชันสวรรค์เพิ่งให้รางวัล ตระกูลอิ๋งไม่มีทางทำผิดข้อห้ามนี้
ให้คำอธิบายมาประมาณนี้…
ท่านลุงใหญ่โค่วเจิงลั่นวาจาแล้ว โค่วเหวินหลานเองก็รู้ว่าฝ่าฝืนไม่ได้แล้ว ได้แต่อับจนปัญญา
หลังจากเรียกพวกเหมียวอี้มาหาแล้ว ก็ให้เข้าไปในบ้านข้างในโดยตรง
ในศาลาที่ชายคาโค้งขึ้น เมื่อเผชิญหน้ากับทั้งสามคน โค่วเหวินหลานก็ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไรดี
เมื่อเห็นท่าทางเขาเป็นแบบนั้น พวกเหมียวอี้ก็รู้สึกได้ว่าท่าไม่ดีแล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ สุดท้ายโค่วเหวินหลานก็ยิ้มอย่างขื่นขม “ครั้งนี้ข้ากลืนคำพูดตัวเองแล้ว ท่านลุงใหญ่ที่เป็นคนดูแลเรื่องต่างๆ ในตระกูลข้าออกหน้าด้วยตัวเองแล้ว แต่ตระกูลอิ๋งก็ไม่ยอมปล่อยพวกเจ้าไป ข้าทำผิดต่อทุกคนแล้ว”
มารดามันเถอะ…เหมียวอี้แอบด่าในใจ
มู่หรงซิงหัวขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
สวีถังหรานกลับถามด้วยสีหน้าน่าเวทนา “ผู้บัญชาการใหญ่ ตระกูลอิ๋งคงไม่อาศัยอำนาจส่วนรวมมาล้างแค้นส่วนตัวกับพวกเราหรอกใช่มั้ย?” เจ้าบ้านี่รักตัวกลัวตายมาก
โค่วเหวินหลานโบกผ้าเช็ดหน้าในมือ “คิดมากไปแล้ว! ตระกูลอิ๋งยังไม่ถึงขั้นทำเรื่องไร้คุณธรรมแบบนั้น ถึงอย่างไรพวกเจ้าก็เพิ่งได้รับรางวัลจากราชันสวรรค์ ตระกูลอิ๋งยังไม่กล้าตบหน้าราชันสวรรค์หรอก แล้วอีกอย่าง ตระกูลโค่วก็ไม่ปฏิบัติกับคนที่เคยทำงานให้อย่างไร้ความยุติธรรม กับเรื่องแบบนี้ พวกเราไม่มีทางที่จะทิ้งพวกเจ้าไว้โดยไม่สนใจใยดี จะต้องแก้ปัญหาที่อาจจะตามมาในภายหลังให้พวกเจ้าแน่นอน ถ้าตระกูลอิ๋งกล้าทำอย่างนั้นจริงๆ พวกเจ้าสามารถติดต่อข้าได้ทุกเมื่อ ถึงตอนนั้นตระกูลโค่วย่อมหาทางคานตระกูลอิ๋งเอาไว้ อย่างมากก็แค่เปิดเผยเรื่องนี้ต่อหน้าราชันสวรรค์โดยตรง ดูซิว่าตระกูลอิ๋งจะทำยังไงได้อีก ถึงตอนนั้นตำหนักสวรรค์อาจจะย้ายพวกเจ้ามาอยู่ใต้บังคับบัญชาของข้าโดยตรงเลยก็ได้” นี่คือสิ่งที่ผู้เป็นพ่อบอกเขาไว้ ถ้าไม่มีแม้แต่ความสามารถที่จะแก้ปัญหาเล็กๆ แค่นี้ ในภายหลังใครจะยังกล้าทำงานให้ตระกูลโค่วอีก
เมื่อได้ฟังแบบนี้ ทั้งสามก็นับว่าโล่งใจแล้ว
จากนั้นโค่วเหวินหลานก็ให้แหวนเก็บสมบัติวงหนึ่ง แม้แต่มู่หรงซิงหัวก็มีส่วน ทั้งสามเห็นแล้วมองหน้ากันเลิกลั่ก พวกเขาได้ยาแก่นเซียนคนละสิบล้านเม็ด เห็นได้ชัดว่าเป็นค่าชดเชยการเลิกจ้าง
หลังจากออกจากจวนผู้บัญชาการใหญ่ สวีถังหรานก็ยืนถอนหายใจอยู่บนบันได “ความฝันที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่สลายไปแล้ว เสียแรงที่ดีใจ เดี๋ยวอีกหน่อยก็ไม่รู้ว่าคนชั่วที่สมควรโดนฆ่าสักพันดาบคนนั้นจะดูแลปรนนิบัติดีหรือเปล่า!”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “เกรงว่าต่อไปชีวิตคงจะไม่สงบสุขสักเท่าไรหรอก เลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนมาทำให้พวกเราลำบากใจ เรื่องโยกย้ายกำลังพล ตระกูลโค่วเข้ามาแทรกแซงทางนี้ไม่ได้เชียวเหรอ? ทำไมเรื่องเล็กแค่นี้ต้องไปถึงหูตำหนักสวรรค์?”
“พอแล้ว! เลิกบ่นกันสักที รักษาชีวิตไว้ได้ก็ไม่แย่แล้ว!” มู่หรงซิงหัวกล่าว
สายตาของสวีถังหรานไปหยุดอยู่บนตัวนาง แววตาเป็นประกายเล็กน้อย กำลังครุ่นคิดว่าถ้าผู้หญิงคนนี้กลายเป็นฮูหยินของเฉาว่านเสียง ถ้าอย่างนั้นชีวิตในภายหลังก็อาจจะไม่ได้ทุกข์ยากสักเท่าไรก็ได้
วันต่อมา โค่วเหวินหลานที่ส่งต่องานเสร็จก็บอกลาตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ปี้เยว่ฮูหยินนับว่าไว้หน้าเขาเต็มที่ เรียกทหารสวรรค์ทุกคนที่ไม่ได้เข้าเวรไปรวมตัวกันที่นอกประตูฝั่งตะวันออก นางโผล่หน้าไปส่งด้วยตัวเอง เป็นฉากที่อลังการงานสร้าง!
หลังจากกล่าวอำลาปราศัยกับปี้เยว่ฮูหยินพักหนึ่ง โค่วเหวินหลานก็กุมหมัดอำลาและขอบคุณต่อหน้าทุกคน! จากนั้นก็นำน้องสาวตัวเองเหาะขึ้นฟ้าไปพร้อมผู้ติดตามคุ้มกันส่งหลายคนที่ปี้เยว่ฮูหยินส่งไป จากลากันตรงนี้
ขอบเขตที่ตำหนักสวรรค์ปกครองใหญ่ขนาดนี้ กอปรกับที่นี่ไม่ใช่ขอบเขตอำนาจของตระกูลโค่ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไร เกรงว่าทั้งชีวิตนี้โค่วเหวินหลานก็อาจจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว
หลังจากมองส่งพวกโค่วเหวินหลานหายลับไปในขอบฟ้า จู่ๆ ปี้เยว่ฮูหยินที่ยืนอยู่หน้าสุดก็สะบัดกระโปรง หันตัวมาหากลุ่มคน ใช้สายตามั่นคงสงบนิ่งกวาดมอง สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่ตัวเหมียวอี้ แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ก้าวขึ้นมาฟังคำสั่ง!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา คนหลายพันที่อยู่ตรงนั้นก็พากันงุนงง นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานตกใจพร้อมกัน ทั้งคู่มองไปทางเหมียวอี้อย่างเป็นกังวล
มารดาจ้าเถอะ! จะลงดาบกับข้าคนแรกจริงๆ ด้วย! เหมียวอี้แอบด่าแม่ในใจ การล้างแค้นนี้เร็วไปหน่อยหรือเปล่า อย่าบอกนะว่าจะลดตำแหน่งให้ข้าไปนั่งอยู่ในศาลเจ้าของพื้นที่ที่ทุรกันดารอันตราย? นี่ต้องการจะทำให้ข้าดูแย่ต่อหน้าทุกคนชัดๆ
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ฝ่าฝันคำสั่งต่อหน้าฝูงชนเท่ากับรนหาที่ตาย ทำได้เพียงแข็งใจก้าวขึ้นมาข้างหน้า เดินมาตรงหน้าปี้เยว่ฮูหยินแล้วกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยฟังคำสั่ง!”
ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกหนิวโหย่วเต๋อมีความสามารถโดดเด่น ในการทดสอบของตำหนักสวรรค์ได้เพิ่มเกียรติยศให้ดาวเทียนหยวน มีผลงานให้ตบรางวัล! เลื่อนขั้นเป็นกรณีพิเศษให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของดาวเทียนหยวนตลาดสวรรค์ กิจธุระทั้งหมดผู้บัญชาการตลาดสวรรค์ รับตำแหน่งและจัดระเบียบใหม่เดี๋ยวนี้ ชักช้าไม่ได้!” ขณะที่พูดก็ยื่นแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งให้แผ่นหนึ่ง
…………………………
บทที่ 1062 คนชั่วที่สมควรโดนฆ่าพันดาบ
โดย
Ink Stone_Fantasy
อะไรนะ? เหมียวอี้ที่กำลังกุมหมัดคารวะพลันเงยหน้าขึ้น มองปี้เยว่ฮูหยินด้วยแววตางุนงง ไม่รู้ว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า การตายของอิ๋งเหย้าเกี่ยวข้องกับเขาทางอ้อม ยังเลื่อนขั้นให้เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ได้อีกเหรอ จริงหรือล้อเล่น?
มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานมองหน้ากันเลิกลั่ก สงสัยเหมือนกันว่าจริงหรือล้อเล่น ขนาดทำให้ตระกูลอิ๋งไม่พอใจ ปี้เยว่ฮูหยินยังเลื่อนขั้นให้หนิวโหย่วเต๋อเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้อีกเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์เชียวนะ! เป็นตำแหน่งที่มั่งคั่งขนาดไหน ถ้าไม่ใช่คนที่มีภูมิหลังจะขึ้นนั่งตำแหน่งนี้ได้อย่างไร
เป่าเหลียนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนตกตะลึง!
นอกประตูเมืองตะวันออกที่ถูกทหารปิดล้อมเงียบพริบเป็นแถบๆ…อากาศวันนี้ไม่เลวเลย ท้องฟ้าสีครามหมื่นลี้ สายลมพัดเย็นระรื่น
ปี้เยว่ฮูหยินที่กระโปรงพลิ้วไหวอยู่ท่ามกลางสายลมเบาๆ ถามเสียงเรียบว่า “เป็นอะไรไป? เจ้าคิดจะฝ่าฝืนคำสั่งเหรอ?”
เหมียวอี้รีบก้าวขึ้นมาข้างหน้า ใช้สองมือรับแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งมาตรวจอ่านอย่างระมัดระวัง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่ผิดพลาด ก็กุมหมัดกล่าวว่า “ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
ปี้เยว่ฮูหยินไม่ได้พูดอะไรมาก หลังจากแต่งตั้งตำแหน่งท่ามกลางฝูงชน ก็โยนป้ายคำสั่งผู้บัญชาการใหญ่ที่โค่วเหวินหลานส่งคืนให้กับเหมียวอี้ แล้วนำผู้ติดตามเหาะจากไป
เหมียวอี้หันตัวมาช้าๆ มองดูเงาร่างเหาะเข้าไปในเมือง ยังคงรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป รู้สึกไม่ค่อยสมจริงสักเท่าไร เคยคิดว่าจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่หลังจากติดตามโค่วเหวินหลานไป แต่นึกไม่ถึงว่าจะได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่ตลาดสวรรค์ เป็นเพราะตำแหน่งนี้มั่งคั่งเกินไปจริงๆ!
ตนอที่ถูกทำให้ตกใจจนได้สติกลับมา ก็เป็นเสียงของคนหลายพันที่กุมหมัดกล่าวทำความเคารพพร้อมกัน “คารวะผู้บัญชาการใหญ่!”
เขายืนเด่นตระหง่านอยู่ตรงนั้น ราวกับนกกระเรียนท่ามกลางฝูงไก่ มองดูทุกคนที่กำลังก้มศีรษะให้เขาอย่างงุนงง
เขาเห็นมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานทำสายตาตกตะลึง และเห็นฝูชิงกับพวกอิงอู๋ตี๋ทำสายตายินดีปรีดาเช่นกัน
มีทหารสวรรค์มากมายที่ในดวงตาฉายแววเร่าร้อนกระเหี้ยนกระหือรือ หลังจากหยางไท่ผู้บัญชาการเขตเมืองใต้ตายแล้ว ตำแหน่งก็ว่างมาตลอด ให้รองผู้บัญชาการสองคนรักษาการณ์แทนเสมอมา ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่จ้องอยากได้ตำแหน่งนี้ ตอนนี้ท่านนี้ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่แล้ว เท่ากับมีตำแหน่งผู้บัญชาการว่างสองตำแหน่ง เมื่อมีการเลื่อนตำแหน่งจากข้างล่างขึ้นข้างบน จะต้องมีการเติมตำแหน่งว่างลำดับถัดมา หมายความว่าจะมีการเลื่อนขั้นแบบต่อเนื่องกันเป็นชุด ไม่รู้ว่าตัวเองจะมีส่วนเกี่ยวข้องนี้หรือเปล่า แค่คิดก็รู้แล้วว่าทุกคนรู้สึกกระวนกระวายขนาดไหน
“ยืนขึ้นเถอะ!” เหมียวอี้ที่ได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่อย่างประหลาดมหัศจรรย์ผายมือสองข้าง ในหัวยังคงคิดว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่
ตอนนี้เขาเพิ่งจะนึกได้ถึงสิ่งที่เฉาว่านเสียงเคยพูดต่อหน้าเขาในตอนแรก เรื่องที่จะเลื่อนขั้นให้เขาเป็นผู้บัญชาการใหญ่ แต่ตอนนั้นใครจะไปคิดเป็นจริงเป็นจัง พอมาดูตอนนี้แล้ว…อย่าบอกนะว่าเกี่ยวข้องกับเฉาว่านเสียงจริงๆ? เฉาว่านเสียงไม่จำเป็นต้องดูแลตนดีขนาดนี้สิ? ถ้าจะดูแลจริงๆ คนแรกที่ต้องดูแลก็ต้องเป็นมู่หรงซิงหัวสิถึงจะถูก?
“หนิวโหย่วเต๋อผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์แล้ว…”
ข่าวกระจายไปทั่วตลาดสวรรค์เร็วมาก ถึงอย่างไรปี้เยว่ฮูหยินก็จงใจประกาศต่อหน้าฝูงชน ถ้าไม่อยากให้ข่าวแพร่เร็วๆ ก็คงยาก
โค่วเหวินหลานกำลังจะไปแล้ว หวงฝู่จวินโหรวกับเขานับว่าเป็นสหายกัน ย่อมต้องมาส่งด้วยอยู่แล้ว เพียงแต่นางไม่ใช่ขุนนาง ไม่สามารถไปรวมกลุ่มกับทหารสวรรค์ด้านนอกกำแพงเมืองได้ เพียงกุมหมัดคารวะอยู่ริมถนนในกำแพงเมือง ในตอนนี้ได้ยินแล้วก็ตะลึงงันเช่นกัน สีหน้าสื่ออารมณ์ซับซ้อน!
“เถ้าแก่เนี้ย! นายท่านได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์แล้ว!”
ณ ร้านโฉมเมฆา ช่างไม้ที่ถูกส่งไปจับตาดูตอนโค่วเหวินหลานจากที่นี่ไป ตอนนี้วิ่งกลับมาที่ลานบ้านด้านหลังอย่างตื่นเต้นดีใจ มากระโดดโลดเต้นแจ้งข่าวให้อวิ๋นจือชิวรู้
เชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์กำลังนั่งทำตารางอยู่ในศาลา เหมียวอี้นำมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินกลับมา ทำให้ได้แผนที่ซ่อนเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดินกลับมาด้วย ถ้าจะให้เทียบดูเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรอีกครั้งนั้นยากเกินไป อวิ๋นจือชิวสงสัยว่าหลังจากหาเคล็ดวิชาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าภาคดินเจอแล้วจะมีอย่างอื่นโผล่มาอีก จึงตัดสินใจว่าจะนำภาพพิกัดดาวหลักทั้งหมดที่หวงฝู่จวินโหรวมอบให้มาร่างเป็นตาราง ยกตัวอย่างเช่นใกล้ๆ ดาวหลักมีดาวรองกี่ดวง ถึงตอนนั้นถ้าตรวจหาจากตารางก็จะสะดวกขึ้นเยอะมาก จะได้ไม่ต้องเอาแต่งมเข็มในมหาสมุทรทุกรอบให้เหนื่อยแย่
เรื่องนี้ไม่สะดวกจะยืมมือคนอื่น ทำได้เพียงใช้คนที่สนิทและไว้ใจได้ จึงลำบากเชียนเอ๋อร์เสวี่ยเอ๋อร์แล้ว
เหมียวอี้ชินกับการโยนงานให้คนอื่นทำแล้ว ขี้เกียจยุ่งกับเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ มิหนำซ้ำเขาก็ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องรับมือ เขาคนเดียวแบ่งกำลังวังชาไปจัดการกับทุกเรื่องในเวลาเดียวกันไม่ไหว ดังนั้นจึงโยนให้เมียตัวเองดูแลแทน
เมื่อช่างไม้ส่งข่าวมา เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ก็เงยหน้ามองมาพร้อมกัน
อวิ๋นจือชิวกำลังถือแผ่นหยกตรวจดูตารางที่ร่างเสร็จแล้วส่วนหนึ่ง นางได้ยินแล้วก็งงเช่นกัน จึงขมวดคิ้วถามทันที “พูดเหลวไหลอะไรของเจ้า! จะเป็นไปได้ยังไง คนที่ไม่มีภูมิหลังจะไปนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้ยังไง? ไปสืบให้ชัดแล้วค่อยมารายงาน!”
ช่างไม้พูดกลั้วหัวเราะว่า “เถ้าแก่เนี้ย ไม่ได้เข้าใจผิดจริงๆ ตอนอยู่ในเมืองข้าได้ยินเสียงปี้เยว่ฮูหยินถ่ายทอดคำสั่งแต่งตั้งเองเลย แล้วก็ได้ยินนายท่านเอ่ยรับคำสั่งด้วย แถมยังได้ยินกำลังพลกล่าวคารวะนายท่าน ตอนนี้ข่าวกำลังแพร่กระจายไปทั่วเมือง ท่านลองออกไปเดินก็จะได้ยินข่าวนี้ ไม่ผิดพลาดแน่”
“…” อวิ๋นจือชิวทำสีหน้างุนงง จริงหรือล้อเล่น ทางนี้เตรียมตัวจะถอยกลับไปหลบภัยที่พิภพเล็กหากตระกูลอิ๋งมาล้างแค้น ทำไมชั่วพริบตาเดียวถึงกลายเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ไปแล้ว เรื่องนี้เปลี่ยนแปลงหักมุมมากเกินไปแล้วมั้ง?
นางไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับเหมียวอี้ ถามว่า : หนิวเอ้อร์ นี่มันเรื่องอะไรกัน? ได้ยินว่าจ้าได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์แล้วเหรอ?
เหมียวอี้ : ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงกันแน่ ไม่คุยแล้ว ข้ามาถึงตำหนักคุ้มเมืองแล้ว เตรียมจะมาถามปี้เยว่ฮูหยินให้ชัดเจนว่านี่มันเรื่องอะไรกัน กลับไปค่อยเล่ารายละเอียด
เหมียวอี้มาถึงตำหนักคุ้มเมืองแล้วจริงๆ ตอนนี้ทหารยามที่ตำหนักคุ้มเมืองปล่อยให้เขาเข้าไปตลอดทาง ไม่มีใครขัดขวาง กลับมีคนคารวะเรียกว่าผู้บัญชาการใหญ่ตลอดทางด้วยซ้ำ ทางนี้ได้รับคำสั่งมาและรู้แล้วว่าในปัจจุบันท่านนี้คือตัวละครสำคัญของตลาดสวรรค์!
การเปลี่ยนแปลงที่มาอย่างกะทันโดยไม่ได้เตรียมใจสักนิด ทำให้เหมียวอี้ปรับตัวไม่ค่อยได้
เมื่อมาถึงตำหนักหลังและรายงานตัวแล้ว ก็ถูกพาเข้าไปในศาลายาวของสวนดอกไม้ด้านหลังที่ปลูกดอกไม้ใบหญ้าแปลกๆ ไว้ทั่วบริเวณ
ปี้เยว่ฮูหยินกำลังอุ้มและลูบจิ้งจอกขนสีชมพูเบาๆ หรี่ตายิ้มมองดูเหมียวอี้ที่เดินเข้ามาทำความเคารพ แล้วบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ต้องมากพิธี ราชันสวรรค์ลั่นวาจาอันศักดิ์สิทธิ์ ข้ารับไว้ไม่ไหวนะ!”
นี่นับว่าพูดประชดหรือเปล่า? เหมียวอี้ยิ้มเจื่อนพร้อมถามว่า “ฮูหยิน พูดความจริงโดยไม่ปิดบัง มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าน้อยไม่เข้าใจ ทำไมข้าน้อยถึงได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ล่ะ?”
“นึกไม่ถึงใช่มั้ยล่ะ?” ปี้เยว่ฮูหยินถามพร้อมยิ้มอย่างสนิทสนม
“นึกไม่ถึงจริงๆ ขอรับ ตอนที่อยู่จวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าชวดอี่ ข้าเคยได้ยินหัวหน้าภาคเฉาเอ่ยถึง เพียงแต่รู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้…” เหมียวอี้กล่าว
ปี้เยว่ฮูหยินพูดตัดบทว่า “รู้สึกว่าต้องติดตามโค่วเหวินหลานไป เลยไม่ได้เก็บมาใส่ใจใช่มั้ย?”
“…” เหมียวอี้ลังเลครู่หนึ่ง แล้วแข็งใจกล่าวอย่างยากลำบากว่า “ใช่ขอรับ! มีเรื่องบางเรื่องที่ทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ต่อให้ต้องการจะเลื่อนขั้น แต่คนแรกที่หัวหน้าภาคเฉาต้องดูแลก็ยังเป็นมู่หรงซิงหัว ทำไมถึงให้ข้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่ของตลาดสวรรค์ได้?”
“จนป่านนี้แล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่าที่ตัวเองได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการใหญ่เป็นเจตนาขอเฉาว่านเสียง?” ปี้เยว่ฮูหยินเหล่ตามองพลางยิ้มเย้ย “เจ้าคิดว่าถ้าข้าไม่อนุญาต เฉาว่านเสียงจะกล้ากล้าเข้ามาแทรกแซงการแต่งตั้งคนในสังกัดของข้าเหรอ?”
พูดแบบนี้เท่ากับเปิดเผยแล้ว การเลื่อนขั้นให้เจ้าไม่เกี่ยวกับเฉาว่านเสียง เป็นเจตนาของข้าคนเดียวเท่านั้น เจ้าต้องตามหาผู้มีพระคุณให้ถูกคน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตอนที่รับมือกับโค่วเหวินหลาน นางก็ให้เฉาว่านเสียงเป็นคนชั่วแทน ส่วนคนดีที่ควรสำนึกบุญคุณ นางก็จะเป็นเอง นี่คือสิ่งที่ท่านโหวเทียนหยวนวางแผนไว้ให้นาง
เหมียวอี้ตะลึงงัน นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามว่า “เหตุใดฮูหยินจึงดูแลข้าน้อยถึงขนาดนี้?”
ปี้เยว่ฮูหยินกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ความสามารถที่เจ้าแสดงในการทดสอบ ข้าเห็นมากับตาตัวเองแล้ว ข้าสนใจเจ้ามาก ถึงได้ใช้ให้ปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญ หวังว่าเจ้าจะไม่ทรยศต่อจิตใจที่ทุ่มเทเพาะเลี้ยงอุ้มชู ตราบใดที่เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังเหมือนกัน ในภายหลังถ้ามีโอกาส ข้าจะช่วยเจ้าคุยกับทางท่านโหวเทียนหยวนให้ ถึงแม้ตระกูลโค่วจะเป็นต้นไม้ใหญ่ แต่ภาระที่ต้องรับผิดชอบกลับหนัก ติดตามรับใช้ข้าก็ไม่ได้แย่ไปกว่าติดตามโค่วเหวินหลาน หลักการนี้เจ้าคงจะเข้าใจเหมือนกัน!”
นี่ต้องการจะให้ข้าเป็นลูกน้องคนสนิทเหรอ? เหมียวอี้ลังเลนิดหน่อย แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ข้าน้อยได้ยินว่าท่านโหวกับตระกูลอิ๋งมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน!”
ปี้เยว่ฮูหยินยิ้มพร้อมกล่าวว่า “แบบนั้นก็กำจัดความกังวลของเจ้าได้พอดีเลยไม่ใช่เหรอ? ถ้าตระกูลอิ๋งจะแตะต้องคนของข้า ถ้าไม่ผ่านด่านของท่านโหวก่อนแล้วจะทำได้อย่างไร? อย่างน้อยตระกูลอิ๋งก็ยังต้องไว้หน้าท่านโหวบ้าง! เอาล่ะ! ไม่ต้องคิดมากแล้ว เจ้าแค่ต้องตั้งใจบริหารตลาดสวรรค์ให้ดี ข้าจะคอยสนับสนุนเจ้าอยู่เบื้องหลังทุกเรื่อง สิ่งที่ข้าขอจากเจ้าก็มีเพียงเท่านี้ ตำหนักสวรรค์เปลี่ยนทิศทางการพัฒนาแล้ว กำลังพลของตลาดสวรรค์จะเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกต่อไป ถ้าเกิดเรื่องขึ้นก็ต้องดึงตัวออกไป…ก็เหมือนกับการทดสอบครั้งนี้ จะต้องนำออกมาใช่งานได้!”
ตอนที่ออกมาเหมียวอี้ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นดีใจเลยสักนิด เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันและไม่ได้อยู่ในข้อวินิจฉัยของตัวเอง มักทำให้เขารู้สึกค่อนข้างไม่สงบใจ
ขณะที่มองส่งเหมียวอี้จากไป ปี้เยว่ฮูหยินก็ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ จู่ๆ ในดวงตาก็ฉายแววปรารถนา ลูบจิ้งจอกสีชมพูที่อยู่ในอ้อมกอด พร้อมกระซิบเสียงต่ำว่า “คืนนี้เป็นเขาแล้วกัน!”
จิ้งจอกที่อยู่ในอ้อมกอดนางหลับตาลงด้วยความขมขื่นใจทันที…
ด้านนอกตำหนักคุ้มเมือง มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานกำลังรอเหมียวอี้ พอเห็นเหมียวอี้ก็ทำสายตาเหมือนสอบถาม
เหมียวอี้มายืนตรงกลางระหว่างทั้งสอง สองมือประสานอยู่ในแขนเสื้อ แล้วเหล่ตามองสวีถังหรานพร้อมบอกว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ที่ชั่วร้ายและสมควรโดนฆ่าพันดาบที่เจ้าพูดถึงก็คือข้าจริงๆ”
ปาดเหงื่อ! ใครจะไปคาดคิดล่ะ! สวีถังหรานรีบกุมหมัดคารวะทันที “ข้าน้อยพูดผิดไปแล้ว นายท่านโปรดระงับโทสะ!” เขากังวลว่าเหมียวอี้จะคิดบัญชีเก่าและบัญชีใหม่พร้อมกัน การด่าทอผู้บังคับบัญชาแบบต่อหน้าไม่ใช่เรื่องเล็กๆ
มู่หรงซิงหัวเม้มปากยิ้มเบาๆ
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ครั้งนี้ช่างเถอะ ต่อไปอย่าชิงตัวผู้หญิงต่อหน้าฝูงชนอีกนะ ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นอีก ที่ดาวเทียนหยวนก็มีศาลเจ้าที่อยู่ไม่น้อย ข้าจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างขาดความยุติธรรมหรอก ข้าจะให้เจ้าเลือกเองว่าจะไปนั่งคุมที่ไหน”
“รับทราบ! ข้าน้อยเลอะเลือน จะไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนั้นอีกแน่นอน” สวีถังหรานกล่าวอย่างหวาดหวั่น คนตำแหน่งสูงกว่ากดคนตำแหน่งต่ำกว่าชัดๆ!
“ทำตามข้อบังคับเดิมไปก่อน ส่วนระเบียบข้อบังคับอื่นๆ รอข้าคิดเสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน ต่างคนต่างไปทำงานของตัวเองเถอะ!” เหมียวอี้กล่าวหัวเราะเจื่อน พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเหาะจากไป
“รับทราบ!” หลังจากกุมหมัดคารวะพร้อมกันแล้ว ทั้งสองก็ยืนตรงแล้วสบตากันแวบหนึ่ง
สวีถังหรานโล่งใจแล้ว มองดูคูเมืองที่กว้างใหญ่รอบๆ แล้วถอนหายใจ “คนเราต่างกันจนน่าโมโห ตั้งแต่ร้านขายของชำซื่อตรงเปิดจนถึงตอนนี้ใช้เวลาไม่กี่ร้อยปีเอง ชั่วพริบตาเดียวท่านนี้ก็กลายเป็นเจ้าของตลาดสวรรค์แล้ว เร็วจริงๆ!”
มู่หรงซิงหัวหัวเราะแล้วบอกว่า “ไม่ต้องอิจฉาหรอก ถ้าเจ้าฆ่าชิงอวี้หลางได้ ตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ก็จะเป็นของเจ้า”
สวีถังหรานหดคอแล้วพึมพำเบาๆ ว่า “ไม่มีความสามารถอย่างนั้นหรอก! ขอแค่รักษาตำแหน่งปัจจุบันไว้ได้ก็ดีแล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลนี่ แต่ข้าตกอยู่ในอันตรายแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่โค่วไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนมากมายกำลังจ้องตำแหน่งข้าอยู่ก็ได้ ถึงตอนนั้นคนที่ไปใช้เส้นสายกับผู้บัญชาการใหญ่หนิวคงจะมีเป็นโขยง ข้าจะนับว่าสำคัญอะไรล่ะ!”
มู่หรงซิงหัวเงียบไป สิ่งที่สวีถังหรานกังวลก็ใช้ว่าจะไม่มีเหตุผล คนที่ไม่มีภูมิหลังอะไรอย่างสวีถังหราน ถ้าอยากจะยึดตำแหน่งผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกก็เป็นเรื่องที่ดันทุรังจริงๆ เมื่อไม่มีคนหนุนหลังที่ใหญ่เหมือนโค่วเหวินหลานคอยคุ้มครอง ถ้าเบื้องบนมีบุคคลสำคัญคนไหนมาหาผู้บัญชาการใหญ่หนิว ก็เกรงว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะต้านแรงกดดันนี้ไม่ไหว ดีไม่ดีแม้แต่ผู้บัญชาการใหญ่หนิวเองก็จะครองตำแหน่งนี้อย่างลำบากเหมือนกัน ต้องดูแล้วว่าทางปี้เยว่ฮูหยินจะสนับสนุนได้มากขนาดไหน!
…………………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น