องครักษ์เสื้อแพร 1055-1057
ตอนที่ 1055 คนใหม่
Ink Stone_Fantasy
ล่วงเข้าสู่เดือนสามปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 18 หวังเซี่ยใกล้สามขวบแล้ว ดูแล้วตัวใหญ่กว่าเด็กทั่วไปมาก หากไม่พูด ยังคิดว่าเป็นเด็กน้อยหกขวบ กินดีอยู่ดี พ่อแม่มาจากครอบครัวสายบู๊ แน่นอนมีเชื้อสายดี แต่ทว่าทำให้คนรับแทบไม่ไหวก็คือพลังงานเยอะมาก
เด็กตัวแค่นี้เองกลับมีกำลังใช้ไม่หมดไม่สิ้น วันๆ เอาแต่วิ่งไปวิ่งมาในจวนไม่หยุด เรียนเสร็จก็จะชอบมาขลุกที่ทำงานหวังทง อะไรก็ไม่รู้ แต่กลับชอบถาม คำถามล้วนมีมาไม่หยุด ทำเอาเสียงหัวเราะขำมากมาย ทำให้ใต้เท้าหลายคนต้องปวดหัวมาก
หวังทงเดิมคิดว่าตนเองรักเด็ก แต่ตอนนี้ถูกทำเอาปวดหัวไปหมด หวังเซี่ยก็หนึ่งแล้ว ยังมีหวังจงกับหวังหลันที่ยังอยู่ในวัยทารก ในจวนไม่อาจรักไม่เท่ากัน ต้องไปดูแลสักหน่อย แต่เด็กสองคนไม่คุ้นกับหวังทง พออุ้มขึ้นก็แผดเสียงร้องจ้า แต่ไม่ไปก็ไม่ได้ ช่างยุ่งยากแท้
ยามว่าง หวังทงกับหยางซือเฉินสนทนากันอยู่ พูดถึงเรื่องเด็กๆ ล้วนหัวเราะดัง นับเป็นความสุขท่ามกลางงานราษฎร์งานหลวงที่วุ่นวาย
เดือนสามเรื่องราวไม่น้อย นอกจากธนาคารกับโรงผลิตเงินที่กำลังเตรียมการแข็งขันแล้ว พี่น้องตระกูลปัวมายังเมืองซงเจียง ปัวอิงกับปัวอู่ ปัวอิงเป็นบุตรชายรองปัวเฉิงเอิน ปัวอู่เป็นบุตรชายคนโตปัวไป้บุตรบุญธรรมปัวอวิ๋น พวกเขาสองคนมาถึง ก็คิดจะมาเป็นทหารติดตามหวังทง
อิทธิพลอำนาจตระกูลปัวที่หนิงเซี่ยถูกหวังทงถอนรากไปแล้ว ส่วนหนึ่งไปเมืองกุยฮว่าเฉิง ส่วนหนึ่งไปเทียนจินกับเมืองหลวง แม้ว่าไม่มีอำนาจล้นฟ้า แต่ก็มีอำนาจวาสนาไม่น้อย
รอให้ลูกหลานตนได้มาติดตามเป็นผู้คุ้มกันนับเป็นธรรมเนียมที่รู้กัน ตระกูลปัวอยู่ตะวันตกเฉียงเหนือมานาน ตำแหน่งหวังทงนั้นสูงระดับใดไม่รู้แม้แต่น้อย พลาดตอนทัพใหญ่ยกทัพปราบตะวันออกทำลายเผ่าหนี่ว์เจินแห่งเจี้ยนโจว หากตอนนั้นได้ติดตามไป กลับมาย่อมมีความชอบติดไม้ติดมือมา
พลาดโอกาสนั้นไป เห็นหวังทงไปยังเมืองซงเจียง จึงได้ไม่กล้ารอช้า คิดลำบากใจกันอยู่นาน ถึงตอนนี้จึงได้เข้าใจ ตระกูลปัวตอนนี้มาอยู่ข้างกายหวังทงยังอาจขอตำแหน่งได้ สำหรับที่อื่น ผู้ใดจะสนใจตระกูลปัวเจ้า ตอนนี้เป็นแค่ตระกูลใหญ่มีเงินทอง คนเช่นนี้มีมากนัก
ปัวอิงปีนี้ 17 ปัวอู่ปีนี้ 15 บางทีตอนเด็กได้กินเนื้อมาก ดูแล้วจึงรูปร่างสูงใหญ่กว่าเด็กอื่นไม่น้อย ล้วนกำยำล่ำสัน ขาโก่ง คนพวกนี้ขี่ม้าเก่ง ธนูยิงได้ไม่เลว หวังทงแน่นอนรับไว้
พูดไปแล้ว ปัวเฉิงเอินส่งบุตรชายรองมา ปัวอวิ๋นส่งบุตรชายคนโตมา ตระกูลปัวสองสายให้ความสำคัญกับหวังทงต่างกัน แต่ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่หวังทงสนใจ
มีตระกูลปัวมา ทำให้อู๋เอ้อร์ถือโอกาสนำบุตรชายหลายคนของตนมาขอด้วย ตระกูลอู๋แม้ว่าเป็นนักเลงใหญ่ซานตง แต่ก็เป็นแค่ตระกูลใหญ่ในพื้นที่ อาศัยคนมาก ตระกูลอู๋ตอนนี้ต้องเดินไปกับหวังทงให้สุดทางแล้ว แน่นอนหวังว่าได้เข้าใกล้ชิดอีกนิด ยิ่งดี สองคนที่ใกล้ชิดอู๋เอ้อร์ หนึ่งลูกชายอู๋เอ้อร์อายุน้อย สองลูกชายพี่น้องอู๋เอ้อร์ อู๋หงกับอู๋ไห่จึงได้รับการเสนอตัว ล้วนเป็นเด็กน้อยมีฝีมือ เคยฝึกในกองทัพมา
ล้วนคนกันเอง อย่าได้เสียน้ำใจ ล้วนรับเป็นทหารติดตาม ให้ซาตงหนิงรวมฝึก ตามจดหมายว่า บุตรชายถานปิง นามถานหย่งก็กำลังเดินทางมา
ข้างกายมีลูกหลานคนสนิทมาก แม้รักษาวินัยเข้มข้น แต่ทุกคนมารวมกันก็ย่อมคึกคักมาก สถานการณ์ตอนนี้ไม่รู้ว่าทำไมทำให้หวังทงรู้สึกไม่สบายใจ
เริ่มแรก ข้างกายตนมีแต่คนตระกูลถาน ต่อมาเป็นพวกถานต้าหู่และเอ้อร์หู่ ตอนนี้มีคนตายไปในสนามรบบ้าง มีคนป่วยบ้าง ยังมีคนออกไปรับตำแหน่งที่อื่นบ้าง เปลี่ยนเป็นคนหนุ่มชุดใหม่ ไม่รู้พวกเขาเมื่อใดจะได้ออกไปสร้างอาณาเขตตนเองได้ เมื่อใดถึงเวลาจากตนไป
เด็กหนุ่มเหล่านี้มา ก็ล้วนนอบน้อมต่อหวังทงมาก แต่ทว่าแต่ละตระกูลเลี้ยงดูมาดีไป ยังได้ฝึกยุทธกันมาก ล้วนคิดว่าตนเองเก่งกล้าที่สุด ไม่ยอมลงให้กัน ไม่ค่อยเคารพซาตงหนิง
แก้ปัญหานี้ก็ง่ายมาก ณ สนามฝึกในจวนเหลียวกั๋วกง ทุกคนประลองกันด้วยไม้พลอง ผลปรากฏแต่ละคนล้วนไม่เกินสามกระบวนก็ถูกซาตงหนิงตีร่วง บ้างก็ล้มลงกับพื้น ยอมรับซาตงหนิงจากใจแล้ว จัดไปเป็นทหารประจำหน่วยคุ้มกัน วันหน้าย่อมเก่งกล้าเป็นหลักได้
จนสุดท้าย คนที่มาใหม่เหล่านี้จึงได้รู้ระดับความสามารถตนเอง ในกองกำลังตนบางทีพวกเขาอาจพื้นฐานดีกว่าทหารปลายแถว แต่ด้วยกำลังกับประสบการณ์แล้วก็สู้ไม่ได้
ดีที่เด็กหนุ่มยังอายุน้อย ถูกกำราบไป ในใจไม่มีความแค้น กลับมีความตั้งใจจะฝึกซ้อม หวังทงเข้าใจเรื่องนี้ดี คนของเขาก็ถูกฝึกกันมาเช่นนี้
*****************
ไท่หูกว้างใหญ่ กองกำลังทางน้ำกลับอ่อนแอ ไท่หูหรือแม้แต่บริเวณโดยรอบ เห็นชัดว่าเป็นพื้นที่กฎหมายแผ่นดินหมิงไปไม่ถึง ตอนนี้เมี่ยวลั่งเป็นคนหวังทงมาดูแล ตอนนั้นเคยเป็นคนใหญ่คนโตในไท่หู ตอนนี้กลับมาจากเมืองหลวง กำลังอย่างไรก็ทรงอิทธิพลน้อยลง แต่อาวุธและเรือดีไม่น้อย ยังมีสายสัมพันธ์ทางการ อิทธิพลจึงค่อนข้างยิ่งใหญ่กว่าเมื่อก่อน
กำลังคุ้มกันหวังทงรับเอาคนหนุ่มมาไม่น้อย เมี่ยวลั่งก็ส่งบุตรชายสองคน เมี่ยวจินหลงและเมี่ยวอิ๋นหลงอายุพอๆ กันมาด้วย ตอนเด็ก เมี่ยวลั่งยังคิดให้เรียนหนังสือ แต่วันนี้สู้มาจนมีวันนี้ได้ เด็กพวกนี้ไม่อาจเรียนหนังสือแล้ว ได้แต่ส่งให้ทำการค้าและฝึกยุทธแล้ว
เมี่ยวลั่งตอนนี้เป็นขุนพลทหารของหวังทง แต่เมี่ยวลั่งก่อหน้าก็เคยเป็นขุนพลทหารราชสำนัก มีความเข้าใจเรื่องวงการการเมืองมากกว่าคนอื่น เขาเข้าใจสถานะหวังทงตอนนี้อยู่ในภาวะเสี่ยง ยังส่งบุตรชายมา เกิดวันหน้าถูกพัวพันไปด้วยก็จะยุ่งยากใหญ่
แต่การเชื่อมสายสัมพันธ์อย่างไรก็เป็นเรื่องดี เมี่ยวลั่งเองรู้ว่าตอนนี้หวังทงเปิดการค้ากับแดนใต้และการค้าท้องทะเลใต้ยิ่งใหญ่เพียงใด รู้สึกลำบากใจมาก
บรรดาคนหวังทง เมี่ยวลั่งกับทังซานสายสัมพันธ์ไม่เลว สองคนอยู่บนท้องทะเล บนทะเลสาบเดียวกัน ไปๆ มาๆ ก็ย่อมมีสายสัมพันธ์เครือญาติ กอปรกับสองคนอายุไม่มาก นิสัยก็ค่อยๆ เข้ากันได้ จึงมักมาดื่มสุราด้วยกัน
ในเดือนสาม ตระกูลอู๋ส่งบุตรชายสองคนมาให้หวังทง เมี่ยวลั่งบอกว่าคนเขาจับปลาตัวใหญ่ได้ ต้องจัดการปรุงอย่างดี เชิญทังซานมาดื่มด้วยกัน
แผ่นดินหมิงทำอาหารมักชอบใช้พริกไทย แดนใต้ชอบใส่น้ำตาล พริกไทยมาจากต่างแดนทาทะเล น้ำตาลเป็นของสูงค่า สองอย่างเป็นเครื่องปรุงแสดงสถานะ อร่อยไม่อร่อยอีกเรื่อง แต่ทว่าทุกคนล้วนยินดี หวังทงกลับไม่ชอบนัก เขามักชอบใช้น้ำจากสาหร่ายทะเลตุ๋นหรือไม่ก็ผงกุ้งปรับรส
สาหร่ายทะเลตุ๋นเป็นน้ำกับผงกุ้งเหมือนผงชูรส อาหารเช่นนี้ทำออกมา แน่นอนยุคสมัยนี้ไม่ค่อยได้ลิ้มรสชาติสดใหม่แบบนี้
ความเคยชินหวังทงนี้ คนหลายคนพากันเลียนแบบ เทียนจินล้วนกลายเป็นกระแสนิยม เมืองซงเจียงก็เริ่มเป็นที่นิยม
สุราเป็นสุราดี อาหารก็เป็นอาหารรสเลิศ เมี่ยวลั่งกับทังซานอยู่ในสายงานนี้ล้วนคอแข็งไม่เบา ต้องดื่มสักหลายจอกจึงเริ่มเปิดใจคุยได้
“…กล่าวกับพี่ทังตามตรง บุตรชายสองคนข้าอายุไม่น้อยแล้ว มีแนวทางมากมาย หนึ่งไปหาพื้นที่ที่ดินงามๆ สักผืนที่หลูโจว หรือว่าส่งพวกเขาไปรับใช้กั๋วกงดี….”
“เจ้ากลัวว่าวันหน้ากั๋วกงจะสูญเสียอำนาจ สถานะไม่มั่นคงกระมัง!”
เมี่ยวลั่งคิดกล่าวอันใด ทังซานก็กล่าวออกมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม เมี่ยวลั่งหัวเราะแหะๆ แต่ก็ไม่ได้ละอายอันใด กล่าวเพียงว่า
“ข้าเข้าใจดี พวกเราตีรันฟันแทงมาหมด ก็มักป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ไว้ก่อน หากเป็นตอนอยู่เทียนจิน….”
“เจ้ารู้ไหม ครั้งนี้กองเรือออกทะเลไปทำอะไร? ลูซอนประเทศเล็กๆ ถูกกั๋วกงยึดมากได้ เจ้าในเมื่อกล่าวถึงขนาดนี้แล้ว ข้าก็จะบอกความจริงว่า แม้ว่าอยู่แผ่นดินหมิงต่อไม่ได้ อาศัยเรือกั๋วกง ปืนใหญ่นี่ คนเหล่านี้ ที่ไหนไปไม่ได้ ข้าหากไม่ใช่เพราะภรรยาไม่เอาไหน ให้กำเนิดแต่พวกใช้ไม่ได้ ก็คงส่งบุตรชายให้กั๋วกงไปนานแล้ว โอกาสตอนนี้หาได้ยาก เจ้ายังลังเลอันใด คิดความเสี่ยงอันใด สานสัมพันธ์ได้ก็รีบสานซะเถอะ ตอนนี้โอกาสดีไม่รีบคว้าไว ตอนนี้เจ้าทรงอิทธิพลบนไท่หู ตระกูลอู๋ที่ซานตงก็ไม่เลว ถานปิงตอนนี้สถานะผู้บัญชาการ หรือว่าไม่รู้ว่าอะไรคือเสี่ยงกัน?”
สั่งสอนไปยกใหญ่ เมี่ยวลั่งดื่มติด ๆ กันหลายชาม ก่อนจะหน้าแดงก่ำ ยิ้มแหะๆ
เดือนสามเมี่ยวจินหลงกับเมี่ยวอิ๋นหลงสองคนก็เข้าร่วมเป็นผู้คุ้มกันหวังทง แต่ทว่าในเมื่อเป็นทหารทางการ คำว่า ‘หลง’ แปลว่ามังกรนี้จึงเป็นคำต้องห้าม เปลี่ยนขื่อเป็นเมี่ยวจิน เมี่ยวอิ๋น ก็ไม่มีอันใดไม่เหมาะ
เมี่ยวจินเมี่ยวอิ๋นไม่เหมือนกับผู้คุ้มกันหวังทงพวกนั้น พวกเขาสองคนคิดแต่จะออกทะเล ก็คืออยากไปทำงานบนเรือรบ ตามคำของเมี่ยวลั่ง สองคนนี้แต่เล็กก็อยู่ไท่หูมา แต่เล็กก็เคยออกทะเล เห็นทะเลใหญ่แล้ว ก็หลงใหลทันที วันๆ คิดแต่เรื่องบนท้องทะเล แต่ตระกูลเมี่ยวมีอิทธิพลอำนาจบนไท่หูไม่น้อย จึงไม่ให้พวกเขาไป ดังนั้นจึงดึงกันมาถึงตอนนี้
หวังทงนำกองเรือไปลูซอน และการต่อสู้ด้วยเรือใหญ่พวกนี้หลายครั้ง พี่น้องตระกูลเมี่ยวล้วนได้ยินมามาก เรียกได้ว่าราวกับเทพนิยาย มีโอกาสนี้ แน่นอนขอขึ้นเรือไปด้วย
*****************
“เวลาไม่มีเรื่องก็ไม่มี พอมีเรื่องก็เรื่องมากจริง”
หวังทงเคยทอดถอนใจเช่นนี้ เดือนสามเป็นเป็นเช่นนี้ จากเรื่องผลิตเงินเหรียญไปถึงรับทหารติดตาม จากเรื่องหลังกลับจากท้องทะเลมาก็ไม่ได้ว่าง แต่ละเรื่องมากันไม่ขาด
ตอนใกล้เดือนสาม ก็มีม้าด่วนนำข่าวจากเทียนจินมา เป็นจดหมายจางซื่อเฉียงเขียนมาเอง ในนั้นกล่าวว่า ‘เสิ่นหวั่ง ภรรยาและบุตรหายตัวไปแล้ว’
เดิมใช้ภรรยาและบุตรเสิ่นหวั่งเป็นตัวประกัน นั่นเป็นเพราะการขนส่งทางทะเลเทียนจินไม่พอ และยังไม่อาจปกป้องความปลอดภัยท้องทะเลเทียนจินได้เพียงพอ ดังนั้นจึงต้องให้เสิ่นหวั่งเจ้าทะเลใหญ่สุดบนท้องทะเลยอมจำนน อาศัยชีวิตภรรยาและบุตรชายเขามารับรองความปลอดภัยให้เทียนจิน
ใช้สตรีและเด็กมาข่มขู่บังคับให้เกิดความสงบสุขนั้น คนสายหวังทงไม่ชินเท่าไร ไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องมีเกียรติอันใด แต่เพื่อให้สงบสุข จึงได้ยอมทำอย่างเสียไม่ได้
พอต่อมา กองกำลังทางน้ำกวางตุ้งย้ายมา กองเรือเริ่มก่อตั้ง อิทธิพลอำนาจเช่นซาต้าเฉิงก็มาสวามิภักดิ์ พวกมีกำลังบนท้องทะเลหลายคนก็ล้วนอาศัยเทียนจินเป็นแหล่งเงินทอง สถานการณ์ปลอดภัยจึงเป็นโอกาส ความจริงนั้นเสิ่นหวั่งเองก็อาศัยเทียนจินร่ำรวย แน่นอนไม่มีการข่มขู่อันใด และไม่มีความเสี่ยง สำหรับการดูแลภรรยาและบุตรเสิ่นหวั่งก็ผ่อนคลายลงไปมาก เสิ่นหวั่งเข้าอออก ก็ไม่ได้จับตาดูแน่นหนาเหมือนแต่ก่อน
ในใจทุกคนล้วนมีความคิดหนึ่ง ตอนนี้เทียนจินเป็นพื้นที่รุ่งเรืองที่สุดในใต้หล้านี้ และยังรุ่งเรืองไม่เหมือนที่อื่น ยังมีเป็นการค้ามือสะอาดไม่มีสินบนและปลอดภัย มีระเบียบชัดเจน ทุกอยางล้วนมีกฎเกณฑ์ดี ที่หลายแห่งไม่มี สำหรับการค้าเหนือใต้และทะเลนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ร้านค้าต่างๆ เต็มไปด้วยสินค้าจากทุกสารทิศ เป็นภาพในพื้นที่ตอนนี้ที่ไม่มีที่ใดเหมือน
อยู่เทียนจิน ทุกคนไม่ว่าสถานะสูงต่ำ รวยจน ล้วนอยู่กันอย่างเคารพกฎหมาย ไม่เหมือนที่อื่น ที่พวกสูงกว่าจะรังแกเอาเปรียบตามใจ แย่งชิงกันตามใจ
ที่เช่นนี้ ที่พักเช่นนี้ กล่าวว่าสวรรค์ก็ไม่เกินไปนัก ไม่รู้พ่อค้าเท่าไรคิดมีที่พักและร้านค้าบนถนนใหญ่เช่นนี้ ชนชั้นสูงเมืองหลวงเท่าไรคิดอย่างมาสร้างโรงบ้านรอบเทียนจินก็ไม่มีที่ ได้อยู่ที่นี่ เป็นที่ใต้หล้าล้วนไม่กล้าคิด ยังคิดจากไป
มีความคิดนี้ การป้องกันจึงหย่อนยานยิ่ง ไม่ต้องพูดถึงเสิ่นหวั่งเปิดโรงต่อเรือที่เทียนจิน โรงต่อเรือในชื่อตนเองก็มีหลายร้าน การค้าก็มาก เพียงแค่คนตระกูลเสิ่นและคนสนิทเสิ่นหวั่งที่เทียนจินก็มีเปิดร้านค้าไม่น้อย นับรวมแล้วก็ร้อยกว่า พวกเช่นนี้ ไหนเลยคิดจะจากไปได้
ด้วยความคิดเช่นนี้ตลอดมาจนเดือนสามจึงได้พบว่าเสิ่นหวั่งหายตัวไปแล้ว แม้แต่คนรับใช้สนิทยังหนีหายตัวไปด้วย
พอสอบถาม พบว่าครอบครัวเสิ่นหวั่งราวเดือนหนึ่งก็ไปกันแล้ว ทั้งจวน ทุกระดับ ล้วนถูกเสิ่นหวั่งใช้เงินเลี้ยงดูอิ่มหนำ องครักษ์เสื้อแพรที่ส่งไปเป็นสายก็รับเงินไปมากสุด
ไม่ได้มีวิธีหนีที่พิสดารอันใด เป็นเสิ่นหวั่งกับภรรยาและบุตรปลอมตัวเป็นคนงาน เดินออกจากประตูใหญ่ไปอย่างไม่ได้หลบซ่อน จากนั้นด้านนอกก็มี ‘คนขายของ’ มาก ปะปนเข้ากับฝูงชน หายไปไร้ร่องรอย
คนงานและสายสืบจวนนี้หายตัวไป เพราะล้วนกลัวเกิดเรื่อง ถึงกับแอบนัดแนะกันหนีไป พอถึงต้นเดือนสามค่อยถูกพบ
จางซื่อเฉียงกับซุนต้าไห่ล้วนร้อนใจ หวังทงมอบเทียนจินให้พวกเขาดูแล คิดไม่ถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ ช่างเสียหน้ายิ่ง รีบส่งคนไปจับตัวมา คนงานในจวนจับมาได้หลายคน แต่เสิ่นหวั่งหายตัวไปไร้ร่องรอย พอสอบถามขึ้นไปมาก็ไม่ได้ความอันใด
ยุ่งกันได้สองสามวัน ข่าวก็ไปถึงหูไช่หนาน ไช่หนานเห็นแล้วก็เข้าใจเตือนตรงๆ อย่าได้คิดแก้ปัญหาเองแล้วค่อยไปบอกหวังทง ไม่พูดถึงว่าตอนนี้แก้ปัญหาไม่ได้ ยังต้องมีโทษอีก ให้หวังทงคิดหาวิธีมาดีกว่า!
ตอนที่ 1056 อยากไปก็ไป
Ink Stone_Fantasy
“ในเมื่อเขาอยากไป เช่นนั้นผู้ใดก็ไม่อาจรั้งไว้ได้”
หวังทงอ่านหนังสือขอรับโทษจางซื่อเฉียงแล้ว ก็ยิ้มกล่าวขึ้น ประโยคที่สองน่าสนใจกว่าว่า
“หากเสิ่นหวั่งสามารถถึงยุโรปกับทวีปอเมริกา ก็ย่อมมีผลสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่จะหากินทะเลเหนือใต้แผ่นดินหมิงนี่ หนีไปทำไมกัน…”
ไม่พูดถึงการค้าทะเลตอนเหนือที่มีเทียนจินเป็นศูนย์กลาง ยึดลูซอนมาได้ ทะเลจีนใต้ก็จะค่อยๆ กลายเป็นเป้าหมายในการค่อยๆ รุกคืบของกองเรืออิทธิพลอำนาจเทียนจินกับเมืองซงเจียง
แม้กลุ่มเสิ่นหวั่งยังคงอิทธิพลอำนาจบนท้องทะเล แต่การมาแยกตัวออกจากหวังทงไปเอง จะมีผลประโยชน์เท่าไรกัน บางทีอาจยังมีผลเสียมากกว่า ไม่ต้องให้คนฉลาดมากมาคิดก็วิเคราะห์เข้าใจไม่ยาก
“กั๋วกงเมตตา นายกองพันจางกล่าวเช่นนั้น เรื่องนี้เป็นเพราะเขาสะเพร่าทำความผิดใหญ่ เขาจึงได้มาขอรับโทษจากกั๋วกงด้วยตนเอง”
คนนำจดหมายมาส่งคุกเข่าอยู่ ได้ยินหวังทงวิจารณ์ก็ไม่กล้ารอช้า โขกศีรษะนอบน้อมกล่าวขึ้น หวังทงโบกมือ กล่าวเรียบๆ ว่า
“เดินทางมาไกล คุกเข่าทำไม เรื่องเทียนจินมากมาย ยากที่จะไม่เกิดช่องโหว่ ให้จางซื่อเฉียงกับซุนต้าไห่ดูแลต่อไปให้ดีๆ ก็พอ!”
คนนำจดหมายมากำลังจtโขกศีรษะ หวังทงน้ำเสียงเย็นเยียบ กล่าวว่า
“ตอนนั้นจัดการไว้ดีแล้ว หากทุกคนทำงานตั้งใจ ผลัดเปลี่ยนคนเฝ้า ก็ไม่เกิดเหตุถูdเสิ่นหวั่งซื้อตัวไป หากมีคนตรวจตลอดตามกำหนด ก็คนไม่ปล่อยให้เสิ่นหวั่งหนีไปได้เป็นเดือนจึงค่อยรู้ตัว นี่เป็นเพราะอะไร เป็นเพราะทุกคนตอนนี้ล้วนตำแหน่งสูงเงินทองมาก ล้วนไม่ตั้งใจทำงาน รู้สึกว่าเรื่องราวมากมายไม่สนใจไม่ไปถามไถ่ก็จะจัดการไปได้เอง ธรรมเนียมเป็นธรรมเนียม คนทำตามธรรมเนียมเป็นคน ต้องคอยตรวจสอบเสมอ ต้องคิดไตร่ตรองเสมอ เช่นนี้จึงจะไม่เกิดช่องโหว่ ธรรมเนียมก็มิใช่ตายตัว ต้องปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม เช่นนี้จึงจะไม่ก่อให้เกิดเรื่องผิดพลาด”
“ข้าน้อยล้วนจดไว้แล้ว!”
“เจ้าไม่ต้องจด ข้าจะส่งคนเขียนจดหมายไปเอง ไม่เพียงแต่ใต้เท้าเจ้า คาดว่าแต่ละที่ล้วนมีปัญหาเหมือนกันหมด”
ขณะพบหน้ามีหยางซือเฉินอยู่ด้วย ให้คนส่งจดหมายจากเทียนจินออกไปแล้ว หวังทงถอนหายใจกล่าวว่า
“ท่านหยางจดที่ข้ากล่าวเมื่อครู่ออกมา ให้คนส่งส่วนตัวนำไปส่งแต่ละที่!”
หยางซือเฉินพยักหน้า มองในห้องไม่มีคน ลังเลครู่หนึ่งกล่าวว่า
“กั๋วกง เทียนจินทางนั้นยังดี ทหารหลวงเมืองชายแดนแต่ละแห่งไม่ง่าย สถานะกั๋วกงตอนนี้…ไม่สะดวก!”
“ไม่ว่าเส้นทางการค้าเทียนจินหรือเมืองซงเจียง หรือกำลังทหารแต่ละหน่วย ยังมีกองกำลังพ่อค้าติดอาวุธบนทุ่งหญ้าพวกนั้น หากไม่รักษาธรรมเนียม เช่นนั้นทุกอย่างล้วนหมดสิ้น ไร้ธรรมเนียม อำนาจวาสนาพวกเขา สถานะและอำนาจของข้าและพวกเขาก็ย่อมสูญสิ้น พูดไม่น่าฟังก็คือ วันนี้อำนาจบารมีเกรงว่าคงสั่นคลอนแล้ว จดหมายต้องเขียนไป แต่ทว่าท่านหยางเองก็คิดได้ถูกต้อง ช่วยข้าร่างฎีกาด้วย ให้ฝ่าบาทรู้เรื่องทางนั้น ให้ฝ่าบาททรงร่วมจับตาตรวจสอบ เช่นนี้จึงจะเหมาะสมรอบด้านหน่อย!”
หวังทงถอนหายใจกล่าว หยางซือเฉินจึงได้ร่างจดหมาย หวังทงเดินออกไปนอกห้อง ให้ทหารติดตามไปเรียกคนมา
ทังซานกับหูอันตอนนี้เป็นหัวหน้าเรือรบหวังทงเมืองซงเจียง เป็นคนคุมกองเรือบนท้องทะเล ซาต้าเฉิงไม่ได้ตามกลับมาด้วย เขาอยู่ดูแลลูซอน
“เสิ่นหวั่งไม่อยู่เทียนจินแล้ว กองเรือเขายังไม่รู้วันหน้าเป็นมิตรหรือศัตรู กองเรือเขา เทียบกับเราแล้วอย่างไร?”
“ขอกั๋วกงวางใจ อย่าเห็นว่าเสิ่นหวั่งได้ชื่อเจ้าทะเลใหญ่สุดบนท้องทะเล เขาก็แค่มีเรือมาก หากสู้กับเราจริง ๆ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้เรา”
ทังซานรับประกัน เรือปืนใหญ่หวังทงเป็นกำลังหลัก ร่วมกับเจ้าทะเลทรงอิทธิพลอำนาจอื่นๆ กำลังเสิ่นหวั่งจะไปกระไรนัก
“กั๋วกง ต้องการลงมือกับเสิ่นหวั่งหรือ?”
หูอันตอนนี้ว่างมาก ตอนนี้เปิดศึกก็หมายถึงเงินทอง เขาจึงได้กระตือรือร้นมาก หวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า
“ตอนนี้เสิ่นหวั่งเป็นพ่อค้าทะเลทั่วไป เขานำครอบครัวมาอยู่เทียนจิน สองฝ่ายยังมีน้ำใจให้กัน ในเมื่อเขาคิดไม่ตกหนีไปเอง ก็ไม่ต้องไปสนใจ หากเขายังกล้าสมคบโจรสลัด พวกเจ้าค่อยลงมือก็ไม่สาย!”
วาจานี้ได้ตัดสินใจในเรื่องนี้แล้ว เสิ่นหวั่งออกจากเทียนจินไปเรื่องนี้ไม่เท่าไร ประเด็นคือการละเลยนี้แสดงให้เห็นถึง การปล่อยปละ นี่จึงเป็นความยุ่งยากใหญ่แท้จริง
****************
หลังจดหมายหวังทงไปถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงให้ความสำคัญอย่างมาก ตอนนี้หวังทงไปเมืองซงเจียงแล้ว เช่นนั้นทรัพย์สินเงินทองกับกองกำลังที่เทียนจิน สำหรับพระองค์แล้วไม่ใช่ภัยคุกคามแฝง หากเป็นเสากำลังสนับสนุนอย่างดี หากแตะต้องเสานี้ หรือทำให้กำลังอ่อนแอลง ล้วนไม่ได้รับอนุญาตให้กระทำ หวังทงฎีกากล่าวไว้ แน่นอนย่อมให้ความสำคัญที่สุด ทุกฝ่ายล้วนทำตาม
สำหรับเทียนจิน เรื่องขุนพลทหารแบ่งกันออกไปประจำที่ต่างๆ คำกำชับและเตือนของหวังทงเดิมก็ให้ความสำคัญอย่างที่สุด ตอนนี้ยังมีคำสั่งเตือนจากโอรสสวรรค์ ก็ย่อมกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำใหญ่อันดับหนึ่ง และฮ่องเต้ว่านลี่เพื่อจัดการเรื่องนี้ให้ดียังส่งเจ้าจินเลี่ยงไปโดยเฉพาะ เจ้าจินเลี่ยงไปในฐานะผู้ตรวจการตำแหน่งผู้ช่วยสำนักขันทีสำนักอาชาหลวง
ขันทีที่ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงไว้พระทัยที่สุดออกจากเมืองหลวงมาตรวจเอง ทุกคนแน่นอนเข้าใจความสำคัญเรื่องนี้ดี พากันทำการอย่างรอบคอบ ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยดี ไม่กล้าให้เกิดความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย
ในจดหมายหวังทง เทียนจินให้ไช่หนาน หลี่หู่โถว จางซื่อเฉียงและซุนต้าไห่ร่วมกำลังผลักดัน ให้กู่จื้อปินร้านสามธาราผลักดันต่อ ให้ถานปิงผลักดันเมืองกุยฮว่าเฉิง และเมืองซงเจียงแน่นอนย่อมนำโดยหวังทง ทุกระดับเริ่มจัดกากรตรวจสอบเรียบร้อย ตรวจสอบกันและกัน ไม่ให้ผิดพลาดมีช่องโหว่อันใด
ไม่ว่ากองกำลังหรือท้องที่ ไม่ว่าคนในของระบบหวังทง การจัดการครั้งนี้ล้วนตอบรับอย่างดี เรียกว่า ‘ปฏิรูป’
เสิ่นหวั่งจากเทียนจินไปแล้ว ร้านค้าเขาที่เทียนจินและโรงเรือก็ล้วนไม่มีการเคลื่อนไหวใหญ่ใด แน่นอนเรื่องนี้แพร่ออกไป สำนักองครักษ์เสื้อแพรกับผู้คุ้มกัน ร้านสามธาราก็รีบเข้าจับตาคนที่เกี่ยวข้องกับเสิ่นหวั่งและกิจการทั้งหมดทันที
กิจการสำคัญหลายแห่ง เดิมล้วนเป็นคนในครอบครัวหรือคนสนิทเสิ่นหวั่ง แต่ครั้งนี้ตามเสิ่นหวั่งไปด้วย แต่การค้ายังคงดำเนินไปปกติ เรือแปดร้อยกว่ายังคงออกทะเลไปยังที่ต่างๆ ที่เหลือก็ล้วนอยู่ต่อเพื่อทำการค้ารับช่วงต่อ
การกระทำเช่นนี้ก็พอเข้าใจได้ ล้วนเป็นเพราะหลังหลบหนี ได้เห็นเทียนจินเป็นดังอู่เงินอู่ทอง ผู้ใดก็ย่อมไม่คิดทิ้งไปง่ายดาย สามารถทำการค้าที่นี่ได้ก็ล้วนต้องทำการค้าต่อไป
จดหมายตอบกลับหวังทงเร็วมาก พอได้จดหมายหวังทงแล้ว จางซื่อเฉียงกับซุนต้าไห่ก็ลำบากใจมาก แม้ว่าไม่ได้ตำหนิ แต่การจัดการหลังจากนี้ทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจมาก
สองคนทางหนึ่งก็ร่วมแรงกันจัดการปฏิรูปใหม่ อีกทางก็ยังป้องกันเสิ่นหวั่งเข้มงวด ภรรยาและบุตรเสิ่นหวั่งถูกกักไว้ที่เทียนจิน เดิมว่าเป็นตัวประกัน แต่ความจริงนั้นก็ทำให้เสิ่นหวั่งเป็นพ่อค้าใหญ่เทียนจินที่ทำให้ทุกคนวางใจ มีคำว่า วางใจ แล้ว ก็ย่อมทำอะไรง่ายไปหมด
เช่นว่า พานหมิงดูแลแรงงานต่างๆ ที่เทียนจิน ยังมีโกดังและลานสินค้า การขนถ่ายอันใดก็จะอำนวยความสะดวกให้เรือกับสินค้าเสิ่นหวั่งก่อน ล้วนได้รับสิทธิพิเศษหลายอย่าง ตอนนี้เรือมากมายมารวมกันที่เทียนจิน จอดเรือซ่อมเรือก็ต้องต่อคิว เรือเสิ่นหวั่งย่อมได้สิทธิก่อน
โรงต่อเรือเมืองซงเจียงเพิ่งก่อตั้ง สามารถต่อเรือใหญ่ได้ ไม่ว่าเรือใหญ่ข้ามสมุทรตะวันตกหรือเรือฮกเกี้ยนเรือกวางตุ้ง เป็นโรงต่อเรือขนาดเท่าทางเหนือ เป็นโรงต่อเรือสามธาราเทียนจิน พูดให้กระจ่างก็คือ จากท่าเรือเมืองหางโจวไปทางเหนือ เป็นโรงต่อเรือเพียงแห่งเดียวที่ทางการให้การยอมรับ
และโรงต่อเรือมีกำลังผลิตสูง ได้ไม้เก่าจากนอกด่านเป็นข้อได้เปรียบ เป็นตัวเลือกอันดับแรกของเจ้าทะเลและพ่อค้าทะเล
เสิ่นหวั่งแน่นอนก็คิดต่อเรือที่โรงต่อเรือนี้ และมีใบสั่งไม่น้อย ยังสั่งเรือปืนใหญ่กระสุนสามชั่ง 15 กระบอกแบบตะวันตกลำใหญ่ เป็นเรือใหญ่กว่าปกติ โรงต่อเรือผลิตให้แค่เรือของพ่อค้าทะเลเครือข่ายสามธาราเท่านั้น
ตอนนี้ในเมื่อเสิ่นหวั่งไปแล้ว สิทธิพิเศษเหล่านี้ล้วนยกเลิกหมด ดีที่จางซื่อเฉียงทำงานมีหลักการ เรือโรงต่อเรือแน่นอนไม่ให้เขาได้สร้าง แต่เงินทองล้วนคืนกลับไปยังกิจการเสิ่นหวั่ง เหตุผลก็คือไม้ไม่พอ
เรือเล็กปืนใหญ่กระสุนสามชั่ง 15 กระบอกบอกได้อย่างไรว่าไม้ไม่พอ เหตุผลนี้ไม่อาจหลอกลวงผู้ใด แต่แสดงให้เห็นชัดเจนถึงท่าทีหนึ่งว่า หากคิดทำการค้าการค้าต่อที่นี่ ไม่มีคนขัดขวาง แต่ทว่าวันหน้าทุกคนก็เป็นคนแปลกหน้าแล้ว เรือปืนใหญ่โรงต่อเรือสำหรับบรรดาเจ้าทะเลแล้วนับว่าเป็นอาวุธ ของสำคัญเช่นนี้ไม่ให้เจ้า
แน่นอนสิทธิพิเศษเทียนจินให้แก่เสิ่นหวั่งล้วนถูกยกเลิก เทียนจินธรรมเนียมครบ เจ้าทำการค้าการค้าดี ๆ ไม่มีผู้ใดหาเรื่องเจ้า ทุกอย่างทำไปปกติ คนอื่นก็ยังทำการค้าเช่นกัน
****************
หวังทงจับตาดูเสิ่นหวั่ง เสิ่นหวั่งจากเทียนจินไป เทียนจินก็ยังคงมีสายตาม ความจริงนั้นจากเทียนจินไป เสิ่นหวั่งไม่ได้ออกทะเล หากไปอยู่ที่เมืองเหอเจียน ทุกวันคนสนิทเขาที่เทียนจินก็จะมารายงานถามไถ่
หากบอกว่าไม่เป็นห่วงก็คงไม่ใช่ เสิ่นหวั่งเองเตรียมการจากไปแล้วจบทุกสิ่ง ตอนนี้หวังทงไม่ว่าด้านใดขยับ ราชาไตรธาราเช่นเขาก็ล้วนทนรับไม่ได้ แต่กำไรการค้าเทียนจินก็ช่างมากมาย ทำให้ไม่อาจละทิ้งไปได้ หากสามารถทำการค้าที่นั่นได้ อย่างไรก็ยังต้องทำ
เรื่องไม่ต่างกับที่เสิ่นหวั่งวิเคราะห์ พวกหวังทงไม่ใช่พวกทำอะไรโดยอารมณ์ แต่ไรมาก็วิเคราะห์และตัดสินจากกำไรขาดทุน เสิ่นหวั่งสำหรับหวังทง เป็นแค่พ่อค้าทำการค้า ไยต้องมีเรื่องขัดแย้งกับเงินทองด้วยเล่า?
ที่ให้เสิ่นหวั่งยิ้มก็ไม่ออก ร้องไห้ก็ไม่ได้ก็คือ พวกคนของเขาทั้งหมดไม่อยากให้เขาจากเทียนจินไป บอกว่าหากไปแล้ว พวกเรามีกิจการที่เทียนจิน หุ้นส่วนต่างๆ เกรงว่าล้วนถูกทางการริบไปหมด ตอนนี้ใต้หล้าสถานที่เช่นเทียนจินสามารถนั่งเฉยๆ ก็ทำกำไรมาก หาได้ที่ใด
เสิ่นหวั่งเป็นใหญ่บนท้องทะเล เพราะพลาด ถูกหวังทงบังคับมาเทียนจินเกือบสิบปี แม้สิบปีนี้ไม่ได้เอาเปรียบเขา แต่เขาก็คงไม่อาจยอมรับได้ เงินทองเสิ่นหวั่งแน่นอนเสียดายมาก แต่ที่ควรปล่อยก็ต้องปล่อย
แต่ทว่าเทียนจินทำงานรอบคอบกว่าที่เสิ่นหวั่งคิดมาก กิจการต่างๆ ของเสิ่นหวั่งล้วนไม่ได้ถูกริบ คนของเขาที่เทียนจินก็ยังคงไม่ได้ถูกจับตัว สำหรับเงินหุ้นที่เสิ่นหวั่งตั้งแต่เริ่มแรกลงทุนที่ต่าง ๆ ก็ยังทำตามธรรมเนียม แบ่งแยกคืนเงิน กิจการต่างๆ ที่เสิ่นหวั่งร่วมทุนไว้ล้วนส่งเงินคืน จัดการระบุแยกให้ชัดเจน นับว่าไม่ติดค้างกันแล้ว
เรื่องนี้อยู่ๆ เกิดขึ้นในเทียนจิน เป็นเรื่องกะทันหัน เพราะเสิ่นหวั่งมีทุนร่วมหลายอย่าง เงินจองที่ให้โรงต่อเรือไว้ รวมๆ กันแล้ว ก็สองสามแสนตำลึงได้ ร้านสามธารากับร้านประกันภัยบอกว่าควักเงินก็ควักออกมาหมด ส่งให้อีกฝ่ายไป ยังมีพวกร้านเล็กๆ กลัวว่าร้านสามธาราจะไม่มีเงิน รีบมาทวง ผลปรากฏได้รับเงินไปทันที ทุกคนล้วนร้องชม ว่าสามธาราทรงอิทธิพลและอำนาจมากจริง
เรื่องนี้ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงอำนาจเงินของสามธารา ยังแสดงให้เห็นอีกเรื่องว่า ธนาคารสามธาราใกล้จะออกตั๋วเงินนั้นเชื่อถือได้ นับว่าเป็นการทำโฆษณาไปในตัว
สำหรับเสิ่นหวั่ง การคืนเงินร่วมทุนของอีกฝ่าย ไม่ได้เกินไปนัก ในเมื่อทุกคนปรบมือจากกันโดยดี ก็ไม่จำเป็นต้องทำงานให้เจ้าอีก ให้เงินเจ้าพร้อมดอก แต่รู้ส่วนรู้ หากคิดเข้าใจอาจไม่ เสิ่นหวั่งตอนนั้นก็แค่เพื่อสานสัมพันธ์หวังทงจึงได้ร่วมทุน หลายปีดอกเบี้ยล้วนมากกว่าต้นทุนที่ได้ลงไปมากนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หุ้นส่วนแต่ละแห่งทำให้เกิดความสะดวกต่างๆ ได้รับผลประโยชน์ยิ่งมาก
เงินรายได้มากมายทุกปีไม่มีอีกแล้ว สิทธิพิเศษต่างๆ ไม่มีอีกแล้ว เห็นแล้วก็เหมือนไม่ได้สูญเสียอันใด แต่คิดให้ยาวนานแล้ว กลับรู้สึกว่าตนถูกเฉือนเนื้อทิ้งไป ที่ยิ่งทำให้รู้สึกหมดหวังทำอะไรไม่ได้ก็คือ เนื้อชิ้นนี้เป็นตนเองลงมือตัดทิ้งเองกับมือ
คนเราก็เป็นเช่นนี้ ให้สิทธิพิเศษเขา เขามักคิดว่าแน่นอนเป็นเรื่องสมเหตุผล แต่พอวันหนึ่งโดนตัด ก็มักรู้สึกว่าตนเองเสียผลประโยชน์
การกระทำของเขาเช่นนี้เห็นผลในทันที เสิ่นหวั่งจากเทียนจินได้สองเดือน กำไรการค้าทุกแห่งของเขาก็ลดฮวบลงทันที
ตอนนั้นที่ภรรยาถูกกักตัวที่เทียนจิน ตนเองถูกจำกัดอิสรภาพ มักคิดจะหากทางจากไป แต่ตอนนี้ท้องทะเลกว้างใหญ่ มีอิสระเต็มที่ กลับพบว่าใช่ว่าสวยงามดังที่ตนคิด
ลูกน้องตอนนี้ไม่อยากให้เสิ่นหวั่งจากเทียนจินไป แน่นอนย่อมรู้สึกไม่อยากไป พวกเขาชินกับความรุ่งเรืองเทียนจิน เทียนจินสินค้ามากมาย สะดวกหลายสิ่ง ธรรมเนียมกระจ่าง ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นจากที่ใด ล้วนเตรียมจะตั้งรกรากที่นี่แล้ว พอจากไปเช่นนี้ อะไรก็เอาไปไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่ปกติได้สิทธิพิเศษมา การค้าที่ทำกันง่ายดายก็เริ่มยากแล้ว
หลายเรื่องผสมกัน ทำให้เสิ่นหวั่งเริ่มหัวเสีย คนบนท้องทะเลขอแค่กำไรมหาศาล ที่เทียนจินพอไร้สิทธิพิเศษ กำไรแม้ว่ายังคงมาก แต่เสิ่นหวั่งที่ทำกำไรมหาศาลมาตลอดรู้สึกว่าสามารถหาทางออกได้ด้วยการลงทะเลใต้
ก่อนหน้านี้ เสิ่นหวั่งคิดแต่ว่าจะหนีจากเทียนจินอย่างไร เรื่องที่เกิดขึ้นบนท้องทะเลไม่ได้ใส่ใจนัก เรื่องที่เกิดที่ลูซอนก็ไม่ได้เข้าใจละเอียดนัก
รู้มาไม่ละเอียด ตอนนี้เดือนห้าแล้ว ข่าวลูซอนแพร่มาแล้ว ถูกหวังทงกับอิทธิพลอำนาจบนท้องทะเลทางใต้ยึดลูซอนไปแล้ว เสิ่นหวั่งแน่นอนเข้าใจว่าหมายถึงสิ่งใด ก็หมายความว่า คนที่ครอบครองลูซอนได้ก็สามารถค่อยๆ รุกรานทะเลใต้ได้ทีละคืบ เช่นกัน หากไม่ใช่คนลูซอน ก็ต้องถูกกันให้อยู่นอกทะเลใต้
เสิ่นหวั่งไม่คิดว่ายามนี้ตนเองจะสามารถเข้าสู่ทะเลใต้ได้อย่างไม่ต้องเกรงกลัว ไม่ทำการค้าก็ไปได้ แต่ก็ไปแบบพ่อค้าปกติ เช่นนั้นก็ไร้ความหมาย
เสิ่นหวั่งคิดไม่ถึงว่าตนเองจากไปแล้ว สถานการณ์จะเปลี่ยนไปเช่นนี้ นับวันยิ่งคับแค้นยิ่งมาก ตอนนี้เขาได้แต่ไปผิงฮู่ทำการค้ากับชาวประเทศวัว แม้เส้นทางนี้ เขาก็ไม่อาจครอบครองเพียงผู้เดียว
***************
อำเภอซ่างไห่ เมืองซงเจียงตอนนี้เริ่มมีความคล้ายเทียนจินหลายส่วนแล้ว หลายแห่งล้วนก่อสร้าง กำลังคนขาดแคลนแต่ไรก็เป็นปัญหาใหญ่ ราษฎรแดนใต้ไม่ได้ลำบาก ผลปรากฏเรือที่มาทำการค้าที่เมืองซงเจียงล้วนถูกยื่นเงื่อนไขว่า ต้องนำคนงานจากตอนเหนือมาเองให้มาก จึงจะมาทำการค้าที่นี่ได้
สามารถทำการค้าที่เมืองซงเจียงได้ย่อมทำกำไร คนตอนเหนือแม่น้ำก็ลำบากกันมาก รับมาทำงานก็ง่ายมาก พ่อค้าเกลือหลายคนก็ยิ่งง่าย แม่น้ำเหนือใต้ไม่รู้มีคนยากจนเท่าไร เรียกรับพวกเขาส่งมาทำงานแรงงานที่เมืองซงเจียง ยังได้ชื่อว่าเป็นนักบุญ ยังได้ทำการค้าทำกำไรที่เมืองซงเจียงอีก ไยไม่กระทำเล่า
ครึ่งปีแรกในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 18 เมืองซงเจียงยังไม่ทำกำไรเท่าไร ไม่มีภาษีมากมายเท่าไร เพราะเงินทองที่ได้มาจากแต่ละด่านการค้าล้วนนำมาใช้จ่ายเป็นค่าก่อสร้างและแรงงาน สามารถทำให้สมดุลรายรับรายจ่ายเท่านั้น
พอถึงเดือนหก เถ้าแก่ร้านสามธาราคนหนึ่งกลับมาจากลูซอน มารายงานเรื่องลูซอนแก่หวังทง
ทุกอย่างราบรื่นดี เป็นคำบรรยายภาพลูซอนตอนนี้ การแบ่งผลประโยชน์ของหวังทงให้เจ้าทะเลกับพวกอิทธิพลเหล่านั้นทำให้ลูซอนเป็นเหมือนพื้นที่ตนเอง รู้ว่ายิ่งตั้งใจทำ ตนเองก็ยิ่งได้ผลประโยชน์มาก พวกเขาทำเรื่องผิดกฎหมายมามาก จึงแอบคิดกันว่าจะให้ลูซอนเป็นดังเส้นทางถอย
แต่ละร้านล้วนหาคนจากแผ่นดินหมิงไปลูซอน ความจริงนั้นธรรมเนียมที่วางไว้รองรับเรื่องนี้มาก ผู้ใดรับคนมาได้ ก็เป็นคนผู้นั้น สามารถใช้งาน สามารถได้ประโยชน์
มีคนมากันยิ่งมาก ก็ยิ่งรวมกำลังเป็นกองกำลังหน่วยใหญ่ ก็สามารถสร้างอาณานิคมที่เกาะต่างๆ ในลูซอนก็สามารถได้รับพื้นที่กับผลประโยชน์ยิ่งมาก
แต่ทว่าทุกอย่างล้วนไม่อาจขาดการสนับสนุนของหวังทง ผู้คุ้มกันสามธาราคุมปืนใหญ่กับเรือรบ ยังเป็นทหารเก่งกล้าที่ปลดประจำการมาจากกองกำลังหลวง ทหารเหล่านี้ล้วนเป็นกำบังให้ลูซอน แต่หากชาวผิวขาวยกทัพมาจริงก็คงยุ่งยากยิ่ง
ในหลายเดือนนี้ ความจริงนั้นก็มีเรือการค้าชาวผิวขาวเข้ามาขนถ่ายสินค้า พวกเขาได้เห็นความแปลกไปของริมฝั่ง พวกเขาแน่นอนได้เห็นเรือรบชาวฮั่นกับปืนใหญ่บนฝั่ง ดังนั้นก็ทำการค้ากันไป จากนั้นก็จากไป แต่หากไม่มีกำลังคุ้มกันจากร้านสามธารา ทุกอย่างเกรงว่าคงไม่เป็นเช่นนี้
เถ้าแก่ผู้นี้เล่าเรื่องมาจบแล้ว ยังเสนอความคิดกับหวังทง ระบบการจัดการทะเลใต้เป็นระบบแล้ว แต่เรื่องเส้นทาง สินค้าจากที่นี่ไปใช่ว่าเทียบกับฮกเกี้ยนและเจ้อเจียงได้ เส้นทางเดินเรือไปมา ขาเดียวไม่คุ้ม เขาเสนอให้ปลูกอ้อยที่ลูซอน เพื่อทำน้ำตาลอ้อย เช่นนี้ เรือไปยังเมืองซงเจียงก็จะได้มีสินค้าติดเรือไปด้วย
ตอนที่ 1057 ผู้มีความสามารถที่หาได้ยาก ปีหนึ่งผ่านไปครึ่งแล้ว
Ink Stone_Fantasy
ไม่ว่ายุคก่อนหรือยุคนี้ หวังทงแต่ไรไม่เคยรู้สึกว่าน้ำตาลเป็นของแปลกหายากอันใด นายกองธงเล็กองครักษ์เสื้อแพร สถานะต่างกับชนชั้นสูงเมืองหลวงมาก ก็ยังกินน้ำตาลไหว
ยิ่งโต ก็ยิ่งเข้าใจเศรษฐกิจยุคสมัยนี้ หวังทงรู้ว่าน้ำตาลยุคสมัยนี้เป็นสินค้าใด จากแผ่นดินหมิงขนไปยังประเทศวัว ขนน้ำตาลรอบหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงสินค้าที่ขนกลับมา กำไรเรียกได้ว่าเกินสี่เท่าแล้ว ไปถึงทะเลใต้ ก็สามารถได้อีกหลายเท่า
นี่เป็นน้ำตาลจากโรงหีบ หากเป็นอ้อยที่ปลูกเอง หีบได้เอง ขนส่งเอง กำไรย่อมน่าตกใจ
หวังทงยังรู้ว่า จากแผ่นดินหมิงไปยังยุโรป ก็มีเรือมาขนน้ำตาลทรายขาวโดยเฉพาะ เส้นทางหลายหมื่นลี้ เส้นทางไกลเช่นนี้ เวลาต้องใช้แรมปี สินค้าที่ขนล้วนต้องกำไรมหาศาลจึงจะได้ เห็นได้ว่าน้ำตาลอ้อยในยุโรปสามารถขายได้ราคาเพียงใด
“ใต้เท้า ชาวผิวขาวมาแผ่นดินหมิง ตกใจที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือราษฎรยากจนที่ล้วนรู้รสชาติความหวาน เมื่อก่อนนายเราแบ่งสมบัติ กล่องน้ำผึ้งเป็นสมบัติสำคัญที่ต้องระบุให้กระจ่าง ยังมีเรื่องเล่าว่า น้ำตาลอ้อยครั้งแรกมาถึงเมืองท่า มีคนชิมไปคำหนึ่ง ก็รีบไปโบสถ์สำนึกบาป เขาถูกความหวานทำให้ลืมตัวอย่างมาก คิดว่าตนเองตกนรกแล้ว”
อากาศทะเลใต้เหมาะแก่การปลูกอ้อยมาก แต่ทว่าชาวพื้นเมืองไม่อยากปลูกกัน แม้แต่เพาะปลูกทั่วไปยังไม่อยากจะทำกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอ้อย ชาวฮั่นแน่นอนเป็นผู้สามารถ เถ้าแก่ผู้นั้นเสนอกับหวังทงแล้ว หวังทงแน่นอนให้การสนับสนุนอย่างยิ่ง รีบกล่าวว่า ไม่ว่าต้องการให้ชาวฮั่นทำสิ่งใด สามารถเอ่ยกับเมืองซงเจียงได้
ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องวิพากษ์วิจารณ์ส่วนตัว แต่ทำให้เถ้าแก่เครือข่ายสามธาราในเมืองซงเจียงถูกตามตัวมาหารือ ทุกคนพากันแย่งออกความเห็น คำวิพากษ์วิจารณ์อันเป็นความเห็นที่ควรค่าเอ่ยถึง ย่อมได้รับรางวัลงาม
ในเมื่อพูดกันแล้ว ทุกคนย่อมร่วมแรง พูดถึงเรื่องอื่นด้วย ลูซอนเหมาะแก่การปลูกอ้อย แต่อย่างไรกำลังคนก็จำกัด ไม่อาจลงทุนไปกับการเพาะปลูกหมด ต้องแบ่งคนไปทำงานเมืองท่า ทำงานหน่วยป้องกัน ชาวพื้นเมืองก็ไม่อาจไม่ป้องกัน แต่ตอนเหนือลูซอนยังมีที่ดีที่หนึ่งยิ่งกว่า
ที่นี่มีชื่อไม่น้อย ชื่อนี่หวังทงไม่เคยได้ยินมาก่อน ชื่อว่า ‘กรงไก่’ แต่อีกชื่อหวังทงคุ้นมาก เรียกว่า ‘ไต้หวัน’
เกาะทางตะวันออกฮกเกี้ยนและเจ้อเจียงแต่ไรมาไม่ได้รับการพัฒนาใดให้ดี คนแผ่นดินใหญ่มาที่นี่กัน ก็สมัยง่อก๊กในสมัยสามก๊กที่ไปสำรวจประชากร จากนั้น ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกันอีก
พื้นที่หมอกหนา คนบนเขาก็ป่าเถื่อน และยังเป็นภูเขาเสียมาก แผ่นดินใหญ่ก็ยังไม่มีเรือไปที่นั่น แน่นอนไม่มีคนไปตั้งรกราก ทะเลใต้แม้ว่าชาวพื้นเมืองบัดซบ แต่อย่างไรก็มีคนพักอาศัย ค่อนข้างมีอารยธรรมกว่าหน่อย
เทียบกับลูซอนแล้ว ไต้หวันมีข้อดีของไต้หวัน เช่นว่า ทางนั้นไม่มีชาวพื้นเมืองมาโจมตี ไม่ต้องเป็นห่วงว่าชาวผิวขาวบนท้องทะเลบุกมาสังหาร ก็จะพอเป็นที่พักตั้งค่ายได้ แม้ว่าปะทะโจรสลัด ชาวประมงก็หลบภัยได รู้ว่าที่นั่นมีท่าเรือธรรมชาติดีหลายแห่ง สามารถเป็นจุดพักของกองเรือสามธาราได้
อากาศไต้ไหวันเหมาะที่สุดในการปลูกอ้อย พืชอื่นก็ไม่มีปัญหา หากเข้าจัดการที่นั่น ราคาย่อมสูงยิ่งกว่าลูซอน อย่างไรไต้หวันก็ใกล้กับแผ่นดินใหญ่มากกว่า การไหลเวียนสินค้าไปมาก็ยิ่งเร็วและสะดวกกว่า
*************
เถ้าแก่ที่ชื่อว่าหวังหลิ่วโจวได้เสนอความคิดนี้แล้ว สีหน้าหวังทงก็ยังนิ่ง แต่ทว่าทหารติดตามด้านหลังสังเกตเห็นว่าหวังทงตบมือทีหนึ่ง ด้วยการที่หวังทงสามารถเก็บอารมณ์ได้ดี ปกติสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน หนักแน่นราวเขาไท่ซาน แต่พอได้ยินเรื่องไต้หวัน กลับไม่อาจนิ่งได้
สถานการณ์ตอนนี้ ไต้หวันไม่ได้มีค่ามาก ไม่ว่าภูมิศาสตร์หรือว่าเศรษฐกิจ จัดการมาได้ก็แค่ได้ท่าเรือดีขึ้นมาสองสามแห่ง ได้โรงบ้านเพาะปลูกผืนใหญ่ขึ้นมาเท่านั้น แต่สำหรับหวังทงแล้ว ในโลกก่อนพูดถึงกันมาก ได้ยินมามาก ซึมซับในสมองไม่รู้ตัว ไม่อาจปล่อยผ่านไปโดยง่าย
เพียงแต่หวั่นไหวก็ส่วนหวั่นไหว ทำงานไม่อาศัยแต่ความคิดฉับพลัน
“ตอนนี้ต้องออกตั๋วเงินก่อน ต้องทำเงินเหรียญก่อน ลูซอนก็ยังต้องทุ่มเงินทองลงไปอีกเรื่อยๆ เงินที่เครือร้านสามธาราเราใช้ต้องใช้กันในหลายพื้นที่ไม่น้อย ยังต้องระดมสะสมเงินอีกก้อน เรื่องบุกเบิกไต้หวัน อย่าเพิ่งกล่าวถึง อีกสองปีรับคนมา เงินก้อนโตยังต้องทุ่มลงไปอีก ลูซอน ไต้หวันแม้ว่ามีความยากง่ายแตกต่าง แต่คุณสมบัติเหมือนกัน ผู้ใดไปก่อนผู้ใดไปหลัง ก็ต้องคิดให้รอบคอบ”
หวังทงกล่าววาจาเช่นนี้ออกไป คนเบื้องหน้าทุกคนล้วนเป็นระดับเถ้าแก่ดูแลงานมานานหลายปีเรียกได้ว่าตำแหน่งไม่น้อย อายุเท่ากับหวังทงเรียกได้ว่าอายุน้อยมาก แต่ความหนักแน่นของหวังทงกลับเหนือกว่ามาก แน่นอนในเรื่องนี้ ทุกคนล้วนไม่แปลกใจอันใดอีกแล้ว
การนำเสนอความเห็นแล้วให้หวังทงตอบมาได้เพียงนี้ เรียกได้ว่าเป็นการชมเชยของหวังทงแล้ว จากนั้นก็คุยต่อเรื่องว่าสามารถทำได้หรือไม่ จะทำอย่างไร และมีประโยคประหลาดที่กั๋วกงมักกล่าวว่า ‘ความเป็นไปได้’ เถ้าแก่ที่เสนอความคิดเห็นนี้อำนาจวาสนาย่อมมีแน่แล้ว
ทุกคนมองหวังหลิ่วโจวด้วยความอิจฉายิ่ง จากนั้นต่างก็คิดกัน เถ้าแก่นั่นสามารถกล่าวเช่นนี้ แน่นอนก็ย่อมคิดมาแล้วถึง ‘ความเป็นไปได้’
“กั๋วกง เรื่องนี้ข้าน้อยยังมีความคิดหนึ่ง ลูซอนมีผลประโยชน์ใหญ่ ตอนนี้ข่าวค่อยๆ แพร่ออกไป ข้าน้อยที่ร้านได้ยินพ่อค้าไปมาเหนือใต้ต่างพูดถึงกันมาก เขตปกครองใต้ เจ้อเจียงฮกเกี้ยนกับกวางตุ้งหลายแห่ง มีคนไม่น้อยล้วนเสียใจที่พวกเขา รู้ข่าวช้าไป ไม่อาจลงเรือแห่งอำนาจวาสนาได้ทัน เสียใจภายหลังกันมาก แต่ลูซอนนั่น ทุกคนล้วนแบ่งกันได้พอสมควรแล้ว ไม่มีที่ว่างให้พวกเขาอีกแล้ว ในเมื่อทุกคนล้วนคิดอยากทำ ล้วนคิดไปบุกเบิกอาณานิคมใหม่ ไม่สู้นายท่านมอบไต้หวันให้ทุกคนได้อพยพราษฎรไป ให้พวกเขาไปบุกเบิกพื้นที่เพาะปลูก ราษฎรย้ายถิ่นไปทำให้เจริญก่อนแล้ววันหน้าค่อยว่ากันต่อ”
หวังทงอึ้งไป ก่อนจะยิ้มเล็กน้อยพยักหน้า
“‘วันหน้าค่อยว่ากันต่อ’ พูดได้ดี หวังหลิ่วโจว ข้าถามเจ้า ไม่มีผลประโยชน์ ยังต้องลงเงินไปก่อนล่วงหน้า จะให้พวกเขามาทำกันได้อย่างไร?”
นี่กำลังกล่าวถึงรายละเอียด หวังหลิ่วโจวรู้ว่าตนเองได้อำนาจวาสนาแล้ว อำนาจวาสนาใหญ่เพียงใด ก็ต้องดูว่าตนเองจะก้าวต่อไปจากนี้ได้อย่าง ถูกหรือไม่
“กั๋วกง เมืองซงเจียงเปิดท่าการค้า รับแรงงานมา เหนือแม่น้ำก็ขนคนมากัน ล้วนเพราะกั๋วกงอำนวยประโยชน์ให้ เมืองซงเจียงมีผลประโยชน์หลากหลาย ตอนนี้ในมือกั๋วกงมีเทียนจิน มีเมืองซงเจียง ยังมีลูซอนอีกแห่ง พวกเราเครือข่ายสามธารา ยังมีทั้งทางทะเลและทางบกที่ยังมีช่องทางสินค้าขายดี หลายอย่างในมือ เราสามารถกำไรน้อยในเวลาจำกัด ให้ผลประโยชน์พวกเขาหน่อย ดึงดูดพวกเขาขนคนไปยังไต้หวันบุกเบิกพื้นที่ เราตอนนี้กำไรน้อย แต่วันหน้าย่อมกำไรใหญ่”
ทั้งห้องล้วนมองมาด้วยสายตาชื่นชม หวังหลิ่วโจวผู้นี้อายุเพียง 30 ต้นๆ ดูแล้วก็ไม่มีอะไรแปลกกว่าผู้ใด เดิมทีเสนอความคิดนี้ขึ้นมา ทุกคนไม่รู้สึกว่าแปลกพิสดารอันใด ไม่ก็แค่มั่วๆ โดนเท่านั้น แต่พอกล่าวมาเป็นข้อๆ ก็แสดงให้เห็นว่าวางแผนมาก่อนแล้ว
ความสำเร็จนี้ไม่ได้บังเอิญ เห็นได้ว่าเป็นผู้มีความสามารถแท้จริง หวังทงนั่งมองหวังหลิ่วโจวที่ยืนอยู่พยักหน้าไม่หยุด เอ่ยขึ้นเนิบนาบว่า
“จะดำเนินการอย่างไร จะดึงดูดพ่อค้าอย่างไร เจ้าไปจัดทำแผนละเอียดมาก ไปจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพียงแค่ไต้ไต้หวันที่เดียว เจ้าไปจัดการมา มารายงานข้าโดยตรง เรื่องลูซอนมอบให้คนอื่นไปจัดการละกัน!”
ในห้องหลายสิบคนล้วนเริ่มส่งเสียง รู้แล้วว่าคนผู้นี้ย่อมเรืองอำนาจวาสนา คิดไม่ถึงว่าโชคหล่นทับเช่นนี้ รับหน้าที่ดูแลคนเดียวไม่ว่า แต่ยังได้ติดต่อกับเหลียวกั๋วกงรายงานโดยตรง ในเครือข่ายสามธารา นี่เรียกได้ว่าระดับสถานะสูงสุดจึงได้เช่นนี้ ทำให้คนพากันอิจฉา
ติดตามทำงานกับเหลียวกั๋วกง มีความอดทนและยอมลำบากได้ ไม่ต้องห่วงว่าความสามารถจะไม่มีผู้ใดเห็น เรื่องนี้ทุกคนล้วนรู้ แต่หลายปีมานี้ ธรรมเนียมค่อยๆ ตั้งขึ้นมา นับวันยิ่งมีกิจการมาก ระบบก็ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อย ตอนนี้ทุกคนทำงานไม่ขอความชอบ ขอแค่ไร้ความผิด แต่แผนที่หวังหลิ่วโจวเสนอทำให้ได้มาซึ่งอำนาจวาสนา ยังทำให้ทุกคนรู้สึกถูกกระตุ้นให้คิด
การสร้างสรรค์และนำเสนอการจัดการเช่นนี้ ดูแล้วเหมือนบังเอิญ แต่ความจริงนั้นในระบบเครือข่ายสามธาราที่หวังทงสร้างระบบการค้าขึ้นมา เปลือกนอกเป็นร้านค้าแบบยุคสมัยนี้ แต่ด้านในนั้นกลับมีเรื่องใหม่ที่เขาสังเกตเห็นให้ความสำคัญมาก แนวคิดการจัดการในปัจจุบัน ระบบการจัดการในยุคปัจจุบัน นำมาใช้หมด
ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ เถ้าแก่กับคนงานที่ยอมเรียนรู้และขยันขันแข็ง หนึ่งสั่งสมประสบการณ์ สองเรียนรู้ความรู้มากมาย พวกเขาก็จะคิดมาปรับเปลี่ยน คิดจะพัฒนาให้ดีขึ้น ไม่เหมือนกับร้านค้าอื่นบนแผ่นดินหมิง ในเครือข่ายสามธาราคนที่มีความรู้ความสามารถแท้จริงจะไม่คิดว่าตนเองจะออกไปแยกตัวพัฒนา ล้วนอยากอยู่ต่อในระบบ หนึ่งพวกเขาเข้าใจแล้วว่าตนเองสามารถปีนขึ้นสูงไปอีกได้ สองพวกเขารู้ว่าตนเองมีหลายเรื่องที่ยังต้องการเรียนรู้
ไม่พูดถึงคนอื่น แค่อันดับหนึ่งในระบบการค้าอย่างกู่จื้อปิน ตอนยังไม่พบหวังทง ก็ชอบเสพสุขสุขสบาย แต่พอได้พบหวังทง ทุกวันนอกจากทำการค้า ยังไปเชิญบรรดาที่ปรึกษามาจัดการระเบียบเดิม คิดระบบสามธาราทุกด้านและการค้าต่างๆ ไม่ยอมปล่อยว่างไปแม้แต่น้อย
และเพราะสาเหตุต่างๆ นี้ จึงได้มีคนเช่นหวังหลิ่วโจวปรากฎตัวขึ้น จึงได้เสนอความคิดเช่นนี้ออกมาได้ และก็เพราะเป็นเช่นนี้ สามธาราโรงช่างจึงปรับใหม่มีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง
**************
“หวังหลิ่วโจวผู้นี้เป็นผู้มีความสามารถ ยากที่ทำการค้ามาอย่างเดียว จะสามารถคิดถึงคำว่า ‘วันหน้าค่อยว่ากัน’
พอเลิกประชุม หวังทงกับหยางซือเฉินทุกวันจะมาพบกันที่ห้องทำงาน อย่างไรก็ต้องชมเชยสักคำ ให้บรรดาเจ้าทะเลและพวกมีอิทธิพลริมทะเลไปบุกเบิก รอให้ถึงเวลาพอสมควรแล้ว หวังทงจึงจะยื่นมือไปจัดการต่อ ตอนนี้บนท้องทะเล ผู้ใดก็ไม่มีกำลังและความสามารถต่อกรกับกองเรือสามธารา
ความคิดนี้ไม่แปลก หากมาจากปากของพวกมีตำแหน่งระดับสูงข้างกายหวังทง หรือไม่ก็พวกชำนาญเรื่องการจัดการอำนาจอย่างหยางซือเฉินกล่าวออกมา ล้วนไม่แปลก แต่เถ้าแก่เล็กๆ กล่าวออกมา นับว่าไม่ธรรมดา
“เหล็กแหลมในถุงหนังย่อมแทงออกมานอกถุง ยินดีกับกั๋วกงด้วยที่ได้ผู้มีความสามารถมาช่วยงาน!”
หยางซือเฉินยิ้มกล่าว หวังทงพยักหน้า มองเห็นผู้มีความสามารถนับว่าเป็นเรื่องดียิ่ง แต่หวังทงกลับคิดถึงเรื่องอื่น ไม่อาจระงับความตื่นเต้นไม่ได้ กดเสียงต่ำลงกล่าวว่า
“ท่านหยาง พวกเรามีคนมากมาย คนมีความสามารถเช่นนี้ไม่มาก หวังหลิ่วโจวมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าได้ ยังมีหลายคนไม่ได้มีโอกาสนี้ ต้องสร้างระเบียบว่าให้ผู้มีความสามารถมีโอกาสได้นำมาใช้งาน”
“กั๋วกกล่าวได้ถูกต้อง นี่จึงเป็นวิธีการที่ยืนยาว”
พูดถึงตรงนี้ ความคิดหวังทงก็เริ่มพรั่งพรูขึ้นมา กล่าวว่า
“ข้าจัดการได้ แต่จำนวนคนมากมายเพียงนี้ ใช่ว่าดูแลได้ทั้งหมดครบถ้วน ประเด็นคือต้องมีธรรมเนียม ตั้งธรรมเนียม ผู้มีความสามารถจึงจะทำตามระเบียบมาได้ แต่ทว่าพอมีธรรมเนียม อย่างไรก็ต้องมีคนมาดูแล พวกเรามีงานต้องทำไม่น้อย!”
“กั๋วกงหมายความว่า….”
หยางซือเฉินกล่าวไม่จบ สุดท้ายกล่าวว่า
“กั๋วกง กั๋วกงสถานะนี้ เดิมก็ใช้คำว่าร่ำรวยมหาศาลอันดับหนึ่งในแผ่นดินยังบรรยายไม่พอ ทุกวันยังต้องทำงานหลวง ไม่มีเวลา ไยต้องลำบากเช่นนี้ ยังต้องรู้จักหาเวลาพักผ่อนบ้าง!”
“หากปล่อยให้ว่าง ข้าคงวุ่นวายใจ จะว่าไป ตอนนี้ยุ่งกับงาน ไม่ใช่เพราะเพื่อลูกข้าได้สบายหรอกหรือ”
สองคนเหมือนต่อบทสนทนากันไม่ได้ แต่ในความหมายนั้น ทุกคนล้วนเข้าใจดีก็พอ
ไต้หวันกับเรื่องน้ำตาลอ้อยล้วนเริ่มดำเนินการ ข่าวเหล่านี้ไม่ใช่ความลับสุดยอด คนนอกรู้ แต่ก็แค่ไปบุกเบิกที่รกร้างที่ไต้หวัน ไปปลูกอ้อยที่ลูซอนไว้ทำน้ำตาล ไม่ได้กระทบกับอะไรนัก ล้วนเป็นเรื่องการค้า ไม่กลัวคนอื่นรู้
รู้สองเรื่องนี้แล้ว แดนใต้ก็คึกคักขึ้นทันที เรื่องบุกเบิกที่แน่นอนพวกที่มาร่วมได้ย่อมได้ผลประโยชน์ใหญ่ พวกเงินทองมากเพียงพอ พวกเมืองหลวงที่มีพวกหนุนหลังเพียงพอ ล้วนสามารถคิดการนี้ได้ แต่เรื่องเพาะปลูกต้องใช้เวลา ต้องใช้กำลังเงินลงไปก่อน หลายคนไม่สนใจนัก แต่เรื่องน้ำตาลอ้อยลูซอนทำให้หลายคนไม่อาจไม่หวั่นไหว น้ำตาลเป็นผลประโยชน์ใหญ่ ล้วนเรียกเป็นดังทรายขาวบริสุทธิ์ กำไรยิ่งกว่าเกลือ ถึงตอนนั้นเรือขนมาเป็นลำๆ ล่องไปขายต่อยังริมสองฝั่งแม่น้ำแยงซีเกียง กำไรไม่น้อยแน่ คิดแล้วอยากจะเป็นลม
เหลียวกั๋วกงความสามารถเทียมฟ้า เขาสามารถขนเรือเป็นลำๆ มาทางทะเลถึงเมืองซงเจียงได้ นับว่าไม่ธรรมดา คิดจะไปขายที่ต่างๆ ยังต้องเป็นพวกพ่อค้าตระกูลใหญ่แดนใต้ที่ต่างๆ ตระกูลใหญ่เหล่านี้เข้าใจเรื่องนี้ ดังนั้นต้องไปจองเรือหวังทง สานสัมพันธ์ จะได้ไม่ถึงเวลาทุกคนไปออกัน ตนเองไม่ได้ชิมแม้แต่น้ำแกงคำเดียว
เดือนหก หลายเมืองแดนใต้พวกมากอำนาจวาสนา ชนชั้นสูงเมืองหนานจิงทุกคน หรือแม้แต่พวกพ่อค้าเกลือสองฝั่งแม่น้ำก็ยังคำออกไปทำกำไร พากันมาเยี่ยมเยือนถึงที่
สามส่วนถามถึงไต้หวัน เจ็ดส่วนถามถึงน้ำตาลอ้อย เรื่องนี้เทียบกับตอนหารือการค้ายังมีความเป็นไปได้อยู่มาก บุกเบิกไต้หวัน คนเหล่านี้คิดออกมาได้คล้ายกัน
***************
เข้าสู่เดือนเจ็ด เป็นเวลาที่คึกคักที่สุดช่วงเวลาหนึ่งของเมืองซงเจียง หวังทงกลับว่างขึ้นมา เรื่องทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามที่วางไว้
มีข่าวจากหนิงเซี่ย เผ่าหั่วลั่วชื่อเข้ารุกรานโจมตี ราวพันห้าร้อยกว่าถูกปราบราบคาบ หนิงเซี่ยรายงานผลงานต่อราชสำนัก นี่เป็นชัยชนะใหญ่แรกของกองกำลังหลวงที่ไปประจำเมืองชายแดน มีความหมายมาก ซุนซิงมีความชอบไม่น้อย ฮ่องเต้ว่านลี่ต้องพระราชทานรางวัลอย่างงาม
เรื่องจริงเป็นอย่างไร มีแต่วาจาที่กล่าวกับหวังทงส่วนตัวเท่านั้น เผ่าหั่วลั่วชื่อถูกกลุ่มพ่อค้าเมืองกุยฮว่าเฉิงติดอาวุธรวมกำลังกันทำลาย สาเหตุไม่ได้ซับซ้อน เผ่าหั่วลั่วชื่อหลังกระเทือนหนักหลายรอบ เริ่มคุ้นเคยปรับตัวได้กับสภาพใหม่บนทุ่งหญ้า ถึงกับค่อยๆ เริ่มมีเงินทองกันขึ้นมา แต่ไม่เป็นมิตรกับกลุ่มพ่อค้าและเมืองชายแดน แน่นอนต้องถูกปราบ
ชนเผ่าพันกว่าถูกทำลายลง สำหรับหวังทงไม่ใช่เรื่องใหญ่ บนทุ่งหญ้ากับนอกด่านมีคนหลายแสนคน จะไปเท่าไรกัน ไม่ต้องนำมาใส่ใจ
ไม่ก็เป็นเพราะหยางซือเฉินวันนั้นเตือนได้ผล หรือไม่ก็เป็นเพราะหวังทงคิดจะปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิต เขาอยู่บ้านกับภรรยาและบุตรมากยิ่งกว่าเดิม ความเปลี่ยนแปลงนี้ ทำให้ตั้งแต่หานเสียไปจนซ่งฉานฉาน ภรรยาหลายคนล้วนไม่ได้ดีใจในตอนแรก กลับตกใจและเป็นห่วง กลัวว่าข้างนอกเกิดเหตุอันใดขึ้น จึงทำให้สามีตนว่างมาอยู่บ้านได้ เรื่องนี้ทำเอาอยากยิ้มก็ไม่ออก อยากร้องไห้ก็ไม่ได้ ต่อมาจึงค่อยๆ ชิน ล้วนพากันดีอกดีใจ
หวังเซี่ยทั้งวันติดหวังทงหนึบ วันนี้คิดเรียนยุทธ พรุ่งนี้คิดจับปืน อย่างไรก็ไม่ยอมอ่านหนังสือ หวังจงกับหวังหลันเดิมที่พอเข้าใกล้หวังทงก็ล้วนแผดเสียงร้องดัง ตอนนี้เพราะคุ้นเคยใกล้ชิดแล้ว พอเห็นหวังทงก็จะให้เขาอุ้ม ทั้งครอบครัวล้วนมีความสุขยิ่ง
จวนกั๋วกงเช่นนี้ ภรรยาหลวงน้อยก็ควรจะแก่งแย่งกัน ต้องมีหน่วยป้องกันหญิงภายนอกมาแย่งสามีไป นี่เป็นปกติของพวกชนชั้นสูง แต่ทว่าจวนเหลียวกั๋วกงกลับไม่เป็น ซ่งฉานฉานจัดคนไปหานางรำฟ้อนขับร้องจากแม่น้ำฉินไหวเหอและเมืองซูโจวมาเลี้ยงดู พวกหานเสียไม่ได้ต่อต้าน กลับเห็นด้วย
เลี้ยงคณะงิ้วไว้ในจวน ตั้งแต่นักดนตรีไปจนถึงนักแสดง ทุกคนล้วนเป็นหญิง อายุยังไม่มาก คณะเช่นนี้ปล่อยเข้ามา สตรีย่อมถูกเก็บเป็นของนายใหญ่แห่งบ้าน กลายเป็นนางรำส่วนตัว เป็นเรื่องที่สตรีในจวนถือสาที่สุด แต่ทว่าจวนเหลียวกั๋วกงไม่เป็นห่วงเรื่องนี้ เพราะหากหวังทงคิดเรื่องพวกนี้ ในจวนตอนนี้คงไม่ได้มีภรรยาแค่ห้าคน
ซ่งฉานฉานสร้างคณะงิ้วไว้ในจวนจุดประสงค์ก็ไม่ใช่เพียงเพื่อความสำราญ พูดถึงแล้วก็เหมือนกับสื่อชีที่เลี้ยงเด็กในวัด
นี่เป็นการมองการณ์ไกล จวนเหลียวกั๋วกงกว้างใหญ่ ทั้งครอบครัวได้มาล้อมวงชมงิ้วกันก็นับเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่ทว่าหวังทงฟังไม่เป็นจริงๆ สำหรับเขาแล้ว ความบันเทิงเหล่านี้ช่างน่าเบื่อ ไม่สู้ออกไปทำงานดีกว่า
แต่เห็นภรรยาและบุตรชายหญิงพากันคึกคักชอบใจ หวังทงเองก็ไม่คิดออกไปทำงานเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องอดทนชมไป เป็นเรื่องอึดอัดเกินทนเสียจริง
ดังนั้นพอได้ยินคนด้านนอกรายงาน หวังทงรู้สึกได้โผล่จากน้ำ รีบกล่าวกับบรรดาภรรยา ก่อนจะรีบออกไปทันที เขาไม่ทันสังเกตว่าบรรดาภรรยาเบื้องหลังเขาล้วนมองแผ่นหลังเขาไปด้วยรอยยิ้มส่ายหน้า เขาไม่ชอบแต่ก็ยังพยายามเป็นเพื่อนภรรยาชมทำให้ทุกคนดีใจ
“มีกองเรือปะทะโจรสลัดหรือ? ปะทะกับคนของเสิ่นหวั่งหรือ?”
หวังทงถามขึ้นอย่างแปลกใจ คนรายงานสีหน้าเคร่ง พยักหน้าติดกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น