พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า 1055-1056
บทที่ 1055 ลูกน้องคนสนิทเชียวนะ!
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในตอนนี้ พ่อบ้านหลิวหรงกล่าวเตือนเล็กน้อย ฮวาหูเตี๋ยรีบทำความเคารพทันที
“ไม่ต้องมากพิธี!” โค่วเหมี่ยนยิ้มบางๆ หันตัวนั่งลงหลังโต๊ะหนังสือ แล้วยื่นมือกล่าวว่า “นั่งลงคุยกัน!”
ท่าทีอ่อนโยนเข้ากับคนง่าย ดูเหมือนไม่มีมาด แต่ความเป็นจริงสำหรับคนบางคน การไม่วางมาดต่างหากที่เป็นการมีมาดมากที่สุด เป็นเพราะฐานะของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันเกินไป ต่อให้เขาไม่วางมาดกับเจ้า แต่เจ้าก็ต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใคร สามารถได้รับชื่อเสียงดีๆ โดยไม่ล่วงเกินคนอื่น ทั้งยังทำให้คนอื่นเป็นฝ่ายมองขึ้นมาอย่างเคารพนอบน้อม แบบนั้นต่างหากที่เรียกว่ามีมาดของจริง มีมาดโดยไม่ต้องวางมาด
ฮวาหูเตี๋ยนั่งลงด้วยความเคารพนบนอบ ในใจสงสัยนิดหน่อยว่าคุณชายสามตระกูลโค่วท่านนี้เรียกหาตนด้วยธุระอะไร ตามหลักการแล้วนางไม่สะดวกจะที่ติดต่อกับตระกูลโค่วโดยตรง ถ้าไม่ใช่เพราะเบื้องบนเรียกพบ ก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะมาปรากฏตัวในจวนอ๋องสวรรค์โดยตรง
โค่วเหมี่ยนยิ้มน้อยๆ พออ้าปากพูดก็เอ่ยสื่อถึงความหมายนี้ “เจ้าเป็นคนในสังกัดของผู้เฒ่าถัง ตามหลักการแล้วข้าไม่มีสิทธิ์จะถามอะไรเจ้า แต่ในเมื่อสามารถเรียกให้เจ้ามาได้แล้ว คาดว่าในใจเจ้าก็คงจะเข้าในเช่นกัน เจ้าวางใจได้ เรื่องที่ไม่ควรถามข้าก็จะไม่ถามเยอะ ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ทำให้เจ้าลำบากใจหรอก”
“ค่ะ!”ฮ วาหูเตี๋ยพยักหน้าเบาๆ “ผู้น้อยได้ยินที่กำชับแล้ว”
“งั้นข้าก็จะไม่อ้อมค้อมแล้ว” โค่วเหมี่ยนเอ่ยถามตรงประเด็น “ได้ยินว่าเจ้ารู้จักหนิวโหย่วเต๋อ?”
“หนิวโหย่วเต๋อ?” ฮวาหูเตี๋ยงงไปชั่วขณะ แล้วถามหยั่งเชิงว่า “คุณชายสามถามถึงหนิวโหย่วเต๋อที่ได้อันดับหนึ่งในการทดสอบครั้งนี้หรือคะ?”
“เป็นเขานั่นแหละ!” โค่วเหมี่ยนพยักหน้า
“เคยพบเพียงครั้งสองครั้ง ที่จริงแล้วไม่เคยคุยกัน ไม่นับว่ารู้จักกันสักเท่าไรค่ะ” ฮวาหูเตี๋ยตอบอย่างซื่อสัตย์ แต่ในใจกลับพึมพำว่าถามถึงหนิวโหย่วเต๋อไปทำไม?
พอพูดถึงหนิวโหย่วเต๋อคนนี้ หลังจากได้ทราบข่าวในใจนางก็รู้สึกสะเทือนอารมณ์เช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะสามารถคว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบของตำหนักสวรรค์ได้ คนที่ไม่ธรรมดาถึงจะสามารถทำเรื่องที่ไม่ธรรมดาออกมาได้
โค่วเหมี่ยนรู้สึกฉงนในใจ ไม่เคยบอกกล่าวอะไรด้วยซ้ำ แบบนั้นหมายความว่าอะไร ผู้เฒ่าถังอยากให้ตนถามอะไร แต่ในเมื่อผู้เฒ่าถังบอกแล้วว่าสามารถใช้งานได้ นั่นก็แสดงว่ามีสาเหตุเช่นกัน ถึงได้อดทนเอาไว้ ถามว่า “เจ้ารู้สึกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนั้นเป็นอย่างไร?”
ฮวาหูเตี๋ยเผยสีหน้าลังเล คิดในใจว่านั่นเป็นลูกน้องของลูกชายท่าน ลูกชายท่านจะไม่รู้จักเขาดีว่าข้าหรอกเหรอ? ถามหยั่งเชิงว่า “คุณชายสามหมายถึงในด้านไหนคะ?”
โค่วเหมี่ยนมองพ่อบ้านหลิวหรงพร้อมยิ้มให้ หลิวหรงกล่าวต่อทันที “ไม่ต้องระมัดระวังตัวมากเกินไป พูดมาได้เลย พูดสิ่งที่เจ้ารู้”
“ค่ะ!” ฮวาหูเตี๋ยพยักหน้า ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างลังเลว่า “ข้าไม่ได้คลุกคลีอยู่กับคนคนนี้สักเท่าไร และเคยพบแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น แต่ความสามารถที่แสดงออกมาไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเทียบติดเลยจริงๆ ถึงแม้วรยุทธ์จะไม่สูง แต่ก็กล้าหาญเจ้าแผนการ มีความกล้าเกินคนทั่วไป มีไหวพริบรู้จักพลิกแพลง มีความเด็ดขาดและปณิธานในการทำงานมาก ทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ เป็นอัจฉริยบุรุษจริงๆ!”
“อ้อ! ประเมินได้สูงถึงขนาดนี้เชียว!” โค่วเหมี่ยนตกตะลึงและประหลาดใจมาก ถามอย่างเกิดความสนใจทันที “ในเมื่อเจ้าไม่สนิทกับขา ไม่เคยคุยกันแม้แต่คำเดียว แล้วทำไมจึงประเมินเขาสูงขนาดนี้?”
“เรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะ…” ฮวาหูเตี๋ยบรรยายเหตุการณ์ที่เจอกับพวกเหมียวอี้ครั้งแรกอย่างละเอียด บอกว่าตอนนั้นมองไม่ออกว่าเหมียวอี้มีจุดไหนพิเศษ จนกระทั่งเหมียวอี้บุกเข้าไปที่ป่าลืมทุกข์เพียงลำพัง ตอนนี้ถึงจะเป็นจุดที่เน้นความสำคัญ
ได้ยินว่าเหมียวอี้อาศัยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งไปเสี่ยงอันตรายเพียงลำพัง ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เคยเห็นและไม่รู้จักปานเยว่กงกับภรรยามาก่อน เขาใช้คำพูดปลุกปั่นหยั่งเชิงจุดอ่อนของสามีภรรยาได้อย่างฉลาดหลักแหลม แล้วก็ใช้ทั้งไม้อ่อนไม้แข็งมากดดับปานเยว่กงกับภรรยา รับมือกับปานเยว่กงที่กำลังขู่ฆ่าอย่างสงบเยือกเย็น ใช้ชิงเหมยมาควบคุมปานเยว่กง เก็บนักพรตบงกชทองขั้นเก้ากับนักพรตบงกชทองขั้นห้ามาไว้ให้ตัวเองใช้งาน ให้มาเป็นกำลังส่วนหนึ่งของตัวเองสำหรับการทดสอบ
โค่วเหมี่ยนกับพ่อบ้านหลิวหรงอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิกลั่ก เขาให้ไปจับตัวนักโทษหลบหนี แต่เจ้าหนุ่มนั่นกลับอาศัยบีบจุดอ่อนของนักโทษหลบหนีเพื่อเกลี้ยกล่อมให้นักโทษหลบหนีช่วยตนจับตัวนักโทษหลบหนี ในขณะที่ใช้กลยุทธ์ดึงมาเป็นพวก ก็แสดงฝีมือกับความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญออกมาจนหมด มีทั้งความกล้าและกลยุทธ์ ห้าวหาญเกินใคร!
ถ้าเปลี่ยนเป็นตอนนี้ ทั้งสองก็สามารถจินตนาการได้ว่าเหมียวอี้โดนกดดันจนหมดทางเลือกถึงได้ทำอย่างนั้น โค่วเหวินหลานใช้ทรัพยากรของตระกูลโค่วได้ไม่เยอะ แรงสนับสนุนมีจำกัด มีสมาชิกอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น ไม่เหมือนลูกน้องของโค่วเหวินหวงที่ใช้ทรัพยากรของตระกูลโค่วและติดต่อกลุ่มคนที่สถานที่ไร้ชีวิตให้ช่วยเหลือ แล้วพวกเหมียวอี้ก็วรยุทธ์ต่ำ ถ้าอยากจะจับเมียของนักพรตบงกชทองขั้นเก้าจะไม่ลำบากได้อย่างไร อีกฝ่ายไม่สู้ตายกับเจ้าก็แปลกแล้ว แต่หนิวโหย่วเต๋อคนนี้กลับใช้วิธีการตรงกันข้ามสยบสองสามีภรรยาไว้พร้อมกันเสียเลย ทำให้คนรู้สึกทึ่งและชื่นชมจริงๆ
จากนั้นฮวาหูเตี๋ยก็เล่าสถานการณ์ที่รู้ตอนที่ติดต่อกับชิงเหมยในตอนหลังอีก หลังจากปานเยว่กงและภรรยาออกไปแล้ว นางก็กังวลนิดหน่อยว่าเหมียวอี้จะใช้วิธีการล่อสองสามีภรรยาออกจากถ้ำแล้วค่อยลงมือฆ่าหรือ แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้ทราบข่าวจากปากชิงเหมย ว่าเหมียวอี้ไม่เพียงแค่ไม่กลืนคำพูดตัวเอง แต่ยังนำเกราะรบผลึกแดงที่โค่วเหวินหลานมอบให้ส่งต่อให้ปานเยว่กงไว้ปกป้องตัวเองอย่างใจกว้างและเด็ดเดี่ยว มอบทางหนีทีไล่ให้สองสามีภรรยา ทำให้สองสามีภรรยายอมสวามิภักดิ์อย่างถึงที่สุด และตั้งแต่นั้นมาทั้งสองก็เริ่มตัดสินใจช่วยเหลือเหมียวอี้ด้วยความจริงใจ
ส่วนเรื่องตอนซ่อนตัวที่ดาวสองขั้ว ชิงเหมยไม่ได้เอ่ยถึงสักเท่าไร ตอนนั้นเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของทุกคน ถ้าให้คนอื่นหาพบก็จะเกิดปัญหายุ่งยากมาก นางย่อมไม่ได้บอกฮวาหูเตี๋ยเช่นกัน
หลังจากได้ฟังเรื่องราวก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ โค่วเหมี่ยนก็ใช้นิ้วทั้งห้าเคาะผิวโต๊ะเบาๆ ราวกับความรู้สึกนึกคิดกำลังตกอยู่ในภาพเหตุการณ์ที่ฮวาหูเตี๋ยชี้แจ้งอย่างละเอียด หลังจากได้สติกลับมา เขาก็หยุดเคาะโต๊ะ แล้วถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ยังมีอย่างอื่นอีกมั้ย? มีเท่านี้เหรอ?”
“คลุกคลีกันไม่เยอะจริงๆ เรื่องนี้ทราบจึงมีเพียงเท่านี้ ที่มากกว่านั้นก็ได้ยินเรื่องที่เขาได้อันดับหนึ่งในการทดสอบของตำหนักสวรรค์ ในด้านนี้คาดว่าคุณชายสามคงจะรู้ชัดกว่าข้า” ฮวาหูเตี๋ยตอบ
“รบกวนแล้ว!” โค่วเหมี่ยนพยักหน้ายิ้ม จากนั้นก็บอกใบ้พ่อบ้านหลิวหรง หลิวหรงนำแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งส่งให้ฮวาหูเตี๋ยทันที นับว่าเป็นการให้รางวัล
ฮวาหูเตี๋ยรู้ว่านี่เป็นการส่งแขกแล้ว ถึงได้ยืนขึ้นแล้วกล่าวอำลา หลิวหรงออกไปส่งด้วยตัวเอง
ตอนที่กลับมาอีกครั้ง ก็เห็นโค่วเหมี่ยนเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องหนังสือ หลิวหรงจึงรายงานว่า “คุณชายสาม ส่งตัวไปแล้วขอรับ”
โค่วเหมี่ยนพยักหน้าสื่อว่ารู้แล้ว จากนั้นก็ยืนถอนหายใจอยู่หน้าชั้นหนังสือ “เดิมทีนึกว่าหนิวโหย่วเต๋อคนนั้นเชี่ยวชาญแค่เรื่องการค้าอย่างเดียว พอมาดูตอนนี้แล้ว สงสัยการที่เขาสามารถผลักดันร้านขายของชำซื่อตรงขึ้นมาได้จะไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผล คนที่มีพร้อมทั้งความกล้าหาญและสติปัญญาทั้งยังรู้จักพลิกแพลงแบบนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถยืนหยัดตั้งมั่นได้ ไม่แปลกใจที่ผู้เฒ่าถังตั้งใจแนะนำเป็นพิเศษ มีคนแบบนี้อยู่ข้างกายเหวินหลาน ในอนาคตต้องช่วยเหลือเหวินหลานได้มากแน่นอน มีคนคนนี้ช่วยเหลือเหวินหลาน จะมีประโยชน์กับเหวินหลานมาก!”
ในตอนนี้ พ่อบ้านหลิวหรงกล่าวเตือนเล็กน้อย ฮวาหูเตี๋ยรีบทำความเคารพทันที
ตรงนี้เพิ่งจะพูดจบ จู่ๆ ด้านนอกก็มีเสียงดีอกดีใจของซูฮวนแหนียงดังมา เหมือนอยากจะให้คนทั้งจวนอ๋องสวรรค์รู้กันหมด
หลิวหรงเงี่ยหูฟัง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “นายน้อยกลับมาแล้วขอรับ!”
“ให้เขามาที่นี่หน่อย” โค่วเหมี่ยนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิวหรงออกไปบอก ผ่านไปไม่นาน ซูฮวนแหนียงกับโค่วเหวินหลานก็มาพร้อมกัน แม่กับลูกชายอารมณ์ดีทั้งคู่ ได้พบเจอเรื่องดีๆ ก็ย่อมสบายอกสบายใจ
หลังจากโค่วเหวินหลานคำนับแล้ว โค่วเหมี่ยนก็โบกมือบอกซูฮวนแหนียงว่า “เจ้าออกไปก่อน”
“ทำไมล่ะ?” ซูฮวนแหนียงที่ไม่ว่าจะมองลูกชายตัวอย่างไรก็ถูกชะตาพลันหุบยิ้ม แล้วถามอย่างหงุดหงิดว่า “จะพูดเรื่องน่าอายอะไรที่ข้าฟังไม่ได้?”
“เรื่องระหว่างผู้ชาย พวกผู้หญิงอย่าเข้ามายุ่งเลย” โค่วเหมี่ยนกล่าว
ซูฮวนแหนียงถลึงตาถาม “หมายความว่ายังไง?”
โค่วเหมี่ยนตอบว่า “ไม่ได้หมายความว่าอะไร แต่ด้วยปากอย่างเจ้า เรื่องที่ควรพูดหรือไม่ควรพูดเจ้าก็เผยแพร่จนคนรู้กันทั้งใต้หล้า ข้ากลัวเจ้าแล้วตกลงมั้ย?”
“กรี๊ด!” ซูฮวนแหนียงร้องกรี๊ด แล้วแล้วเริ่มยกความผิดมาบ่นด่าทีละข้อ
ผู้ชายสามคนที่อยู่ตรงนั้นรู้ว่าต้องรับมือกับนางอย่างไร ปล่อยให้นางพูดให้เต็มที่ สรุปก็คือไม่เถียงกลับเลย แต่ละคนยืนเงียบไม่สะทกสะท้าน รอให้นางระบายอารมณ์โกรธเสร็จแล้ว ก็เดินกระฟัดกระเฟียดจากไปอย่างที่คาดไว้
เมื่อผู้หญิงปากมากเดินออกไปแล้ว โค่วเหมี่ยนก็ถอนหายใจ มองลูกชายพร้อมถามด้วยรอยยิ้มว่า “คงไม่ต้องให้ข้าพูดหรอก แม่เจ้าคงบอกเจ้าแล้วใช่มั้ย?”
โค่วเหวินหลานพยักหน้ายิ้มอย่างเอียงอาย
โค่วเหมี่ยนบอกว่า “หลังจากไปฟังที่ท่านลุงใหญ่ของเจ้าเตรียม รีบไปมอบหมายงานที่ดาวเทียนหยวนไว้แต่เนิ่นๆ เถอะ อย่าลืมพาลูกน้องที่ชื่อหนิวโหย่วเต๋อคนนั้นไปด้วย ราชันสวรรค์มีเจตนาชัดเจนแล้ว มีลูกน้องที่ใช้งานได้ไว้หลายๆ คนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย”
“ขอรับ! ย่อมต้องพาหนิวโหย่วเต๋อไปด้วยอยู่แล้ว ที่ได้อันดับหนึ่งในครั้งนี้ ไม่อาจละเลยผลงานของเขาได้ ส่วนอีกสองคนข้าก็จะพาไปด้วยเหมือนกัน เออใช่ ท่านพ่อ พอพูดถึงหนิวโหย่วเต๋อ ข้านึกได้ว่าเขาขอร้องข้าเรื่องหนึ่ง ข้ารับปากเขาไปแล้ว หวังว่าท่านพ่อจะช่วยให้สมปรารถนา!” โค่วเหวินหลานเล่าเรื่องที่เหมียวอี้ต้องการจะพลิกคดีของซูลู่เอ๋อร์ให้ฟังทันที
เมื่อได้ยินดังนั้น โค่วเหมี่ยนกับหลิวหรงก็มองหน้ากันแล้วยิ้ม
เมื่อเห็นทั้งสองยิ้มแปลกๆ โค่วเหวินหลานก็ถามอย่างประหลาดใจทันที “ท่านพ่อ ยิ้มทำไมเหรอ หรือว่ามีอะไรไม่เหมาะสม?”
โค่วเหมี่ยนยิ้มอย่างเบิกบานใจยิ่งขึ้น ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าลูกน้องคนนั้นของเจ้ามีไมตรีจิตมิตรภาพ ทั้งยังพูดจาคำไหนคำนั้น มีคนแบบนี้อยู่ข้างกายเจ้าข้าก็วางใจ” เสร็จแล้วก็หันมาบอกข้างๆ ว่า “ผู้เฒ่าหลิว เรื่องนี้เจ้าไปจัดการด้วยตัวเองตามเห็นสมควรเถอะ รีบจัดการให้เหวินหลานให้เรียบร้อย เขาจะได้กลับไปให้คำตอบกับหนิวโหย่วเต๋อได้ ในเมื่อต้องการจะรับมาทำงานด้วย ก็ต้องให้ความสำคัญกับธุระของเขา ต้องทำให้เขาสวามิภักดิ์ ลูกน้องคนสนิทเชียวนะ!”
“ขอรับ!” หลิวหรงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ ต้องจัดการให้เรียบร้อยก่อนนายน้อยจะกลับไปแน่นอน!”
ที่จวนอ๋องสวรรค์ในวันต่อๆ มา ความสุขสมหวังของของโค่วเหวินหลานกับความเงียบเหงาของโค่วเหวินหวงเกิดเป็นข้อเปรียบเทียบที่เห็นได้ชัดเจน ทำเอากลุ่มหลานสาวของตระกูลโค่วมาเกาะแกะถามนั่นถามนี่ไปเรื่อยๆ…
ดาวเทียนหยวน ตลาดสวรรค์ พ่อค้าที่สัญจรไปมาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าวันนี้ที่นอกประตูเมืองตะวันออกต่างจากปกติ มีทหารสวรรค์จำนวนมากมาดักอยู่ตรงนี้ แต่ละคนสวมเกราะรบโปร่งแสง ดาบทวนเรียงรายราวกับต้นไม้ในป่า ทำเอาผู้คนตกใจไม่กล้าเข้าออก คนที่มีความผิดอยู่ในใจพากันหลบเลี่ยงคมอาวุธ
คนกลุ่มนี้ย่อมรอต้อนรับการกลับมาของพวกเหมียวอี้อยู่แล้ว ตอนนี้พวกเหมียวอี้ได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบ ข่าวที่ได้รางวัลจากราชันสวรรค์ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป ข่าวแพร่ออกไปจนคนรู้กันหมดแล้ว ทางนี้เคยติดต่อกับพวกเหมียวอี้ จึงรู้ว่าวันนี้จะกลับมา ฉากต้อนรับยิ่งใหญ่อลังการมาก
บนหอประตูเมือง ผู้การสองหลันเซียงแห่งตำหนักคุ้มเมืองกำลังนั่งดื่มน้ำชาอย่างสงบอยู่ในตึก
ที่นางถูกเรียกว่าผู้การสอง ก็เป็นเพราะผู้การใหญ่อยู่ที่จวนท่านโหว อยู่ข้างกายท่านโหวเทียนหยวน ส่วนนางคอยรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยิน ทำหน้าที่เป็นเหมือนพ่อบ้านของที่นี่
ไม่ง่ายเลยกว่าปี้เยว่ฮูหยินจะได้กลับจวนท่านโหวสักครั้ง เมื่อไปแล้วก็ต้องอยู่ที่นั่นสักระยะหนึ่ง ตัวนางยังไม่กลับมา แต่กลับส่งข่าวมาบอกผู้การสองหลันเซียง บอกให้นางมาต้อนรับพวกเหมียวอี้ด้วยตัวเอง ทั้งยังกำชับว่าห้ามเมินเฉยต้อนรับไม่ดี
สำหรับเรื่องนี้ ผู้การสองหลันเซียงเกิดความสงสัยในใจมาก ก็แค่ผู้บัญชาการเล็กๆ ใต้สังกัดคนเดียว จำเป็นต้องลดเกียรติลดฐานะตัวเองชนาดนี้เชียวเหรอ?
ถึงแม้จะสงสัยแต่ก็ยังต้องปฏิบัติตามคำสั่ง!
…………………………
บทที่ 1056 กลับมาพร้อมเกียรติยศ
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนที่มาต้อนรับไม่ได้มีแค่ผู้การสองหลันเซียง ผู้ช่วยทั้งสองคนของโค่วเหวินหลาน เล่าหนานซงกับกงอวี่เฟย รองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองคนก็กำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่ในตึกเช่นกัน
พวกฝูชิงที่อยู่บนหอประตูเมืองก็นำคนมารอแล้วเช่นกัน เงยน้ามองบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่เป็นระยะ กำลังพลของเขตเมืองทั้งสี่ที่ไม่ได้เข้าเวรก็แทบจะมารวมตัวรออยู่ที่ประตูเมืองตะวันออกทั้งหมด
“มาแล้ว! ผู้บัญชาการมาแล้ว!” หูเฟยที่สวมเกราะรบอยู่บนหอประตูเมืองพลันอุทานพลางชี้ไปบนท้องฟ้า
ทุกคนพากันมองไปบนท้องฟ้า ผู้การสองและคนอื่นๆ ที่อยู่ในตึกถลันตัวออกมา เห็นเพียงเงาคนสามคนเหาะลงมาจากท้องฟ้า เหมียวอี้และผู้บัญชาการอีกสองคนกลับมาแล้ว
ทุกคนที่อยู่บนหอประตูเมืองถลันตัวลงมาทันที บริเวณประตูเมืองตะวันออกถูกปิดล้อมในชั่วพริบตาเดียว ควบคุมพ่อค้าและผู้ที่สัญจรเข้าออก กลุ่มทหารสวรรค์ล้อมที่นี่ไว้แล้ว ไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าใกล้
“คารวะผู้บัญชาการ!” ทุกคนที่อยู่ตรงประตูเมืองคารวะเสียงดังพร้อมกันภายใต้การนำของพวกฝูชิง เสียงดังเกริกก้อง
พวกเหมียวอี้เผยรอยยิ้มบนใบหน้า ยกมือกันบอกใบ้ให้ทุกคนยืนตรง
“เคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ จะมาต้อนรับพวกเราหรือจะมาจับกุมตัวพวกเรากันแน่” สวีถังหรานถือโอกาสพูดหยอกล้อ
“ผู้บัญชาการสวีกล่าวเกินไปแล้ว ได้อันดับหนึ่งจากราชันสวรรค์ ใครจะกล้าต้อนรับไม่ดี!” เสียงของผู้การสองหลันเซียงดังมา เล่าหนานซงกับกงอวี่เฟยตามอยู่ทางซ้ายและขวา เดินออกมาด้วยกันจากด้านหลังกลุ่มคนที่หลีกทางให้
พวกเหมียวอี้ชะงักเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าผู้การสองท่านนี้จะมาด้วย จึงกุมหมัดคารวะพร้อมกันทันที “คารวะผู้การสอง คารวะรองผู้บัญชาการใหญ่ทั้งสองท่าน!”
ผู้การสองหัวเราะเบาๆ แล้วผายมือเล็กน้อย “รับการคารวะจากพวกเจ้าไม่ไหวหรอก ไม่อย่างนั้นจะขัดกับเจตนารมณ์ของสวรรค์นะ!”
เจตนารมณ์ของสวรรค์บ้าอะไรล่ะ! ทั้งสามพึมพำในใจ ตลอดทางที่กลับมานี้ ถ้าเจอใครที่ควรทำความเคารพก็ไม่ละเลยสักคน ที่ราชันสวรรค์บอกว่าไม่ต้องทำความเคารพนักพรตที่ระดับต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพ นั่นเป็นเพียงคําปราศรัยแท้ๆ เลย ถ้าเจอคนที่ตำแหน่งสูงกว่าแล้วเจ้าก็ลองไม่คารวะดูสิ!
และแน่นอน ต่อให้เจ้าไม่ทำความเคารพ อีกฝ่ายก็ไม่บังคับเจ้าเช่นกัน กลับจะพูดตอบตามมารยาทเหมือนที่ผู้การสองพูดเมื่อครู่นี้ด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรราชันสวรรค์ก็ได้ลั่นวาจาไว้แล้ว แต่ถ้าเจ้านำคำพูดของราชันสวรรค์ไปคิดเป็นจริงเป็นจัง ภาพลักษณ์เจ้าก็จะกลายเป็นคนหยิ่งผยองไร้มารยาทและไม่เห็นผู้บังคับบัญชาอยู่ในสายตาทันที จะไปล่วงเกินใครให้ไม่พอใจบ้างก็ยังไม่รู้เลย
ดังนั้นแล้ว ตอนแรกที่ได้รับรางวัลจึงรู้สึกดีใจมาก คิดว่าต่อไปนี้จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ได้ แต่เวลาปฏิบัติจริงขึ้นมาไม่สามารถทำตามคำพูดของราชันสวรรค์ได้เลย ต่อให้คนหนุนหลังจะใหญ่กว่านี้ก็สู้คนในตำแหน่งปัจจุบันไม่ได้ ยศสูงขึ้นก็แปลว่ารายได้และสวัสดิการเพิ่มสูงขึ้น แต่ในด้านอำนาจกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด สิ่งที่เรียกว่าอำนาจก็คือตำแหน่งขุนนางที่มีอำนาจที่แท้จริง ถ้าไม่มีอำนาจที่แท้จริงต่อให้ยศเจ้าสูงกว่านี้ก็เป็นเพียงความจอมปลอม ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ ตำแหน่งขุนนางของเจ้าควรจะเป็นอย่างไร ก็ล้วนยังอยู่ในมือของผู้บังคับบัญชาอยู่ดี แล้วเจ้าจะกล้าเสียมารยาทใส่ผู้บังคับบัญชาของเจ้าเหรอ? อีกฝ่ายสามารถปรับตำแหน่งเจ้าได้ตลอดเวลา ยศระดับทหารสวรรค์ที่ถูกส่งให้ไปเป็นเทพเจ้าที่ก็ใช่ว่าจะไม่มี
ทั้งสามคนที่มารอบนี้นับว่าเข้าใจอย่างถึงที่สุดแล้ว การที่ราชันสวรรค์ให้รางวัลอย่างอึกทึกครึกโครม ก็แค่อยากจะแสดงให้คนอื่นดูเท่านั้น ให้คนอื่นรู้สึกว่ามีหน้ามีตา ถ้าทั้งสามเก็บไปคิดเป็นจริงเป็นจังก็แสดงว่าเป็นคนโง่แล้ว
และแน่นอน ใช่ว่าจะไม่มีข้อดีอะไรเลย อย่างน้อยราชันสวรรค์ก็อนุญาตด้วยตัวเอง ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นชื่อเสียงเกียรติยศ ถ้าเจ้ายังทำความเคารพต่อไป ก็จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเจ้าเคารพเขาเป็นพิเศษ ดูมีน้ำหนักกว่าเวลาที่คนอื่นทำความเคารพนิดหน่อย และนี่ก็เป็นข้อดีเหมือนกัน
หลังจากพวกเขากล่าวตามมารยาทต่อหน้าฝูงชนแล้ว ผู้การสองหลันเซียงก็บอกว่า “นายท่านแม่ทัพภาคยังไม่กลับมาจากจวนท่านโหว สั่งให้ข้าจัดงานเลี้ยงฉลองที่ตำหนักคุ้มเมืองคืนนี้ เป็นตัวแทนเลี้ยงฉลองให้ทั้งสามคน รอให้นายท่านกลับมาก่อนแล้วค่อยเรียกพบอีกทีหนึ่ง”
“การเคารพเทียบไม่ได้กับทำตามคำสั่ง!” ทั้งสามเอ่ยรับ
ทางนี้ยังไม่ทันได้พูดอะไรกับพวกฝูชิง ทำได้เพียงพยักหน้าทักทาย จากนั้นก็เดินเคียงข้างผู้การสองหลันเซียงเพื่อเข้าไปในเมือง
พวกฝูชิงก็เข้าใจได้เช่นกัน เมื่อเข้ามาอยู่ในสถานภาพแบบนี้ก็ต้องทำตามธรรมเนียม เวลาส่วนใหญ่ทำตามใจตัวเองไม่ได้ ต่อให้ในใจจะไม่อยากประจบประแจง แต่ภายนอกก็ยังต้องประจบประแจง พวกเขาจึงเดินตามหลังไป
ในเมืองมีคนไม่น้อยมารวมตัวกันเพื่อรอดูความสนุกสนานคึกครื้นแล้ว
บนภัตตาคารที่อยู่ริมถนน อวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวกำลังนั่งพิงรั้วอยู่ในห้องส่วนตัว กำลังมองภาพกลุ่มทหารสวรรค์กันคนอยู่ตรงประตูเมือง การจัดวางกำลังเข้มงวดมาก
อวิ๋นจือชิวถูกหวงฝู่จวินโหรวดึงมา ‘ดื่มน้ำชา’ แท้ๆ เลย เพียงแต่การดื่มน้ำชาครั้งนี้อวิ๋นจือชิวรู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย แต่นางก็ยังต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร
ผ่านไปครู่เดียว คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาในเมืองภายใต้การล้อมของกลุ่มทหารสวรรค์ ท่านขุนนางเหมียวที่อยู่ท่ามกลางความเอิกเกริกแต่งกายด้วยชุดคลุมยาวสีดำทั้งตัว ลักษณะห้าวหาญเหมือนวีรบุรุษ เรียกได้ว่าเป็นกระเรียนยืนกลางฝูงไก่ กอปรกับอยู่บริเวณตรงกลางของกลุ่มคน ดังนั้นเขาจึงดูโดดเด่นสะดุดตามาก
การปรากฏตัวนี้ อวิ๋นจือชิวกับหวงฝู่จวินโหรวต่างก็เพ่งมองอยู่พักหนึ่ง แววตาของหวงฝู่จวินโหรวค่อนข้างสื่ออารมณ์ซับซ้อน
“คนคนนั้น แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าตำแหน่งสูงอำนาจมาก เป็นใครกัน?”
“ไม่รู้สิ!”
ตรงประตูภัตตาคารมีพวกผู้หญิงที่มาซื้อของที่ตลาดสวรรค์กำลังกระซิบกระซาบกัน คนงานของภัตตาคาเดินเข้ามาใกล้ เห็นได้ชัดว่าเคยเจอเหมียวอี้มาก่อน จึงตอบอยู่ข้างๆ ว่า “จะเป็นใครไปได้ล่ะ? พื้นที่พวกเจ้าเหยียบอยู่ก็เป็นอาณาเขตของเขานี่แหละ ผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของตลาดสวรรค์ แม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบที่ราชันสวรรค์แต่งตั้ง หนิวโหย่วเต๋อ ผู้บัญชาการหนิวที่เวลาเจอนักพรตที่วรยุทธ์ต่ำกว่าระดับพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพก็ไม่ต้องทำความเคารพ นั่นคือบุคคลที่เข้าตาราชันสวรรค์ อนาคตยาวไกลไร้ขอบเขต!”
“คนนี้เองเหรอผู้บัญชาการหนิว?” ผู้หญิงคนนั้นตาเป็นประกายทันที
สิ่งที่ผู้คนกำลังพูดถึงทั่วทั้งตลาดสวรรค์ของดาวเทียนหยวนในตอนนี้ ก็คือเรื่องของหนิวโหย่วเต๋อและผู้บัญชาการอีกสองคน พวกเขาแทบจะกลายเป็นประเด็นสนทนาที่น่าสนใจของทุกคน ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่าพวกหนิวโหย่วเต๋อจะได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบครั้งนี้ ตอนนี้คนที่นี่ค่อนข้างภาคภูมิใจกับสิ่งนี้ รู้สึกเป็นเกียรติและโชคดี
ผู้หญิงอีกคนกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย “ดูอายุน้อยขนาดนี้เชียวเหรอ!” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ นึกไม่ถึงว่าอายุเพียงเท่านี้ก็มีตำแหน่งสูงขนาดนี้แล้ว
พวกเหมียวอี้เองอาจจะไม่ได้รู้สึกว่ายิ่งใหญ่อะไร เบื้องบนมีคนที่อำนาจเยอะกว่าพวกเขาตั้งมากมาย แต่สำหรับนักพรตอิสระทั่วไป เหมียวอี้จัดเป็นประเภทคนที่มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมากจริงๆ เพราะในมือกุมอำนาจที่แท้จริงเอาไว้ ทั้งยังได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่รายได้เยอะอย่างที่ตลาดสวรรค์ด้วย กอปรกับได้รับแต่งตั้งจากราชันสวรรค์ ภายใต้การจงใจสร้างกระแสของตำหนักสวรรค์ แถมหน้าตาอยู่ในระดับบน นี่ก็คือลูกเขยเต่าทอง[1]ขนานแท้ ไม่รู้ว่าตรงนั้นมีผู้หญิงตั้งเท่าไรที่มองจนตาลุกวาว
ถ้าสามารถแต่งงานกับผู้ชายประเภทนี้ได้ อย่าว่าแต่แต่งงานเลย ต่อให้สามารถมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือนิดหน่อย แล้วอีกฝ่ายหาร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ให้เจ้าสักร้าน แบบนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ไปทั้งชาติแล้ว
แต่จนใจที่คนประเภทนี้ ใช่ว่าเจ้าอยากจะรู้จักก็รู้จักได้ ก็เหมือนที่คนงานข้างๆ พูดหยอก “เลิกน้ำลายไหลได้แล้ว ผู้ชายประเภทนี้ไม่ใช่คนที่ผู้หญิงทั่วไปจะคิดถึงได้ ผู้หญิงทั่วไปไม่ได้อยู่ในสายตาเขาหรอก ต่อให้พวกเจ้าเต็มใจ แต่ก็ต้องหาทางไปเข้าใกล้ตัวเขา ดูองครักษ์ที่อยู่ข้างกายเขาสิ แม้แต่เข้าใกล้พวกเจ้ายังไม่มีสิทธิ์เลย”
“ไป! ไปรินน้ำชาของเจ้าโน่น ไปรินน้ำของเจ้าไป!” ผู้หญิงที่โดนว่าให้อับอายโมโหสบถไล่ ต่อให้ไขว่คว้ามาไม่ได้ แต่ก็ขอฝันหน่อยไม่ได้รึไง? ที่น่ารำคาญที่สุดก็คือพวกคนทรามที่ชอบมาทำคนอื่นฝันสลายนี่แหละ ได้รินน้ำชาไปทั้งชีวิตก็สมน้ำหน้าแล้ว!
ที่หน้าต่างของชั้นบน หวงฝู่จวินโหรวได้ยินบทสนทนาข้างล่างแล้วเม้มปากหัวเราะ “นึกไม่ถึงว่าผู้บัญชาการหนิวจะกลับมาแล้ว ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมเอิกเกริกขนาดนี้ ท่านดูพวกผู้หญิงที่อยู่สองข้างทางสิ แต่ละคนจ้องเจ้าหมอนั่นตาเป็นมันแล้ว พี่อวิ๋น ผู้บัญชาการหนิวจริงใจกับท่านนะ ท่านดูสิว่ามีผู้หญิงมากมายขนาดไหนที่เฝ้าหวังแต่ไขว่คว้าไม่สำเร็จ ท่านยอมๆ เขาไปก็สิ้นเรื่องแล้ว ไม่อย่างนั้นต้องระวังนะ อาจจะมีวันไหนที่โดนคนอื่นแย่งไปก็ได้”
อวิ๋นจือชิวร้องเชอะในใจ ผู้ชายที่ใครบางคนเฝ้าคิดถึงอยู่ตลอด ที่จริงแล้วเป็นผู้ชายของข้าเอง ถ้าอยากจะคิดถึงก็ต้องถามข้าด้วยว่าอนุญาตหรือเปล่า ถ้าข้าไม่อนุญาตก็อย่าหวังเลยว่าจะได้แต่งงานเข้ามา ตอนนั้นคงเป็นเวลาที่ใครบางคนจะได้ร้องไห้!
แต่นางก็แค่ยิ้มเบาๆ เท่านั้น ยิ้มโดยไม่พูดอะไร สายตากำลังจ้องที่เหมียวอี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าผู้ชายของตัวเองดูดีที่สุด ได้เห็นเขากลับมากับตาตัวเอง ไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไร นางก็หายกังวลใจอย่างถึงที่สุดแล้ว
เหมียวอี้ไม่ได้สังเกตอวิ๋นจือชิวและคนอื่นๆ บนหอน้ำชา ยืนพูดอะไรตามมารยาทตรงหน้าประตูอกสองสามคำ หลังจากส่งพวกหลันเซียงไปแล้ว ถึงได้พาฝูชิงและคนอื่นๆ เหาะไป เขากับพวกสวีถังหรานต่างคนต่างกลับเขตเมืองของตัวเองแล้ว
เมื่อกลับถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก เป่าเหลียนที่กลั้นสีหน้าดีใจเอาไว้ก็รีบนำน้ำชามาวางให้ เหมียวอี้บอกนางว่าไม่ต้องแล้ว จากนั้นก็นำนำฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋เข้าไปในชัยภูมิถ้ำสวรรค์
“หลังจากข้าไปแล้วไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นใช่มั้ย?” เมื่อทั้งสามนั่งลงในศาลา เหมียวอี้ก็เอ่ยถาม
ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สบตากันแวบหนึ่ง แล้วแอบพูดในใจว่า ไม่มีเรื่องอะไรก็แปลกแล้ว
เรื่องบางเรื่องทั้งสองรู้อยู่แก่ใจ โชคดีที่เหมียวอี้รอดชีวิตกลับมาแล้ว ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ทางฝั่งพวกเขาก็จำเป็นต้องมีการเคลื่อนไหวเช่นกัน เลี่ยงไม่ได้ที่จะเลิกเกรงใจอวิ๋นจือชิว กดดันให้อวิ๋นจือชิวส่งเส้นทางไปกลับระหว่างพิภพเล็กกับพิภพใหญ่ให้
ไม่ใช่ว่าพวกเขาคิดจะทำผิดกับพี่น้องตัวเอง แต่ถ้าพี่น้องตัวเองตายแล้ว เช่นนั้นก็ต้องคำนึงถึงพี่น้องคนอื่น เบื้องล่างมีลูกน้องมากมายที่ตามมาทำงานหาเลี้ยงชีพ
หลังจากได้รู้ข่าวว่าเหมียวอี้ได้อันดับหนึ่งกลับมา ทางฝั่งฝูชิงและฝั่งอวิ๋นจือชิวก็เรียกได้ว่าแอบโล่งใจ ถ้าไม่ถึงตอนสุดท้ายก็ไม่มีใครอยากทำอย่างนั้น เพราะทำอย่างนั้นไม่เป็นผลดีกับใครเลย
“ไม่มีเรื่องอะไร ตลาดสวรรค์จะมีเรื่องอะไรได้ เออใช่ เจ้าห้า รายได้กับของที่ร้านค้าต่างๆ นำมาแสดงความกตัญญูในแต่ละปี พวกเราส่งให้น้องสะใภ้ไปหมดแล้ว” ฝูชิงหาประเด็นอื่นมาสนทนา
ส่วนอิงอู๋ตี๋ก็กล่าวอย่างลังเลว่า “ถ้าจะบอกวาไม่มีเรื่องอะไรเลยก็เป็นไปไม่ได้ ทางฝั่งทะเลดาวนักษัตร พวกเราไม่ได้โผล่หน้าไปนานขนาดนี้ อาจจะทำให้หกปราชญ์สงสัยได้ มีคนมาสืบข่าวที่ทะเลดาวนักษัตรไม่หยุด แต่โดนคนของพวกเราจับได้แล้ว เจ้าห้า เจ้าลองดูหน่อยว่าเวลาไหนที่เหมาะสมจะให้พวกเรากลับไปโผล่หน้าสักครั้ง ไม่อย่างนั้นเกรงว่าเวลานานไปแล้วจะเกิดปัญหา ทางจีฮวนเรีบกพบหลายครั้ง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะหาเหตุผลมาปฏิเสธได้ตลอด!”
เหมียวอี้พยักหน้า “ข้าเองก็กำลังคิดว่าจะกลับไปสักรอบเหมือนกัน เพียงแต่ช่วงนี้เกรงว่าจะปลีกตัวไปไม่ได้ เป็นไปได้สูงว่าโค่วเหวินหลานจะได้เลื่อนตำแหน่ง พวกเราอาจจะต้องย้ายที่อยู่แล้ว รอให้จัดการเรื่องนี้ก่อน แล้วพวกเราก็จะกลับไปพร้อมกัน”
ก็ดี!” ทั้งสองพยักหน้า
จากนั้นเหมียวอี้ก็กุมหมัดคารวะพร้อมบอกว่า “ลืมแจ้งข่าวดีไปเลย ได้ยินว่าพวกท่านบรรลุวรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นสี่แล้วเหรอ?”
ทั้งสองตอบกลั้วหัวเราะว่า “พี่ใหญ่กับเจ้าสี่ก็บรรลุแล้วเหมือนกัน โชคดีที่น้องสะใภ้ใจกว้าง ทำเอาพี่ใหญ่กับเจ้าสี่รู้สึกเกรงใจ ไม่ต้องทำงานอะไรก็ได้ผลประโยชน์มาเปล่าๆ มากมายแบบนั้น” อวิ๋นจือชิวกลับไปส่งส่วยทุกปี มักจะนำของไปมอบให้ทางทะเลดาวนักษัตรบ่อยๆ
“นั่นเป็นเรื่องที่สมควร ทุกคนเป็นพี่น้องกันทั้งนั้น เป็นครอบครัวเดียวกันไม่ต้องเกรงใจกัน!” เหมียวอี้โบกมือ
จากนั้นทั้งสองก็ถามถึงเรื่องการทดสอบ เหมียวอี้จึงเล่าส่งเดชเหมือนเป็นเรื่องตลก
จนกระทั่งทั้งสองกลับไปแล้ว เป่าเหลียนก็มาถามอีกว่า “นายท่าน ทางท่านปู่ข้าทราบข่าวดีของนายท่านแล้ว เลยฝากมาถามว่าเมื่อไรนายท่านจะมีเวลาว่างไปนั่งที่สำนักลมปราณสักหน่อย”
“ได้!” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วรับปากอย่างสบายใจว่า “เพิ่งจะกลับมา รอให้จัดการธุระในมือเรียบร้อยก่อน จะต้องไปเยี่ยมคารวะแน่นอน!”
…………………………
[1] ลูกเขยเต่าทอง 金龟婿 อุปมาถึงลูกเขยที่มีฐานะสูงส่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น